ตอนที่๑๗
PK Side
ประตูห้องน้ำเปิดออกก่อนที่ผมจะทันได้เคาะประตูด้วยซ้ำ และเมฆก็โผล่ออกมาด้วยสีหน้ากึ่งโกรธกึ่งขำเช่นเดียวกับผม เขาดูตกใจนิดหน่อยที่ออกมาเจอทีมงานครึ่งโหลรวมตัวอยู่ในห้อง ทำให้ห้องผมดูเล็กลงถนัดตา และเมื่อเมฆออกมาเสียงหัวเราะก็แปรเปลี่ยนเป็นเสียงแซวโห่ฮิ้วส่วนใหญ่มาจากทีมงานผู้หญิงสองสามคน
“หยุดแซวน้องเขาได้แล้วยัยพวกนี้ ออกไปด้านนอกเลยไป ไม่เคยเห็นแฟนภาคินเหรอไง”ผมไม่รู้จะวางสีหน้ายังไงจะขำหรือเก้อเขินดี เมฆกระแอมเบาๆเมื่อหายตกใจแล้ว
"แล้วก็ให้ผมอยู่ในนั้นตั้งนาน"เมฆขมวดคิ้ว มองพี่เหม่งและก็ทีมงานที่ยังมาออกันอยู่ พี่เหม่งก็หัวเราะเสียงดัง
"เอาน่า...แค่อยากแกล้งไอ้คินมัน พี่ขอโทษแล้วกัน เดี๋ยวเย็นนี้พี่เลี้ยงข้าวเป็นการไถ่โทษก็แล้วกัน"ผมแอบย่นคิ้วเล็กน้อยเมื่อได้ยินพี่เหม่งพูด ปกติพี่เขาไม่ชวนใครไปกินข้าวด้วยหรอก เมฆตีสีหน้าไม่ถูกมองหน้าผมเหมือนขอความเห็น พี่เหม่งหัวเราะเสียงดังเมื่อเห็นท่าทางของผม
"เฮ้ยๆ ไอ้คิน ชวนแค่นี้ทำมาคิดมาก ไปกันทั้งทีมนี่แหละ ไม่ได้ไปกันสองคนเสียเมื่อไหร่"ทีมงานที่กำลังม้วนสายไฟหัวเราะ
“ผมไม่ได้คิดอะไรแบบนั้นสักหน่อย ไปไหม”ผมหันไปถามคนข้างตัว
“อืม ไปก็ได้”เมฆตอบเมื่อเห็นสายตาคาดหวังจากพี่ทีมงานสาวๆ ดูท่าเมฆจะมีแฟนคลับซะแล้ว
"คือพี่เหม่ง เมื่อกี้ผมถ่ายช็อตที่น้องเมฆโผล่มาด้วย ผมอยากเอาฉากนี้ไปใส่ตอนท้ายรายการ ผมว่ามันก็ดูน่ารักดี พี่ว่าไงครับ"ตากล้องที่เช็คภาพอยู่ถามขึ้นมา
"คนตัดสินไม่ใช่พี่โว้ย นู่น ยืนหน้ามึนอยู่นู่น"พี่เหม่งพยักเพยิดไปทางเมฆ อันที่จริงผมก็ว่าน่ารักดีหากเอาไปใส่ไว้ช่วงท้ายรายการแต่เมฆจะยอมรึเปล่าก็อีกเรื่องหนึ่ง เพราะนั่นหมายถึงการเปิดเผยความสัมพันธ์ของเราสองคนมากขึ้น และผมเองก็ไม่อยากจะบังคับเขาเรื่องนี้
“อืมงั้นผมขอดูก่อนได้ไหมครับว่าผมทำหน้าตาตลกรึเปล่า”เมฆพูดด้วยท่าทางลังเล เห็นได้ชัดเลยว่าทีมงานหลายๆคนดูโล่งอก เมฆไปหาพี่ตากล้องพร้อมกับอมยิ้มน้อยๆเมื่อดูภาพในจอมอนิเตอร์
"ก็...มันก็โอเค แต่ผมกลัวว่าคนดูหรือแฟนคลับภาคินอาจจะไม่ชอบ"สีหน้าของเขาดูเป็นกังวล
“เรื่องนี้มันก็มีทั้งคนที่ชอบและไม่ชอบแหละเมฆ อย่าคิดมากเลย หรือว่าห่วงภาพลักษณ์ของไอ้คินมัน"พี่เหม่งพูดขึ้นมาพร้อมกับยิ้มบางเหมือนจะเดาๆความคิดของอีกฝ่ายออก
“เคยเห็นมันแคร์ด้วยเหรอ”และคำพูดนั้นก็ทำให้เมฆยิ้มออก ผมแค่ไหวไหล่เมื่อเมฆมองมาที่
"งั้นก็ตามนี้แหละนะ วันนี้ขอบคุณคินมากที่ยอมให้เราเข้ามาถ่ายทำ พี่ก็ไม่รู้นี่นาว่าคินไม่ค่อยพร้อม ก็เห็นคุณมิวบอกว่านายสะดวก งั้นเดี๋ยวไปเจอกันล็อบบี้ด้านล่างนะ จะได้ไปพร้อมกัน …หรือว่าจะเอารถไปเอง"พี่เหม่งที่เดินไปถึงประตูห้องแล้วหันกลับมาถาม
“ผมเอารถไปเองดีกว่าครับ”
“โอเค”แล้วพี่เหม่งก็ยื่นนามบัตรร้านมาให้ผมก่อนที่พี่เขาจะสั่งทีมงานให้เก็บของให้เรียบร้อย ก่อนจะย้ายออกไปที่ห้องนั่งเล่น พี่มิวกำลังเช็คอะไรเรื่อยเปื่อยในแท็ปแล็ตสีหน้าเคร่งเครียดแต่เมื่อเห็นพี่เหม่งก็ยกยิ้มทันที
"เหนื่อยแย่เลยนะคะ พี่เหม่ง"
"ก็ไม่หรอกการถ่ายทำวันนี้สนุกมาก คนที่แย่น่ะเป็นเมฆมากกว่า อยู่ในห้องน้ำตั้งนาน”พี่เขาหัวเราะ
“ก็พี่เป็นคนแกล้งเองไม่ใช่เหรอ”ผมท้วงพลางกอดอกมอง
“ก็นะ…แกทำตัวผิดสังเกตตั้งแต่เปิดประตูห้องแล้วนี่ คือหลังเลิกงานผมเลี้ยงข้าวพวกทีมงาน คินกับเมฆก็ไปด้วย คุณมิวไปด้วยกันไหมครับ”ผมแอบชักสีหน้าเมื่อได้ยินพี่เหม่งชวนผู้จัดการจอมบงการที่กำลังเม้มปากมองผมสลับกับเมฆด้วยสีหน้าครุ่นคิด
"มิวก็อยากไปนะ แต่พอดีต้องเข้าไปคุยงานกับเอเจนซี่ เสียดายจริงๆ หวังว่าคราวหน้าจะได้เจอกันอีกนะคะ"พี่มิวมีท่าทางเสียดาย แน่ล่ะ เรื่องงานต้องมาก่อนอยู่แล้ว แต่ก็ปล่อยให้พี่มิวทำงานไปเถอะ หมดสัญญากับค่ายเมื่อไหร่ ผมกะจะโล๊ะผู้จัดการคนนี้ทิ้ง เพราะพี่มิวเหนื่อยกับผมมามากจริงๆ หึ
"นั่นสิครับ เป็นผจก.ก็ต้องมีเรื่องให้จัดการเยอะแยะอยู่แล้ว สู้ๆเข้าล่ะ คุณมิว พี่ไปล่วงหน้าก่อนนะ พวกทีมงานรออยู่"พี่เขาหันมาพูดกับผมและเมฆก่อนจะถือกระเป๋าใบใหญ่ออกไป ผมพยักหน้าให้พี่เหม่ง พี่มิวรีรอจนทีมงานออกไปจนหมดก่อนจะหันมามองผมกับเมฆให้อารมณ์เหมือนคุณครูแก่ๆกำลังอบรมลูกศิษย์
"อย่าสร้างเรื่องล่ะ คิน พี่ไม่ห้ามหากพวกเธอสองคนจะคบกัน แต่อยากให้รักษาภาพลักษณ์ด้วย เดี๋ยวจะเสียกันทั้งคู่"
"ขอบคุณครับที่เป็นห่วงเราสองคน ผมไม่ก่อเรื่องหรอกน่า บอกแล้วว่าผมจะเป็นเด็กดี"ผมยิ้มตอบ ส่งท้ายสัญญา พี่มิวเองก็ส่งยิ้มบางๆให้ผมกับเมฆก่อนจะออกไป
"ถ้าไม่อยากไปก็ไม่ต้องไปก็ได้นะ เมฆ"ผมกลัวเขาจะอึดอัด
"เฮ้ย ไม่เป็นไรหรอก คิดมากไปได้นะ เมื่อก่อนไม่เห็นจะคิดอะไรเลย"เขาพูดเสียงกลั้วหัวเราะ มองผมอย่างล้อเลียน
"ก็เมื่อก่อนไม่มีนายนี่"ผมพูดหยอก เมฆมองผมอย่างหมั่นไส้ ผมหัวเราะก่อนจะโอบคออีกฝ่ายให้เดินไปด้วยกัน พี่เหม่งเหมาร้านอาหารไว้ ทีมงานอีกครึ่งโหลประจำตามที่นั่งเรียบร้อยแล้ว เว้นที่ให้ผมกับเมฆนั่งคนละฝั่ง บรรยากาศเป็นไปอย่างสนุกสนานเฮฮา และผ่อนคลายจนเริ่มมีการสั่งเบียร์มาประเดิม ผมเองก็จิบๆพอเป็นพิธี
“เนี่ยนะเมี—เอ้ย แฟนผมเขาชอบภาคินมากๆขอถ่ายรูปคู่ด้วยได้ไหม”พี่เก่งเอ่ยขึ้นมาและไม่รอคำตอบ พี่เขาคว้าคอผมก่อนจะดึงให้ไปถ่ายรูปทันที
“เฮ้ย เบาๆเว้ยเดี๋ยวภาคินมันช้ำ ต้องจ่ายค่าเสียหายนะเว้ย”พี่ทีมงานคนนึงสอดขึ้นมาเหมือนกระแหนะกระแหนชอบกล
“แหมพี่ผมไม่ช้ำง่ายๆหรอก ไม่เห็นเหรอตัวผมออกใหญ่ ไม่ได้บอบบางเสียหน่อย”ผมพูดเสียงกลั้วหัวเราะ พี่เหม่งเออออเห็นด้วย
"ได้ข่าวว่าแกจะไม่ต่อสัญญากับค่ายสินะ"พี่เหม่งกระซิบเบาๆ เนื่องจากหลายๆคนมัวแต่สนใจอาหารตรงหน้าก็เลยไม่ค่อยมีใครสนใจผมกับพี่เหม่งสักเท่าไหร่ ผมมองไปรอบๆเพื่อความแน่ใจ
"พี่รู้ได้ไงครับ"
"ดูท่าทีแกก็รู้แล้ว ไม่มีความสุขเหรอ พี่เห็นแกมีข่าวไม่กินเส้นกับต้นสังกัดตลอด"พี่เหม่งพูดตามประสาคนนอก ผมมองเมฆที่กำลังดื่มเบียร์ที่มีทีมงานส่งให้ เมฆแค่ยักคิ้วให้ผม
"ก็ผมอยากออกไปทำอะไรใหม่ๆน่ะครับ"
"คือพี่ก็พอรู้จักค่ายเพลงดีๆอยู่บ้าง ไม่ใหญ่เท่าค่ายที่แกอยู่หรอกนะ"พี่เหม่งเลื่อนนามบัตรให้ผม 'ค่าย N-Entertainment ' ผมเคยได้ยินชื่อผ่านๆมาบ้าง เป็นค่ายเพลงน้องใหม่ที่กำลังขยายตลาด เดิมทีเป็นแค่ค่ายเพลงที่สังกัดศิลปินที่ไม่ค่อยมีชื่อนัก แต่เมื่อต้นปีได้ข่าวมาว่าควบรวมกิจการกับค่ายยักษ์ใหญ่อย่างC&C ที่เป็นต้นสังกัดของศิลปินดังอีกหลายคน
"ไว้ผมจะคิดดูครับ"ผมเก็บนามบัตรนั้นไว้ ก็น่าสนใจมากทีเดียวแต่ช่วงนี้ผมรู้สึกเหนื่อยๆไม่ใช่ว่าเพราะโหมงานหนัก แต่ถ้าเป็นไปได้ผมก็อยากพักยาวก่อนจะกลับมาทำเพลง อาจจะไปสังกัดค่ายเพลงอิสระก็ได้ใครจะรู้
“ถ้ามีเรื่องอะไรที่อยากจะปรึกษาพี่ล่ะก็ โทรมาได้เสมอนะ”รอยยิ้มอบอุ่นทำให้ผมรู้สึกว่าผมยังพอมีที่พึ่งอยู่บ้าง
“ขอบคุณครับพี่เหม่ง”แต่ผมก็อยู่คุยด้วยได้ไม่นานเพราะพรุ่งนี้จำได้ว่ามีคิวงาน แต่ก่อนจะได้ออกไปพวกพี่ๆทีมงานก็มาขอชนแก้วเป็นที่วุ่นวายจนผมมึนๆตึงๆ
“เฮ้ย เบาเดี๋ยวไอ้คินมันก็เมาหรอก”ผมยิ้มแห้งเมื่อดื่มเหล้าที่พี่ตากล้องส่งมาให้จนหมด ร้อนวูบวาบไปหมด ผมรู้ตัวเองดีว่าเวลาเมาแล้วเป็นแบบไหน อย่างเรื่องเมฆ เรื่องที่เมาแล้วขับไปชนคนอื่นเข้าอีก ผมจะกลายเป็นคนวู่วามขาดความยั้งคิดไปเลย ซึ่งก็เกิดขึ้นได้ทั่วไปหากแอลกลอฮอร์เข้าสู่ร่างกาย ดังนั้นผมจึงขอตัวกลับก่อนที่จะติดลมและเมฆจะหน้าตึงไปมากกว่านี้
“ให้ไปส่งไหม แกไหวแน่นะ”พี่เหม่งถามอย่างเป็นห่วงเมื่อผมเงอะงะๆลุกจากเก้าอี้
“ไหวอยู่แล้วพี่ ผมภาคินนะ”ผมหัวเราะก่อนจะยกมือไหว้ทั่วโต๊ะแล้วเดินตามเมฆออกไป ผมสูดหายใจเข้าลึกๆ รู้สึกร้อนมากกว่าทุกที
"ไหวไหมนั่น"พอผมออกมานอกร้านเมฆก็ถามทันที สายตามองสำรวจผมด้วยสีหน้ายุ่งๆ
"ไหว แค่มึนๆนิดหน่อยเอง"ผมไม่ใช่คนเมาง่ายแต่ถ้าแตะแอลกลอฮอร์เมื่อไหร่แล้วล่ะก็หน้า คอ ใบหูจะแดงมากจนดูเหมือนคนเมา
"เอากุญแจมา เดี๋ยวฉันขับเองดีกว่า"เมฆดูไม่มั่นใจสักเท่าไหร่
"ไม่เป็นไรน่า…ฉันไม่ได้เมา นี่ยังเดินเป็นเส้นตรงอยู่เลย"ผมก้าวไปประชิดตัวเขาที่กอดอกมองผมอยู่เพื่อพิสูจน์ให้ดู
"เอามา"เขาแบมือมาตรงหน้าผม
"เมฆ..."ผมทำเสียงอ่อน หน้าเขาเวลาไม่ยิ้ม ดูไม่น่ารักซะเลย
"ไม่ต้องทำเสียงแบบนั้น นายเมาแล้ว หัดรู้ซะบ้าง"อีกฝ่ายดุ มีคนเดินผ่านมาสองสามคน ผมเกาท้ายทอยไม่อยากต่อล้อต่อเถียงยืดยาวก็เลยส่งกุญแจให้ ก่อนจะเดินไปยังที่จอดรถที่อยู่ห่างออกไป ผมล้วงเข้าไปในกระเป๋าเพื่อหาลูกอมรสมินต์มาอมดับกลิ่นแอลกลอฮอร์ คนที่เดินนำหน้าพึมพำอะไรสักอย่างที่ผมฟังไม่ถนัด อาจจะบ่นผมอยู่ก็ได้
ปึก!
ผมเงยหน้าขึ้นพบกับร่างสูงใหญ่ที่ผมเดินชนอย่างไม่ตั้งเข้า สีหน้าของเขาดูไม่พอใจอย่างเห็นได้ชัดและผมก็ไม่อยากมีเรื่อง
"ขอโทษ"ผมพึมพำก่อนจะเดินเลี่ยงไปหาเมฆที่หันมามองว่าเกิดอะไรขึ้น
"นึกว่าใคร ที่แท้ก็นักร้องสวะปลายแถว"ผมสะดุดกึกเมื่อได้ยินคำพูดนั้น คำพูดแรงกว่านี้ก็เคยได้ยินมาแล้ว ถึงผมจะไม่ใส่ใจก็ไม่ได้แปลว่าจะทนได้ทุกครั้ง แต่ฝามืออุ่นๆที่สอดเข้ามาบีบมือผมก็ทำให้ผมพอจะยั้งอารมณ์ที่เริ่มขุ่นมัวได้บ้าง
"ไปเถอะ อย่าสนใจเลย"เมฆพึมพำ ปรายตามองเจ้าของคำพูดนิ่งๆ ผมจ้องเจ้านั่นเขม็ง ไม่ใช่เพราะถ้อยคำดูถูกพวกนั้น แต่เป็นเพราะสายตาดูแคลนที่มองไปที่เมฆต่างหาก
"มองแบบนั้นทำไมวะ อยากมีเรื่องเหรอ เหอะ ถ้าคิดว่าเป็นนักร้องแล้วคนอื่นจะไม่กล้าทำอะไรล่ะก็ มึงคิดผิดแล้ว รู้ไหม"ร่างสูงใหญ่เข้ามาผลักอกผมเต็มแรงจนผมเซ
"เฮ้ย ทำแบบนี้ได้ไง"คนที่ใจเย็นกลับมาอารมณ์เสียทันที
"ช่างเถอะ บอกเองไม่ใช่เหรอว่าอย่าสนใจ"ผมยกยิ้มหยันส่งสายตาดุดันไปให้เจ้าคนนั้นก่อนจะพาเมฆไปที่รถ โชคดีที่ไอ้คนนั้นไม่ได้ตามมาหาเรื่องต่อ
"ใจนักเลงเหมือนกันนี่"ผมหัวเราะเมื่อนึกถึงเหตุการณ์เมื่อครู่ คนที่นั่งอยู่ฝั่งคนขับยังดูหงุดหงิดอยู่
"มันเป็นฟิลลิ่งน่ะ"ผมเสยผมก่อนจะเอนพิงเบาะรถปล่อยให้อีกคนขับรถไปเรื่อยๆ
"เจอแบบนี้บ่อยเหรอ"ผมลืมตามองเสี้ยวหน้าที่เหมือนกังวล
"อืม มากกว่านี้ก็เจอมาแล้ว ก็มีโมโหบ้าง แต่ฉันไม่ได้เก็บมาคิดให้รกสมอง คนเกลียดฉันตั้งเยอะแยะถ้าฉันมัวแต่ใส่ใจกับคนเหล่านั้นคงสมองระเบิดพอดี "ผมยิ้มแล้วพูดต่อ
"ไปเที่ยวกันเถอะ"เมฆหันมามองผมทันที
"ไปได้ไง พรุ่งนี้มีงานไม่ใช่เหรอ"
"เบี้ยวไง"ผมตอบทั้งๆที่เป็นไปไม่ได้อยู่แล้ว
"นายเบี้ยวไปคนเดียวเถอะ ฉันมีเรียนแล้วก็อย่าบอกให้ฉันโดดด้วย เพราะฉันเป็นเด็กดี"
"อืม..."ผมต่อสู้กับความยั่วยวนใจที่อยากจะสั่งสอนเด็กดีอีกรอบ ผมหันหน้าหนีไปมองสีสันนอกกระจกรถแทน ท่าจะบ้านะผมเนี่ย
"แวะไปร้านไอ้จอร์นหน่อยสิ"
"หืม จะไปดื่มต่อเหรอ นายมีงานนะภาคิน"เสียงนั้นเข้มขึ้นเรื่อยๆ
"ไม่ได้ไปดื่ม แต่มีเรื่องต้องไปทำ"ผมลูบข้อมือของตัวเอง ผมเคยให้มันสักข้อมือให้เมื่อตอนที่ผมเข้าวงการใหม่ๆ ไอ้จอห์นมันเคยอยากเป็นช่างสัก ไปเรียนอยู่สักพักได้ความรู้มานิดหน่อย ผมเคยสักแค่ข้อความกับลายกราฟฟิกนิดหน่อยเท่านั้น ไม่เคยสักลายที่ต้องลงเงาลงสี แบบนั้นมันเจ็บกว่ามากและก็ลบออกยาก ต้องคิดดีๆก่อนจะสัก
เมฆไม่ได้พูดอะไรอีกแต่เลี้ยวไปยังร้านของไอ้จอร์น ผมหยิบโทรศัพท์ออกมาโทรหาไอ้จอร์น รอไม่นานมันก็รับด้วยน้ำเสียงแช่มชื่น
[ว่าไงพ่อซุปตาร์] ผมทำเสียงเหอะใส่
"อยู่ไหนวะ”ผมถามอย่างไม่แน่ใจเพราะมีอยู่สองที่ที่มันจะไปสิง คือร้านมันกับคอนโด
[ร้านดิจะให้อยู่ที่ไหน] มันตอบเสียงกวน
“เออก็นึกว่าอยู่บ้านเมีย”คนข้างๆหันมามองผม
[โธ่ กูไม่ได้เป็นคนติดแฟน …ไม่เหมือนคนแถวนี้]
“เหอะ เดี๋ยวแวะเข้าไป"
[มีเรื่องเหรอวะ? ให้กูจัดโต๊ะไว้ไหม]
“ไม่ว่ะ แค่เข้าไปหามึงเฉยๆ มีเรื่องให้ช่วย”
[ช่วย…อะไรวะ…อ๋อ มึงจะสักเหรอ]
“เออก็นั่นแหละ”
[สักได้เหรอ ผู้จัดการมึงไม่ว่าเรอะ เพิ่งให้มึงไปลบอยู่หยกๆ]
“แค่สักข้อความไม่กี่ตัว”ผมยิ้มพลางหันไปมองคนข้างๆ
[มึงเมาป่ะวะ]
“ไม่ได้เมา พูดมากงั้นกูไม่ไปแล้วนะ”ผมทำเสียงหงุดหงิด
[อ้าว ก็ถามเพื่อความแน่ใจ เดี๋ยวเตรียมเครื่องรอ] แล้วผมก็วางสายจากไอ้จอร์น
“จะไปสักเหรอ”เมฆถามเสียงไม่แน่ใจ ผมยักคิ้วให้
“แน่ใจนะ?ไม่ใช่ว่าสร่างเมามา ตกใจอีกว่าไปสักทำไม”ผมหัวเราะเมื่อได้ยินเมฆพูด
“ฉันไม่ได้เมา ให้ท่องสูตรคูณให้ฟังไหม จะได้เชื่อ”ผมท่องสูตรคูณแม่เก้าให้อีกฝ่ายฟัง เมฆยกยิ้มขำก่อนจะไม่ได้พูดอะไรอีก ดูเหมือนวันนี้ร้านไอ้จอห์นคนจะแน่นเป็นพิเศษ ผมหยิบแว่นตาจากเก๊ะหน้ารถมาสวม
“เข้าหลังร้านเถอะ เดี๋ยวมีคนเห็น”ผมเดินนำเมฆไปยังทางหลังร้าน ผมมีกุญแจสำรองอยู่ด้วย อากาศเย็นๆเล็กน้อย ผมไขกุญแจเข้าไป เมฆชะโงกหน้ามามองพลางย่นคิ้ว
“ทำไมต้องทำไฟมืดๆสลัวๆแบบนี้ด้วยก็ไม่รู้”
“สไตล์ไอ้จอห์นมัน”ผมก็ไม่รู้เหมือนกัน แต่มันชอบแบบนี้ ในร้านก็เลยมีแต่แสงสีหม่นๆลึกลับเหมาะแก่การมั่วสุม เอ๊ะ ผมพูดอะไรออกไป เหมาะแก่การมาเที่ยวของผมต่างหาก ผมเลี้ยวไปด้านซ้ายที่มีห้องเล็กๆติดป้ายว่าห้ามรบกวน เป็นสตูดิโอของไอ้จอห์นมัน ผมเคาะสองสามที
“เข้ามา”ไอ้จอห์นเปิดประตูพร้อมกับหลีกทางให้ผมกับเมฆเข้าไป ภายในห้องมีรูปโปสเตอร์ลายสักเต็มไปหมด ผมเห็นคนข้างๆเบ้หน้านิดหน่อย
“หวัดดีครับเฮีย”
ผมนั่งลงที่เก้าอี้ตัวเล็กข้างๆโต๊ะที่มีเครื่องสัก กับกระบอกหัวเข็มวางอยู่
“หวัดดีๆ เป็นไงท่าทางแช่มชื่นดีแบบนี้…”ไอ้จอห์นเบาเสียงลงพร้อมกับกระซิบอะไรให้เมฆได้ยินคนเดียว ผมมุ่นคิ้วมองสองคนนั้น ไอ้จอห์นหัวเราะหึๆส่วนเมฆหน้าแดงน้อยๆ
“อะไร”ผมถามไอ้ตัวการ
“เปล๊า”มันไหวไหล่ก่อนจะนั่งที่โต๊ะ มันสวมถุงมือ เมฆนั่งลงข้างๆผม คิ้วขมวดแน่น
“เฮียแน่ใจนะว่าไม่มีเชื้อโรค”คนฟังถึงกับหัวเราะเสียงดัง
“วางใจได้น่า…ถ้าไอ้คินมันจะติดเชื้อมันคงติดตั้งแต่ตอนอายุสิบเก้าแล้ว”ผมยื่นแขนไปให้มันพร้อมกับบอกตำแหน่งที่จะสัก ไอ้จอห์นมองหน้าผมพร้อมกับยิ้ม
“แหมๆ”มันรู้ว่าตำแหน่งนี้เป็นจุดสำคัญของผม ผมเคยบอกมันไว้หลังจากที่เลิกกับพี่มิวไป มันจับๆบีบๆข้อมือของผมอยู่นาน โชคดีที่ผมไม่ใช่คนผอมมากยังพอมีเนื้อมีหนังอยู่บ้าง ไม่งั้นเวลาสักเจ็บแน่ๆเพราะเจอกระดูก
“สักลายนกด้วยนะ”นกเท่ากับอิสระ ได้จังหวะเหมาะพอดี ผมหยิบโทรศัพท์ออกมาเปิดให้มันดูที่ลายที่ผมเลือกไว้ มันย่นคิ้วมองหน้าผมแต่ก็ไม่ได้ค้านอะไรผมจะสักชื่อเมฆตรงข้อมือและลายนกที่สันข้อมือ ผมมองหน้าเจ้าของชื่อที่ผมจะสลักลงบนผิวเนื้อ อีกฝ่ายมองอย่างกลัวๆกลับมาเมื่อไอ้จอห์นหยิบเครื่องสักที่มีเสียงหลอนๆ อีกอย่างผมก็ไม่กลัวเรื่องความเชื่อเรื่องการสักชื่อคนรักด้วย
“เมฆสนใจไหม สักชื่อไอ้คินไหม พี่ทำให้ฟรี”
“ไม่เอาหรอกครับ”น้ำเสียงหวาดหวั่นทำให้ผมหัวเราะ เจ็บแปลบๆจี๊ดๆเมื่อหัวเข็มลากผ่านเนื้อ แต่อยากเท่ห์ก็ต้องทน คำเตือนคือใจไม่รักจริงสักไม่ได้แน่ เพราะมันเจ็บยิ่งพวกสักลายเยอะๆสีสวยๆนั่นยิ่งเจ็บผมล่ะนับถือเลย เวลาผ่านไปนานเกือบยี่สิบนาทีชื่อของเมฆก็สลักอยู่บนเนื้อหนังของผม ผิวรอบๆรอยสักสีดำแดงเล็กน้อย แสบๆคันๆได้ใจไปอีกแบบ
“มึงสักลายได้แน่นะ ไม่ใช่กูโดนยัยแร้งมาทึ้งหัวทีหลังนะเว้ย”เมฆขำหึทันที
“เออ ได้น่า กูเคลียร์เอง”ไม่ใช่คนจัดการชีวิตผมเสียหน่อย
แล้วจากนั้นไอ้จอห์นก็ไม่ถามอะไรอีก ผมเปิดเพลงฟังคลายเครียด ในระหว่างที่ไอ้จอห์นขะมักเขม้นกับการกรีดผิวหนังเดินเส้นขอบ เมฆลุกไปดูลายสักอื่นๆเหมือนไม่อยากมองผมสักเท่าไหร่
“มึงแดกเบียร์มาเหรอวะ”
“อืม นิดหน่อย ทำไม เลือดออกเยอะเหรอ”เพื่อนส่งเสียงอืมพึมพำในลำคอ ผมเริ่มจะง่วงแต่มาตื่นเต็มตาก็ตอนที่มันลงเงาซ้ำๆ
“ง่วงยังเมฆ”ผมหาเรื่องคุยเบี่ยงเบนจากความเจ็บกลายๆ
“ยัง จะง่วงได้ไง”อีกฝ่ายย่นหน้าใส่ผม ก่อนจะเสยผมตรงหน้าผากที่ชื้นเหงื่อให้ผม ไอ้จอห์นเงยหน้ามองด้วยสายตาล้อเลียน จนเวลาล่วงไปเกือบๆสองชั่วโมงก็เสร็จ ไอ้จอห์นเอาพลาสติกปิดแผลจนเสร็จ
“มึงโอเคแน่นะ”มันถามและผมก็รู้ว่ามันไม่ได้หมายถึงแผลรอยสัก มันคงจะถามถึงเรื่องสัญญาแน่ๆ
“อืม เดี๋ยวก็คงเข้าไปคุยกับต้นสังกัด”ผมเองก็ไม่อยากปล่อยให้เรื่องมันยืดยาว
“แน่ใจนะว่ามึงจะไม่โดนตุกติกเรื่องสัญญา”
“ทางนั้นไม่กล้าหรอก”ในเมื่อผมรู้ความลับของเฮียเปรมว่าเคยกิ๊กกั๊กกับพี่มิวมาก่อน ถ้าตุกติกขึ้นมาล่ะก็ผมแฉแน่นอน
“ไว้ว่างๆจะแวะมาหาว่ะ”ผมคุยกับมันอีกสักพักก่อนกลับ ผมมองนาฬิกาที่บอกเวลาห้าทุ่มกว่าๆแล้ว พรุ่งนี้ผมมีคิวงานตอนแปดโมงเช้า เมฆก็มีเรียน เวลาของผมกับเขาก็ไม่ค่อยตรงกัน คงหาโอกาสเจอกันได้ยากอีกตามเคย
"คืนนี้ค้างคอนโดฉันไหม"ผมตัดสินใจถามออกไป
"ฉันมีเรียน..."เมฆมองหน้าผมก่อนจะพูดต่อ
\
"แต่ฉันจะอยู่เป็นเพื่อนนายจนกว่านายจะเข้านอน โอเคนะ"
"โอเค"ผมชูมือให้ เมฆเลี้ยวรถจอดที่คอนโด
"ว่าแต่ส่งฉันเข้านอนด้วยใช่ไหม"ผมพูดหยอก ในหัวคิดไปไกลแล้ว เขาเลิกคิ้วมองผมด้วยสายตานึกสนุก
"แน่นอน ส่งถึงเตียงเลย รับรองหลับสบายแน่" ผมเม้มปากอย่างครุ่นคิด กำลังชั่งใจอยู่ว่าจะให้เขาอยู่เป็นเพื่อนดีไหม เพราะผมกลัวตัวเองจะฟุ้งซ่านจนไม่ได้นอนน่ะสิ
เมฆดูเพลียๆเมื่อมาถึงคอนโด เขาคุยโทรศัพท์กับแม่ว่าจะกลับบ้านดึกๆ ว่าแต่ทางเดินไปห้องผมมันยาวไกลขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่กัน
เมื่อถึงห้องแล้วผมก็พยายามไม่คิดฟุ้งซ่านอะไรทั้งนั้นแม้ว่ากลิ่นหอมอ่อนๆของเมฆจะทำให้ผมหวิวๆในอกก็เถอะเขาเดินไปเปิดตู้เย็นเพื่อหาของกิน ผมเดาะลิ้นเบาๆ ก่อนจะสูดหายใจเข้าลึกๆ
"ฉันไปอาบน้ำก่อนนะ เหม็นกลิ่นเบียร์"ผมโยนกุญแจรถลงบนโซฟาก่อนจะเข้าไปในห้อง
สายน้ำเย็นๆไม่ได้ชำระความคิดฟุ้งซ่านออกไป แต่กลับปลุกปั่นอารมณ์ของผมให้ปะทุมากกว่าเดิมก็ได้ สงสัยเพราะแอลกลอฮอร์ที่ไหลวนอยู่ในกระแสเลือดล่ะมั้ง เหมือนเมื่อครั้งที่ผมเจอเมฆครั้งแรกตอนนั้นผมกำลังเครียดเรื่องข่าวที่บานปลายเกินจริง สายตาดันเหลือบไปเห็นเขาเข้า ผมสะบัดความคิดไร้สาระออกไป พยายามทำให้อารมณ์สงบนิ่งเหมือนเดิม แต่ผมก็เอาแต่นึกถึงเมฆ ทุกอย่างที่เป็นเขากระตุ้นความรู้สึกอีกครั้งก่อนที่ผมจะช่วยตัวเองปลดปล่อยความรู้สึกเหล่านั้นออกมา ผมเปิดน้ำให้แรงขึ้นเพื่อป้องกันไม่ให้คนที่อยู่ด้านนอกได้ยินเสียงที่อาจหลุดรอดออกไป
ผมใช้เวลาอยู่ในห้องน้ำนานกว่าปกติเพราะต้องทำความสะอาดแผลหลังการสักด้วย หลังจากที่เช็ดแผลจนแห้งและทายาฆ่าเชื้อเสร็จแล้วผมก็ออกไปด้านนอก ผมรู้สึกปรอดโปร่งขึ้นและความอ่อนเพลียที่สะสมมาทั้งวันเริ่มออกฤทธิ์ผมหาวนอนก่อนจะมองเมฆที่กำลังกินข้าวผัดที่ส่งกลิ่นหอมฉุยอยู่
“กินไหม”อีกฝ่ายถาม ผมส่ายหน้า ถ้าเลี่ยงได้ผมก็ไม่อยากทานอาหารตอนดึกสักเท่าไหร่
“ง่วงแล้วเหรอ”ผมพยักหน้าอยากจะรู้ว่าเขาจะส่งผมเข้านอนแบบไหน
“เอาล่ะ ฉันจะเล่านิทานให้นายฟัง”ผมขมวดคิ้วขณะที่เอนตัวพิงหัวเตียง
“ฉันไม่ใช่เด็กแล้วนะ”
“งั้นร้องเพลง”ผมเลิกคิ้วใจก็อยากจะลองฟังเสียงเมฆบ้างแต่ตอนนี้ผมง่วง ผมหาวนอนให้อีกคนดู เมฆหัวเราะก่อนจะโน้มตัวมาใกล้ผม จรดริมฝีปากลงที่หน้าผาก เปลือกตา จมูกและเลื่อนมาที่ริมฝีปากของผม เราจูบกันเนิ่นนาน เมฆผละออกมามองหน้าผม
“ฝันดีนะ ภาคินแล้วก็…สู้ๆล่ะ”
แค่นี้ผมก็นอนหลับสนิทมากกว่าทุกวัน
☉☉☉☉☉☉☉☉☉☉☉☉☉☉☉☉☉☉☉☉☉☉