ฉาวครั้งที่๒๖ผ่านไปสี่อาทิตย์ที่ผมใช้ชีวิตเรียบง่ายอยู่ที่นี่ ถึงจะไม่ต้องคิดอะไรมาก็จริงแต่ต้องยอมรับว่าไม่ค่อยสะดวกสบายเท่าไหร่ ทางพ่อกับแม่ของภาคินกลับไปก่อนแล้วเมื่อสองอาทิตย์ก่อน เอารถไปเพราะแม่จะได้ไม่ลำบากในการเดินทาง แต่ข่าวฮอตฮิตในหมู่บ้านก็คงหนีไม่พ้นเรื่องที่เพชรจะมาถ่ายทำละครที่หมู่บ้าน ถึงส่วนใหญ่จะไม่ค่อยรู้จักภาคิน
แต่พระเอกละครหลังข่าวอย่างเพชรผมเชื่อว่าต้องมีคนรู้จักไม่มากก็น้อยแน่ๆเห็นว่าพี่เขาจะเดินทางมาดูสถานที่ล่วงหน้าก่อนทีมงานจะมาส่วนเรื่องที่พักผมได้ยินข่าวมาแว่วๆว่าทางกองถ่ายจะขอเช่าห้องแถวของผู้ใหญ่บ้านเป็นที่พักของเหล่านักแสดง
“ฉันน่ะอยากเจอพ่อเพชรตัวเป็นๆมาตั้งนานแล้ว ไม่คิดไม่ฝันว่าจะได้เจอ”เสียงพูดคุยถึงพี่เพชรและแพรวาพระเอก-นางเอกของเรื่องฟุ้งไปทั่วตลาด
“โธ่ ป้าจะตื่นเต้นอะไรกันนักกันหนาก็แค่พระเอกละคร นี่อย่าบอกนะว่าจะหยุดทำมาหากินไปรับดาราน่ะ”เสียงเหนื่อยหน่ายดังมาจากชล
“เรื่องของพวกฉันเว้ย อย่าพูดมากไอ้ชล เดี๋ยวดีดหงายหลังซะหรอก”ป้าหันไปปาผักเหี่ยวๆใส่ ไอ้ชลส่ายหน้าระอาๆก่อนจะเดินมาหาผมที่ล็อค ภาคินที่นั่งอ่านหนังสืออยู่เงยหน้าขึ้นมองทันที
“วันนี้ขายดีไหม”มันถามอย่างเป็นมิตร วันนี้ยายไม่ได้เข้ามาขายผัก เพราะป่วยเมื่อวานแกดันไปเก็บผักบุ้งที่แปลงทั้งๆที่ฝนตก
“ก็ได้เรื่อยๆนั่นแหละ”
“แล้วนายไม่ตื่นเต้นที่พระเอกหนังจะมาเหรอ”มันถามเสียงขบขัน
“ฉันไม่ใช่พวกบ้าดาราซะหน่อย”อีกอย่างก็เบื่อหน้าพี่เพชรมันแล้วด้วย ภาคินแค่ทำเสียงหึในลำคอ
“เห็นว่าช่วงนี้เบื่อๆกัน พอดีพรุ่งนี้ผมจะเข้าไปในเมืองเอาผักไปส่ง อยากไปด้วยกันไหม”ชลชวนมองผมสลับกับภาคินไปมา ผมตาโตหูผึ่งทันที ตัวเมืองกับหมู่บ้านที่นี่ก็ห่างไกลกันมากโข ถ้าไม่มีรถล่ะก็อย่าหวังเลยจะได้ไป ผมหันไปมองภาคินอย่างขอความเห็นเหมือนมันกำลังตัดสินใจอย่างหนักกับการที่ต้องไปกับชลคนที่มันไม่ชอบหน้า
“ไปก็ได้ ต้องตื่นเช้าหรือเปล่า”ภาคินตอบในที่สุด ผมยกยิ้มออกมา
“สักตี่สี่กว่าๆเพราะกว่าจะถึงก็ตีห้าพอดี ลำบากหน่อยนะตื่นเช้าแบบนี้”ชลยิ้มถึงจะเป็นคำพูดธรรมดาๆแต่ก็แฝงแววกระแหนะกระแหนชอบกล
“ไม่หรอกครับ เช้ากว่านี้หรือไม่ได้นอนผมก็เคยผ่านมาแล้ว”มันตอบเสียงไม่สะทกสะท้านอะไร ชลดูแปลกใจขึ้นมาทันที
“จะว่าไป...คุณทำงานทำการอะไรล่ะ ผมว่าผมคุ้นๆชื่อคุณอยู่นะ แล้วท่าทางคุณก็ดูไม่เหมือนคนธรรมดาสักเท่าไหร่”ชลมันสังเกตุขนาดนี้เลยเหรอเนี่ย
“ผมก็คนธรรมดาๆนี่แหละ ไม่ได้พิเศษไปกว่าใครหรอก พอตกต่ำก็เป็นหมาดีๆนี่เอง”น้ำเสียงมันออกจะเรื่อยๆแต่ใบหน้าของมันแฝงอะไรไว้หลายอย่าง
“ก็แบบนี้แหละครับ ยามมีก็เชิดชู แต่พอตกระกำลำบากก็หนีหายหมด เราจะเจอมิตรแท้ก็ต่อเมื่อเราย่ำแย่นั่นล่ะนะ ผมไม่รู้ว่าคุณเจออะไรมาแต่ก็สู้ๆล่ะกัน ผมเอาใจช่วย”อีกฝ่ายยิ้มจริงใจมาให้ ภาคินมองด้วยสายตาแปลกใจเล็กน้อยก่อนที่มันจะพึมพำออกมา
“เช่นกันล่ะ”เหมือนเส้นบางๆระหว่างสองคนหายไป บางทีชลอาจจะเจอเรื่องที่คล้ายๆกับภาคินมาก็ได้ สองคนนี้ญาติดีกันได้ก็ดี ผมขี้เกียจฟังทั้งคู่มาต่อล้อต่อเถียงกัน ชลเดินกลับไปที่ล็อคของตัวเองเมื่อมีคนมาซื้อผัก
RRRRRR
เสียงโทรศัพท์ดังขึ้น ผมหยิบออกมาดู พี่เพชรโทรมาอีกแล้ว ผมมองภาคินที่กลับไปนั่งที่เก้าอี้ตัวเดิม
“หวัดดีพี่”
[อื้อหืออ กว่าจะโทรติดได้ ช่วยบอกพี่ทีแถวนั้นมีไวไฟไหม]ผมกลอกตาทันที
“พี่เพชร บ้านนอกบ้านนาแบบนี้จะไปเอาที่ไหนมาล่ะ”บ้านไหนมีเน็ตใช้ก็ถือว่ารวยมากๆแล้วสำหรับคนแถวนี้ ได้ยินเสียงพี่เพชรโอดครวญ
[หมู่บ้านที่เมฆไปอยู่ชื่ออะไรนะ พี่จำไม่ค่อยได้]
“พี่จะมาเหรอ ไหนว่าอีกสองวัน”เห็นบทสัมภาษณ์ในหนังสือพิมพ์ที่เขาเอามาห่อปลาตากแห้งขาย
[ข่าวลวงน่ะ พี่จะไปพรุ่งนี้ ไม่อยากเจอนักข่าว]ช่วงนี้พี่เพชรดันขาลงเหมือนกันเพราะมีภาพหลุดกับนางแบบชื่อดัง ทำให้เสียภาพพจน์ทางค่ายเลยดัดนิสัยส่งให้พี่เพชรมาถ่ายละครที่นี่ แถมยังได้เล่นเป็นพระเอกละครเย็น ไม่ใช่หลังข่าวเหมือนแต่ก่อน
“พรุ่งนี้เหรอ พอดีผมก็เข้าไปในเมืองพรุ่งนี้เหมือนกัน”
[จริงดิ ดีเลยพี่จะได้ไม่ต้องงมหาทาง งั้นไปเจอกันในเมืองเลยไหม]พี่เพชรถามเสียงตื่นเต้น
“ต้องถามเจ้าของรถอีกทีน่ะ เขาไปทำธุระในเมือง แต่อาจจะแวะBic cก็ได้”ในเมืองก็ถือว่าBic cเป็นห้างสรรพสินค้าที่ใหญ่สุดเท่านั้นแหละ
[โอเค เดี๋ยวยังไงพี่จะโทรหาอีกทีนะ]
“ครับ”ผมวางสายก่อนจะหันไปเจอสายตาสอดรู้ของภาคินที่จ้องมา
“ไอ้เพชรว่าไงบ้าง มันจะหลบข่าวฉาวมากบดานแถวนี้เหมือนกันเหรอ”มันถามเสียงขบขันกลายๆ
“อือ คงมาพรุ่งนี้”ผมตอบก่อนจะหันมาสนใจขายของต่อ แต่สายตาก็เหลือบไปเห็นรถตู้ที่มีโลโก้รายการ Go Goมาจอดอยู่หน้าตลาด ป้าๆลุงๆยายๆมองเป็นตาเดียวด้วยความสนใจทันที
“เฮ้ย นั่นพี่โหน่งนี่หว่า”ภาคินพึมพำเมื่อเห็นพี่โหน่งและพิธีกรหญิงอีกคนลงมาจากรถ เพิ่งรู้ว่าพี่เขาทำรายการนี้ด้วย ภาคินคว้าหมวกฟางของลุงขายปลามาใส่ปิดบังหน้าก่อนจะก้มหน้าลง มันไม่อยากให้ใครรู้ว่ามันอยู่ที่นี่
“พี่เขาไปยัง”มันกระซิบถามผ่านปกหนังสือ ผมเองก็ไม่อยากเจอพี่เขาสักเท่าไหร่ ผมแอบเมียงๆมองๆเห็นว่ากำลังถ่ายรายการอยู่ ที่มาที่นี่เพราะข่าวที่เพชรกำลังจะยกกองมาถ่ายละคร พิธีกรชายหญิงเดินไปอีกทางหนึ่ง กำลังชี้ชวนให้ดูของกินแปลกๆ
“เก็บร้านกันเถอะ”มันชวนเมื่อเห็นว่าพี่โหน่งไปอีกทางแล้วแต่เชื่อเถอะต้องวนมาทางนี้แน่ๆ
“ก็ได้”ผมกับภาคินคว้าแกงใส่ถุง คุณลุงข้างๆมองอย่างฉงน
“รีบเก็บทำไม เดี๋ยวพวกนั้นก็มาถ่ายแล้ว ไม่อยากออกกล้องเรอะ”
“ไม่อยากอ่ะลุง”ผมพึมพำตอบ ภาคินดึงผ้ายางมาคลุมโต๊ะก่อนจะรีบเดินออกไปยังรถจักรยานที่จอดอยู่
“ไอ้ฝรั่ง หมวกลุง”ลุงปลาแห้งตะโกนลั่นราวกับภาคินขโมยเงินไป เสียงนั้นทำให้ทีมงานหลายๆคนหันมามองรวมทั้งพี่โหน่งด้วย
“ไอ้คิน”พี่เขาทักงงๆก่อนจะมองมาที่ผม พี่โหน่งยกมือขึ้นเพื่อให้หยุดการถ่ายทำ ภาคินถอนหายใจก่อนจะดึงหมวกฟางลงแล้วส่งคืนให้ลุง
“พี่ก็ว่าท่าทางคุ้นๆ แล้วแกจะหลบพี่ทำไมวะ”พี่โหน่งมาถึงตัวภาคินพร้อมกับเท้าเอวมองสีหน้าระอา
“ผมแค่ไม่อยากให้ใครรู้น่ะพี่”ภาคินเกาต้นคอ พี่โหน่งหันมามองผมก่อนจะยกยิ้ม
“ก็เห็นข่าวอยู่ว่าแกมาจับปลาไหลแถวบ้านนา แต่ไม่คิดว่าเป็นที่นี่”พิธีกรผู้หญิงเดินเข้ามาใกล้ก่อนจะกระซิบกับพี่โหน่งแต่ผมก็ได้ยินอยู่ดี
“ทำไมไม่เอาภาคินมาออกรายการเราเลยล่ะพี่”พี่โหน่งทำหน้าหงุดหงิดใส่ก่อนจะโบกมือไล่พิธีกรให้ไปนั่งพักกับทีมงานคนอื่น
“แล้วแกสบายดีสินะหลังเจอมรสุมลูกเบ่อเร่อเข้าไป”พี่เขากวาดตามองภาคินด้วยสายตาเป็นห่วงก่อนจะสลับมามองที่ผม
“สบายดีครับ ผมสงบขึ้นเยอะเลยหลังจากที่ได้มาอยู่นี่เหมือนตัดขาดโลกภายนอกไปด้วย”
“แล้วเราล่ะเมฆ คงได้รับผลกระทบไปเต็มๆเลยล่ะสิ แต่ก็ดีแล้วที่ไม่ได้โดนมากกว่านี้ยัยมิวน่ะร้ายจะตาย”ผมเห็นภาคินทำหน้าบึ้ง ก่อนจะย้ายสถานที่คุยไปนั่งเม้าท์กันในรถตู้ท่ามกลางสายตาอยากรู้อยากเห็นของคนในตลาด
“แล้วตอนนี้พี่มิวเขาเป็นยังไงบ้างครับ”ผมถามด้วยความอยากรู้ ภาษาบ้านๆก็อยากเผือกนั่นแหละ พี่โหน่งถอนหายใจปลงๆ
“ตอนนี้ก็หายหน้าหายตาไปแล้ว คงเก็บตัวอยู่ที่ไหนสักที่ล่ะมั้ง รู้ไหมที่เมียเฮียเปรมมาแฉเรื่องความสัมพันธ์เก่าๆก็เพราะยัยมิวไปขอเงินเฮียเรื่องคดี แต่เหมือนเฮียจะไม่ให้ ยัยมิวก็เลยขู่แล้วเมียเฮียก็มาได้ยินพอดี ก็เป็นเรื่องเป็นราวแบบนี้แหละ”พี่โหน่งหยิบนิตยสารที่เหน็บอยู่ตรงเบาะรถมาให้ผม รู้สึกจะมีสกู๊ปเรื่องนี้อยู่
“จะว่าไปผมมีเรื่องจะขอเพิ่งใบบุญพี่อีกอย่าง”ภาคินละสายตามาจากสกู๊ป
“ว่ามาเลย คิน ไม่ต้องเกรงใจหรอก”พี่โหน่งยิ้มบาง
“คือผมจะเขียนพ็อกเก็ต บุ๊ค ผมอยากให้พี่ช่วยโปรโมทให้ผมน่ะครับ กลัวขายไม่ออก”มันหัวเราะขึ้นมา ท่าทางดูเก้อเขิน
“นึกว่าเรื่องอะไร ถ้าเขียนเสร็จก็บอกพี่ล่ะกัน ว่าแต่จะเขียนเรื่องอะไรบ้างล่ะ”พี่โหน่งถามอย่างสนใจ ผมเองก็ไม่ค่อยรู้รายละเอียดเรื่องนี้มากนัก ก็อยากรู้เหมือนกันว่านอกจากแฉแล้วมันจะเขียนอะไรเพิ่ม
“ก็ความเป็นมาของภาคินน่ะครับ ผมจะเล่าเรื่องทุกอย่าง แต่ก็จะใช้ฉายาหรือตั้งชื่อใหม่ กลัวคนพวกนั้นจะหาเรื่องเล่นงานผมได้อีก”ภาคินเหม่อมองไปนอกรถ จะว่าไปผมเองก็ไม่เคยถามถึงเรื่องก่อนหน้านี้เลย ยกเว้นชีวิตหนึ่งปีในบ้านเลี้ยงเด็กกำพร้า
“แบบนั้นก็น่าสนใจอยู่ แล้วแกคิดจะคัมแบล็ควงการเมื่อไหร่ สามสี่ปีจริงๆน่ะเหรอ ไหนว่ามีความฝันต้องทำต่อไง”พี่โหน่งดูจะเป็นห่วงเรื่องอนาคตในวงการ เจ้าตัวถอนหายใจ
“ผมมีความฝันก็จริงแต่คงต้องส่งต่อให้คนอื่นแล้วล่ะพี่ อย่างผมคงกลับมาทำให้คนยอมรับได้ยากแล้วล่ะครับ ผมเคยได้รับโอกาสแก้ตัวไปหนหนึ่ง มีผู้ใหญ่ใจดีมอบงานให้หลังจากที่ผมเป็นข่าวฉาวกับเมฆ แล้วข่าวแย่ๆของผมก็มาเป็นระลอกๆ ใครๆก็พากันเบื่อหมดแล้ว ผมทำใจได้แล้วล่ะพี่โหน่ง ถ้าจะกลับไปจริงๆผมคงไม่ได้ทำงานในฐานะนักร้องอีกแล้ว ที่ผ่านๆมาก็ถือว่าผมได้มาเยอะแล้วครับ”พี่โหน่งถอนหายใจก่อนจะเอื้อมมือตบบ่าให้กำลังใจภาคิน
“ถ้ามีเรื่องอะไรก็ปรึกษาพี่ได้ตลอดนะ”
หลังจากนั้นผมกับภาคินก็กลับบ้าน ดูเหมือนภาคินจะดูปรอดโปร่งมากขึ้น ระหว่างที่ผมกำลังมองทิวทัศน์เพลินๆภาคินก็พูดขึ้นมา
“โชคดีนะ ที่ตอนเกิดเรื่องฉันยังมีนายอยู่ข้างๆ ไม่เหมือนตอนที่ฉันต้องเผชิญปัญหาคนเดียว ความรู้สึกต่างกันลิบลับเลย ขอบใจนะที่อยู่ข้างๆฉันมาโดยตลอด ขอบคุณที่นายอดทนมาเสมอ”ผมกำชายเสื้อของภาคินไว้แน่น
“ไม่ต้องขอบคุณหรอก มันเป็นหน้าที่ของคนรักกันอยู่แล้วไม่ใช่เหรอ ถ้าไม่รู้สึกดีกับนายจริงล่ะก็ ฉันทิ้งนายไปนานแล้ว”ผมพูดเบาๆ
“ก็ฉันอยากขอบคุณนี่ นายไม่เคยทำให้ฉันต้องเหนื่อยใจเลยสักครั้ง”
“แน่เหรอ?”
“ก็...ยกเว้นตอนนายเมาไว้หนึ่งเรื่อง”มันหัวเราะ
“แล้วฉันล่ะ นายหนักใจเรื่องไหนบ้าง”
“แน่ใจเหรอว่าอยากรู้”
“แน่สิ มันเยอะมากเลยเหรอ”มันทำเสียงหงอย
“ก็ไม่เยอะอะไรหรอก เรื่องอื่นฉันก็เข้าใจแต่เรื่องหึง เบาๆลงบ้างก็ได้ ไม่ใช่ว่าฉันเห็นความรู้สึกของนายเป็นเรื่องไม่เป็นเรื่องนะ แต่บางทีฉันก็แอบหงุดหงิดน่ะ”ผมได้ยินภาคินถอนหายใจ
“ฉันรู้ว่าบางทีมันก็น่ารำคาญ แต่ฉันก็ห้ามตัวเองไม่ได้นี่นา”ภาคินจอดรถจักรยานก่อนจะเอี้ยวตัวมามองผม
“ฉันแคร์นายมากนะ”
“ฉันรู้”ผมยิ้มกว้างก่อนจะพูดอีกเรื่องที่ต้องพูดเหมือนกัน
“แล้วก็เรื่องนั้นน่ะอย่าหื่นให้มาก”ผมกระแอมกระไอเก้อกระดากขึ้นมาทันที ภาคินมองผมด้วยสายตาเจ้าเล่ห์
“นายก็ห้ามฉันสิ นายก็รู้ว่าฉันไม่บังคับนายเรื่องนี้”ผมเม้มปากก่อนจะพยักเพยิดให้มันปั่นต่อ
“เออ ก็ปั่นต่อไปดิ”ผมฟาดหลังมันเบาๆ มันยิ้มก่อนจะปั่นต่อไปเรื่อยๆ มันเหมือนเป็นสัญญาที่ไม่มีวันหมด ว่าผมจะอยู่ข้างมันแบบนี้เสมอ ตราบเท่าที่เรายังคบกัน
**************************************
ชลมารับเวลาตีสี่ครึ่งเป๊ะๆ อากาศยังหนาวอยู่เลย ภาคินเอาแว่นตาไปด้วยเพราะมันไม่อยากให้ใครจำมันได้
“คนเมื่อวาน คุณรู้จักเหรอ”ชลถามด้วยน้ำเสียงสนใจเมื่อภาคินเข้ามานั่งที่เบาะข้างๆแล้ว ส่วนผมนั่งอยู่ที่เบาะหลังแคบๆ ภาคินเอาแว่นตามาเหน็บที่คอเสื้อ
“ก็ประมาณนั้นแหละ”ภาคินตอบด้วยเสียงลังเลเหมือนไม่แน่ใจว่าควรพูดดีไหม ชลยังดูข้องใจอยู่แต่ก็ไม่ได้ถามอะไรต่อ
“พักนี้ยายชอบบ่นหานายตลอดเลย ไม่รู้ติดใจอะไรหนักหนา”ชลพูดเสียงอ่อนใจ
“สงสัยจะอยากได้ฉันเป็นลูกเขยจริงๆล่ะมั้ง”ผมพูดขำๆ แต่ก็อดหดหู่เรื่องยายไม่ได้ ผมอยากให้ยายเลิกบ่นถึงหลานสาวเสียที ชลเองก็ไม่กล้าพูดความจริงตอกย้ำยายกลัวแกจะสะเทือนใจจนเป็นมากกว่านี้
“ยายอาจจะเลิกบ่นก็ได้ ถ้านายหาแฟนสวยๆไปอยู่คุยเล่นด้วย ไม่รู้เหรอว่าคนแก่ขี้เหงา หาลูกสะใภ้ให้สิ รับรองไม่บ่นถึงเมฆหรือหลานแน่ๆ ยิ่งปั๊มลูกไวเท่าไหร่ยิ่งดี”คำพูดของภาคินทำผมเขินเฉยเลย ชลหัวเราะเสียงดัง
“โธ่ ทำอย่างกับหาได้ง่ายๆ ผู้หญิงสมัยนี้ไม่สนคนบ้านนอกจนๆหรอก อีสาวแถวนี้ก็...ไม่ได้เรื่องสักคน”
“ก็เลยโสดมาจนป่านนี้น่ะเหรอ”ผมออกปากแซวบ้าง ชลเหลือบมองผมผ่านกระจก
“ก็อย่างนั้นแหละ แล้วอีกอย่างผมก็ไม่ได้คิดถึงเรื่องนี้สักเท่าไหร่ ยังมีภาระอีกเยอะ”แต่ผมก็มองว่าอย่างชลก็ไม่ได้น่าเกลียดอะไร ถึงจะผิวเข้มเหมือนคนทำงานก็เถอะ ภายในรถเงียบลง เพื่อไม่ให้เงียบจนเกินไป ผมจึงเอื้อมมือไปเปิดเพลงฟังแทน
ไปฟังเพลงต่อไปกันเลยครับ เพลงท้องฟ้าสวยกว่าเมื่อวานของภาคินที่ท่านผู้ฟังขอกันเข้ามาเมื่อต้นชั่วโมงที่แล้ว~”
เพลงของภาคินดังก้องไปทั้งรถ ผมหลับตาฟังเสียงนุ่มๆของมันด้วยหัวใจที่เต้นรัว เพลงนี้มันแต่งให้ผม รู้สึกดีอยู่เหมือนกันที่ได้ยินเพลงนี้
“ชื่อนักร้องคนนี้เหมือนชื่อคุณเลยนะ”ได้ยินเสียงชลดังขึ้น ผมยิ้มขึ้นมา ไม่ใช่แค่เหมือน แต่มันคือไอ้นักร้องคนนั้นนี่แหละ
“หือ? อ้อ...ก็...”ภาคินอ้ำๆอึ้งๆก่อนจะเงียบลงอีกครั้ง ชลย่นคิ้วเอียงหน้าเหมือนเงียหูฟังเพลง
“จะว่าไปเสียงก็คล้ายๆเลยนะ ว่าไหมเมฆ”อีกฝ่ายหันมาขอความเห็นผม
“ก็คล้ายๆนั่นแหละ”ผมมองหน้าภาคินขำๆ
“...ภาคิน ภาคิน”ชลพึมพำเบาๆเหมือนกำลังคิดอะไรอยู่ มันหันไปมองร่างสูงที่ยักคิ้วให้
“ใช่นักร้องที่มีข่าวเมาแล้วขับรถชนคนตายเมื่อกลางปีหรือเปล่า”ภาคินแอบย่นหน้าเล็กน้อบ
“ใช่ ฉันนี่แหละ แต่คนที่ฉันชนไม่ได้ตาย วันหลังก็เสพข่าวให้หลายๆด้านหน่อยนะ”มันไม่วายเหน็บ
“อ้าว ก็ได้ยินมาแบบนั้น ผมไม่ใช่แฟนคลับคุณนี่จะได้ต้องตามข่าวสารตลอด คนที่ไม่รู้จักคุณเขาก็ได้ยินกันมาแบบนี้ทั้งนั้น”คำพูดของชลอาจไปกระทบใจของภาคินเข้าเพราะผมเห็นมันเงียบไปเหมือนคิดอะไรอยู่
“แต่อะไรที่มันไม่จริง คุณก็ไม่ต้องเก็บมาคิดมากหรอก นักร้องดังแบบคุณขืนมากังวลเรื่องแบบนี้หัวโตกันพอดี”ภาคินเหลือบมองไอ้ชล
“ฉันรู้น่า...ไม่จำเป็นต้องมาสอนหรอก” มันพึมพำก่อนจะกอดอกมองนอกหน้าต่าง ฟ้าเริ่มสว่างขึ้นเมื่อเวลาผ่านไปเกือบๆสามสิบนาที ผมงีบหลับอีกพักใหญ่ ตื่นมาอีกทีก็ถึงตลาดใหญ่แล้ว ผมมองไปรอบๆเมื่อทั้งภาคินและชลไม่ได้อยู่บนรถแล้วแต่ผมก็ต้องแปลกใจเข้าไปอีก เมื่อเห็นภาคินกำลังช่วยชลยกตะกร้าผักใส่รถเข็นที่ชลเป็นคนลากมา ผมลงจากรถเสียงดังจอแจดังเข้าหูทันที พื้นคอนกรีตเฉอะแฉะเพราะฝนตก ผมจะเข้าไปช่วยภาคินยกตะกร้าผักเพราะไม่อยากอยู่เฉยๆ แต่ภาคินก็โบกมือไล่ผม
“ลงมาทำไม เดี๋ยวก็เสร็จแล้ว”ขณะที่ภาคินกำลังลากตะกร้าผักลงจากกระบะรถก็มีผู้หญิงวัยรุ่นสองคนมาด้อมๆมองๆภาคินพร้อมกับถ่ายรูป ชลเหลียวมองด้วยสายตาตกใจ
“นี่คุณ!”มันตวาดเสียงดัง ภาคินเลยหันไปมองบ้าง
“นี่พี่ภาคินจริงๆใช่ไหมคะ พี่ออกจากวงการแล้วมาทำงานแบบนี้เหรอ”ภาคินขมวดคิ้ว สีหน้าดูขุ่นเคืองทันที แต่เป็นชลที่โพล่งขึ้นมาก่อนภาคินเสียอีก
“ทำไมครับ งานแบบนี้มันทำไม”สีหน้าไม่พอใจฉายชัดเจน เด็กผู้หญิงสองคนเบ้หน้าก่อนจะเหลือบมองภาคินและผมก่อนจะซุบซิบ ผมแตะไหล่มันเเผ่วเบา
“ไม่ต้องสนใจหรอก ก็แค่เด็กปากบอน”มันไหวไหล่มองผมก่อนจะยกตะกร้าผักอันสุดท้ายลงมา
“เดี๋ยวขอแวะซื้อหมูหวานตรงนั้นก่อนนะ”ผมชี้ร้านที่อยู่ไม่ไกลนักให้ภาคินดู มันพยักหน้ารับรู้ ผมซื้อหมูหวานมาสองถุง ปลาหมึก และหมูแผ่น เพราะผมเองก็เริ่มเบื่อพวกหมู ปลา ผักเต็มทีแล้ว ผมหันไปมองภาคินที่เดินมาดูข้างๆ
“เอาอะไรไหม”มันกวาดสายตามองของบนชั้นก่อนจะส่ายหน้าไปมา
“เดี๋ยวไอ้ชลมันจะแวะ Bic cนะ”ถึงจะเป็นตัวเมืองแต่ห้างสรรพสินค้าที่ใหญ่สุดก็คือบิ๊กซีนี่แหละ ผมจ่ายเงินก่อนจะเข้ามารอในรถ ชลหายไปในร้านเสื้อตรงข้ามกับตลาด ดูเหมือนเป็นร้านเสื้อของผู้สูงอายุ เพราะมีแต่เสื้อจำพวกลายดอก และคอกระเช้า สงสัยจะซื้อให้ยายล่ะมั้ง ผมสะกิดไหล่ภาคิน
“อะไร”มันหันมามองงงๆ
“จำได้ไหม”ผมชี้ไปที่ป้ายโปสเตอร์ขนาดใหญ่จางๆเพราะตากแดดตากลม บนป้ายนั้นมีรูปภาคินส่งยิ้มกว้างสวมหมวกกันน็อคมาให้ มันหัวเราะทันที
“เหมือนได้รำลึกความหลังเลยนะ”มันมองโปสเตอร์ก่อนจะยิ้มจาง จะว่าไปมันก็นานมาแล้วเหมือนกัน
“อะแฮ่ม”ชลกระแอมกระไอเมื่อเข้ามาในรถเมื่อเห็นผมกับภาคินนั่งมองหน้ากัน
“อะไรติดคอไม่ทราบ”ภาคินถามเสียงขุ่น ชลแค่ไหวไหล่ ตอนนี้ภาคินมันปล่อยให้ชลนั่งขับรถเปล่าเปลี่ยวอยู่คนเดียว
ผมก้มดูโทรศัพท์พี่เพชรส่งข้อความมาว่าถึงตัวเมืองแล้ว ผมเลยให้ไปเจอกันที่Bic c ภาคินมันจะแวะซื้อของกินของมัน
“ไอ้เพชรว่าไงบ้าง”มันชะโงกหน้ามาอ่านข้อความในโทรศัพท์ของผม
“โธ่ ที่มันรีบมาก็ไม่ใช่อะไรหรอก หลบหน้านักข่าว ไม่รู้ซะแล้วว่าหลุมหลบภัยก็มีนักข่าว”ภาคินยกยิ้มขึ้นมา
“จะมีคนมาอีกเหรอ แปลกนะทำไมบ้านนอกบ้านนาถึงฮอตเอาตอนนี้”ชลพูดแทรกขึ้นมา
“คนที่จะมาก็คนเดียวกับพ่อพระเอกที่ป้าๆยายๆเขาชมกันนั่นแหละ”ภาคินตอบ คนที่ขับรถอยู่เลิกคิ้วทันที
“อย่างนี้หรอกเหรอ มาเพื่อกลบข่าวมั่วผู้หญิงสินะ”ผมได้แต่คิดว่าชลนี่ก็ปากคอเราะร้ายไม่เบาเหมือนกัน ดูๆแล้วข่าวของพี่เพชรก็คงจะดังเอาเรื่อง คนอย่างชลยังเคยได้ยินข่าวเลย
“ก็เคยบอกเด็กแถวนั้นไปนะ ว่าตัวจริงๆเนี่ยมันไม่เหมือนในหนังในละครหรอก ไม่รู้จะไปคลั้งไคล้อะไรนักหนา”ชลบ่นพึมพำอะไรของมันไปตลอดทาง
ภาคินลงจากรถเมื่อถึงที่หมาจแล้วก่อนจะกดโทรศัพท์หาพี่เพชร
“มึงอยู่ไหน กูมาถึงแล้วนะ”ชลเดินลิ่วๆเข้าไปก่อนแล้ว ภาคินเดินนำไปโซนของสด ผมเข็นรถเข็นมาข้างๆมันที่หยิงเบคอน ฮอทดอก ใส่ไปสองสามเเพ็ค
“กูซื้อของอยู่เนี่ย ตรงโซนของสด”ภาคินวางสาย
“ไม่ต้องซื้อเยอะหรอก อยู่อีกไม่กี่อาทิตย์ก็กลับแล้ว”ผมมองภาคินที่กำลังหยิบน่องไก่มา อีกอย่างก็ใกล้จะเปิดเทอมเข้าทุกทีแล้วด้วย
“เชื่อฉันสิ ซื้อไปเยอะ ยังไงๆก็กินหมดอยู่แล้ว”ในขณะที่ผมกำลังเดินเลือกขนมปัง ฝามือหนักๆก็กดลงที่ไหล่ทำเอาใจหายวาบ
“พี่เพชร!?”ผมผ่อนลมหายใจออกมาเมื่อเห็นพี่เขายิ้มกว้างใส่แว่นตากับหมวกปกปิดใบหน้าไว้
“เฮ้ย ไม่เจอกันนานอ้วนดำเชียวนะ”ผมมองขวางทันทีเมื่อได้ยินอีกฝ่ายพูด
ผลั๊วะ
มือหนักของภาคินตบเข้าที่หลังหัวของพี่เพชรดังป้าบจนแว่นกระเด็นตก
“ไอ้คิน!เดี๋ยวมึงโดน”พี่เพชรยกมือลูบบริเวณที่โดนตบมองภาคินสีหน้าขุ่นก่อนจะก้มเก็บแว่น
“ทำไม จะทำไรกู”มันมองเพื่อนด้วยสายตาขบขัน
“รีบไปจ่ายเงิน ไอ้ชลรออยู่”ภาคินลากรถเข็นนำไป พี่เพชรย่นหน้าสีหน้ายังดูเคืองๆอยู่
“ชลนี่ใคร”พี่เพชรถามผมด้วยสีหน้าใคร่รู้
“คนที่พามาน่ะ”แต่จู่ๆกลุ่มแฟนคลับวัยรุ่นกลุ่มใหญ่ก็โผล่มาจากที่ไหนไม่รู้ แถมยังรุมกรูเข้ามาหาพี่เพชรจนผมที่อยู่ข้างๆโดนเบียดไปด้วย
“พี่เพชรขอถ่ายรูปหน่อยค่ะ”
“เซลฟี่กับหนูหน่อย”
“น้องครับ พี่ไม่ว่าง ต้องไปทำธุระ”พี่เพชรพยายามดันกลุ่มแฟนคลับออกไป โธ่เว้ย เห็นไหมว่าผมโดนเบียดไปด้วยเลยเนี่ย ผมเห็นภาคินเข้ามาดันกลุ่มผู้หญิงเหล่านั้นออก แต่เมื่อเห็นว่าเป็นภาคินก็เหมือนยิ่งงานเข้า
“ถ้าไม่ถอย พี่โกรธแล้วนะ”พี่เพชรทำเสียงดุพยายามข่มอารมณ์เป็นอย่างมาก
“ถอยไป!!”เสียงตวาดดุดันดังขึ้นก่อนที่กลุ่มแฟนคลับพวกนั้นจะถูกผลักออกไปอีกทาง ตอนแรกผมก็คิดว่าเป็นรปภ แต่ก็เห็นว่าเป็นใครเมื่อเห็นเสื้อและรูปร่างอันคุ้นตาของชล แฟนคลับยอมถอยออกไปด้วยสีหน้าไม่พอใจ
“การ์ดพี่เพชรดุฉิบ”ได้ยินเสียงพึมพำแว่วมา ผมถอนหายใจ ภาคินเสยผมอย่างหงุดหงิดก่อนจะลากผมไปที่เคาน์เตอร์จ่ายเงิน
“พี่กุ้งจ้างให้มาเฝ้าผมเหรอ บอกแล้วไม่ใช่เหรอว่าจะมาคนเดียว พี่กุ้งนี่จริงๆเลย คราวหน้าคราวหลังอย่าไปผลักแฟนคลับแบบนั้นนะครับ มีคนเจ็บตัวขึ้นมาจะเป็นเรื่องเอา”ผมได้ยินเสียงพี่เพชรแว่วมา
“พูดอะไรไม่รู้เรื่อง รู้แบบนี้ปล่อยให้โดนรุมก็ดี”ชลตอบกลับท่าทางหงุดหงิด
“เฮ้ย คุณพูดแบบนี้ได้ไง คุณทำหน้าที่ตรงนี้ก็ต้องทำให้ดีที่สุด พี่กุ้งไปจ้างบอดี้การ์ดไม่ได้เรื่องแบบนี้มาจากไหน เดี๋ยวผมจะรายงานเจ้านายคุณ”พี่เพชรล้วงโทรศัพท์ออกมา ภาคินที่จ่ายเงินเสร็จแล้วพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงเหนื่อยหน่าย
“บอดี้การ์ดบ้าอะไร มึงสำคัญตัวผิดไปเปล่าวะเพชร นี่ไอ้ชลคนในหมู่บ้านที่มึงจะไปเว้ย มึงนี่...”ภาคินถอนหายใจมองเพื่อนด้วยสายตาเอือมระอา ผมยิ้มขำก่อนจะเดินตามภาคินออกไป ปล่อยให้พี่เพชรยืนประดักประเดิกอยู่กับชลที่ดูโมโหอยู่ด้านหลัง พี่เพชรนี่มึนๆเหมือนเดิมไม่พัฒนาเลยจริงๆ
ผมออกมารอชลกับพี่เพชรที่ลานจอดรถ เห็นชลเดินหน้าไม่สบอารมณ์ออกมา ตามด้วยพี่เพชรที่ดูหงุดหงิดไม่แพ้กัน
“ผมจะขับนำไปนะ ส่วนคุณก็ตามมา”ชลบอกพี่เพชรที่พยักหน้ารับนิดหน่อย
“มึงมานั่งกับกูดิ กูไม่อยากขับคนเดียว”พี่เพชรหันมาพูดกับภาคิน
“เรื่องมากจริง ผมไม่มีเวลามารอพวกคุณตัดสินใจหรอกนะ ไปนั่งด้วยกันทั้งหมดนั่นแหละ”พูดจบก็เข้าไปในรถปิดประตูดังปัง
“พี่ไปพูดอะไรให้ชลโมโหหรือเปล่า ผมไม่เคยเห็นมันพาลแบบนี้มาก่อนเลย”ผมมองพี่เพชรที่เท้าเอวสีหน้าบึ้งตึง ภาคินยกยิ้มเยาะเพื่อนตัวเองด้วยเหตุผลอะไรสักอย่าง
“พี่แค่ขอโทษมันที่เข้าใจผิด บอกว่ามันอยากสภาพเหมือนบอดี้การ์ดเอง”พี่เพชรทำหน้าไม่เข้าใจว่าทำไมชลมันถึงเคือง บางทีชลอาจจะรู้สึกเหมือนโดนดูถูกก็ได้
“จะยังไงก็เถอะ เดี๋ยวค่อยไปคุยล่ะกัน แล้วรถมึงอยู่ตรงไหน”ภาคินถามเพื่อนสีหน้าหงุดหงิดเช่นกัน
“เดี๋ยวมารับ”พี่เพชรเดินไปยังลานจอดรถอีกล็อค ผมแกะขนมปังในถุงมากินรอไปพลางๆ ก่อนเหลือบมองคนที่อยู่ในรถกระบะด้วยสายตาเกรงๆ ชลมันก็แอบน่ากลัวเหมือนกันนะเนี่ย