ฉาวครั้งสุดท้าย ||End
หลังจากที่พ็อกเก็ต บุ๊คของภาคินวางขายแล้ว กระแสวิพากษ์ วิจารณ์ก็กลับมาอีกครั้ง ถึงกับมีรายการทีวีมาขอทำสกู๊ปเลยทีเดียวแต่ภาคินก็ปฎิเสธไป เพราะไม่ต้องการสร้างกระแสให้ใหญ่โต ผมก็ได้อ่านแล้วเหมือนกัน ไม่คิดว่ามันจะใส่เรื่องของผมลงไปละเอียดขนาดนั้น แต่ก็ดีใจนิดหน่อยที่มันกล้าเปิดเผย ผมกำลังคิดอยู่ว่าจะชวนภาคินไปเที่ยวที่ไหนสักที่ เพราะในพ็อกเก็ต บุ๊คของมัน ภาคินเขียนไว้ว่า
'ผมอยากไปเที่ยวไกลๆจะได้ไม่ต้องรับรู้อะไร อยากใช้ชีวิตธรรมดาแบบคนทั่วไป แบกเป้เที่ยวอะไรแบบนี้ แต่ก็ได้แค่คิดเพราะผมยังไม่มีจังหวะเหมาะสักที'
ผมจำได้ว่ามันเคยชวนผมไปเที่ยว แสดงว่ามันมีที่ที่อยากไปแน่ๆ นี่ก็ใกล้วันหยุดแล้ว คงไม่มีเวลาไหนเหมาะเท่านี้แล้ว
“คินศุกร์นี้ว่างไหม”ผมถามพร้อมกับปิดหนังสือนิยายที่อ่านอยู่ คนถูกถามละสายตามาจากหน้าจอโน้ตบุ๊ค
“ว่างล่ะมั้ง ทำไมอ่ะ”มันบิดตัวไปมาพร้อมกับอ้าปากหาวหวอดๆ
“มีมั้งนี่แสดงว่าไม่แน่ใจใช่ไหม”
“ก็ติดงานออกบูธหนังสือน่ะ แต่ถ้าเร่งด่วนจริงๆฉันไม่ไปก็ได้ เพราะก็ไม่ได้มาร์คว่าฉันต้องไป”ภาคินทำสีหน้าจริงจัง
“ก็ใกล้จะถึงวันหยุดฉันอยากชวนนายไปเที่ยวไง”มันปิดโน้ตบุ๊คทันที ท่าทางสนใจ
“ก็ดีเหมือนกัน เรายังไม่ได้ไปเที่ยวด้วยกันสองคนแบบจริงๆจังๆสักที นายอยากไปที่ไหนล่ะ”
“แล้วนายล่ะ อยากไปที่ไหน”
“ฉันน่ะเหรอ...ฉันมีที่ๆอยากไปมานานแล้ว”
“ที่ไหนล่ะ”ผมถามเพราะความอยากรู้ ในหนังสือของมันก็ไม่ได้บอกเอาไว้ว่ามันอยากไปเที่ยวแบบไม่มีอะไรรบกวนคือที่ไหน
“ไม่บอก ไปถึงเดี๋ยวก็รู้เอง ฉันมั่นใจว่านายต้องชอบ”มันทำสีหน้าลึกลับ ทำมีลับลมคมในแบบนี้ ผมก็ยิ่งอยากรู้เข้าไปทุกที
“โอเค ฉันเชื่อนาย แต่ถ้าไม่เหมือนที่นายพูดล่ะก็...”ผมหรี่ตามองมัน
“ทำไมอ่ะ”มันทำสีหน้าสงสัยแบบเด็กๆ
“นายอดได้ของดีแน่”ผมก็พูดไปแบบนั้นแหละ ในเมื่อมันทำลับลมคมใน ผมก็จะทำบ้าง สำหรับผมไม่ว่าภาคินมันจะพาไปเที่ยวที่ไหนผมก็โอเคทั้งนั้นแหละ
“ของดี?...”ภาคินอมยิ้มเหมือนคิดทะลึ่งอะไรอยู่
“ไปถึงเดี๋ยวก็รู้เอง”ผมยักคิ้วให้มันก่อนจะกลับมาสนใจอ่านนิยายต่อ ปล่อยให้ภาคินจัดการเตรียมตัวของมันไป ผมเดาว่าที่ที่มันจะพาผมไปจะต้องเงียบสงบและบรรยากาศดีสไตล์ภาคินแน่นอน
ผมจัดกระเป๋าสำหรับการพักผ่อนสี่วัน ภาคินบอกว่าให้หาชุดสบายๆไป แต่ไม่ได้บอกอะไรมากกว่านั้น ทำไมมันขยันเซอร์ไพรส์ผมจัง แบบนี้ต่อมอยากรู้ของผมก็ทำงานวุ่นวายเลยน่ะสิ ผมหยิบของบางอย่างที่ตั้งใจจะให้กับมันออกมาดู ผมไม่รู้ว่ามันจะชอบไหม เพราะผมเป็นพวกรสนิยมห่วย แต่ก็ช่างเถอะถึงยังไงผมก็ตั้งใจซื้อมาให้มันนี่นา ด้วยน้ำพักน้ำแรงของผมเชียวนะ คิดได้ดังนั้นผมจึงเลิกคิดเล็กคิดน้อยก่อนจะเก็บใส่ที่ก้นกระเป๋าตามเดิม
RRRRRRRR
ผมแปลกใจเล็กน้อยที่เห็นว่าพ่อของภาคินโทรมา
“สวัสดีครับ”
[ได้ข่าวว่าจะไปเที่ยวกับไอ้คินเหรอ ไปที่ไหนกันล่ะ]คุณพ่อนี่ก็รู้ข่าวเร็วจริงๆหรือตัวลูกไปโม้ให้ฟังเอง
“ผมก็ไม่รู้เหมือนกัน มันบอกว่าไปถึงเดี๋ยวก็รู้เอง”พ่อหัวเราะทันที
“แล้วพ่อพอจะรู้ไหมครับว่าภาคินมันอยากไปที่ไหน”ผมลองถาม ภาคินมันสนิทกับพ่อมันจะตาย ผมว่าท่านน่าจะรู้อะไรบ้าง
[ไอ้รู้น่ะมันรู้ แต่พ่อบอกไม่ได้หรอก เดี๋ยวไม่เซอร์ไพรส์]
“โธ่...”ผมโอดครวญ
[แต่บอกไว้ก่อนเลยนะ ว่าภาคินน่ะ วาดฝันเอาไว้ตั้งแต่สมัยวัยรุ่นแล้วว่าจะไปที่นั่น]
“ทำไมอ่ะพ่อ คินมันมีความทรงจำดีๆกับสถานที่นั้นเหรอครับ”
[...ก็ไม่เชิงหรอก คือพ่อเคยพามันไปเมื่อตอนที่มันยังเด็กๆ ก่อนที่พ่อจำเป็นต้องเอามันไปฝากที่บ้านเลี้ยงเด็กกำพร้า...]ปลายสายเงียบไปพักใหญ่ จนผมกดหน้าจอดูว่าถูกตัดสายไปแล้วหรือยัง
[พ่อก็ค่อนข้างแปลกใจเหมือนกันที่มันอยากไปที่นั่นอีก แต่ถ้าให้พ่อเดา มันคงอยากสร้างความทรงจำดีๆเกี่ยวกับที่นั่นอีกล่ะมั้ง ]คุณพ่อเงียบไปเหมือนกำลังคิดอะไรอยู่ ผมคุยอีกสักพักก็วาง
ไม่ต้องห่วงหรอกครับ ผมจะสร้างความทรงจำดีๆให้ภาคินเอง
*****************************************
คนอย่างภาคินมักจะทำให้ผมแปลกใจได้เสมอเลย เมื่อผมถูกปลุกตั้งแต่ตีสี่เพื่อมารอภาคินซื้อตั๋วที่สถานีขนส่ง ผมยังมึนไม่หายขณะที่นั่งกอดกระเป๋าของตัวเองมองผู้คนที่เดินไปเดินมาในสถานี ผมไม่อยากจะขัดมันในเมื่อตัดสินใจว่าจะตามใจมัน ร่างสูงร่างสูงโดดเด่นที่ดึงดูดสายตาของผู้คนรอบตัวเดินมาหาผมพร้อมกับตั๋วรถในมือ ผมเห็นว่ามันไปซื้อตั๋วที่ตู้ จุดหมายปลายทางคือตราด ที่ท่องเที่ยวก็เยอะอยู่เหมือนกัน แต่สำหรับภาคินผมเดาว่ามันต้องไปทะเลแน่ๆ ตราดเองก็มีเกาะเกอะหลายที่ ว่าแต่มันจะพาผมไปไหน
“ไปเถอะ”ภาคินพยักเพยิดให้ผมขึ้นรถทัวร์ที่เพิ่งเข้ามาจอด
“นายกำลังทำฉันมึนนะรู้ไหม”ผมพูดในขณะที่เดินนำไปขึ้นรถทัวร์สองชั้น ตอนแรกผมก็คิดว่ามันจะขับรถไปเองเสียอีก แถมมันก็มีของพะรุงพะรัง ดันแบกกีต้ามาอีก
“ก็บอกแล้วไงว่าฉันอยากไปเที่ยวแบบสบายๆชิลๆแบบคนปกติทั่วไปบ้าง ฉันขอนั่งติดหน้าต่างได้ไหม”มันถามเมื่อเดินมาที่เบาะกลางๆ
“ฉันก็อยากนั่งติดหน้าต่างเหมือนกัน”ผมชอบมองทิวทัศน์ข้างทาง
“งั้นแยกกันนั่ง โอเคไหม”มันไม่ได้พูดประชด ผมไหวไหล่ แล้วแต่มันล่ะกัน ดีที่รถทัวร์สายนี้ไม่ได้ฟิกที่นั่งตามเลขที่ ภาคินนั่งที่เบาะด้านหลัง
ผมหยิบโทรศัพท์มาฟังเพลงในขณะที่รอรถออก มีนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติขึ้นมาเยอะเหมือนกัน ส่วนใหญ่รุ่นราวคราวเดียวกับผม หล่อๆสวยๆทั้งนั้น ผมแอบเหล่มองเมื่อมีสาวผมบลอนด์นั่งลงข้างๆภาคินพร้อมกับชวนคุยเมื่อเห็นว่าภาคินเป็นลูกครึ่ง
“คุณจะไปที่ไหนเหรอ?”ผมได้ทีเงียหูฟัง เผื่อภาคินมันจะตอบ
“เรากำลังจะไปที่ที่เงียบสงบ ชิลๆ ผ่อนคลายน่ะครับ”เป็นคำตอบที่กว้างจริงๆ
“ฟังดูลึกลับจัง ว่าแต่เรา? คุณมากับเพื่อนเหรอ เขาอยู่ไหนล่ะ”อีกฝ่ายทำเสียงฉงน
“นี่ไง”มันเตะเบาะรถผมหนึ่งที ผมหันไปมองมันด้วยแววตาขุ่นมัว
“อย่ามาก่อกวนกันได้ไหม”ผมตอบเสียงหงุดหงิด
“เขาก็เป็นแบบนี้แหละ ขี้หงุดหงิดเหมือนลุงแก่ๆที่มีปมด้อย”ดูมันใส่ร้ายผม แม่สาวผมบลอนด์หัวเราะเบาๆ
“หวังว่าคุณกับเพื่อนจะสนุกกับทริปนะ”
“เช่นกันครับ”หลังจากนั้นเสียงพูดคุยก็เงียบลง ผมมองทิวทัศน์ด้านนอกไปเรื่อยๆ หันไปมองด้านข้างเมื่อรู้สึกว่าเบาะข้างตัวยุบลง ภาคินนี่เอง
“ย้ายมาทำไม”ผมถามเสียงบึ้งตึงอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน นี่ผมหงุดหงิดเรื่องอะไรวะ ที่มันไปนั่งที่อื่น?หรือเพราะมันบอกว่าผมเหมือนลุงแก่ๆหรือที่มันคุยกระหนุงกระหนิงกับแม่ผมบลอนด์ด้านหลังนั่น แต่ล่ะอย่างดูไร้สาระทั้งนั้น
“ก็อยากนั่งด้วย นั่งตรงนั้นมันเหงา”
“เวอร์”สายตาจับจ้องที่นอกหน้าต่าง ภาคินหัวเราะเบาๆ ก่อนที่มันจะหยิบหนังสือเล่มหนึ่งออกมาให้ผม
“เราจะไปหนึ่งในนี้แหละ”ผมก้มมองนิตยสาร Big Map บนตัก ก่อนจะเปิดดูคร่าวๆก็ไม่ห่างจากที่ผมเดาไว้ มันต้องไปที่เกาะไหนสักที่แน่
“ง่วงนอน...ยืมไหล่หน่อย”ภาคินไม่รอฟังคำตอบ มันรีบเอนตัวมาพิงไหล่ผมทันทีพร้อมกับหลับตาลง ผมก้มมองคนที่พิงอยู่ก่อนจะขยับตัวเล็กน้อยเพราะไม่สบายตัว สรุปผมนั่งเมื่อยไปตลอดทางจนถึงสถานีขนส่งตราดเลย
“คิน ถึงแล้ว”ผมสะกิดมัน ภาคินสะดุ้งตื่นก่อนจะมองไปรอบๆ เมื่อเห็นว่าถึงแล้วมันก็บิดขี้เกียจก่อนจะลงจากรถ
“มาตรงนี้ เดี๋ยวหลง”ภาคินมันทำอย่างกับผมเป็นเด็กที่แม่อนุญาตให้มาเที่ยว มันกระตุกชายเสื้อพาผมไปยังรถสองแถวที่จอดอยู่ไม่ใกล้ไม่ไกล
“ฉันไม่หลงหรอกน่า”ผมกวาดสายตามองไปรอบๆเพื่อรอดูว่ามันะพาผมขึ้นคันไหน ภาคินก้มมองกระดาษในมือก่อนจะพาผมไปยังรถสองแถวของเกาะกูด เอ็กเพลส
“เราไปเกาะกูดกันเหรอ”ผมกระซิบถามภาคินที่นั่งลงข้างๆผม บนรถมีผู้หญิงวัยรุ่นสองคนนั่งอยู่ที่ฝั่งตรงข้าม
“เซอร์ไพรส์ไหม”มันหัวเราะ
“นายเคยมาเหรอ”ผมถามในขณะที่รถเริ่มเคลื่อนที่ สองสาวฝั่งตรงข้ามจ้องมองมาที่ผมกับภาคินก่อนจะซุบซิบเมื่อมันเอนตัวมาคุยใกล้ๆใบหูของผม ทำเอาจั้กจี้แปลกๆ
“เคยเมื่อนานมาแล้วน่ะ แต่ไม่ใช่ความทรงจำดีๆอะไรหรอก”ภาคินทอดสายตามองไปด้านนอกรถ
“เอ่อ...ขอโทษนะคะ ขอถ่ายรูปได้รึเปล่า”หนึ่งในนั้นพูดขึ้นมาอย่างกล้าๆกลัวๆ ผมมองภาคิน
“ถ่ายไปทำไมครับ”ผมตกใจที่ได้ยินมันถามแบบนั้นทั้งๆที่ตัวเองเป็นนักร้องแท้ๆ สองสาวหัวเราะท่าทางเอียงอาย
“คือ เห็นว่าพี่สองคนท่าทางน่ารักดีอ่ะค่ะ”ท่าทางน่ารักอย่างนั้นเหรอ ภาคินยิ้มก่อนจะพยักหน้าเชิงว่าอนุญาตให้ถ่าย มันดึงหมวกออกก่อนจะยกมือลูบผมให้เข้าทรง ดูเหมือนสองสาวจะไม่รู้จักภาคิน ซึ่งเป็นเหตุที่ทำให้ภาคินดูผ่อนคลายมากกว่าปกติ
“ขอถามอีกเรื่องนึงนะคะ ไปพักรีสอร์ทไหนคะ”
“ถามแบบนี้จะตามไปแอบถ่ายผมเหรอ”คำพูดของภาคินทำให้สองสาวหัวเราะ
“แค่อยากรู้เฉยๆน่ะค่ะ เพื่อจะพักที่เดียวกัน”ตั้งแต่เดินทางมา ภาคินยังไม่ได้บอกรายละเอียดอะไรสักอย่างให้ผมฟังเลย ผมเปิดนิตยสารเล่มนั้นอีกครั้ง มีหลายรีสอร์ทให้เลือกเข้าพักมากมาย ซึ่งราคาก็ไต่ระดับตามความหรูหรา
“ผมพักที่อะเวย์รีสอร์ทครับ”
“อุ้ย ที่เดียวกันเลยค่ะ”
“ผมเลือกที่นี่เพราะเห็นขึ้นชื่อเรื่องความเป็นส่วนตัวแล้วก็บรรยากาศดีน่ะครับ”ไม่รู้คิดไปเองหรือเปล่าว่ามันเน้นคำว่าเป็นส่วนตัวมากเป็นพิเศษ ผมก็เห็นด้วยที่มันทำแบบนี้ถึงจะดูใจร้ายแต่ผมก็ไม่สะดวกใจเหมือนกันถ้าหากมีคนคอยมองด้วยสายตาเยิ้มๆมาคอยถ่ายรูป ผมเปิดไปหน้ารีสอร์ทนั้น ราคาต่อคืนและแบบเเพ็คแก็ตค่อนข้างสูงทีเดียว แต่เงินภาคินมันนี่นะ แค่นี้ไม่สะเทือนขนหน้าแข่งมันหรอก
กว่าจะถึงท่าขึ้นเรือข้ามไปยังเกาะกูดผมก็เมื่อยขบไปทั้งตัวแล้ว
“นายเมาเรือหรือเปล่า”ภาคินถามเมื่อขึ้นมาบนเรือแล้ว
“ไม่หรอกมั้ง”ก็ผมไม่เคยขึ้นเรือมาก่อนจะไปรู้ได้ไง ผมกับภาคินขึ้นไปรับลมบนดาดฟ้าเรือ ส่วนใหญ่จะมึแต่นักท่องเที่ยวชาวต่างชาติ โล่งอกไปหน่อย โชคดีที่สองสาวนั่นไม่ได้ขึ้นเรือลำนี้ด้วย ไม่อย่างนั้นคงเอาแต่จ้องมองผมกับภาคินแน่ๆ
“ถ่ายรูปหน่อย หันหน้ามา”ภาคินยกกล้องที่เอามาด้วย ผมไม่ค่อยอยากให้มันถ่ายเท่าไหร่เพราะสภาพหน้ามันๆของผมตอนนี้ไม่เหมาะกับการถ่ายรูปจริงๆ
“ไม่เอา รอไปถึงรีสอร์ทก่อนดิ”ผมหันหน้าหนีไปอีกทาง ภาคินก็ฟังผมเสียที่ไหนมันก็ยังถ่ายรูปผมไปเรื่อยๆ พอเบื่อมันก็เลิกถ่ายก่อนจะชวนผมคุยแทน
“เมื่อก่อนฉันมาที่นี่กับพ่อแม่ ตอนแรกฉันก็ดีใจนะ ที่พวกท่านพาฉันมาที่เกาะสวยๆบรรยากาศดีแบบนี้ แต่ที่ไหนได้ พวกเขาแค่พาฉันมาเที่ยวส่งท้ายก่อนที่จะส่งฉันเข้าสถานเลี้ยงเด็กกำพร้า”ผมหันไปมองหน้าภาคิน สีหน้าของมันหมองลงเล็กน้อยเมื่อนึกถึงเรื่องเก่า ผมวางมือลงบนหลังมือของอีกฝ่ายที่เกาะราวกั้นเรือเบาๆ
“เอาน่า มันผ่านมาแล้ว ฉันจะสร้างความทรงจำดีๆกับนายเอง”มันหันมามองผมพร้อมรอยยิ้ม
“ตอนนั้นพวกเขาคุยกันเรื่องฉันว่าจะทำยังไงกับฉันดีเพราะตอนนั้นพวกเขาทะเลาะกันและมันเลวร้ายถึงขั้นจะแยกทางกัน ฉันก็เลยคิดมาเสมอว่าถ้ารักใครสักคน ฉันอยากจะพาคนนั้นๆมาที่เกาะนี้”มันมองหน้าผมตรงๆจนผมต้องเบนสายตาไปยังทิศอื่นเพราะเริ่มจะเขินกับสายตาและคำพูดของมัน
เมื่อถึงเกาะก็มีรถจากรีสอร์ทมารับ โชคดีไปอีกที่ไม่ได้นั่งคันเดียวกับสองสาวคู่นั้น บรรยากาศรอบๆตัวรีสอร์ทเงียบสงบจริงๆ ภาคินมองไปรอบๆด้วยสายตาพอใจก่อนจะเข้าไปเช็คอิน ผมนั่งรอพร้อมกับจิบน้ำส้มปั่นที่เป็นบริการ welcome drinkของรีสอร์ท
“ชอบไหม”มันกลับมาพร้อมกับรอยยิ้มกว้าง
“อือ ขอบใจที่พามานะ”ปกติผมคงไม่ได้มาเที่ยวแบบนี้หรอก
“บอกแล้วไง ว่านายต้องชอบ อย่าลืมให้ของดีที่นายพูดถึงด้วยนะ”
“ไม่ลืมแน่นอน แต่ฉันกลัวนายจะไม่ชอบน่ะสิ”ผมกลับมากังวลอีกครั้ง
“นายให้อะไรมาฉันก็ชอบทั้งนั้นแหละน่า”ภาคินวางมือลงบนศีรษะของผมก่อนจะจับโยกไปมา
“อย่าน่า คนมอง”ผมปัดมือมันออก ภาคินไหวไหล่เหมือนไม่แคร์
“กลัวอะไร ไม่มีใครรู้จักเราเสียหน่อย”
ภาคินแวะกินอาหารกลางวันที่ร้านอาหาร มันคอยบริการนู่นนี่นั่นให้ จนผมแทบจะเป็นง่อยอยู่แล้ว มันก็บอกไม่ถูก ก็เป็นปลื้มที่มันดูแลเอาใจใส่ผมดี แต่ก็แอบหงุดหงิดที่มันเอาใจผมขนาดนี้
“ไม่ป้อนน้ำให้ด้วยเลยล่ะ”ผมพูดขำๆเมื่อมันส่งทิชชูให้ ภาคินวางช้อนลงก่อนจะยกแก้วน้ำมาตรงหน้าผม เฮ้ย นี่มันจะทำจริงๆน่ะเหรอ
“เวอร์ ฉันล้อเล่น”ผมดันแก้วน้ำตรงหน้าออก ภาคินหัวเราะก่อนจะวางแก้วน้ำลงตามเดิม
“ไม่แน่จริงนี่นา...”มันหลิ่วตามอง
“ฉันไม่หน้าหนาเหมือนนายสักหน่อย”หมั่นไส้ก็เลยว่าซะ แต่มันกลับหัวเราะชอบใจ
“ฉันชอบทำอะไรเปิดเผยน่ะ”ผมที่กำลังตักข้าวเข้าปาก สำลักทันทีเพราะดันไปนึกถึงเหตุการณ์คืนนั้นที่บ้านพ่อพอดี
“กินช้าๆดิ”มันตอบหน้าซื่อไม่รู้เรื่องรู้ราวส่งทิชชูให้ผมอีกรอบ
ภาคินเปิดห้องแถวด้านหน้าติดวิวทะเล ที่ระเบียงมีเก้าอี้เบาะนิ่มๆสำหรับชมวิว บรรยากาศที่นี่รมรื่นใกล้ชิดธรรมชาติสมคำโฆษณาจริงๆ ตลอดแนวจะมีบังกะโลอีกหลายหลัง ผมเห็นมีแปลญวนผูกกับต้นมะพร้าวต้นสูงด้วย แต่ก็ต้องระวังลูกมะพร้าวหล่นใส่หัวแบะ ตลอดแนวชายหาดจะมีกระท่อมที่มีเบาะนุ่มๆเต็มไปหมด
ผมอยากออกไปสำรวจรอบๆแล้วสิ ด้านในห้องกว้างขวางมีเตียงคิงไซต์สองเตียงเพราะห้องเตียงเดียวเต็มหมดแล้ว ผมวางกระเป๋าได้ก็เดินสำรวจห้องทุกซอกทุกมุมทันที โอ้โห พูดตรงๆถ้าไม่ได้ภาคินผมคงไม่มีโอกาสมาแน่ๆ หลังจากสำรวจห้องน้ำเสร็จออกมาก็เจอภาคินนอนแอ้งแม้งอยู่บนเตียง
“ออกไปเดินเล่นด้านนอกกันเถอะ”ผมนั่งลงข้างมัน ภาคินพลิกตัวมากอดเอวเอาหน้าซุกหลังผมเหมือนเด็ก
“ไม่ล้าเหรอ พักก่อนก็ได้ พรุ่งนี้ค่อยออกไปดู”ไม่พูดเปล่ามันยังดันให้ผมนอนลงกับมันด้วย ผมพลิกตัวไปหาภาคินกอดเอวมันหลวมๆ
“ไม่เห็นจะล้าเลย”
“เมื่อตอนบนเรือยังบ่นว่าเมื่อยอยู่เลย”ภาคินขมวดคิ้ว ย่นหน้า
“ก็ตอนนี้หายแล้วไง เห็นว่าตรงศาลาริมหาดมีนวดสปาด้วย น่าสนนะ”ภาคินเปลี่ยนมาเลิกคิ้วแทน มือลูบหลังผมเบาๆ
“เดี๋ยวฉันนวดให้เอง”ผมหน้าร้อนกับคำพูดของอีกฝ่ายยิ่งมันมานอนจ้องหน้าผมแบบนี้ผมก็ทำตัวไม่ถูก ผมกำลังจะพลิกตัวหนีแต่มันเอาขามาพาดตัวผมไว้ มือกอดผมแน่นจนหน้าผมซุกอยู่กับซอกคอของมัน
“อย่าเพิ่งน่า”ผมพูดเสียงอู้อี้ มือซุกซนของมันลูบผิวเนื้อใต้สาบเสื้อของผมแล้ว ภาคินนี่มันหื่นคงเส้นคงวาจริงๆ ผมขยับตัวเล็กน้อย เมื่อมือมันเลื่อนมาลูบวนเวียนอยู่แถวๆสะโพกของผม
“ไม่ปล่อยใช่ไหม”ผมพึมพำก่อนจะกัดตรงซอกคอของมันแรงๆ หยิกพุงมันด้วย มันขยับตัวหนีแต่ยังกอดผมแน่นเหมือนเดิม
“อย่าดิ้น”มันกระซิบเบาๆ ผมนอนแน่นิ่งเมื่อรู้สึกว่าอีกฝ่ายเริ่มจะมีปฎิกิริยาโต้ตอบกลับมา ลมหายใจอุ่นของมันถี่รัว
“นายนี่มันจริงๆเลย”ผมพึมพำเบาๆ
“โทษที นิสัยไม่ดีเลยเนอะ”มันพึมพำกลับแตะริมฝีปากลงที่กกหูเบาๆ ผมผ่อนลมหายใจก่อนจะปล่อยให้มันทำรุ่มร่ามกับผมตามใจชอบ ผมขบเม้มผิวเนื้อตรงซอกคอของมันเบาๆ มันดันผมออก ประคองใบหน้าของผมให้รับจูบจากมัน ภาคินพลิกตัวมาทาบทับผมแทนทำผมใจหวิวขึ้นมา
“ภาคิน...”ผมกระซิบเรียกมันเบาๆ
“ว่าไง”มันพึมพำตอบ สบตาผม แววตาสีเข้มเหมือนจะขุ่นคลั่งไปด้วยอารมณ์พลุ่งพล่าน
“คือฉัน...”มันเลิกคิ้วมอง แต่มือยังไม่หยุดวุ่นวายกับตัวผม
“เป็นอะไร อยากให้หยุด ฉันหยุดก็ได้นะ”มันมีสีหน้าเป็นกังวล ผมส่ายหน้าไปมา ใจเต้นตึกตักอยู่ในอก
“เปล่า”ผมกลืนน้ำลายก่อนจะดึงรั้งลำคออีกฝ่ายลงมาใกล้ก่อนจะประกบจูบ สอดลิ้นเข้าไปค้นหา ภาคินเบียดตัวกอดผมแน่นมากขึ้น ผมเลื่อนไปขบเม้มติ่งหูของอีกฝ่าย ก่อนจะกระซิบคำว่ารักให้มันได้ยินเบาๆ มันมองหน้าผมด้วยความตกใจเหมือนไม่คาดคิดว่าผมจะพูดออกมา
“เพราะตอนนี้ฉันรู้สึกแบบนั้นจริงๆ”ผมยิ้มจางส่งให้อีกฝ่าย ภาคินซุกหน้าลงกับซอกคอของผม
“ฉันก็รักนาย”
สรุปแล้วผมกับภาคินก็ขลุกอยู่ในบังกะโลตลอดบ่าย เพราะมันใช้ข้ออ้างที่ว่าใช้การกระทำแสดงความรัก ภาคินนี่มันภาคินจริงๆเลย
ช่วงตอนเย็นผมกับภาคินออกไปเดินเล่นริมหาดทรายสีขาว ภาคินสวมชุดสบายๆแต่ดูดีได้อย่างไม่น่าเชื่อ ผมแอบอิจฉาหน่อยๆเพราะถ้าเป็นผมใส่เสื้อผ้าโทนสีหม่นๆล่ะก็ผมคงดูโทรมเหมือนคนไม่อาบน้ำแน่ๆ
“พรุ่งนี้พายเรือคายัคไปอ่าวคลองเจ้ากัน”ภาคินชี้ให้ดูแนวแถวชายหาดที่มีต้นสนทะเลเรียงรายอยู่อีกฟาก
“นายพายนะ ฉันพายไม่เป็น”
“แน่นอน ฉันพานายมาทั้งทีก็ต้องเทคแคร์อยู่แล้ว”ผมเบ้หน้าใส่
“นายทำอย่างกับฉันแขนขาด้วน”
“ไม่ชอบเหรอ”
“ก็ชอบ แต่เยอะไปมันก็...น่าหงุดหงิด”จนบางทีมันก็แทบไม่เว้นช่องว่างให้ผมได้ดูแลเอาใจใส่มันบ้างเลย
“ฉันเป็นแฟนนายก็จริงแต่ไม่ใช่ว่านายจะต้องมาเทคแคร์ฉันฝ่ายเดียวนี่นา ให้โอกาสฉันโชว์แมนบ้างสิ”ผมพูดขำๆ
“นายจะทำอะไรให้ฉันล่ะ”
“เดี๋ยวก็รู้”
“ใช่ของดีที่ว่าหรือเปล่า”
“ก็ทำนองนั้นแหละ”ผมมองน้ำทะเลสีฟ้าใสด้วยอารมณ์เบิกบาน อากาศเริ่มเย็นและความมืดเริ่มกระจายเข้ามา ผมเดินไปเรื่อยๆตลอดแนวมีกระต๊อบริมทะเลเยอะมาก ชิงช้าด้วย ผมล้วงกระเป๋ากางเกงขาสั้นที่ใส่มา ของบางอย่างที่ผมหยิบมาให้สัมผัสเย็นๆอยู่ก้นกระเป๋า บรรยากาศกำลังดีเลยด้วย ผมสะกิดให้ภาคินเดินไปที่ชิงช้าที่ห้อยอยู่ใต้กิ่งไม้ที่ยื่นออกมาสู่น้ำทะเลตื้นๆ
“รู้ไหม ในชีวิตจืดชืดของฉันเนี่ย ฉันไม่เคยคิดเลยนะว่าอยากทำอะไรเพื่อใคร”ผมนั่งลงที่ชิงช้า ภาคินจับเชือกเส้นใหญ่เขย่าๆเหมือนจะชั่งน้ำหนักว่าแข็งแรงไหม ก่อนที่มันจะหย่อนตัวนั่งข้างๆผม
“จะบอกว่าตอนนี้นายอยากทำขึ้นมาเหรอ เพราะใครกันนะ”ภาคินทำเสียงหยอก
“ฉันไม่ใช่คนโรแมนติก นายคงรู้ใช่ไหม แล้วฉันก็ไม่ใช่พวกเข้าใจเรื่องรสนิยมอะไรด้วย เพราะฉะนั้น....”ผมเม้มปาก ในมือกำแหวนเงินเรียบๆที่ผมหมดปัญญาคาดเดาความชอบของภาคิน
“อะไร”มันหัวเราะเมื่อผมไม่พูดอะไรสักที ความมืดที่เริ่มแผ่กระจายทำให้ผมกล้าแตะปากลงบนหน้าผากของภาคิน ก่อนจะแบมือเผยแหวนเรียบๆให้ภาคินเห็น แต่มันยังดูมึนงงอยู่เล็กน้อย
“มันอาจจะไม่ใช่ของดีอะไร...ราคาก็ไม่แพงมาก แต่ฉันทำงานเพื่อซื้อมันมาให้นายเลยนะ ฉันไม่เคยทำแบบนี้กับใครเลยสักคน ...ชอบไหม?”ผมเริ่มหมดความมั่นใจเมื่อภาคินยังไม่พูดอะไรออกมา ผมหยิบแหวนให้มันดู
“เห็นไหมตรงนี้มีเพชรเม็ดเล็กๆฝังอยู่ด้วย”ผมชี้ให้มันมองเห็น
“ขอบใจนะเมฆ ที่ยอมทำเพื่อฉัน อาจจะฟังดูโอเวอร์ แต่ที่นายทุ่มเททำเพื่อฉันให้ได้แหวนวงนี้มา มันทำให้ฉันรู้สึกว่ามีความสำคัญ”
“ฉันขอใส่แหวนให้นายนะ”ผมเกาต้นคออย่างเก้อเขิน บ้าจริงทำไมมันต้องมองผมด้วยสายตาแบบนี้ด้วยวะ ผมเลื่อนแหวนใส่ที่นิ้วนางข้างขวาของอีกฝ่าย มองแหวนที่นิ้วมือของภาคินด้วยสายตาพอใจ
มื้อนั้นจบลงที่ห้องอาหารของรีสอร์ท บรรยากาศโรแมนติกอีกแล้ว ผมมองเทียนในแก้วบนโต๊ะของตัวเองอย่างเหม่อลอยระหว่างที่รออาหารมาเสิร์ฟ ผมว่าผมทำหน้าที่แฟนบกพร่องไป อาหารมาเสิร์ฟจนครบ ผมมองภาคินที่กำลังดื่มน้ำ ก่อนจะตักแกงเขียวหวานทะเลใส่จานอีกคน เอาใจมันบ้างเดี๋ยวมันงอแง ภาคินกระพริบตามองผมงงๆ
“งั้นตักกุ้งให้ด้วยสิ”มันพยักเพยิดไปที่ผัดบลอคโคลี่ ผมตักกุ้งยื่นให้มัน ภาคินอ้าปากรอ ผมจึงต้องป้อนกุ้งเข้าปากมัน ภาคินมันร้ายกาจมาก มันจงใจแกล้งผมชัดๆเพราะโต๊ะข้างๆคือสองสามีภรรยาชาวต่างชาติที่หันมามองด้วยสายตาสนใจ
“อ้าปาก”ภาคินพูดเมื่อตักยำหอยเชลล์ให้ผมด้วยสีหน้าขำๆ ผมยิ้มให้โต๊ะข้างๆเมื่อมันป้อนผมเรียบร้อยแล้ว ไม่รู้ได้รับอิทธิพลมาจากภาคินหรือไงเธอถึงอ้อนให้สามีป้อนข้าวให้บ้าง
“พยายามเอาใจฉันเหรอไง”
“เถอะน่า...”ผมถลึงตาใส่มันให้เลิกล้อเลียนผมซะ
“ให้ตาย เจอสองคนนั้นอีกแล้ว”ภาคินพึมพำ มองไปยังโต๊ะด้านในสุดที่มีสองสาวเจ้าเดิมนั่งอยู่ที่สำคัญมองมาทางผมกับภาคินด้วย
“นายว่าสองคนนั้นเห็นช็อตเมื่อกี้ไหม”ดูจากสีหน้าทั้งคู่แล้ว ก็คิดเป็นอย่างอื่นไม่ได้เลย
“จะเหลือเหรอ”มันดูขบขัน ผมก้มมองโทรศัพท์ที่หน้าต่างไลน์เด้งขึ้นมา ไอ้บอร์ทส่งลิ้งอะไรสักอย่างมาให้ เมื่อเปิดไปดูก็พบว่าเป็นเพจCute couples ที่มีรูปผมกับภาคินที่สองสาวเป็นคนถ่ายพร้อมบรรยายว่าไปเจอมาโดยบังเอิญ บลาๆ ดูๆไปแลเวสองสาวจะไม่รู้ว่าภาคินเคยเป็นนักร้อง คอมเม้นส่วนมากก็เข้ามาฮาเสียมากกว่า
“ต้องยอมรับจริงๆว่าฉันเลยจุดนั้นมาแล้ว”มันพูดขำๆเมื่อผมส่งโทรศัพท์ให้มันดู
“ขออย่างเดียว อย่ามาทำตัวเป็นสายลับคอยแชะภาพก็แล้วกัน ฉันวีนใส่แน่ๆ”ภาคินพึมพำ มื้อนั้นผ่านไปอย่างสงบเงียบไร้การรบกวนใดๆ จนผมแอบคิดว่านี่มันเหมือนการมาฮันนีมูนหลังแต่งงานจริงๆ