Special 2::
หลังจากที่ผมเรียนจบ ผมก็ได้เข้าทำงานกับบริษัทเดิมที่ผมเข้าฝึกงานเมื่อตอนปีสี่ หลังที่ผมรับฝึกงานเสร็จ แม่ก็แนะนำให้ผมรู้จักกับคุณลุงกิตติกร เพื่อนเก่าของพ่อที่เคยร่วมงานด้วย พ่อของผมเคยเป็นที่ปรึกษากฎหมายให้กับบริษัทของคุณลุง และยังเคยมีหุ้นอยู่ในบริษัทแต่ได้โอนขายให้ลุงไปเพราะช่วงนั้นฐานะทางบ้านผมไม่ค่อยดี คุณลุงเห็นว่าผมเรียนจบด้านบริหารรัฐกิจพอดีก็เลยสนใจดึงตัวผมไปทำงานด้วย โดยการเสนอให้ผมซื้อหุ้นเท่าจำนวนเท่าที่พ่อผมเคยมีหรือน้อยกว่านั้น
ผมเองก็เห็นว่าเป็นโอกาสที่ดี ที่จะได้ประสบการณ์ในการทำงานถึงแม้ว่าจะเป็นบริษัทเล็กๆก็ตาม ผมเลยใช้เงินเก็บของตัวเองและยืมเงินแม่ส่วนหนึ่งมาซื้อหุ้นไป 20%
วันนั้นผมยังได้รู้จักพี่กุมภ์ ลูกชายของคุณลุงที่เป็นรองประธานบริษัท พี่เขาให้ผมไปศึกษาระบบงานก่อนเพราะผมเป็นหนึ่งในคณะกรรมการบริษัทแบบก้าวกระโดดเพราะมีหุ้น บวกกับมีเส้นสาย และพี่กุมภ์อยากได้เด็กรุ่นใหม่ไฟแรงมาร่วมงาน พร้อมกับประโยคที่ว่า 'ประสบการณ์สร้างได้จากการเรียนรู้'
ถึงจะไม่ใช่ตำแหน่งใหญ่อะไรมากแต่ก็สร้างความกดดันให้ผมมากอยู่ดี แม้ว่างานที่ทำจะไปได้สวยก็ตาม อีกทั้งตัวผมเองก็อยากพิสูจน์ให้คุณลุงและรุ่นพี่ในฝ่ายเห็นว่าผมเองก็สามารถทำงานในตำแหน่งนี้ได้ คำติ คำนินทาทำให้ผมมีแรงฮึดมากขึ้น และที่สำคัญคือผมอยากยืนด้วยขาของตัวเอง เงินที่ผมยืมแม่มา ผมก็ทยอยใช้คืนไปได้เกือบครึ่งแล้วด้วย
“เมฆ แม่บอกแล้วไงว่าไม่ต้องใช้คืนแม่ ทำไมถึงดื้อแบบนี้”แม่ถอนหายใจเมื่อผมบอกว่าโอนเงินให้แม่แล้ว
“รับไว้เถอะครับ ผมแค่ยืมเงินแม่ไปตั้งตัวเฉยๆเอง”ผมยังยืนยันคำเดิมที่พูดไว้ แม่ส่ายหน้าไปมาก่อนจะหันไปหาภาคินที่เพิ่งตามเข้ามา
“เมฆมันดื้อแบบนี้กับคินหรือเปล่า”ผมหันไปมองภาคินบ้าง มันได้ทีเข้าไปนั่งข้างๆแม่ผมพร้อมตีหน้าให้ดูน่าสงสาร
“มากกว่านี้อีกครับแม่ ดื้อจนผมแทบคุมไม่อยู่แหน่ะ”
“แม่อนุญาติให้คินลงโทษได้ ถ้าเมฆมันดื้อมากๆ”แม่พูดด้วยท่าทางทีเล่นทีจริง ภาคินหัวเราะก่อนจะหันมาทางผม
“ได้ยินไหม แม่อนุญาติแล้วนะ”ผมกอดอกมองแม่กับภาคิน
“ทีแบบนี้เข้ากันดีเชียวนะ”ผมเหลือบมองภาคินที่ยักคิ้วมาให้ผม วันนี้ผมเลิกงานเร็วก็เลยมีโอกาสเหมาะมาทานข้าวเย็นกับแม่ เพราะผมย้ายไปอยู่คอนโดที่เพิ่งซื้อใหม่ สะดวกในการเดินทางไปทำงานมากกว่าอยู่ที่บ้าน ภาคินมันก็เสนอให้ผมไปอยู่คอนโดของมันด้วยกันแต่ผมอยากมีบ้านเป็นของตัวเองก็เลยปฏิเสธคำชวนของมันไป ภาคินกลับเข้าวงการด้วยการทำโครงการปั้นนักร้องแบบที่มันตั้งใจ แถมยังได้เป็นพิธีกรคู่กับพี่โหน่งด้วย ก็ถือว่าเป็นการเริ่มต้นใหม่ที่ดีสำหรับมัน
หลังจากทานมื้อเย็นเสร็จผมก็ขึ้นมาเก็บของบางส่วนในห้องเพื่อย้ายไปที่คอนโด ภาคินเดินตามมาพร้อมกับบิดแขนไล่ความขี้เกียจออกจากตัว
“แม่นายเที่ยวเก่งเหมือนกันนะ”มันพูดขึ้น ผมหัวเราะ ที่ภาคินพูดแบบนี้เพราะเสาร์อาทิตย์นี้แม่ผมตั้งใจจะกลับไปเยี่ยมเพื่อนขาเม้าท์ที่บ้านป่าดง
“เหมือนนายนั่นแหละ”ผมได้โอกาสแทรกขึ้นมา เมื่อวานมีข่าวซุบซิบว่ามันแอบกิ๊กกับเด็กในอคาเดมี่ที่มันปั้น
“ฉันทำงานไม่ได้หนีเที่ยวซะหน่อย”ภาคินหัวเราะพลางนั่งลงบนเตียงของผม
“แต่ก็มีเวลาว่างไปกินข้าวกับเด็กปั้น ทีฉันต้องเดทกับนายในรถ”ผมแกล้งทำเสียงมึนตึง ผมไม่ได้ติดใจอะไรหรอก เพราะข่าวเม้าท์พวกนี้ทำให้ผมชินชาและมีภูมิต้านทานไปแล้ว ภาคินเลิกคิ้วมองผม รอยยิ้มรู้ทันปรากฏอยู่บนใบหน้า
“นายหลอกฉันไม่ได้หรอก เมฆ”ผมไหวไหล่ ยักคิ้วให้มันก่อนจะหันมาเก็บเสื้ออีกสี่ห้าตัวที่แขวนอยู่ในตู้ใส่กระเป๋า ภาคินทิ้งตัวนอนแผ่บนเตียง ผมเหลือบมอง ถึงแม้ว่ามันจะอายุสามสิบในปลายปีนี้แล้ว แต่มันก็ยังหน้าเด็กเหมือนเมื่อตอนที่ผมเจอมันเมื่อหลายปีก่อน คงเพราะทรงผมใหม่กระชากวัยด้วยล่ะ ภาคินมันมือโปรเรื่องเสื้อผ้า หน้าผมอยู่แล้วนี่นะ ผมกลับมาเก็บของต่อ
ค้นไปค้นมาผมก็เจอนิตยสารเมื่อสามปีที่แล้ว พาดหัวข่าวที่กล่าวถึงพี่เพชรพระเอกฮอตในช่วงปีนั้นทำผมหลุดยิ้มออกมา พี่เขาเองก็เจอมรสุมลูกใหญ่มากกว่าภาคินเยอะเลย พี่เพชรเก่งจริงๆที่ผ่านมาได้ แต่คงเพราะได้กำลังใจดีล่ะมั้ง แต่ได้ข่าวมาว่าช่วงนี้พี่เพชรรับงานน้อยลง เลือกบทมากขึ้น รับเล่นหนังแค่ปีล่ะเรื่องเท่านั้น ไม่ใช่ว่าอีโก้สูงเหมือนแต่ก่อน แต่พี่เขาอยากมีเวลาพักผ่อนส่วนตัวให้มากกว่าเดิม ถัดมาจากหัวข้อนั้นเป็นข่าวเก่าของภาคินกับผม เรื่องยอดขายของรถฟีโน่ที่ได้รับความนิยมอย่างต่อเนื่องทั้งๆที่ไม่น่าเป็นไปได้
“ดูอะไรอยู่”ภาคินเลื่อนตัวมามอง เท้าคางกับที่นอน
“ข่าวเก่าน่ะ”ผมชูหน้าปกนิตยสารให้มันดู ภาคินรับไปเปิดพลิกๆดู
“รู้ไหมว่าฉันเป็นโรคจิตชนิดหนึ่ง”จู่ๆคนที่นอนอยู่บนเตียงก็พูดขึ้นมา
“รู้ตั้งแต่นายชอบให้ฉันใช้เนคไทปิดตา”ผมหยิบยกเรื่องบนเตียงมาพูดด้วยน้ำเสียงขบขัน ภาคินหัวเราะก่อนจะปิดนิตยสาร
“ไม่ใช่เรื่องนั้น ที่ฉันพูดถึงคือฉันชอบเก็บข่าวเก่าๆของตัวเองไว้ดู”มันยกยิ้มเมื่อนึกถึง
“เอาไว้เป็นที่ระลึกถึงความแสบของนายเหรอ”ผมแอบแขวะ
“นั่นก็ส่วนหนึ่ง เพราะเวลากลับมาอ่านข่าวเก่าๆ มันก็ทำให้ฉันคิดอะไรได้เยอะแยะเลย”มันเปลี่ยนมานั่งกอดเข่า สายตาจ้องมองมาที่ผม
“อย่าพูดแบบนี้ดิ มันทำให้นายดูแก่มากกก”ผมลากเสียง มันย่นหน้าทันที
“แก่แต่ก็แรงดีเหมือนเดิมก็แล้วกัน พิสูจน์ไหมล่ะ”มันทำสายตาพราวระยับแบบเสือร้ายก่อนจะเข้ามาโถมกอดผมเต็มแรงจนผมหงายหลัง
“เฮ้ย ปล่อย มาเก็บของนะเว้ย”ผมดันให้อีกฝ่ายเลิกเกาะแกะผม
“ส่งท้ายความทรงจำที่นี่ไง”สีหน้าเหมือนคนกลั้นหัวเราะเมื่อมันกอดรัดผมแน่น มันนี่ขยันแกล้งกันจริงๆ ภาคินหอมแก้มผมไปสองสามฟอดก่อนจะปล่อยตัวผม
“นายไม่โกรธใช่ไหม ที่ฉันซื้อคอนโดเองแล้วไม่ยอมย้ายไปอยู่กับนาย”ผมถามขณะที่รูดซิปกระเป๋าเสียงดัง
“ไม่โกรธหรอก ฉันเข้าใจว่านายกำลังไฟแรง อยากยืนด้วยขาของตัวเอง ฉันเองก็เคยผ่านจุดนี้มาแล้ว ฉันไม่ห้ามนายหรอก”ภาคินยิ้มจาง ผมเอื้อมไปจับมือของภาคิน
“ขอบใจที่เข้าใจกันนะ”
“แต่ถ้านายพร้อม นายย้ายมาอยู่ที่คอนโดฉันนะ เพราะเป็นห้องหอของเรา”มันพูดด้วยน้ำเสียงกลั้นหัวเราะ
“ไว้รอนายใกล้สามห้าก่อน ฉันค่อยย้าย”ผมดึงมือออกจากมืออีกฝ่าย ภาคินตีหน้านิ่งทันที
“อย่าบอกนะว่านายเชื่อหมอดูคนนั้นน่ะ”ผมพยายามไม่หัวเราะ เมื่อวานก่อนภาคินมันชวนผมไปดูหมอ แล้วทางนั้นเขาทักมาว่าผมกับภาคินจะไปกันไม่รอดหากว่าย้ายไปอยู่ชายคาเดียวกันก่อนอายุสามสิบห้า ภาคินมันหงุดหงิดมากถึงกับหัวเสียตลอดวัน อีแบบนี้ไม่ใช่มันหรอกเหรอที่เชื่อ
“โธ่ คิน นายก็รู้ว่าฉันไม่เชื่อ นายนั่นแหละที่เชื่อ เมื่อวานงี้พาลใส่คนอื่นไปหมด”ผมล้อเลียน มันก็เลยคว้าตุ๊กตามาปาใส่ผมแต่ผมเอี้ยวตัวหลบได้ทัน
“พรุ่งนี้นายว่างหรือเปล่า เมฆ”ภาคินเปลี่ยนมาทำสีหน้าจริงจัง
“เดี๋ยวนะ...”ผมหยิบโทรศัพท์ออกมาดูตารางนัดหมาย
“ว่าง เฉพาะช่วงเช้าน่ะ โทษทีนะ”เวลาของผมกับมันมักจะไม่ค่อยตรงกันเท่าไหร่ แต่ผมก็พยายามจะแบ่งเวลาให้มันบ้าง
“ขอโทษทำไม เอาเป็นว่าพรุ่งนี้ฉันจะพานายไปบ้านเด็กดีนะ ไม่ได้ไปเยี่ยมเด็กๆมานานแล้ว”ผมพยักหน้า จำได้ว่ารายการของมันจะไปถ่่ายรายการที่บ้านเลี้ยงเด็กกำพร้า อย่าบอกนะว่าที่เดียวกัน
“ถ่ายรายการเหรอ”
“อืม ไปไหม”
“ไปดิ”ผมเองก็ไม่มีปัญหาอะไรถ้าหากจะต้องออกกล้อง อย่างน้อยก็ได้อยู่กับภาคินมันบ้าง ผมให้ภาคินไปส่งที่คอนโด มันเองก็อยู่ค้างไม่ได้เพราะต้องไปคุยงานกับพี่โหน่ง เห็นว่านัดประชุมวันนี้
“ขับรถกลับดีๆล่ะ”ผมเปิดประตูค้างไว้ ภาคินที่กำลังก้าวขาวนกลับมาหาพร้อมกับแตะปากลงมาบนหน้าผากของผม
“ครับ”มันขยิบตาให้ก่อนจะเดินไปที่ลิฟท์ ผมปิดประตูห้อง ก่อนจะเช็คอีเมลล์ว่ามีอะไรตกค้างหรือเปล่า ผมหยิบแผนงบประมาณโครงการสร้างหมู่บ้านจัดสรรมาตรวจสอบความถูกต้อง เสียงข้อความเข้าดังขึ้น ผมละสายตาจากแฟ้มก่อนจะจ้องจอโทรศัพท์แทน
'พรุ่งนี้มีประชุมปรับแผนงานนะเมฆ ทางนั้นขอเลื่อนมาเป็นตอนเช้าแต่อาจลากยาวทั้งวัน'
ผมขมวดคิ้วทันทีเมื่อเห็นข้อความจากพี่บีรองหัวหน้าฝ่าย หรือว่าที่ผมสัญญากับภาคินไว้จะต้องเป็นหมัน
'แล้วเขียนแผนงานเสร็จแล้วหรือยังอ่ะ พี่เพิ่งทำเสร็จเอง เพลียมาก'
ผมเบิกตากว้างทันที แผนงานอะไรวะ
'แผนงานอะไรอ่ะพี่'
'อ้าว เจมส์ไม่ได้บอกเหรอ ก็หัวหน้าแผนเขาเปลี่ยนใจขอดูจากทุกฝ่ายไง'
ซวยแล้วครับ ทำไมพี่เจมส์ไม่ได้บอกผมล่ะ
'โอเคครับ ขอบคุณมากพี่ ผมขอตัวปั่นก่อนนะ'
'เดี๋ยวช่วยครึ่งหนึ่ง ส่งรายละเอียดมาให้พี่เลย'
ผมรู้สึกรักผู้หญิงคนนี้ขึ้นมาทันที หลังจากที่ส่งตารางยิบย่อยให้พี่บีแล้ว ผมก็รีบคว้าแฟ้มงานใส่กระเป๋าไปออฟฟิศทันที เพราะรายละเอียดบางส่วนอยู่ในแฟ้มเอกสารที่บริษัท ผมก็พอจะรู้มาอยู่บ้างว่ามีรุ่นพี่บางคนไม่ค่อยปลื้มผมเท่าไหร่ เพราะรู้ว่าผมรู้จักคุณลุงและพี่กุมภ์ ผมได้ยินคำนินทาของพวกเขาอยู่บ้าง แต่ก็ไม่ได้เก็บมาคิดให้รกสมอง ไม่คิดว่าจะโดนพี่ในฝ่ายทำแบบนี้เลย เสียความรู้สึกอยู่เหมือนกัน เมื่อมาถึงออฟฟิศผมก็รีบค้นหาเอกสารที่โต๊ะตัวเอง ระหว่างที่รอคอมติด
“ขยันจังนะ”ผมสะดุ้งเฮือกใหญ่เมื่อหันไปเจอร่างสูงที่ยืนอยู่เบื้องหน้าระหว่างที่ผมค้นหาแฟ้มเอกสารที่ลิ้นชัก
“ตกใจหมดเลยพี่กุมภ์”ผมเงยหน้ามองพร้อมกับถอนหายใจ ผมกับพี่เขาก็สนิทกันระดับหนึ่งเพราะต้องร่วมงานกันบ่อยๆ
“โทษที ไม่ได้ตั้งใจจะทำให้ตกใจ ว่าแต่หาอะไรเหรอ”พี่กุมภ์นั่งลงบนโต๊ะทำงานของผมพร้อมกับชะโงกหน้ามามองผมที่คุ้นกุกๆกักๆอยู่
“หาแฟ้มแผนงานอันเก่าอ่ะ ผมจำไม่ได้ว่าเอาไว้ที่ไหน”จำได้ว่าเอาไว้ที่ชั้นวางด้านหลังแต่ก็หาไม่เจอ
“แฟ้มเก่า?หาทำไม เมฆต้องทำแผนงานด้วยเหรอ ประชุมพรุ่งนี้แค่เรียกดูของหัวหน้าฝ่ายเองนะ ”พี่กุมภ์พูดด้วยเสียงงุนงง ผมเงยหน้ามองทันที
“ก็พี่บีบอกผมว่าต้องทำทุกคน”
“บ้าเหรอ ประชุมด่วนแบบนั้นใครเขาจะสั่งให้ทำ ทั้งบีทั้งเมฆโดนแกล้งแล้วแบบนี้”อีกฝ่ายมองผมด้วยสีหน้าเห็นใจ หรือว่าผมจะโดนแกล้งจริงๆ พี่เจมส์หลอกทั้งพี่บีทั้งผมเลยเหรอ ผมยืดตัวขึ้นพ่นลมหายใจอย่างหงุดหงิด แต่ก็รู้สึกโล่งอกขึ้นมาที่ไม่ต้องทำแผนงานที่ยุ่งยาหน่าปวดหัว ผมโทรไปบอกพี่บีเรื่องนี้
[จริงอ่ะ! อีเจมส์นี่มันต้องโดนดีซะบ้าง ไว้พรุ่งนี้หาพวกมาแท็คทีมสู้กับมันกันค่ะ อย่าไปยอมมันนะเมฆ เราไม่ใช่นางเอกละครน้ำเน่ายุงตอมหึ่ง]ผมขำกับคำพูดของอีกฝ่าย
“ได้เลยพี่ ผมพร้อมเสมอ”ผมก็ไม่ยอมอยู่แล้ว มาทำให้คนอื่นเดือดร้อนแบบนี้ได้ไงแล้วนี่ก็ไม่ใช่ครั้งแรกด้วยที่ทำกับผมแบบนี้
[จัดไป]
ผมวางสายก่อนจะหันมามองพี่กุมภ์ที่นั่งมองอยู่ก่อนแล้ว ผมกับพี่กุมภ์เป็นแค่เพื่อนร่วมงานกันเท่านั้น ผมไม่ได้คิดอะไรกับอีกฝ่ายแบบที่โดนนินทาในห้องน้ำหญิงแน่นอน แถมตัวพี่กุมภ์เองก็มีแฟนแล้ว แต่ไม่ได้คบแบบเปิดเผย ซึ่งผมไม่ได้รู้รายละเอียดมากแต่พี่บีเคยเม้าท์ให้ฟังว่ากิ๊กกับเด็กมหาลัย ไม่รู้ว่าจริงไหม
“แล้วพี่ไม่ไปรับ-ส่งเด็กเหรอ”ผมแซวไปเรื่อย แต่เมื่อเห็นอีกคนสะดุ้งทำหน้าแปลกๆผมก็รู้ในทันทีว่าน่าจะมีมูลแน่ๆ
“อย่าไปฟังข่าวเม้าท์ให้มากน่า ว่าแต่แม่สบายดีใช่ไหม”
“ก็เรื่อยๆ ตามประสานั่นแหละ”ผมเก็บของที่รื้อออกมาเข้าที่ให้เรียบร้อย
“เออ เมฆ พรุ่งนี้หลังประชุมเสร็จ เตรียมใจดีๆด้วยนะ”พี่เขาส่งยิ้มให้ก่อนจะยกมือขึ้นเป็นเชิงบอกลา ผมนิ่วหน้า หมายความว่ายังไงกัน จะมีอะไรงั้นเหรอ?
ผมส่งข้อความไปบอกภาคินว่าดันมีประชุมด่วน เพราะผมไม่อยากฟังน้ำเสียงผิดหวังของภาคิน มันตอบกลับมาสั้นๆว่า
'ไม่เป็นไร'
มันโกรธผมแน่ๆ ผมส่งข้อความขอโทษไปอีกสองสามข้อความแต่ก็ไม่ได้รับข้อความกลับมา
*****************************************
การประชุมยืดเยื้อแสนน่าเบื่อยิงยาวเกือบถึงสี่โมงเย็นจนผมต้องแอบหยิกตัวเองไม่ให้หลับ ผมเหลือบมองพี่เจมส์ที่ก้มหน้าจดรายละเอียดการประชุมอย่างตั้งใจ เมื่อเงยหน้ามาเจอสายตาไม่เป็นมิตรของผมกับพี่บีก็ยกยิ้มให้ผม...เป็นยิ้มที่ไม่น่าดู ผมเริ่มรู้สึกสังหรณ์ใจแปลกๆ นึกถึงคำพูดของพี่กุมภ์ขึ้นมาทันที หวังว่าคงไม่มีอะไรหรอกนะ หลังจากการประชุมผ่านพ้นไป พี่บีก็เข้ามาหาผมทันที
“เดี๋ยวเราไปคุยกับอิเจมส์กัน”แต่ยังไม่ทันได้ก้าวไปไหน ตัวปัญหาก็เดินเข้ามาทันที
“น้องเมธาครับ หัวหน้าคณะกรรมการเรียกพบตอนนี้เลย”ผมใจกระตุกวูบ หลังการประชุม...แบบที่พี่กุมภ์บอกเลย ผมยิ้มให้พี่บีก่อนจะไปพบหัวหน้าฯตามคำสั่ง มีเรื่องเดียวที่จะพบ คือเรื่องการทำงานแน่ๆ หรือผมทำพลาดไปจุดไหน ผมเครียดขึ้นมาทันทีก่อนจะเคาะประตูห้องหัวหน้าเบาๆ
“เข้ามาได้”ผมจึงผลักบานประตูเข้าไป ผมยกมือไหว้ก่อนจะนั่งลงตามที่หัวหน้าชี้นิ้วไปยังเก้าอี้
“มีคนรายงานผมมา ว่าคุณประพฤติตัวไม่เหมาะสมในเวลางาน แล้วก็เอกสารโครงการคราวก่อนคุณเช็คข้อมูลตกหล่นไป จนทำให้ฝ่ายเราล่าช้าต้องแก้เอกสารใหม่ ผมอยากให้คุณตั้งใจให้มากกว่านี้ เพื่อตัวคุณเอง อีกอย่างผมอยากให้คนมุ่งสนใจงานมากกว่านี้”ผมพยายามยิ้มก่อนจะพึมพำขอบคุณแล้วออกมาจากห้องหัวหน้า ความกดดันเริ่มมาเยือนผมอีกครั้ง ผมถอนหายใจก่อนจะเดินไปล้างหน้าล้างตาในห้องน้ำ ได้ยินเสียงเจื้อยแจ้วดังมาจากห้องน้ำหญิงฝั่งตรงข้าม
“เออ หัวหน้าเรียกเมฆเข้าไปด่าเหรอ”
“ก็มีอยู่เรื่องเดียวนั่นแหละ ก็บอกแล้วว่าเอาเด็กใหม่เข้ามาไม่ได้เรื่องหรอก”
“ก็น้องเขามีเส้นดี มีหุ้นในบริษัทด้วยนี่ ได้ยินเขาคุยกันว่าพ่อน้องเขาเคยทำงานกับคุณกิตมาก่อน คุณกิตเลยแนะให้ซื้อหุ้นแล้วดึงมาทำงาน สงสัยจะคิดผิดซะแล้ว”
ผมถอนหายใจเมื่อได้ยินคำนินทาเหล่านั้นเป็นคำพูดซ้ำๆเดิมที่ผมเคยได้ยินมาแล้ว ผมเลิกใส่ใจคำเหล่านั้น แต่ก็แอบยอมรับว่ามีผลต่อตัวเองไม่น้อยเลย ผมตั้งใจจะกลับเลยแต่เผอิญเห็นป้ายประชาสัมพันธ์ว่าจะมีการจัดสัมมนาที่ต่างจังหวัด ผมอ่านรายละเอียดด้วยความสนใจ ถ้าผมไปคงได้ประโยชน์ไม่น้อย ผมหยิบใบปลิวจากโต๊ะก่อนจะออกจากบริษัทด้วยอาการล้า
“แค่โดนตินิดหน่อย อย่ามาทำจ๋อยดิวะ”ผมพึมพำกับตัวเองระหว่างที่รอลิฟท์ เสียงฝีเท้าดังขึ้นก่อนที่พี่กุมภ์จะโผล่มายืนข้างๆในมือกดโทรศัพท์ไปด้วย
“อ้าว เมฆ...แค่นี้ถึงกับจ๋อย อย่าท้อเลยน่า พ่อฝากมาบอกให้สู้ๆ”พี่กุมภ์ยกกำปั้นให้ผมที่กำลังถอดเสื้อนอกออกมาพาดแขนด้วยสีหน้าเนือยๆ
“ผมสู้อยู่แล้วน่า”ผมส่งข้อความหาภาคินบอกว่าเลิกงานแล้ว
'ทำไมไม่โทรมา?'
ผมเลิกคิ้วมองข้อความ อย่าบอกนะว่าเมื่อคืนมันงอนเรื่องนี้
“เมฆไปสัมมนาด้วยเหรอ”คนข้างๆถามเมื่อเห็นใบปลิวที่ผมถืออยู่
“อ้อครับ เห็นว่าตรงกับวันหยุดพอดี ไปหาประสบการณ์เล่นๆเผื่อผมจะทำงานเก่งขึ้นมาบ้าง”อีกฝ่ายหัวเราะ
“ไม่ต้องเครียดหรอก เขาติเพื่อก่อ อยู่ไปนานๆก็ชินเอง”ก็หวังว่าอย่างนั้นแหละนะ
'นายงอนเหรอ'
ผมส่งข้อความกลับระหว่างที่ลิฟท์เปิดออก ผมกับพี่กุมภ์เข้าไปด้วยกันมีพนักงานตามมาด้วยอีกสองสามคน พี่กุมภ์เป็นรองประธานที่ไม่เคร่งครัดเท่าไหร่ เป็นทั้งข้อดีและข้อเสีย
'เปล่า แค่สงสัย ฉันยังอัดรายการอยู่เลย ถ้าเลิกแล้วจะโทรหานะ'
'โอเค สู้ๆ'
'นายก็สู้เหมือนกันล่ะ'
ข้อความของภาคินทำให้ผมยิ้ม สบายใจขึ้นเล็กน้อย
“น่าอิจฉาคนมีความรักซะจริงๆ”พี่กุมภ์แซว พี่เขาเคยเจอภาคินอยู่สองสามครั้งตอนที่มาคุยกับผมเรื่องงาน
“อย่ามัวแต่แซวคนอื่น รีบๆหาซะ เดี๋ยวลุงรอนาน”
ลิฟท์เปิดออกอีกครั้งก่อนที่พนักงานสองสามคนจะออกไปและมีพนักงานหญิงเข้ามาแทน ทำให้การสนทนาของผมกับอีกฝ่ายหยุดลง เพราะสองคนนี้ขาเม้าท์เรื่องของผมกับพี่กุมภ์เลย จะให้ผมหลบเลี่ยงให้ห่างจากพี่เขาก็ไม่ได้เพราะต้องทำงานประสานกันตลอด และผมก็ไม่อยากจะต้องร้อนตัวกับคำนินทาที่ถูกแต่งเสริมเติมแต่ง
“คุณกุมภ์ไปร่วมงานสัมมนาครั้งนี้ด้วยใช่ไหมคะ”หนึ่งในนั้นถามขึ้นมา
“ครับ ผมไปเป็นปกติอยู่แล้ว คราวนี้ไปเป็นตัวแทนท่านประธานน่ะครับ”พี่กุมภ์ตอบเสียงนุ่ม ผมกลับมาจมกับความคิดของตัวเองอีกครั้ง ผมจะมัวแต่ทำเล่นไม่ได้แล้ว ผมต้องมุ่งมั่นทุ่มเทมากกว่านี้ เพื่อลบคำติ คำนินทาของคนอื่น
ผมกลับคอนโดและหลับยาวทันทีเพราะความเครียดและเหนื่อยล้า รู้สึกตัวอีกครั้งก็เมื่อภาคินกลับมา ผมขยี้ตามองนาฬิกา ...ตีสองกว่าๆแล้ว
“กลับดึกจังอ่ะ”ผมยันตัวลุกนั่งมองภาคินที่ถอดเสื้อออก เตรียมอาบน้ำ
“พอดีกินเลี้ยงกับพี่ทีมงานเพลินไปหน่อย”มันถอดกางเกงส์ยีนส์แน่นๆออก ก่อนจะคว้าผ้าขนหนูมาพันเอว
“เป็นอะไร”มันนั่งลงบนเตียงเมื่อเห็นสีหน้าเครียดๆของผม
“เครียดเรื่องงานนิดหน่อยน่ะ ช่วงนี้ฉันอาจไม่ค่อยว่างนะคิน เพราะหลังจากนี้งานจะเยอะมาก มีงานสัมมนาที่ต่างจังหวัดอีก”ภาคินเอื้อมมาลูบศีรษะของผมเบาๆ
“ค่อยเป็นค่อยไป อย่ากดดันตัวเอง”
“ฉันเจอเจ้านายติมา เรื่องการทำงาน”ผมถอนหายใจ คำพูดเหล่านั้นทำผมเครียดได้ขนาดนี้เลยเหรอ
“ใครไม่เคยโดนติบ้างล่ะ ไม่มีใครทำงานเพอร์เฟ็คร้อยเปอร์เซ็นหรอก”
“เหนื่อย”ผมเอนตัวเอาหน้าผากพิงไหล่ของอีกคน บางทีผมก็คิดว่าตัวเองไม่เหมาะกับงานประเภทนี้ แต่ผมก็อยากพิสูจน์ตัวเองว่าผมทำได้ มืออุ่นๆของภาคินเลื่อนมานวดคลึงบริเวณขมับของผมอย่างเบามือ
“นอนพักซะนะ”มันดันตัวผมออกก่อนจะประกบจูบลงมาแผ่วเบา ผมเลื่อนมือคล้องคออีกคน ภาคินย้ำจูบอยู่นานก่อนจะผละออกมากระซิบใกล้หู
“หรือทำอย่างอื่นคลายเครียดดี”ผมกระตุกยิ้ม ภาคินดึงตัวผมไปกอด ซุกหน้าลงกับซอกคอของผม ลิ้นชื้นไล่สัมผัสไปตามกกหู ผมได้กลิ่นแอลกลอฮอร์จากอีกคน ผมเลื่อนมือผ่านผ้าขนหนูวางมืออุ่นลงที่หน้าขาของอีกฝ่าย ภาคินขบเม้มผิวเนื้อแรงๆจนผมหลุดเสียงร้องเบาๆ นิ้วมือเลื่อนสัมผัสร่างกายอีกคนไม่ห่าง ภาคินเลื่อนจูบมาที่แผ่นอก มือร้อนดึงชุดนอนออกอย่างง่ายดาย ผมกระตุกผ้าขนหนูของมันออก ฝามือกอบกุมความอุ่นร้อนที่กึ่งกลางลำตัวของอีกคน ภาคินครางเสียงเบาเมื่อผมเริ่มขยับมือ
“เมฆ...”เสียงกระซิบของมันทำให้เลือดในกายของผมเดือดพล่าน ผมกดริมฝีปากลงที่ซอกคอ ภาคินโอบกอดผมแน่นก่อนจะดันให้ผมนอนลง แทรกตัวอุ่นๆเข้ามา ริมฝีปากขบเม้มตุ่มไต่เบาๆ
“ฮื่อ...”ผมเบียดตัวเข้าหามากขึ้น ส่งเสียงครางเมื่อนิ้วมือของภาคินแทรกเข้ามาขยับเข้าออกอยู่นาน เเทรกนิ้วเข้ามาอีกจนคับแน่นไปหมด ผมปรือตามองอีกคนที่ดันขาผมออกกว้างก่อนจะสอดแทรกเนื้ออุ่นร้อนเข้ามาแทนที่ ผมดันตัวเองขึ้นมาโดยใช้มือยันกับเตียง เมื่อมันเริ่มเคลื่อนขยับกาย ผมหลับตาเม้มปากแน่นขยับเบียดเข้าหา สอดรับกับจังหวะของอีกคน ภาคินวางมือลงที่บั้นเอวของผมก่อนขยับเคลื่อนเข้ามา
“อื้อ”ภาคินรั้งใบหน้าผมเข้ามาใกล้ก่อนจะขบเม้มเรียวปากอย่างหมั่นเขี้ยว ผมตอบรับลิ้นอุ่นที่สอดเข้ามา มันผละออกมา ก่อนจะถอนตัวออกดันผมให้พลิกคว่ำ สองมือโอบดึงสะโพกให้ยกสูง แล้วแทรกเนื้ออุ่นร้อนเข้ามาอีกครั้ง ร่างหนาโถมตัวเข้าหาหนักหน่วงไม่ว่างเว้น ผมหลุดเสียงร้องแผ่วเมื่ออีกคนเบียดแทรกเข้ามาจนสุดแล้วขยับเคลื่อนถี่เร็ว เสียงหอบหายใจของภาคินดังอยู่ไม่ห่าง มันก้มจูบแผ่นหลังเบา โอบรัดผมแน่นก่อนจะขยับแทรกเข้ามาหนักหน่วง
“พรุ่งนี้...”มันกระซิบใกล้หูก่อนจะขบเม้มเบาๆ
“อื้อ...อา คิน นายช่วยหน่อย”ผมครางแผ่วเมื่อรู้สึกหวาบหวิวที่ช่องท้อง มันจูบผมอีกครั้ง ผมยันตัวขึ้น มืออุ่นของอีกคนเลื่อนมากอบกุมเนื้ออุ่นที่ปวดหน่วง ภาคินเริ่มกระแทกตัวเข้ามาหนักๆ เคลื่อนมือไปด้วย ผมร้อนผ่าวไปทั่วร่าง ความอุ่นร้อนที่แทรกผ่านซ้ำๆ ทำเอาหัวขาวโพลนเมื่อผมปลดปล่อยอารมณ์ออกมาเลอะมือภาคิน มันโถมตัวเข้ามาครั้งสุดท้าย ครางแผ่วเมื่อปล่อยแรงอารมณ์ออกมา มันลูบแหวนที่เปลี่ยนมาอยู่ด้านซ้ายมือของผมเล่น ยังไม่ผละไปจากผม
“หายเครียดยัง”มันถามเสียงเย้าหยอก ผมหัวเราะเหนื่อยอ่อน ภาคินถอนตัวออกมา น้ำอุ่นเลอะซอกขาด้านใน มันโถมตัวกอดผมแน่น
“เมื่อกี้จะบอกว่าพรุ่งนี้ฉันจะค้างที่บ้านไอ้จอห์น”ผมลูบรอยสักชื่อตัวเองบนผิวอีกฝ่ายเล่น
“เที่ยว?”
“อยู่คุยกับมันเรื่องร้านเสื้อน่ะ”ภาคินพูดถึงร้านเสื้อแบรนด์ของตัวเอง PK มีเฮียคอยช่วยออกแบบลายเสื้อด้วยอีกแรง
“อ้อ...ฉันดูตารางงานสัปดาห์แล้ว ดูเหมือนว่าฝ่ายฉันต้องทำงานโคกับฝ่ายรองประธานโดยตรง เลย ตารางชีวิตเราไม่ตรงกันอีกแล้ว นายโอเคใช่ไหม”
“ฉันโอเค ถึงแม้ว่าจะมีข่าวเม้าท์ชวนหงุดหงิดก็เถอะ”ผมผงกหัวมองมันทันที มันไปได้ยินจากไหน หรือพี่กุมภ์บอก?แต่ทั้งคู่ก็คงไม่สนิทกันถึงขั้นนั้นหรอก
“นายได้ยินอะไรมา”
“ก็...'สองคนนั่นสนิทกันจะตาย น่าสงสารภาคิน โดนสวมเขาซะแล้ว'”ผมหัวเราะ ใช่...มีข่าวซุบซิบทำนองนี้ด้วย ตลกจริงๆพอเห็นข่าวว่าผมคบกับภาคิน คนบางคนก็ตีความว่าผมจะชอบผู้ชายทุกคนที่เข้าใกล้
“ไม่หึงนะ”ผมตบหลังมันเบาๆเหมือนกล่อมเด็ก ผมไม่ได้กลัวเรื่องนี้เลยด้วยซ้ำเพราะคิดว่าภาคินมันคงเข้าใจอยู่แล้ว
“จะหึงทำไม ฉันแยกแยะได้อยู่แล้ว อีกอย่างฉันไว้ใจนายเหมือนที่นายไว้ใจฉัน”มันตอบพร้อมรอยยิ้ม แต่ผมสังเกตุว่ามันยังดูกังวลอยู่
“มีอะไรรึเปล่า”ผมบิดหูมันเบาๆ
“ฉันรู้ว่านายทุ่มเทกับงานมาก แต่มีอยู่อย่างหนึ่งที่ฉันอยากบอกนาย อย่าทำอะไรเกินตัวนะเมฆ ถ้าไม่ไหวก็พัก”ภาคินดูจะเป็นห่วงผมมากและคำพูดของมันที่เหมือนแทงใจดำผม
“ฉันเข้าใจนายนะ เมื่อตอนอายุเท่านี้ฉันทั้งทะเยอทะยานและทะนงตัวเอง ยืดหยุ่นกับตัวเองบ้างนะเมฆ อย่าตึงเกินไป”สายตามันฟ้องว่ามีเรื่องที่คิดมากมาย ผมหลุบตามองมือตัวเอง ที่มันพูดมาก็ถูกทุกอย่างเลย
“ฉันอยากประสบความสำเร็จ ตั้งแต่ขาดพ่อไปฉันไม่เคยเป็นที่พึ่งให้แม่ได้เลย ฉันคิดไว้ตลอดว่าถ้าเรียนจบ ฉันจะต้องทำงานสร้างเนื้อสร้างตัว ออกมาใช้ชีวิตด้วยตัวเอง เป็นเสาหลักของบ้านแทนพ่อ ฉันคิดอยู่แค่นี้ ถึงงานจะหนักแต่ฉันโอเคกับมันจริงๆ อาจมีบ้างที่ท้อ แต่ฉันวางแผนหลายๆอย่างไว้แล้ว...”ฟังดูทะเยอทะยานแต่ผมคิดเรื่องพวกนี้ไว้ก่อนเรียนจบ ช่วงก่อนเรียนจบผมคิดอะไรมากมายเลย ภาคินยิ้ม
“แผนเหรอ เล่าให้ฟังหน่อย”
“ส่วนใหญ่เกี่ยวกับเรื่องงานน่ะ”มันเงียบไปพักใหญ่เหมือนคิดอะไรอยู่
“มีอะไรก็ปรึกษาฉันได้นะ”
“อือ แต่งานของฉันมันน่าปวดหัว ไม่อยากให้นายเครียดตาม ...ง่วงแล้ว นายก็รีบๆอาบน้ำนอนได้แล้วล่ะ”ผมผละออกมาจากอ้อมแขนที่คลายออกของอีกคน ผมนอนมองภาคินลุกไปอาบน้ำ ไม่รู้เลยว่าได้ทิ้งตะกอนขุ่นไว้ให้อีกคนโดยที่ผมไม่รู้ตัว...