Matt Part"เรียบร้อย ยังมีอย่างอื่นอีกไหม แมทจะได้ดูให้ทีเดียว"
"ไม่ละ" เงยหน้าขึ้นมาจากจอโน้ตบุ๊คก็เห็นพี่มัทที่ย้ายตัวเองไปนั่งที่โซฟาหน้าโต๊ะทำงานกำลังมองผมอยู่
"มองอะไร" ผมถามก่อนจะหลบตา สายตาพี่มัทมันนิ่งเกินไปจนผมไม่กล้ามองต่อ
"นี่แมทจริงๆเหรอ"
"ทำไมถามงั้น" หันไปสบสายตากับพี่มัทอีกครั้ง
"ไม่รู้สิ" พี่มัทส่ายหน้าแล้วพาตัวเองอ้อมโต๊ะทำงานมายืนพิงตัวกับขอบโต๊ะที่ข้างโน้ตบุ๊ค
"พูดมาเถอะพี่มัท" ผมพิงหลังไปกับเก้าอี้เพื่อมองพี่มัทชัดๆ
"ในที่สุดน้องมัทก็ต้องมีคนดูแลจริงๆ มันผิดที่มัททำให้แมทเป็นแบบนี้หรือเปล่า" มือที่ค้ำขอบโต๊ะถูกเปลี่ยนมาขยี้หัวผมก่อนจะถูกดึงไปค้ำที่เดิมอีกครั้ง
"คิดอะไรอย่างนั้น"
"ไม่รู้สิ ถ้ามัทปล่อยให้แมททำทุกอย่างด้วยตัวเอง แมทอาจจะพอปกป้องใครได้" เรามองตากัน สายตาเรากำลังส่งผ่านความรู้สึกหลากหลาย
"พี่มัทฟังแมทนะ ที่แมทเป็นแบบนี้ก็เพราะแมทรู้ว่ามีแม่กับพี่มัทอยู่ข้างๆ ถ้าวันหนึ่งคนที่เข้ามาไม่ใช่พี่เชนแมทก็รู้ว่าแมทจะต้องทำอะไร แต่ถึงจะเป็นพี่เชนแมทก็คงไม่ทำตัวเหมือนตอนอยู่กับแม่กับพี่มัททุกอย่างหรอก แมทต้องปรับตัว พี่เชนเพิ่งเข้ามาในชีวิตแมทได้ไม่นาน เขาไม่เคยเรียนรู้ว่าแมทใช้ชีวิตยังไง แมทเองก็ไม่เคยเรียนรู้ว่าเขาเป็นยังมาก่อนที่เราจะเจอกัน จากนี้ไปเป็นสิ่งที่แมทต้องเรียนรู้" ผมกับพี่เชนเราไม่ได้รู้จักกันดีขนาดนั้น สิ่งเดียวที่ผลักเราเข้าหากันตอนนี้คือความรัก ที่เหลือจากนี้ก็ขึ้นอยู่กับว่าเราจะเรียนรู้กันและกันและพร้อมจะปรับตัวเข้าหากันมากแค่ไหน
"พี่เชนของแมทนี่ก็เก่งเนอะ ทำให้คนที่สะเพร่ามาตลอด 25 ปีคิดจะเปลี่ยนแปลงตัวเอง อยากรู้จังว่าใครไปร่ายมนต์ใส่ใครก่อน" เกือบจะดีอยู่แล้วเชียว
"ตลกแล้วพี่มัท แมทแย่ขนาดนั้นเชียว"
"ไม่หรอก มัทแค่คิดว่าแมทไม่น่าจะดูแลใครได้ แล้วตอนนี้ก็เหมือนเจออะไรที่เหมาะ เขาก็ดูจะฝากฝังให้ดูแลแมทได้"
"ทำไมถึงคิดว่าพี่เชนจะต้องเป็นฝ่ายดูแลแมท อาจจะเป็นแมทก็ได้นะ หรืออาจจะเป็นเราที่ดูแลกันและกัน" และมันก็ควรต้องเป็นอย่างหลังมากกว่า
"แหวะ! อยากจะอ้วก ร้อยวันพันปีไม่เห็นเคยจะพูดถึงใครแบบนี้ ผู้ชายคนนี้เปลี่ยนน้องมัทมากไปแล้ว เขาดีขนาดไหนกันเชียว" ผมยิ้มออกมากับท่าทางโก่งคออ้วกที่เกินจริงของพี่มัท
"เขาเป็นคนที่ทำให้แมทรู้สึกว่าแมทเป็นคนสำคัญ รู้สึกว่าตัวเองถูกรัก แมทมีความสุขเวลาอยู่กับเขา" แม่เคยบอกว่าเราจะเจ็บปวดหรือมีความสุขก็แค่อย่าหลอกตัวเอง
"ดีแล้วหล่ะที่แมทเลือกจะซื่อสัตย์กับความรู้สึกตัวเอง"
"นั่นก็ต้องขอบคุณพี่มัทนะที่ทำให้แมทเจอกับพี่เชน" พี่มัทขมวดคิ้วทันทีที่ผมพูดจบ
"มัทเหรอ" ชี้นิ้วเข้าหาตัวเองก่อนจะเอ่ยถาม
"ใช่ ถ้าพี่มัทไม่จองที่นั่น แมทจะเจอพี่เชนได้ไง" ถ้าไม่ใช่เพราะพี่มัทวันนี้เราอาจจะไม่รู้จักกัน ครั้นจะให้บังเอิญเดินสวนกันคงเป็นไปไม่ได้ วิถีการดำเนินชีวิตของพี่เชนนั่นไม่มีทางที่จะทำให้เราเจอกันได้เลย
"นั่นสินะ รักกันให้ดีให้สมกับที่มัทแผลงศรให้หล่ะ" พูดจบก็กอดอกเชิดหน้าเหมือนกำลังภาคภูมิใจ
"เอ้อพี่มัท เมื่อตะกี้ที่พูดถึงอีเมล" ผมรีบถามหลังจากที่ล้วงกระเป๋ากางเกงแล้วเจอจดหมาย
"อ่อ มัทส่งเข้าเมลแมทหมดแล้ว"
"พี่มัทเปิดอ่านหรือเปล่า"
"ฉันไม่สอดรู้ขนาดนั้นย่ะ จะดูไหมว่ามันยังไม่ถูกอ่าน"
"มันมาร์คว่ายังไม่อ่านได้นะ เรื่องเมลแมทมีความรู้ อย่ามาหลอก"
"เออ อ่านไปแค่อันแรกอันเดียว น่าอิจฉา คุณเชนนี่โคตรจะมีความพยายาม เมื่อไหร่นะที่มัทจะเจอแบบนี้บ้าง"
"ก็อย่าเลือกมากนักสิ"
"ถามว่ามันมีมาให้เลือกบ้างไหมจะดีกว่า"
"คนปากแข็ง ทั้งที่ตัวเองเลือกเยอะแท้ๆ"
"แล้วจดหมายพวกนี้หล่ะ มันอยู่กับพี่มัทนานแล้วเหรอ" ดึงซองจดหมายที่เริ่มจะยับตรงมุมเพราะถูกยัดลงไปในกระเป๋ากางเกงที่เล็กกว่าขนาดซอง
"ทยอยมา ตอนแรกก็ไม่แน่ใจ แต่ดูจากปลายทางแล้วก็จ่าหน้าซองที่เป็นชื่อแมทก็เลยแน่ใจ ว่าจะหหยิบกลับบ้านแต่ลืมทุกที" จดหมายทุกซองยังไม่ถูกเปิด ไม่รู้ว่าถ้าผมได้อ่านมันก่อนที่พี่เชนจะมาเรื่องราวมันจะเปลี่ยนไปจากนี้ไหม จะเป็นผมที่เลือกเป็นฝ่ายไปตามหาคำตอบด้วยตัวเองหรือเปล่า แต่ถึงเรื่องระหว่างทางจะเปลี่ยนไปแต่ผมก็มั่นใจว่าปลายทางจะเป็นอย่างที่เราเป็นอยู่แน่นอน
"ถ้ามัทเจอดีดีแบบคุณเชนตรงหน้ามัทก็ไม่เลือกเยอะหรอกนะแมท ยังเสียดายอยู่เลย ถ้ามัทไปด้วยยตั้งแต่วันแรก คุณเชนอาจจะตกหลุมรักมัทก่อนก็ได้นะ" รอยยิ้มพี่มัทนี่มันไม่น่าไว้ใจจริงๆ
"พี่มัท นั่นของน้อง"
"ชิ! รู้แล้วหล่ะนะ ทำเป็นหวง" มองผมด้วยหางตาก่อนจะยื่นมือมาผลักหัวเบาๆ
"พี่มัท" ผมเรียกพี่มัทเบาๆ ยังมีเรื่องที่ผมยังสงสัยและหนักใจ
"หื้ม"
"ความรักแบบนี้มันยากใช่ไหม"
"อะไรกัน นี่เพิ่งจะเริ่มต้น กังวลแล้วเหรอ" พี่มัทมองผมด้วยรอยยิ้ม เราอาจจะไม่ได้นั่งคุยกันแบบนี้มานานมากแล้ว ทั้งสายตาและรอยยิ้มนั้นทำให้ผมนึกถึงสมัยที่เรามีเวลามานั่งคุยกันทั้งครอบครัว
"แมทจะแปลกไหม คนอื่นจะมองแมทยังไง"
"แมทจำหนังสือเจ้าชายน้อยที่พ่อเคยซื้อให้เราอ่านได้ไหม" หนังสือเล่มแรกที่ได้จากพ่อเป็นของขวัญวันเกิดตอนที่ผมเริ่มอ่านออก หนังสือที่พ่อย้ำอยู่ตลอดว่าอยากให้อ่านให้จบ หนังสือที่ผมต้องใช้ความพยายามทั้งหมดที่มีในตอนนั้นทำความเข้าใจกับมัน
"จำได้สิ"
"แล้วแมทจำภาพวาดงูตอนต้นเรื่องได้หรือเปล่า"
"อื้ม งูที่เหมือนหมวก" ผมพยักหน้าพร้อมตอบ
"นั่นแหละ แมทฟังพี่นะ คนเราทุกคนบนโลกใบนี้ไม่มีหรอกที่จะคิดเหมือนกันทุกอย่าง ต่อให้จับมานั่งเล่นเกมทายใจ คำตอบที่ตรงกันแต่รายละเอียดความคิดอาจจะไม่เหมือนกันก็ได้" อาจจะเพราะว่าอายุเราไม่ห่างกันมาก และความเคยชินที่เรียกแทนตัวเองด้วยชื่อกับพ่อและแม่ เพราะงั้นทุกครั้งที่พี่มัทแทนตัวเองว่าพี่นั่นหมายถึงว่ากำลังจริงจัง ไม่บ่อยนักที่พี่มัทจะเรียกแทนตัวเองแบบนี้
"เหมือนอย่างที่เขาหัดวาดภาพตอนอายุ 6 ขวบไง เมื่อเขาโชว์ภาพงูเหลือมที่กลืนกินช้างเข้าไปให้ผู้ใหญ่ดู" เป็นภาพงูเหลือมตัวยาวๆที่ท้องป่องเพราะกินช้างเข้าไปโดยไม่เคี้ยว มันกำลังนอนย่อยเหยื่อของมัน
"เขาถามว่ารูปของเขาน่ากลัวไหม" ผมพูดคำถามหลังจากที่เขาโชว์ภาพวาดให้พี่มัทฟัง
"ใช่ คำตอบที่เขาได้คือหมวกจะทำให้กลัวได้ไง" แม้แต่ผมเองยังมองไม่ออกด้วยซ้ำว่ามันคืองู ภาพมันดูเหมือนหมวกปีกรอบซะมากกว่า
"เขาก็เลยวาดรูปที่เห็นช้างอยู่ในท้องงูมาเพิ่ม" ผมบอก
"แต่มันก็ไม่มีประโยชน์ใช่ไหมหล่ะ ถึงแม้จะมีคำอธิบายมาเพิ่ม คนเราเห็นต่างกันไปนะ ถ้าเขาอยากจะฟังอยากจะรับรู้หรืออยากจะเชื่อในแบบไหน แมทก็ไปเปลี่ยนความคิดเขาไม่ได้ทั้งหมดหรอก เรื่องของแมทก็เหมือนกัน สังคมอาจจะไม่ได้มองไปในแบบที่แมทอยากจะให้เป็นแต่ก็ไม่ได้หมายความว่าสิ่งที่แมททำมันผิด ถ้าหากความสุขของแมทมันไม่ได้ทำให้ใครเดือดร้อนนะก็ทำไปเถอะ แมทจะเลือกทำแบบในเรื่องที่ละทิ้งอาชีพจิตรกรอันสูงส่งไปเลยก็ได้ หรือจะเลือกไม่สนใจความเห็นที่ไม่เคยตรงกับภาพที่แมทวาด สุดท้ายก็ขึ้นอยู่กับแมทตัดสินใจ ไม่มีความเห็นใครมาเปลี่ยนใจเราได้หรอก" นั่นสิ ไม่มีความเห็นใครมาเปลี่ยนใจเราได้ เพราะสิ่งที่เราทำตามความเห็นเหล่านั้นก็คือแค่ถอยออกมา แต่สุดท้ายใจเราก็ไม่ได้เปลี่ยนไปอยู่ดี
"แล้วพี่มัทหล่ะ เห็นมันเป็นงูหรือหมวก" ที่ถามออกไปก็แค่อยากรู้ความคิดพี่มัท
"นี่ตกลงที่มัทพล่ามมาตั้งนานแมทไม่เข้าใจใช่ไหม" ผมเม้มปากแน่น ไม่ใช่ไม่เข้าใจหรอก แต่เรามักจะอยากรู้อยากเข้าไปนั่งอยู่ในความคิดของคนที่เรารักเสมอ
"เข้าใจ แต่แมทก็อยากรู้ว่าพี่มัทคิดยังไง" เพราะเราไม่อยากให้คนรอบตัวเราที่เรารักไม่มีความสุขในสิ่งที่เราเลือก
"อย่าสนเลยว่าพี่จะคิดยังไง เพราะพี่รักแมท ไม่ว่าแมทจะวาดอะไรพี่ก็จะเห็นมันอย่างที่แมทอยากให้พี่เห็น" คำตอบของพี่มัททำลายความกังวลในใจผมจนแทบจะหมด
"ต่อให้คนอื่นบอกว่ามันผิดงั้นเหรอ" พี่มัทพยักหน้าก่อนจะยื่นมือมาประคองแก้มสองข้างของผมเอาไว้
"ใช่ ต่อให้ต้องหลับหูหลับตาพี่ก็จะมองในมุมเดียวกันกับน้องพี่" นั่นสินะต่อให้ใครมองว่าเรากำลังทำผิด แค่หันหลังกลับมามองครอบครัวก็จะเจอคนที่พร้อมเข้าใจ
"ขอบคุณนะพี่มัท" นี่คือความรักในอีกรูปแบบหนึ่ง ตราบใดที่ไม่มีใครเข้าใจความรักของผม แต่ก็ยังมีแม่และพี่มัทที่ยืนยันจะอยู่เคียงข้างกัน ไม่ใช่ความรักแบบหวังผลตอบแทน และเราจะได้รับมันจากคนในครอบครัวเท่านั้น
"พี่แกเจ๋งใช่ไหมหล่ะ" พี่มัทไม่เคยปล่อยให้สถานการณ์ระหว่างเราอยู่ในภาวะอารมณ์ซึ้งได้นานเลยจริงๆ
"เจ๋งที่สุด" ผมยกนิ้งโป้งสองข้างยื่นไปตรงหน้าพี่มัท เสียงหัวเราะของเราทั้งคู่ที่สัมผัสได้ถึงความสุขในเสียงนั้น
"ไม่เห็นโอ้ตเลยนะช่วงนี้" ถ้าพี่มัทไม่ถามถึงผมก็ลืมมันไปแล้วเหมือนกัน ทั้งที่มันหายไปแค่ไม่กี่วันผมก็รู้สึกนะว่ามันนาน อาจจะเพราะก่อนหน้านี้เราเจอกันทุกวันละมั้ง
"ลองโทรหามันดีกว่า" ล้วงฮีโร่จากกระเป๋าออกมาเพื่อจะต่อสายหาโอ้ต
"ระวังจะโดนเพื่อนน้อยใจนะ" ผมเงยหน้าเหลือบตาไปมองพี่มัทที่ยืนพิงโต๊ะอยู่สูงกว่า เพื่อนกันจริงๆเขาไม่น้อยใจกันหรอก ผมกับโอ้ตเราคบกันมานานเกินกว่าจะมาน้อยใจกันเพราะเรื่องแค่นี้แล้ว
"มันไม่รับสายอ่ะ" ถ้าพี่มัทไม่พูดออกมาแบบนั้นผมคงจะไม่ใส่ใจกับการที่มันไม่รับสาย
"เดี๋ยวก็โทรกลับมาเองแหละ ใส่ใจแฟนก่อนไหมไปเข้าห้องน้ำซะนานเลย" นั่นสิ พี่เชนบอกก่อนออกไปว่าจะไปเข้าห้องน้ำ นี่มันชั่วโมงกว่าแล้วทำไมยังไม่กลับมา
"งั้นแมทไปหาพี่เชนก่อนดีกว่า" ผมลุกจากเก้าอี้เดินไปที่ประตู แต่ยังไม่ทันที่จะเปิด
"เจอแฟนแล้วก็อย่าลืมเพื่อนหล่ะ ไม่รับสายก็ไม่ได้แปลว่าไม่ได้กำลังรออีกสายนะ" ผมหยุดฟังประโยคที่พี่มัทพูดจนจบ ถึงจะไม่เข้าใจแต่ก็เดาได้ว่าพี่มัทกำลังหมายถึงโอ้ต จากที่ไม่ได้กังวลก็ทำให้ผมต้องมาคิดอีกครั้งว่าตั้งแต่ผมมีพี่เชนเข้ามาทำให้ผมกำลังลืมมันอยู่หรือเปล่า
.......................................................................
หลังจากเดินออกมาจากห้องพี่มัทก็เห็นพี่เชนเดินมาจากทางร้านกาแฟแม่ ผมเลยรีบเดินเข้าไปหา
"พี่เชน ทำไมมาเข้าห้องน้ำตั้งนาน"
"แมท" พี่เชนแค่เรียกชื่อผมพร้อมรอยยิ้มก่อนจะเดินมาจับมือแล้วพาไปทางลานจอดรถ
"เดี๋ยวๆพี่" ยังไม่ทันจะได้พูดหรือถามอะไรก็โดนลากมาจนถึงรถแล้ว
"กลับบ้านกันนะ" ไม่รู้หรอกว่าที่ดูเหมือนรีบให้กลับบ้านนี่เพราะอะไร แต่ดูท่าทางคงเป็นเรื่องเร่งด่วนมาก
"ทำไมต้องรีบขนาดนี้" ผมถามขึ้นหลังจากขึ้นรถคาดเข็มขัดนิรภัยและปิดประตูเรียบร้อย
"พี่ไปขออนุญาตแม่มา" พี่เชนหันหน้ามาตอบคำถาม
"แม่แมทเหรอ"
"ใช่ แม่รับรู้และยอมรับความรักของเรานะ"
"จริงเหรอพี่" ผมกำลังรู้สึกเต็มตื้น มันพูดอะไรไม่ออก แค่แม่กับพี่มัทยอมรับมันพอแล้วจริงๆ
"ครับ พี่เลยอยากรีบกลับบ้านเพื่อจะได้วิดีโอคอลกับพี่เชลด้า"
"พี่เชลด้ารู้เหรอ" ผมถามออกไปด้วยความสงสัย
"ป๊ากับม๊าก็รู้ เหลือแค่พี่พาไปเจอ" ถ้าทุกคนรู้มันแปลว่าพี่เชนเตรียมทุกอย่างก่อนจะมาที่นี่แล้วจริงๆ ทำไมถึงมีความพยายามและตั้งใจขนาดนี้นะ ผมซะอีกที่ได้แต่คิดไม่แม้แต่จะทำอะไรเลยสักอย่าง
"พี่เชน" ผมเรียกชื่อคนตรงหน้าพร้อมกับโน้มตัวไปดึงไหล่อีกฝ่ายเข้ามากอด
"แมทขอบคุณมากนะพี่เชน ขอบคุณสำหรับทุกอย่าง" ผมพูดบอกก่อนจะเลื่อนมือที่โอบไหล่พี่เชนอยู่มาปลดเข็มขัดนิรภัยให้เรากอดกันถนัดขึ้น
"พี่ขอเปลี่ยนจากคำขอบคุณเป็นอย่างอื่นได้ไหมครับ"
"ได้สิ อะไรก็ได้ ว่ามาเลย แมทจะไปหาซื้อมาให้" ผมอยากได้ยินคำขอจากชัดๆเลยผละอออกจากกอดนั้นแล้วมองหน้าพี่เชน ตอนนี้ผมอยากเป็นฝ่ายที่พยายามบ้าง แค่ให้บอกว่าต้องการอะไร
"ไม่ต้องซื้อ แค่อยู่นิ่งแล้วทำตามพี่ก็พอ" พูดจบหน้าพี่เชนที่อยู่ห่างกันไม่ถึงคืบก็ขยับเข้ามาใกล้กว่าเดิมก่อนจะแตะปากลงมาบนแก้มผม พี่เชนนิ่งอยู่อย่างนั้นสักพักแล้วจึงค่อยๆถอนออก สายตาที่เรากำลังมองกันอยู่ตอนนี้มันสื่อความหมายมากมาย เหมือนเรากำลังพูดคุยกัน รอยยิ้มที่เหมือนเรากำลังเข้าใจกันทุกอย่าง
"แมทเคยกอดพี่เพราะสัญชาตญาณใช่ไหม" ผมพยักหน้ารับ เรากอดกันครั้งแรกเพราะสัญชาตญาณของผม ความรู้สึกตอนนั้นคืออยากกอดคนคนนี้เอาไว้ อย่างให้ร่างกายเราส่งผ่านความรู้สึกถึงกัน
"ครั้งนี้ก็เหมือนกัน พี่อยากแน่ใจว่าสัญชาตญาณของแมทเป็นสิ่งที่พี่เชื่อได้" พูดจบพี่เชนก็ประคองหน้าผมเข้ามาใกล้อีกครั้ง ก่อนจะเอียงหน้าประทับริมฝีปากลงมาบนกลีบปากผมเบาๆอย่างเนิ่นนาน ก่อนจะเปลี่ยนมาขบเม้มริมฝีปากล่างตามด้วยริมฝีปากบนอย่างอ้อยอิ่งให้ผมคล้อยตามจนต้องขยับตัวเข้าไปใกล้อีกนิดพร้อมกับคล้องมือไว้กับคอพี่เชนเพื่อให้เราอยู่ใกล้กันมากขึ้น ตอนนี้ทุกอย่างมันว่างเปล่าไปหมด ผมลืมแม้กระทั่งว่าตอนนี้เรากำลังอยู่ที่ไหน ตอนนี้เราใกล้กันมากขึ้นอีกก้าว ความกังวลลดลงไปอีกขั้น ทุกอย่างที่เป็นอยู่ตอนนี้มันดีมากกว่าที่คิดไว้จริงๆ ผมไม่รู้ว่าจูบที่ดีควรเป็นอย่างไร แต่พี่เชนทำให้ผมรู้ว่าจูบที่ผมต้องการที่สุดในชีวิตผมจะหาได้จากใคร
.......................................................................
❤ขอบคุณที่ติดตามนะคะ ^^*
❤โล่งกันไปอีกเปราะ หายไปอาทิตย์นึง เก๊าขอโทดดดดดด
❤อย่าลืมแวะไปติดแท็ก #รักระหว่างทาง กันด้วยน้า
❤อนาลงตอนแรก #รักระหว่างรอ ไปแล้วน้า พรุ่งนี้จะมาลงต่อตอนสอง แวะไปอ่านกันได้นะคะ
❤แนะนำติชมได้ตามสะดวกเลยนะคะ ขอบคุณค๊า