แจ้งข่าวค่ะ
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: แจ้งข่าวค่ะ  (อ่าน 54622 ครั้ง)

ออฟไลน์ anana

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 49
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +16/-0
Matt Part

          ตั้งแต่ตกลงคบกันพี่เชนก็ดูจะทำตัวน่ารักมากขึ้น หยอดกันได้ตลอดแทบจะทุกนาที ผมก็เขินจนเริ่มจะรังเกียจท่าทางของตัวเองแล้ว ไม่รู้ว่าต่อหน้าพี่เชนจะหูแดงหน้าแดงไปถึงไหน และที่อาสาลงมาซื้อกาแฟให้ก็เพราะอยากเอาใจ อยากดูแลอยากทำให้พี่เชนประทับใจบ้าง แค่พี่เชนหานิยายผมมาอ่านทั้งๆที่ภาษาไม่แข็งแรงผมก็เป็นปลื้มมากพอแล้ว ถ้าผมใช้เวลาอยู่กับผู้ชายคนนี้ไปเรื่อยๆผมจะต้องมีความสุขมากขึ้นๆแน่ๆ ผมสัมผัสได้ว่าพี่เชนเป็นผู้ชายที่น่ารัก ใส่ใจรายละเอียด ช่างเอาใจ และผมเองก็กำลังเรียนรู้ที่จะทำแบบนั้นเพื่อเอาใจพี่เชนบ้าง รวมถึงกาแฟแก้วนี้ผมก็หวังว่าจะถูกใจและถูกปากพี่เชน

"อเมริกาโน่เย็น 1 แก้วครับ"       โชคดีที่ไม่มีลูกค้าต่อคิว ผมเลยไม่ต้องรอ

"85 บาทค่ะคุณลูกค้า"       พนักงานคิดเงินบอกราคา ผมเลยหยิบเงินให้

"นี่ครับ เอ่อ รบกวนใส่น้ำเชื่อมแค่ 10 มิลลิลิตรพอนะครับ"       ผมจำได้ว่าพี่เชนดื่มกาแฟไม่ใส่น้ำตาล แต่ด้วยผมเป็นคนไม่ดื่มกาแฟเพราะมันขม ผมเลยขอให้พนักงานใส่น้ำเชื่อมลงไปนิดหน่อย และหากบอกเป็นปริมาตรน่าจะง่ายต่อการกะความหวานในครั้งต่อไปของผม ตอนนี้ผมอยากลองดื่มดูบ้าง อยากลองชอบในสิ่งที่พี่เชนชอบ อยากดื่มกาแฟจากแก้วเดียวกัน ดูดจากหลอดเดียวกัน แค่คิดก็โรแมนติกแล้ว

"ได้แล้วค่ะคุณลูกค้า"       หลังจากคิดภาพโรแมนติกไว้ในหัวเรียบร้อยกาแฟก็เสร็จพอดี
 
"แมท"       ยังไม่ทันจะเดินพ้นเขตร้านก็ได้ยินเสียงเรียกให้หันไปมอง

"อ้าวหลิน มาทำอะไรที่นี่"       บางทีก็อยากด่าตัวเองที่ชอบถามอะไรโง่ๆ มาห้างจะมีสักกี่อย่างให้ทำ

"มาซื้อของ"       และนี่คือเหตุผลที่เหมาะสมกับสถานที่และสิ่งของที่เต็มมือทั้งสองข้างของหลินที่สุด

"หลินมาคนเดียวเหรอ"       ก็เห็นว่ามาคนเดียว แต่ผมก็ไม่รู้จะถามอะไรต่อ

"ใช่ค่ะ"       ตอนนี้ผมอยากจะไปร้านหนังสือแล้ว แต่ก็ไม่อยากจะเสียมารยาทพูดออกไป

"เอ่อ งั้นเราไปก่อนนะหลิน เอาไว้เจอกัน"       ผมบอกเพื่อตัดบท

"แมทพอจะมีเวลาสักเดี๋ยวไหม หลินมีเรื่องอยากคุยด้วย"       อันที่จริงผมเองก็มีเรื่องที่ค้างคาใจกับหลิน แต่ในเมื่อหลินพูดเองว่ายังไม่อยากคุยตอนที่พี่เชนอยู่ที่นี่ แล้ววันนี้ผมกับพี่เชนก็มาด้วยกัน ถึงผมจะไม่รู้เหตุผลที่หลินต้องการให้เป็นอย่างนั้น แต่ผมก็ควรเลี่ยงไม่ให้ทั้งคู่เจอกันคงดีกว่า

"ขอโทษทีนะหลิน พอดีเราไม่ค่อยสะดวก"

"แค่ 10 นาทีเอง นะคะ คิดว่าช่วยถือของไปส่งหลินที่รถก็ได้ นะคะนะนะ"       แล้วคำพูดที่ว่า 'แมทไปส่งหลินหน่อยนะคะ นะคะ นะนะนะนะนะ' ของพี่มัทก็ลอยมา ถึงมันจะไม่เหมือนที่พี่มัททล้อซะทีเดียว แต่ก็ให้ความรู้สึกถึงอารมณ์คนพูดไม่ต่างกัน

"ครับ หลินเอาของมา เราช่วยถือ"       ไปแค่ 10 นาทีคงไม่เป็นไรหรอกมั้ง กาแฟก็ไม่ต้องรอคิว คงกลับมาทันเวลาที่บอกพี่เชนไว้พอดี

.......................................................................


          ช่วยถือของหลินลงมาที่ลานจอดรถบริเวณที่ถูกจัดไว้สำหรับผู้หญิง เดินตามไปเรื่อยๆก็เห็นรถที่ไฟกระพริบตามสัญญาณจังหวะพอดีกับที่หลินกดรีโมท ระหว่างที่เดินผ่านมาผมก็ถูกมองด้วยสายตาสงสัยจากพนักงานรักษาความปลอดภัยที่คอยตรวจตราอยู่บริเวณนี้ ผมแค่เดินมาส่ง คงไม่เป็นปัญหาอะไร

"หลินเปิดหลังรถสิ เราจะเก็บของให้"       ผมบอกหลินก่อนจะเดินไปหลังรถ

"แมทเอาแก้วกาแฟมานี่ก็ได้ค่ะ หลินถือให้"       ผมยื่นแก้วกาแฟให้หลินที่เดินตามมา

"เรียบร้อยแล้ว"       ผมเอื้อมมือจะปิดกระโปรงหลังรถแต่หลินยกมือห้ามไว้

"อย่าเพิ่งปิดค่ะ ขอหลินเปลี่ยนรองเท้าก่อน"       หลินวางแก้วกาแฟไว้ที่อีกฝากหนึ่งของที่เก็บของหลังรถซึ่งเต็มไปด้วยรองเท้า รถผู้หญิงก็ต้องเป็นแบบนี้ มีของพร้อมใช้งานตลอดเวลา แต่ผมว่ามันคงจะไม่เหมาะสักเท่าไหร่ที่จะเอาแก้วกาแฟไปวางไว้ตรงที่ที่เต็มไปด้วยรองเท้าที่ถูกใช้งานแบบนั้น ผมเอื้อมมือไปหมายจะหยิบแก้วกาแฟมาถือไว้ แต่หลินกลับโน้มตัวมาบังเพื่อหยิบรองเท้าส้นแบนมาวางไว้ที่พื้นก่อนถอดรองเท้าส้นสูงที่ผมเห็นแล้วรู้สึกทรมานแทนออก ทำให้ผมไม่สามารถเอื้อมมือไปหยิบแก้วกาแฟได้

"อุ้ย!"       จังหวะที่หลินกำลังงอเข่าขวายกเท้ามาด้านหลังเพื่อให้ใกล้มือจะได้ปลดสายที่รัดข้อเท้าออก หลินก็เซแล้วเอียงตัวเหมือนจะล้มให้ผมต้องเข้าไปประคองไว้ ผมไม่แน่ใจว่าเพราะหลินอยู่บนรองเท้าส้นสูงเพียงข้างเดียวเลยทำให้เธอยืนลำบากหรือเปล่าถึงได้ยิ่งเซมาทางผมมากขึ้น

"ไหวไหมหลิน ให้เราช่วยถอดไหม"       ผมถามขึ้นขณะใช้มือประคองไหล่หลินเอาไว้

"ไม่เป็นไรค่ะ หลินคงยืนไม่ดีเอง"       หลินพยายามฝืนตัวไปยืนตัวตรงแล้วทำท่าจะยกเท้าที่ยังมีส้นสูงอีกข้างอยู่ขึ้นมา

"เดี๋ยวเราถอดให้ หลินจับที่ไหล่เราไว้ก็ได้"       พูดจบผมก็ก้มตัวลงนั่งยองเงยหน้าบอกหลินให้เอามือมาเกาะไว้ที่ไหล่ผม พอหลินทำตามผมเลยก้มลงใช้มือยกข้อเท้าหลินขึ้นก่อนจะปลดสายรัดที่ข้อเท้าตามด้วยปลดรองเท้าออกจากเท้าหลินแล้วใส่รองเท้าส้นแบนอีกข้างให้

"เมื่อกี้ที่เกือบล้มหลินปวดข้อเท้าไหม"       ท่าทางที่เซขนาดนั้นผมคิดว่าอาจจะส่งผลให้ข้อเท้าแพลงได้เลยลองจับที่ข้อเท้าทั้งสองข้างเบาๆแล้วถามดู

"โอ้ย! อย่ากดแรงค่ะแมท"       ทั้งที่ผมกดน้ำหนักเบาๆแต่หลินกลับส่งเสียงร้อง แสดงว่าคงต้องมีอาการปวดอย่างแน่นอน

"หลินเจ็บข้างนี้เหรอ มากไหม"       ผมชี้ที่ข้อเท้าข้างซ้ายที่เพิ่งเอามือออก

"นิดหน่อยค่ะ"       ผมลุกขึ้นยืนหลังจากได้ยินคำตอบ

"ทำไงดี อย่างนี้จะขับรถไหวไหม"       ผมรู้สึกกังวล รองเท้าเท้าผู้หญิงนี่อันตรายนะ ทำไมต้องพยายามใส่สูงกันขนาดนี้

"แมทช่วยประคองหลินไปที่รถก็พอค่ะ"       ผมทำตามที่เธอขอ โดยไม่ลืมคว้าแก้วกาแฟของพี่เชนที่อยู่กระโปรงหลังออกมาด้วยก่อนที่จะเอื้อมมือไปปิดฝากระโปรงหลังรถลง แล้วยื่นแก้วกาแฟให้หลินช่วยถือไว้

"ค่อยๆเดินนะหลิน"       ท่าทางที่ดูกะเผลกแบบนั้นเธอคงจะขับรถไม่ไหวผมเลยประคองให้เธอมานั่งฝั่งข้างคนขับแทน

"ทำไมมาทางนี้หล่ะคะแมท หลินต้องเดินอ้อมไกลขึ้นนะคะ"       ผมเปิดประตูรถให้เธอเข้าไปนั่ง

"เราไปส่งหลินเอง ท่าทางคงขับรถไม่ไหว เราเป็นห่วงไม่อยากให้หลินขับกลับเอง"       ผมปิดประตูรถหลังจากอธิบายจบ ผมรีบเดินอ้อมมาฝั่งคนขับแล้วเปิดประตูขึ้นรถ

"ขอบคุณนะคะแมท"       รอยยิ้มของหลินยังน่ารักสำหรับผมเสมอ ไม่ว่ายังไงเธอก็คือรักครั้งแรกของผม ไม่ว่ากี่ครั้งที่เธอยิ้มให้ก็ยังทำให้ผมรู้สึกอยากยิ้มตามไปด้วยทุกครั้ง

"นี่คะกาแฟ แมททานก่อนไหมคะ ละลายจะหมดแล้ว"       ทันทีที่หลินยื่นแก้วกาแฟในมือมาให้ผมก็คิดถึงอีกคนทันที นี่ผมลืมพี่เชนไปได้ยังไง แย่จริงๆ แล้วนี่ถ้าผมไปส่งหลินแล้วพี่เชนหล่ะ ผมก้มลงมองนาฬิกาอีกครั้ง ผ่านมา 40 นาทีแล้ว ป่านนี้พี่เชนจะตามหาผมหรือเปล่า เบอร์โทรศัพท์ของผมพี่เชนก็ไม่มี เบอร์โทรศัพท์ของพี่เชนผมก็ไม่มี

"แป๊บนึงนะหลิน"       ผมลงจากรถแล้วปิดประตู หยิบโทรศัพท์ออกมาโทรหามิน มันเป็นคนเดียวที่ผมนึกออกเวลานี้

'ฮัลโหลมิน'     

'ฮัลโหลว่าไงแมท'       ผมรู้สึกดีใจมากที่ได้ยินเสียงมันรับสาย

'มึงอยู่ไหนวะ'       

'กำลังจะออกไปห้าง C มีไรป่าวมึง'       ผมยิ่งรู้สึกดีใจยิ่งกว่าเดิมอีกที่มันกำลังจะมาห้างเดียวกับที่ผมอยู่ตอนนี้

'คืองี้เว้ยมิน กูมีเรื่องให้ช่วย พอดีกูเจอหลินแล้วหลินขาแพลง กูเลยว่าจะขับรถไปส่ง แต่พอดีกูมากับอีกคนหว่ะ แล้วกูก็ทิ้งเขาไม่ได้ด้วย'       ผมอธิบายให้มินฟังอย่างติดๆขัดๆ

'ที่บอกว่าทิ้งเขาไม่ได้นี่หมายถึงหลินหรือคนที่มึงมาด้วยวะ'     

'เอ่อ คนที่กูมาด้วยหว่ะ กูเลยจะรบกวนมึงมาพาหลินกลับบ้านได้ไหมวะ'       ผมตอบออกไปด้วยน้ำเสียงอ้อมแอ้ม

'เออ ได้ดิวะ กูไปกับพี่กูพอดี เดี๋ยวกูพาหลินกลับบ้านเอง'

'โอเค ถึงแล้วโทรมานะ กูอยู่เป็นเพื่อนหลินก่อนละกัน'

'ได้มึง เจอกัน'       แล้วผมก็กดวางสายไป วิธีนี้คงช่วยแก้ปัญหาได้ เดินกลับมานั่งที่ประจำคนขับอีกครั้งแล้วปิดประตูสตาร์ทรถ

"หลินขอบคุณแมทมากเลยนะคะ"       เธอเอ่ยขอบคุณด้วยรอยยิ้มอีกครั้ง

"ไม่เป็นไรครับ"       

"งั้นกลับกันเลยนะคะ หลินอยากกลับบ้านแล้ว"       เธอบอกขณะดึงเข็มขัดนิรภัยมาคาด

"เราไม่ได้ไปส่งหลินแล้ว เราขอโทษนะ เราโทรให้มินมารับหลินแล้ว"       ผมบอกเธอ

"ทำไมแมททำแบบนี้คะ แมทก็รู้ว่าหลินกับมินเราเลิกกันแล้ว"      เธอขมวดคิ้วถามพร้อมกับน้ำเสียงที่เริ่มดังขึ้น   

"เราขอโทษนะหลิน แต่เรามากับพี่เชน เราทิ้งพี่เขาไว้คนเดียวไม่ได้"

"แมทก็โทรไปบอกพี่เขาสิคะว่าต้องไปส่งหลิน"

"พอดีเราไม่มีเบอร์โทรศัพท์ของพี่เชน พี่เชนไม่น่าจะมีเบอร์ไทยนะ"

"หลินไม่เข้าใจว่าทำไมแมทต้องเทคแคร์คุณเชนนั้นดีขนาดนี้คะ ทั้งๆที่เป็นแค่เจ้าของที่พักที่แมทเคยไปพักแค่นั้นเอง"

"ไม่ใช่แค่นั้นหลิน ที่เราดูแลพี่เชนดีเพราะพี่เชนก็ดูแลเราดีเหมือนกันตอนอยู่ที่นั่น"

"หวังว่าคงแค่นั้นจริงๆนะคะ ไม่ใช่ไปเป็นแบบเดียวกับพวกมินพวกโอ้ต ยังไงๆชีวิตนี้หลินก็หลีกหนีคนจำพวกนี้ไม่พ้นใช่ไหมคะ"       หลินพูดออกมาด้วยเสียงที่ให้ความรู้สึกเหมือนกำลังเหยียดหยามและคำพูดที่ผมไม่ค่อยจะเข้าใจ

"เกี่ยวอะไรกับมินแล้วก็โอ้ตเหรอหลิน"

"ก็พวกชอบเพศเดียวกันไงค่ะ พวกทำตัวผิดธรรมชาติทำตัวน่ารังเกียจ"      แล้วไอ้โอ้ตไปรวมอยู่ในพวกนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่

"หลินกำลังหมายถึงเราหรือเปล่า"       ผมถามออกไปด้วยความสงสัย

"หลินหมายถึงคนอื่นที่ไม่ใช่แมทค่ะ"

"ไม่หรอก ที่หลินพูดถึงก็มีเรารวมอยู่ด้วยนั่นแหละ ที่เราต้องเทคแคร์พี่เชนขนาดนั้นก็เพราะว่าเขาเป็นแฟนเรา"       ผมไม่รู้ว่าไปรวบรวมความกล้าแบบนี้มาจากไหนถึงได้ตัดสินใจบอกความสัมพันธ์ที่ยังไม่พร้อมและไม่ได้เตรียมใจจะบอกใครกับหลินไป อาจจะเพราะคำพูดที่เธอกำลังดูถูกคนอื่น

"เฮอะ!"       ถอนหายใจออกมาก่อนจะเปิดประตูเดินลงจากรถให้ผมเดินลงจากรถตามโดยไม่ลืมหยิบแก้วกาแฟติดมือมา

"แล้วข้อเท้าหลินหล่ะ"       ผมถามหลังจากปิดประตูรถผมเห็นหลินเดินอย่างรวดเร็วมาที่ประตูฝั่งผม ดูกระเผลกไปบ้างแต่ไม่เท่าตอนแรก

"ตลกนะคะแมท ผู้ชายยังไงก็คือผู้ชายวันยังค่ำ หลินไม่ได้ใช้ข้อเท้าซ้ายเหยียบคันเร่งนะคะ"       ผมมองข้ามความจริงข้อนี้ไปได้ยังไง การที่เธอพูดแบบนั้นมันเหมือนกำลังตอกหน้าผมด้วยคำว่าโง่เลย เพียงเพราะเป็นห่วงเลยลืมคิดถึงข้อนี้ไป สำหรับรถเกียร์อัตโนมัติเท้าซ้ายเราไม่ได้ใช้งานเลยด้วยซ้ำ

"ขอตัวนะคะ ช่วยหลบด้วยค่ะ"       ผมถอยหลังให้กับหลิน ตามที่เธอต้องการ ถอยออกมาให้พ้นหน้ารถเธอ ความรู้สึกตอนนี้คือผิดหวัง คนที่ผมเคยชื่นชมและหลงรักทำไมถึงได้พูดจาไม่น่าฟังแบบนี้ ผมผิดหวังกับทัศนคติเธอด้วย ลืมเรื่องที่อยากจะมาคุยและปรับความเข้าใจไปเสียสนิท แต่ก็ดีแล้ว หากได้คุยกับคนที่มีทัศนคติที่ติดลบและไม่เปิดใจแบบนั้นคงไม่มีประโยชน์ที่จะพูดหรืออธิบาย

.......................................................................


❤ขอบคุณที่ติดตามนะคะ ^^*
❤ #พี่เชนมุ้งมิ้ง มาคอยดูความมุ้งมิ้งของพี่เชนกันต่อนะ อย่าเพิ่งทิ้งเค้านะ ขอโทษที่มาช้า แฮ่ๆ
❤แอบเป็นห่วงกาแฟพี่เชนจัง น้ำแข็งจะละลายหมดแล้ว
❤อย่าลืมแวะไปติดแท็ก #รักระหว่างทาง กันด้วยน้า
❤แนะนำติชมได้ตามสะดวกเลยนะคะ ขอบคุณค๊า


ออฟไลน์ stickyyrice

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1509
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +40/-5
เกลียดนางจริงๆ ยัยหลินนนนน

ออฟไลน์ snowboxs

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 5445
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +124/-7
ตอนท้ายมาขัดความฟินของเราหายวับไปเลย
รู้เรื่องแล้วนะแมท เรื่องหลินน่ะ เลิกกังวล
ก่อนเข้าห้าง แนะนำให้ทิ้งกาแฟแก้วนั้นไปซะ
ไม่ได้กลัวว่าน้ำแข็งละลายแล้วจะกินไม่อร่อย
แต่เจ้าหล่อนเอาไปวางรวมกับรองเท้า
มันดูไม่เหมาะสมอย่างรุนแรงเลยค่ะ

ออฟไลน์ Yara

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2104
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +18/-2
โดนผู้ชายบอกว่า เป็นแฟนกับผู้ชายอีกคน เป็นใครก็คงเสียความรู้สึกล่ะนะ
แต่คิดมั้ยว่า ตัวเองก็ทิ้งเค้าไปเลือกคนอื่น ยังจะมาให้เค้าเลือกตัวเองอีกรึไง

ออฟไลน์ anana

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 49
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +16/-0
ตอนที่ 25


Matt Part


"ฮัลโหลมิน"       ต่อสายหามินอีกครั้งเพื่อบอกมันว่าหลินกลับบ้านแล้ว

"กูใกล้ถึงแล้ว รอก่อนๆ"       ทั้งรู้สึกผิดและเกรงใจในเวลาเดียวกัน มันไม่ควรจะต้องมาทำตามที่ผมขอเลยด้วยซ้ำ

"ไม่ต้องแล้วมิน หลินกลับไปแล้วหว่ะ โทษทีมึง"

"อะไรวะ กูมาช้าเหรอ นี่ก็ออกจากบ้านทันทีที่มึงโทรมาเลยนะ"       ยิ่งมันพูดแบบนี้ยิ่งทำให้ผมรู้สึกอยากขอโทษมันยิ่งขึ้นไปอีก

"หลินบอกว่าเขาไม่ได้ใช้เท้าซ้ายเหยียบคันเร่งหว่ะมึง"       มันเป็นประโยคที่ตอกหน้าผมมากจริงๆ รู้สึกเหมือนตัวเองเป็นคนโง่เลย

"กูงง แต่เออกลับเองได้ก็ดีละ มึงเองก็จะได้ไปหาคนที่มึงทิ้งเขาไม่ได้ซะ"       ไม่รู้ว่ามันกำลังเปรียบเปรย ประชดหรือพูดตามที่ผมเคยบอก ตอนนี้ผมไม่มีแม้แต่อารมณ์จะแก้ตัวหรืออธิบาย

"ขอบใจมึงมากนะ"       ผมเอ่ยขอบคุณมันอีกครั้งก่อนจะวางสาย

        ย้อนกลับไปนึกถึงคำที่แม่เคยพูดว่าไม่สบายใจและอยากให้ผมไปปรับความเข้าใจกับหลิน สิ่งที่ผมทำตอนนี้อาจจะกำลังทำร้ายความรู้สึกหลินโดยที่ผมไม่รู้ตัว ก่อนหน้าที่เรายังไม่เจอกันผมเองก็รู้สึกเป็นห่วงและรู้สึกผิดในใจอยู่ตลอดถึงแม้ว่าจะไม่รู้ว่าเรื่องที่ทำให้หลินเสียใจคือเรื่องอะไร สุดท้ายวันนี้เราก็ยังไม่ได้คุยกันให้เข้าใจ แต่ท่าทางที่หลินแสดงออกมาว่าไม่พอใจแบบนั้น รวมถึงการที่หลินไม่อยากเจอพี่เชนก็คงหนีไม่พ้นเรื่องที่พี่เชนมาหาผมที่นี่ หลินคงดูออกว่าพี่เชนรู้สึกยังไง ผมผิดที่ไม่ชัดเจนเอง การที่ผมเข้าไปปลอบใจเธอวันนั้นมันอาจจะเป็นการทำให้เธอยังเข้าใจว่าผมยังรักยังชอบเธออยู่ อีกทั้งเธอก็ยังคงเสียใจกับเรื่องมินอยู่ไม่น้อย อารมณ์ที่ยังอ่อนไหวและอ่อนแออาจจะทำให้เธอรู้สึกดีขึ้นบ้างถ้าผมไปปลอบและบอกว่ายินดีจะอยู่ข้างๆเธอ เวลาที่เราต้องเห็นใครกำลังอ่อนแอสุดๆ สิ่งที่เราทำได้ในตอนนั้นก็คือไม่ทิ้งให้เขาต้องอยู่คนเดียว แต่ตอนนี้ผมเข้าใจแล้ว การแสดงออกแบบนั้นอาจจะทำให้เกิดความเข้าใจผิด รวมไปถึงการที่คนเราจะพูดอะไรให้ใครฟังหรือจะบอกอะไรกับใครสักคนเราควรพูดให้ชัดเจน ไม่มีใครมาคาดเดาในสิ่งที่เราคิดได้เสมอไป รู้สึกยังไงหรือคิดแค่ไหนก็ควรพูดบอก อย่างน้อยถ้าไม่ใช่ อีกฝ่ายจะได้ไม่ต้องคิดไปเอง แต่อีกสิ่งหนึ่งที่ผมไม่เข้าใจคือทำไมหลินจะต้องพูดถึงโอ้ตว่าเป็นแบบเดียวกับทั้งผมและมิน

        ตอนนี้ในหัวผมมีแต่คำพูดและท่าทางที่ดูไม่น่ารักของหลิน ไม่ว่าตัวเองจะเจ็บปวดแค่ไหนกับเรื่องราวในอดีตก็ไม่น่ามาแสดงออกแบบนั้นกับอีกคน ผมไม่ใช่คนที่อยู่ในเหตุการณ์ในอดีตของเธอ ผมเอาแต่คิดเรื่องนี้ทั้งๆที่รถของหลินก็ออกไปตั้งนานแล้ว ผมลืมไปหมดทุกเรื่อง แม้แต่แก้วกาแฟที่มีหยดน้ำเกาะจนทำให้เปียกไปทั้งมือก็ยังถูกลืม ใช่! แก้วกาแฟของพี่เชน ก้มมองนาฬิกาอีกทีก็เป็นเวลาสี่โมงเย็นแล้ว ผมบอกว่าจะมาแค่ 20 นาที นี่มันปาไป 1 ชั่วโมงแล้ว ป่านนี้พี่เชนคงตามหาผมอยู่แน่ๆ

ครืด ครืด       ~ โทรศัพท์ที่สั่นอยู่ในกระเป๋ากางเกง หยิบขึ้นมาดูเป็นเบอร์ที่ไม่คุ้น  แต่ก็กดรับเพราะผมไม่ใช่พี่มัทที่จะไม่รับเบอร์แปลก

"สวัสดีครับ"       กรอกคำทักทายลงไปในขณะเดินผ่านลานจอดรถกลับไปที่ประตูห้างอีกครั้ง

"แมท พี่เองนะ แมทอยู่ไหน"       ผมไม่รู้หรอกว่าพี่เชนมีเบอร์ผมได้ยังไง แต่ตอนนี้แค่ได้ยินเสียงก็ทำให้ผมรู้สึกผิดที่หายมานานขนาดนี้แล้ว

"พี่เชน"       ผมเรียกพี่เชนแค่นั้น ไม่รู้จะพูดอะไรต่อ ผมไม่รู้ว่าจะตอบยังไงว่าผมหายไปไหน

"แมทอยู่ไหน เดี๋ยวพี่เดินไปหา"       เสียงที่ฟังดูร้อนรนยิ่งทำให้ผมรู้สึกผิด

"แมทอยู่ที่ลานจอดรถ พี่เชนรอแมทที่ร้านหนังสือนะ แมทกำลังเดินกลับไป"

"พี่เห็นแมทแล้ว ยืนรออยู่ตรงนั้นก่อนนะ"       ถ้าพี่เชนมองเห็นผมนั่นก็หมายความว่าพี่เชนอยู่แถวนี้ ซึ่งก็แปลว่าพี่เชนตามหาผมงั้นเหรอ

"แมท"       ผมหันไปตามเสียงเรียกก็เห็นพี่เชนที่รีบวิ่งมาทางผม

"แมทมาซื้อกาแฟแล้วนะนี่ไง พอดีแมทเจอ..."       ยังไม่ทันที่ผมจะอธิบายจบพี่เชนก็ยกมือห้ามพร้อมเสียงหายใจหอบ

"ไม่เป็นไร ยังไงพี่ก็เจอแมทแล้ว พี่ผิดเองที่ไม่มีเบอร์โทรศัพท์ของแฟนตัวเอง"       ผมมองหน้าพี่เชนอยู่อย่างงนั้น มองด้วยความสงสัยว่าทำไมพี่เชนถึงไม่โทษผมสักคำ ทั้งๆที่คนผิดเป็นผมต่างหากมองยังไงพี่เชนก็ไม่ผิดสักนิด ยิ่งเจอแบบนี้ก็ยิ่งทำให้ผมรู้สึกหลงรักผู้ชายตรงหน้ามากขึ้นไปอีก ขีดจำกัดความรักผมมีแค่ไหนกันนะ มีจุดสิ้นสุดเหมือนปรอทวัดอุณหภูมิหรือเปล่า ถ้ามันครบร้อยแล้วความรักมันจะเพิ่มขึ้นได้อีกไหม ในเมื่อพี่เชนทำให้ผมรู้สึกดีได้ตลอดเวลาขนาดนี้ แค่ร้อยก็คงจะไม่พอ

"แมทอยากกลับบ้านแล้วพี่เชน เรากลับบ้านหรือไปร้านพี่มัทก็ได้ นะ"       ผมไม่อยากแม้แต่จะเดินเล่นหรือดูอะไรต่อแล้ว คิดออกแค่อยากกลับบ้าน

"โอเคครับ กลับบ้านกัน นี่กาแฟของพี่ใช่ไหม ไหนขอลองชิมหน่อยว่าจะลืมกาแฟถ้วยเก่าได้อย่างที่คุยไว้หรือเปล่า"       ยื่นมาตรงหน้าผมเพื่อรับแก้วกาแฟ

"ไม่ได้ๆมันละลายหมดแล้ว แมทไปซื้อให้ใหม่ดีกว่านะ"       ผมเลือกที่จะไม่ยื่นแก้วกาแฟให้พี่เชนและดึงเข้าหาตัวมากที่สุด

"ไม่เป็นไรครับ แก้วนี้แหละ พี่อยากดื่มจากแก้วแรกที่แมทตั้งใจสั่งให้มากกว่า"

"แมททำมันพังหมดเลย แมทอยากให้มันอร่อยนะพี่ แต่มันละลายหมดแล้ว อีกอย่างมันถูกวางอยู่ข้างๆรองเท้าไปแล้วด้วย"       ก้มหน้าลงมองแก้วกาแฟที่เคยถูกสลับมือไปมา ไม่อยากจะเดารสชาติมันเลยจริงๆ

"ไม่เป็นไรนะ ลายแล้วก็ไม่เป็นไร ถูกวางข้างรองเท้าแต่กาแฟอยู่ในแก้วนี่ ฝาปิดก็มี พี่เปลี่ยนหลอดก็ได้"       ถ้าพี่เชนแสดงอาการไม่พอใจที่ผมหายไปนานหรือรู้สึกโกรธสักนิดที่ผมทำกาแฟละลายขนาดนี้ผมคงจะไม่รู้สึกผิดมากนัก

"งั้นพี่รออยู่ตรงนี้นะ แมทขึ้นไปบนห้างแป๊บเดียว ไม่ดีกว่า พี่ไปสตาร์ทรถรอก่อนเลยเดี๋ยวแมทเดินตามไปที่รถ"       ผมควรชดเชยและใส่ใจกลับไปบ้าง อย่างน้อยก็เรื่องเล็กๆแบบนี้

"พี่ไปด้วยดีกว่า"       พี่เชนทำท่าจะเดินตามผมมา

"แมทไปแค่แป๊บเดียวพี่ไปรอที่รถนะ"       ผมยกมือห้ามอีกครั้งพร้อมกับสายตาเชิงขอร้อง

"ครับ เอางั้นก็ได้"       ได้ยินพี่เชนตอบออกมาแบบนั้นผมก็รีบเปิดประตูวิ่งขึ้นบันไดเลื่อนขึ้นไปชั้นของห้างเพื่อไปยังร้านกาแฟร้านเดิม ผมรู้ว่าผมทำพัง ไม่พอแค่นั้นยังหายไปนานทำให้พี่เชนตามหาอีก ตอนนี้ผมอยากแก้ตัว เลยตัดสินใจว่าจะมาขอหลอดแล้วสั่งกาแฟที่เหมือนเดิมอีกแก้ว ผมอยากทำตัวเป็นคนที่ใส่ใจพี่เชนบ้าง กาแฟแก้วที่ผมถืออยู่ตอนนี้รสชาติมันคงแย่เกินกว่าที่จะดื่มได้แล้ว น้ำแข็งมันละลายจะหมดแก้ว ถ้าให้พี่เชนดื่มมันคงไม่ต่างอะไรกับน้ำเปล่ากลิ่นกาแฟ เพราะงั้นถ้าพี่เชนดื่มแก้วนี้แล้วไม่อร่อย ผมก็ยังมีอีกแก้วไว้แทนกัน แก้วที่ยังมีความเป็นกาแฟและไม่ได้ไปถูกวางข้างรองเท้าใคร

.......................................................................


"อเมริกาโน่เย็น 1 แก้วครับ"       เป็นโชคดีอีกครั้งที่ไม่มีลูกค้าต่อคิว

"ใส่น้ำเชื่อม 10 มิลลิลิตรเหมือนเดิมใช่ไหมค่ะคุณลูกค้า"       พนักงานรับออเดอร์คนเดิมกับที่สั่งแก้วแรกยิ้มถาม

"ครับ ขอบคุณครับที่จำได้"       ผมยิ้มตอบ

"จำได้สิคะ เคยได้ยินแต่ลูกค้าสั่งหวานน้อย เพิ่มหวาน แต่ระบุแบบนี้เพิ่งเจอเป็นคนแรกค่ะ"       เธออธิบาย

"ครับ"       ผมพยักหน้า ถ้าไม่ระบุเวลาไปสั่งที่อื่นหรือทำเองที่ร้านแม่ความหวานก็จะไม่เท่าเดิม

"ได้แล้วค่ะคุณลูกค้า"       เธอส่งกาแฟแก้วใหม่มาให้ผมยื่นมือไปรับ

"ขอโทษนะครับ ผมขอหลอดเพิ่มอีกอันได้ไหมครับ"

"ได้ค่ะ"       ระหว่างพนักงานหันไปหยิบหลอด ผมวางกาแฟทั้งสองแก้วลงบนเคานเตอร์จ่ายเงินอีกครั้งแล้วดึงหลอดจากกาแฟแก้วเก่าออก พอได้หลอดมาก็จัดการเปลี่ยนมัน แล้วหยิบทิชชู่สำหรับให้ลูกค้าหยิบมาห่อหลอดอันเก่าเอาไว้

"ขอบคุณมากเลยครับ ผมฝากทิ้งด้วยนะครับ"       ยื่นหลอดที่ถูกห่อด้วยทิชชู่ไปให้ พนักงานก็รับไว้ด้วยสีหน้าที่ดูแปลกใจ เธอคงสงสัยว่าผมจะซื้อกาแฟเหมือนกันไปทำไมตั้งสองแก้ว แถมในเวลาที่ห่างกันแค่ 1 ชั่วโมงอีก แก้วเดิมก็ดูปริมาณไม่ได้ลดลง ผมทำแค่ยิ้มให้แล้วรีบเดินออกจากร้าน

        เดินกลับมาทางเดิม ลงบันไดเลื่อนเดียวกันกับที่ขึ้นมาเมื่อสักครู่ แต่พอลงมาได้ครึ่งทางผมก็นึกขึ้นได้ว่าผมจำตำแหน่งที่จอดรถไม่ได้ แล้วผมต้องเดินไปทางไหน ปกติถ้ามาห้างคนเดียวก็จะใช่สมุดจดตำแหน่งที่จอดเอาไว้ แต่วันนี้มากับพี่เชนเลยคิดว่าคงไม่จำเป็นต้องทำ ผมลืมคิดถึงข้อบกพร่องของตัวเองในเรื่องนี้ไปซะสนิท

        ผมบอกกับตัวเองว่าไม่ได้ ผมจะทำตัวเป็นภาระแบบเดิมไปตลอดไม่ได้อีกแล้ว ผมต้องรู้จักปรับตัว ระหว่างที่คิดอยู่นั้นก็เห็นพี่พนักงานรักษาความปลอดภัยยืนอยู่ ตั้งใจจะรบกวนให้พี่เขาช่วยถือแก้วกาแฟให้ก่อน แล้วผมจะโทรหาพี่เชนว่าที่จอดรถอยู่ตรงไหน แค่นี้พี่เชนก็ไม่ต้องเดินมาหาผมเพื่อพาไปที่รถแล้ว คิดได้อย่างนั้นก็รีบเดินลงบันไดเลื่อนมาแล้วตรงไปที่พี่พนักงานยืนอยู่

"ขอโทษนะครับ รบกวนถือแก้วให้ผมหน่อยนะครับ พอดีผมจะหยิบโทรศัพท์โทรหาเพื่อน"

"ครับ ได้ครับ"       พี่พนักงานตอบด้วยรอยยิ้มพร้อมรับแก้วกาแฟไปถือไว้ ผมเลยหยิบโทรศัพท์จากกกระเป๋ากางเกงขึ้นมาเพื่อต่อสายหาพี่เชน

"ครับ"       รอสายไม่นานพี่เชนก็รับ

"พี่เชน เราจอดรถตรงไหนนะ พี่บอกเลขข้างเสามาเดี๋ยวแมทเดินไป"       พอรู้เลขข้างเสา ผมก็จะถามพี่พนักงานคนที่ช่วยถือน้ำให้ว่ามันอยู่ตรงไหน แค่นี้ก็ไม่ต้องลำบากพี่เชนเดินมารับแล้ว

"พี่อยู่ข้างหลังแมท หันมาสิครับ"       ผมหันหลังตามที่พี่เชนบอก แล้วก็พบคนตัวสูงที่ผมโทรหากำลังยืนถือโทรศัพท์แนบหูตัวเองอยู่

"บอกว่าให้ไปรอที่รถไง"       ผมลดโทรศัพท์ลงแล้วกดวางก่อนจะหันไปรับแก้วกาแฟจากพี่พนักงานแล้วเดินไปหาพี่เชน

"เพราะพี่รู้ว่าแฟนพี่ต้องจำที่จอดรถไม่ได้แน่ๆเลยยืนรอ อีกอย่างกุญแจก็อยู่ที่แมทนะ"       พี่เชนยกยิ้มแล้วขยับเดินมาใกล้ๆ ผมขมวดคิ้วมองหน้าพี่เชนนิ่งๆและคิดในใจ บ้าจริงๆบอกให้พี่เชนไปรอที่รถทั้งๆที่กุญแจยังอยู่ที่ตัวเองได้ยังไง

"..."       ผมไม่รู้ว่าจะพูดอะไรออกไปดี มันมีความสุขที่พี่เชนทำแบบนี้นะ แต่ก็ยังเป็นกังวล

"ขมวดคิ้วแบบนี้กำลังคิดว่าตัวเองเป็นภาระอยู่หล่ะสิ"       พี่เชนยกมือมาขยี้หัวผม

"แมทกลัวว่าถ้ายังเป็นอย่างนี้อยู่เรื่อยๆ พี่จะชอบแมทน้อยลง"       ผมก้มหน้าพูดบอกเบาๆด้วยท่าทางไม่มั่นใจ

"คิดมากน่า บอกแล้วไงถ้ามีแมทแล้วแถมภาระพี่ก็รับไว้ ขอแค่มีแมทก็พอ"       พี่เชนยื่นมือมาจับแก้วกาแฟไปถือไว้เองก่อนจะเดินนำไปที่ประตูทางออก ไม่รู้หรอกว่าพี่เชนจะทำให้ผมต้องตกหลุมรักไปอีกสักกี่ครั้ง รู้แค่ว่าตอนนี้หลุมนั้นยิ่งลึกมากขึ้นเรื่อยๆจนยากที่จะขึ้นมาได้เพียงแค่พยายามปีน

.......................................................................


Chen Part


"เอากุญแจมาให้พี่ขับให้ดีกว่าครับ"       ผมยื่นมือที่ถือแก้วกาแฟแก้วใหม่ให้คนข้างตัวเพื่อแลกกับกุญแจรถ

"พี่รู้ทางเหรอ แมทขับให้ดีกว่า"       รับแก้วกาแฟไว้แต่ปฏิเสธที่จะให้กุญแจมา

"ไม่รู้หรอก แมทบอกพี่สิ อีกอย่างแมทจะได้เล่าเรื่องที่ไปเจอมาก่อนหน้านี้ด้วย"       ผมอยากให้แมทมีความมั่นใจว่าเขาเองก็ทำอะไรได้หลายอย่าง เขาไม่ได้เป็นภาระ และผมเองก็ยังมีเรื่องต้องพึ่งพาเขา

"แล้วแต่พี่ละกัน จริงๆแมทขับไปเล่าไปได้นะ"       ผมเดาว่าไม่น่าจะได้นะ และก็ไม่อยากลองด้วย

"พี่แค่อยากดูแลแฟน"       ผมพูดแค่นั้นก่อนจะยื่นมือไปรับกุญแจอีกครั้ง แล้วอีกฝ่ายก็ยื่นมาให้ ผมไม่อยากใช้เหตุผลว่าเป็นห่วงหรืออะไรก็ช่างที่จะส่งผลให้ความมั่นใจของแมทลดลง ถ้าผมบอกว่าเป็นห่วงมันก็ไม่ต่างอะไรกับการไม่ไว้ใจเขา แต่หากถ้าผมบอกว่าอยากดูแลมันจะให้ความรู้สึกที่ดีขึ้นอีกเยอะ คนเป็นแฟนกันก็ควรจะดูแลกัน มันเป็นเหตุผลที่เข้าใจได้ง่าย

"ก็ได้"       วางกุญแจลงบนมือผมพร้อมรอยยิ้ม ผมเดินกุมมืออีกฝ่ายไปพร้อมกับกุญแจอย่างนั้นไปเรื่อยๆ เราเอาแต่ยิ้มโดยมองไปที่ทางข้างหน้า ผมแน่ใจว่าแมทก็กำลังยิ้มเหมือนกัน

"ถึงแล้ว"       แมทบอก

"เห็นไหม เดินมาเรื่อยๆ แค่เราเดินมาด้วยกันยังไงๆก็ไม่หลงทางหรอก"       ผมหันไปพูดบอกเป็นนัยๆให้คนข้างตัวที่ไม่มีปฏิกิริยาตอบกลับคำพูดของผมฟัง แมททำแค่ยิ้มแล้วเดินไปยืนที่ประตูรถฝั่งข้างคนขับ

"ไม่ต้องเดินมา แมทเปิดเองได้"       รีบพูดห้ามผมที่กำลังจะเดินเข้าไปหา และเพราะประโยคนั้นทำให้ผมที่กำลังจะเดินไปเปิดประตูให้ต้องถอยหลังกลับมาเปิดประตูฝั่งตัวเองแล้วขึ้นรถ

"เข็มขัดนี่ก็รีบใส่จัง พี่ไม่เคยบริการทันเลย"       ขึ้นรถได้ก็เอียงตัวจะไปคาดเข็มขัดให้แต่อีกฝ่ายกลับทำมันเรียบร้อยแล้ว ไม่เคยจะทันสักครั้ง

"ตรรกะอะไรทำไมต้องคอยคาดคอยปลดเข็มขัดคอยเปิดปิดประตูให้กัน ก่อนหน้าที่จะมีแฟนก็เคยทำเองได้ พี่เชนอย่าทำอะไรแบบนี้นะ ถ้าแมทต้องไปไหนมาไหนคนเดียวกลัวจะเสียนิสัย"       คนที่นั่งอยู่ข้างๆอธิบายซะยืดยาวขณะที่ผมกำลังคาดเข็มขัดและสตาร์ทรถ

"ดีสิ แมทจะได้คิดถึงพี่ตลอดเวลา"

"ทั้งที่พี่ก็รู้ว่าความคิดถึงมันโคตรจะทรมานเนี่ยนะ"       จริงอย่างที่แมทพูด เราไม่ควรทำให้อีกฝ่ายผูกติดกับกันและกันมากเกินไป ถ้าต้องทำอะไรก็คิดถึง ชีวิตคงยากขึ้น

"พี่จะระวังนะ"       ผมยิ้มตอบ ผมเองก็ยังไม่แน่ใจว่าต่อจากวันนี้ชีวิตความเป็นอยู่ของเราจะเปลี่ยนไปแค่ไหน เราควรจะจัดการยังไงกับความรักของเรา ผมอาจจะไม่ได้อยู่กับแมทตลอดเวลา เราอาจจะต้องห่างกันบ้าง ผมไม่ควรเอาความเป็นห่วงและหวังดีมาทำร้ายกันและกัน

"แมทเข้าใจนะว่าพี่เชนอยากทำให้ บางครั้งมันคงจะดี น่าตื่นเต้น แต่ถ้าพี่ทำทุกครั้ง แมทกลัวตัวเองเสียนิสัย"       ผมพยักหน้าและยิ้ม ผมใช้ชีวิตอยู่แต่กับรถมอเตอร์ไซค์ ไม่เคยมีความคิดจะซื้อรถยนต์เลยสักครั้ง เวลาดูหนังผมก็เคยคิดไว้ว่าอยากลองทำอะไรแบบนี้ให้แฟนดูบ้าง มันคงโรแมนติดและน่ารักดี เหมือนเรากำลังใส่ใจแม้แต่เรื่องเล็กๆน้อยๆ ถ้าผมไม่ทำตอนนี้ก็ไม่รู้ว่าถ้าไปที่ฮ่องกงผมจะมีโอกาสได้ทำหรือเปล่า เพราะผมไม่มีรถยนต์

.......................................................................





ออฟไลน์ anana

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 49
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +16/-0

"พี่ขอลองชิมกาแฟหน่อยสิ เอาแก้วแรกนะ"       ผมบอกก่อนจะออกรถ ที่ย้ำเพราะอยากลองแก้วแรกมากกว่า มันเป็นแก้วที่แมทตั้งใจไปซื้อให้ ผมไม่สนเรื่องรสชาติอะไรทั้งนั้นแหละ

"แค่ชิมก็พอนะ แล้วค่อยกินแก้วใหม่ที่แมทเพิ่งซื้อมาดีกว่า"       ยื่นให้หลอดของกาแฟแก้วแรกมาใกล้ปาก คำแรกที่ดูดขึ้นไปคือมันแทบไม่มีรสชาติกาแฟแล้ว

"พอละ กินแก้วนี้แทนนะ"       ยังไม่ทันได้ดูดจนสุดลมหายใจคนป้อนก็ดึงหลอดออกไปเสียก่อน จนเกือบจะสำลักออกมา พอกลืนคำแรกไปจนหมดหลอดของอีกแก้วก็มาจ่ออยู่ที่ปากแล้ว เลยก้มลงเพื่อดูดกาแฟจากแก้วใหม่

"เป็นไงๆ อร่อยไหมพี่เชน"       น้ำเสียงตื่นเต้นที่ถามขึ้นทันทีที่ผมกลืนคำแรกหมด

"ขอลองอีกที"       พอบอกอย่างนั้นอีกคนก็จับหลอดมาใกล้ที่ปากผมอีกครั้ง ผมดูดกาแฟจากหลอดไปอีกหลายอึก ผมไม่ชอบกาแฟที่ใส่น้ำตาล แค่คำแรกที่ชิมก็รู้สึกได้ทันทีว่าทั้งสองแก้วต้องมีสารให้ความหวานอยู่แน่ๆ มันไม่ถึงกับไม่อร่อย ไม่ถึงกับดื่มไม่ได้ แต่ที่ยังอยากชิมเพิ่ม ก็เพราะว่าคนป้อนที่น่าดึงดูดมากกว่า เลยอยากให้ป้อนสักหลายๆครั้ง

"อร่อยไหม"       คำถามที่ผมไปเหลือบไปมองหน้า

"ทำไมเอาแต่ถามว่าอร่อยไหม"       ผมถามกลับ

"ไหนขอแมทชิมหน่อย"       พูดจบก็ดึงหลอดออกจากปากผมไปแบบกระทันหันอีกครั้ง

"ขอพี่ชิมอีกที"       ผมเอ่ยขออีกครั้ง

"อันนี้เรียกชิมไม่ได้ละมั้ง สามครั้งแล้วเนี่ย"       ผมเคยดูในหนังนะว่าเวลาได้ใช้หลอดต่อกันมันก็เหมือนกับการจูบทางอ้อม ได้ยินอย่างนั้นครั้งแรกนี่คิดว่าไร้สาระชะมัด แต่พอได้ลองทำจริงๆมันดีนะ มันให้ความรู้สึกแบบนั้นจริงๆ แต่ผมว่าอย่างแมทคงไม่คิดถึงขั้นนั้นหรอก เผลอๆอาจจะไม่คิดเลยด้วยซ้ำ

"ไหนๆ แมทลองชิมอีกทีสิ"       ยังไม่ทันไรก็ดึงหลอดออกไปจากปากผมอีกครั้ง แต่คราวนี้มันดันหลุดออกจากปากตอนที่ผมกำลังดูดกาแฟขึ้นมาทำให้กาแฟกระเด็นออกจากปากเล็กน้อย

"ฮ่าๆๆ เลอะเลย ขอโทษๆ เดี๋ยวแมทเช็ดให้นะ"       เอื้อมตัวไปหยิบทิชชู่จากหลังรถมาซับกาแฟที่เลอะให้ ผมไม่โกรธเลยสักนิด ผมชอบเวลาแมททำอะไรแบบนี้ให้มันเหมือนเรากำลังดูแลกันและกัน แล้วก็ชอบเวลาแมทหัวเราะอย่างมีความสุขแบบนี้ด้วย

"ดื่มกาแฟด้วยเหรอเรา"       แมทส่ายหน้าหลังจากใช้ทิชชู่ซับให้เรียบร้อยแล้วก็ดูดกาแฟต่อจากผมอีกครั้ง

"พี่ชอบรสชาติแบบนี้ไหม"       ผมพยักหน้า

"ดื่มได้แต่ถ้าไม่หวานเลยจะชอบมากกว่านี้"       ผมตอบพร้อมเหลือบไปมองคนข้างตัวที่กำลังทำหน้าแหยๆกับแก้วกาแฟที่อยู่ตรงหน้า

"แล้วอันนี้มันแย่มากป่ะ นี่ก็โคตรจะไม่หวานแล้วนะพี่"       ผมไม่ชอบทานอะไรที่หวานๆ ยิ่งสำหรับกาแฟด้วยแล้วถ้าไม่เพิ่มหวานเลยมันทำให้เราได้รับรสชาติของกาแฟที่ชัดเจนกว่า

"ไม่แย่ แบบนี้ก็ได้"       ผมตอบทั้งรอยยิ้มในขณะที่ตายังคงมองถนนด้านหน้า

"อืม"       พยักหน้าก่อนจะก้มดูดกาแฟอีกครั้ง

"ตกลงกาแฟแก้วนี้ใช่ของพี่หรือเปล่า"       ชิมกันไปชิมกันมาไปอยู่ในท้องแมทซะเกือบครึ่งแก้วเห็นจะได้

"เอ้อ โทษทีพี่ ของพี่อ่ะแหละ แหะๆ"       หัวเราะเบาๆก่อนจะยื่นแก้วกาแฟแก้วเดิมที่มีหลอดที่มีรอยกัด เห็นแล้วผมก็หลุดหัวเราะออกมา

"เป็นเด็กไฮเปอร์เหรอเรา ถึงชอบกัดหลอด"       ผมดูดกาแฟต่อจากหลอดที่โดนกัดนั่นแหละ แล้วก็โดนแมทแย่งไปอีกครั้ง ผมหันไปมองก็เห็นเจ้าตัวดึงหลอดให้สลับด้านกัน มันไม่ไดดดีกว่าเมื่อกี้เลยสักนิด

"ไม่ดื่มกาแฟก็ไม่ต้องพยายามหรอกนะ ถ้าคบกันแล้วต้องเปลี่ยนต้องฝืนทำในสิ่งที่ไม่ชอบคงต้องอดทนน่าดู พี่ไม่อยากเห็นแมทไม่มีความสุข"       ผมพูดบอกขณะที่อีกฝ่ายกำลังจะเอาปากคาบหลอดไว้อีกครั้ง ซึ่งผมก็ไม่เข้าใจว่าเมื่อกี้จะกลับด้านหลอดทำไม ถ้าจะดูดต่ออีกสักพักแมทก็คงกัดหลอดอีก

"พี่เชนยังลองชาเขียวที่แมทชอบเลย แถมยังหัดทำอีก แมทก็เลยอยากลองสั่งให้เป็นดูบ้าง แมทจำได้นะว่าพี่ดื่มกาแฟไม่ใส่น้ำตาล แต่ถ้าไม่ใส่เลยแมทก็ดื่มด้วยไม่ได้ มันขมไป ถ้าใส่หวานในแบบที่แมทดื่มได้พี่เชนต้องคายทิ้งแน่ๆ เลยใส่ให้พอรู้สึกว่าพอมีความหวาน เอาแบบที่เราจะดื่มจากแก้วเดียวกันได้ แมทอยากเรียบรู้ในสิ่งที่พี่เชนชอบ อยากให้เราชอบในสิ่งเดียวกัน"       ผมระบายยิ้มออกมาขณะที่แมทเล่าก่อนจะยกมือซ้ายไปลูบหัวเบาๆด้วยความรู้สึกรัก ได้ยินอย่างนี้ผมคงถอนตัวจากความรักครั้งนี้ไม่ได้เลย

"อย่าทำตัวน่ารักเกินไปรู้ไหม"       ถ้ามากกว่านี้คงไม่อยากกลับไปฮ่องกงแน่

"แมทเรียนรู้มันมาจากพี่นะ แมทไม่เคยมีแฟน แมทไม่อยากให้มันพังเพียงเพราะแมทไม่รู้หรือไม่ใส่ใจ เพราะงั้นแมทจะเรียนรู้ความสัมพันธ์ครั้งนี้จากทุกอย่างที่พี่ทำให้"       ได้ยินอย่างนี้ก็ยิ่งทำให้ผมรู้สึกว่าเรากำลังพยายามไปด้วยกัน มันทำให้รู้สึกเหมือนเรารักกันมากขึ้น

"แล้วถ้าพี่เลิกใส่ใจ หรือเลิกทำให้หล่ะ"       ไม่ใช่คำถามที่ตั้งใจจะให้รู้สึกไม่ดี แต่อะไรที่จะเกิดขึ้นผมคาดเดาไม่ได้ ผมเป็นคนในความสัมพันธ์ก็ย่อมอยากได้ความมั่นใจ อีกอย่างผมไม่อยากเริ่มต้นใหม่บ่อยๆ รักแล้วก็อยากรักยาวๆ ตลอดไปได้ยิ่งดี

"มันขึ้นอยู่กับว่าตอนนั้นแมทยังรักพี่อยู่ไหม ถ้ายังรัก แมทคงไม่ฝืนยืนเฉยๆมองพี่โดยที่ไม่ทำอะไรจริงๆให้ตอบตอนนี้คงตอบไม่ได้ทั้งหมด แมทไม่ได้ล่วงรู้อนาคต แค่ทำให้มันดีในแต่ละวันก็พอแล้ว พรุ่งนี้ก็ค่อยว่ากันใหม่"       ผมดีใจที่ได้ยินอย่างนั้น ผมเองก็ไม่อยากสัญญาอะไรออกไป เราไม่มีทางรู้ได้เลยว่าจะคบคนๆหนึ่งได้นานสักแค่ไหน ผมรู้แค่ต้องพยายามทำให้ดีที่สุด ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นจะได้ไม่รู้สึกเสียดายเวลา ขอเพียงแค่ได้อยู่ได้ดูแลกันไปเรื่อยๆในทุกๆวันก็เพียงพอแล้ว

"ขอบคุณนะครับ"       พูดจบก็จับมือแมทเอาไว้


.......................................................................


"น่าแปลกนะ ว่าอย่างนั้นไหม"       ผมปล่อยมือแมทก่อนจะค่อยๆหมุนพวงมาลัยเข้าที่จอดรถร้านคุณมัท

"อะไรแปลก"       คนข้างๆเลิกคิ้วถาม

"ตอนเราเจอกันครั้งแรกพี่ไม่ชอบหน้าแมทเอามากๆ ไม่ถูกชะตาเลยสักนิด แล้วดูสิผ่านไปไม่นานก็มาทำให้พี่ตกหลุมรักซะงั้น พี่ขอโทษนะกับกริยาแย่ๆในวันแรกที่เราเจอกัน"        ทั้งสายตาท่าทางและคำพูดที่มีแต่ความอคติได้ถูกแสดงออกมาทั้งหมดในวันแรกที่เราเจอกัน และก็เป็นแมทเองที่ทำให้ความรู้สึกและท่าทางเหล่านั้นหายไป เพราะความเป็นตัวของตัวเอง เป็นธรรมชาติและน่ารัก

"ไม่เป็นไร เข้าใจได้ ให้มาเจอใครก็ไม่รู้ที่แค่รับผิดชอบตัวเองกับเรื่องง่ายๆยังทำไม่ได้ก็ต้องรู้สึกไม่ชอบใจเป็นเรื่องธรรมดา อีกอย่างแมทก็ด่าพี่ไว้เยอะเหมือนกัน แค่ไม่ได้พูดออกไปพี่เลยไม่รู้"       หลังจากรถจอดสนิทผมก็คว้ามือแมทมากุมไว้อย่างเดิม ผมรู้สึกตัวเองกลายเป็นคนร้ายกาจขึ้นมาทันทีหลังจากได้ยินที่แมทพูด ผมไม่โกรธเลยที่แมทจะด่าว่าผมในใจ ผมเองก็ผิดที่ตัดสินแมทจากครั้งแรกที่เห็น นั่นก็เพราะด้านล่างที่พักมักจะมีคนจรจัดมาแอบนอนตรงโซฟาหน้าลิฟต์อยู่บ่อยๆ ทั้งๆที่ทางการรัฐได้จัดสถานที่และดูแลในหลายๆอย่างให้แต่ก็มักหลบหนีออกมาเป็นอย่างเดิมเพียงเพราะรู้สึกอิสระกว่า ผมเลยรู้สึกไม่ค่อยถูกใจสักเท่าไหร่ ถึงท่าทางแมทจะไม่เหมือนแต่มันก็อดคิดไม่ได้ เวลาดึกขนาดนั้นถ้าไม่ใช่คนจรจัดก็ควรจะกลับไปนอนที่ห้องของตัวเอง ใครจะคิดว่าจะมีนิสัยส่วนตัวที่แปลกประหลาดขนาดนี้ แค่เลขชั้นเลขห้องมันไม่น่าจะยากขนาดนั้น แต่ก็นะเรื่องที่เราทำได้และเห็นเป็นเรื่องปกติหากต้องพบว่ามีใครสักคนที่ทำมันไม่ได้ความคิดแรกสำหรับผมคือการตัดสินว่าคนคนนั้นโง่ไปแล้ว

"พี่ขอโทษนะ"       แมททำให้ผมเปลี่ยนความคิดในหลายๆเรื่อง เห็นอะไรในหลายๆมุม ทุกอย่างที่แมทแสดงออกทำให้คนที่มองอยู่อย่างผมรู้สึกได้ถึงความจริงใจ แมทวางตัวต่อหน้าผู้ใหญ่ได้เหมาะสม ไม่แปลกที่ทุกคนในบ้านผมจะเอ่ยปากชม โดยเฉพาะป๊าที่ดูจะถูกชะตาเป็นพิเศษ แมทไม่ได้ทำตัวเป็นภาระอย่างที่เจ้าตัวคิดเอาเองอยู่บ่อยๆ ตอนที่ได้ยินแมทคุยกับคุณมัทระหว่างทางเดินไปรถไฟฟ้ามันทำให้ผมเห็นว่าแมทได้พยายามแล้วจริงๆ ไม่เอ่ยขอความช่วยเหลือจากผม เป็นผมเองซะอีกที่เสนอตัวเข้าไปช่วยซะเอง

"ทำไมพี่ถึงชอบแมท ไม่ดิ ต้องถามว่าทำไมพี่ถึงตามมาที่สถานีรถไฟฟ้าก่อน"

"ความคิดแรกพี่แค่อยากรู้ว่าแมทจะทำยังไงต่อไป แต่ก็ไม่รู้ว่ามันเปลี่ยนไปเมื่อไหร่ มันกลายเป็นพี่กังวลว่าแมทจะหลงทางหรือเปล่า มันถูกเปลี่ยนเป็นความเป็นห่วง"

"ขอบคุณนะ ถ้าไม่ได้พี่ตอนนั้นแมทคงแย่เหมือนกัน"       ผมกำมือแมทให้แน่นขึ้นก่อนจะยกมือที่เรากุมกันไว้ขึ้นมาพลิกไปมา รู้สึกดีที่เราได้จับมือกันไว้แบบนี้

"ไม่น่าเชื่อเลยนะว่าคนที่ทำให้เชือกหลุดได้จะเป็นแมท"       คนที่ทำให้เชือกที่ยังคงมีสภาพแน่นหนาคลายหลุดออกได้เพียงไม่กี่วันที่เราพบกัน และผมคงจะไม่มั่นใจขนาดนี้ถ้าความรู้สึกของผมเองไม่ได้เปลี่ยนไป

"เหรอ พี่อธิษฐานว่าอะไร"       ยกนิ้วชี้เข้าหาตัวและทำหน้าราวกับไม่อยากจะเชื่อ

"พี่ขอให้มันหลุดในวันที่พี่เจอคนที่ใช่ ขอให้มันหลุดออกราวกับปาฏิหาริย์ในวันที่พี่รู้ใจตัวเอง"       ผมไม่รู้และไม่แน่ด้วยซ้ำว่าความรู้สึกที่เกิดขึ้นระหว่างผมกับแมทในตอนนั้นเรียกว่าอะไร อาจจะแค่สงสารหรือหวังดีในฐานะเพื่อนหรือน้องชายคนหนึ่ง แต่เพราะเชือกที่ดันมาหลุดออกอย่างง่ายดายในช่วงเวลาเดียวกันมันทำให้ผมเริ่มแน่ใจและลองทำตามความรู้สึกและหัวใจดู ซึ่งมันก็คุ้มค่าอย่างที่เป็นอยู่ตอนนี้

"ถึงแมทจะไม่แน่ใจว่าแมทจะใช่คนคนนั้นที่พี่อฐิษธานไว้จริงๆไหม แต่แมทดีใจมากนะที่ได้ยินอย่างนั้น แมทจะพยายามทำให้มันยังคงเป็นแมทตลอดไป มาพยายามด้วยกันนะ"       แค่ได้ยินก็ทำให้ผมยิ้มกว้างอย่างมีความสุข เป็นช่วงเวลาดีดีที่เราได้นั่งคุยพร้อมกับกุมมือและมองหน้ากัน ได้เห็นความสุขที่ส่งผ่านทางสายตาของกันและกันมันเพียงพอแล้วสำหรับวันนี้

.......................................................................


❤ขอบคุณที่ติดตามนะคะ ^^*
❤อาทิตย์อนาจะลง #รักระหว่างรอ นะคะ ชื่อเรื่องนี้เช้ยเชย 555 มารอเจอโอ้ตกันได้นะ อนาสปอยไว้บ้างในทวิตเตอร์ เรื่องนี้จริงๆแต่งก่อนที่จะแต่งรักระหว่างทาง เป็นเรื่องที่เล่าโดยบุคคลที่สาม แต่งไปแต่งมารู้สึกหดหู่ แหะๆเลยพับโครงการ แต่ตอนนี้เราพร้อมจะเปิดตัวละ
❤อย่าลืมแวะไปติดแท็ก #รักระหว่างทาง กันด้วยน้า
❤แนะนำติชมได้ตามสะดวกเลยนะคะ ขอบคุณค๊า


ออฟไลน์ nicksrisat

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 948
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +28/-0
มุมหวานๆมาแล้วพี่เชนและแมทไม่อยากให้พี่เชนกับฮ่องกงเลยอะ

ออฟไลน์ stickyyrice

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1509
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +40/-5
หวานนนนนจนมดขึ้นกาเเฟ 555

ออฟไลน์ nicksrisat

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 948
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +28/-0
แมทรักพี่เชนก็ให้พี่เชนหลงอยู่ด้วยนานๆนะ

ออฟไลน์ snowboxs

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 5445
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +124/-7
รักกันมากขึ้น รักกันทุกวัน รักกันตลอดไป
ไม่ได้เปลี่ยนเพื่ออีกฝ่าย แต่เป็นการปรับเพื่อทั้งคู่
อยากรู้จัก และไปอยู่ในโลกของอีกฝ่ายบ้าง
แต่ไม่ได้ตลอดเวลา และไม่ได้ฝืนใจทำ
อะไรๆก็มีความสุขกันได้เนอะ

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ anana

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 49
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +16/-0
ตอนที่ 26


Chen Part


          อาจจะเพราะวันนี้เป็นวันธรรมดาลูกค้าในร้านเลยไม่เยอะนัก เราปล่อยมือกันตั้งแต่ก่อนจะลงจากรถ ผมยังอยากจะจับไว้อย่างเดิมติดที่อีกคนไม่ยอม สำหรับผมไม่ได้สนใจว่าใครจะมองยังไงแต่แมทคงไม่ได้คิดแบบเดียวกัน แมทบอกว่าเพราะครอบครัวยังไม่รู้ กลัวว่าแม่จะตกใจ แต่ที่ผมได้ยินจากน้องฟินน้องเฟย์คือแม่น่าจะรู้เหตุผลที่ผมมาที่นี่แล้ว เหลือก็แค่ให้เราไปบอกท่าน ผมเดาว่าแม่คงต้องการอย่างนั้น

"ตกลงไปเจอกันที่ไหนคะคุณเชน"       เสียงคุณมัทที่เอ่ยทักเมื่อเห็นเราเดินเข้ามาในห้องทำงานของเธอ

"พี่มัทรู้เหรอ"       คนข้างๆชะโงกหน้ามากระซิบถามระหว่างเดินไปนั่งที่โซฟา

"ครับ พี่โทรมาขอเบอร์แมทจากคุณมัท"       เป็นแฟนกันแต่กลับไม่มีเบอร์โทรของกันและกัน แต่ก็นะ อาจจะเป็นเพราะเราแทบจะอยู่ด้วยกันตลอดเวลาตั้งแต่ตกลงคบกัน

"ว่าไงคะ หาแมทเจอที่ไหน"       เธอเงยหน้าจากโต๊ะขึ้นมาถามอีกครั้ง

"ลานจอดรถครับ"

"อ้าว ไหนคุณเชนบอกว่าตามหาทุกชั้นแล้วไม่มีนี่คะ"       

"น่าจะเป็นเพราะแมทอยู่ตรงที่จอดเฉพาะผู้หญิงมั้งครับ ผมเลยหาไม่เจอ"       ผมบอกก่อนจะนั่งลง

"อ้าว แล้วแมทไปทำอะไรตรงนั้น"       เธอเปลี่ยนจากการมองหน้าผมไปหาแมทที่กำลังยืนพิงตู้เอกสารข้างโต๊ะทำงานแทน

"เดินไปส่งหลิน"       แมทตอบโดยที่ไม่มองหน้าคุณมัท สายตาของแมทกำลังจับจ้องอยู่ที่ซองจดหมายที่เพิ่งหยิบติดมือไปตอนเดินผ่านโต๊ะทำงาน       

"อ้าว แล้วไปเจอหลินได้ไง"       

"เจอที่ร้านกาแฟ จะอ้าวอีกไหมพี่มัท"       ซองจดหมายที่ถูกคนถืออ่านเพียงจ่าหน้าแล้วซองสลับไปเรื่อยๆก่อนจะถูกยัดมันไว้ในกระเป๋ากางเกง ทั้งผมและคุณมัทกำลังมองการกระทำของแมท ผมไม่รู้ว่าเรากำลังคิดเหมือนกันหรือเปล่า แต่ผมกำลังคิดว่าจดหมายปึกนั้นคุ้นตาและดูเหมือนเจ้าของมันก็คือคนที่เพิ่งยัดมันทั้งปึกใส่ลงไปในกระเป๋า

"เออไม่อ้าวแล้วก็ได้ ชอบทำให้คนอื่นเป็นห่วงอยู่เรื่อย ดีนะที่ยุ่งๆเลยหยิบโทรศัพท์มารับแบบไม่ทันได้ดู"       เธอท้าวสะเอวขณะที่กำลังนั่งอยู่แล้วมองแมทด้วยสายตาเชิงตำหนิ

"ขอบคุณมากเลยนะครับที่กรุณา"       แมทส่ายหน้าเบาๆก่อนจะพาตัวเองมานั่งลงข้างๆผม

"เอ้อ ใช่ค่ะ เมื่อวานมัทเช็คเมล มีเมลที่ไม่รู้จักเข้ามา พอลองเปิดดูก็เลยรู้ว่าไม่น่าจะส่งถึงมัทนะคะคุณเชน"       ผมรู้ว่าสิ่งที่คุณมัทพูดนั้นเธอตั้งใจจะบอกให้ผมรู้ว่าเธอกำลังพูดถึงเมลที่ผมส่งมา

"ผมเห็นไม่มีใครตอบ ลองเช็คจากชื่อดูก็ผิดคนจริงๆด้วยครับ"       ชื่อจริงของทั้งคุณมัทและแมททำให้ผมแยกไม่ออก ครั้งแรกที่ผมเห็นอักษรภาษาอังกฤษสามตัวแรกของชื่อเมลทำให้ผมคิดว่านั่นคือชื่อของแมท แถมท้ายเมลก็มีแคค่ชื่อกับเบอร์โทรศัพท์ไม่ได้มีคำนำหน้าชื่อที่บอกเพศของเจ้าของอีเมล จนได้ลองอ่านเมลที่ส่งมาเป็นเมลแรกในตอนหลังว่าคนที่จะมาพักนั้นคนละชื่อกันกับชื่อเมล แต่กว่าที่ผมจะรู้ก็ส่งมาตั้งหลายสิบเมลแล้ว

"คุยเรื่องไรกัน"       แมทหันมามองหน้าผมเหมือนจะคั้นเอาคำตอบ ในเมื่อทุกอย่างเป็นไปในทางที่ดีก็ไม่จำเป็นจะต้องไปพูดถึงมันอีก

"เห็นแม่ว่าจะกลับบ้านไว มีเรื่องจะคุยด้วยนะแมท"       คุณมัทพูดขัดขึ้นมาระหว่างการรอคำตอบของแมท

"เหรอ งั้นแมทไปหาแม่ดีกว่า"       และขอบคุณที่สิ่งที่คุณมัทพูดดูน่าสนใจกว่า ทำให้ผมไม่ต้องตอบคำถาม

"เดี๋ยว มาช่วยมัทดูเรื่องภาษีป้ายร้านก่อน"       เสียงเรียกของคุณมัทห้ามคนที่เพิ่งนั่งอยู่ข้างผมไม่ให้เดินออกไป

"ก็ได้"       แมทตอบแล้วปล่อยที่จับประตูให้ปิดกลับไปเหมือนเดิม

"งั้นพี่ไปเข้าห้องน้ำนะ"       แมทพยักหน้าตอบผมก็เดินออกมาทันที ผมถือโอกาสนี้เดินไปคุยกับแม่ ไม่ว่าจะรักกันแบบไหนสำหรับธรรมเนียมไทยคงไม่ชอบให้ทำอะไรข้ามหน้าข้ามตาอยู่ดี


.......................................................................


"สวัสดีครับ คุณแม่ศิอยู่ไหมครับ"       ถามพนักงานหน้าเคานเตอร์คิดเงินหลังจากเดินเข้ามาในร้าน

"กำลังอบเค้กอยู่ด้านในค่ะ รอสักครู่นะคะพี่อินไปเรียกให้"       

"ถ้าผมขอเข้าไปได้ไหมครับ"       ผมรู้ว่ามันดูไม่มีมารยาทเท่าไหร่ที่โพล่งขอออกไปแบบนั้น ในนั้นเป็นเหมือนพื้นที่ส่วนตัวเกินกว่าแขกอย่างผมจะถือวิสาสะเข้าไป

"พี่อินขอไปบอกก่อนนะคะ เผื่อกำลังยุ่งๆ"       สีหน้าของเธอก็ดูลำบากใจ แต่เรื่องที่ผมตั้งใจจะพูดก็ไม่ใช่เรื่องที่ควรจะพูดในที่ที่มีคนมากมายนั่งอยู่ ผมอยากให้เป็นส่วนตัว

"ได้ครับ"       ระหว่างรอคำตอบผมก็ยืนคิดว่าจะเริ่มต้นพูดยังไง จะให้บอกว่า 'ผมรักแมท' ผมเป็นคนฟังเองก็คงพูดอะไรไม่ออก

"เชิญด้านในเลยค่ะ"       ยังไม่ทันได้คิดอะไรพี่อินก็เดินออกมาบอกให้เข้าไปได้       

"ครับ"       ผมตอบรับแล้วเดินเข้าไปด้านใน ความรู้สึกตอนนี้มันทั้งตื่นเต้นและกังวล ผมรู้สึกมากกว่าตอนบอกให้ครอบครัวรู้ซะอีก

.......................................................................


"แม่สวัสดีครับ"       ผมยกมือไหว้ทักทายขณะที่กำลังเดินไปเพื่อยืนใกล้ๆ

"พี่เชน"       สีหน้ายิ้มแย้มแบบนี้ทำให้ผมลำบากใจไม่น้อยที่จะเอ่ยออกไป

"ผมมีเรื่องอยากจะคุยกับแม่ครับ"       พอผมพูดจบแม่ก็วางถาดคุ๊กกี้ในมือที่เพิ่งเอาออกมาจากเตาอบลงบนโต๊ะ

"จ้ะ"       

"ผมไม่แน่ใจว่าแม่พอจะเดาหรือทราบเหตุผลแท้จริงที่ผมมาที่นี่ไหมครับ"       ผมเริ่มคำถามออกไปอย่างกล้าๆกลัวๆ

"จ้ะ"       ไม่รู้ว่าคำตอบรับนี้หมายความว่าอย่างไร

"ผมตั้งใจจะมาบอก เอ่อ ผมอยากขออนุญาตครับ"       ทุกอิริยาบทของแม่อยู่ในสายตาผม

"จ้ะ"       ทั้งๆที่จับตามองขนาดนั้นผมยังอ่านไม่ออกว่าแม่กำลังคิดอะไรอยู่

"ผมชอบแมทครับ ผมตั้งใจมาที่นี่เพราะจะมาหาแมท ผมอยากบอกความรู้สึกที่ผมมีกับแมท แล้วตอนนี้เรารู้สึกตรงกัน ผมขอโทษนะครับที่ไม่ได้บอกแม่แต่แรก"       สีหน้าที่เรียบนิ่งไม่มีแม้แต่อาการตกใจหรือสงสัย

"เพราะอะไรถึงไม่บอกแม่แต่แรกหล่ะคะพี่เชน"       ยิ่งน้ำเสียงเรียบนิ่งเข้าไปด้วยยิ่งทำให้ผมกังวลมากขึ้นกว่าเดิม

"ผมไม่มีคำตอบครับ ผมผิดที่ไม่พูดออกไปเอง ผมขอโทษครับ"       แม่หันหลังไปวางโถผสมกับไม้พายลงในอ่างล้างจาน ทำให้ไม่รู้ว่าแม่แสดงสีหน้าแบบไหนออกมาหลังจากที่ผมเอ่ยขอโทษ

"ดีแล้วค่ะที่ไม่พยายามหาข้ออ้าง"       มือทั้งสองข้างของผมถูกประสานกันแน่น

"ผมชอบแมทได้ไหมครับ"

"แม่ว่าพี่เชนควรมาถามแม่ก่อนจะจีบแมทนะ"       

"ผมไม่ทำตามขั้นตอนเพราะผมอยากแน่ใจความรู้สึกของแมทก่อน ถ้าแมทไม่ได้รู้สึกอะไรผมก็แค่กลับไป"

"พี่เชนกลัวว่าถ้าแมทไม่รู้สึกเหมือนกัน การที่บอกแม่ก่อนจะทำให้แม่กังวลอย่างนี้หรือเปล่าคะ"

"ถ้าผมแน่ใจแล้วว่าแมทไม่ได้รู้สึกอย่างเดียวกันผมก็จะกลับไป ทุกคนที่นี่ก็จะได้ไม่สงสัยในตัวแมท หรือกังวลว่าแมทจะทำให้ผิดหวัง"

"มันง่ายขนาดนั้นเลยเหรอคะ แล้วความรู้สึกของพี่เชนหล่ะ"

"การจัดการความรู้สึกตนเองเป็นสิ่งที่ผมยังทำได้ อาจจะใช้เวลานานหน่อย แต่ถ้าหากคนอื่นต้องมารู้สึกไม่ดีกับความรู้สึกของผมไปด้วย ผมคงจัดการได้ไม่ง่ายนัก"

"แล้วตอนนี้พี่เชนแน่ใจแล้วเหรอคะว่าแมทกำลังรู้สึกเหมือนกัน"

"ไม่เหมือนกันแน่ครับ ผมแน่ใจแค่ว่าเรากำลังรู้สึกไปในทิศทางเดียวกัน"

"ยังไงคะ"

"แมทอาจจะแค่ชอบผมยังไม่ถึงขั้นรัก ส่วนผมรู้สึกมากกว่านั้นไปแล้วคือรัก"       เราอาจจะไม่ได้รู้สึกเหมือนหรือเท่ากัน แต่มันเป็นในทางเดียวกัน เริ่มต้นได้แค่นี้ก็ดีมากแล้ว

"เพิ่งจะพบกันไม่นานเองนะคะ การที่รู้สึกแบบนั้นมันจะไม่เร็วไปหน่อยเหรอ"

"ผมเองก็เฝ้าถามตัวเองอย่างนั้น แต่คำตอบของทุกครั้งมันไม่เคยต่างไปจากนี้เลย ผมแน่ใจว่าความรู้สึกของผมมันไกลไปกว่าคำว่าแค่ชอบ เพราะฉะนั้นความรู้สึกที่ผมเป็นอยู่ก็ควรถูกนิยามได้กับแค่คำคำเดียวคือรัก"

"ถ้าพี่เชนกับแมทรู้สึกเหมือนกันแต่แม่ไม่เห็นด้วยกับความรักครั้งนี้หล่ะคะ ไม่ใช่แค่เฉพาะแม่นะ รวมไปถึงครอบครัวพี่เชนด้วย"

"ครอบครัวผมทราบเรื่องนี้แล้วครับ ตอนนี้ผมอยากให้แม่เห็นด้วย ผมอยากให้คนสำคัญทุกคนของแมทยอมรับ"       ถ้าแม่ยอมรับ คนที่ผมรักก็จะสบายใจ

"มีตั้งมากมายที่เขารักกันโดยไม่ต้องมานั่งใส่ใจ ให้รักกันราบรื่นแล้วค่อยมาบอกจะไม่ดีกว่าเหรอคะ"

"ผมคงเห็นแก่ตัวขนาดนั้นไม่ได้หรอกครับ เท่าที่ผมสัมผัสแม่สำคัญสำหรับแมทมาก และถ้าหากทุกคนยอมรับ ไม่ว่าปัญหาอะไรที่จะเกิดขึ้นนับจากวันที่เราคบกัน มันจะเป็นปัญหาที่เกิดจากแค่เรา ผมไม่อยากให้คนที่ผมรักต้องมานั่งเสียใจในวันที่เรารักกันมากกว่านี้"

"ถึงโลกจะเปลี่ยนไปมากแค่ไหน แต่ความรักแบบนี้ก็ยังเป็นจุดสีดำบนผ้าขาวอยู่ดีนะคะ"

"ครับ"

"พี่เชนกับน้องจะยังเป็นความแตกต่างในกลุ่มคนหมู่มากที่เรียกตัวเองว่าปกติ ความแตกต่างแบบนี้ก็จะถูกมองเป็นความไม่ปกตินะคะ"

"ผมไม่เคยคิดว่าตัวเองไม่ปกติ และผมก็ไม่เคยเอาความรักของผมไปเปรียบเทียบกับความรักของใคร ผมจะรักในแบบของผม ผมแค่อยากให้ทุกคนในครอบครัวเข้าใจ เพราะทุกคนคือคนสำคัญ"

"แล้วถ้ามันไปไม่รอด แล้วถ้าวันนึงพี่เชนเบื่อแมทหล่ะคะ"

"ผมคงยังตอบไม่ได้หรอกครับ เพราะตอนนี้ผมยังไม่ได้คิดถึงช่วงเวลาที่ไม่มีแมท"

"ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นแม่ขอแค่อย่าทิ้งแมทไว้กลางทาง ถ้าทนไหวก็พากันเดินต่อไปนะ ปลายทางมันยังอีกยาวไกล ไม่ว่าระหว่างทางอุปสรรคมันจะมากมายแค่ไหนแม่ขอให้ช่วยกันประคับประคอง"

"ถ้าเดินไปต่อไม่ไหวก็พากลับมาส่งให้ถึงมือแม่นะคะ"

"ผมรับปากครับ"

"ไม่คิดมาก่อนเลยว่าต้องมาพูดอะไรแบบนี้กับแฟนแมท นึกว่าจะได้ใช้แค่กับมัทซะอีก"

"ผมเข้าใจว่าแม่อนุญาตแล้วได้ไหมครับ"

"คะ เรียกว่าแม่ยอมรับดีกว่าค่ะ 'อนุญาต' มันฟังดูเหมือนแม่เป็นเจ้าของชีวิตน้องเลย แมทเขาโตแล้ว ตัดสินใจเองได้แล้วค่ะ"

"ขอบคุณแม่มากนะครับที่ไว้ใจผม"

"แม่เองก็ประเมินพี่เชนมาสักพัก ตั้งแต่วันแรกที่เจอกันถึงวันนี้ แม้จะเป็นเวลาที่ไม่นานมากนักแต่แม่ก็พอจะมั่นใจได้ว่าพี่เชนจะไม่ทำให้แม่ผิดหวัง"

"แม่รู้แต่แรกแล้วเหรอครับ"

"ก็แค่พอมองออกค่ะ สายตาพี่เชนบอกอย่างนั้น"       ผู้ใหญ่ยังไงก็มีประสบการณ์มากกว่าอยู่วันยังค่ำ

"แม่ก็มองออกใช่ไหมครับว่าแมทรู้สึกยังไง ไม่อย่างนั้นคงไม่อนุญาตให้ผมทำต่อ"

"แม่ไม่ทราบขนาดนั้นหรอกค่ะ แม่แค่เห็นว่าแมทดูเป็นตัวเองเวลาอยู่กับพี่เชน เขาดูมีความสุขและสบายใจเหมือนเวลาอยู่กับคนในครอบครัว แต่นี่มันเพิ่งเริ่มต้น นิสัยส่วนตัวบางอย่างของน้องอาจจะทำให้พี่เชนรู้สึกเบื่อหรือรำคาญได้ อย่าตามใจนะคะแม่ขอ บอกให้เขาปรับ ช่วยเขาเปลี่ยนนะคะ"       

"ครับ"

"แล้วจากนี้พี่เชนมีแผนจะทำยังไงต่อคะ ในเมื่ออยู่กันคนละที่"

"ขั้นแรกผมอยากพาแมทไปเจอทุกคนในครอบครัวผมอีกครั้ง ผมบอกทุกคนไว้ก่อนมาว่าจะพาแมทกลับไปเจอ แล้วหลังจากนั้นผมคงพาแมทกลับมาส่ง"

"แล้วหลังจากนั้นอีกล่ะคะ"

"ผมคงไปๆมาๆครับ"

"แม่เข้าใจนะคะ ไม่ว่าพี่เชนจะมีความคิดที่ดูโตสักแค่ไหน แต่ในสายตาของแม่ พี่เชนกับแมทก็ยังเป็นเด็กอยู่ดี"       พูดจบแม่ก็ยกมือมาลูบหัวผม สัมผัสได้ถึงความอบอุ่นผ่านฝ่ามือนั้น เธอเข้มแข็งมากจริงๆที่ต้องเลี้ยงดูลูกสองคนมาลำพัง

"การที่ต้องไปๆมามันอาจจะทำให้พี่เชนเหนื่อยมากๆในสักวันหนึ่ง อย่าแบกภาระทั้งหมดไว้ที่ตัวเองคนเดียวนะคะ ให้แมทเขาช่วย คิดจะรักกันต้องช่วยแบ่งเบาภาระกัน"

"ดูแม่จะกังวลว่าแมทจะทำให้ผมลำบากเลยนะครับ"

"เพราะแม่รู้ไงคะว่าลูกแม่เขาเป็นยังไง จำไว้นะคะ ถ้าจะเหนื่อยหรือจะทุกข์ก็ต้องแบ่งปันกัน"

"ครับ ผมสัญญา"

"ไม่ต้องสัญญาหรอกลูก ถ้าต้องมาคอยจำคำสัญญากันมันเหนื่อย แม่ขอแค่ให้นึกถึงคำพูดแม่บ้างในวันที่พี่เชนเหนื่อยกับแมทหรือเริ่มรู้สึกว่าต้องใช้ความอดทนบ้างก็พอ"       ผมพยักหน้าพร้อมกับจับมือของแม่เอาไว้เพื่อให้แม่รู้สึกมั่นใจว่าทุกคำที่แม่พูดวันนี้มันจะอยู่ในใจผม

"ผมจะพยายามจับมือแมทให้แน่นที่สุดครับแม่"

"แม่ไม่รู้นะคะ ว่าแน่นของพี่เชนมันแค่ไหน แม่จะบอกแค่ว่าถ้ามันแน่นไปพี่เชนต้องเรียนรู้ที่จะคลาย และถ้าหากแน่นไม่พอพี่เชนก็ต้องเรียนรู้ที่จะกระชับด้วยนะลูก"       ทุกอย่างที่แม่พูดมาทั้งหมดมันทำให้ผมรู้ว่าแม่รักและเป็นห่วงแมทแค่ไหน ที่สำคัญกว่านั้นคือเป็นห่วงกระทั่งความสัมพันธ์ของเรา     

.......................................................................




« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 28-06-2015 23:27:11 โดย anana »

ออฟไลน์ anana

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 49
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +16/-0
Matt Part

"เรียบร้อย ยังมีอย่างอื่นอีกไหม แมทจะได้ดูให้ทีเดียว"

"ไม่ละ"       เงยหน้าขึ้นมาจากจอโน้ตบุ๊คก็เห็นพี่มัทที่ย้ายตัวเองไปนั่งที่โซฟาหน้าโต๊ะทำงานกำลังมองผมอยู่

"มองอะไร"       ผมถามก่อนจะหลบตา สายตาพี่มัทมันนิ่งเกินไปจนผมไม่กล้ามองต่อ

"นี่แมทจริงๆเหรอ"

"ทำไมถามงั้น"       หันไปสบสายตากับพี่มัทอีกครั้ง

"ไม่รู้สิ"       พี่มัทส่ายหน้าแล้วพาตัวเองอ้อมโต๊ะทำงานมายืนพิงตัวกับขอบโต๊ะที่ข้างโน้ตบุ๊ค

"พูดมาเถอะพี่มัท"       ผมพิงหลังไปกับเก้าอี้เพื่อมองพี่มัทชัดๆ

"ในที่สุดน้องมัทก็ต้องมีคนดูแลจริงๆ มันผิดที่มัททำให้แมทเป็นแบบนี้หรือเปล่า"       มือที่ค้ำขอบโต๊ะถูกเปลี่ยนมาขยี้หัวผมก่อนจะถูกดึงไปค้ำที่เดิมอีกครั้ง

"คิดอะไรอย่างนั้น"

"ไม่รู้สิ ถ้ามัทปล่อยให้แมททำทุกอย่างด้วยตัวเอง แมทอาจจะพอปกป้องใครได้"       เรามองตากัน สายตาเรากำลังส่งผ่านความรู้สึกหลากหลาย

"พี่มัทฟังแมทนะ ที่แมทเป็นแบบนี้ก็เพราะแมทรู้ว่ามีแม่กับพี่มัทอยู่ข้างๆ ถ้าวันหนึ่งคนที่เข้ามาไม่ใช่พี่เชนแมทก็รู้ว่าแมทจะต้องทำอะไร แต่ถึงจะเป็นพี่เชนแมทก็คงไม่ทำตัวเหมือนตอนอยู่กับแม่กับพี่มัททุกอย่างหรอก แมทต้องปรับตัว พี่เชนเพิ่งเข้ามาในชีวิตแมทได้ไม่นาน เขาไม่เคยเรียนรู้ว่าแมทใช้ชีวิตยังไง แมทเองก็ไม่เคยเรียนรู้ว่าเขาเป็นยังมาก่อนที่เราจะเจอกัน จากนี้ไปเป็นสิ่งที่แมทต้องเรียนรู้"       ผมกับพี่เชนเราไม่ได้รู้จักกันดีขนาดนั้น สิ่งเดียวที่ผลักเราเข้าหากันตอนนี้คือความรัก ที่เหลือจากนี้ก็ขึ้นอยู่กับว่าเราจะเรียนรู้กันและกันและพร้อมจะปรับตัวเข้าหากันมากแค่ไหน

"พี่เชนของแมทนี่ก็เก่งเนอะ ทำให้คนที่สะเพร่ามาตลอด 25 ปีคิดจะเปลี่ยนแปลงตัวเอง อยากรู้จังว่าใครไปร่ายมนต์ใส่ใครก่อน"       เกือบจะดีอยู่แล้วเชียว

"ตลกแล้วพี่มัท แมทแย่ขนาดนั้นเชียว"       

"ไม่หรอก มัทแค่คิดว่าแมทไม่น่าจะดูแลใครได้ แล้วตอนนี้ก็เหมือนเจออะไรที่เหมาะ เขาก็ดูจะฝากฝังให้ดูแลแมทได้"

"ทำไมถึงคิดว่าพี่เชนจะต้องเป็นฝ่ายดูแลแมท อาจจะเป็นแมทก็ได้นะ หรืออาจจะเป็นเราที่ดูแลกันและกัน"       และมันก็ควรต้องเป็นอย่างหลังมากกว่า

"แหวะ! อยากจะอ้วก ร้อยวันพันปีไม่เห็นเคยจะพูดถึงใครแบบนี้ ผู้ชายคนนี้เปลี่ยนน้องมัทมากไปแล้ว เขาดีขนาดไหนกันเชียว"       ผมยิ้มออกมากับท่าทางโก่งคออ้วกที่เกินจริงของพี่มัท

"เขาเป็นคนที่ทำให้แมทรู้สึกว่าแมทเป็นคนสำคัญ รู้สึกว่าตัวเองถูกรัก แมทมีความสุขเวลาอยู่กับเขา"       แม่เคยบอกว่าเราจะเจ็บปวดหรือมีความสุขก็แค่อย่าหลอกตัวเอง

"ดีแล้วหล่ะที่แมทเลือกจะซื่อสัตย์กับความรู้สึกตัวเอง"

"นั่นก็ต้องขอบคุณพี่มัทนะที่ทำให้แมทเจอกับพี่เชน"       พี่มัทขมวดคิ้วทันทีที่ผมพูดจบ

"มัทเหรอ"       ชี้นิ้วเข้าหาตัวเองก่อนจะเอ่ยถาม

"ใช่ ถ้าพี่มัทไม่จองที่นั่น แมทจะเจอพี่เชนได้ไง"       ถ้าไม่ใช่เพราะพี่มัทวันนี้เราอาจจะไม่รู้จักกัน ครั้นจะให้บังเอิญเดินสวนกันคงเป็นไปไม่ได้ วิถีการดำเนินชีวิตของพี่เชนนั่นไม่มีทางที่จะทำให้เราเจอกันได้เลย

"นั่นสินะ รักกันให้ดีให้สมกับที่มัทแผลงศรให้หล่ะ"       พูดจบก็กอดอกเชิดหน้าเหมือนกำลังภาคภูมิใจ

"เอ้อพี่มัท เมื่อตะกี้ที่พูดถึงอีเมล"       ผมรีบถามหลังจากที่ล้วงกระเป๋ากางเกงแล้วเจอจดหมาย

"อ่อ มัทส่งเข้าเมลแมทหมดแล้ว"

"พี่มัทเปิดอ่านหรือเปล่า"

"ฉันไม่สอดรู้ขนาดนั้นย่ะ จะดูไหมว่ามันยังไม่ถูกอ่าน"

"มันมาร์คว่ายังไม่อ่านได้นะ เรื่องเมลแมทมีความรู้ อย่ามาหลอก"

"เออ อ่านไปแค่อันแรกอันเดียว น่าอิจฉา คุณเชนนี่โคตรจะมีความพยายาม เมื่อไหร่นะที่มัทจะเจอแบบนี้บ้าง"

"ก็อย่าเลือกมากนักสิ"

"ถามว่ามันมีมาให้เลือกบ้างไหมจะดีกว่า"

"คนปากแข็ง ทั้งที่ตัวเองเลือกเยอะแท้ๆ"

"แล้วจดหมายพวกนี้หล่ะ มันอยู่กับพี่มัทนานแล้วเหรอ"       ดึงซองจดหมายที่เริ่มจะยับตรงมุมเพราะถูกยัดลงไปในกระเป๋ากางเกงที่เล็กกว่าขนาดซอง

"ทยอยมา ตอนแรกก็ไม่แน่ใจ แต่ดูจากปลายทางแล้วก็จ่าหน้าซองที่เป็นชื่อแมทก็เลยแน่ใจ ว่าจะหหยิบกลับบ้านแต่ลืมทุกที"       จดหมายทุกซองยังไม่ถูกเปิด ไม่รู้ว่าถ้าผมได้อ่านมันก่อนที่พี่เชนจะมาเรื่องราวมันจะเปลี่ยนไปจากนี้ไหม จะเป็นผมที่เลือกเป็นฝ่ายไปตามหาคำตอบด้วยตัวเองหรือเปล่า แต่ถึงเรื่องระหว่างทางจะเปลี่ยนไปแต่ผมก็มั่นใจว่าปลายทางจะเป็นอย่างที่เราเป็นอยู่แน่นอน

"ถ้ามัทเจอดีดีแบบคุณเชนตรงหน้ามัทก็ไม่เลือกเยอะหรอกนะแมท ยังเสียดายอยู่เลย ถ้ามัทไปด้วยยตั้งแต่วันแรก คุณเชนอาจจะตกหลุมรักมัทก่อนก็ได้นะ"       รอยยิ้มพี่มัทนี่มันไม่น่าไว้ใจจริงๆ

"พี่มัท นั่นของน้อง"

"ชิ! รู้แล้วหล่ะนะ ทำเป็นหวง"       มองผมด้วยหางตาก่อนจะยื่นมือมาผลักหัวเบาๆ

"พี่มัท"       ผมเรียกพี่มัทเบาๆ ยังมีเรื่องที่ผมยังสงสัยและหนักใจ

"หื้ม"

"ความรักแบบนี้มันยากใช่ไหม"

"อะไรกัน นี่เพิ่งจะเริ่มต้น กังวลแล้วเหรอ"       พี่มัทมองผมด้วยรอยยิ้ม เราอาจจะไม่ได้นั่งคุยกันแบบนี้มานานมากแล้ว ทั้งสายตาและรอยยิ้มนั้นทำให้ผมนึกถึงสมัยที่เรามีเวลามานั่งคุยกันทั้งครอบครัว

"แมทจะแปลกไหม คนอื่นจะมองแมทยังไง"

"แมทจำหนังสือเจ้าชายน้อยที่พ่อเคยซื้อให้เราอ่านได้ไหม"       หนังสือเล่มแรกที่ได้จากพ่อเป็นของขวัญวันเกิดตอนที่ผมเริ่มอ่านออก หนังสือที่พ่อย้ำอยู่ตลอดว่าอยากให้อ่านให้จบ หนังสือที่ผมต้องใช้ความพยายามทั้งหมดที่มีในตอนนั้นทำความเข้าใจกับมัน

"จำได้สิ"

"แล้วแมทจำภาพวาดงูตอนต้นเรื่องได้หรือเปล่า"       

"อื้ม งูที่เหมือนหมวก"       ผมพยักหน้าพร้อมตอบ

"นั่นแหละ แมทฟังพี่นะ คนเราทุกคนบนโลกใบนี้ไม่มีหรอกที่จะคิดเหมือนกันทุกอย่าง ต่อให้จับมานั่งเล่นเกมทายใจ คำตอบที่ตรงกันแต่รายละเอียดความคิดอาจจะไม่เหมือนกันก็ได้"       อาจจะเพราะว่าอายุเราไม่ห่างกันมาก และความเคยชินที่เรียกแทนตัวเองด้วยชื่อกับพ่อและแม่ เพราะงั้นทุกครั้งที่พี่มัทแทนตัวเองว่าพี่นั่นหมายถึงว่ากำลังจริงจัง ไม่บ่อยนักที่พี่มัทจะเรียกแทนตัวเองแบบนี้

"เหมือนอย่างที่เขาหัดวาดภาพตอนอายุ 6 ขวบไง เมื่อเขาโชว์ภาพงูเหลือมที่กลืนกินช้างเข้าไปให้ผู้ใหญ่ดู"       เป็นภาพงูเหลือมตัวยาวๆที่ท้องป่องเพราะกินช้างเข้าไปโดยไม่เคี้ยว มันกำลังนอนย่อยเหยื่อของมัน

"เขาถามว่ารูปของเขาน่ากลัวไหม"       ผมพูดคำถามหลังจากที่เขาโชว์ภาพวาดให้พี่มัทฟัง

"ใช่ คำตอบที่เขาได้คือหมวกจะทำให้กลัวได้ไง"       แม้แต่ผมเองยังมองไม่ออกด้วยซ้ำว่ามันคืองู ภาพมันดูเหมือนหมวกปีกรอบซะมากกว่า

"เขาก็เลยวาดรูปที่เห็นช้างอยู่ในท้องงูมาเพิ่ม"       ผมบอก

"แต่มันก็ไม่มีประโยชน์ใช่ไหมหล่ะ ถึงแม้จะมีคำอธิบายมาเพิ่ม คนเราเห็นต่างกันไปนะ ถ้าเขาอยากจะฟังอยากจะรับรู้หรืออยากจะเชื่อในแบบไหน แมทก็ไปเปลี่ยนความคิดเขาไม่ได้ทั้งหมดหรอก  เรื่องของแมทก็เหมือนกัน สังคมอาจจะไม่ได้มองไปในแบบที่แมทอยากจะให้เป็นแต่ก็ไม่ได้หมายความว่าสิ่งที่แมททำมันผิด ถ้าหากความสุขของแมทมันไม่ได้ทำให้ใครเดือดร้อนนะก็ทำไปเถอะ แมทจะเลือกทำแบบในเรื่องที่ละทิ้งอาชีพจิตรกรอันสูงส่งไปเลยก็ได้ หรือจะเลือกไม่สนใจความเห็นที่ไม่เคยตรงกับภาพที่แมทวาด สุดท้ายก็ขึ้นอยู่กับแมทตัดสินใจ ไม่มีความเห็นใครมาเปลี่ยนใจเราได้หรอก"       นั่นสิ ไม่มีความเห็นใครมาเปลี่ยนใจเราได้ เพราะสิ่งที่เราทำตามความเห็นเหล่านั้นก็คือแค่ถอยออกมา แต่สุดท้ายใจเราก็ไม่ได้เปลี่ยนไปอยู่ดี

"แล้วพี่มัทหล่ะ เห็นมันเป็นงูหรือหมวก"       ที่ถามออกไปก็แค่อยากรู้ความคิดพี่มัท

"นี่ตกลงที่มัทพล่ามมาตั้งนานแมทไม่เข้าใจใช่ไหม"       ผมเม้มปากแน่น ไม่ใช่ไม่เข้าใจหรอก แต่เรามักจะอยากรู้อยากเข้าไปนั่งอยู่ในความคิดของคนที่เรารักเสมอ

"เข้าใจ แต่แมทก็อยากรู้ว่าพี่มัทคิดยังไง"       เพราะเราไม่อยากให้คนรอบตัวเราที่เรารักไม่มีความสุขในสิ่งที่เราเลือก

"อย่าสนเลยว่าพี่จะคิดยังไง เพราะพี่รักแมท ไม่ว่าแมทจะวาดอะไรพี่ก็จะเห็นมันอย่างที่แมทอยากให้พี่เห็น"        คำตอบของพี่มัททำลายความกังวลในใจผมจนแทบจะหมด       

"ต่อให้คนอื่นบอกว่ามันผิดงั้นเหรอ"        พี่มัทพยักหน้าก่อนจะยื่นมือมาประคองแก้มสองข้างของผมเอาไว้

"ใช่ ต่อให้ต้องหลับหูหลับตาพี่ก็จะมองในมุมเดียวกันกับน้องพี่"        นั่นสินะต่อให้ใครมองว่าเรากำลังทำผิด แค่หันหลังกลับมามองครอบครัวก็จะเจอคนที่พร้อมเข้าใจ

"ขอบคุณนะพี่มัท"       นี่คือความรักในอีกรูปแบบหนึ่ง ตราบใดที่ไม่มีใครเข้าใจความรักของผม แต่ก็ยังมีแม่และพี่มัทที่ยืนยันจะอยู่เคียงข้างกัน ไม่ใช่ความรักแบบหวังผลตอบแทน และเราจะได้รับมันจากคนในครอบครัวเท่านั้น

"พี่แกเจ๋งใช่ไหมหล่ะ"        พี่มัทไม่เคยปล่อยให้สถานการณ์ระหว่างเราอยู่ในภาวะอารมณ์ซึ้งได้นานเลยจริงๆ

"เจ๋งที่สุด"        ผมยกนิ้งโป้งสองข้างยื่นไปตรงหน้าพี่มัท เสียงหัวเราะของเราทั้งคู่ที่สัมผัสได้ถึงความสุขในเสียงนั้น

"ไม่เห็นโอ้ตเลยนะช่วงนี้"        ถ้าพี่มัทไม่ถามถึงผมก็ลืมมันไปแล้วเหมือนกัน ทั้งที่มันหายไปแค่ไม่กี่วันผมก็รู้สึกนะว่ามันนาน อาจจะเพราะก่อนหน้านี้เราเจอกันทุกวันละมั้ง

"ลองโทรหามันดีกว่า"        ล้วงฮีโร่จากกระเป๋าออกมาเพื่อจะต่อสายหาโอ้ต

"ระวังจะโดนเพื่อนน้อยใจนะ"        ผมเงยหน้าเหลือบตาไปมองพี่มัทที่ยืนพิงโต๊ะอยู่สูงกว่า เพื่อนกันจริงๆเขาไม่น้อยใจกันหรอก ผมกับโอ้ตเราคบกันมานานเกินกว่าจะมาน้อยใจกันเพราะเรื่องแค่นี้แล้ว

"มันไม่รับสายอ่ะ"        ถ้าพี่มัทไม่พูดออกมาแบบนั้นผมคงจะไม่ใส่ใจกับการที่มันไม่รับสาย

"เดี๋ยวก็โทรกลับมาเองแหละ ใส่ใจแฟนก่อนไหมไปเข้าห้องน้ำซะนานเลย"        นั่นสิ พี่เชนบอกก่อนออกไปว่าจะไปเข้าห้องน้ำ นี่มันชั่วโมงกว่าแล้วทำไมยังไม่กลับมา

"งั้นแมทไปหาพี่เชนก่อนดีกว่า"        ผมลุกจากเก้าอี้เดินไปที่ประตู แต่ยังไม่ทันที่จะเปิด

"เจอแฟนแล้วก็อย่าลืมเพื่อนหล่ะ ไม่รับสายก็ไม่ได้แปลว่าไม่ได้กำลังรออีกสายนะ"        ผมหยุดฟังประโยคที่พี่มัทพูดจนจบ ถึงจะไม่เข้าใจแต่ก็เดาได้ว่าพี่มัทกำลังหมายถึงโอ้ต จากที่ไม่ได้กังวลก็ทำให้ผมต้องมาคิดอีกครั้งว่าตั้งแต่ผมมีพี่เชนเข้ามาทำให้ผมกำลังลืมมันอยู่หรือเปล่า

.......................................................................


          หลังจากเดินออกมาจากห้องพี่มัทก็เห็นพี่เชนเดินมาจากทางร้านกาแฟแม่ ผมเลยรีบเดินเข้าไปหา

"พี่เชน ทำไมมาเข้าห้องน้ำตั้งนาน"       

"แมท"       พี่เชนแค่เรียกชื่อผมพร้อมรอยยิ้มก่อนจะเดินมาจับมือแล้วพาไปทางลานจอดรถ

"เดี๋ยวๆพี่"       ยังไม่ทันจะได้พูดหรือถามอะไรก็โดนลากมาจนถึงรถแล้ว

"กลับบ้านกันนะ"       ไม่รู้หรอกว่าที่ดูเหมือนรีบให้กลับบ้านนี่เพราะอะไร แต่ดูท่าทางคงเป็นเรื่องเร่งด่วนมาก

"ทำไมต้องรีบขนาดนี้"       ผมถามขึ้นหลังจากขึ้นรถคาดเข็มขัดนิรภัยและปิดประตูเรียบร้อย

"พี่ไปขออนุญาตแม่มา"       พี่เชนหันหน้ามาตอบคำถาม

"แม่แมทเหรอ"

"ใช่ แม่รับรู้และยอมรับความรักของเรานะ"

"จริงเหรอพี่"       ผมกำลังรู้สึกเต็มตื้น มันพูดอะไรไม่ออก แค่แม่กับพี่มัทยอมรับมันพอแล้วจริงๆ

"ครับ พี่เลยอยากรีบกลับบ้านเพื่อจะได้วิดีโอคอลกับพี่เชลด้า"

"พี่เชลด้ารู้เหรอ"       ผมถามออกไปด้วยความสงสัย

"ป๊ากับม๊าก็รู้ เหลือแค่พี่พาไปเจอ"       ถ้าทุกคนรู้มันแปลว่าพี่เชนเตรียมทุกอย่างก่อนจะมาที่นี่แล้วจริงๆ ทำไมถึงมีความพยายามและตั้งใจขนาดนี้นะ ผมซะอีกที่ได้แต่คิดไม่แม้แต่จะทำอะไรเลยสักอย่าง

"พี่เชน"       ผมเรียกชื่อคนตรงหน้าพร้อมกับโน้มตัวไปดึงไหล่อีกฝ่ายเข้ามากอด

"แมทขอบคุณมากนะพี่เชน ขอบคุณสำหรับทุกอย่าง"       ผมพูดบอกก่อนจะเลื่อนมือที่โอบไหล่พี่เชนอยู่มาปลดเข็มขัดนิรภัยให้เรากอดกันถนัดขึ้น

"พี่ขอเปลี่ยนจากคำขอบคุณเป็นอย่างอื่นได้ไหมครับ"

"ได้สิ อะไรก็ได้ ว่ามาเลย แมทจะไปหาซื้อมาให้"       ผมอยากได้ยินคำขอจากชัดๆเลยผละอออกจากกอดนั้นแล้วมองหน้าพี่เชน ตอนนี้ผมอยากเป็นฝ่ายที่พยายามบ้าง แค่ให้บอกว่าต้องการอะไร

"ไม่ต้องซื้อ แค่อยู่นิ่งแล้วทำตามพี่ก็พอ"       พูดจบหน้าพี่เชนที่อยู่ห่างกันไม่ถึงคืบก็ขยับเข้ามาใกล้กว่าเดิมก่อนจะแตะปากลงมาบนแก้มผม พี่เชนนิ่งอยู่อย่างนั้นสักพักแล้วจึงค่อยๆถอนออก สายตาที่เรากำลังมองกันอยู่ตอนนี้มันสื่อความหมายมากมาย เหมือนเรากำลังพูดคุยกัน รอยยิ้มที่เหมือนเรากำลังเข้าใจกันทุกอย่าง

"แมทเคยกอดพี่เพราะสัญชาตญาณใช่ไหม"       ผมพยักหน้ารับ เรากอดกันครั้งแรกเพราะสัญชาตญาณของผม ความรู้สึกตอนนั้นคืออยากกอดคนคนนี้เอาไว้ อย่างให้ร่างกายเราส่งผ่านความรู้สึกถึงกัน

"ครั้งนี้ก็เหมือนกัน พี่อยากแน่ใจว่าสัญชาตญาณของแมทเป็นสิ่งที่พี่เชื่อได้"      พูดจบพี่เชนก็ประคองหน้าผมเข้ามาใกล้อีกครั้ง ก่อนจะเอียงหน้าประทับริมฝีปากลงมาบนกลีบปากผมเบาๆอย่างเนิ่นนาน ก่อนจะเปลี่ยนมาขบเม้มริมฝีปากล่างตามด้วยริมฝีปากบนอย่างอ้อยอิ่งให้ผมคล้อยตามจนต้องขยับตัวเข้าไปใกล้อีกนิดพร้อมกับคล้องมือไว้กับคอพี่เชนเพื่อให้เราอยู่ใกล้กันมากขึ้น ตอนนี้ทุกอย่างมันว่างเปล่าไปหมด ผมลืมแม้กระทั่งว่าตอนนี้เรากำลังอยู่ที่ไหน ตอนนี้เราใกล้กันมากขึ้นอีกก้าว ความกังวลลดลงไปอีกขั้น ทุกอย่างที่เป็นอยู่ตอนนี้มันดีมากกว่าที่คิดไว้จริงๆ ผมไม่รู้ว่าจูบที่ดีควรเป็นอย่างไร แต่พี่เชนทำให้ผมรู้ว่าจูบที่ผมต้องการที่สุดในชีวิตผมจะหาได้จากใคร

.......................................................................


❤ขอบคุณที่ติดตามนะคะ ^^*
❤โล่งกันไปอีกเปราะ หายไปอาทิตย์นึง เก๊าขอโทดดดดดด
❤อย่าลืมแวะไปติดแท็ก #รักระหว่างทาง กันด้วยน้า
❤อนาลงตอนแรก #รักระหว่างรอ ไปแล้วน้า พรุ่งนี้จะมาลงต่อตอนสอง แวะไปอ่านกันได้นะคะ
❤แนะนำติชมได้ตามสะดวกเลยนะคะ ขอบคุณค๊า



ออฟไลน์ nicksrisat

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 948
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +28/-0
ก้าวหน้าไปเยอะแล้ววว  รีบๆเข้าห้องหอนะ :hao6:

ออฟไลน์ nikkou

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 295
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +294/-4

ออฟไลน์ stickyyrice

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1509
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +40/-5
อยากอ่านอีเมลล์จุง หวานขนาดไหน

ออฟไลน์ 4559

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 3978
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +119/-8
หวานมาก

ออฟไลน์ titansyui

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2386
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +119/-0

ออฟไลน์ snowboxs

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 5445
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +124/-7
น่่ารักละมุนละไม ใส่ใจกันและกัน

ออฟไลน์ ▶August5th◀

  • it was fate
  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2215
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +184/-2
หวานกันมากๆ จูบกันแล้วด้วย แอบฟินๆ 55555+

ออฟไลน์ Kaewkaew

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 525
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +20/-1
ตอนที่ 13

รู้สึกไม่โอเคกับหลินเลย
ทำให้แมทเป็นถึงขนาดนี้ อืม นางไม่ได้สนใจอะไรเลย
ทีแรกคิดว่าน่าจะดีนะ พอเจอตอนนี้เข้าไปถึงกับ...  o22
อืมมม ก็นะ คิดถึงพี่เชนแล้ว จะมาเจอกันได้ยังไงนะ

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ Kaewkaew

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 525
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +20/-1
ตอนที่16
อะไรคือการเจอพี่เชนแล้วแมททำแบบนั้น...
อ่า ใจร้ายจริงเชียว
รอชมตอนต่อไป
/่อ่านต่อรัว ๆ
ชอบมากเลยค่ะ
เป็นนิยายฟีลกู้ดอีกเรื่องนึงเลย อ่านแล้วรู้สึกดี  :3123: :mew1:

ออฟไลน์ Kaewkaew

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 525
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +20/-1
ตอนแรกก็โอเคกับพี่เมอยู่หรอก
พอมาพูดว่าพี่เชนชอบโอ๊ต นี่ถึงกับ   :a5:
โถ ชีวิต  :ling1:
เมื่อไหร่จะได้ปรับความเข้าใจเนี่ย หือออ  :katai1:

ออฟไลน์ Kaewkaew

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 525
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +20/-1
ตอนที่18
จะขำดี รึไม่ขำดี
สงสารหลิน แต่ก็นะ... น่าสงสารนาง ไปซะเถอะค่ะ
ตัวจริงของพี่แมทกลับมาแล้วนะคะ ถถถถถถถถถ

ออฟไลน์ Kaewkaew

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 525
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +20/-1
อตอนที่ 23

ทนอ่านไม่ไหวแล้วอะ  :z13:

มันเป็นอะไรที่แบบละลายใจ ใส่ใจ ละมุน มันคืออะไร ความรู้สึกพวกนี้
ทอดอารมณ์และความรู้สึกความเป็นตัวละครอยากที่พี่เชนพูดออกมาได้ดีมาก
เขียนให้สื่อความรู้สึก สื่อทุกอย่าง ออกมาได้อย่างดี มันเหมือนอยู่ในที่ที่แบบ อบอุ่น
เวลาอ่านแล้วเหมือนกลืนเราเข้าไปอยู่กับแมทกับพี่เชนเลย

ปลื้มใจที่ได้เข้ามาอ่านเรื่องนี้ ได้มาเจอ ขอบคุณนะคะที่มีเรื่องราวดี ๆ แบบนี้
อินมาก ๆ ในใจเรา เราชอบตรงนี้ ทำให้ความรู้สึกเล็ก ๆ ในบางเรื่อง ในใจ
กลายเป็นมวลบางอย่างที่ใหญ่ขึ้น ใหญ่ขึ้น จนท้ายสุดมันก็โอบล้อมหัวใจเราไว้

เรื่องดำเนินไปเรื่อย ๆ แต่มีความหมาย ใส่ใจในทุกรายละเอียด
พี่เชนจะใส่ใจแมทได้ถึงขนาดนี้ เป็นที่คนเขียนเองก็ใส่ใจเหมือนกัน เก็บเล็กเก็บน้อย
มันทำให้เรารู้สึกว่าตัวละครทุกตัวนี้เต็มไปด้วยความหมาย ชัดเจน


ชอบมาก ๆ นะคะ  o13 o13

------------

เพิ่มเติม

กำลังพูดกับเพื่อนเลยว่าอยากหาเรื่องที่ชื่นชอบ ถูกใจตัวเองจริงๆ ที่เป็นแนวเบาสบาย ไม่หนักใจ ไม่หนักอารมณ์ แต่ลึกซึ้งและละเอียดอ่อน
หาเนื้อหาแบบนี้มาสักพักแล้ว จำไม่ได้ว่าเคยเจอไปหรือยัง เราก็ลืมไปแล้ว แต่ #รักระหว่างทาง ทำให้เรารู้สึกว่า เฮ้ย!! เรื่องแบบนี้มันยังมีบนโลกอีกหรอ เรื่องราวแบบนี้ ตัวละครอุปนิสัยประมาณนี้ แล้วดำเนินเรื่องแบบนี้ กินใจเรามากจริง ๆ ไม่รู้ว่าจะสรรหาคำไหนมาอธิบายดี

อย่างที่บอกไปข้างต้นนั่นล่ะค่ะว่าชอบ รู้สึกถูกใจ
มาเริ่มครอบงำ(?)ใจเราก็ตอนที่พี่เชนอ่านนิยายของแมทนี่ล่ะค่ะ แล้วรู้สึกได้ถึงสิ่งที่ต้องการจะสื่อ เป็นตอนที่สะกดจิตที่สุดเลยค่ะ


แต่อาจจะมีติบ้างในบางคำผิด คะ ค่ะ ตรงช่วงนี้เท่านั้น
 

ป.ล. ถ้าใครมีนิยายเรื่องไหนที่ให้ความรู้สึกแบบนี้ หรือคล้ายกัน ก็ฝากแนะนำได้นะคะ เรื่องเก่าๆก็ได้หมดเลยค่ะ


/เนื้อหาข้างต้นอาจจะวนไปวนมาบ้างนะคะ แก้ไปแก้มา คงจะเป็นกันใช่มั้ยล่ะคะ เวลาที่รู้สึกถูกใจกับอะไรแล้วจะพูดวนเรื่องเดิมซ้ำๆน่ะค่ะ ฮะๆ
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 05-07-2015 04:26:10 โดย Kaewkaew »

ออฟไลน์ Kaewkaew

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 525
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +20/-1
คงจะเป็นตอนสุดท้ายที่หลินจะมีบทแล้วใช่หรือเปล่า...  :ling2:
ไม่ปลื้มนางเกิน ร้ายกาจ

ออฟไลน์ why yyy

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4561
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +309/-8
ขอบคุณ :)

ออฟไลน์ anana

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 49
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +16/-0
ตอนที่ 27


Matt Part

         เช้าวันนี้ผมตื่นมาด้วยสภาพอารมณ์ที่แตกต่างไปจากทุกๆวัน มันแตกต่างไปในทางที่ดีนะ คงเพราะผมตอบคำถามให้กับตัวเองได้ทุกคำตอบแล้ว ไม่ว่าจะเป็นเรื่องอีเมลที่ได้มาแค่ครึ่งๆกลางๆ นั่นก็เพราะว่าความเข้าใจผิดว่าผมเป็นคนได้รับเมลฉบับแรกที่ตอบกลับการเข้าพัก พี่เชนเลยเดาว่าผมคงจะรู้ได้เองเลยเขียนมาแค่นั้น เรื่องเบอร์โทรศัพท์ที่ถามเอามาจากพี่มัท  เรื่องเชือกผูกข้อมือที่หลุดออกมาช่วยสนับสนุนความรู้สึกในใจของพี่เชน เรื่องที่ผมกังวลความรู้สึกของแม่กับพี่มัท ทุกอย่างมันถูกคลายออกหมด ไม่มีความกังวลในใจที่หลงเหลืออยู่อีก เหลือก็แค่จดหมายในมือตอนนี้ จดหมายกว่าสิบฉบับที่ถูกส่งมาในระยะเวลาสั้นๆเพียงแค่เกือบเดือนที่เราไม่เจอกัน จดหมาย 15 ฉบับนี้เหมือนจะถูกเขียนและส่งมาวันเว้นวันเลยด้วยซ้ำ

        ฉบับที่ 1 เวลาที่ถูกส่งมาห่างจากวันที่ผมกลับมาเพียงแค่สองวัน เนื้อความในจดหมายที่ได้อ่านทำให้ผมรู้สึกผิดขึ้นมา วันที่พี่มัทมาแล้วผมปฏิเสธพี่เชนไปผมไม่รู้ตัวเลยสักนิดว่ากำลังทำให้อีกคนรู้สึกแย่ขนาดนี้

'พี่ขอโทษที่พี่รุกแมทจนเกินไป พี่คงดูแย่ในสายตาแมท ความรู้สึกที่ถูกสร้างขึ้นในใจพี่กำลังส่งให้ทำในสิ่งที่ไม่ถูกต้อง แต่พี่ก็ทรยศความรู้สึกนั้นไม่ได้เหมือนกัน'

         ผมดีใจนะที่พี่เชนไม่ทรยศความรู้สึกตัวเอง และดีที่พี่เชนไม่นึกโกรธในการกระทำอันงี่เง่าของผม แค่ลองคิดในทางกลับกันถ้าเป็นผมที่โดนผลักไสอย่างนั้น ความรัก โลภ โกรธ หลง ในใจผมคงสั่งให้เกลียดคนที่ทำแบบนั้นไปแล้ว

        ฉบับที่ 2 ถูกส่งมาห่างเพียง 2 วัน เนื้อความในจดหมายมีแค่ข้อความสั้นๆที่จับใจผมมาก แม้เป็นเพียงแค่ตัวหนังสือก็ตาม

'พี่กำลังห้ามไม่ให้ตัวเองคิดถึงแมท แต่รู้ไหมว่าทำไม่ได้เลย'

         ผมถอนหายใจหนักๆออกมาหนึ่งครั้งหลังอ่านจบ ไม่ใช่เพราะความหนักใจ แต่มันเต็มไปด้วยความรู้สึกผิดซะมากกว่า ประโยคสั้นๆแค่นั้นแต่มันบรรยายความคิดถึงได้มากมายเหลือเกิน

        ฉบับที่ 3 ระยะเวลาความห่างมากกว่าเดิมถึง 4 วัน ข้อความในจดหมายฉบับนี้เหมือนกำลังเล่าให้ผมฟังกิจวัตรในแต่ละวัน เจออะไรน่าสนใจ ทำอะไรบ้าง และจบที่ประโยคสุดท้าย

'พี่ขอโทษที่หายไป ต่อไปพี่จะพยายามแบ่งเวลาให้ดีกว่านี้ พี่อยากเขียนหาแมททุกวันถึงแม้ไม่รู้ว่ามันถึงหรือไม่ พี่ขอแค่ให้แมทได้อ่านนะ ไม่ต้องตอบก็ได้ แค่ได้อ่านพี่ก็ดีใจแล้ว'

         ทำไมพี่เชนถึงไม่โทษผมนะ ทำไมถึงเก็บความผิดไว้แค่ที่ตัวเอง ถ้าผมไม่ตอบแล้วพี่เชนจะดีใจได้ยังไง พี่จะรู้ได้ยังไงว่าผมได้อ่านแล้ว จดหมายทุกฉบับที่เหลือที่ได้อ่านรวมไปถึงอีเมลที่พี่มัทเพิ่งส่งให้ แทบทุกฉบับไม่มีตัวอักษรไหนที่ถ่ายทอดออกมาให้ผมต้องรู้สึกผิดเลย แต่ความรู้สึกที่อยู่ในใจผมตอนนี้กลับรู้สึกผิดอย่างมากมาย มันเหมือนผมกำลังทำร้ายความรู้สึกอีกฝ่ายโดยที่ผมไม่รู้ตัว แม้กระทั่งพี่เชนเองก็เหมือนไม่ได้รู้สึกว่าตัวเองกำลังถูกทำร้ายความรู้สึกหรือกำลังรู้สึกแย่เลยสักนิด พี่เชนยังส่งมาเหมือนผมได้อ่านมัน ยังไม่ถอดใจเหมือนมั่นใจว่ากำลังได้พูดคุยอยู่กับผม

        มองจดหมายนั่นซ้ำๆก่อนจะหากล่องมาเก็บมัน คนที่ถูกรักเขาต้องรู้สึกกันแบบนี้แน่ๆ ไม่ใช่ความรู้สึกแบบหวิวๆเหมือนมีผีเสื้อบินในท้องอย่างที่ใครๆรู้สึกกัน  ผมรู้ว่านี่คือผมกำลังรู้สึกมีความสุข ตื้นตันเหมือนมีอะไรสักอย่างมาเติมเต็มใจ มันเกิดขึ้นเพราะสิ่งที่ผมสัมผัสมันได้ผ่านข้อความที่พี่เชนเขียนมา ตัวอักษรที่สวยงามราวกับกำลังคัดลายมือประกวด ถึงแม้จะสะกดผิดบ้างถูกบ้างแต่ผมก็เข้าใจมัน คำบอกเล่าของสิ่งที่ผ่านเข้ามาในชีวิตพี่เชนในแต่ละวัน ทุกประโยคที่ได้อ่านเหมือนผมกำลังยืนอยู่ตรงนั้น เหมือนเรากำลังเจอเรื่องราวเหล่านั้นด้วยกัน เหมือนผมเองก็เป็นตัวละครสำคัญที่ยืนอยู่ข้างๆพี่เชนในทุกเหตุการณ์ เหมือนตอนที่เราไปเที่ยวด้วยกัน ผมนึกไม่ออกจริงๆว่าถ้าได้อ่านจดหมายและอีเมลพวกนี้ก่อนที่พี่เชนจะมาทุกอย่างจะเปลี่ยนไปไหม ความรู้สึกผมในตอนนี้จะเป็นอย่างไร คิดว่ามันคงเป็นความรักแบบที่เป็นอยู่นี่แหละ แต่อาจจะต่างตรงที่รักมากแค่ไหนเท่านั้นเอง

"แมท พี่เชนมารออยู่ข้างล่างนะลูก ตื่นหรือยัง"       เสียงเรียกของแม่ที่ดังขึ้นด้านนอกห้องทำให้ผมกดปิดโน้ตบุ๊คและเก็บกล่องจดหมายไว้ในลิ้นชัก

"ครับแม่"       ผมตอบรับเสียงเรียก

"แม่เข้าไปนะ"

"ครับ"       ผมลุกจากเก้าอี้โต๊ะทำงานเพื่อจะเดินไปหาแม่ที่ประตู

"ตื่นนานแล้วเหรอ ทำไมวันนี้ยังไม่ลงไปข้างล่างอีก"       แม่เดินเข้ามาในห้องแล้วปิดประตูลงก่อนจะถามผมที่ยังอยู่ในชุดนอน

"ใช่ ยังไม่มีใครรดน้ำต้นไม้เลย งั้นแมทลงไปรดก่อนดีกว่า"       เพราะมัวแต่ซาบซึ้งและปลาบปลื้มใจกับจดหมายเลยลืมต้นไม่หน้าบ้านไปเสียสนิท

"ไม่เป็นไรหรอกลูก ไม่รดสักวันมันคงไม่ตายหรอก ว่าแต่ลูกแม่เถอะ เช้านี้มีคนมารอรดน้ำให้อยู่ข้างล่างแล้วนะ จะไม่รีบลงไปรับความชุ่มชื้นหน่อยเหรอ"       แม่พูดพร้อมเบะปากยิ้มกรุ่มกริ่มก่อนจะลากมือผมมานั่งบนเตียง

"แม่..."       คำพูดของแม่ตอนนี้คงยืนยันคำบอกเล่าเมื่อวานจากปากพี่เชนได้เป็นอย่างดี แม่รู้ว่าเราคบกันแล้วจริงๆ

"วันนี้ตื่นสายหรือไง หรือเพราะเมื่อคืนฝันดี"

"..."       ผมขมวดคิ้วก่อนจะส่ายหน้าเบาๆ

"อยากรู้จริงๆว่าในฝันยังมีแม่อยู่หรือเปล่า"       และท่าทางแม่ก็ดูเหมือนไม่ได้ปฏิเสธเรื่องของเรา

"แม่อ่ะ พูดอะไร"       ผมก้มหน้าหลบสายตาแม่

"เขินเหรอ"       เรียกว่าเขินคงไม่พอ ผมไม่คิดว่าแม่จะแซว

"ป่าว แมทไปอาบน้ำดีกว่า"       ผมเลือกที่จะเดินหนีไปเข้าห้องน้ำแทน

"อาบให้สะอาดตัวหอมๆนะ ถ้าไม่หอมแม่จะไปช่วยอาบให้ใหม่ แม่กลัวพี่เชนไม่รักลูกแม่"

"แมทโตแล้วนะแม่"       แม่ชอบทำเหมือนผมเป็นเด็กอยู่เรื่อย แล้วก็ตลกนะที่พี่เชนจะไม่รักเพียงเพราะอาบน้ำแล้วไม่หอม อย่างกับคำพูดหลอกเด็กเลย

"จ้ะๆ รีบไปอาบน้ำไป"       ผมเหลียวหลังมองแม่จนสุดขณะกำลังเดินเข้าห้องน้ำ แม่ยิ้มไม่เหมือนทุกวัน ยิ้มเหมือนคนยิ้มไม่สุด ผมส่งยิ้มให้แม่อีกครั้งก่อนลับประตูห้องน้ำ แม่ยิ้มกลับมาให้อีกครั้ง มันเป็นรอยยิ้มที่กว้างกว่าเดิม ผมอาจจะคิดไปเอง

        ช่วงเวลาที่คนเราอยู่เพียงลำพัง ความคิดมากมายหลายอย่างจะแล่นเข้ามาในหัวเราเสมอ มันเหมือนเราได้อยู่กับตัวเองแล้วใช้เวลาทบทวนสิ่งที่ผ่านเข้ามา ผมมักจะเป็นแบบนี้เวลาอาบน้ำกับก่อนนอนเท่านั้น เพราะมันเป็นช่วงเวลาที่เราไม่ค่อยได้คิดถึงเรื่องงาน ทำให้เรื่องที่ส่งผ่านเข้ามาในเวลานั้นคือเรื่องที่เคยถูกพับเก็บไว้เวลาต้องคิดเรื่องงาน และตอนนี้ผมก็กำลังมีจดหมายที่อ่านก่อนหน้านี้ และเรื่องราวของแฟนหมาดๆอยู่ในหัว

        พี่เชนเป็นคนมีเสน่ห์และอบอุ่นอันนั้นผมพอรู้ แต่จากจดหมายพี่เชนทำให้ผมรู้สึกว่าพี่เชนเป็นคนโรแมนติก น่ารัก ใส่ใจ จนผมอยากเก็บพี่เชนไว้ในที่ลับตาคน ไม่อยากให้ใครได้เจอ อยากให้พี่เชนมองเห็นผมแค่คนเดียว ฟังดูเห็นแก่ตัวใช่ไหม อย่างนั้นแหละ ผมก็เหมือนเด็กขี้หวงคนหนึ่ง ไม่รู้ว่าแฟนเก่าพี่เชนเขายอมปล่อยให้พี่เชนไปจากเขาได้ยังไง ผมคงไม่กล้าปล่อยให้คนแบบนี้หายไปจากชีวิตง่ายๆหรอก คนแบบที่อยากและพยายามจะเข้ามาอยู่ในชีวิตเรา เรียนรู้ชีวิตเรา พร้อมจะเข้าใจเราแบบนี้ ผมเจอแล้วก็ควรจะหาทางรักษาเอาไว้ให้คนที่เขาอยากจะเรียนรู้ยังเป็นเราตลอดไป

"อ้าวแม่ยังไม่ไปอีกเหรอ"       ออกจากห้องน้ำหลังอาบน้ำเสร็จก็เห็นแม่นั่งรออยู่บนเตียงพร้อมหนังสืออะไรสักอย่างในมือ

"แม่รอพาแมทไปส่งให้พี่เชน"

"หืม"       ผมส่งเสียงในลำคอออกไปพร้อมสีหน้าสงสัย

"ก็พี่เชนรออยู่ข้างล่าง แม่เลยจะพาไปส่ง"

"ทำไมต้องไปส่งอ่ะแม่"       ผมถามขณะเดียวกันกับที่แม่วางหนังสือในมือลงที่โต๊ะข้างเตียง

"ดูสิว่าลูกชายแม่โตเป็นหนุ่มแล้ว น่ารัก น่ากอด"       ผมถึงกับขมวดคิ้วหรี่ตามองด้วยความสงสัยในคำพูดของแม่ที่ไม่ได้สนใจจะตอบคำถามผมเลยสักนิด

"คุยเรื่องเดียวกันก่อนไหมแม่"       ผมท้าวสะเอวเอียงคอถามทั้งที่ยังอยู่ในชุดผ้าขนหนูห่อตัวแค่ผืนเดียว

"อื้อ"       แม่ส่ายหน้าแรงๆก่อนจะลุกจากเตียงเดินมาหาผมแล้วสวมกอดไว้

"แม่ให้แมทไปแต่งตัวก่อน เดี๋ยวผ้าขนหนูหลุด"       ผมจับไหล่แม่ที่เตี้ยกว่าผมเล็กน้อยเอาไว้เพื่อจะผลักออกแต่แม่กลับกอดแน่นขึ้นแล้วเอียงหน้าซบลงบนอกของผม

"ไหล่ลูกแม่ก็ไม่ได้แคบ อกก็แน่นกอดแล้วอบอุ่น ตัวก็ห้อมหอม ทำไมน้าถึงได้มีแต่ผู้ชายมาสนใจ"       ผมไม่เห็นสีหน้าของแม่ตอนที่พูดประโยคนี้ แต่ฟังจากน้ำเสียงแล้วเหมือนไม่ได้รู้สึกดีอย่างที่ปากพูดชมออกมา

"กอดแล้วอบอุ่นก็กอดบ่อยๆสิครับ แมทก็ชอบกอดแม่เหมือนกัน"       ผมยิ้มตอบพลางกอดแม่ให้แน่นขึ้น

"อืม อ้อมกอดแมทต้องมีไว้ให้แค่แม่กับพี่มัทนะ"

"อ้าว แล้วถ้าแมทอยากได้อ้อมกอดบ้างหล่ะ"

"อันนั้นแมทต้องขอเอาจากพี่เชนเองนะ แม่เหมาะกับกอดการถูกกอดเท่านั้น อ้อมกอดแม่คงอุ่นไม่เหมือนพี่เชน"       แม่พูดก่อนจะผละตัวเองออกจากอ้อมกอด

"ทำไมพูดเหมือนน้อยใจเลยคะคุณผู้หญิง"       ผมก้มลงมองแม่ที่แสดงสีหน้าเหมือนกำลังน้อยใจจริงๆ

"ไม่ถึงกับน้อยใจหรอก แค่หวิวๆ"       ปากคว่ำหน้าง้ำขนาดนั้นยังเรียกว่าไม่น้อยใจอีก แม่นะแม่

"แมทแค่มีแฟนนะแม่ ไม่ได้หนีหายไปไหนซะหน่อย"

"เหมือนกำลังปล่อยมือลูกให้คนอื่นเลย"       เรามองตากันผมสัมผัสได้จริงๆว่าแม่รู้สึกอย่างที่กำลังพูด

"รู้สึกเหมือนกับกำลังส่งลูกเข้างานแต่งงี้เหรอ"       ผมแซว

"เปล่า เหมือนส่งลูกให้ไปเป็นเครื่องราชบรรณาการมากกว่า"

"แม่..."       สงสัยว่าแม่คงดูละครย้อนยุคมากไป

"จริงๆนะ ไม่รู้พี่เชนจะพาแมทไปฮ่องกงถาวรเลยหรือเปล่า"       นี่เป็นสิ่งที่แม่กังวลสินะ

"ถ้าพี่เชนพาไปหล่ะ แม่จะไม่ให้แมทไปเหรอ"

"แม่ไม่ห้ามหรอก แต่แม่ไม่รู้จะทนคิดถึงแมทไหวไหม ถ้าแมทต้องไปอยู่ที่นั่นตลอดไปมันจะต่างอะไรกับแมทเป็นเครื่องราชฯที่แม่ส่งไปให้พี่เชนหล่ะ จะได้กลับมาก็คงยาก"       ไม่รู้มาก่อนเลยว่าแม่คิดมากขนาดนี้

"รักแมทหวงแมทขนาดนี้เลยเหรอ"       แม่พยักหน้า

"ลูกแม่นะ ไม่รักได้ไง ถ้าเป็นพี่มัทแม่คงไม่ห่วงขนาดนี้"       แม่พูดพร้อมใช้ฝ่ามือทั้งสองข้างจับไว้ที่แก้มผม

"ทำไมแม่ถึงเป็นห่วงแมทมากกว่าพี่มัทหล่ะ แมทเป็นผู้ชายนะแม่"

"แม่ไม่ได้ห่วงเรื่องเดียวกับที่แมทกำลังคิด แม่ห่วงที่แมทยังไม่เคยมีแฟนมาก่อนเลย แมทอาจจะต้องปรับตัวเยอะ แม่เป็นห่วงนะลูก"

"แมทก็กังวลนะแม่"       เพราะความสัมพันธ์มันยาก ผมเองก็กังวลไม่ต่างกัน

"แมทต้องรู้จักเรียนรู้คนอื่นแล้วนะลูก"

"แมทไม่รู้ว่าแมทควรทำตัวยังไง แมทไม่รู้ว่าคนที่รักกันเขาจะต้องดูแลกันแบบไหน"

"แม่ก็ตอบไม่ได้หรอกว่าแมทควรทำตัวยังไง แมทต้องเรียนรู้และปรับตัวให้เข้ากับพี่เชนด้วยความรักของแมทกับพี่เชนที่มีให้กัน"

"..."        ผมค่อยๆคิดตามสิ่งที่แม่พูด

"แมทต้องเริ่มเปิดใจ จากนี้ไปแมทจะต้องหัดเรียนรู้คนข้างตัวนะลูก พี่เชนไม่ใช่แม่กับพี่มัท พี่เชนอาจจะไม่เข้าใจกรอบที่แมทสร้างมาไว้ครอบตัวเอง ถ้าคิดจะคบกันแมทเองต้องรู้จักเปิดประตูมาต้อนรับพี่เชนด้วย ไม่ใช่ให้พี่เชนค้นหาประตูเพื่อเข้าหาแมทเพียงฝ่ายเดียว"

"..."

 "โลกส่วนตัวที่แมทมีอยู่แมทต้องเรียนรู้ที่จะให้พี่เชนค่อยๆเดินเข้ามา อย่าอยู่แต่กับตัวเองจนเขาต้องไปสร้างโลกอีกใบ อย่าปล่อยให้ความรักต้องมีช่องว่าง เข้าใจไหม"

"ครับ"

"ไปแต่งตัวไป พี่เชนคงรอนานแล้ว แม่ลงไปดูก่อนนะ"       ผมพยักหน้าแล้วแม่ก็เดินออกจากห้องไป

.......................................................................


        ผมรีบแต่งตัวไม่นานก็เดินตามแม่ลงมาข้างล่าง เห็นพี่เชนกับพี่มัทนั่งคุยกันอยู่ พี่มัทในชุดนอนปล่อยผมยุ่งๆใส่แว่นกรอบโบราณที่พี่มัทชอบเถียงว่ามันเป็นแฟชั่นทั้งๆที่อายุการใช้งานของมันนานกว่า 10 ปีแล้วไม่เคยคิดจะเปลี่ยน สภาพที่ดูสบายๆของพี่มัทแบบนั้นทำให้ผมรู้สึกสบายใจไปด้วย รอยยิ้มของทุกคนเวลาคุยกับพี่เชนทำให้ผมดีใจที่พี่เชนเข้ากับทุกคนในบ้านผมได้เป็นอย่างดี เวลาที่เรารักใครเราก็ย่อมอยากให้คนในครอบครัวรักเขาด้วย

"กว่าจะลงมาได้ต้องให้แม่ไปตามนะ"       ยังไม่ทันก้าวขาถึงโต๊ะอาหารก็ถูกพี่มัททักเสียก่อน

"ตื่นสายอ่ะ"       ผมตอบ

"สงสารต้นไม้หน้าบ้านเนอะแม่ มันคงน้อยใจน่าดู ต้องมาคอยลุ้นว่าต่อไปนี้ไม่รู้ว่าเขาจะลืมรดน้ำมันอีกหรือเปล่า"       ผมเหล่ตามองท่าทางเบะปากพร้อมน้ำเสียงพี่มัทที่ฟังดูเหมือนประชดประชันแบบนั้น แค่ตื่นสายวันเดียวเอง ความดีที่รดน้ำมาจนมันโตกลับไม่ถูกจำ ยังมีท่าทางกลั้นขำของพี่เชนอีก น่าสงสารตัวเองจริงๆ

"อย่างน้อยแมทก็รดมาจนมันโต แต่พี่มัทนี่สิจำได้บ้างหรือเปล่าว่าบ้านเรามีต้นอะไรบ้าง"       ผมถามกลับคนที่ตื่นสายแทบทุกวัน ตื่นก่อนวันเดียวนี่แทบจะทับถมกัน

"พอๆ เลิกเถียงกัน ออกช้ากว่านี้ก็ไม่มีอะไรให้กินนะ"       แม่ปราม

"ออกไปไหน"       ผมถาม

"ไปกินข้าวเช้าไง"       พี่มัทตอบ

"ทำไมเราไม่กินข้าวที่บ้านหล่ะ"       เห็นอยู่ว่ามีทั้งติ่มซำขนมปัง

"แม่บอกให้พี่เชนพาแมทออกไปหาอะไรกินข้างนอกเองแหละ  จะได้พาพี่เชนไปเที่ยวด้วย"       ผมหันไปมองหน้าแม่ด้วยสีหน้าสงสัย

"จริงๆเรากินที่บ้านก็ได้นะแล้วเราค่อยออกไปเที่ยวกัน"

"แม่ไม่ได้ทำเผื่อนะ พี่เชนยังไม่ได้ไปลองอาหารอร่อยๆข้างนอกเลย พาพี่เชนไปเปลี่ยนบรรยากาศบ้าง"       พูดจบแม่ก็ตบไหล่พี่เชนเบาๆให้ลุกขึ้นยืนแล้วดันไหล่เราทั้งคู่ออกมานอกบ้านตามด้วยคำเตือนให้ขับรถดีๆ

.......................................................................






ออฟไลน์ anana

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 49
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +16/-0


"แม่ทำตัวแปลกๆว่าไหม"       ขึ้นรถได้ผมก็ถามพี่เชนที่นั่งอยู่ตำแหน่งคนขับรถทันที

"ยังไงครับ"

"ปกติแม่ชอบให้กินข้าวฝีมือแม่จะตาย แต่วันนี้กลับไล่ให้ออกมากินข้างนอก"

"แม่คงอยากให้เรามีเวลาอยู่ด้วยกันมั้ง"       พี่เชนตอบขณะกำลังคาดเข็มขัด

"แล้ววันนี้พี่จะไปไหนต่อ"       ในเมื่อคำตอบของพี่เชนไม่ใช่ในแบบที่ผมคิดว่าจะใช่ผมเลยไม่ถามต่อ เปลี่ยนคำถามเลยดีกว่า

"ไม่รู้สิ แมทว่าไงหล่ะ"       รถที่กำลังเคลื่อนตัวไปเรื่อยๆทั้งๆที่เราไม่รู้ด้วยซ้ำว่ากำลังจะไปไหน

"แมทก็ไม่ค่อยไปเที่ยวไหน ไม่รู้ว่าพี่เชนจะสนุกหรือเปล่า"       สำหรับผมนอกจากบ้านกับร้านพี่มัทก็ไม่มีที่ไหนน่าไปแล้ว

"ไปกับแมท ที่ไหนก็ได้"       นี่แหละคือเรื่องถนัดของพี่เชน คำพูดที่ทำให้ผมต้องยิ้ม

"โอเค งั้นเราไปหาอะไรกินกันก่อนดีกว่า"

.......................................................................


         อาหารเช้าสำหรับคนภูเก็ตก็ไม่ได้แตกต่างกับที่ฮ่องกงเท่าไหร่ เพราะสัดส่วนของคนพื้นที่ส่วนใหญ่จะเป็นชาวไทยเชื้อสายจีน เพราะฉะนั้นร้านอาหารเช้าส่วนใหญ่ที่มีก็จะเป็นร้านติ่มซำไม่ก็แต่เตี้ยมซึ่งเดาว่าพี่เชนคงกินบ่อย ร้านโจ๊กกับหมี่ซั่วก็ตัดออกไปเลยเพราะผมไม่ชอบ เหลือก็แค่ขนมจีน แต่ผมก็ไม่อยากกินขนมจีนตอนนี้ อีกอย่างที่มีมากพอๆกับร้านติ่มซำคือโรตีที่เป็นอาหารเช้าของคนที่นี่เช่นกัน เพราะที่นี่มีชาวมุสลิมในสัดส่วนเยอะพอๆกับชาวไทยเชื้อสายจีน หลังจากนั่งนึกๆรายการอาหารแล้วผมไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่าการเป็นเจ้าบ้านแล้วนำเที่ยวแนะนำหาร้านอาหารอร่อยๆนี่ไม่ใช่เรื่องง่ายๆ

"พี่เชนกินอะไรดี มีติ่มซำ บักกุดเต๋ โจ๊ก ข้าวต้ม หมี่สั่ว มาม่า โรตี มะตะบะ แล้วก็ขนมจีน"       ให้พี่เชนเลือกเองนี่แหละดีที่สุด

"เยอะจัง"

"ชอบสัญชาติไหนก็เลือกเลย"       ตอนนี้กรอบมันกว้างมาก อาหารเช้าที่นี่มีให้เลือกเยอะเพราะคนที่นี่ก็มีหลากหลาย

"หมี่สั่วกับมาม่าคืออะไรครับ"       พี่เชนหันหน้ามาถาม

"หมี่สั่วเป็นหมี่สีขาวนิ่มๆมาต้มกับหมูสับเหมือนข้าวต้มแต่ไม่ใช่ข้าวใช้เส้นหมี่สั่วนี่แทน พอเข้าใจไหม"       พี่เชนพยักหน้าหลังผมอธิบายจบ

"แล้วมาม่าหล่ะ"

"ทำไมถึงไม่รู้จักมาม่า ดังออกจะตายไป บะหมี่เส้นหยักๆที่มีผงปรุงรสไง"

"อินสแตนท์นู้ดเดิ้ลหรือเปล่า"

"เออใช่ มาม่ามันเป็นยี่ห้ออ่ะ หมี่กึ่งนั่นแหละเอามาต้มกับหมูไก่ทะเลใส่ผัก"       มาม่าสำหรับคนที่นี่ก็ถือเป็นอาหารเช้าอย่างหนึ่ง ผมไม่รู้หรอกว่าเขารวมมันเป็นอาหารเช้าตั้งแต่เมื่อไหร่ เคยเห็นมันเป็นเมนูอยู่ในร้านโจ๊กร้านติ่มซำแต่เตี้ยมที่เปิดขายแค่ครึ่งวันมาตั้งแต่เด็กๆแล้ว ถ้าอยากกินหลังเที่ยงก็จะหายาก ต้องเป็นร้านอาหารตามสั่งเท่านั้น

"ขนมจีนนี่พี่เคยเห็นในรูปนะที่ราดน้ำสีเหลืองๆส้มๆใช่ไหม"       ผมพยักหน้าให้กับคำถามพี่เชน

"งั้นพี่เลือกขนมจีน อยากลอง"       และนี่ก็เป็นความผิดพลาดของผม ถ้าเลือกให้แต่แรกผมก็ไม่ต้องกินอะไรที่ไม่อยากกิน

.......................................................................


        ผมบอกทางพี่เชนด้วยความสามารถขั้นต่ำ เราวนหาจนพี่เชนเกือบถอดใจกินข้าวแกงร้านข้างทางที่ผ่านแทน แต่สุดท้ายเราก็เจอทั้งๆที่ใช้เวลาเกือบชั่วโมงกว่าจะมาถึงร้านขนมจีนขึ้นชื่อ เกือบจะได้เป็นมื้อเที่ยงแทนมื้อเช้า ร้านนี้เป็นร้านเก่าแก่ที่เปิดขายตั้งแต่เช้าถึงเที่ยง บางครั้งยังไม่ทันเที่ยงก็หมดซะก่อนแล้ว ในความคิดผม ผมว่าร้านนี้เป็นร้านที่อร่อยที่สุดในจังหวัด ผมไม่ค่อยชอบกินขนมจีนแต่ถ้าอยากกินร้านนี้ก็จะเป็นร้านแรกที่นึกถึง อีกอย่างคือร้านนี้ให้เราสามารถราดน้ำแกงได้เองตามใจชอบรวมถึงมีผักและเครื่องเคียงให้เลือกเยอะมาก

"พี่กินเผ็ดได้ไหม"       ผมหันไปถามคนข้างหลังจากเดินลงจากรถ

"ถ้าไม่เผ็ดมากก็พอได้ แมทหล่ะ"       ผมส่ายหน้า

"กินเผ็ดมากๆแล้วมันทรมาน แทนที่จะได้กินเยอะๆก็ต้องแบ่งกระเพาะไว้เผื่อดื่มน้ำ"       สำหรับผมความอร่อยไม่จำเป็นต้องแลกด้วยความทรมานขนาดนั้น

"ครับ พี่จะจำไว้"       พี่เชนพูดออกมาด้วยสีหน้าเรียบเฉยแต่ผมนี่หลุดยิ้มออกไปแล้ว  คนมีความรักต้องเป็นแบบนี้ใช่ไหม แค่คำพูดที่แสดงความใส่ใจนิดๆหน่อยๆก็ทำให้ยิ้มได้แล้ว

.......................................................................


"อันไหนอร่อยครับ"      พี่เชนถามขึ้นหลังจากแม่ค้ายื่นจานขนมจีนเปล่าๆให้เราเลือกตักน้ำแกงราดด้วยตัวเอง

"แมทชอบน้ำแกงปู มันไม่เผ็ดมาก อันนี้แกงไตปลาจะเผ็ดมากใช้เครื่องในปลามาทำแล้วใส่ผักเยอะๆเป็นแกงของภาคใต้ อันนี้แกงเขียวหวานไก่แมทว่าพี่น่าจะรู้จักนะ ส่วนอันนี้น้ำยาปลา เป็นน้ำกะทิผสมเนื้อปลาเผ็ดพอๆกับแกงปูเนี่ยแหละ และก็อันสุดท้ายนี่เขาเรียกว่าน้ำยาพริก อันนี้ไม่เผ็ดมีถั่วผสมออกหวานหน่อยๆ พี่อยากลองอันไหน"       ถ้าจะให้แนะนำคงอยากให้ลองทั้งหมด เพราะแต่ละอันมันรสชาติต่างกัน ขนมจีนภาคใต้นี่แหละที่ผมว่ามีน้ำแกงเยอะสุดแล้ว

"งั้นพี่ลองไตปลา"       ผมเอื้อมมือไปตักแกงไตปลามาราดในจานพี่เชนแค่นิดหน่อย เพราะมันเผ็ดมากในความรู้สึกผม และผมว่าพี่เชนก็คงทานเผ็ดไม่ได้มากเท่าไหร่หรอก

        ได้ขนมจีนกันมาคนละจานพร้อมกับไก่ทอดและปาท่องโก๋เรียบร้อยก็เดินมาหาโต๊ะนั่ง ทั้งๆที่เริ่มสายแล้วแต่ก็ยังมีคนแน่นร้าน โชคยังดีที่มีโต๊ะว่างสำหรับสองคนอยู่ด้านในสุดผมเลยเดินนำพี่เชนไปนั่งที่โต๊ะนั้น พอนั่งลงก็มีพนักงานในร้านมาถามเมนูเครื่องดื่มทันที

"กาแฟร้อนไหมพี่ เป็นกาแฟโบราณ"       อย่างหนึ่งที่ผมจำได้ดีคือกาแฟมื้อเช้าของพี่เชน

"ก็ดีครับ"       ได้ยินอย่างนั้นก็หันไปสั่ง

"กาแฟดำร้อนหนึ่ง ชานมเย็นหนึ่งครับ"       พนักงานจดเครื่องดื่มที่ผมสั่งลงไปในกระดาษแล้วก็เดินไปส่งให้กับคนที่ยืนประจำอยู่ที่เคานเตอร์สำหรับทำเครื่องดื่มโดยเฉพาะ

"ไม่ได้เอาปาท่องโก๋มากินกับกาแฟเหรอ"       คำถามของพี่เชนเมื่อเห็นผมฉีกปาท่องโก๋ลงไปในจานขนมจีน

"แบบนี้แหละอร่อย ก็เหมือนๆกับที่คนแถวบ้านพี่เอาไปกินกับโจ๊กอ่ะ"       ตอบไปมือก็ฉีกไปเผื่อในจานพี่เชนไปด้วยจนหมดชิ้นถึงนึกขึ้นได้ว่าทำอะไรลงไป

"แมทขอโทษ ไม่ได้ถามเลยว่าพี่กินหรือเปล่า ใช้มือฉีกด้วย แมทไปเอาจานใหม่ให้ดีกว่า"       ผมลืมตัว ทุกครั้งที่มากินผมก็จะฉีกให้แม่ฉีกให้พี่มัทรวมไปถึงโอ๊ตด้วยความเคยชิน โดยไม่ทันระวังว่าพี่เชนถือหรือเปล่า

"ไม่เป็นไรครับ"       คำพูดแค่นั้นของพี่เชนที่พูดออกมาพร้อมรอยยิ้มกับมือที่ยื่นมากุมมือผมเพื่อรั้งเอาไว้มันทำให้ผมรู้สึกว่าไม่เป็นไรจริงๆ แค่รอยยิ้มก็บอกความรู้สึกได้โดยไม่ต้องอธิบายเพิ่มเติม

"เมื่อกี้พี่เห็นคนก่อนหน้าแมทเขาราดสองอย่างลงไปพร้อมกัน มันทำได้เหรอ"       พี่เชนถามขึ้นโดยที่ยังไม่ยอมปล่อยมือที่กุมไว้จนผมต้องค่อยๆดึงออก ผมยังไม่ค่อยพร้อมเท่าไหร่ที่จะแสดงออกในที่สาธารณะ แต่การต้องดึงมือออกแบบนี้ผมเองก็รู้สึกไม่ดีเหมือนกัน ผมกลัวว่าความไม่กล้าของผมจะทำให้พี่เชนรู้สึกไม่ดี

"ทำได้สิ คนที่นี่ชอบราดแบบผสมกัน สองอย่างบ้าง สามอย่างบ้าง อร่อยนะพี่อยากลองไหม"       อาจจะเป็นเรื่องแปลกสำหรับใครหลายๆคน แต่คนต่างพื้นที่ก็ต้องรู้สึกอยู่แล้ว วัฒนธรรมการกินแม้ในประเทศเดียวกันก็ยังต่างกัน ผมว่าที่คนที่นี่กินนแบบนี้มันก็คล้ายๆกับข้าวที่ราดแกงหลายๆอย่างนั่นแหละ

"ไม่ดีกว่า แค่นี้ก็น่าจะอิ่มมากแล้ว พี่ไม่ชอบทานมื้อเช้าหนักมาก"       ผมเองก็ลืมไปเลยว่าบางทีพี่เชนก็ดื่มแค่กาแฟแก้วเดียว ถ้ากินก็น้อยมาก ตอนที่พาผมไปกินมื้อเช้าที่ฮ่องกงก็กินนิดเดียว คนเราต้องใช้ความพยายามมากแค่ไหนนะที่จะจดจำและเรียนรู้นิสัยและความชอบของคนที่ตัวเองรัก ผมว่ามันยาก และตอนนี้ผมก็ยังทำได้ไม่ดีเลย

"พี่เชน เดี๋ยวเราไปเที่ยววัดกันไหม วัดที่ขึ้นชื่อของที่นี่"       อากาศร้อนขนาดนี้จะให้ไปทะเลมันคงไม่สนุกเท่าไหร่นัก

"ครับ"

"พี่เชน พี่ว่าโอ้ตจะน้อยใจไหม ตั้งแต่พี่มาแมทก็ไม่ค่อยได้สนใจมันเท่าไหร่เลย นี่ก็ไม่ได้โทรหามันมาตั้งสองวันแล้ว มันเองก็ไม่โทรมา พี่ว่ามันจะงอนแมทไหม"       ผมถามโดยที่ไม่ได้หันมองหน้าพี่เชนเพราะมัวแต่สนใจขนมจีนในจาน

"..."

"พี่เชน"       พอไม่ได้ยินเสียงตอบผมเลยเงยหน้าก็พบว่าพี่เชนไม่ได้สนใจกับอะไรสักอย่าง เหมือนไม่ได้ฟังที่ผมพูดด้วยซ้ำ

"ครับ"       เสียงตอบรับและท่าทางงงๆหลังจากที่ผมเรียกพร้อมสะกิดที่มือ

"พี่กำลังฟังที่แมทพูดอยู่ไหม"       ผมถาม

"มะรืนนี้พี่ต้องกลับฮ่องกงแล้วนะ"       ผมไม่คิดว่าจะได้ยินประโยคนี้เร็วขนาดนี้ ทั้งๆที่รู้ว่ายังไงมันก็ต้องเกิดขึ้น

"เรากำลังคุยเรื่องเดียวกันอยู่หรือเปล่า พี่กำลังพยายามเข้าใจสิ่งที่แมทรู้สึกไหม"      ทั้งแม่ทั้งพี่เชนเลย เอาแต่พูดเรื่องที่ตัวเองอยากจะพูด ไม่สนใจจะตอบคำถามผมเลยสักนิด

"พี่อยากให้แมทกลับไปพร้อมกับพี่"       แล้วพี่เชนก็พูดออกมาในสิ่งที่ต้องการ

"พี่ช่วยทำความเข้าใจสิ่งที่แมทพูดตอนแรกก่อนสิ"       ทั้งๆที่ผมพูดออกมาก่อนแต่กลับไม่ถูกสนใจ น่าน้อยใจชะมัด

"ก่อนที่พี่จะมาเจอแมทที่นี่ พี่บอกป๊ากับม๊าเอาไว้ว่าถ้าพี่ทำสำเร็จพี่จะพาแมทไปเจอ"       ประโยคที่พี่เชนพูดบอกทำให้ผมหยุดพยายามที่จะให้พี่เชนพูดเรื่องเดียวกับผมมาเป็นผมเปลี่ยนไปพูดเรื่องเดียวกับพี่เชนแทน

"แล้วนี่ป๊ากับม๊ารู้เหรอว่าพี่มาที่นี่ทำไม"       ผมถาม

"รู้ครับ"

"แล้วป๊ากับม๊ารู้หรือเปล่าว่าเป็นแมท"

"ป๊าน่าจะรู้ แต่ที่รู้แน่ๆคือพี่เชลด้า"

"แมทจะไปได้ไง งานยังไม่ได้คุยให้เรียบร้อยเลย"       จริงๆต่อให้งานเสร็จผมก็ยังไม่พร้อมจะไป ดีใจนะที่รู้ว่าครอบครัวพี่เชนรับรู้ แต่ผมก็ยังรู้สึกเหมือนเดิมว่าครั้งแรกที่ไม่อยากไปแค่ไหน ครั้งนี้ก็ยังเป็นอย่างนั้น

"พี่อยากให้ทุกคนยอมรับความรักของเรา พี่อยากให้ป๊ากับม๊ารักแมทอย่างที่พี่รัก ไปกับพี่นะ เหลืออย่างเดียวที่ป๊ากับม๊ายังไม่รู้คือคนที่พี่รักเป็นแมท พี่ขอแม่ไปแล้วด้วยเมื่อเช้า"

"เพราะอย่างนี้เองแม่ถึงพูดอะไรแปลกๆ แม่ยอมให้แมทไปเหรอ"       ทั้งสายตาท่าทางและคำพูดของแม่บอกทุกอย่าง เป็นผมเองที่คิดไม่ถึงและดูไม่ออก

"ครับ พี่บอกแล้วว่าแค่พาไปเจอครอบครัวแล้วจะพากลับมาส่งด้วยตัวเอง"       ผมพยักหน้ารับ แต่ไม่ได้หมายความว่าตกลง ไม่รู้สิ ผมยังรู้สึกว่าตัวเองไม่พร้อม ไม่ใช่ไม่อยากไปนะ ใครๆก็ต้องอยากให้ครอบครัวคนที่เรารักยอมรับเราให้ได้อยู่แล้ว

"ต้องเร็วขนาดนี้เลยเหรอ เราเพิ่งตกลงคบกันได้ไม่กี่วันเองนะ"       ถ้าจะให้นับจริงๆมันก็ไม่ได้เร็วไปในส่วนที่พี่เชนจะต้องกลับ เพราะจะว่าไปพี่เชนก็ลางานมาตั้งเกือบอาทิตย์แล้ว แต่ที่มันเร็วคือพี่เชนจะพาผมไปแนะนำตัวนี่แหละ

"อย่าไปนับอย่างนั้นเลย ม๊าพี่รอต้อนรับแมทอยู่นะ ทุกคนในครอบครัวพี่ชอบแมทมากแมทก็รู้ พี่อยากทำให้ถูกต้อง"

"ก็ได้"       รอยยิ้มพี่เชนหลังจากที่ได้ยินคำตอบทำให้ผมเผลอยิ้มตามไปด้วย ดูพี่เชนมีความสุขที่ผมตอบตกลง

"พี่ดีใจนะที่ได้ยินแมทตอบตกลง ขอบคุณนะครับ"       พี่เชนดีใจแต่ผมกลับมีความกังวลเล็กน้อย ตอนที่เรากำลังจะรักกันเรามองข้ามสิ่งที่กำลังจะเป็นอุปสรรคทุกอย่างไปหมดเลยจริงๆ ผมลืมคิดว่าเราจะรักกันยังไงทั้งๆที่เราอยู่ห่างกันขนาดนี้ ผมมองข้ามว่าในความเป็นจริงแล้วเราอยู่กันคนละที่ ความรักคือการคอยแก้ปัญหาไปเรื่อยๆเหรอ พอปัญหาหนึ่งผ่านไปยังไม่ทันไรก็มีความกังวลใหม่เข้ามา ในโลกของความเป็นจริงคนเราจะผ่านพ้นทุกความกังวลใจเเพียงเพราะความรักได้จริงๆหรือไม่ นั่นเป็นสิ่งที่ผมยังสงสัย แต่ในเมื่อความรักครั้งนี้เป็นเรื่องของเราทั้งคู่ พี่เชนมีความพยายามตั้งมากมาย ผมเองก็ควรพยายามบ้างเช่นกัน

.......................................................................



❤ขอบคุณที่ติดตามนะคะ ^^*
❤มาเอาใจช่วยแมทให้ผ่านความกังวลเยอะแยะมากมายที่สร้างขึ้นเองด้วยเถอะค่ะ เพราะแมทเป็นคนไม่เคยมีความรักมาก่อน อะไรๆก็กังวลไปซะหมด ต่อให้เขียนนิยายมาเยอะแค่ไหนแต่ของจริงกับสิ่งที่จินตนาการอยากให้เป็นมันต่างกันสำหรับแมทค่ะ ไม่รู้ว่าเพราะเขียนมาเยอะเลยกังวลไปซะหมดก็ไม่รู้นะคะ อันนี้ต้องติดตามกันต่อไป 
❤อธิบายเรื่องอาหารเช้าของคนภูเก็ตกันนิดนึงนะคะ ส่วนใหญ่จะทานติ่มซำกันเป็นอาหารเช้าค่ะ อันนี้ขึ้นชื่อเลย คนภูเก็ตจะเรียกกันว่า "เสี่ยวโบ้ย" มีให้เลือกทั้งนึ่งสดแล้วก็นึ่งไว้แล้ว ส่วนแต่เตี้ยมก็คล้ายๆกับโรงน้ำชา มีอาหารทุกอย่างเลยค่ะ แต่เน้นๆก็จะมีติ่มซำอีกตามเคย ขนมจีนกับมาม่าก็ถือว่าเป็นอาหารเช้าเหมือนกันนะคะ ขนมจีนอาจจะไม่ค่อยแปลก แต่มาม่าอาจจะแปลก ที่ภูเก็ตเค้าจะต้มแบบทรงเครื่องเลยค่ะมีครบไข่หมูไก่ผัก
❤ขอบคุณ Kaewkaew นะคะ สำหรับคอมเม้นย้าวยาว อนาอ่านแล้วมีความสุขมากๆค่ะ อ่านซ้ำแล้วซ้ำอีกหลายๆรอบอ่านไปก็ยิ้มไป ขอบคุณที่ชอบรักระหว่างทางนะคะ และก็ขอบคุณทุกคอมเม้นที่อยู่ด้วยกันมาตลอดด้วยค่ะ คอมเม้นทุกอันสำคัญสำหรับอนามากจริงๆ เป็นกำลังใจชั้นดีเยี่ยมเลยค่ะ 
❤ฝากไว้สุดท้ายค่ะ 'ทะเลที่ราบเรียบไกลๆลิบตาอาจแทรกไว้ด้วยคลื่นลูกใหญ่ที่พร้อมจะกระหน่ำ' แหะๆ #วิ่งหลบชามมาม่า
❤อย่าลืมแวะไปติดแท็ก #รักระหว่างทาง กันด้วยน้า
❤แนะนำติชมได้ตามสะดวกเลยนะคะ ขอบคุณค๊า



ออฟไลน์ snowboxs

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 5445
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +124/-7
เป็นกำลังใจให้พี่เชนกับแมท
ผ่านพ้นทุกๆอุปสรรคไปได้ด้วยดี
ในระหว่างทางรักของทั้งคู่
ขอให้ความรัก ความใส่ใจ
ช่วยก่อเกิดความเข้าใจ
ให้กับทั้งคู่ด้วยนะ

ออฟไลน์ snowboxs

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 5445
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +124/-7
หายไปนานเลยคราวนี้

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด