ขอบคุณสำหรับทุกๆคอมเม้นท์นะคะ ให้กำลังใจได้มากทีเดียวเลยค่ะ แล้วมีผู้อ่านถามถึงการใช้สรรพนามที่กวินเรียกเอยว่า “เธอ” ขอให้เปลี่ยนเป็น “นาย” ได้ไหม คืออันนี้เราแต่งมายาวเกินกว่าจะแก้ไขแล้วค่ะ แหะๆ แต่ที่เราให้กวินเรียกเอยว่า “เธอ” เพราะมันดูเป็นผู้ใหญ่ ต้องการให้กวินดูเป็นผู้ใหญ่ค่ะ เลยใช้แบบนั้น หากเราแต่งผิดพลาด หรือไม่ถูกใจก็ขออภัยด้วยนะคะ และจะพยายามแต่งให้ดีขึ้น ให้มากกว่านี้ค่ะ ขอบคุณที่ติดตามนะคะ ^ ^
ป.ล ตอนนี้สั้นหน่อยนะคะ ขออภัยค่า 
# อย่าบอกใคร...ว่า...ฉันรักเธอ?#
ตอนที่ 13
โต๊ะเดียวกัน
เสียงออดเคารพธงชาติดังขึ้น เหล่านักเรียนต่างพากันวิ่งลงมาจากทิศทางต่างๆ เพื่อตรงมายังลานหน้าเสาธง เอยเองก็เป็นอีกคนที่ต้องหุบหนังสือเรียนที่อ่านค้างมาเข้าแถว วันนี้ไทป์ไม่มาโรงเรียนเพราะมีธุระด่วนต้องไปต่างจังหวัด จึงขอลากิจหนึ่งวัน ดาวเป็นคนเอาจดหมายลามายื่นอาจารย์ประจำชั้นของเอยเมื่อเช้านี้เอง จึงเป็นสาเหตุให้เอยต้องนั่งเรียนคนเดียวในห้องวันนี้
แม้ว่าเพื่อนๆในห้องจะเยอะแยะขนาดไหน แต่เอยก็ต้องอยู่คนเดียว เพราะนอกจากไทป์แล้วในห้องก็ไม่มีใครมาคุยกับเอยเลย วันนี้เหงายิ่งกว่าวันไหนๆ แม้ว่าไทป์จะฝากมาบอกดาวแล้วว่าขอโทษที่ต้องทิ้งให้เอยเรียนคนเดียว และตอนเที่ยงดาวก็สัญญาแล้วว่าจะมากินข้าวเที่ยงด้วย แต่ในระหว่างคาบนี่สิที่เอยรู้สึกแย่
“วันนี้ไทป์ไม่มา เซ็งจัง”
สาวๆในห้องมีบ่นถึงไทป์บ้างแต่ตาก็ยังเป็นประกายส่งไปทางกวิน กวินที่นั่งอยู่คนเดียวเสมอตั้งแต่เข้าเรียน ใบหน้าเรียบเฉยนั้นไม่ต้องการให้ผู้ใดมาทักทาย หรือทักทายไปแต่ก็ไร้ซึ่งการตอบโต้ใดๆทั้งนั้น เอยถอนหายใจเบาๆ เหลือบมองไปทางกวิน ที่จ้องมายังที่เก้าอี้ของไทป์ จากนั้นก็ปรายตามามองเอยอีกที เอยถอนหายใจออกมาเบาๆ ก่อนที่อาจารย์จะเข้ามาเริ่มสอนตามตารางเรียน
...
..
.
“เอย ขอโทษทีนะ เที่ยงนี้ดาวคงกินข้าวด้วยไม่ได้ อาจารย์เรียกคุยเรื่องลงข่าวเกี่ยวกับงานโรงเรียนอาทิตย์หน้าจ๊ะ โทษทีนะเอย”
ดาววิ่งมาบอกทันทีที่ออดพักเที่ยงดัง เอยยิ้มพร้อมกับบอกว่าไม่เป็นไร ทั้งที่ใจจริงรู้สึกไม่มั่นใจเลยที่จะนั่งกินข้าวคนเดียว อาจเพราะรู้สึกขาดความเชื่อมั่นในการทำอะไรโดยลำพัง ขาดความมั่นใจ กลัวสายตาจ้องจะจับผิดจากคนรอบข้าง
โต๊ะโรงอาหารก็แทบจะไม่มีที่นั่ง แต่ละโต๊ะมากินพร้อมกันเป็นกลุ่มทั้งนั้น เอยถือจานข้าวพร้อมขวดน้ำดื่ม สอดส่ายสายตามองหาโต๊ะว่างสักโต๊ะ
“อ๊ะ...เจอแล้ว”
ไม่รอช้า เอยรีบก้าวเร็วๆเพื่อไปจับจองโต๊ะนั้น ทันทีที่วางจานข้าวลงพร้อมกับที่ใครอีกคนวางจานข้าวลงบนโต๊ะพร้อมเอยพอดี เอยเงยหน้าขึ้นไปก็พบว่า
“กะ...กวิน”
เป็นกวินที่มาวางจานข้าวพร้อมกับเอยพอดี จะว่าอย่างไรดีเพราะทั้งสองคนดันวางจานข้าวพร้อมกัน ใครมาก่อนมาหลังจึงตัดสินไม่ได้ กวินไม่พูดอะไร หน้าตานิ่งเฉยเช่นนั้นก่อนจะนั่งลงพร้อมกับเริ่มทานข้าว เอยหันซ้ายหันขวาเพราะตอนนี้โต๊ะก็ไม่มีว่างแล้วนอกจากโต๊ะตัวนี้ เอยจึงจำยอมนั่งลงกินข้าวตรงข้ามกับกวินอย่างเลี่ยงไม่ได้
ออกจะตื่นเต้นที่ได้มานั่งกินข้าวกับกวิน รู้สึกได้ว่าสายตาหลายคู่จับจ้องมองมาที่โต๊ะเสียงซุบซิบเริ่มดังหึ่งจับใจความได้ว่า
“เป็นเพื่อนกวินหรอ?”
“ต๊าย อิจฉา ได้นั่งกินข้าวกับกวิน”
“แกดูสิ นายแว่นนั่นกล้าไปนั่งกินข้าวกับพี่กวินแหละ”
“ปกติตาแว่นนี้ตัวติดกับพี่ไทป์ไม่ใช่หรอ?”
เสียงซุบซิบต่างๆลอยเข้าหูมาเป็นระลอกๆ เอยจำใจกลืนข้าวที่รู้สึกฝืดคอ และไม่รู้อะไรดลใจให้ตัดสินใจลุกขึ้นดีกว่าทนฟังคนพูดถึงแบบนี้
“จะไปไหน?” กวินเอ่ยถาม
“เอ่อ...คือเราว่าจะไป...” เอยอ้ำอึ้ง ไม่คิดว่ากวินจะพูดด้วย
“นั่งลงแล้วกินต่อซะ”
เอยนั่งลงทันทีที่กวินพูดจบ รีบตั้งหน้าตั้งตากินข้าวอย่างรวดเร็วเพื่อจะให้เสร็จไวๆ ผิดกับกวินที่นั่งกินเรื่อยๆ ช้าๆอย่างใจเย็น สายตานั้นเหลือบมองกวินเป็นระยะๆ พอกวินหันมาสบตาเอยแทบจะทำช้อนหล่น รีบหลบตานั้นทันทีทันใด จนในที่สุดเอยก็ก็กินข้าวจนหมดภายในเวลาอันสั้น
“ไปนะ...” เอยพูดสั้นๆก่อนที่จะรีบลงขึ้นเอาจานไปเก็บ โดยไม่หันหลังไปมองกวินที่ยังคงนั่งกินข้าวคนเดียว
“เอยเอ้ย ทำไมไม่รอเค้านะ นิสัยแย่จริง” เอ่ยได้แต่บ่นกับตัวเอง มานึกเอาได้ทีหลังว่าทีตนเองยังไม่อยากกินข้าวคนเดียว ด้านกวินเองก็คงไม่อยากเป็นเช่นนั้นเหมือนกัน... เสียงนาฬิกาปลุกร้องขึ้นในเวลาเช้าตรู่ เอยยังคงรู้สึกอยากหลับต่ออีกหน่อย อยากจะฝันต่อถึงเรื่องราวในสมัยนั้น เอยค่อยๆดันตัวเองให้ลุกขึ้นแล้วนิ่งอยู่อย่างนั้น นึกถึงเรื่องเมื่อเย็นวันอาทิตย์ที่ผ่านมา ที่ได้เจอกวินโดยบังเอิญและตามกวินไปยังคอนโด พร้อมกับคำสั่งของกวินที่ว่าห้ามเข้าใกล้พี่ขาว นี่ผ่านมาจนถึงวันเสาร์แล้ว เอยก็ไม่ได้เจอกวินอีกเลย ตลอดหลายวันที่มาเอยเอาแต่คิดหาเหตุผล ว่าเหตุใดกวินที่ต้องสั่งตนเช่นนั้น อีกทั้งพาลนึกไปหลายๆเรื่อง...จำกันไม่ได้จริงๆหรือเพียงไม่อยากจดจำคนธรรมดาคนนี้ สุดท้ายก็วนมาคิดถึงเรื่องปัจจุบันว่าทำไมต้องห้ามไม่ให้เข้าใกล้พี่ขาว หรือเพราะแท้จริงแล้ว ผู้ชายที่พี่ขาวชอบคือกวิน
“หรือว่าจะไม่ชอบให้ใครอยู่ใกล้พี่ขาวกันนะ” เอยคิดแค่นั้น รู้สึกใจเจ้ากรรมเต้นผิดจังหวะ เจ็บแปลบปลาบพิกลเมื่อนึกถึงเรื่องนี้
เอยรีบส่ายหัวเรียกสติ แล้วไปอาบน้ำเตรียมพร้อมไปทำงานตามปกติ พอมาถึงที่ทำงานพบว่าพี่แปงนั่งมาก่อน น่าแปลกใจที่วันนี้พี่แปงว่าเร็วกว่าเอยเสียได้
“พี่แปง มาเช้าจังครับ” เอยทักไป พี่แปงหันหน้ามอง น้ำตานองหน้าจนเอยตกใจ
“พี่แปง เกิดอะไรขึ้น?”
“ฮือๆ พี่ทะเลาะกับแฟนพี่มาน่ะเอย”
พี่แปงเล่าเรื่องราวทั้งหมดว่าแฟนพี่แกเปลี่ยนไป ไม่ใส่ใจเหมือนแต่ก่อน ดูพี่แปงน้อยใจเลยชวนทะเลาะกันเสียเรื่องบานปลาย วันนี้พี่แปงเลยไมสบายใจคิดว่าจะมาหาเอยแต่เช้าเผื่อจะดีขึ้นมาบ้าง ผ่านไปไม่นาน พี่ขาวก็มาอีกคน เอยจึงเป็นคนเล่าเรื่องทั้งหมดให้ฟัง
สำหรับเอย ตั้งแต่เจอคำสั่งของกวินในวันนั้นแล้ว รู้สึกเข้าหน้ากับพี่ขาวยากขึ้น เพราะใจเอาแต่คิดว่าพี่ขาวกำลังคบหากับกวิน หลายครั้งที่พี่ขาวถามถึงสาเหตุที่เอยแปลกไป แต่เอยก็พยายามทำทุกอย่างให้ปกติ ไม่ให้พี่ขาวรู้ว่าเอยกำลังคิดอะไรอยู่
“เรื่องเป็นอย่างนี้หรอเอย” พี่ขาวถามขึ้นหลังจากที่เอยเล่าเรื่องพี่แปงจบ
“ครับ พี่แปงเลยเครียดอย่างที่เห็น”
“ใจเย็นๆแปง เอางี้ คืนนี้ไปเมากันให้หายเศร้าเลยเป็นไง” พี่ขาวว่า
“มันจะดีหรือครับพี่ขาว?” เอยไม่ค่อยเห็นด้วยกับการปรับทุกข์ด้วยเหล้า
“เอาน่า แปงมันเสียใจอยู่ ถ้าไม่เมาก็ไม่หายเครียดหรอก”
“งั้นเย็นนี้ไปกันนะ” พี่แปงกลับเห็นด้วย เธอค่อยๆเช็ดหน้าเช็ดตาแล้วเริ่มทำงาน
...
..
.
เวลาเลิกงานก็มาถึง เอยทำเอกสารรายงานเรื่องเอกภพที่ต้องรายงานกวินทุกวันเสาร์ฝากกับคุณทราย เลขาของกวินไว้ แม้เธอยืนกรานว่าให้เข้าพบด้วยตนเอง แต่เอยก็ปฏิเสธและอ้างไปกับเธอว่ามีธุระด่วนเลยต้องขอกลับก่อน
ด้านพี่ขาวก็นัดแนะว่าเวลาสองทุ่มจะมารับที่บ้าน พาไปร้านแถวทองหล่อ เอยเลยกลับมาบ้านก่อน อย่างน้อยก็จะได้อาบน้ำแต่งตัว ถ้าถามว่าการเที่ยวกลางคืนสำหรับเอยนั้นไม่บ่อยจนนับครั้งได้ ครั้งแรกตอนรุ่นพี่พาไปฉลองเลี้ยงสายรหัส กับอีกทีก็ตอนเรียนจบ หากจะนับครั้งนี้ก็เป็นครั้งที่สามเท่านั้นเอง วันนี้เอยงัดเอาชุดที่ซื้อกับดาววันนั้นมาใส่ ทั้งเสื้อกางเกงและรองเท้า มองตัวเองในกระจกแล้วอดยิ้มไม่ได้ ดาวเก่งมากที่เลือกชุดที่ทำให้เอยใส่แล้วดูเป็นผู้เป็นคนมากขึ้น อย่างน้อยเอาชุดนี้ออกไปเดินก็ไม่อายใครเขา จู่ๆเสียงโทรศัพท์ก็ดังขึ้น
“ครับพี่ขาว?” พี่ขาวเป็นคนโทรมา
“พี่กำลังจะไปรับนะเอย
“ตอนนี้เลยหรอครับ?” เอยมองนาฬิกาที่ตอนนี้เข็มชี้ว่าเพิ่งจะหนึ่งทุ่มครึ่ง
“ไปรับเร็วหน่อย กันรถติดน่ะ” พี่ขาวว่า
“ครับๆ ผมแต่งตัวเสร็จแล้ว” เอยบอกไปแบบนั้น ก่อนจะวางโทรศัพท์
ในที่สุดพี่ขาวก็มาถึงบ้าน เอยบอกลาแม่ก่อนที่จะออกมา แม่ยังแซวเอยว่าแต่งตัวเสียเหมือนนักร้องเกาหลี เอยอดขำแม่ไม่ได้ พี่ขาวที่ยืนรออยู่ทำตาโตๆเมื่อเห็นเอยเดินออกมา
“เอย...น่ารักจัง” พี่ขาวพูดเบาๆ เอยได้ยินไม่ค่อยถนัดนัก
“พี่ขาวว่าอะไรนะครับ?”
“อ่อ เปล่าๆ ขึ้นรถเถอะ” พี่ขาวว่าอย่างนั้น พี่แปงเมื่อเห็นเอยก็ชมใหญ่ว่าแต่งตัวน่ารัก ถามถึงว่าใครช่วยซื้อ เอยก็เล่าไปว่าเป็นเพื่อนสมัยมัธยม ทั้งสามก็ชวนคุยกันเรื่อยๆจนถึงร้านที่พี่ขาวบอกไว้...
+++++++++++++++++++++++++