มาแล้วค่า รู้สึกว่าตัวเองแต่งมาหลายตอนแล้ว นี่ก็ปาเข้าไปสี่สิบกว่าตอนแล้ว ทั้งๆที่ตอนแรกคิดว่าจะไม่ให้ยาวขนาดนี้ คนอ่านเบื่อไหมคะ ที่เรื่องมันยาวขนาดนี้? สำหรับเรามันยาวจนน่าตกใจค่ะ ฮ่าๆ ตอนนี้ถ้ามีอะไรผิดพลาดหรือมีคำผิด ก็ขออภัย ณ ทีนี้ด้วยนะคะ ขอบคุณที่ติดตามและคอมเม้นท์กันมาตลอดเลย ขอบคุณที่รับกวินและน้องเอยไว้ในใจนะคะ ขอบคุณอีกครั้งค่า 
# อย่าบอกใคร...ว่า...ฉันรักเธอ?#
ตอนพิเศษที่ 1
กวิน เศวตเจริญ
โรงเรียนใหม่...
ร่างสูงของนายกวิน เศวตเจริญ เดินเข้ามายังโรงเรียนชื่อดังของกรุงเทพมหานครแห่งนี้ ทั้งที่เมื่อไม่กี่วันก่อนตนยังอยู่ที่อังกฤษอยู่แท้ๆ ถูกย้ายมาเรียนที่นี่เพราะความต้องการของพ่อและแม่ กวินอยู่อังกฤษตั้งแต่ชั้นประถมจนถึงไฮสคูลปีสิบหรือถ้าเทียบกับชั้นเรียนของไทยก็คือม.ห้านั่นเอง
กวินเป็นคนที่เรื่อยเปื่อยในสายตาของคนในครอบครัว เป็นคนนิ่งเงียบ ใบหน้าตีขรึม ไม่อาจจะคาดเคาได้ว่าคิดอย่างไรภายใต้ใบหน้าที่นิ่งราวกับรูปปั้น และเมื่อเป็นคนที่ดูไม่ออกเช่นนี้ที่บ้านจึงจัดการตีกรอบ วางแผนทุกอย่างในชีวิตให้กวินทั้งสิ้น กวินเองก็รับการจัดการเหล่านั้นโดยไม่มีข้อแม้ใดๆ
ไม่มีแผนในชีวิต ไม่มีเป้าหมาย ไร้ซึ่งสิ่งที่สนใจ จึงกลายเป็นคนไม่สนใจเรื่องราวของใครแม้กระทั่งความรู้สึกของตนเอง มองทุกอย่างเป็นความว่างเปล่า มองอนาคตเป็นเรื่องน่าเบื่อ เพราะรู้อยู่ดีว่าอย่างไรก็ต้องทำงานของที่บ้านอยู่แล้ว จะอย่างไรก็ต้องเดินบนเส้นทางที่ที่บ้านกำหนดอย่างเลี่ยงไมได้อยู่แล้ว จะคิดเองไปทำไมให้เปลืองสมอง
กวินเดินไปยังห้องพักอาจารย์ เข้าไปยืนรออาจารย์ประจำชั้น เจออาจารย์กำลังรื้อเอกสารหรือทำอะไรสักอย่างโดยที่ไม่รู้ตัวเลยว่ากวินมายืนอยู่ กวินก็มองนิ่งๆอยู่อย่างนั้น จนอาจารย์เพิ่งจะรู้สึกว่ากวินมายืนอยู่ตรงหน้า
“นายกวินเหรอ?” อาจารย์ท่านนั้นถามขึ้นมา
“ครับ”
“ไปๆ เดี๋ยวจะพาไปห้องเรียน”
กวินเดินตามอาจารย์ท่านนั้นไปยังตึกเรียนที่ดูทันสมัย เดินขึ้นไปจนกระทั่งมาถึงห้องเรียนห้องหนึ่ง ซึ่งมีเสียงเจี๊ยวจ๊าวตามประสานักเรียนรวมตัวกัน อาจารย์ท่านนั้นเดินเข้าไปในห้อง
“แหมๆ พอมาถึงก็เม้าเสียงดังนะพวกเธอ นี่...เพื่อนใหม่ ย้ายมาจากอังกฤษ แนะนำตัวกับเพื่อนๆซะสิ” อาจารย์มองไปข้างหน้าพูดกับนักเรียน ก่อนที่จะหันมาบอกกวิน
“กวิน ยินดีที่ได้รู้จัก”
แนะนำตัวเป็นพิธีก็พอ เพราะไม่อยากจะคบหาใครเป็นเพื่อนอยู่แล้ว อาจจะเพราะชินกับการอยู่ต่างประเทศ เคยชินกับการทำอะไรคนเดียว บ้างทีมีคู่หูช่วยในเรื่องเรียน แต่ปกติแล้วกวินเคยชินกับการทำอะไรคนเดียวมากกว่า
เสียงกรี๊ดดังขึ้นเบาๆ และสายตาที่จ้องมองมา ทำกวินเบื่อหน่าย ไม่ว่าจะไปที่ไหนก็มีแต่สายตาเหล่านี้จับจ้องมองมาเสียน่ารำคาญ ไม่ว่าจะที่นี่หรือที่อังกฤษก็ตาม ช่างน่าเบื่อหน่ายเสียจริง
“กวิน ไปนั่งข้างหน้าต่างหลังสุดไป” อาจารย์บอกอย่างนั้น กวินทำท่าจะเดินไปแต่กลับมีเสียงหนึ่งพูดขึ้นมาเสียก่อน
“อาจารย์ครับนี่โต๊ะผมนะ” เสียงนั้นพูดขึ้นมา เป็นเรื่องปกติที่ในห้องเรียนจะต้องมีนักเลงหรือคนที่ชอบวางกล้ามไปทั่ว และดูเหมือนคนที่พูดขึ้นจะเป็นแบบที่กวินคิดไว้
“จ้าๆ โต๊ะในห้องนี้เป็นของเธอหมดแหละจ้ะพ่อคุณ” เสียงของอาจารย์บอกไปแบบนั้น
กวินยังคงใบหน้านิ่งอยู่เช่นนั้น ก่อนที่จะนั่งลงที่โต๊ะตัวนั้น สายตามองออกไปนอกหน้าต่าง...อะไรมันจะน่าเบื่อขนาดนี้
...
..
.
กวินมามีรถมารับส่งทุกวันเป็นประจำ เป็นรถของที่บ้านซึ่งพ่อและแม่เป็นคนส่งมา ทุกครั้งที่มาถึงโรงเรียน สายตาทุกคนจะจับจ้องมองมายังรถของที่บ้าน ผู้หญิงก็จะสะกิดเพื่อนให้มองพร้อมกรีดร้องกันเบาๆ ส่วนผู้ชายก็จะทำท่าเขม่นใส่บ้าง ไม่ก็เฉยๆบ้าง ซึ่งสำหรับกวินแล้วมันเป็นเรื่องธรรมดา เพราะตั้งแต่เข้าเรียนมา ต้องมีคนจ้องมอง มีบ้างเข้ามาพูดคุยด้วย แต่กวินก็ไม่ใส่ใจจะพูดด้วย เพราะไม่ต้องการให้ใครเข้ามายุ่งในพื้นที่ที่เป็นส่วนตัว
วันนี้มีการเลือกชมรม กวินไม่รู้จะเลือกชมรมอะไรดี เพราะไม่มีความสนใจในด้านใดอย่างชัดเจนเท่าที่ควร กีฬาก็เล่นบ้างตามประสา สุดท้ายก็เลือกที่จะเข้าชมรมบาสเก็ตบอล เพราะเป็นกีฬาชนิดเดียวที่เล่นบ่อยมากที่สุด
พอสมัครเข้าชมรมก็ไม่มีอะไรมา แค่นั่งฟังเรื่องต่างๆว่าต้องทำอะไรบ้างในชมรม เพียงไม่นานนักก็เลิกชมรม ทุกคนต่างเฮโลพากันวิ่งออกไป ซึ่งสำหรับกวินแล้วมันช่างดูไร้มารยาทมาก กวินจึงรอให้ไปกันทั้งหมดแล้วจึงจะเดินตามหลังไปคนสุดท้าย
“โอ๊ย!!”
เสียงร้องดังขึ้น กวินหันไปมองเด็กผู้ชายคนหนึ่งซึ่งผอมแห้ง นั่งลงกับพื้นพลางร้องออกมา คาดว่าจะถูกชนเข้ากับฝูงนักเรียกจากชมรมบาสเก็ตบอลที่ออกไปเมื่อครู่นี้แน่ๆ เพราะรูปร่างดูเล็ก เพียงครู่แรกกวินคิดว่าเป็นเด็กม.ต้น แต่พอดูดีๆแล้วคนๆนั้นสวมกางเกงสีของม.ปลาย ไม่รู้อะไรดลใจให้ถามออกไป
“เป็นอะไรไหม?” ถามออกไปอย่างไม่ตั้งใจ พร้อมกับยื่นมือออกไป ผิดนิสัยตนเองเสียจริงที่เป็นเช่นนี้
“เอ่อ...”
ครั้งแรกที่ได้เห็นหน้าชัดๆ เป็นเด็กผู้ชายตัวขาว สวมแว่นสายตา รูปร่างเล็กกะทัดรัด ดวงตาไม่โตมากนัก แต่กลมชวนให้จ้องมอง ริมฝีปากเล็กๆนั้นขบเม้ม ราวกับเป็นคนไม่มั่นใจในตนเอง
“จะลุกหรือนั่งต่อ?” ตัดสินใจถามออกไปอีกครั้ง ดูเหมือนจะได้สติ มือนั้นเอื้อมขึ้นมาจับมือของตนเอง รู้สึกแปลกๆพิกลเมื่อได้สัมผัสมือเล็กๆนั้น
“ขอบ...คุณ” เสียงนั้นบอกออกมา พลางก้มหน้าลง ดูแล้วเป็นคนขี้อายจริงๆ
กวินรู้สึกว่าตนเองพิจารณาคนตรงหน้ามากไปแล้ว จึงกลับหลังหันไปทันทีโดยที่ไม่พูดอะไร ไม่คิดจะมองกลับหลังไปมองว่าคนนั้นๆกำลังแสดงสีหน้าอย่างไรออกมา...
...
..
.
วันนี้กวินมาเรียนตามปกติ เมื่อเดินเข้าห้องมาถึงก็หันไปเห็นเด็กแว่นเมื่อวานตอนเลิกคาบชมรม เด็กแว่นตากลมคนนั้น เรียนห้องเดียวกันกับตน สำหรับกวินแล้วเป็นอะไรที่น่าแปลกใจมาก เพราะไม่เคยเห็นหน้าหรือไม่ได้ตั้งใจมองมาก่อน แต่พอคิดไปคิดมา กวินเองไม่ได้สนใจจะมองใครตั้งแต่แรกต่างหาก
ได้ยินเพื่อนในห้องเรียกชื่อว่าแว่นๆตลอด และจะนั่งข้างๆคนที่ชื่อไทป์ คนที่วางกล้ามใส่กวินตั้งแต่วันแรก และเป็นคนที่เพื่อนในห้องให้การนับหน้าถือตา เอาแต่เรียกหาไทป์ๆตลอด ทำให้กวินจำชื่อได้โดยไม่ทันรู้ตัว
“เอย...มึงทำการบ้านอันนั้นยังวะ?” เสียงของไทป์เรียกชื่อนั้นขึ้นมา และเด็กแว่นคนนั้นก็หันไปทางที่ไทป์เรียก
“ทำเสร็จแล้ว”
สุดท้ายก็รู้ชื่อ เด็กแว่นคนนั้นชื่อเอย นี่เป็นครั้งแรกที่รู้ชื่อ เพราะตลอดมาเพื่อนในห้องเอาแต่เรียกแว่นตลอด กวินจ้องมองไปทางเอย...ช่างดูจืดจางราวกับอากาศ ไม่แปลกใจที่เพื่อนๆในห้องไม่สนใจกัน
ตลอดเวลาที่กวินเดินผ่านไปผ่านมา จะเห็นว่าเอยนั้นอยู่ติดกับไทป์ตลอด และมีเด็กผู้หญิงที่อยู่ห้องสองด้วย มักจะมาอยู่ด้วยกันสามคนบ่อยๆ ตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่ทราบ ที่กลายเป็นว่ากวินติดตามดูพฤติกรรมของเอยอยู่ห่างๆ อาจจะเพราะดูจืดจาง หรืออาจจะเพราะท่าทางที่ดูขี้อายแลดูนิ่มๆเชื่องๆ กวินจึงจับตามองเอยทุกครั้งไป
...
..
.
การเรียนที่นี่แตกต่างกับการเรียนที่อังกฤษมาก มีทั้งกิจกรรมในวันพิเศษต่างๆที่เป็นไทยๆ สำหรับประเทศไทยมีวันสำคัญต่างๆมากมาย และเดือนนี้ดูเหมือนจะเป็นช่วงกิจกรรมวันสุนทรภู่ ซึ่งแต่ละชั้นปีจะมีการแสดงบทประพันธ์อะไรสักอย่างของสุนทรภู่ ซึ่งกวินไม่ค่อยเข้าใจเสียเท่าไหร่ แม้อยู่ที่อังกฤษจะมีครูพิเศษที่สอนแนววิชาการของไทยอยู่บ้างและได้บอกกล่าวมาบ้าง แต่กวินก็ไม่เคยได้อ่านวรรณกรรมหรือบทประพันธ์ของสุนทรภู่อย่างจริงๆจังเลยสักครั้ง
และดูเหมือนจะมีการเลือกการแสดงชื่อกากี ที่ประธานนักเรียนเป็นคนเลือกขึ้นมา ซึ่งกวินไม่รู้จักเลยว่าเรื่องกากีนี้มีเรื่องราวอย่างไร และจู่ๆมีการเลือกนักแสดง และเพื่อนๆม.หกด้วยกันเลือกให้กวินแสดงเป็นตัวละครชื่ออะไรสักอย่างซึ่งชื่อเรียกยากมาก
“ไม่เล่น”
ปฏิเสธออกไปแล้ว ไม่คิดจะร่วมกิจกรรมอะไรทำนองนี้แน่นอน แต่ดูเหมือนคนที่เป็นประธานนักเรียนจะไม่ยอม เอานี่เอานั่นมาขู่กวินเสียเหลือเกิน และดันขู่เรื่องเกี่ยวกับคะแนนวิชาภาษาไทยด้วย กวินเลยต้องจำยอมอย่างเลี่ยงไม่ได้
ไม่ใช่กวินที่โดนคนเดียว ไทป์เองก็โดนแสดงด้วยและยังมีผู้หญิงอีกคนที่แสดงเป็นนางเอก พอกลับบ้านไปกวินจึงหาเรื่องกากีมาอ่าน พบว่าเป็นเรื่องราวรักๆใคร่ๆในสมัยก่อน และบทที่ต้องแสดงก็เป็นตัวเด่น ซึ่งจะเป็นคนที่ได้นางกากีไปครอง
ทุกๆวันต้องมีการซ้อมบท กวินจะต้องซ้อมกับเพื่อนที่เป็นนักแสดงด้วยกัน เวลามีฉากแสดงความรัก ทุกคนจะให้ความสนใจเป็นอย่างมาก ชนิดจ้องมองตาไม่กระพริบ ประธานนักเรียนก็เอาแต่ขู่ หากไม่ทำตามบทบ้างอะไรบ้าง สำหรับกวิน กิจกรรมนี้เป็นอะไรที่น่าเบื่อมากจริงๆ
เมื่อถึงวันแสดง มีการแต่งตัวตามรูปภาพ ใส่ชุดแปลกๆที่กวินเคยเห็นตามภาพวาดฝาผนังในวัด และไทป์เองก็แต่งเช่นเดียวกันกับเอย ระหว่างที่อยู่หลังเวที เห็นเอยคนนั้นอยู่ไม่ห่างไทป์ คอยดูแลพูดคุยกันอยู่ตลอดเวลา เห็นแล้วดูรกหูรกตาอย่างบอกไม่ถูก
จนในที่สุดการแสดงก็เสร็จสิ้นลง ทุกอย่างผ่านไปด้วยดี ได้รับคำชมจากเหล่าอาจารย์เป็นอย่างมาก เมื่อมาหลังเวทีก็จัดการเปลี่ยนชุด พยายามจะถอดชุดและเครื่องแต่งตัวที่หนักอึ้งเหล่านี้แต่ดูจะยากมาก หางตาของกวินพอมองออกว่าใครหลายคนอยากเข้ามาช่วย แต่กวินก็ไม่เอยปากขอร้องใคร ผ่านไปไม่นานนักจนตอนนี้ไม่เหลือใครนอกจากตนเองและเอยคนนั้น
“ถอดยากฉิบ” พ่นคำหยาบคายออกมาอย่างไม่ได้ตั้งใจ จู่ๆก็มีเสียงหนึ่งพูดขึ้นมา
“หะ...ให้ ช่วย...ไหม?” เอยคนนั้นเอ่ยถามขึ้นมา ไม่รู้เพราะอะไร มือที่พยายามแกะก็หยุดลงทันที ราวกับตอบรับความช่วยเหลือที่เอยคนนั้นยื่นให้ และเจ้าตัวแกะออกสำเร็จในเวลาไม่นานด้วย
“เสร็จ....แล้ว” เสียงนั้นออกจะสั่นๆ
“ยังมีที่ครอบนี่อีก” กวินเอ่ยออกไป
และดูเหมือนเอยคนนั้นจะพยายามดึงออกให้ได้ รู้สึกเจ้าตัวออกแรงมากแล้วแต่ก็ยังไม่ออก สำหรับกวินแล้วสิ่งที่รู้สึกได้คือแรงนั้นน้อยนิดเหลือเกิน และจู่ๆก็พลั้งปากออกไปอย่างห้ามไม่ทัน
“แรงเท่ามด” พูดออกไปจนได้ ถึงสิ่งที่ตนคิดอยู่ในใจ
“โทษที....” แม้จะไม่ใช่ความผิด แต่ก็ยังขอโทษ....เอยคนนี้เป็นคนแบบไหนกันแน่
ไม่เป็นไร” บอกออกไปอย่างนั้น อย่างน้อยเพราะเห็นแก่ความช่วยเหลือ จึงเอ่ยปากขอบคุณออกไป
“ขอบใจ”
บอกออกไปแค่นั้น และดูเหมือนเอยคนนั้นจะมีปฏิกิริยาแปลกๆ ยืนเก้ๆกังๆ ราวกับทำตัวไม่ถูก พอเห็นเช่นนั้นก็อดจะรู้สึกขำในใจไม่ได้ ช่างเป็นคนที่แปลก ไม่เคยเห็นใครแบบนี้มาก่อน...
...
..
.
สิ่งที่น่าเบื่อมากรองจากการที่เป็นที่จับตามอง คือการที่มีผู้หญิงเข้ามาบอกว่าชอบบ้าง รักบ้าง อยากเป็นแฟนด้วยบ้าง ที่อังกฤษนั้นกวินเจอมาบ่อยมาก พวกฝรั่งทั้งเอเชียต่างพากันมาขอเป็นแฟนหลากหลายวิธี แต่สำหรับตนเองนั้นไม่มีเรื่องเหล่านี้อยู่ในหัว เรื่องความรักเป็นเรื่องที่เสียเวลาสำหรับกวิน จะอย่างไรพอโตขึ้นไปที่บ้านก็ต้องจัดหาผู้หญิงมาให้แน่นอน ไม่ต้องไปดิ้นหาเองให้เสียเวลาเสียสมอง
มาที่ไทยก็ไม่แตกต่างกัน มาอยู่ได้ไม่นานเท่าไหร่ก็เจอผู้หญิงมาบอกว่าชอบ คราวนี้เขียนจดหมายใส่ใต้โต๊ะ เป็นวิธีที่พื้นฐานมาก เนื้อหาจดหมายบอกว่าขอนัดเจอที่สวนหย่อมมุมตึกวิชาการ ใจหนึ่งกวินก็ไม่อยากไป แต่ใจหนึ่งหากปล่อยเรื่องให้คาราคาซังก็จะทำให้รำคาญในภายหลังได้ จึงตัดสินใจที่จะตัดปัญหาทิ้งด้วยการไปตามนัด
มาถึงก็แปลกใจเล็กน้อย เพราะคนที่นัดมาเป็นผู้หญิงที่แสดงเป็นนางกากีที่ได้เล่นละครตอนงานกิจกรรมด้วยกัน
“กวิน...” เธอเรียกชื่อออกมา
“เธอส่งจดหมาเรียกฉันมา?” ถามคำถามออกไป พลางคีบจดหมายยื่นให้
“จ้ะ เราส่งเอง คือ...มีเรื่องจะคุยด้วย” เธอยืนบิดไปบิดมา คงกำลังเขินอาย กวินมองภาพเหล่านั้นด้วยความรู้สึกว่าไม่น่ามองเลยสักนิด
“ว่ามา มีเวลาไม่มาก” พูดออกไปตรงๆอย่างไม่อยากเสียเวลา
ฉับพลัน สายตาเหลือบไปเห็นใครยืนอยู่ที่มุมตึก คลับคล้ายคลับคลาว่าเป็นเอย นายแว่นตากลมคนนั้นอีกแล้ว มาทำอะไรที่นี่ จะบังเอิญเกินไปที่มาที่นี่ในเวลานี้ กวินทำท่าเฉยๆราวกับไม่รู้ตัวว่ากำลังถูกแอบมองอยู่
“คือ..เราเรียกกวินมาเพราะจะบอกว่า...เรา ชอบกวินนะ”
“แล้ว?” ไม่ได้ตื่นเต้นเลยสักนิด เธอคนนี้หน้าตาสวยก็จริง แต่เพราะอะไรไม่ทราบ กวินถึงรู้สึกว่าเธอไม่น่าสนใจเลย แต่กลับรู้สึกสนใจคนที่กำลังแอบมองมากกว่า
“เราชอบกวิน ตั้งแต่แรกเห็นเลย แล้วยิ่งตอนที่แสดงละครด้วยกันยิ่งรู้สึกชอบมากขึ้นอีก” เธอบอกความในใจออกมา
“ชอบฉันตรงไหน?” ถามออกไปทั้งๆที่พอจะรู้แนวคำตอบของเธอ
“ชอบ...ชอบทุกอย่างเลย จะเป็นอะไรไหมถ้าจะคบกับ...” เธอพูดไม่ทันจบ แต่ก็เลือกที่จะแทรกขึ้นมาเสียก่อน
“ที่เธอชอบน่ะคือหน้าตาฉัน ไม่ใช่ตัวตนของฉันหรอก” หาคำพูดที่ปกติและดูไม่ใจร้ายที่สุดเท่าที่จะนึกได้ อย่างน้อยก็นับถือเรื่องใจกล้าที่มาบอกว่าชอบ แต่คงจะรับไว้ไม่ได้
“ไม่นะกวิน เราชอบกวินจริงๆ ไม่ใช่แค่หน้าตา” เธอส่ายหน้า มือไม้เริ่มพัลวันกลางอากาศราวกับจะอธิบาย มองดูแล้วยิ่งไม่น่าสนใจเข้าไปอีก
“แล้วเธอรู้จักตัวฉันจริงๆไหม?” ถามออกไปอีกครั้ง
“เอ่อ...คือ” เธอเริ่มอ้ำอึ้ง ดูท่าจะจนมุมเสียแล้ว
“พอเถอะ! เธอไม่ได้รู้จักฉัน ที่ชอบแค่หน้าตาฉันเท่านั้น” บอกเธอให้ตาสว่าง ว่าที่เธอกำลังสนใจมันแค่เปลือกนอกเท่านั้น
“แต่กวิน....เราขอเรียนรู้ได้ไหม เรามาลองคบกันนะ” เธอไม่ละความพยายาม
“ฉันไม่ได้ชอบเธอ และคิดว่าคงจะคบกันไม่ได้ ขอตัว”
ในที่สุดก็บอกออกไปตรงๆ คงหาคำพูดที่สวยหรูกว่านี้ไม่ได้แล้ว เดินออกมาปล่อยให้เธอยืนร้องไห้อยู่อย่างนั้นโดยไม่คิดจะหันหลังไปมอง ต่อไปก็ถึงสิ่งที่รอคอย...จัดการคนที่มาแอบดูที่ตอนนี้กำลังหันหลังทำท่าจะหนี
“นั่นใคร?” แกล้งถามออกไปทั้งๆที่รู้ตัวคนแอบดูอยู่แล้ว ร่างเล็กนั้นสะดุ้งโหยง ตัวสั่นๆ คงจะกลัวไม่น้อย
“ถามว่าใคร?” ถามย้ำๆชัดๆ จนยอมหันหน้ากลับมาแต่โดยดี
“คือ...เอ่อ...เรา มาทวงหนังสือ” เสียงสั่นๆอีกแล้ว รู้สึกว่าถ้าไล่บี้แล้วจะวางตัวไม่ถูกเสียจริง
“หนังสืออะไร?” ถามออกไปอย่างงงๆ พูดถึงเรื่องหนังสืออะไร
“หนังสือที่ยืมจากห้องสมุด มารับหนังสือคืนพร้อม...ค่าปรับ” เสียงนั้นบอกออกมาเบาๆ กวินถึงจะนึกออกได้ว่ายืมมันมาสักพักแล้ว
“ลืมอยู่บ้าน พรุ่งนี้จะเอามาให้” บอกไปเช่นนั้นก่อนจะเดินออกไป และไม่ลืมที่จะหันหลังกลับไปพูดอะไรสักอย่างที่ทำให้ร่างเล็กๆนั้นสะดุ้งขึ้นมาอีกครั้ง
“อ่อ...ทีหลังจะมาก็หัดเงียบๆหน่อย อย่าให้คนเขารู้กันทั้งโลกว่าแอบยืนดู”
แค่เพียงเท่านั้นใบหน้าขาวๆนั้นก็ขึ้นสีขึ้นมา ดูท่ากำลังอายอยู่แน่ๆ น่าแปลก..รู้สึกว่ามันน่ามองกว่าท่าทางเขินอายของผู้หญิงคนที่มาบอกว่าชอบเมื่อครู่นี้อีก กวินส่ายหน้าน้อยๆสลัดความคิดของตนเอง ก่อนที่จะได้ยินเสียงแว่วตามมา
“ไม่ได้ตั้งใจเสียหน่อย”
รู้สึกว่าอยากหัวเราะออกมา แต่ก็ห้ามอาการของตนเองเอาไว้...เอย นายพีระนัม อย่างนั้นเหรอ ดูท่าคงจะได้เจอกันอีกนาน...
++++++++++++++++++++++++++++++++