ตอนนี้ถ้ามีคำผิด หรือข้อผิดพลาดอะไรก็ขอภัย ณ ทีนี้ด้วยนะคะ
ขอบคุณทุกๆกำลังใจค่า 
# อย่าบอกใคร...ว่า...ฉันรักเธอ?#
ตอนพิเศษที่ 2
กวิน เศวตเจริญ
ครั้งแรกกับความสนใจ....
ตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา กวินก็คอยจะลอบมองแต่เอยคนนั้นเสียร่ำไป ไม่ว่าจะเป็นอิริยาบถเวลาที่อยู่กับไทป์ เวลานั่งเรียน และที่เห็นบ่อยที่สุดคืออาการนั่งเหม่อ ไม่รู้ว่าคิดเรื่องอะไรอยู่ถึงได้เหม่อลอยเช่นนั้นอยู่บ่อยครั้ง
กวินยังคงนั่งเรียนโดยที่ไม่มีเพื่อนอย่างเช่นเคย หลังๆมานี้ดูเหมือนเพื่อนในห้องจะไม่ค่อยกล้าเข้ามายุ่งกับกวินเหมือนเมื่อตอนแรกๆ เพราะรู้อยู่แล้วว่าถึงจะเข้ามาพูดคุยอย่างไร กวินก็ไม่มีทีท่าจะพูดคุยด้วย
ช่วงนี้ดูเหมือนจะมีคนจากมหาวิทยาลัยมาชักชวนไปเข้ามหาวิทยาลัยต่างๆ พอถึงคาบเรียนตอนบ่าย หนึ่งชั่วโมงของวิชาเรียนจะถูกตัดออกเพื่อเข้าห้องประชุมฟังรุ่นพี่เหล่านั้นเล่าเรื่องราวของมหาวิทยาลัย มีทั้งเรื่องเรียน เรื่องกิจกรรม และเรื่องสนุกที่กวินฟังแล้วก็รู้สึกเฉยๆ สายตาก้มมองอ่านเอกสาร แผ่นพับ ถึงรายละเอียดและคณะที่เปิดสอน กวินไม่ได้วางแผนอะไรไว้ว่าจะเรียนคณะอะไร อย่างไร แต่สุดท้ายที่บ้านคงจะเลือกไม่ก็ตัดสินใจให้อีกตามเคย
หันไปมองเอยคนนั้น...ที่ตอนนี้กำลังตั้งใจอ่านเอกสารเหล่านั้นอยู่ บางครั้งก็ยิ้มออกมา บางครั้งก็ทำหน้ากังวล การแสดงสีหน้าเหล่านั้นทำให้กวินอยากรู้ขึ้นมา....ว่าเอยคนนั้นอยากจะเรียนคณะอะไร จะไปเรียนต่อที่มหาวิทยาลัยไหนกัน แต่ดูเหมือนไทป์ที่นั่งข้างๆไม่ได้ใส่ใจจะฟังเลย เอาแต่นั่งหาวอย่างไม่เกรงใจใคร พอเห็นแล้วรู้สึกไม่ชอบเลยสักนิด เป็นคนที่ดูขวางโลก คิดจะทำอะไรก็ทำ นั่นทำให้กวินไม่ค่อยชอบเท่าไหร่นัก แล้วเหตุใดเอยคนนั้นถึงมีเพื่อนที่นิสัยต่างกันสุดขั้วได้เช่นนี้ เรื่องนี้เป็นเรื่องที่กวินสงสัยที่สุด
พอฟังการแนะแนวทั้งหมดเสร็จ ก็ต้องกลับไปห้องเรียนเพื่อเรียนต่อ ระหว่างที่เรียน กวินเห็นได้ว่าเอยมีสีหน้าที่แปลกๆ ดูจะกังวลตลอด ดูคิดมาก ราวกับมีเรื่องหนักอกหนักใจแต่ไม่กล้าบอกใครก็ไม่ผิด อีกทั้งชอบหันมาแอบมองตนเองอีกด้วย แม้ตนจะทำหน้านิ่งมองกระดานไป แต่ก็พอมองออกว่าหลายครั้งเอยคนนั้นจะแอบมองมาบ่อยๆ...
“กำลังคิดอะไรอยู่?” กวินพูดในใจ แต่ใบหน้านั้นยังคงตรงนิ่งไปทางหน้ากระดาน และฟังสิ่งที่อาจารย์พูดอย่างเข้าหูซ้ายทะลุหูขวา
ในที่สุดก็ถึงเวลาเลิกเรียนเสียที เห็นเอยคนนั้นทำท่าเก็บของอย่างเชื่องช้าและยืดยาด พลางโบกมือลาไทป์ เพื่อนๆในห้องก็ออกไปกันหมดแล้ว เพราะอะไรก็ไม่ทราบ รู้สึกได้ว่าเอยคนนั้นจะต้องเข้ามาพูดด้วย และไม่ผิดอย่างที่กวินคิดไว้ เอยคนนั้นกำลังเรียกตน
“เอ่อ...กะ..กวิน” เสียงนั้นติดจะสั่นๆ รู้ได้ว่าคงกำลังตื่นเต้นไม่ก็ประหม่า
“อะไร?” หันไปถามด้วยน้ำเสียงนิ่งๆ พลางมองหน้านั้น ที่กำลังล้วงอะไรบางอย่างในกระเป๋านักเรียน
“คือ..”
เอยคนนั้นเงียบไป ก่อนที่จะยื่นหมายซองสีชมพูให้ ตอนแรกกวินก็แปลกใจที่เอยคนนั้นมีของแบบนี้ แต่พอคิดดีๆแล้ว..น่าจะมีใครฝากมามากกว่า แต่เพราะอะไรไม่ทราบ กวินเลือกจะแหย่ด้วยประโยคต่อไป
“นายให้ฉัน?...” ยกยิ้มมุมปากออกไป เห็นใบหน้าแดงๆนั้นแล้วรู้สึกว่าน่าแกล้งเข้าไปใหญ่
“ปะ...เปล่า มีคน...ฝากมา” คำตอบนั้นทำกวินหน้าตึง แม้จะรู้อยู่แล้วว่าน่าจะมีคนฝากมาแต่พอได้ยืนจากปากแล้วกลับรู้สึกไม่พอใจนิดๆ
“ใครอยากให้ ก็มาให้เอง” รู้สึกว่าน่าเบื่อขึ้นมาทันที ทำท่าจะหันหลังกลับ แต่เสียงนั้นก็พยายามร้องเรียกขึ้นมา
“แต่ แต่ว่ารับหน่อยเถอะ” เสียงนั้นติดจะอ้อนวอนขอร้อง พอได้ฟังแล้วก็คลายความไม่ชอบใจไปได้อีกนิด
“อยากให้ชั้นรับ?” ถามออกไป ก่อนที่จะหันไปมองหน้าเอยคนนั้น
“อะ...อืม” ตอบพร้อมพยักหน้าน้อยๆ
“จะรับก็ได้...แต่นายต้องแกะมันแล้วอ่านให้ฉันฟัง”
ยิ่งได้มองหน้ายิ่งรู้สึกสับสน ในใจ พยายามบอกกับตนเองว่าการกระทำแบบนี้มันดูน่าเบื่อ แต่ลึกในใจไปกว่านั้นกลับรู้สึกอยากแกล้ง อยากเห็นใบหน้าที่ทำอะไรไม่ถูกของเจ้าของดวงตากลมภายใต้แว่นใสนี้
“คงไม่ได้หรอก คือ..นี่เขาให้กวินนะ” เจ้าตัวบอกเช่นนั้น
“ถ้าอย่างนั้นฉันไม่รับ ไปล่ะ” ทำท่าจะหันหลังกลับ แต่มีเสียงร้องขึ้นมา
“ก็ได้ๆ อ่านก็ได้”
ในที่สุดก็จำยอมอ่านจดหมายฉบับนั้น เอยคนนั้นยืนกลืนน้ำลายอย่างพยายามทำใจ เมื่อเห็นอย่างนั้นแล้วกวินจึงนั่งบนโต๊ะ ก่อนที่จะรอฟังเนื้อความในจดหมาย รู้ดีว่านี่เป็นนิสัยที่ไม่ดี แต่ก็อดไม่ได้ที่จะอยากแกล้งขึ้นมา
“สะ...สวัสดี เราชื่อแอน อยู่ห้องสอง เราอยากจะบอกว่าเรา....” จู่ๆก็เงียบไปกลางคัน ทำเอากวินต้องเอ่ยปากออกไป
“ต่อสิ ไม่อย่างนั้นฉันกลับ” ทำท่าจะลุกอีกครั้ง เพื่อบ่งบอกว่าพร้อมจะไม่ฟังเนื้อความในจดหมายได้เสมอ แต่ดูเหมือนเอยคนนั้นจะรีบห้าม
“ไม่ๆ ต่อก็ได้...เราอยากจะบอกว่า เอ่อ แอบชอบกวินตั้งแต่แรกเห็นเลยนะ รู้สึก เอ่อ..ชอบดวงตาของกวิน ชอบทุกอย่าง แม้เวลาหน้าบึ้ง ชอบมากจริงๆ เราแค่อยากบอกนะ ไม่ต้องการอะไร แค่อยากให้เธอรู้แค่นั้นเอง หวังว่าจะไม่รังเกียจกันนะ”
อ่านประโยคที่ยาวยืด อ่านไปหน้าแดงไป ยิ่งเห็นยิ่งน่ามองเข้าไปอีก รู้สึกว่าจะเป็นคนที่ขี้อายและไม่มั่นใจในตัวเองเอามากๆ อีกทั้งพอเวลาอายแล้วจะมีปฏิกิริยาตอบรับแบบแปลกๆ ดูน่าค้นหาอย่างบอกไม่ถูก
“จบแล้ว?” เอ่ยถามขึ้นเมื่อเอยคนนั้นพูดจบ
“จบแล้ว...ถ้าอย่างนั้นรับจดหมายไปเถอะนะ” พูดพลางยื่นจดหมายให้
“ไม่รับ” บอกออกไปแล้ว ก่อนที่จะลุกขึ้นเพื่อจะเดินออกไปจากห้อง
“นี่! ทำไมนายไม่รับ แค่จดหมายเอง เขาก็บอกแล้วว่าเขาแค่อยากบอก ไม่ต้องการอะไร แค่รับความรู้สึกเขาแค่นั้นเอง นายมันใจร้ายเกินไปนะ!” เสียงนั้นต่อว่าดังพอสมควร หน้าแดงขึ้นมาอย่างน่าจะโมโหปนอาย
“โกรธแทนหรอ?” พอเห็นแบบนั้น มือก็คว้าออกไปอย่างรวดเร็วดั่งใจนึก ดึงแขนเอยคนนั้นเข้ามาใกล้ๆตนเอง
“มะ..ไม่ คือ...”
เอยคนนั้นก้มหน้าก้มตาลง ราวกับรู้สึกผิด จดจ้องร่างผอมบางที่เตี้ยกว่าตนเองมาก จู่ๆก็รู้สึกว่าอยากยิ้มออกมาเสียอย่างนั้น กวินพยายามหยุดความคิดของตนเอง บังคับให้ตนเองหน้านิ่งไว้ ก่อนที่จะพูดต่อ
“รับก็ได้ ถ้าต้องการอย่างนั้น” พูดพร้อมใช้มืออีกข้างดึงจดหมายออกจากมือของเอยคนนั้น
“แค่นี้ก็พอใช่ไหม?” ถามย้ำอีกครั้ง
“อืม” ดูเหมือนเจ้าตัวจะยอมรับแบบนี้ได้
“ไม่ต้องอายหน้าแดงขนาดนั้นก็ได้ คิดว่าตัวเองกำลังสารภาพรักฉันหรอ?”
ในที่สุดก็อดไม่ได้ที่จะแกล้งอีกครั้ง โดยที่ก้มลงไปกระซิบประโยคนั้นที่หูอย่างเบาๆ ก่อนจะผละออกมาแต่ริมฝีปากกลับเฉียดใบหูนั้นอย่างไม่ได้ตั้งใจ รู้สึกถึงความอุ่นเล็กๆที่ติดมาจากการสัมผัสแค่ชั่วครู่ ใบหน้านั้นแดงก่ำอย่างเห็นได้ชัด จากนั้นจึงปล่อยมือแล้วเดินออกไปจากห้อง โดยที่ไม่ได้มองกลับไป เพราะรู้สึกว่าจังหวะหัวใจเต้นผิดแปลกไป....เกิดอะไรขึ้นกับตนเองกันแน่?
...
..
.
เวลาผ่านไปกว่าหลายวัน หลังจากวันนั้นกวินก็ไม่ได้ใจเต้นผิดจังหวะอีกแล้ว รู้สึกทุกอย่างปกติดี แต่ก็ยังคงเหลือบไปมองเอยคนนั้นอยู่ดี ราวกับสังเกตถึงความเป็นไปต่างๆในแต่ละวัน
วันนี้ดูเหมือนไทป์ เพื่อนสนิทของเอยคนนั้นไม่มาโรงเรียน และดูเหมือนเจ้าตัวจะประหม่ามากที่ต้องนั่งหรือทำอะไรคนเดียว
จนถึงเวลาพักเที่ยงทานข้าว ผู้คนก็เยอะแยะอย่างทุกๆวัน กวินมองหาโต๊ะว่าง ก่อนที่จะเห็นโต๊ะหนึ่งเข้า ไม่รอช้ารีบก้าวขายาวๆไปทันที พร้อมกับวางจานข้าวลง และด้วยความบังเอิญหรืออย่างไรก็ไม่ทราบ เอยคนนั้นก็วางจานข้าวพร้อมกันกับตนเองพอดิบพอดี
กวินนั่งลงไม่พูดอะไร ก่อนที่จะเริ่มทานข้าว และดูเหมือนเอยคนนั้นก็นั่งลงอย่างจำยอม เพราะตอนนี้โต๊ะว่างไม่มีเหลือแล้ว ระหว่างทานไปก็ได้ยินเสียงซุบซิบไปต่างๆนานา วิพากษ์วิจารณ์คนที่มานั่งตรงข้ามตนไปในทางที่ไม่น่าฟังเท่าไหร่ และดูเหมือนเจ้าตัวเริ่มฟังเสียงเหล่านั้นไม่ไหว ทำท่าจะลุกขึ้น
“จะไปไหน?” ถามออกไปโดยที่ยังคงก้มหน้าก้มตาทานข้าวอยู่
“เอ่อ...คือเราว่าจะไป...” เสียงนั้นติดๆขัดๆ
“นั่งลงแล้วกินต่อซะ”
ออกคำสั่งออกไป ก่อนที่จะทานข้าวต่อ และดูเหมือนจะยอมนั่งลงทานข้าวต่ออย่างโดยดี ระหว่างที่กวินกำลังทานเรื่อยๆ เพื่อรั้งเวลาที่จะได้นั่งให้นานกว่านี้ แต่คนตรงข้ามกลับรีบตักข้าวคำโตๆ ทานข้าวให้เร็วที่สุดโดยที่ไม่กลัวจะติดคอหรืออย่างไรเลย ทานไปก็เหลือบมองมาเป็นระยะๆ พอลองแกล้งสบตาดู ก็เริ่มทำตัวไม่ถูก มือสั่นๆจนแทบจะทานข้าวต่อไม่ไหว กวินแอบยิ้มในใจ...น่าแกล้งอย่างที่คิดไว้จริงๆ
“ไปนะ....”
พูดเพียงสั้นๆ ก่อนที่จะลุกขึ้นไปเก็บจาน กวินไม่พูดอะไรพลางทานข้าวต่อไป พอสบจังหวะที่เอยคนนั้นเผลอ กวินก็เหลือบไปมองยังเจ้าตัวที่เดินบ่นพึมพำอะไรสักอย่าง ก่อนที่จะออกไปจากโรงอาหาร พอเห็นอย่างนั้นก็อดไม่ได้ที่จะยกยิ้มมุมปากออกมา..
...
..
.
วันนี้เป็นวันที่มีคาบชมรมอีกแล้ว วันนี้มีการซ้อมร่วมกันกับทุกคนทุกชั้นในชมรม ม.ต้นก็ซ้อมเดาะลูกไป ส่วนม.ปลายก็โยนลูกลงห่วง การซ้อมแบบนี้เริ่มจะน่าเบื่อไม่น้อยสำหรับกวิน เพราะเด็กม.ห้า กลุ่มหนึ่งซ้อมไปเสียงดังไป และเอาแต่เล่นเสียมากกว่า ทำให้กวินรู้สึกรำคาญไม่น้อย
ระหว่างที่กำลังซ้อมอยู่ หางตาเหลือบไปเห็นร่างเล็กๆใส่แว่นใส ตากลมเด่นชัดมาแต่ไกล เดินเข้ามาในโรงประชุม...เอยคนนั้นเดินมาพร้อมถือเอกสารอะไรบางอย่างมาด้วย เดินเข้ามาอย่างกลัวๆกล้าๆ ก่อนที่จะเดินไปหาอาจารย์ท่านหนึ่งที่คุยกับอาจารย์เมฆ ผู้ดูแลชมรมบาสเก็ตบอลนี้
“มึงๆ ถ้ากูโยนลูกบาสใส่พี่แว่นคนนั้น พี่แกจะร้องยังไง?” เด็ก ม.ห้าหนึ่งในกลุ่มที่สร้างความรำคาญให้กวินพูดขึ้น
“บ้าน่ามึง จะทำต่อหน้าอาจารย์เลยเหรอ” อีกคนหนึ่งถามขึ้น
“เอาน่า”
และดูเหมือนจะทำจริงๆด้วย เด็กคนนั้นขว้างลูกบาสเก็ตบอลใส่ศีรษะของเอยคนนั้นอย่างแรง กวินบีบลูกบาสในมือแน่น ไม่ชอบเลยที่เห็นคนอื่นแกล้งเอยคนนั้นอย่างไม่มีสาเหตุ เอยคนนั้นตัวเซเพราะแรงกระแทกก่อนที่จะร้องออกมา
“เป็นอะไรมากไหม?...นี่ๆซ้อมกันระวังหน่อย” อาจารย์เมฆหันไปถาม พลางตะโกนบอกมาทางฝั่งนี้
“ไม่ได้ตั้งใจครับอาจารย์”
เด็กคนนั้นพูด ก่อนที่จะหัวเราะออกมาอย่างสะใจ ยิ่งเห็นยิ่งไม่ชอบใจ ยิ่งรู้สึกว่าต้องทำอะไรสักอย่าง เห็นแล้วน่ารำคาญมาตั้งแต่เริ่มซ้อมแล้ว ไม่รอช้า กวินจึงขว้างลูกบาสใส่หน้าผาก ขว้างสุดแรงจนเด็กคนนั้นหงายหลัง
“โอ๊ย!! พี่ทำไรวะ?”
เด็กคนนั้นกุมหน้าผากพลางร้องถามกวิน แถมจ้องมองราวกับจะหาเรื่องรุ่นพี่อย่างตน แต่กวินไม่พูดอะไร กับส่งสายตาขวางๆไป บ่งบอกว่าตนเองก็ไม่ยอมเช่นกันที่เด็กคนนี้ไปแกล้งเอยคนนั้น..เพราะอะไร?...ใช่..เพราะเอยคนนั้นเป็นเพื่อนร่วมห้อง จึงไม่ชอบใจที่เห็นเพื่อนร่วมห้องโดนแกล้งแบบนั้น กวินบอกกับตนเองเช่นนั้น
“สงสัยพี่เขาเห็นมึงตอนขว้างลูกบาสใส่พี่แว่นคนนั้นว่ะ” เพื่อนของเด็กคนนั้นพูดขึ้น
“ห่าเอ้ย” เด็กคนนั้นสบถออกมา ก่อนจะหยุดการซ้อมทันที
กวินไม่พูดอะไร กลับหันไปซ้อมต่อ โดยที่ไม่หันไปมองเอยคนนั้นเลยว่าแสดงสีหน้าเป็นอย่างไร จนเมื่อรู้สึกว่าเอยคนนั้นออกไปจากโรงประชุมแล้ว จึงจะมองตามแผ่นหลังนั้นไป ไม่รู้เพราะอะไรถึงไม่ชอบใจที่เห็นคนอื่นไปแกล้งเอยคนนั้น แม้จะรู้ดีว่าคนๆนั้นน่าแกล้งขนาดไหน แต่กลับไม่อยากให้คนอื่นแกล้งนอกจากตนเอง เพราะอะไร...กวินได้แต่ถามตนเอง
กวินกลับบ้านไปโดยที่รู้สึกแปลกๆไปทั้งวัน แม้กระทั่งอาบน้ำ เข้านอนแล้วก็ยังนึกถึงหน้าของเอยคนนั้น เด็กแว่นตัวเล็ก หน้าขาวๆตากลมๆ ยิ่งพยายามสะบัดให้ออกไปจากหัวเท่าไหร่ ดูเหมือนจะยิ่งนึกถึงแต่ใบหน้านั้นตลอด
“เป็นบ้าอะไรวะ?” กวินถามตนเอง เมื่อหยุดนึกถึงหน้านั้นไม่ได้ จึงปล่อยเลยตามเลยให้ใบหน้านั้นลอยวนจนกระทั่งหลับไป
...
..
.
วันนี้กวินมาเรียนอย่างรู้สึกง่วงๆ เพราะรู้สึกเหมือนนอนไม่เต็มอิ่ม หาวออกมาอยู่บ่อยครั้ง และยิ่งมาเห็นสาเหตุที่ทำให้ตนนอนไม่หลับอย่างเอยคนนั้น ที่นั่งยิ้มอยู่ข้างๆไทป์แล้ว ยิ่งต้องมานั่งถามตนเองว่าเพราะอะไร ถึงนึกถึงเด็กผู้ชายตัวเล็กๆที่ดูจืดจางขนาดนั้น เพราะอะไรถึงเอาแต่นึกถึงและอยากแกล้ง กวินกำลังทบทวนตนเองอยู่ทั้งวัน และแอบมองเอยคนนั้นอย่างเผลอไผลไปหลายครั้ง
ดูเหมือนวันนี้ทั้งวัน กวินเอาแต่แอบจ้องมอง และถ้าสังเกตไม่ผิด...เอยคนนั้นเองก็แอบเหลือบมองมาที่ตนเองบ่อยๆเช่นกัน บางครั้งที่สบตากันตรงๆ และรายนั้นก็รีบหลบหน้าทันที แต่พอจะมองเห็นจากข้างๆได้ว่าหน้าแดงราวกับกำลังอาย ยิ่งมองยิ่งรู้สึกว่าตนเองชักจะแปลกไปทุกที...กวินคิดในใจว่าคงไม่ได้การณ์แล้ว...ต้องจัดการกับความรู้สึกเหล่านี้ของตนเอง ต้องหาสาเหตุที่แท้จริงของมัน และ...กำจัดมันเสีย ขืนปล่อยไว้มันคงไม่ดีกับตนเองแน่ๆ....
+++++++++++++++++++++++++++++++