..หัวใจใฝ่รัก... ( The Royal Promise ) ตอนที่ ๔๐ Ending of story 8/4/58 จบแล้วจ้า !!
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: ..หัวใจใฝ่รัก... ( The Royal Promise ) ตอนที่ ๔๐ Ending of story 8/4/58 จบแล้วจ้า !!  (อ่าน 38190 ครั้ง)

ออฟไลน์ ApolloS

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 91
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +28/-0
ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ


ติดตามกฏเพิ่มเติมที่กระทู้นี้บ่อยๆ เมื่อมีการแก้ไขกฏจะแก้ไขที่กระทู้นี้นะครับ
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0

ประกาศทั่วไปติดตามอัพเดทกันที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.0

ประกาศ กฎที่อื่นมีไว้แหก แต่ห้ามมาแหกที่นี่

1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด
การสนใจและชื่นชอบนิยายและเรื่องเล่าของคนในเรื่องควรมีขอบเขตที่จะไม่สร้างความเดือดร้อนให้เจ้าของเรื่อง เช่นเดียวกับเป็ดที่ตอนนี้ถูกรังควานตามหาตัวจากคนด้านต่างๆ จนตัดสินใจไม่เล่าเรื่องต่อ.........เนื่องจากบางเรื่องเป็นเรื่องเล่า.....................บางคนไม่ได้เปิดเผยตัวตน  เขาพอใจจะมีความสุขในที่เล็กๆแห่งนี้โดยไม่ได้ตั้งใจให้คนภายนอกได้รับรู้เรื่องราวแล้วนำไปพูดต่อ   เพราะปฎิเสธไม่ได้ว่าสังคมไม่ได้ยอมรับพวกเราสักเท่าไหร่

2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรุปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ, หมิ่นประมาท,
หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง
หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย,ห้ามโพสกระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้ง  ในเรื่อง การเมือง ศาสนา พระมหากษัตริย์
และสถาบันต่าง ๆ  รวมถึงกระทู้ที่จะสร้างความแตกแยก  ชวนวิวาท ของสมาชิกภายในเวปบอร์ด
การกระทำเช่นนั้นอาจทำให้คุณแบนทันที และถาวร . หมายเลข IP ของทุกโพสต์จะถูกบันทึกเพื่อใช้เป็นหลักฐาน
ในความเป็นจริงเป็นไปได้ยากมากที่จะให้แต่ละคนมีความคิดเห็นตรงกันทั้งหมด   คนเรามากมายต่างความคิดต่างความเห็น เติบโตมาภายใต้ภาวะแวดล้อมต่างกันการแสดงความคิดเห็นที่แตกต่าง   จึงควรทำเพื่อให้เกิดความเข้าใจกัน แบ่งปันประสบการณ์และมิตรภาพเพื่ออาจเป็นประโยชน์ในการใช้ชีวิต  และไม่ว่าจะอย่างไรก็ควรเคารพในความคิดเห็นที่แตกต่างของบุคคลอื่นช่วยกันสร้างให้บอร์ดนี้มีแต่ความรักนะครับ   

เรื่องบางเรื่องอาจจะเป็นทั้งเรื่องแต่งหรือเรื่องเล่าใดๆก็ขอให้ระลึกเสมอว่า  อ่านเพื่อความบันเทิงและเก็บประสบการณ์ชีวิตที่คุณไม่ต้องไปเจอความเจ็บปวดเล่านั้นเองเพื่อเป็นข้อเตือนใจ สอนใจในการตัดสินใจใช้ชีวิต   จึงไม่ต้องพยายามสืบหาว่าเรื่องจริงหรือเรื่องแต่งส่วนการพูดคุยนั้น   ก็ประมาณอย่าทำให้กระทุ้กลายพันธุ์ห้ามเอาเรื่องส่วนตัวมาปรึกษาพูดคุยกันโดยที่ไม่เกี่ยวพันกับเรื่องในกระทู้นิยาย  ถ้าจะวิจารณ์หรือแสดงความคิดเห็นทุกคนมีสิทธิแต่ขอให้ไปตั้งกระทู้ที่บอร์ดอื่นที่ไม่ใช่ที่นี่นะครับ

3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพส หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อเจ้าของเรื่องเท่าที่จะทำได้หรือแจ้งมายังบอร์ดนี้ก่อนนะครับ  เนื่องจากเจ้าของเรื่องบางครั้งไม่ต้องการให้คนที่ไม่ได้ชื่นชอบนิยายชายรักชายเข้ามารับรู้  ลิขสิทธิ์ทั้งหมดเป็นของเจ้าของคนที่ทำขึ้นและเวปแห่งนี้นะครับ

4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล บอกเมล แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าของไม่ยินยอมให้ส่งหรือติดต่อกันทางพีเอ็มจะปลอดภัยกว่าแล้วเมื่อมีการติดต่อสื่อสารกันให้พึงระวังถึงความปลอดภัย ความไม่น่าไว้ใจของผุ้คนทุกคนแม้จะมีชื่อเสียงในบอร์ดเป็นเรื่องส่วนตัวของแต่ละคนไป เพื่อลดความขัดแย้งภายในเล้า จึงไม่สนับสนุนให้มีการจีบกันในบอร์ดนะครับ

5.ห้ามจั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียวให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตาม
เพราะแม้จะเป็นเรื่องที่เขียนจากเรื่องจริง เมื่อนำมาพิมพ์เป็นเรื่องผ่านตัวอักษร ย่อมเลี่ยงไม่ได้ที่จะมีการเพิ่มเติมเพื่อให้เกิดสีสันในเนื้อเรื่อง ทางเล้าถือว่านั่นคือการเพิ่มเติมเนื้อเรื่อง จึงไม่อนุญาตให้จั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” แต่สามารถแจ้งว่าเป็น “นิยายที่อ้างอิงมาจากชีวิตจริง” ได้  มีคนมากกมายทะเลาะเสียความรู้สึกเพราะเรื่องนี้มามากแล้ว

6.การพูดคุยโต้ตอบระหว่างคนเขียนและคนอ่านนอกเรื่องนิยาย  ทำได้  แต่อย่าให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสนิยายหนึ่งตอน ก็ควรตอบเพียงคอมเม้นต์เดียวก็พอแล้ว  โดยสามารถใช้ปุ่ม Insearch qoute  ได้    ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และลงลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน

7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
      7.1 นิยาย 1 ตอน  จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
      7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
      7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
            - 1 Reply ที่เกินมานั้น โมทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ

8.Administrator และ moderator ของ forum นี้ มีสิทธิ์อ่าน, ลบ หรือแก้ไขทุกข้อความ. และ administrator, moderator หรือ webmaster ไม่สามารถรับผิดชอบต่อข้อความที่คุณได้แสดงความคิดเห็น (ยกเว้นว่าพวกเขาจะเป็นผู้โพสต์เอง).

9.คุณยินยอมให้ข้อมูลทุกอย่างของคุณถูกเก็บไว้ในฐานข้อมูล. ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะไม่ถูกเปิดเผยต่อผู้อื่นโดยไม่ได้รับการยินยอมจากคุณ .Webmaster, administrator และ moderator ไม่สามารถรับผิดชอบต่อการถูกเจาะข้อมูล แล้วนำไปสร้างความเดือดร้อนต่างๆ

10.ห้ามลงประกาศลิงค์โปรโมทเวป  โฆษณา หรือโปรโมทในเชิงธุรกิจใดๆ ทุกชนิด ลงได้เฉพาะในห้องซื้อขาย ในเมื่อแนะนำเวปอื่นที่บอร์ดเรา ก็ช่วยแนะนำบอร์ดเราโดยลงลิงค์บอร์ดเรา เวป http://www.thaiboyslove.com  ในบอร์ดที่ท่านแนะนำมาให้เราด้วย  เมื่อจำเป็นต้องแนะนำลิงค์ให้ส่งลิงค์กันทาง personal message หรือพีเอ็มแทนนะครับจะสะดวกกว่า ส่วนในกรณีอยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนๆได้อ่านจริงๆนั้นพยายามลงให้ห้องซื้อขายซะ หรือถ้าม๊อดเดอเรเตอร์จะพิจารณาเป็นกรณีๆไป ถ้ารู้สึกว่าไม่ได้โปรโมทเวป แต่อยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนด้วยใจจริงจะให้กระทู้นั้นคงอยู่ต่อไป

11.บอร์ดนิยายที่โพสจนจบแล้วมีไว้สำหรับนิยายที่โพสในบอร์ด boy's love จนจบแล้วเท่านั้น จึงจะถูกย้ายมาเก็บไว้ที่นี่ หาอ่านนิยายที่จบแล้ว หรือคนเขียนไม่ได้เขียนต่อ แต่โดยนัยแล้วถือว่าพล็อตเรื่องโดยรวมสมควรแก่การจบแล้ว หากนักเขียนท่านใดได้พิมพ์เล่มกับสำนักพิมพ์ ต้องการลบเรือ่งบางส่วนออก โดยเฉพาะไคลแม๊ก หรือตอนจบที่สำคัญ ให้แจ้ง moderator ย้ายนิยายของท่านสู่ห้องนิยายไม่จบ เพื่อที่หากระยะเวลาเกินหกเดือนแล้ว เราจะได้ทำการลบทิ้ง หรือท่านจะลบนิยายดังกล่าวทิ้งเสียก็ได้ เนื่องจากบอร์ดนี้เก็บเฉพาะนิยายที่จบแล้ว

บอร์ดนิยายที่ยังไม่มาต่อจนจบไว้สำหรับ
นิยายที่คนเขียนไม่ได้มาต่อนาน หายไปโดยไม่มีเหตุผลสมควร ไม่ได้แจ้งไว้หรือแจ้งแล้วก็ไม่มาต่อ 3 เดือน จะย้ายมาเก็บในนี้เมื่อครบหกเดือนจะทำการลบทิ้ง ส่วนเรื่องไหนที่จะต่อก็ต่อในนี้จนกว่าจะจบ แล้วถึงจะทำการย้ายไปสู่บอร์ดนิยายจบแล้วต่อไป

12.ห้ามนำเรื่องพิพาทต่างๆมาเคลียร์กันในบอร์ด

13.ผู้โพสนิยาย และเขียนนิยายกรุณาโพสให้จบ ตรวจสอบคำผิดก่อนนำมาลงด้วยครับ

14.ส่วนคนอ่านทุกท่าน เวลาอ่านนิยาย เรื่องที่คนเขียนเขียน  ก็ไม่ต้องไปอินมากนะครับ ให้เก็บเอาสิ่งดีๆ ประสบการณ์ ข้อคิดดีๆไปนะครับ

15. การนำรูปภาพ บทความ ฯลฯ มาลงในเวปบอร์ด  ควรจะให้เครดิตกับ... 
(1) ผู้ที่เป็นต้นตอเจ้าของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ
(2) เวปไซต์ต้นตอที่อ้างอิงถึง
....ในกรณีที่เป็นบทความที่ถูกอ้างอิงต่อมาจากเวปไซต์อื่นๆ
- ถ้ามีแหล่งต้นตอของเจ้าของบทความ  ให้โพสชื่อเจ้าของต้นตอของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ  พร้อมทั้งเวปไซต์ที่อ้างอิง 
  (กรณีนี้จะโพสอ้างอิงชื่อผู้โพสหรือเวปไซต์ที่เรานำมาหรือไม่ก็ได้ แต่ควรมั่นใจว่าชื่อต้นตอของที่มาถูกต้อง)
- ถ้าไม่สามารถหาชื่อต้นตอของรูปภาพหรือเวปไซต์ที่นำมาได้ ควรอ้างอิงชื่อผู้โพสและเวปไซต์จากแหล่งที่เรานำมาเสมอ
- ควรขออนุญาติเจ้าของภาพหรือเจ้าของบทความก่อนนำมาโพสค่ะ(ถ้าเป็นไปได้) ยกเว้นพวกเวปไซต์สาธารณะ เช่น  หนังสือพิมพ์ออนไลน์ ฯลฯ ที่เปิดให้คนทั่วไปได้อ่านเป็นสาธารณะ ก็นำมาโพสได้ แต่ให้อ้างอิงเจ้าของชื่อและแหล่งที่มาค่ะ
- ไม่ควรดัดแปลงหรือแก้ไขเครดิตที่ติดมากับรูปหรือบทความก่อนนำมาโพส
- ถ้าเป็น FW mail  ก็บอกไปเลยว่าเอามาจาก FW mail

16.นิยายเรื่องไหนที่คิดว่าเมื่อมีการรวมเล่มขายแล้วจะลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออก กรุณาอย่าเอามาลงที่นี่ หรือสำหรับผู้ที่ขอนิยายจากนักเขียนอื่นมาลง ต้องมั่นใจว่าเรื่องนั้นจะไม่มีการลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออกเมื่อมีการรวมเล่มขาย อนึ่ง เล้าไม่ได้ห้ามให้มีการรวมเล่มแต่อย่างใด สามารถรวมเล่มขายกันได้ แต่อยากให้เคารพกฎของเล้าด้วย เล้าเปิดโอกาสให้ทุกคน จะทำมาหากิน หรืออะไรก็ตามแต่ขอความร่วมมือด้วย เผื่อที่ทุกคนจะได้อยู่อย่างมีความสุข

17.ห้ามแจ้งที่หัวกระทู้เกี่ยวกับการจองหรือจัดพิมพ์หนังสือ แต่อนุโลมให้ขึ้นหัวกระทู้ว่า “แจ้งข่าวหน้า...” และลงลิงค์ที่ได้ตั้งเอาไว้ในแล้วในห้องซื้อขายลงในกระทู้นิยายแทน  ถ้านักเขียนต้องการประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับการจอง หรือจัดพิมพ์หนังสือของตนเองผ่านกระทู้นิยายของตนเอง  นิยายเรื่องดังกล่าวจะต้องลงเนื้อหาจนจบก่อน (ไม่รวมตอนพิเศษ) จึงจะทำการประชาสัมพันธ์ในกระทู้นิยายได้ (ศึกษากฏการซื้อขายของเล้่าก่อน ด้วยนะคะ)

18.เรื่องสั้นให้จั่วคนว่าเรื่องสั้นด้วยนะครับ และนิยายทุกเรื่องเมื่อจบให้แก้ไขโพสแรก และต่อท้ายว่าจบแล้ว จะได้ย้ายเข้าสู่บอร์ดนิยายจบแล้ว ไม่เช่นนั้นม๊อดอาจเข้าใจว่าไม่มาต่อนิยายนานเกินจะโดนลบทิ้งครับ

เอาข้อสำคัญก่อนนะครับเด่วอื่นๆจะทำมาเพิ่มครับเอิ้กๆหุหุ
admin
thaiboyslove.com.......................................                                                           

วันที่ 3 ธ.ค. 2551วันที่ 16 ก.ย. 2554 ได้เพิ่มกฏ ข้อที่ 7
วันที่ 21 ต.ค.2556 ได้ปรับปรุงกฏทั้งหมดเพื่อให้แก้ไข และติดตามได้ง่าย
วันที่ 11 พ.ย. 2557 เพิ่มเติมการลงเรื่องสั้นและการแจ้งว่านิยายจบแล้ว

เวปไซต์แห่งนี้เป็นเวปไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฏหมายภายในและระหว่างประเทศ การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเวปไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง

ข้อความใดๆก็ตามบนเวปไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเวปไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ  โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชม
Share This Topic To FaceBook
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 08-04-2015 14:27:08 โดย ApolloS »

ออฟไลน์ ApolloS

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 91
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +28/-0
Re: ....หัวใจใฝ่รัก....
«ตอบ #1 เมื่อ04-12-2014 20:31:53 »

Intro หัวใจใฝ่รัก

        เสียงสะล้อ ซอ ซึง ซึ่งเป็นเครื่องดนตรีล้านนาได้บรรเลงขึ้นอย่างสมพระเกียรติในงานพระราชพิธีศพของ"เจ้านางเอื้องฟ้า" ผู้เป็นพระสนมของ "เจ้าแมนสรวง" กษัตริย์แห่งปิงนคร เมืองที่อุดมสมบูรณ์อีกแห่งหนึ่งทางเหนือติดกับลำน้ำปิง ด้วยความสูญเสียในครั้งนี้เป็นการสูญเสียอันยิ่งใหญ่ของใครอีกหลายคน โดยเฉพาะเจ้าผู้ครองนคร และลูกชาย "เจ้าน้อยขวัญระมิงค์" ที่ความตายได้พรากอ้อมอกแม่อันเป็นที่รักยิ่งไป ด้วยวัยเพียงแค่ 10 ชันษา แต่เจ้าน้อยหารู้ไม่ว่าการจากไปของเจ้าแม่นั้นจะนำพามาซึ่งการเปลี่ยนของชีวิตพระองค์ไปโดยสิ้นเชิง


ลาแล้วลาไกล๋จากไปลับต๋า          สุดอาลัยหานวลนางน้องหล้า
ร่ำไห้ครวญหาน้ำต๋านองหน้า       บ่ฟื้นคืนมากัลยาพี่กลอย
อ้อมอกแสนอุ่นที่คุ้นหนักหนา      คอยโอบกายาลูกมาแต่น้อย
บ่มีแหมแล้วแม่แก้วบัวคอย         แม้แต่คำถ้อยเอ่ยจ๊อยลูกยา

ออฟไลน์ ApolloS

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 91
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +28/-0
Re: ....หัวใจใฝ่รัก....
«ตอบ #2 เมื่อ04-12-2014 20:33:02 »

ตอนที่ 1

"เจ้าน้อย จะไปตี้ใดเจ้า? ตะวันใกล้ตกดินแล้วนา" พระพี่เลี้ยงคนสนิทกล่าวถามเจ้านายเหนือหัวของตนเองด้วยความเป็นห่วง เพราะตั้งแต่เจ้าน้อยขวัญระมิงค์ของตนสูญเสียพระมารดาไป ก็มีแต่ตนนี่แหละที่คอยดูแล เป็นห่วงเป็นใย คิดแล้วก็น่าสงสาร ทรงเป็นกำพร้าแม่มาตั้งแต่ยังเล็ก แต่หากยังจำได้ว่า ความอบอุ่นจากผู้เป็นแม่เป็นเช่นไร เห็นแล้วน่าเวทนายิ่งนัก ถึงแม้ว่าจะเติบโตมาจนถึง 21 ชันษาแล้ว แต่ในสายตาของตน เจ้าน้อยก็ยังคงเป็นเด็กอยู่เสมอ หากไม่มีตนแล้ว เจ้าน้อยจะอยู่เช่นไรในเมืองปิงนครแห่งนี้ เพราะแม้จะเป็นเมืองเกิด เป็นเมืองที่พระองค์ทรงเป็นถึงหน่อเนื้อเชื้อกษัตริย์ แต่ก็หามีความสุขไม่ ทรงอ้างว้างพระทัย แม้แต่องค์เหนือหัวผู้เป็นพระบิดาก็มิทรงใคร่สนพระทัยนัก นับตั้งแต่พระมารดาของเจ้าน้อยของตนสิ้นพระชนม์ไป

"เราอยากไปเดินเล่นเปิดหูเปิดตาข้างนอกสักหน่อยพี่บัวแก้ว อยู่แต่ในห้องมาทั้งวันแล้ว"

"แล้วการ์บ้านที่ท่านราชครูสอนล่ะเจ้า?"

"หากท่านราชครูกลับมา ก็ให้บอกท่านราชครูว่า เดี๋ยวเราจะกลับมาทำให้ทันส่งพรุ่งนี้เช้า ท่านราชครูก็คงบ่ไปบอกเจ้าป้อหรอก (เจ้าพ่อ-ผู้เป็นพระราชบิดาทางเหนือจะเรียกว่า เจ้าป้อ) ถึงบอกท่านก็คงมิสนใจอะไรเกี่ยวกับเรา" เจ้าขวัญระมิงค์ตัดพ้อพี่เลี้ยงคนสนิทไปด้วยความน้อยอกน้อยใจ เพราะตั้งแต่เจ้าแม่ของตนสิ้นไป เจ้าป้อก็มิได้สนใจใยดีอะไรตนนัก นอกจากให้เรียนหนังสืออยู่แต่ในคุ้มหลวง แม้แต่การเรียนดาบหรือการต่อสู้เพื่อป้องกันตัวก็ยังมิทรงอนุญาติ

"โถ่ เจ้าน้อยของบัวแก้ว จะไปกึดนักก่าเจ้า จะไปตี้ใดหื้อปี้บัวแก้วไปตวยก่อเจ้า?"

"ไม่ต้องหรอกพี่บัวแก้ว เราจะไปเดินเล่นแถวๆนี้แหละ เราโตแล้วไม่ต้องเป็นห่วง ดูแลตัวเองได้"

"ห้ามไปไกลนาเจ้า มันใกล้จะมืดค่ำแล้ว แถวหลั......."

"หลังวังก่อห้ามไป มีก้าป่า งูเลี้ยวเขี้ยวขอก่อนัก ....เรารู้แล้วหน่าพี่บัวแก้ว บอกหลายครั้งจนเราจำได้ขึ้นใจเลย" พูดยังไม่ทันจบเจ้านายน้อยของตนเองก็พูดแทรกขึ้นมาซะก่อน


"เจ้าน้อยนี่นา อู้ขัดปี้บัวแก้วตลอดเลย" พี่เลี้ยงคนสนิทตัดพ้อไปด้วยความเอ็นดู

"ไปละนะพี่บัวแก้ว เดี๋ยวเราจะรีบกลับมา"

"แล้วข้าวแลงลอเจ้า (ข้าวเย็น) ทรงอยากเสวยอะหยังเป็นพิเศษก่อเจ้า ปี้บัวแก้วจะได้หื้อเปิ้นเตรียมไว้หื้อ?"

"อืม.....เราอยากกินแกงฮังเล กับไส้อั่ว แล้วเอาน้ำพริกอ่องด้วยนะครับพี่บัวแก้ว ขอบคุณครับ" ว่าแล้วก็เดินออกจากคุ้มไป

"เปิ้นได้ข่าวว่า หลังวังเรามีน้ำตกตวย หันว่างามขนาดเลยแม่นก่อตั๋ว? ว่างๆเปิ้นจะได้ไปพ่อง" เจ้าขวัญระมิงค์ได้ยินนางกำนันคนหนึ่งพูดขึ้นระหว่างที่ตนกำลังจะเดินออกคุ้มหลวงไป

"แต้ก่า แต่ทางไปค่อนข้างยาก มีก้าป่ารก แต่ถ้าได้ไปแล้วจะติดใจนา เขาเหมือนสระอโนดาดที่กินรีชอบไปเลยน้ำเลย" เจ้าขวัญระมิงค์ได้ยินดังนั้นจึงรีบตรงไปยังน้ำตกหลังวังทันที แม้ว่าพี่บัวแก้วจะสั่งห้ามไว้ก็ตาม

สายน้ำหลั่งไหลได้ยินมาแต่ไกล หากเข้าอีกไม่เพียงกี่ก้าวก็จะพบน้ำตกที่ไหลรินลงมา น้ำที่ใสจนสามารถเห็นปลาเล็กปลาน้อยว่ายไปมา ถูกโอบล้อมไปด้วยธรรมชาติอันงดงาม บ้างก็มีต้นไม้ต้นเล็กๆขึ้นตามโขดหินกลางน้ำ บ้างก็มีต้นดอกหญ้าขึ้นแซมแนวโขดหินซ้ายขวา ถัดไปชั้นบนอีกนิดมีต้นไม้ใหญ่ที่บัดนี้เริ่มพลัดใบร่วงลงมา และไหลลอยมาตามกระแสน้ำ ภาพที่เห็นนี้ช่างสวยงามและเงียบสงบจนทำให้หัวใจที่แห้งเหี่ยวกลับมามีชีวิตต่ออีกครั้ง คล้ายว่าสายน้ำได้พลัดเอาความหม่นหมองไปจากหัวใจ


"สวยมาก เหมือนที่นางกำนันพูดไว้เลย แต่ทางมายากเหมือนกันนะเนี๊ยะ กว่าจะมาถึงเล่นเอาเหงื่อไหลไคลย้อยเลยทีเดียว" เจ้าน้อยพูดพึมพำกับตัวเองเบาๆ ว่าแล้วก็เดินไปกวักน้ำล้างมือล้างหน้า แต่ดูเหมือนว่าจะไม่พอ เลยถอดเสื้อผ้าออกวางไว้บนโขดหินริมน้ำเพื่อที่จะอาบน้ำล้างเหงื่อไคลออก

"ชื่นใจ แบบนี้ค่อยสบายตัวหน่อย" ร่างสูงโปร่งกำลังอาบน้ำอย่างใจเย็น พรางใช้มือขัดตัวตั้งแต่ลำคอที่ยาวระหงส์ ไหล่บาง จนกระทั่งถึงแผ่นหลังอันขาวเนียนละเอียดที่ได้มาจากเจ้าแม่ (เจ้าแม่ หรือ พระมารดาในภาษาเหนือ) "เจ้านางเอื้องฟ้า" ไม่ว่าจะเป็นใบหน้าที่ละม้ายไปทางเจ้าแม่มากกว่าเจ้าป้อของตน หรือแม้กระทั่งผิว เจ้าขวัญระมิงค์เผลอคิดไปว่า เป็นเพราะแบบนี้นั่นเองเจ้าป้อของตนจึงไม่ค่อยอยากสนใจใยดีกับลูกคนนี้นัก เพราะมันทำให้พระองค์นึกถึงเจ้าแม่ของตนอยู่เสมอ ตนรู้อยู่เสมอว่าเจ้าป้อรักเจ้าแม่มากเพียงใด ถึงแม้ว่าจะเป็นเพียงแค่พระสนม ที่เป็นแค่ชาวบ้านธรรมดา แต่พระองค์ก็ทรงเป็นที่รัก และเป็นรักเดียวในใจเจ้าป้อมาโดยตลอด แต่ตนกลับอดรู้สึกน้อยใจไม่ได้ว่า ทำไมตั้งแต่เจ้าแม่สิ้นไป เจ้าป้อก็ทรงไม่มาสนใจใยดีตนอีกเลย เหมือนไม่รักลูกคนนี้อีกแล้ว หรือเป็นเพราะเหตุผลใดที่เจ้าป้อต้องทอดทิ้งลูกคนนี้ไป

"แกร๊บ!!!" เหมือนเสียงตัวอะไรเหยียบกิ่งไม้แห้งดังใกล้ๆกับที่ตนอาบน้ำอยู่ ในป่าลึกขนาดนี้ไม่น่าจะมีใครอยากเดินมาเที่ยวหรอกมั้ง? แต่ถ้าหากมีล่ะ?? เจ้าขวัญระมิงค์นึกในใจ

"นั่นใครน่ะ? ออกมานะ เราบอกให้ออกมา!!!" เจ้าขวัญระมิงค์ตกใจ แต่ก็ต้องข่มความกลัวตะโกนถามไป แต่ไม่มีใครออกมาจึงลองเอาก้อนหินก้อนไม่เล็กไม่ใหญ่ขว้างไปยังพุ่มไม้

"โอ๊ย!!" นั่นไงเสียงคนแล้วทำไมไม่ออกมา แล้วยืนแอบมองอยู่นั่นนานรึยังน่ะ? เจ้าน้อยขมวดคิ้วสงสัย

"ออกมาเดี๋ยวนี้นะ ถ้าไม่ออกมาเราจะเอาก้อนใหญ่กว่านี้ขว้างไปอีกนะ!!" เจ้าน้อยร้องขู่เจ้าคนเสียมารยาทออกไป จนกระทั่งมีคนเดินออกมาจากพุ่มไม้นั้น แล้วยกมือขึ้นคล้ายกับว่ายอมจำนน พรางใช้มือลูบหัว เพราะคงจะโดนก้อนหินที่ปาออกไปเมื่อครู่นี้กระมัง

"ทะ..ท่านมาที่นี่ตั้งแต่เมื่อไหร่กัน? แล้วมานานรึยัง?"

 "ปะ..ป่าวเลย เราเพิ่งมาถึง แล้วก็ต้องขออภัยที่เสียมารยาท เราแค่ผ่านมาแล้วได้ยินเสียงน้ำก็ว่าจะมาล้างหน้าล้างตาเหมือนกัน แต่มาพบท่านเสียก่อน" ผู้มาใหม่รีบตอบไปเพราะกลัวว่าจะถูกจับได้ว่ามาแอบยืนมองที่พุ่มไม้อยู่ตั้งนาน ทีแรกว่าจะหลบออกไปแล้ว แต่ไม่รู้ว่าเพราะอะไรถึงละสายตาจากร่างขาวๆเนียนๆนั้นไม่ได้สักที

"แล้วท่านจะยืนมองเราแก้ผ้าอยู่อย่างนี้อีกนานไหม?" เจ้าน้อยขมวดคิ้วหนักเข้าไปอีกเมื่ออีกฝ่ายยังไม่เลิกมองร่างของตนเอง เมื่อทหารเอกหันกลับหลังไป เจ้าน้อยจึงเริ่มแต่งกายกลับไปเป็นชุดเดิมที่ใส่มา

"ท่านเป็นทหารหรอกหรือ??" เจ้าน้อยถามไปด้วยความสงสัยเมื่อทรงแต่งตัวเสร็จ เพราะชุดที่อีกคนใส่เป็นชุดของทหารในวัง แล้วน่าจะยศที่สูงพอสมควร

"เราเป็นทหารเอกที่เพิ่งย้ายมาประจำการใหม่ เลยขี่ม้ามาสำรวจพื้นที่สักหน่อย" ทหารหนุ่มพอชำเลืองเห็นอีกฝ่ายแต่งตัวเสร็จแล้ว จึงหันกลับมาพินิจมอบคนตรงหน้าอีกที ดูจากเสื้อผ้าเครื่องแต่งกายก็พอเดาได้ว่าคงเป็นลูกเสนาหรืออามาตย์สักคนที่เข้ามาเรียนในวังแล้วแอบหนีมาเที่ยว

"คงจะแอบหนีออกมาเที่ยวสินะ? ดูจากการแต่งตัวน่าจะเป็นลูกท่านหลานเธอที่เข้าเรียนในวังสินะ" ทหารเอกเห็นใบหน้าขาวเนียนที่ทำหน้านิ่วคิ้วขมวดก็อดไม่ได้ที่จะต่อปากต่อคำ ไม่รู้ว่าเป็นเพราะอะไรถึงอยากแกล้ง อยากพูดด้วย อยากต่อปากต่อคำปากเล็กๆแดงๆนั่น

"เรามิได้หนีออกมาเที่ยว เราบอกพี่เลี้ยงแล้ว" เจ้าขวัญระมิงค์ตอบออกไป

"แต่ก็ถึงอย่างนั้นเถอะ ตอนนี้ใกล้พลบค่ำแล้ว แล้วจะกลับยังไง? หรือจะให้เราเอาม้าไว้ให้" ทหารเอกถามไปเพราะความเป็นห่วง

"เราขี่ม้าไม่เป็น" เจ้าน้อยตอบทหารเอกออกไป แล้วจึงพินิจวิเคราะห์ไปหน้าทหารเอกคนนี้อีกครั้งอย่างละเอียด หากแต่พบว่า เป็นคนที่เหมาะสมแล้วกับการเป็นทหาร ด้วยร่างกายที่เต็มไปด้วยความเป็นชายชาตรีชมชายชาติทหาร อกผายไหล่ผึง ตัวสูงใหญ่ ไหล่หนา หน้าตาคมคาย แต่ที่เด่นที่สุดคงจะเป็นคิ้วหนา กับตาคม ต่างจากกับตนเองอย่างมากเมื่อเปรียบเทียบดู

"งั้นเดี๋ยวเชิญทางนี้เถิด เดี๋ยวเราจะไปส่ง" เจ้าน้อยได้ยินดังนั้นจึงตกใจที่เผลอมองตรงหน้าไปอย่างเสียมารยาท แล้วรีบสาวเท้าเดินตามทหารเอกคนนี้ไป

"พอรู้ใช่ไหมว่าขึ้นยังไง?" ทหารเอกที่เอามือลูบเจ้าม้าคู่ใจก็หันหน้ากลับมาเจ้าน้อยอีกครั้ง ก็พบว่าเจ้าน้อยได้แต่ส่ายหน้าไป ทหารเอกเห็นดังนั้นจึงชี้ให้ดูที่เหยียบขึ้นลังม้าข้างๆตัวมัน จากนั้นก็จับเอวบางแล้วยกขึ้นให้พอที่จะยกขาควบอานม้าได้ คิดไม่ผิดจริงๆว่า รูปร่างอย่างนี้คงไม่หนักมาก แล้วก็เป็นอย่างที่คิดไว้จริงๆ ทางฝ่ายเจ้าน้อยก็ตกใจไม่น้อยเมื่อทหารเอกจับเอวตนเองแล้วยกขึ้นม้า แต่เมื่อหายตกใจจึงรีบยกขาขึ้นควบอานม้านั้นทันที เพราะเกรงว่าทหารเอกจะหนัก

"กลัวรึ นั่งตัวแข็งทื่อเลย" เจ้าน้อยหันกลับมามองทหารเอกคนดังกล่าวจึงเห็นว่า เค้ากำลังอมยิ้มอยู่ จึงเผลอแสดงสีหน้าที่งอหงิกออกมา ยิ่งไปกว่านั้นก็หัวเราะออกมาเบาๆ หึๆๆ เจ้าน้อยจึงยิ่งขมวดคิ้วหน้างอไม่พอใจไปใหญ่

"อย่ากลัวไปเลย มันเชื่องมาก แต่เฉพาะกับคนที่อ่อนโยนกับมัน หรือคนที่มันถูกชะตาน่ะ" ฟังทีแรกเจ้าน้อยก็ดูผ่อนคลายลง แต่พอได้ยินประโยคหลังก็กลับมาทำตัวแข็งทื่อเพราะกลัวมันอีกครั้ง

"เอาอย่างนี้สิลองเอามือลูบหัวมันเบาๆ ให้มันคุ้นเคยกับเรา ทำให้มันรู้ว่าเราใจดีกับมัน" ทหารเอกจึงเลิกแกล้งอำร่างบางตรงหน้า และสอนวิธีทำความรู้จักกับเจ้าเพื่อนยากสี่ขาตัวนี้

"เห็นไหม มันเชื่องดีออก ปกติถ้าเป็นคนอื่นที่ไม่ใช่เจ้าของมัน มันจะค่อนข้างพยศนะ แต่วันนี้กลับแปลก สงสัยมันจะชอบท่านเสียแล้วกระมัง ไปกันเถอะ" ทหารเอกก็พลันค่อยๆควบม้าออกไป แต่ไม่ลืมที่จะใช้มืออีกข้างกอดเอวร่างบางที่นั่งข้างหน้าไว้ด้วย ยิ่งพอได้จับก็เหมือนรู้สึกว่าตัวเองเป็นบ้า เพราะใจเต้นแปลกๆ เผลอสูดดมเอากลิ่มหอมอ่อนๆ จากเส้นผมที่ยาวมาถึงกลางหลังของคนตรงหน้าไปด้วย ตัวก็นิ่มกว่าผู้ชายปกติหรือเรียกได้ว่าแทบไม่มีมัดกล้ามอะไรเลยเหมือนคนไม่เคยออกกำลังกายหรือทำกิจกรรมหนักๆ บ้างเลย ส่วนอีกคนข้างหน้าก็ตกใจเมื่อทหารเอกใช้มือรวบเอวตัวเองไว้ แต่ก็มิได้เอ๊ะอะอะไรออกไป เพราะกลัวตก อีกอย่างตัวเองก็เป็นผู้ชายไม่แปลกไม่เสียหายอะไรสักหน่อย แต่จะติดเกรงใจที่ผมตัวเองยังเปียกอยู่เลยไม่สามารถมัดรวบไว้ได้

"ผมเราทำให้ท่านรำคาญรึเปล่า? ถ้ามันปลิวไปโดนหน้าท่านเราจะให้มัดรวบมันไว้ก่อน" เจ้าน้อยเอ่ยถามออกไป

"ว่ายังไงนะท่าน สิ่งควบม้าดังไปหน่อย เราไม่ค่อยได้ยิน?" ทหารเอกก็พลางเอี่ยวหน้าไปฟังใกล้ๆ แตความใกล้ระดับนี้ทำให้เจ้าน้อยตกใจนิดนึง แต่ที่สุดคงจะเป็นอาการแปลกๆที่เกิดขึ้น ณ เวลานี้ คือใจเต้นเป็นระส่ำแปลกๆ  จะอึดอัดก็ไม่ใช่ หายใจทั่วท้องก็ไม่เชิง จึงตัดสินใจรวบผมของตนที่สะยายอยู่ด้านหลัง แล้วมัดด้วยยางมัดที่พี่เบี้ยงคนสนิทมัดให้เป็นประจำเพื่อตัดปัญหา
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 04-12-2014 20:40:29 โดย ApolloS »

ออฟไลน์ ApolloS

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 91
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +28/-0
Re: ....หัวใจใฝ่รัก....
«ตอบ #3 เมื่อ04-12-2014 20:35:25 »

ตอนที่ 2

"เจ้าน้อยกึดหยังอยู่เจ้า ? บ่สบายใจหยัง? บอกปี้บัวแก้วได้ก่อ?" พี่เลี้ยงคนสนิทเอ่ยถามเพราะยามนี้เจ้าน้อยทำหน้าเหงาหงอยเหลือเกิน ปกติก็เป็นคนไม่ค่อยพูดอยู่แล้ว ยิ่งเป็นแบบนี้พระพี่เลี้ยงยิ่งเป็นห่วง

"เราไม่ได้เป็นอะไรหรอกพี่บัวแก้วแค่คิดอะไรนิดหน่อย พี่บัวแก้วมีอะไรรึเปล่า?"

"ปี้ว่าจะชวนเจ้าน้อยลองออกไปเตวแอ่วกาดนอกคุ้มบ่เจ้า?" พี่เลี้ยงคนสนิทออกความคิดเห็น

"พี่บัวแก้วอยากไปเหรอ ปกติเห็นห้ามตลอด?" เจ้าน้อยถามพี่เลี้ยงด้วยความแปลกใจ

"ปี้บัวแก้วอยากไปดูเสื้อผ้า ดูผู้ดูคนพ่องเจ้า อยู่ในคุ้มอย่างเดียวก่อก้าย (เบื่อ)"  บัวแก้วจำเป็นต้องตอบไปอย่างนั้น เพราะเป็นปกติคงไม่อนุญาติให้เจ้าน้อยออกไป เพราะเป็นห่วง

"แล้วเราจะไปยังไง ออกไปแบบนี้เดี๋ยวชาวบ้านก็แตกตื่นกันหรอก?"

"ปี้บัวแก้วกึดไว้แล้วเจ้า ว่าเฮาจะต้องปลอมตัวเป็นจาวบ้าน จะได้ดูกลมกลืนหน่อย" พี่เลี้ยงคนสนิทได้เตรียมการไว้เสร็จสรรพ

"งั้นก็ได้ครับพี่บัวแก้ว" เจ้าน้อยตอบไปในที่สุด

"เสร็จรึยังเจ้า เจ้าน้อย? ลองออกมาหื้อปี้บัวแก้วดูก่อนลอ" บัวแก้วขานเรียกเจ้าน้อยจากห้องแต่งตัว เผื่อจะได้ช่วยดูเครื่องแต่งกายชาวบ้านที่ให้ไปเปลี่ยน เป็นชุดพื้นเมืองผ้าฝ้ายสีขาวแขนยาวพอดีตัว กับสะโหร่งสีแดงเลือดหมู

"เราดูเป็นยังไงบ้างพี่บัวแก้ว พอดูได้ไหม?" เจ้าน้อยเอ่ยถามไปเพราะความไม่คุ้นเคยกับเครื่องแต่งกายแบบนี้สักเท่าไหร่ แต่อีกใจหนึ่งก็เริ่มสนุกขึ้นมาเพราะไม่เคยทำอะไรแบบนี้มาก่อน แม้ไม่ได้เรียนหนังสือ แต่ก็ต้องเรียนดนตรีแบบนี้สลับกันไป บางครั้งก็ไม่มีอะไรทำ ต้องไปขลุกอยู่กับพี่เลี้ยงคนสนิทในห้องเครื่อง

"ปี้ว่าเอาปิ่นเงินอันนั้นออก แล้วเอาปิ่นไม้ของปี้ใส่แทนบ่เจ้า?" บัวแก้วบอกเพราะไม่ตกแต่งอะไรเจ้าน้อยของตนก็ดูแตกต่างจากชาวบ้านอยู่แล้ว ด้วยหน้าตา ผิวพรรณ ที่ดูยังไงก็คงมิใช่ลูกชาวบ้านธรรมดาแน่ๆ จากนั้นจึงแอบออกไปทางช่องเล็กๆของรั้วพุ่มไม้หลังวัง

"เป๋นใดพ่องเจ้า? เจ้าน้อยม่วนก่อ?" บัวแก้วเอ่ยถามเจ้าน้อยเพราะยามนี้หน้าตาดูดีกว่าตอนอยู่ในวังเยอะเลย อาจเป็นเพราะได้เห็น ได้พบเจออะไรที่ไม่เคยเจอมาก่อน เลยทำให้ตื่นตาตื่นใจก็เป็นไปได้

"น่าสนุกดีนะพี่บัวแก้ว คนเยอะดี ของขายก็เยอะ ของกินก็วางเต็มไปหมด" เจ้าน้อยพูดพลางอมยิ้มบางๆให้แก่พี่เลี้ยงคนสนิท

"เจ้าน้อยอยากได้อะหยังบอกปี้บัวแก้วได้นาเจ้า สตางค์อยู่ที่ปี้บัวแก้วนี่ละ"

"เราเดินดูก่อนก็ได้ครับพี่บัวแก้ว แล้วอีกอย่างพี่บัวแก้วอย่าเรียกเราว่า เจ้าน้อยสิครับ เดี๋ยวชาวบ้านจะสงสัย เรียกว่าขวัญเฉยๆ ดีกว่า"

"แต๊ก่าเจ้า ปี้ก่อลืมไป"

"พี่บัวแก้ว นี่คืออะหยังครับดูน่ากินจัง?" เจ้าน้อยถามอย่างตื่นตาตื่นใจ เห็นอะไรที่ไม่เคยเห็นก็ถามไปซะหมด เป็นแบบนี้บัวแก้วค่อยสบายใจขึ้นมาหน่อย

"เปิ้นฮ้องว่า ข้าวต้มถั่ว กับข้าวต้มกล้วยเจ้า แป๋งจากข้าวนึ่งธรรมดาแล้วเอาไปห่อกับใบต๋อง จากนั้นก่อเอาไปต้มรอมันสุก แล้วแกะใบต๋องออก กิ๋นกับม่ะป้าวขุดเป๋นฝอยๆ (มะพร้าวขุดเป็นฝอยๆ) ใส่น้ำต๋าลลงหน่อย เจ้าน้อยลองกิ๋นก่อเจ้า? ลำนา (อร่อยนะ)"

"ลองดูก็ได้ครับ ท่าจะอร่อย" เจ้าน้อยยิ้มออกไปด้วยความสดใส พระพี่เลี้ยงเห็นอย่างนั้นก็รู้สึกได้ว่าไม่เห็นเจ้าน้อยยิ้มได้แบบนี้นายแล้ว คิดถูกแล้วที่พาออกมา

"อั้นเอา 2 ห่อเจ้าแม่ค้า"

"กี่บาทเจ้า ?"

"50 ตางค์เจ้า" แม่ค้าตอบไปด้วย พลางมองหน้าเจ้าน้อยไปด้วย คงไม่เคยเห็นหน้าค่าตามาก่อน

"นี่เจ้า ขอบคุณเจ้า"

"เป๋นใดพ่องเจ้าลำก่อเจ้า?"

"อร่อยดีครับพี่บัวแก้ว" เจ้าน้อยของตนน่ารักเสมอเวลายิ้มอย่างนี้ พลอยทำให้ตนยิ้มไปด้วย

"เฮาไปทางปุ้นผ่อบ่เจ้า มีขนม มีเสื้อผ้าขายตวย (เราลองไปทางโน้นดูไหมค่ะ)" เจ้าน้อยพยักหน้าตอบ พลางทานข้าวต้มมัดที่ซื้อมาไปด้วย หันมองซ้ายมองขวาดูของที่วางเรียงขายสองข้างทางไปด้วย จนพลัดหลงกับพี่เลี้ยงคนสนิทไป เพราะคนก็เยอะด้วย

"โอ๊ะ!! สุมาเตอะครับ" (ขอโทษครับ) เพราะมัวทาน มัวมองนั่นมองนี่จึงเดินชนคนอื่นเข้า

"เดินให้ดีๆ หน่อยสิครับ มัวทานไปเดินไปแบบนี้เดี๋ยวก็เดินชนคนอื่นเค้าไปทั่วหรอก" ทหารเอกเอ่ยบอกเจ้าน้อยอย่างอดเป็นห่วงไม่ได้

"รู้แล้วหน่า" เจ้าน้อยขมวดคิ้วเล็กน้อยเมื่อโดนตำหนิออกไป แต่ก็ต้องตอบออกไปอย่างเสียมิได้ เมื่อวานก็ครั้งหนึ่งแล้วที่ขายหน้าเพราะตนขี่ม้าไม่เป็น แต่ก็ยังดีกว่าคนที่แอบมองคนอื่นเค้าอาบน้ำล่ะวะ

"ออกมาเที่ยวคนเดียวแบบนี้ พี่เลี้ยงไม่ตามหาแย่หรอกหรือ?"

"เรามากับพี่เลี้ยง ไม่ได้แอบหนีออกมา ดังนั้นไม่มีใครเป็นห่วงหรอก"

"แล้วพี่เลี้ยงไปไหนแล้วล่ะ?" ทหารเอกเอ่ยถามออกไป เพราะมองไม่เห็นพี่เลี้ยงคนสนิทที่ติดตามมาเลยสักคน

"เอ่อ..คือเราพลัดหลงกับพี่เลี้ยงน่ะ เดี๋ยวก็คงเจอ เห็นว่าจะไปเดินทางโน้น"

"งั้นก็เดินให้ดีๆ ล่ะ" ใจจริงทหารหนุ่มก็อยากจะไปส่งอยู่หรอกแต่ก็คิดได้ว่า ทำไมเราต้องไปส่งล่ะ ? เค้าจะอยากให้เราไปส่งรึก็ไม่ใช่ แต่ก็ยังแอบเดินตามไปอยู่ห่างๆ

"โอ๊ะ !!!!"

"เห้อ.....เดินยังไงให้คนเค้าชนได้อีกล่ะเนี๊ยะ หลบคนบ้างสิ ตัวบางขนาดนี้เดี๋ยวก็ล้มไปหรอก ดีนะที่ยังรับไว้ทัน" เจ้าน้อยมัวตกใจ จึงไม่ได้ตอบอะไรไป แต่ที่ตกใจมากกว่านั้นคือตอนนี้ตัวเองกำลังอยู่ในอ้อมแขนของทหารเอกคนนี้อีกแล้ว นอกจากนั้นยังไม่พอ อาการหัวใจเต้นแปลกๆ ก็เกิดขึ้นอีกแล้วเป็นครั้งที่สอง รู้สึกร้อนหน้าร้อนวูบวาบ ในใจก็ร้อนวูบวาบยังไงบอกไม่ถูก

"ปล่อยได้แล้วกระมัง? คนเค้ามองใหญ่แล้ว" ฝ่ายทหารเอกก็เพิ่งรู้สึกตัวตอนที่เจ้าน้อยตอบมาเหมือนกัน อาจเป็นเพราะมัวจ้องมองหน้าหวานๆ ตาสวยๆ ขนตาเป็นแพยาวคนนี้อยู่ก็ได้ เหมือนมีมาอะไรสักอย่างที่ทำให้อยากมองอยากสัมผัสอยู่ตลอด ถึงแม้ว่าจะเป็นผู้ชายด้วยกัน แต่ผู้ชายที่อยู่ตรงหน้านี้รูปร่างหน้าตาสวยกว่าผู้หญิงธรรมดาซะอีก ไม่รู้ว่าหัวใจเจ้ากรรมจะเต้นเป็นระสำกับผู้ชายด้วยกันได้ด้วยเหมือนกัน พลางปล่อยมือและใช้มือเกาหัวด้วยความฉงนงง

"งั้นมานี่สิ" ทหารเอกพูดพลางจับมือเจ้าน้อยเดินออกมาจากตรงจุดนั้น

"นี่ท่านจะพาเราไปไหน? เราไม่ไป" เจ้าน้อยพยายามแกะแขนออก แต่ก็ไม่เป็นผล

"อยู่เฉยๆเถิด เดี๋ยวเราเดินไปส่ง"

"บอกดีๆก็ได้ไม่เห็นต้องฉุดแขนกันขนาดนี้เลย" เจ้าน้อยพูด พลางดูแขนตัวเองในมือคนคนตรงหน้า

"ขอโทษทีที่จับแรงไปหน่อย ไม่คิดว่าจะบอกบางขนาดนี้" ฝ่ายทหารหนุ่มพูดออกมาอย่างขอโทษ แต่อีกฝ่ายคงไม่คิดเช่นนั้นนะสิ

"นี่ท่านหมายความว่าไง? ท่านว่าเราบอกบางเหมือนผู้หญิงหรอกหรือ?" เจ้าน้อยขมวดคิ้วอย่างเต็มที่กับประโยคที่ทหารหนุ่มเอ่ยออกมา พูดเหมือนกับเขาไม่ใช่ผู้ชาย แต่กลับเป็นผู้หญิงที่หน้าปกป้อง บอกบางอย่างนั้นแหละ

"ป่าวนะท่าน เรามิได้หมายความตามนั้นเลย เพียงคิดว่าผิวของท่านดูบอกบางกว่าคนปกติทั่วไปเค้าสักหน่อยเท่านั้นเอง ไม่มีอะไรแอบแฝงเลยขอรับ สาบานได้" ทหารเอกพูด พลางชูนิ้วขึ้นมาสามนิ้วเพื่อสาบาน

"ก็ได้ แล้วเราจะไปทางไหนต่อดีล่ะ?" เจ้าน้อยเอ่ยถามเพื่อตัดปัญหา

"ไปทางโน้นทางที่ท่านว่าดู อาจจะเจอก็ได้" เจ้าน้อยพยักหน้า แล้วปล่อยให้ทหารเอกจูงมือออกไป

"ร้อนไหมหื้ม?" เจ้าน้อยพยักหน้าอีกที พลางใช้แขนเสื้อเช็ดเหงื่อที่ไหลตามไรผมไปด้วย ส่วนฝ่ายทหารหนุ่มก็มองตามอกัปกิริยานั้นไปด้วย เห็นหน้าที่จากขาวๆ กลายเป็นสีแดงมีเลือดฝาด หยดเหงื่อไหลลงมาตามไรผม ไหลลงมาตามโครงหน้ารูปไข่ ทำให้นึกถึงตอนที่เจอกันที่น้ำตกเมื่อวาน รูปร่างโปร่งบาง ผิวขาวเนียนละเอียด จนตอนนี้รู้สึกกระสับกระส่ายเป็นที่สุด แทนที่จะเป็นกับผู้หญิงกลับมารู้สึกแบบนี้กับผู้ชายคนนี้ได้ตั้งสองครั้งสองคราแล้วของวันนี้ ใช่ว่าจะไม่เข้าใจอาการแบบนี้ แต่วินาทีนี้มันน่าสับสนน้อยซะที่ไหน จะให้ยอมรับไปเลยก็คงจะยาก เพราะนับตั้งแต่โตเป็นหนุ่มมามาจนอายุ 25 ปีแล้ว ก็รู้สึกแบบนี้กับผู้หญิงเท่านั้นเอง จึงรีบส่ายหัวกับความคิดของตนเอง

"นี่ท่านเป็นอะไรของท่าน อยู่ดีๆก็ส่ายหัวไปมาทำไมกัน แถมยังทำหน้าแปลกๆอีก?" เจ้าน้อยทักขึ้นอย่างสงสัย

"เอ่อ เปล่า!! งั้นเดี๋ยวเราไปซื้อน้ำมาให้นะ รออยู่ตรงนี้นะ อย่าไปเดินซนที่ไหนล่ะ!!" ทหารหนุ่มรีบบอกเพราะกลัวว่าถ้าไม่กำชับไว้ กลับมาไม่เจอร่างบางตรงหน้านี้แล้วจะเป็นเรื่องอีก

"รู้แล้วหน่า เราโตแล้วหน่า ทำอย่างกับเราเป็นเด็กไปได้" ร่างบางทำหน้างอง้ำไปเลยทีเดียว แต่อีกฝ่ายกลับเห็นว่าเป็นใบหน้าที่ดูน่ารักไม่หยอก แล้วจึงลุกเดินออกไป

"จะไปว่าไปทหารเอกคนนี้ก็เป็นดีมากกว่าที่คิดไว้เหมือนกันนะ เสียอย่างเดียวชอบแอบดูคนอื่นอาบน้ำ" เจ้าน้อยบ่นพึมพำกับตัวเองเบาๆ แต่ก็อดไม่ได้ที่จะค่อนขอดเรื่องเมื่อวานที่น้ำตก

"เอาน้ำตะไคร้หอม หรือน้ำมะตูมดี?"

"เอามะตูม ขอบใจนะท่าน......."

"เราลืมแนะนำตัวไป เราชื่อ "แสงเมือง"

"ท่านแสงเมือง ทหารเอกในคุ้มหลวง" จากนั้นก็ดื่มน้ำจากกระบอกที่ทำจากไม้ไผ่ตัดให้มีรูปทรงคล้ายๆแก้ว

แทนที่ทหารหนุ่มจะเอ่ยปากรับคำ กลับยิ้มกลับไปอย่างอดเอ็นดูคนตรงหน้าไม่ได้

"เจ้าน้อย!! ปี้เป๋นห่วงขนาดเลย ตวยหาจ่นปอจะทั่วกาด (ตามหาจนจะทั่วตลาด)" ฝ่ายเจ้าน้อยได้ยินคนเรียกชื่อตนเองจึงหันไปดู พบว่าเป็นพี่เลี้ยงคนสนิทจึงเบาใจลง นึกว่าจะหลงกันนานกว่านี้ซะแล้ว แต่อีกฝ่ายทหารเอกกลับทำหน้าฉงนเพราะชื่อที่พี่เลี้ยงคนสนิทเรียกคนตรงหน้า

"เราไม่ได้เป็นอะไรมากพี่บัวแก้ว ปลอดภัยดี แถมยังเจอกับท่านแสงเมือง ทหารเอกในคุ้มหลวงอีกด้วย"

"ดีละเจ้า ปี้ก่อก๊านใจบ่ดี กลัวเจ้าน้อยจะหลงไปไกล สตางค์ก่อบ่ได้เอาติดตั๋ว ถ้าเจ้าป้อของพระองค์รู้จะเป๋นเรื่องเอาได้ เฮาปิกคุ้มหลวงบ่เจ้า?" เป็นอีกครั้งที่ทหารหนุ่มได้ยินสรรพนามเรียกว่าเจ้าอีกครั้ง เพราะเมื่อวานได้มีโอกาสไปส่งร่างบางตรงหน้านี้แค่ในเขตพระราชฐานเอง แต่ก็ไม่คิดว่าจะเป็นถึงเจ้าน้อย ลูกของเจ้าเมือง แถมเมื่อวาน กับวันนี้ยังทำอะไรไปตั้งหลายอย่าง พลางคิดไปด้วย ขมวดคิ้วไปด้วย

"ขอบใจท่านแสงเมืองมากนะ ไว้คราวหน้าคงได้ตอบแทนน้ำใจ เราต้องกลับก่อนนะท่าน ไว้มีโอกาสคงได้เจอกันใหม่" ฝ่ายแสงเมืองที่ยังคงมืนงงกับคนตรงหน้าอยู่ ก็ยังคงมิได้ตอบอันใดออกไป ได้แต่ยิ้มๆให้ไปเท่านั้น
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 04-12-2014 20:41:23 โดย ApolloS »

ออฟไลน์ ApolloS

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 91
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +28/-0
Re: ....หัวใจใฝ่รัก....
«ตอบ #4 เมื่อ04-12-2014 20:36:35 »

ตอนที่ 3

"เป็นถึงเจ้าน้อยก็ไม่บอก? หนำซ้ำยังไปแอบดูเค้าอาบน้ำอีก ไม่โดนตัดหัวก็บุญละวะ!!!" ทหารเอกบ่นพึมพำหลังจากฝึกซ้อมดาบให้เหล่าทหารเสร็จ จากนั้นตัวเองก็ถือโอกาสซ้อมต่ออีกนิดหน่อย

"เจ้าน้อยมาตั้งแต่เมื่อใดกัน? กระหม่อมตกใจหมด" ทหารเอกมัวบ่นพึมพำใจลอยนึกถึงเห็นการเมื่อวาน จนไม่ทันได้สังเกตอีกคนที่เดินมาอยู่ใกล้ตัวแล้ว

"ท่านตกใจเป็นด้วยหรือ? เราเดินมาตามปกติ เห็นท่านซ้อมดาบให้ทหารอยู่ เลยหยุดดูได้สักครู่แล้ว"

"เจ้าน้อยทรงมีสิ่งใดให้กระหม่อมรับใช้หรือขอรับ" ทหารเอกกล่าวออกไปอย่างสุภาพ พร้อมกับย่อตัวคุกเข่าลงกับพื้นหญ้าด้วยความเคารพ เพราะคำนึงว่าคนตรงหน้านี้คือ เจ้าน้อย ลูกเจ้าฟ้าเจ้าแผ่นดินที่ตนอาศัยอยู่แห่งนี้ แต่อีกฝ่าย ร่างบางถึงกลับขมวดคิ้ว เพราะปกติพระองค์ก็มิใช่คนถือเนื้อถือตัวอะไรมากนัก หนำซ้ำบรรยากาศการเจอกันครั้งนี้ดูแปลกไปจนเจ้าน้อยต้องถอนหายใจออกมาเบาๆเสียมิได้

"ไม่มีหรอกท่านแสงเมือง ท่านทำตัวตามปกติเถิด เรารู้ว่าปกติทหารอย่างท่านเป็นเช่นไร เราก็คือเรา คือคนปกติเหมือนกับท่าน ถ้าหากตัดคำว่าเจ้าน้อยออกไป เราก็คือคนๆหนึ่งเหมือนกับที่ท่านเจอเมื่อสองครั้งที่ผ่านมา เราอยากให้ท่านทำเหมือนกับตอนเจอเราก่อนหน้านี้ ไม่ต้องมีพิธีรีตรองอะไรก็ได้" นี่เป็นครั้งแรกที่เจ้าน้อยพูดออกไปด้วยประโยคที่ยาวที่สุดเลยก็ว่าได้

"กระหม่อมคงทำแบบนั้นมิได้หรอกขอรับ มันมิสมควร หากใครมาได้ยินเข้า มันจะไม่ดี พระองค์ทรงเป็นถึงเจ้าน้อย กระหม่อมมิบังอาจ" ทหารเอกปฏิเสธไปอย่างใจคิดเพราะนึกแล้วว่ามันเป็นการไม่เหมาะสมสักเท่าไหร่ที่จะทำเช่นนั้น ถึงแม้ว่าคนตรงหน้าจะไม่ถือเนื้อถือตัวอะไรเลย แต่ตนก็ลบความเป็นเจ้าของคนตรงหน้านี้ไปไม่ได้อยู่ดี

"เอาอย่างนี้ก็แล้วกันท่านแสงเมือง เวลาอยู่กับเราสองคนท่านก็ทำตัวตามปกติ แต่หากอยู่กับคนอื่นด้วย ท่านก็จงทำอย่างที่ท่านว่าเถิด"

"จะดีหรือขอรับ?" ทหารเอกกล่าวอย่างลังเลออกไป

"อื้ม!!" เป็นอันสรุปตามนั้น

"แล้วเจ้าน้อยจะไปที่ไหนเหรอขอรับ หวังว่าวันนี้คงไม่ไปเที่ยวไหนไกลๆโดยไม่มีพระพี่เลี้ยงอีกนะขอรับ"

"ป่าวหรอก เราเพิ่งเรียนหนังสือเสร็จ เลยออกมาเดินเล่น แล้วก็เจอท่านนี่แหละ ท่านซ้อมดาบของท่านต่อเถิด เราขอดูอยู่ตรงนี้ละกัน"

"ขอรับเจ้าน้อย"

"เจ้าน้อยอยากซ้อมดาบไหมขอรับ?" ทหารหนุ่มเอ่ยถามเจ้าน้อยออกไป เพราะเห็นว่าเจ้าน้อยจ้องมองการซ้อมดาบอย่างสนพระทัย

"เราฟันดาบไม่เป็น และเจ้าพ่อก็มิทรงอนุญาติด้วย" ใบหน้าขาวที่บัดนี้ได้เผลออาการน้อยใจต่อผู้เป็นเจ้าพ่อของตนออกมา ฝ่ายทหารหนุ่มเมื่อได้ยินดังนั้นก็ทำให้แปลกใจอยู่ลึกๆ เพราะหากปกติยิ่งเป็นลูกเจ้าฟ้าเจ้าแผ่นดินก็คงต้องร่ำเรียนวิชาการต่อสู้ไว้เพื่อป้องกันตัว เพื่อปกป้องบ้านเมืองของตนเอง แต่เจ้าน้อยกลับทรงไม่ได้รับอนุญาติให้ฝึกการต่อสู้อันใดเลย แต่ก็ไม่ได้ถามออกไป เพราะตนก็พอรู้มาบ้างก่อนหน้านี้ว่าเป็นยังไง แต่ไม่เคยคาดคิดว่าเป็นร่างบางตรงหน้านี้เองที่เหล่านางกำนันเอ่ยถึงว่า เป็นลูกที่ถูกทอดทิ้งของเจ้าแมนสรวง ตั้งแต่ทรงเสียพระสนมอันเป็นที่รักไป คิดได้ดังนั้นก็รู้สึกสงสารร่างบางตรงหน้าขึ้นมาจับใจ ว่าจะทรงอ้างว้าง เปล่าเปลี่ยวมากเพียงใดคุ้มหลวง ที่ถูกเรียกว่า "ตำหนักเย็น"

"หากเจ้าน้อยสนพระทัยจริงๆ กระหม่อมจะสอนให้ก็ได้นะขอรับ แต่ไม่ใช่ที่นี่" เจ้าน้อยเงยหน้าขึ้นมองร่างสูงตรงหน้าอย่างไม่เข้าใจ

"อย่าทำหน้าอย่างนั้นสิขอรับเจ้าน้อย ในเมื่อเจ้าน้อยทรงอยากเรียก แต่เจ้าพ่อมิทรงอนุญาติ เจ้าน้อยก็แอบเรียนก็ได้นิขอรับ" ทหารเอกเผลอยิ้มกับตัวเองเล็กน้อยเพราะยามนี้เจ้าน้อยทรงขมวดคิ้วอย่างไม่เข้าใจในความหมายที่ทหารเอกพูดเมื่อครู่ จึงรีบอธิบายให้เข้าใจ ช่างเป็นใบหน้าที่ดูน่ารักน่าชังในสายตาของทหารหนุ่มคนนี้มาก

"ท่านจะสอนให้เราเหรอ?" ฝ่ายเจ้าน้อยเมื่อเข้าใจแล้ว ก็รีบตอบไปอย่างใจคิด เพราะหากเป็นคนอื่นสอนเจ้าน้อยก็คงไม่อยากเรียน แต่หากเป็นท่านแสงเมืองก็คงพอจะสอนดาบให้กับคนไม่เอาไหนอย่างตนได้บ้าง เพราะนอกจากการเรียน การดนตรี และงานครัวเล็กๆน้อยๆแล้ว เจ้าน้อยก็ทรงทำอะไรไม่เป็นเลยก็ว่าได้

"ขอรับ แต่ค่าจ้างกระหม่อมคิดแพงหน่อยนะขอรับ?" เจ้าน้อยได้ยินดังนั้นก็กลับมาขมวดคิ้วอีกครั้ง เพราะคิดว่าท่านทหารเอกจะใจดีสอนให้โดยไม่จ่ายเงิน

"ล้อเล่นขอรับ ไม่ต้องขมวดคิ้วถึงขนาดนั้นก็ได้ขอรับ งั้นเชิญทางนี้เถิดขอรับ" ทหารหนุ่มก็เดินนำเจ้าน้อยมาเอาเจ้าม้าสีหมอกที่ผูกเชือกไว้กินหญ้าใกล้กับที่ซ้อมดาบเพื่อใช้เดินทางไปยังน้ำตกที่ทั้งสองเจอกันในคราแรก เพราะคิดว่ามันน่าจะปลอดภัยพอที่จะสอนดาบให้กับร่างบางตรงหน้านี้ได้ ครั้งนี้เจ้าน้อยพอรู้วิธีการขึ้นหลังม้า และคุ้นเคยกับเจ้าสีหมอกบ้างแล้ว แต่ก็ยังอดประหม่าไม่ได้เหมือนกัน เป็นเหตุให้แสงเมืองต้องจับเอวหลวมๆและพยุงขึ้ยอีกครา แต่ก็ไม่ถึงกับจับเอวแล้วยกขึ้นเหมือนคราก่อน เพราะหากเป็นเช่นนั้นเจ้าน้อยคงเขินน่าดู

"หื้อ....ยังหอมเหมือนเดิม" เมื่อเห็นเจ้าน้อยขึ้นบนหลังม้าได้แล้ว ทหารหนุ่มจึงกระโดดขึ้นมานั่งซ้อนด้านหลังแล้วบังคับม้าให้ออกเดินทาง แต่ก็ต้องเผลอหลุดปากออกมาเพราะตนรู้สึกได้ถึงกลิ่นกายของร่างบางตรงหน้านี้ได้อย่าชัดเจน หาได้เหมือนกลิ่นของผู้หญิงไม่ แต่หากเป็นกลิ่นหอมละมุนบางเบาเหมือนดอกไม้สักอย่างที่ตนเองชอบ เลยเผลอสุดดมเข้า

"ท่านว่าอะไรนะท่านแสงเมือง?" ฝ่ายเจ้าน้อยที่ได้ยินไม่ชัดจึงเอ่ยถามให้แน่ใจ

"ป่าวขอรับ"

"ถึงแล้วขอรับ เราจะเรียนดาบกันที่นี่" พอถึงยังที่หมายทหารเอกจึงบังคับให้ม้าหยุดและบอกให้เจ้าน้อยทราบว่า จะเรียนดาบกัน ณที่แห่งนี้นั่นเอง

"เจ้าน้อยกระหายน้ำหรือไม่ขอรับ หากทรงกระหาย กระหม่อมมีน้ำติดอยู่ เดี๋ยวกระหม่อมจะเอาไว้ห้อยไว้ที่ใต้ต้นไม้นั่นนะขอรับ"

"ขอบใจท่านมากท่านแสงเมือง"

"งั้นเจ้าน้อยพร้อมหรือยังขอรับ?"

"เราพร้อมละ"

"ขั้นแรกเจ้าน้อยต้องรู้ก่อนคือ ต้องเตรียมความพร้อมให้ร่างกายตนเอง ไม่ว่าจะเป็นนิ้วมือ และขอมือ แขน ไหล่ หรือแม้กระทั่งลำตัว หรือขา ต้องแข็งแรง รวดเร็ว เสื้อผ้าเครื่องแต่งกายจำเป็นต้นใช้เสื้อผ้าที่รัดกุม เพราะจะทำให้กระฉับกระเฉงว่องไว" เวลาผ่านพ้นไปจนบ่ายคล้อย ทหารเอกได้สอนไปบ้างพอสมควร แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นต้องค่อยๆเป็นค่อยๆไป จะหักโหมมิได้ เนื่องจากด้วยร่างกายและความพร้อมของร่างบางยังมีน้อย เพราะยังเป็นวันแรกและเป็นการฝึกขั้นต้นด้วย อีกทั้งตอนนี้ร่างบางคงจะเหนื่อยพอสมควรแล้ว

"พอได้ไหมขอรับที่สอนมาเมื่อครู่?" ร่างสูงใหญ่เอ่ยถามเพราะเป็นห่วง เนื่องจากเวลานี้ร่างสูงโปร่งถึงกลับหน้าแดงไหลไหลเต็มไปหมดเลย คงจะเหนื่อยน่าดู


"พอได้อยู่" ร่างโปร่งพูดไปด้วยหอบไปด้วย พลางเช็ดเหงื่อที่ไหลออกมาตามโครงหน้าสวย

"น้ำไหมขอรับ?" ฝ่ายทหารเอกยืนน้ำในกระบอกให้เจ้าน้อย พลางเผลอจ้องมองใบหน้านวลเวลาดื่มน้ำแต่ละอึ๊ก พลันให้ตนเองรู้สึกหนาวๆร้อนๆ เผลอกลืนน้ำลายตามไปด้วย

"ขอบใจนะท่านแสงเมือง" ทหารเอกพลันรู้สึกตัวอีกทีเมื่อเจ้าน้อยดื่มน้ำเสร็จแล้วยื่นคืนให้ร่างสูงตรงหน้า แล้วจึงรีบยื่นมือไปรับกระบอกน้ำจากมือเจ้าน้อย แต่กลับต้องชะงักเมื่อสองมือแตะกันเบาๆ เมื่อกับว่ามีไฟฟ้าสถิต จนทำให้ทั้งสองคนผละออกจากกัน

"ขอรับ" ทหารเอกได้แต่ตอบไปเบาๆ พร้อมกับดื่มน้ำจากกระบอกที่เจ้าน้อยยื่นให้ไปด้วย ทำให้ฝ่ายเจ้าน้อยรู้สึกแปลกๆอย่างบอกไม่ถูก

"มือเป็นยังไงบ้าง เจ็บมากไหมขอรับ?" ฝ่ายทหารเอกเห็นมือของเจ้าน้อยที่บัดนี้มีแต่รอยแดง และถลอกจึงเอ่ยถามด้วยความเป็นห่วง เกรงว่ามือเล็กๆขาวๆนั้นจะเป็นแผล

"ไม่เป็นไรมากหรอกท่านแสงเมือง แผลเล็กน้อย" เจ้าน้อยพูดไปเช่นนั้นแต่กลับแสดงสีหน้าเจ็บเมื่อตัวเองขยับนิ้วมือ ยังไม่ทันที่จะได้เอามือลง ร่างสูงก็ฉวยมือมาดู พร้อมกับใช้ปากเป่าให้เบาๆ เจ้าน้อยเห็นอย่างนั้นถึงกับสะดุดหยุดหายใจ และจ้องมองกิริยาที่ชายหนุ่มทำให้

"คราวหน้าถ้าเจ็บก็บอกสิขอรับ จะได้หยุดพักก่อน หักโหมแบบนี้มันไม่ดี เกิดมือเจ็บขึ้นมา คงไม่ได้ซ้อมกันอีกหลายวัน เข้าใจไหมขอรับ?" ร่างสูงดุเบาๆ เหมือนผู้ใหญ่ดุเด็ก แต่ก็ไม่ได้ทำให้ร่างบางโกรธแม้แต่น้อย กลับรู้สึกดีที่มีคนคอยเป็นห่วง


"อื้ม!! คราวหน้าเราจะบอกถ้าเราเจ็บ"

"งั้นเรากลับเลยไหมขอรับ" ตลอดทางแม้ว่าจะไม่มีเสียงใดจากทั้งคู่ แต่กลับมีเสียงหนึ่งที่ยังคงทำหน้าที่ของมันได้ดีคือเสียงจากหัวใจจากคนทั้งสองจนกระทั่งถึงในเขตพระราชฐาน

"เจ้าน้อยไปตี้ไหนมาเจ้า? ปี้บัวแก้วเสาะหาจ่นปอทั่วคุ้มหลวง" เสียงของพระพี่เลี้ยงคนสนิทไตร่ถามด้วยความร้อนเนื้อร้อนใจเมื่อพบเจ้านายของตน ถึงแม้ว่าจะพอหมดห่วงได้เมื่อพบหน้าเจ้านายตน แต่ก็ยังคงอดเป็นห่วงไม่ได้อยู่ดี

"แล้วมือเป๋นหยังเจ้า ไปเยี๊ยะหยังมามือถึงแดงอย่างอี้ ? ไหนหื้อปี้ดูลอ" ยิ่งเห็นมือที่บัดนี้ทั้งบวมทั้งแดงของเจ้าน้อย บัวแก้วยิ่งเป็นห่วง พลางทั้งลูบเบาทั้งเป่าให้ราวกับเจ้าน้อยยังคงเป็นเด็กเล็กๆที่พอได้รับแผลอะไรมากก็ร้องไห้สะอึกสะอื้นให้พระพี่เลี้ยงเป่าให้

"เราไปซ้อมดาบกับท่านแสงเมืองมา อย่าเป็นห่วงเลย แผลแค่นี้เอง ไกลหัวใจเยอะเลย" เจ้าน้อยตอบออกไปเพื่อให้พี่เลี้ยงคนสนิทคลายกังวล แต่ฝ่ายพี่เลี้ยงพอได้ยินดังนั่นจึงตะวัดนหน้ามองร่างสูงใหญ่ที่มาส่งเจ้าน้อยถึงในคุ้ม ด้วยความไม่พอใจ

"ปี้บอกกี่ครั้งแล้วเจ้าว่าจะไปเยี๊ยะอย่างอี้ มันอันตราย เจ้าป้อของเจ้าน้อยก่อบ่ทรงอนุญาติแล้วอย่างใดถึงอยากฝึกดาบได้ล่ะเจ้า ถ้าพระองค์รู้จะเป๋นเรื่องเอาใดนาเจ้า" พี่เลี้ยงว่าแกมประชดทหารเอกที่พาเจ้าน้อยไป หนำซ้ำยังทำให้เจ็บตัวกลับมาอีก ตั้งแต่เล็กจนโตมาตนเองก็แทบจะไม่เคยให้เจ้าน้อยต้องบาดเจ็บเลยสักครั้ง ส่วนฝ่ายทหารเอกก็ทำสีหน้าไม่ถูกเมื่อถูกว่าไปแบบนั้น ทั้งรู้สึกผิด แต่อีกใจก็กลับรู้สึกว่าคิดถูกแล้วที่สอนดาบให้เจ้าน้อย เพราะมิเช่นนั้นร่างบางตรงหน้านี้คงไม่ได้ทำอะไรที่ตนเองอยากทำ ไม่ได้ยินอย่างเต็มเปี่ยมขนาดนี้หรอก

"อย่าว่าท่านแสงเมืองเลยพี่บัวแก้ว เราเป็นคนอยากฝึกเอง แล้วเราก็เป็นคนบังคับให้ท่านแสงเม้องเป็นคนสอนด้วย พี่บัวแก้วก็รู้ว่าใครจะมาบังคับเราได้ ถ้าเราไม่เต็มใจ" ร่างบางเอ่ยขึ้นเพื่อปกป้องร่างสูงตรงหน้า

"แล้วถ้าเจ้าป้อรู้ขึ้นมาลอเจ้า? เจ้าเยี๊ยะใด?" พี่เลี้ยงคนสนิทถามด้วยความเป็นห่วง ไม่อยากให้เจ้าเหนือหัวกริ้วเจ้าน้อย เพราะแค่นี้พระองค์ก็แสนจะน่าสงสารพออยู่แล้ว

"ไม่ต้องเป็นกังวลหรอกพี่บัวแก้ว ไว้ใจได้ เจ้าป้อไม่รู้หรอก เพราะเราไปเรียนในที่ลับของเรากับท่านแสงเมือง ไม่มีใครรู้หรอก ถ้าพี่บัวแก้วไม่บอกเราไม่บอก ท่านแสงเมืองไม่บอก แล้วเจ้าป้อจะรู้ได้ยังไงล่ะ!!"

"เจ้า เจ้าน้อย ปี้จะบ่บอก" พระพี่เลี้ยงคนสนิทจำใจต้องยอมเพราะมันคือความต้องการของเจ้าน้อย คือความสุขของเจ้าน้อย แต่บัวแก้วก็เพิ่งสังเกตได้ว่าเจ้าน้อยที่แต่ก่อนไม่ค่อยพูดค่อยจาสักเท่าไหร่ บัดนี้กลับพูดมากขึ้น แถมยังยิ้มบ่อยมากขึ้น แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังถือว่าน้อยอยู่ดีสำหรับเจ้าน้อยของตน หวังว่าสิ่งใดที่เจ้าน้อยชอบ เจ้าน้อยอยากทำ พี่บัวแก้วก็จะไม่ขัด ขอเพียงพระองค์ทรงยิ้มและมีความสุขกับมันให้มากก็พอ
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 04-12-2014 20:41:57 โดย ApolloS »

ออฟไลน์ ApolloS

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 91
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +28/-0
Re: ....หัวใจใฝ่รัก....
«ตอบ #5 เมื่อ04-12-2014 20:37:40 »

ตอนที่ 4

"เจ้าน้อยอยู่นี่เอง อ้ายตามหาตั้งนาน" ผู้มาใหม่ได้เอ่ยทักเจ้าน้อยที่ออกมาเดินเล่นที่อุทยานหลวง กับพระพี่เลี้ยงหลังจากเรียนหนังสือเสร็จแล้ว

"เจ้าอ้ายมีอะไรกับน้องหรือครับ ?" (พี่ชาย ในภาษาเหนือจะเรียกว่า อ้าย) พอเห็นว่าเป็นใครเจ้าน้อยก็ตอบออกไป พร้อมกับเห็นร่างสูงของใครอีกคนที่สอนดาบเขาไว้เดินตามเจ้าอ้ายของตนมา

"พอดีอ้ายไปราชการต่างเมืองมา เลยแวะไปหาเจ้าน้อยที่คุ้ม แต่ไม่เจอ ว่าจะเอาว่าเสื้อไหมมาฝาก เห็นว่างามดี น่าจะเหมาะกับน้อง" ร่างสูงตอบมาด้วยใจอาทรต่อผู้เป็นน้องชายต่างสายเลือด ถึงแม้จะเป็นน้องชายที่เกิดต่างพระมารดา แต่ก็มีพระบิดาองค์เดียวกัน เจ้ามิ่งขวัญก็รักและหวังดีต่อน้องชายคนนี้เป็นอย่างมาก เพราะตนมีแต่น้องสาว จึงอยากได้น้องชาย ไว้เป็นเพื่อนเล่น จนในที่สุดเจ้าป้อก็บอกว่าตนเองว่ากำลังจะมีน้องชายให้ ตอนนั้นตนเองรู้สึกดีใจมาก อยากเห็นหน้าน้องเร็วๆ ไม่เคยคิดหรอกว่า น้องจะมาแย่งความรักหรือแย่งอะไรไป เจ้าน้อยเป็นน้องชายที่น่ารัก เวลาไปไหนก็จะเดินตามตนเองอยู่ตลอด เดินทันบ้างไม่ทันบ้าง เขายังจำได้ดี เสียงเล็กๆ ที่คอยเรียกตนเองอยู่เสมอว่า "เจ้าอ้าย ๆ" คิดถึงตอนเด็กๆแล้วก็อดยิ้มออกมาไม่ได้ ไม่ว่าจะตอนนั้นหรือตอนไหน ร่างบางตรงหน้านี้ก็ยังน่ารัก และน่าเอ็นดูอยู่เสมอ

"ขอบคุณครับเจ้าอ้าย" เจ้าน้อยเมื่อได้รับของฝากจากพี่ชาย ก็ยิ้มบางๆ ให้กลับคืนไป พระองค์ทรงเป็นพี่ชายที่ดีมาก หากไม่มีพระองค์ก็คงไม่มีใครมาปกป้องคนอ่อนแออย่างเขาหรอก เจ้าน้อยยังจำได้ดี ตอนเด็กๆตนเองมักจะติดตามไปนั้นมานี่กับเจ้าอ้ายอยู่เสมอ แม้ถูกแกล้งบ้าง แต่ตนเองก็ไม่เคยโกรธ เพราะอยากเล่นกับพี่ชาย บางครั้งพระองค์จะแกล้งให้วิ่งตาม จนต้องหกล้ม ร้องไห้บ้าง แต่สุดท้ายพระองค์ก็จะกลับมาพยุงให้ลุกขึ้นอยู่ดี ทั้งปัดฝุ่นปัดเศษหญ้าที่ติดตามเสื้อผ้าให้ หรือแม้กระทั่งปลอบเวลาที่ร้องไห้

"อ้ายกะแล้วว่าเจ้าน้อยจะต้องใส่ได้ แล้วก็ต้องงามมากเลย เป็นไงชอบไหม?" เจ้ามิ่งขวัญถามน้องชาย

"ชอบครับเจ้าอ้าย แต่จะซื้อมาทำไมเยอะแยะ ลำบากเปล่าๆ เสื้อผ้าน้องก็มีเยอะอยู่แล้ว" เจ้าน้อยตอบไปด้วยความเกรงใจ เพราะไปราชการทีไรไม่ได้อย่างก็สองอย่างที่เจ้าอ้ายซื้อมาฝาก ฝ่ายคนซื้อมาฝากกลับยิ้มอยู่ทุกครั้ง แต่ก็ไม่เคยฟังเลย

"อ้ายไม่ลำบากเลย อ้ายเต็มใจ เดินผ่านทีแรกเห็นเข้า เลยตัดสินใจซื้อเลย ถือว่าเอาไว้ใส่ตอนงานยี่เป็งนี่ก็ได้เจ้าน้อย"

"รับไปเตอะเจ้า เจ้าน้อย เจ้ามิ่งขวัญเปิ้นอุตส่าห์ซื้อมาฝาก เดวเปิ้นจะเสียใจ๋นาเจ้า" พระพี่เลี้ยงเห็นดังนั้นจึงช่วยพูดอีกแรง

"ขอบคุณครับเจ้าอ้าย" เจ้าน้อยกล่าวขอบคุณพี่ชายตนเองอีกครั้ง

"ไหนมาหื้อปี้บัวแก้วดูลอว่าเจ้าน้อยใส่แล้วจะเปิงเหมือนตี้เจ้ามิ่งขวัญว่าก่อ?" (ใส่แล้วจะเหมาะเหมือนที่เจ้ามิ่งขวัญว่าไหม?) บัวแก้วจัดการแกะห่อกระดาษแล้วเอาเสื้อออกมาทาบตัวเจ้าน้อยดู เป็นเสื้อพื้นเมืองแขนยาวทำจากผ้าไหมสีครีมดิ้นทองนิดๆ แต่ที่แปลกตาคงจะเป็นกระดุมที่ทำจากกะลามะพร้าวขัดเงา

"เปิงขนาดเจ้า เจ้าน้อยของปี้บัวแก้วงามขนาด" บัวแก้วอดชมเจ้านายของตนไม่ได้ นี่ขนาดแค่เอาทาบดูถ้าได้ใส่จริงๆ คงจะสวยกว่านี้

"แล้วมือนั่นไปโดนอะไรมาน่ะเจ้าน้อย ทำไมถึงเป็นแบบนั้น?" ยังไม่ทันที่บ้วแก้วจะชมเจ้านายจบ เจ้ามิ่งขวัญก็เพิ่งสังเกตเห็นมือน้องชายที่แดงแล้วก็เป็นแผลอยู่ เลยไตร่ถามด้วยความเป็นห่วง

"คะ..คือน้อง......" เจ้าน้อยที่อ้ำอึ้งกับคำตอบ เพราะตกใจที่พี่ชายตนเองถามขึ้นมาดื้อๆ

"อ้อ เจ้าน้อยหกล้มวันก่อนนิดหน่อยเจ้า แต่บ่ได้เป๋นหยังนักเจ้าเจ้ามิ่งขวัญ บัวแก้วใส่ยาหื้อเรียบร้อยแล้วเจ้า" ยังไม่ทันที่เจ้าน้อยจะตอบ บัวแก้วก็ตอบขึ้นมาแทน ดีหน่อยเพราะเจ้าน้อยก็ไม่รู้ว่าจะตอบอะไรไปดี ตอบไปก็กลัวเจ้าอ้ายของตนจะไม่เชื่อเสียเปล่า ยิ่งทรงจับพิรุธคนเก่งอยู่

"จริงหรอเจ้าน้อย? แล้วดีขึ้นบ้างรึยัง หรือว่ายังเจ็บอยู่?"

"ดีขึ้นแล้วครับเจ้าอ้าย แผลเล็กนิดเดียวเอง น้องไม่ได้อ่อนแอขนาดนั้นสักหน่อย เจ้าอ้ายไม่ต้องเป็นห่วงครับ" เจ้าน้อยขวัญระมิงค์รีบปฏิเสธเจ้ามิ่งขวัญไป เพราะเกรงว่าหากไม่รีบจบบทสนทนานี้ ความจะแตก เดี๋ยวพระองค์จะสงสัยได้

"อื้ม งั้นก็ดีละ ดูแลตัวเองด้วยนะเจ้าน้อย รักษาสุขภาพด้วย ใกล้เข้าหน้าหนาวแล้ว"

"ครับน้องจะดูแลตัวเอง เจ้าอ้ายก็เหมือนกันนะครับ ดูแลพระองค์เองด้วยนะครับ อย่าทำงานหนักเกินไป"

"งั้นอ้ายไปละนะ วันงานยี่เป็งใส่มาหื้ออ้ายดูด้วยนะเจ้าน้อย" เจ้ามิ่งขวัญบอกก่อนยิ้มให้บางๆ และเดินออกไป พร้อมกันนั้นได้สั่งให้ทหารเอกของตนแยกไปธุระให้ตนเองได้เลย

"หันก่อเจ้าน้อย บ่น่าไปเฮียนเลยดาบเดิบอะหยังเนี๊ยะ มือก่อเจ็บ แหมเจ้ามิ่งขวัญก่อเกือบจับได้แล้วตวย" บัวแก้วถึงกับถอนหายใจ แล้วก็บ่นออกมาเสียไม่ได้

"เอาหน่าปี้บัวแก้ว เราอยากทำ เรามีครับความสุขที่ได้ทำ" เจ้าน้อยกล่าวออกไปอย่างเสียมิได้ แต่ก็เกือบลืมไปว่ายังมีร่างสูงของใครอีกคนอยู่ด้วย

"แล้วอ้ายแสงเมืองบ่ไปทำธุระหื้อเจ้ามิ่งขวัญเตื่อกาเจ้า เดวเจ้ามิ่งขวัญเปิ้นจะว่าเอานา" บัวแก้วพูดประชดแสงเมืองออกไป เพราะยังเคืองที่แสงเมืองพาเจ้าน้อยของตนไปซ้อมดาบจนมือเป็นแผล ทั้งๆที่เจ้าแมนสรวงได้ทรงห้ามไว้แล้วแท้ๆ

"เราไม่รีบปี้บัวแก้ว ยังพอมีเวลาอยู่" ฝ่ายแสงเมืองได้แต่ยิ้มมุมปากออกมาบางๆ แล้วตอบออกไปคล้ายกับว่าจะยียวนพี่เลี้ยงคนสนิทของเจ้าน้อยที่หวงเจ้านายเสียเหลือเกิน ยิ่งกว่าไข่ในหินซะอีก

"แล้วมาอยู่หยังนี่ เจ้านายตั๋วก่อไปแล้วลอ? ไปได้แล้วก่า" (แล้วมาอยู่ทำไมที่นี่ เจ้านายตัวเองก็ไปแล้วนิ ไปได้แล้วสิ)

"เรามีเรื่องจะคุยกับเจ้าน้อยก่อนแล้วค่อยไป" อ้ายแสงเมืองพูดจบก็หันหน้ามามองร่างบาง ที่บัดนี้ทำหน้างอหงิก ทีเมื่อกี้ยังยิ้มดีๆอยู่เลย ทำไมตอนนี้กลับทำหน้าแบบนี้ได้ล่ะ


"ปี้บัวแก้วไปรอที่คุ้มก่อนก็ได้ครับ" ได้ยินดังนั้นบัวแก้วจึงหันมามองหน้าทหารหนุ่มแล้วก็สะบัดหน้าหนีเดินออกไป เอาแล้วไหมล่ะ เจอแม่เสือหวงลูกเสือแล้วไหมล่ะ

"ท่านมีเรื่องอะไรคุยกับเราเหรอท่านแสงเมือง"

"เจ้าน้อยทรงโกรธกระหม่อมหรือขอรับ?"

"เราจะโกรธท่านด้วยเรื่องอะไร? ท่านไม่ได้ทำอะไรผิดนิ" เป็นครั้งแรกที่ตนเองกล่าวประชดชายหนุ่มตรงหน้านี้

"งั้นเจ้าน้อยก็หันหน้ามาคุยกับกระหม่อมดีๆสิขอรับ หันหน้าไปมองทางโน้นทำไม หรือว่ามันมีอะไรน่ามองกว่ากระหม่อม?"

"แล้วยังไง? เราจะหันหน้าไปมองใคร มองทางไหนก็เรื่องของเรา"

"หรือเป็นเพราะว่าเจ้าน้อยไม่อยากคุย ไม่อยากมองหน้ากระหม่อมแล้วขอรับ?"

"ท่านก็น่าจะรู้ดีท่านทหารเอก!!"  ขืนเรียกด้วยยศแบบนี้คงไม่โกรธก็งอนแน่ๆ

"เอาล่ะขอรับ กระหม่อมยอมรับผิดที่ไม่ได้มาตามนัด ทั้งๆที่เราคุยกันแล้ว แต่กระหม่อมมีเหตุผลนะขอรับ" แม้จะรู้ว่าแสงเมืองไปราชการต่างเมืองกับเจ้าอ้ายของตนเองมา แต่ตนเองก็อดน้อยใจไม่ได้อยู่ดี ไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกันว่าทำไมถึงต้องรู้สึกแบบนี้

"อย่าทำหน้าอย่างนั้นสิขอรับ กระหม่อมขออภัย ยกโทษให้กระหม่อมด้วยนะขอรับ ต่อไปกระหม่อมจะมาบอกก่อนถ้าติดธุระ" เจ้าน้อยรู้สึกตัวเองจะงี้เง่าเกินไป ทำตัวอย่างกับสาวน้อย แต่ก็อดแปลกใจกับการเปลี่ยนแปลงของตัวเองที่แต่ก่อนไม่ค่อยแสดงความรู้สึกใดๆกับใครนัก

"อย่าเงียบสิขอรับ ไว้กระหม่อมจะชดเชยให้นะขอรับ แต่ตอนนี้กระหม่อมต้องไปทำธุระให้เจ้ามิ่งขวัญแล้ว พรุ่งนี้มารอกระหม่อมที่อุทยานเล็กหลังคุ้มนะขอรับ กระหม่อมจะพาไปหัดขี่ม้า " ถึงจะทำหน้าเรียบเฉยไปบ้าง แต่ก็อดพยักหน้าตอบตกลงไปเสียไม่ได้
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 04-12-2014 20:42:41 โดย ApolloS »

ออฟไลน์ ApolloS

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 91
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +28/-0
Re: ....หัวใจใฝ่รัก....
«ตอบ #6 เมื่อ04-12-2014 20:39:29 »

ตอนที่ 5

"ท่านมารอนานแล้วหรือท่านแสงเมือง" เจ้าน้อยเอ่ยถามเพราะอีกฝ่ายได้มาถึงก่อนตนเองนานแล้ว ทั้งที่ไม่ได้นัดเวลากัน แต่ทำไมอีกฝ่ายถึงมาถูกเวลานะ หรือว่าคนตรงหน้ามารอเขาตั้งแต่ตอนเช้าแล้วกันแน่ เจ้าน้อยขมวดคิ้วคิดในใจ

"มาได้สักครู่แล้วขอรับ เราไปกันเลยไหมขอรับ เดี๋ยวสายกว่านี้แดดจะแรง" ฝ่ายทหารเอกตอบคำถามแล้วจึงชวนเจ้าน้อยออกเดินทาง เพราะเกรงว่าถ้าช้ากว่านี้แดดจะแรง กลัวร่างบางตรงหน้าตากแดดมากไปเดี๋ยวจะไม่สบาย ถ้าเป็นแบบนั้นคงไม่ดี เพราะตนเองจะโดนพระพี่เลี้ยงคนสนิทงับหัวเอาได้

"อื้ม!!"

"เชิญทางนี้ขอรับเจ้าน้อย วันนี้กระหม่อมเตรียมอาหารไว้ให้พระองค์เสวยในป่าด้วยนะขอรับ แต่พระองค์จะเสวยอาหารพื้นๆได้รึเปล่าขอรับ?" ทหารเอกได้ตระเตรียมอาหารเครื่องดื่มไว้เผื่อการนี้โดยเฉพาะ กะว่าเจ้าน้อยคงจะใจอ่อนยอมยกโทษให้บ้าง"

"ไม่มีปัญหาท่านแสงเมือง เรากินง่ายอยู่ง่าย ดีซะอีกจะได้เปลี่ยนบรรยากาศ" ทหารเอกได้ยินดังนั้นจึงยิ้มออกมา คิดไม่ผิดที่อุตส่าห์ให้แม่ของตนทำไว้ให้แต่เช้าก่อนมาที่นี่

"หื้อปี้บัวแก้วไปตวยบ่เจ้า เจ้าน้อย ? จะได้ไปดูแลเจ้าน้อยตวย" บัวแก้วถามเพราะเป็นหวงเจ้านายตัวเอง แต่เหนือสิ่งอื่นใด บัวแก้วไม่อยากให้เจ้าน้อยไปกับทหารเอกคนนี้ ไม่อยากให้ทำอะไรโลดโผนแล้วเจ็บตัวอีก

"ไม่ต้องเป็นห่วงครับปี้บัวแก้ว เราดูแลตัวเองได้ แล้วอีกอย่างมีแค่ม้าตัวเดียว แล้วพี่บัวแก้วจะไปยังไง?"

"ปี้เตียวไปก่อได้เจ้า" (เตียว หมายถึง เดิน)

"มันไม่ใช่ของใกล้ๆนะพี่บัวแก้ว อีกอย่างมันเป็นป่ารกด้วย ผู้หญิงอย่างปี้บัวแก้วจะไหวเหรอ?" เจ้าน้อยพูดด้วยความเป็นห่วงพี่เลี้ยงคนสนิท เพราะรู้ว่าพี่บัวแก้วเป็นห่วงตนเองแค่ไหน

"ก่อได้เจ้า แต่เจ้าน้อยจะไปปิกค่ำนาเจ้า จะไปหักโหมฝึก ดูแลตัวเก่าแทนปี้บัวแก้วตวย ท่านแสนเมืองก่อดูแลเจ้าน้อยตวยเน้อ จะไปหื้อเจ็บตัวปิกมาเหมือนครั้งที่แล้วแหม" บัวแก้วรับค่ำเจ้าน้อย พร้อมกับกำชับทหารเอกให้ดูแลเจ้าน้อยด้วย

"ไปละนะปี้บัวแก้ว"

"ขออนุญาตินะขอรับ" ทหารเอกเอ่ยขออนุญาตเมื่อต้องใช้มือกอดเอวเจ้าน้อยไว้เพื่อไม่ให้ตก

"ทำไมครั้งที่แล้วไม่เห็นขอเลย มาตอนนี้จะขอทำไมกันเล่า?" เจ้าน้อยได้ยินดังนั้นก็พยักหน้าแล้วก็บ่นออกมาเบาๆ พึมพำกับตัวเอง

"ก็ครั้งก่อนกับครั้งนี้ไม่เหมือนกันนิขอรับ หึๆๆ" เสียงตอบและเสียงหัวเราะเบาๆใกล้หูเจ้าน้อยคล้ายกับว่ากระซิบก็ไม่ใช่ คงเป็นเพราะความใกล้ของคนทั้งสองกระมั้ง

"อ่ะ!!!" ด้วยความที่เจ้าน้อยไม่คิดว่าร่างสูงจะได้ยิน เลยตกใจจนเกือบตกลงจากหลังม้า ยังดีที่ร่างสูงของทหารเอกโอบเอวไว้ได้ทัน

"นั่งดีๆสิขอรับ อย่าดิ้น เดี๋ยวพระองค์จะตก กระหม่อมจะโดนพระพี่เลี้ยงว่าเอาได้นะขอรับ ยิ่งหวงๆอยู่" ทหารเอกพูดแกมหยอกร่างบางตรงหน้า

"แล้วที่ท่านพูดหมายความว่ายังไง? อ่ะ!!!" เจ้าน้อยขมวดคิ้วเอ่ยถามทหารเอก พร้อมหันหน้าไปถามคนข้างหลัง ขณะเดียวกันทหารหนุ่มก็เอี่ยวตัวและก้มลงตอบคำถามเจ้าน้อย แต่ก็ต้องตกใจทั้งสองฝ่ายเพราะแก้มของเจ้าน้อยได้ชนกับริมฝีปากและจมูกของทหารเอกพอดี

"ไม่ใช่ความผิดกระหม่อมนะขอรับเมื่อครู่" ทหารเอกพูดแกมหยอกเจ้าน้อย ส่วนฝ่ายเจ้าน้อยได้แต่หน้าแดงไม่พูดไม่จา แม้ว่าจะเห็นจากด้านข้างเพียงเสี้ยวหน้าก็พอรู้ว่าบัดนี้เจ้าน้อยรู้สึกอย่างไร

"เมื่อกี้เจ้าน้อยถามกระหม่อมใช่ไหมขอรับว่า ครั้งก่อนกับครั้งนี้ไม่เหมือนกันยังไง??" ทหารเอกเป็นฝ่ายเอ่ยถามขึ้นมาเพื่อไม่ให้เจ้าน้อยเขินไปมากกว่านี้ เพราะหากทำหน้าแดงมากกว่านี้ คนร่างสูงคงอดใจไม่ได้ที่จะทำแบบเมื่อครู่อีกครา แต่คงไม่ได้เป็นแบบความบังเอิญเมื่อเมื่อกี้หรอก เพราะตอนนี้ทหารเอกเริ่มรู้ตัวเองแล้วว่าที่หัวใจเต้นแรง หรือแม้กระทั่งอาการต่างๆที่เกิดขึ้นเมื่อยามได้อยู่กับร่างบางตรงหน้าคืออะไร มันอาจเริ่มต้นขึ้นตั้งแต่ครั้งแรกที่เราเจอกันที่น้ำตกแล้วก็เป็นไปได้ แต่ใจเจ้ากรรมยังไม่อยากยอมรับความจริงก็เป็นไปได้ มาถึงตอนนี้คงต้องยอมรับแล้วล่ะหัวใจ

"ไม่ๆ เรายังไม่อยากฟังตอนนี้" ร่างบางตอบได้เพียงเท่านี้ ร่างสูงจึงได้แต่หัวเราะออกมาเบาๆ


"แล้วยังอยากหัดขี้ม้ากับกระหม่อมอยู่อีกไหมขอรับ?"


"อื้อ" ร่างบางตอบไปด้วยใบหน้าอันแดงก่ำ แบบนี้จะรอดเหรอเจ้าน้อยทหารเอกคิดในใจ แต่อีกใจหนึ่งก็กลับรู้สึกว่าฟ้าสูงเป็นยังไง และแผ่นดินต่ำเป็นยังไง ไม่อาจฉุดดึงร่างบางตรงหน้ามาอยู่ติดกับดินเช่นตนเองได้


"เจ้าน้อยหิวหรือยังขอรับ? " ร่างบางพยักหน้าตอบ เพราะตนเองก็เริ่มรู้สึกหิวแล้วหลังจากที่หัดขี่ม้ามาได้สักพักแล้ว อาจจะไม่ค่อยคล่องเท่าไหร่นัก แต่ถ้าได้ฝึกบ่อยๆก็คงขี่ได้ดีขึ้น เจ้าน้อยคิดในใจ

"กระหม่อมว่าเราไปนั่งทานตรงใต้ต้นไม้ริมน้ำตกดีไหมขอรับ? เดี๋ยวกระหม่อมจะเอาเสื่อไปปูให้นะขอรับ"

"ท่านไม่ทานกับเราเหรอ?"

"เชิญเสวยก่อนเถิดขอรับ กระหม่อมทานทีหลังได้ขอรับ"

"รอทานทีหลังทำไม ท่านเอามาทานพร้อมกับเรานี่แหละท่านแสงเมือง เราไม่ใช่คนเจ้ายศเจ้าอย่าง เอางี้ดีไหมให้ท่านคิดว่า ตอนนี้เราคือลูกศิษย์ท่าน แล้วท่านก็คืออาจารย์สอนฟันดาบ สอนขี่ม้าให้แก่เรา" เจ้าน้อยยิ้มออกมาเมื่อพูดจบ เป็นยิ้มที่สวยงามที่สุดเท่าที่ทหารเอกเคยเห็นเลยก็ว่าได้

"อร่อยไหมขอรับ?"

"อร่อยมาก ท่านซื้อที่ไหนมาเหรอ? เผื่อไปข้างนอกอีกเราจะได้ฝากท่านซื้อมาอีก" เจ้าน้อยเอ่ยชมกับข้าวที่กำลังเสวยอยู่ แม้ว่าจะเป็นอาหารธรรมดาแต่ก็ทำให้เจริญอาหารได้มากเลยทีเดียว

"หาซื้อไม่ได้หรอกขอรับ แม่ของกระหม่อมเป็นคนทำเองขอรับ"

"หื้ม? แม่ท่านทำอาหารเก่งจัง อร่อยมากด้วย"

"ไว้เจ้าน้อยอยากเสวยอีก กระหม่อมจะให้แม่ทำมาให้อีกขอรับ"

"ขอบคุณท่านมากนะท่านแสงเมือง" นับว่าเป็นอีกวันที่เจ้าน้อยรู้สึกมีความสุขมาก หลังจากที่เจ้าแม่ได้สิ้นพระชนม์ไป

"เสวยเสร็จแล้วลงไปล้างมือตรงทางลงตรงนั้นนะขอรับ จะได้ไม่ลื่น เดี๋ยวกระหม่อมขอตัวพาเจ้าสีหมอกไปกินน้ำก่อนนะขอรับ เดี๋ยวกระหม่อมกลับมา" แต่พอกลับมากลับพบว่าเจ้าน้อยที่ตอนนี้หลับอยู่บนเสื่อผืนนั้นไปซะแล้ว ใบหน้าขาวๆ ขนตายาวๆ นอนหลับตาอยู่ ทำให้ทหารหนุ่มถึงกับส่ายหัวยิ้มออกมาอย่างอดเอ็นดูไม่ได้ ร่างสูงเผลอจ้องมองร่างบางที่นอนไม่รู้สึกตัวจนไม่รู้ว่านานเท่าไหร่ ราวกับว่ามีบางสิ่งบางอย่างดึงดูดให้ร่างสูงของทหารเอกก้มลงแตะเบาๆที่ปากของร่างบาง เมื่อรู้สึกตัวก็สายไปเสียแล้วเพราะบัดนี้เจ้าน้อยได้ลืมตาขึ้นมองคนตรงหน้านี้เสียแล้ว หากแต่ทั้งคู่ก็ไม่ได้เอ่ยอะไรออกมาเลย ราวกับว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้นเมื่อสักครู่นี้ แต่ใบหน้าของเจ้าน้อยกลับขึ้นสีคล้ายกับลูกตำลึงสุก ในอกร้อนวูบวาบ ใจเต้นแรง จากนั้นก็หลบสายตาที่อีกฝ่ายกำลังมองอยู่ ฝ่ายทหารเอกที่บัดนี้ก็รู้ไม่แตกต่างกัน


"เจ้าน้อยปิกมาแล้วกาเจ้า เป๋นไดพ่องเจ้า?" (เจ้าน้อยกลับมาแล้วเหรอค่ะ เป็นยังไงบ้างค่ะ?" พระพี่เลี้ยงเอ่ยถามหลังจากที่เจ้าน้อยเสด็จกลับมาจากการฝึกขี่ม้าในช่วงบ่ายคล้อย เมื่อได้ยินดังนั้นเจ้าน้อยถึงกับเบิกตาขึ้นพร้อมกับหน้าแดงพลันนึกถึงเหตุการณ์ในวันนี้

"ก็ดีครับปี้บัวแก้ว ยังไม่คล่องเท่าไหร่ คงต้องฝึกอีกบ่อยๆ งั้น..เราขอตัวก่อนนะปี้บัวแก้วเราอยากอาบน้ำสักหน่อย" ขณะที่เจ้าน้อยกำลังอาบน้ำอยู่ก็พยายามไม่คิดถึงเรื่องที่เกิดขึ้นกับตนเองในวันนี้ แต่จนแล้วจนรอดก็สลัดความคิดนี้ออกไปไม่ได้สักที พร้อมกับเผลอเอาปลายนิ้วมือแตะที่ริมฝีปากตัวเองอยู่บ่อยๆ

"ท่านแสงเมือง ท่านทำกับเราแบบนี้หมายความว่าอย่างไร?"

ออฟไลน์ Akikojae

  • พี่ยุนรักน้องแจ ★彡
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1405
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1137/-17
Re: ....หัวใจใฝ่รัก....
«ตอบ #7 เมื่อ04-12-2014 21:22:12 »

ปักหมุดตามอ่านค่ะ
ค่อยๆลงก็ได้นะ
อ่านไม่ทันจริงๆ
ขอปักไว้ก่อนนะเจ้าาา
 :mc4:

ออฟไลน์ B52

  • เป็ดZeus
  • *
  • กระทู้: 13216
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +420/-26
Re: ....หัวใจใฝ่รัก....
«ตอบ #8 เมื่อ04-12-2014 23:21:16 »

รออ่านอีก

ออฟไลน์ ApolloS

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 91
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +28/-0
Re: ....หัวใจใฝ่รัก....
«ตอบ #9 เมื่อ05-12-2014 06:17:08 »

ขอบคุณครับที่ติดตาม

ถ้าอ่านแล้วงงช่วยบอกด้วยนะครับ เพราะเรื่องนี้ต้องแปลจาก "ภาษาคำเมือง" มาเป็นภาษาไทยกลาง เลยทำให้เวียนหัวนิดหน่อย >\\< ยังไงก็จะพยายามนะครับ

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Re: ....หัวใจใฝ่รัก....
« ตอบ #9 เมื่อ: 05-12-2014 06:17:08 »
ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ sirin_chadada

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4110
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +114/-8
ทำไมเจ้าพ่อถึงไม่ยอมให้เจ้าขวัญระมิงค์เรียนศิลปะการต่อสู้ล่ะ สงสัยจัง
เป็นกำลังใจให้คนเขียนจ๊ะ

ออฟไลน์ ApolloS

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 91
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +28/-0

ตอนที่ 6


"เจ้าน้อยขอรับ" ผู้มาใหม่เห็นร่างบางที่ตนเองไม่ได้เจอมาหลายวันแล้ว แต่ร่างบางที่ยืนห่างออกไปไม่ไกลนี้ไม่ได้สังเกตว่ามีใครยืนจ้องมองตนเองอยู่ เพราะมัวแต่เหม่อลอย คล้ายกับว่าทรงกำลังคิดอะไรอยู่ในใจ

"ทะ..ท่านแสงเมือง" เจ้าน้อยที่ยืนใจลอยอยู่ตกใจที่อยู่ๆมีคนเรียก แต่หากยิ่งตกใจเข้าไปใหญ่เมื่อคนที่เรียกคือคนที่ตนเองกำลังหลบหน้าอยู่ตอนนี้

"ขอรับ กระหม่อมเอง" แสงเมืองตอบรับคำเจ้าน้อยพรางมองหน้านวลที่ไม่ได้เห็นมาตั้งหลายวัน เพราะหลายวันมานี้ตนเองรู้สึกว่าร่างบางตรงหน้าคอยหลบหน้าตนเองอยู่เสมอ คิดไปต่างๆนาๆว่าเจ้าน้อยจะทรงโกรธหรือไม่ คิดไปแล้วก็น้อยใจในวาสนาตนเอง เพราะเจ้าน้อยคือผืนฟ้าที่อยู่สูงเกินเอื้อม ส่วนตัวเองก็คือผืนแผ่นดินที่อยู่ต่ำเกินไป

"หมู่นี้ไม่เห็นเจ้าน้อยออกมาซ้อมดาบหรือหัดขี่ม้าเลยนะขอรับ"

"ระ..เราไม่ค่อยว่าง ต้องเรียนหนังสือกับท่านราชครู" ร่างบางตอบไปด้วยใจสั่น ยิ่งเห็นหน้ายิ่งสับสน ยิ่งนึกถึงเหตุการณ์วันนั้น

"ปกติเจ้าน้อยก็เรียนหนังสืออยู่แล้ว แต่ยังเสด็จออกมาเรียนดาบกับขี่ม้ากับกระหม่อมได้เลย หรือว่าพระองค์ทรงโกรธกระหม่อมเรื่องวันนั้นอยู่ขอรับ?"

"ท่าน!!!" เจ้าน้อยที่ตอนแรกยืนก้มหน้าอยู่ กลับเงยหน้าขึ้นมามองชายหนุ่มตรงหน้าอย่างเต็มตา พร้อมกันนั้นได้เผลอสบตาที่คนตรงหน้าต้องการสื่ออกมาอย่างเว้าวอน ใช่ว่าไม่คิด แต่มันเป็นไปไม่ได้ผู้ชายกับผู้ชาย

"ตอบกระหม่อมสักนิดเถิดขอรับ หากไม่กระหม่อมจะได้กลับไปอยู่ที่ของกระหม่อม จะไม่มากวนใจเจ้าน้อยอีกขอรับ กระหม่อมรู้ดีขอรับว่ามันเป็นไปไม่ได้ พระองค์คือเจ้าฟ้าเจ้าแผ่นดิน ส่วนกระหม่อมคือทหารผู้ต่ำต้อย กระหม่อมไม่รู้ว่ามันเกิดขึ้นตอนไหน จะหยุดก็หยุดไม่ได้" ทหารเอกยอมจำนนกับคนตรงหน้า ได้แต่จับมือร่างบางไว้แล้วคุกเข่าก้มหน้า ราวกับว่ายอมจำนนต่อโชคชะตาที่ทำให้เป็นแบบนี้

"ท่านแสงเมืองลุกขึ้นเถิด เราไม่เคยโกรธท่านเลย แต่มันจะเป็นไปได้ยังไง หากท่านหรือเราเป็นหญิงก็คงจะดี ไม่ต้องคิดหนักอยู่อย่างนี้ แต่นี่เราทั้งสองเป็นผู้ชาย ท่านว่าเราควรทำเช่นไรท่านแสงเมือง เราคิด คิดมาก คิดมาตลอดตั้งแต่วันนั้น หากแต่ท่านก็ไม่พูดอะไรออกมาเลยตั้งแต่วันนั้น มาวันนี้ท่านมาบอกว่าท่านคิดเช่นไร แต่เราสองคนก็ยังคงทำอะไรไม่ได้อยู่ดีท่านเข้าใจใช่ไหมท่านแสงเมือง" เจ้าน้อยเอ่ยตอบไปด้วยใจสุดแสนจะเจ็บช้ำ ไม่เคยคิดว่าความรักที่ใครเขาพูดถึงเป็นอย่างไร แต่พอมาเจอกับตนเองถึงเพิ่งรู้ว่ามันทำให้ยิ้มได้และก็ทำให้เจ็บช้ำได้ถึงขนาดนี้

"กระหม่อมไม่ขออะไรมาก ขอเพียงแค่ได้รัก รักเจ้าน้อยอยู่อย่างนี้ " ทหารเอกเอ่ยออกไปด้วยใจปรารถนา แม้ว่าจะเป็นแค่ความหวังอันน้อยนิด

"ท่านแสงเมือง" สุดท้ายเจ้าน้อยก็ทัดทานต่อไปไม่ไหว พูดออกมาได้แค่นั้นก็พลันน้ำตาจะไหล

"อย่าทรงร้องไห้เลยขอรับ กระหม่อมมิปรารถนาเห็นเจ้าน้อยทรงร้องไห้" สองมือใหญ่ได้ประคองหน้าร่างบางตรงหน้า พร้อมกับใช้ปลายนิ้วเช็ดน้ำตาให้ แล้วโอบกอดด้วยความรัก ทั้งรัก ทั้งอยากปกป้อง


"หากเจ้าน้อยไม่ออกมาเก็บดอกไม้ไปทำกระทง กระหม่อมคงไม่ได้เจอพระองค์หรอกใช่ไหมขอรับ?"

"เป็นเพราะท่านนั่นแหละท่านแสงเมือง ท่านทำกับเราไว้แบบนั้น แต่ก็ไม่ตอบอันใดเลย ปล่อยให้เราคิดมาก สับสนอยู่ตั้งหลายวัน" เจ้าน้อยตอบไปอย่างแสนงอน ทำให้ทหารหนุ่มเห็นแล้วยิ้มออกมาอย่างเสียไม่ได้ ช่างเป็นกริยาที่น่ารักเสียจริง

"กระหม่อมขออภัยขอรับ ยกโทษให้กระหม่อมนะขอรับ กระหม่อมก็อยากมาเจอเจ้าน้อย แต่เพราะความต่ำต้อยของตนเองจึงไม่กล้าออกมาเจอ แต่จนแล้วจนรอดก็ทนไม่ไหว ต้องออกมารอพบเจ้าน้อยอยู่ทุกวัน แต่ก็ไม่เห็นเจ้าน้อยเลยสักวัน"


"แล้วทำไมตอนนี้ถึงกล้ามาเจอแล้วล่ะ"

"เพราะความคิดถึง อยากเจอ อยากเห็นหน้ากระมังขอรับ" ฝ่ายเจ้าน้อยได้ยินก็เหมือนกับใจเต้นแรง ทำตัวไม่ถูก ทั้งที่ตนเองเป็นฝ่ายอยากรู้เอง มันไม่ยุติธรรมเลยที่ตนเองใจเต้นแรงแทบตาย แต่อีกฝ่ายกลับยังยิ้มได้ปกติ มันน่านัก

"แล้วเจ้าไม่พูดอะไรกับกระหม่อมหน่อยหรือขอรับ?" เจ้าน้อยได้ยินดังนั้นจึงได้แต่ค้อนกลับไป

"ไม่"

"หึๆๆ" แสงเมืองอดยิ้มออกมาเบาๆไม่ได้ เพราะเจ้าน้อยทรงทำตัวน่ารักออกขนาดนี้

"หยุดหัวเราะเดี๋ยวนี้นะท่านแสงเมือง เราบอกให้หยุด"

"คืนนี้เจ้าน้อยรอกระหม่อมด้วยนะขอรับ กระหม่อมจะพาไปดูงานยี่เป็งที่นอกคุ้มหลวง" เจ้าน้อยได้แต่พยักหน้ารับคำ เพราะรู้สึกเขินไม่หายสักที ตั้งแต่เกิดมา 20 กว่าปี ก็เพิ่งมามีความรัก แล้วก็เพิ่งจะถูกสารภาพรักจากผู้ชายด้วยกันเมื่อครู่นี้เอง

"งั้นกระหม่อมขอตัวก่อนนะขอรับ เจ้าน้อยไม่ต้องทรงทำกระทงให้กระหม่อมนะขอรับ กระหม่อมอยากลอยอันเดียวกับเจ้าน้อย" เจ้าน้อยไม่คาดคิดเหมือนกันว่าความรักจะทำให้คนที่ดูดิบๆห่ามอย่างท่านแสงเมืองจะเป็นได้ถึงเพียงนี้

"เจ้าน้อยออกมาเก็บดอกตะล่อม กับดอกคำปู้จู้ตั้งเมินละ เก็บได้นักรึยังเจ้า? ถ้าบ่ฟั่งปิกไประวังแป๋งกระทงบ่เสร็จเน้อเจ้า" (เจ้าน้อยออกมาเก็บดอกบานไม่รู้โรย กับดอกดาวเรืองนานแล้ว เก็บได้เยอะรึยังเจ้า ถ้าไม่รีบกลับระวังจะทำกระทงไม่ทันเสร็จนะเจ้า) บัวแก้วเอ่ยถามเจ้าน้อยที่กำลังคุยอยู่กับแสนเมืองอยู่ในสวนดอกไม้หลังตำหนักเย็น สวนดอกไม้แห่งนี้เจ้าแม่ของเจ้าน้อยเป็นคนปลูกเองกับมือ จนตอนนี้มีแต่ดอกไม้ต้นไม้อยู่เต็มไปหมด ว่างๆเจ้าน้อยก็จะมาเดินเล่นที่นี่อยู่เสมอ เพราะมันทั้งร่มรื่นและเงียบสงบ

"เอ่อ...เก็บได้นิดหน่อยแล้วครับปี้บัวแกัว ว่าจะกลับคุ้มแล้วเหมือนกัน"

"งั้นกระหม่อมขอตัวนะขอรับ ขอตัวนะครับปี้บัวแก้ว" ทหารหนุ่มเอ่ยลาเจ้าน้อย กับพระพี่เลี้ยงคนสนิทก่อนจะยิ้มออกมาให้เจ้าน้อยบางๆที่มุมปาก ทำให้บัวแก้วรู้สึกคันหัวใจเหมือนมีใครเอาหมามุ้ยมาทา

"ท่านแสงเมืองมาอู้อะหยังกับเจ้าน้อยเจ้า หันยิ้มน้อยยิ้มใหญ่" บัวแก้วเอ่ยถามเจ้าน้อยเพราะความสงสัย (ท่านสงเมืองมาคุยอะไรกับเจ้าน้อยเหรอเจ้า เห็นยิ้มน้อยยิ้มใหญ่)

"คืนนี้เราจะออกไปเที่ยวงานยี่เป็งนอกคุ้มกับท่านแสงเมือง"

"บ่ได้นาเจ้า เจ้าน้อย มันอันตราย คนก่อนัก บ่ะถบก่อนัก" (ไม่ได้นะเจ้า เจ้าน้อย มันอันตราย คนก็เยอะ ประทัดก็เยอะ) บัวแก้วเอ่ยห้ามเจ้าน้อยทันทีที่ได้ยิน เพราะเห็นว่ามันไม่ปลอดภัย

"ไม่เป็นไรหรอกปี้บัวแก้ว ท่านแสงเมืองก็อยู่" เจ้าน้อยพูดเพื่อให้พระพี่เลี้ยงคลายความกังวล

"อั้นปี้จะไปตวย จะได้ไปดูแลเจ้าน้อย"

"ถ้าปี้บัวแก้วไปแล้วถ้าเจ้าอ้ายมาหาเราแล้วไม่เจอจะทำยังไง? ถ้าปี้บัวแก้วอยู่จะได้บอกกับเจ้าอ้ายว่าเราไม่สบายนอนหลับไปแล้ว"

"อั้นเจ้าน้อยก่อบ่ต้องไปก่าเจ้า ไปกับเจ้ามิ่งขวัญดีกว่า ปี้จะได้ไปตวยแล้วก่อบ่ต้องเป๋นห่วงตวย"

"เราอยากไปลอยกระทงนอกคุ้ม อยากเห็นงานยี่เป็งนอกคุ้มบ้าง ทุกปีในคุ้มก็ไม่เห็นมีอะไรเลย นะครับปี้บัวแก้วเราจะรีบไปรีบกลับ จะดูแลตัวเอง"

"ปี้จะเยี๊ยะใดได้ล่ะเจ้า ในเมื่อเจ้าน้อยอยากไปขนาดนี่ ร้อยวันปันปี๋บ่เกยอยากไป บ่เกยอ้อนขออะหยังปี๋บัวแก้วเลย" บัวแก้วอดข่อนขอดออกไปเสียไม่ได้ (พี่จะทำยังไงได้ล่ะเจ้า ในเมื่อเจ้าน้อยอยากไปขนาดนี้ ร้อยวันพันปีก็ไม่เคยเห็นอยากไป ไม่เคยอ้อนขออะไรจากพี่เลย)

"ขอบคุณครับปี้บัวแก้ว เดี๋ยวเราซื้อขนมมาฝาก"

"บ่น้องมาอู้เอาใจ๋ปี้เลย อ้ายแสนเมืองต้องมาอู้อะหยังแน่ๆ เจ้าน้อยถึงอยากไป แม่นก่อเจ้า?" (ไม่ต้องมาพูดเอาใจพี่เลย อ้ายแสนเมืองต้องมาพูดอะไรแน่ เจ้าน้อยถึงอยากไป ใช่ไหมเจ้า?)

"ไม่มีหรอก เราก็แค่เบื่อลอยในคุ้มแล้วก็เท่านั้น"

"ก่อได้เจ้า อั้นเฮาไปแป๋งกระทงต่อบ่เจ้า เดียวปี้จ่วย" (ก็ได้เจ้า วั้นเราไปทำกระทงต่อไหมเจ้า เดี๋ยวพี่ช่วย)

"เจ้าน้อยน่าจะไปอาบน้ำแต่งตั๋วได้แล้วนาเจ้า เดียวจะบ่ตันหันขบวนแห่นางนพมาศ ใส่ชุดตี้เจ้ามิ่งขวัญซื้อมาหื้อก่อได้ งามดี" หลังจากทำกระทงมาได้สักพักใหญ่แล้วบัวแก้วก็ให้บอกให้เจ้าน้อยไปอาบน้ำแต่งตัว เพราะหากไปช้าจะไม่ทันเห็นขบวนแห่นางนพมาศที่ตกแต่งอย่างปราณีต อลังการด้วยช่างฝีมือล้านนาที่เรียกว่า "สล่า"

"ป่ะเดียวปี้ไปจ่วยแต่งตัวหื้อ วันนี้คนนัก ต่างคนก็ต่างจัดแจ๋งแป๋งงามมาอวดกั๋น เพราะเมินๆจะมีเตื่อ" (เดี๋ยวพี่ไปช่วยแต่งตัวให้ วันนี้คนเยอะ ต่างคนต่างจัดแจงแต่งตัวมาอวดกัน เพราะนานๆจะมีครั้ง )

"ครับปี้บัวแก้ว"

"นั่งนี้เลยเจ้าเดียวปี้จะเกล้าผมหื้อ ผมเจ้าน้อยงามขนาด รอยาวแหมหน่อยค่อยเล็มปล๋ายผมออกเนาะเจ้า อ่ะเสร็จล่ะใส่ปิ่นปักผมหน่อยก่องามแล้วเจ้า เจ้าน้อยของปี้บัวแก้วใส่อะหยังก่อเปิงขนาด" เจ้าน้อยพลางมองตนเองในกระจกเงา ใบหน้าขาว ผมดำเงายาวไปถึงกลางหลังถูกรวบขึ้นแล้วปักด้วยปิ่นเงินที่เจ้าแม่ทรงประทานให้ตั้งแต่ตอนเด็กๆ เพราะปิ่นอันนี้เจ้าน้อยเลยชอบไว้ผมยาว เพราะเมื่อใดที่ใส่ปิ่นปักผมอันนี้ก็เหมือนเจ้าแม่อยู่ด้วยเสมอ ใบหน้าหวานที่ตอนนี้ไรผมได้ตกลงมาเล็กน้อย ยิ่งทำให้เจ้าน้อยดูมีเสน่ห์ ดูอ่อนหวานยิ่งเข้ากับชุดพื้นเมืองผ้าไหมสีครีมดิ้นทอง กับกางเกงผ้าไหมสีแดงเลือดนกเข้มยิ่งทำให้ดูงดงาม

"ขอบคุณครับปี้บัวแก้ว" เจ้ายิ้มให้พี่เลี้ยงพร้อมกับกล่าวคำขอบคุณ พี่บัวแก้วคนนี้เป็นทั้งพี่ ทั้งเพื่อน ทั้งพ่อและแม่ของตนเลยก็ว่าได้ คอยดูแลทุกอย่างไม่ห่างกาย ตั้งแต่เด็กมาหากไม่ได้พระพี่เลี้ยงคนนี้ ตนก็คงไม่โตมาจนถึงทุกวันนี้หรอก

"เจ้าน้อยจะไปลืมตัดเล็บตัดผมใส่ลงไปในกระทงตวยนาเจ้า หื้อพระแม่คงคาเปิ้นนำเอาความทุกข์โศกโรคภัยไหลไปตวยกระทงเลย จะไปลืมอธิฐานนาเจ้า แล้วก่อดูแลตัวเก่าตวย"

ออฟไลน์ ApolloS

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 91
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +28/-0
ตอนที่ 7

"ท่านแสงเมือง" เจ้าน้อยเดินออกคุ้มมาก็พบว่าแสงเมืองมารออยู่ที่สวนหลังคุ้มแล้ว เลยเอ่ยเรียก แสงเมืองที่ยืนหันหลังให้ แสงเมืองเมื่อได้ยินสียงใสๆของเจ้าน้อยเรียกก็รีบหันมามอง แต่ก็ต้องชะงักเพราะเจ้าน้อยของตนช่างงดงามอ่อนหวานเหลือเกิน ใบหน้าหวานนวลงาม ไรผมระแก้มลงมา เกล้าผมที่ยาวสะลวยแล้วปักด้วยปิ่นเงินแกะสลักลายล้านนา

"ท่านแสงเมือง!!!" แสงเมืองมองเจ้าน้อยอยู่นาน เจ้าน้อยจึงลองเรียกดูอีกครั้ง

 "ทำไมท่านมองอย่างนั้น หรือว่ามันดูไม่ดี ?เราจะได้ไปเปลี่ยน" เจ้าน้อยเอ่ยถามเพราะเริ่มรู้สึกประหม่า

"หามิได้ขอรับ เจ้าน้อยงามมากขอรับ" ใบหน้าขาวขึ้นสีระเรื่อเมื่อได้ยินคำตอบจากร่างสูง

"งั้นไปกันเถิดขอรับ"

"เวลาอยู่ข้างนอกท่านแสงเมืองเรียกเราว่าขวัญสิ คนอื่นจะได้ไม่สงสัย เราก็จะเรียกท่านว่า อ้ายแสงเมือง"

"ได้ขอรับ" แสงเมืองตอบไป แต่เจ้าน้อยกลับขมวดคิ้ว เลยทำให้แสงเมืองต้องเปลี่ยนคำพูดใหม่

"ได้จ๊ะ ก็มันไม่ชินนิขอรับ" แสงเมืองรีบแก้ เพราะมันไม่คุ้นเอาเสียเลย

"ไปกันเถอะอ้ายแสงเมือง"

"งานเค้าจัดกันที่ไหนเหรออ้ายแสงเมือง?"

"จัดแถวริมน้ำปิงน่ะ ขวัญเอากระทงมาให้อ้ายสิ เดี๋ยวอ้ายจะถือให้" อ้ายแสงเมืองเพิ่งเอ่ยชื่อเจ้าน้อยเป็นครั้งแรก ทำให้รู้สึกประดักประเด่ออย่างบอกไม่ถูก จนทำให้เจ้าน้อยหัวเราะออกมาเสียไม่ได้ ฝ่ายอ้ายแสงเมืองเห็นเจ้าน้อยหัวเราะก็อดยิ้มไม่ได้เพราะเจ้าน้อยในเวลานี้ช่างสดใส ยิ้มสวยยิ่งกว่าใคร

"อ้ายแสงเมืองก็อย่าเกรงสิ พูดปกติเหมือนที่เราเจอกันคราแรกสิ" แสนเมืองพยักหน้ารับคำ

"วันนี้คนเยอะขวัญเดินระวังบ้างนะ ไม่เอาดีกว่าเดี๋ยวหลงไปจะลำบาก เอ่อ..อ้ายขอจับมือได้ไหม?" แสงเมืองกลั้นใจเอ่ยขอเจ้าน้อยออกไป ขณะรอฟังคำตอบจากเจ้าน้อย มือเรียวเล็กได้ยื่นออกมาตรงหน้าให้คนร่างสูงจับ ทำให้ชายหนุ่มส่งยิ้มตาหวานกลับไปให้ไม่ลดละ

"ตาของท่านมันเจ้าชู้นักท่านแสงเมือง" เจ้าน้อยเอ่ยว่าทหารหนุ่มที่บัดนี้ขยันส่งสายตาหวานเชื่อมมาให้เหลือเกิน

"กระหม่อมเปล่าเจ้าชู้นะขอรับ" อ้ายแสงเมืองรีบปฏิเสธออกมาทันควัน เพราะเกรงว่าหากไปปฏิเสธไปเจ้าน้อยก็จะเข้าใจผิด

"สายตาท่านมันฟ้อง" เจ้าน้อยว่าพลางหันหน้าหนี

"กระหม่อมไม่เคยเจ้าชู้ใส่ใครนะขอรับ สายตาของกระหม่อมถ้ามันรักมันก็บอกว่ารัก มันไม่เคยโกหกนะขอรับ" อ้ายแสงเมืองยิ่งรู้สึกเหมือนตนเองเป็นเด็กหนุ่มเริ่มรัก ที่ขยันป้อขยันแซว และยิ่งได้ใจเมื่อได้เห็นเจ้าน้อยของตนเขินอาย แก้มนวลขึ้นสีระเรื่อ

"จะไปไหนก็รีบพาไปสิอ้ายแสงเมือง" เจ้าน้อยเอ่ยขัดขึ้นมาเสียก่อนที่ตนเองจะเขินไปมากกว่านี้

"จ้าๆ" แสนเมืองรับคำแล้วจูงมือเจ้าน้อยผ่านผู้คนมากมาย หยุดดูนั่นมาบ้างนี่บ้าง มีทั้งร้านรวงของชาวบ้าน ร้านขายพลุและประทัด ร้านขายขนม ขายน้ำสมุนไพร ยิ่งดึกคนยิ่งเยอะทำให้ต้องเบียดเสียดกันมากขึ้น แสงเมืองจึงปล่อยมือเจ้าน้อย แล้วเปลี่ยนมายืนซ้อนด้านหลังโอบไหล่ไว้ หากคนอื่นคงจะคิดว่าเป็นพี่น้องกันปกติ

"อ้ายแสงเมืองว่านางนพมาศคนนั้นสวยไหม?"

"คนไหน?"

"ดูมือตามมือนี่นะ" เจ้าน้องบอกพลางใช้นิ้วมือชี้ไปที่นางนพมาศที่ยืนอยู่กลางลานประกวดข้างริมน้ำปิง ส่วนฝ่ายแสงเมืองก็มองตามมือที่ชี้ออกไป แต่ไม่เห็นว่าคนไหนเลยขยับเข้ามาใกล้อีกนิดจนกลายเป็นว่าทั้งสองยืนแนบกัน ใกล้จนรู้สึกถึงลมหายใจซึ่งกันและกัน ทำให้เจ้าน้อยที่กำลังจะบอกและชี้ให้อีกทีต้องหยุดพูดลงเพราะอีกนิดเดียวหน้าก็จะชิดกันแล้ว

"คนใส่เสื้อสีเขียวเหรอ? สู้ขวัญยังไม่ได้เลย สวยกว่าตั้งเยอะ" แสงเมืองกล่าวไปตามที่ตนเองคิด แต่กลับถูกเจ้าน้อยตีเข้าที่มืออีกข้างที่พาดอยู่บนไหล่ของเจ้าน้อยเบาๆ หลังจากนั้นเจ้าน้อยก็เดินหนีออกมาอีกทางที่คนไม่พลุกผ่านสักเท่าไหร่

"คิดจะจีบเราแบบนี้ไปถึงเมื่อไหร่อ้ายแสงเมือง เราไม่ใช่สาวน้อย จะมาหลงคำป้อยอของท่าน" แม้เจ้าน้อยจะพูดไปเช่นนั้นแต่ในใจกลับสั่นเป็นกลองสะบัดชัยเลยก็ว่าได้

"อ้ายพูดตามความจริงก็ผิดด้วยหรือ?" เจ้าน้อยสะบัดหน้าหนีคนตรงหน้า จนแสนเมืองถึงกลับหัวเราะออกมาเบาๆเสียไม่ได้  เพราะขนาดหินแข็งๆ ยังกร่อนได้ยามเมื่อโดนน้ำทุกวัน นับประสาอะไรกับใจคน แสงเมืองเมื่อคิดได้ดังนั้นจึงรีบเดินตามเจ้าน้อยไป

"ขวัญรออ้ายก่อน ......ป่ะ! เราไปลอยกระทงกันเถอะ" พูดจบแสงเมืองก็จูงมือเจ้าน้อยลงมาริมฝั่งน้ำปิงที่เขาสร้างท่าน้ำไว้สำหรับลอยกระทงโดยเฉพาะ

"ปี้บัวแก้วบอกให้เอาผมแล้วเอาใส่ลงไปในกระทงด้วย เพื่อเป็นการสะเดาะเคราะห์" เจ้าน้อยบอกอ้ายแสงเมืองตามที่ปี้บัวแก้วบอกมา

"มาเดี๋ยวอ้ายดึงออกให้" หากเป็นก่อนหน้านี้แสงเมืองคงไม่กล้าทำถึงขนาดนี้ แต่หากเวลานี้ความสุขที่มีอยู่มันทำให้ลืมคำว่าฐานันดรศักดิ์ไป คิดแค่ว่าคนตรงหน้าคือขวัญ ไม่ใช่ขวัญระมิงค์เจ้าน้อยแห่งปิงนคร

"อธิษฐานก่อน" แสงเมืองเอ่ย จากนั้นทั้งสองก็อธิษฐาน แสงเมืองอธิษฐานเสร็จแล้ว แต่เจ้าน้อยยังไม่เสร็จ ร่างสูงจึงลืมตามองไปยังร่างบางที่ดูเอาจริงเอาจังกับการขอพรจากพระแม่คงคาครั้งนี้มาก พอขอพรเสร็จเจ้าน้อยก็ยิ้มให้แสงเมืองบางๆ แล้วจึงช่วยกันเอากระทงลงแม่น้ำ จากนั้นก็ผลักให้มันไหลไปตามกระแสน้ำ

"อ้ายแสงเมืองขออะไรเหรอ?"

"ขอให้รักครั้งมีสมหวัง แม้จะจะมีอุปสรรคบ้างก็ขอให้ฟันฟ่าไปได้ แล้วขวัญล่ะขออะไร?" อ้ายแสงเมืองบอกตามที่ตนเองขอ ตามที่ใจแรารถนาให้เป็น

"ขอให้ทุกอย่างที่กำลังจะเกิดขึ้น ขอมันเป็นตามทางที่มันควรจะเป็น หากนั่นคือโชคชะตา" เจ้าเอ่ยบอกอ้ายแสงเมืองไปตามที่ตนอธิษฐาน เพราะตนเองไม่รู้ว่าวันข้างหน้าจะต้องเจออะไรบ้าง จะร้ายหรือดี แต่หากโชคชะตานำพามาให้เป็นเช่นนี้ ก็ขอให้มันเป็นไปตามทางที่มันควรจะเป็น

"อย่าคิดมากนะขอรับ กระหม่อมมิได้ปรารถนาสิ่งใด นอกเสียจากขอแค่ได้รักและขอมีเจ้าน้อยแบบนี้ตลอดไป  ไม่เคยคิดจะฉุดดึงเจ้าน้อยลงมาจากฟ้า แล้วให้มาอยู่บนดินกับกระหม่อมเลยขอรับ"  สิ้นคำพูดอ้ายแสงเมืองก็จูงมือเจ้าน้อยกลับเข้าไปในงาน


"เดินไปทางโน้นดีกว่าเนอะ ขวัญอยากกินอะไรไหม?" เจ้าน้อยพยักหน้าตอบขณะที่ตาก็มองนั่นมองนี่ มีแต่ของแปลกๆหน้าตาน่ากินทั้งนั้น

"มองเฉยแล้วมันกินได้ไหมน่ะขวัญ ป่ะไปซื้อกัน"

"แม่ค้าขนมจ๊อกนี่ขายอย่างไงครับ?" (ขนมจ๊อก คือ ขนมเทียน หรือขนมนมสาว)

"......บาทเจ้า"

"เอา 5 ห่อครับ"

"ขวัญเดี๋ยวอ้ายไปซื้อน้ำมาให้นะ ได้ขนมแล้วก็รออยู่ตรงนี้นะ เดี๋ยวอ้ายกลับมา"

"ครับ"

"โอ๊ะ!! สุมาเตอะครับ" (ขอโทษครับ) ร่างบางที่กำลังจะเดินไปรอแสงเมืองที่ใกล้ๆนี้ต้องตกใจเพราะมีคนเดินมาชนอย่างแรง

"เห้ยอะหยังวะ เดินบ่ผ่อต๋ามาต๋าเรือ หันก่อของที่ข้าซื้อมาตกหมดเลย" (เดินไม่ดูตาม้าราเรือ เห็นไหมของที่ข้าซื้อมาตกหมดเลย) ชายหนุ่มร่างใหญ่ที่เป็นคนเดินมาชนเจ้าน้อยตะโกนถามเจ้าน้อยด้วยความเสียงดังและไม่พอใจ

"เราเดินดีแล้ว แต่อ้ายต่างหากที่เดินมาชนเรา" เจ้าน้อยที่ถึงแม้จะกล่าวขอโทษไปแล้ว แต่อีกฝ่ายก็ยังไม่พอใจ แล้วยังมาหาเรื่องตนเองอีก

"อู้อย่างอี้หมายความว่าอย่างได จะบ่รับผิดชอบแม่นก่อ?" อีกฝ่ายที่มากันสามคนได้กระชากเสียงถามขึ้นมา

"เปล่า เพียงแต่เราไม่ได้ผิด จะให้เรารับผิดชอบได้ยังไง เราเดินของเราดีๆแต่อ้ายต่างหากที่มาชนเราเอง" เจ้าน้อยถึงแม้จะกลัวอยู่มาก แต่ก็ตอบออกไปเพราะตนก็ไม่ได้ผิดจริงๆ จะให้รับผิดชอบได้ยังไง

"ปากดีอย่างอี้มันต้องโดนสั่งสอนสักหน่อย มึงเขาจัดก๋านเลย" (พวกมึงจัดการมันเลย)

"ขวัญระวัง!!" อ้ายแสงเมืองที่เพิ่งมาถึงรีบตะโกนให้เจ้าน้อยหลบ เพราะอีกฝ่ายได้ชักมีดออกมาหมายจะแทงร่างบางเสียแล้ว เจ้าน้อยตกใจลื่นล้มลงใกล้ๆ  ชาวบ้าน พ่อค้าแม่ขายแถวนั้นต่างตกใจ หนีกันชุลมุน อ้ายแสงเมืองจึงรีบเตะขอมือของอีกฝ่ายออกไปจนมีดหลุดออกจากมือกระเด็ดตกไปอยู่อีกฝั่งหนึ่ง จากนั้นจึงเข้าถีบอันธพาลคนนั้นจนล้มไป แต่ก็ยังไม่จบสิ้นเพราะยังมีอีกสองคนที่กำลังเข้ามาล้อมแสงเมืองอยู่

"ป่ะขวัญหนีก่อน" การต่อสู้ผ่านมาสักครู่ แสงเมืองก็ต้องรีบพาเจ้าน้อยฝ่าออกมา เพราะแสงเมืองรู้สึกว่ามันแปลกๆ เหมือนคุ้นหน้าชายสามคนนี้ อีกทั้งทั้งสามคนยังมีฝีมือในการต่อสู้พอสมควร ถ้าเป็นชาวบ้านธรรมดาก็คงจะไม่รู้จักการต่อสู้ได้ถึงขนาดนี้ แสงเมืองยังอดแปลกใจไม่หาย

"หลบตรงนี้ก่อนขอรับเจ้าน้อย" แสงเมืองพาเจ้าน้อยมาหลบอยู่หลังพุ่มไม้ไม่ไกลจากที่นั่นสักเท่าไหร่ ทั้งสองหอบเสียงดังเพราะค่อนข้างเหนื่อยจากการวิ่ง

"มันหายไปตางไดวะ? ล่นเวยอย่างกับลิง" (มันหายไปทางไหนวะ? วิ่งเร็วอย่างกับลิง) ฝ่ายอันธพาลสามคนได้วิ่งตามเจ้าน้อยและแสงเมืองมาติดๆ ถามขึ้นเพราะบัดนี้พวกมันตามหาทั้งสองไม่เจอ

"ไอ้ง่าว ฮาก่อล่นตวยคิงมาติดๆ คิงบ่ฮู้แล้วฮาจะฮู้ก่อ?" (ไอ้โง่ กูก็วิ่งตามมึงมาติดๆ  มึงไม่รู้แล้วกูจะรู้ไหม?) ยิ่งพวกมันเดินใกล้เข้ามามากขึ้นทีไร ร่างบางก็ยิ่งใจเต้นแรงเพราะความกลัว เป็นครั้งแรกที่เจ้าน้อยต้องเผชิญสถานการณ์แบบนี้ ฝ่ายแสงเมืองเห็นดังนั้นจึงดึงร่างมามากอดปลอบและโอบหลังไว้ไม่ห่าง

"แยกกันออกตวยหามันลอ ถ้าฆ่ามันบ่ได้ เฮาก่อปิกไปบ่ได้ เจ้าน้อยตั๋วน้อยเดียวคงไปบ่ได้ไกล" ทั้งสองยิ่งตกใจเข้าไปใหญ่เมื่ออันธพาลสามคนนั้นรู้ว่าเขาเป็นเจ้าน้อย ร่างบางกลัวจนตัวสั่น กลัวไปต่างๆนาๆ แสนเมืองจึงโอบร่างบางของเจ้าน้อยให้ซุกอยู่กับอกของตนให้มากขึ้นไปอีก

"แต่มันยังดวงแข็ง มีคนมาจ่วยมันไว้ได้ตัน บ่อั้นเฮาก่อฆ่ามันได้ต๋ามคำสั่งล่ะก่า ป่ะแยกย้ายกั๋นหา" (แต่มันยังดวงแข็ง มีคนมาช่วยมันไว้ได้ทัน ไม่งั้นคงฆ่ามันได้ตามคำสั่งแล้ว ป่ะแยกย้ายกันหา) เจ้าน้อยที่ได้ยินดังนั้นถึงกับตกใจที่มีคนหมายจะฆ่าตนเอง ร่างบางจึงร้องไห้ออกมาเบาๆ

"อย่ากลัวไปเลยขอรับ กระหม่อมจะปกป้องเจ้าน้อยเอง เชื่อกระหม่อมนะขอรับ อย่าร้องนะขอรับ ชู่ว!! เงียบนะขอรับ" เจ้าน้อยพยักหน้าตอบแต่ก็ยังเป็นกังวลไม่หาย กลั้นสะอึกเบาๆในอ้อมอกของแสนเมือง

"หลับตาสักครู่นะขอรับ กระหม่อมรับรองว่าถ้าเจ้าน้อยลืมตามาแล้ว เจ้าน้อยจะพบกับฝันดีเหมือนเช่นเดิมขอรับ" แสงเมืองพูดปลอบใจร่างบาง

"เห้ย!! ฟื๊บ!!" เสียงของอันธพาลคนหนึ่งที่เปล่งออกมาได้ไม่ทันไร ก็ถูกแสงเมืองจัดการใช้สองมือใหญ่หักคอจนล้มลงไป เจ้าน้อยได้ยินเสียงอะไรสักอย่างล้มลงตรงหน้าตนจึงตกใจ

"หลับตาก่อนนะขอรับ อย่าลืมตา" แสงเมืองกำชับเจ้าน้อยอีกครั้งเพราะกลัวร่างบางจะตกใจจนลืมตาขึ้นมามอง แต่ก็ยังไม่พ้น เพราะเสียงเมื่อครู่ทำให้อีกสองคนที่เหลือตามมา แสงเมืองจึงต้องรีบจัดการพวกมันให้เสร็จ มิเช่นนั้นร่างบางตรงหน้าคงต้องขวัญเสียไปมากกว่านี้แน่ๆ

"เสร็จไปอีกหนึ่ง พวกเมิงกล้ามาทำแบบนี้กับคนที่กูรัก อย่าอยู่เลย!!" แสงเมืองหอบหายใจด้วยความเหนื่อย พูดออกมาด้วยเสียงเหี้ยม จนทำให้ร่างบางตกใจอีกครา แต่ก็ยังหลับตาตามที่แสงเมืองบอกอยู่ ฝ่ายอันธพาลที่เหลืออีกคนเห็นเพื่อนของมันตายอยู่ตรงหน้า จึงรีบเผ่นหนีไปก่อนที่จะถูกแสงเมืองจัดการอีกคน

"ตอนนี้เจ้าน้อยปลอดภัยแล้วนะขอรับ อย่าเพิ่งลืมตานะขอรับ ก้าวตามกระหม่อมมา" เจ้าน้อยก้าวตามแสงเมืองมาจากตรงจุดนั้น มือทั้งสองข้างที่สั่นๆกุมมือของแสงเมืองที่ปิดตาตนเองไว้แน่น

"ลืมตาได้แล้วขอรับ" เจ้าน้อยค่อยๆลืมตา พอไม่เห็นอันธพาลทั้งสามแล้วจึงกระโดดกอดแสงเมืองแล้วร้องไห้ออกมาอีกคราด้วยความโล่งใจ ฝ่ายแสงเมืองจึงกอดปลอบด้วยความรู้สึกดีใจที่ตนเองสามารถปกป้องคนสำคัญตรงหน้านี้ได้สำเร็จ ไม่มีแม้แต่รอยขีดข่วนแม้แต่ปลายก้อย กว่าเจ้าน้อยจะหยุดร้องไห้ก็ต้องใช้เวลาอยู่ในอ้อมกอดร่างสูงอีกนานพอสมควร พอรู้สึกตัวก็อีกทีก็ผละออกมาแทบไม่ทัน ใบหน้าที่มอมแมมไปด้วยคราบน้ำตาบัดนี้กลายเป็นสีแดงระเรื่อ เพราะเพิ่งนึกขึ้นได้ว่าตนเองเป็นฝ่ายกระโดดเข้าไปกอดอีกฝ่ายเองแถมยังร้องไห้เสียยกใหญ่น้ำหูน้ำตาเต็มอกเสื้อร่างสูงตรงหน้าไปหมดเลย

"ขะ..ขอบคุณท่านมากท่านแสงเมือง เราเป็นหนี้ชีวิตท่านจริงๆ"

"อย่าทรงพูดอย่างนั้นเลยขอรับ มันคือหน้าของกระหม่อมอยู่แล้วที่ต้องปกป้องหัวใจของตนเอง" แสงเมืองเอื้อมมือไปเช็ดน้ำตาที่เปรอะแก้มของร่างบางอีกครั้ง สายตาของแสงเมืองตอนนี้จ้องมองมายังใบหน้าขาวอย่างไม่ลดละ ร่างบางเองก็เช่นกันได้มองทุกการกระทำของแสงเมือง จนใบหน้าคมเข้มคร้ามแดดก้มลงมาจนเกือบจะชิดกัน

"หลับตานะขอรับ" แสงเมืองกระซิบบอกเจ้าน้อยเบาๆ จากนั้นจึงก้มลงจูบเบาๆที่ริมฝีปากบาง ทีแรกร่างสูงจะไม่ส่งลิ้นเข้าไปเพราะกลัวร่างบางจะตกใจ แต่จนแล้วจนรอดก็อดไม่ไหว ต้องค่อยๆส่งลิ้นออกไปเลียเบาที่ปากบางเบาๆ จากนั้นจึงค่อยๆสอดปลายลิ้นเข้าไปทีละนิด ฝ่ายเจ้าน้อยอาจตกใจในคราแรกแต่พอแสงเมืองนำพาไปพบความรู้สึกใหม่ที่อ่อนโยนและหอมหวาน จึงค่อยๆเผยอปากรับทีละนิดอย่างเผลอไผล ร่างสูงที่ตอนนี้ค่อยๆจูบร่างบางอย่างถนุถนอม เปลี่ยนมาเป็นหนักหน่วงบ้างสลับกันไป เพราะกลัวร่างบางตรงหน้าจะหายใจไม่ทัน นานนับหลายนาทีจึงหยุดลงแล้วเลื่อนมาหอมแก้มร่างบางอีกที

"หวานมากขอรับ" เจ้าน้อยได้ยินดังนั้นจึงได้แต่ก้มหน้าเขินอาย ไม่คิดว่าตนเองจะกล้าจูบกับผู้ชาย
จากนั้นแสงเมืองจึงจูงมือเจ้าน้อยออกมา

"กลับกันเถิดขอรับ เดี๋ยวปี้บัวแก้วจะเป็นห่วง ดึกแล้วด้วย" มือของร่างสูงได้กุมมือร่างบางมาจนเกือบถึงทางเข้าคุ้มหลวง ระหว่างทางแม้ไม่มีคำพูดใดๆ ออกมาจากทั้งสองคน แต่ก็มีอยู่สิ่งหนึ่งที่บัดนี้ได้เต้นแรงและรู้สึกเต็มตื้นในหัวใจราวกับบอกว่า ทั้งสองได้ก้าวข้ามผ่านเส้นกั้นที่เรียกว่าประเพณีไปเสียแล้ว












ออฟไลน์ warin

  • รถไฟขบวนนั้น ได้แล่นผ่านไปแล้ว
  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1938
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +60/-1
    • -

ออฟไลน์ ApolloS

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 91
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +28/-0
ตอนที่ 8

"เจ้าน้อยเจ้า ตื่นรึยัง ก๊อกๆๆ เจ้าน้อย ปี้บัวแก้วขอเข้าไปเน้อ" บัวแก้วเคาะประตูเอ่ยเรียกเจ้าน้อย เพราะเห็นว่าตอนนี้ก็สายมากแล้ว แต่เจ้าน้อยก็ยังมิทรงไม่ตื่นบรรทมสักที หากเป็นปกติก็คงตื่นแต่เช้าตรู่แล้ว ทำให้พี่เลี้ยงคนสนิทอดสงสัยไม่ได้

"เจ้าน้อยบ่ตื่นเตื่อกาเจ้า ขวายละนา" (เจ้าน้อยยังไม่ตื่นเหรอเจ้า สายแล้วนะ) บัวแก้วเอ่ยถามอยู่ข้างๆเตียง แต่ก็ยังไม่มีทีท่าว่าเจ้าน้อยจะตื่น จึงเข้าไปเขย่าแขนเจ้าน้อยดู

"ว้ายเจ้าน้อยตั๋วหยังมาฮ้อนเป๋นไฟจะอี้ ตื่นก่อนเจ้าเดียวปี้เอาผ้ามาเช็ดตั๋วหื้อ แล้วค่อยกิ๋นข้าวกิ๋นยา" (ว้าย!!เจ้าน้อยทำไมถึงตัวร้อนเป็นไฟอย่างนี้ ตื่นก่อนนะเจ้าเดี๋ยวพี่เอาผ้ามาเช็ดตัวให้ แล้วค่อยทานข้าวทานยา) บัวแก้วรีบกระวีกระวาดออกไปเอากะละมังเงินใบเล็กๆ ใส่น้ำพร้อมผ้าเพื่อจะเอามาเช็ดตัวเจ้าน้อย

"บัวคำไปแป๋งข้าวต้มอุ่นๆไว้หื้อเจ้าน้อยตวย แล้วก่อเอาฟ้าทะลายโจรต้มเข้าไปหื้อเจ้าน้อยตี้ห้องบรรทมตวยเน้อ"

"เจ้าน้อยเป๋นหยังปี้บัวแก้ว?"

"เจ้าน้อยบ่สบายเป๋นไข้ ตั๋วฮ้อนอย่างไฟ เดียวปี้จะเอาผ้าไปเช็ดตั๋วหื้อเจ้าน้อยก่อนเน้อ ตั๋วก่อขะใจ๋เอาข้าวกับยาเข้ามาหื้อเจ้าน้อยตวย" (เจ้าน้อยไม่สบายเป็นไข้ ตัวร้อนอย่างกับไฟเดี๋ยวพี่จะเอาผ้าไปเช็ดตัวให้เจ้าน้อยก่อน เองก็รีบเอาข้าวกับยามาให้เจ้าน้อยด้วยนะ)

"เจ้าน้อยเจ้า ตื่นก่อนเดียวปี้จะเช็ดตัวจะได้สร่างไข้" เจ้าน้อยลืมตาขึ้นมองพี่เลี้ยงคนสนิท แล้วก็ยกแขนขึ้นให้พี่เลี้ยงถอดเสื้อได้สะดวกขึ้น ใบหน้าขาวนวล ตอนนี้หน้าแดงเพราะพิษไข้ ปากบางแห้งซีด

"ข้าวต้มกับยามาแล้วเจ้า"

"มาก่อดีละบัวคำมาช่วยใส่เสื้อหื้อเจ้าน้อยกำลอ" บัวแก้วเอ่ยเรียกบัวคำมาช่วยใส่เสื้อให้เจ้าน้อย เพราะตนเองใส่คนเดียวคงจะไม่ไหว

"เจ้าน้อยกิ๋นข้าวต้มนาเจ้า จะได้กิ๋นยา หื้อปี้ป้อนก่อเจ้า?"

"ไม่ต้องครับปี้บัวแก้ว เดี๋ยวเราทานเองได้ พี่บัวแก้วช่วยพยุงเรานั่งก็พอ" เจ้าน้อยที่ลุกนั่งขึ้นได้แล้วก็ตักข้าวต้มทาน แต่ก็นิ่วหน้าเพราะขมปากด้วยพิษไข้ แต่ก็ทนตักอีก 4-5 คำ เพราะต้องทานยา

"กิ๋นแหมสักคำ สองคำบ่เจ้าน้อย กิ๋นน้อยเดียวเดียวบ่หายนาเจ้า" พระพี่เลี้ยงเอ่ยบอกเจ้าน้อยด้วยความเป็นห่วง

"เราทานไม่ไหวแล้วปี้บัวแก้ว มันขมปากขมคอ ทานไม่ลง" เจ้าน้อยนิ่วหน้าบอกพี่เลี้ยงคนสนิท

"ได้เจ้า อั้นก่อกิ๋นยาเนาะ จะได้หายเร็วๆ" พอได้ยินคำว่ายา เจ้าน้อยก็เบ้ปากเพราะไม่ชอบกินยาสักเท่าไหร่ หนำซ้ำฟ้าทลายโจรนี่ก็ขมเสียเหลือเกิน

"ฝืนใจ๋กิ๋นหน่อยนะเจ้า ยามันก่อต้องขมถ้าบ่ขมก่อบ่หาย" เจ้าน้อยหยิบยาในถาดที่นางกำนันเตรียมมาให้แล้วรีบดื่มมันลงไป จากนั้นก็ตามด้วยน้ำเปล่า แม้ว่าจะดื่มตามด้วยน้ำเปล่าเพื่อล้างปากแล้วแต่มันก็ยังมีรสขมติดอยู่ในปากอยู่ดี


"เจ้าน้อยเป๋นคนกิ๋นยายากมาตั้งแต่น้อย ใหญ่แล้วก่อยังกิ๋นยายากเหมือนเก่าเนอะเจ้า" บัวแก้วนึกถึงตอนเจ้าน้อยยังเป็นเด็กกว่าจะกล่อมให้ทานยาได้แต่ละครั้ง ต้องยกอุบายมาหลอกต่างๆนาๆกว่าจะยอมทาน

"อั้นก่อนอนพักผ่อนเนาะเจ้า เดียวปี้เข้ามาดูใหม่ พักผ่อนนักๆจะได้หายเวยๆ"


"เจ้าน้อยขอรับ เป็นไงบ้างขอรับ?" วันนี้ทั้งวันแสงเมืองไม่เห็นหน้าร่างบางเวลา ชะเง้อคอยหาแต่ก็ไม่เห็นสักที จนได้ยินนางกำนันพูดกันว่าเจ้าน้อยไม่สบาย แสงเมืองก็ยิ่งเป็นห่วงร่างบาง จนในที่สุดทนไม่ไหวจึงแอบมาหาเจ้าน้อยถึงในห้องบรรทม

"ท่านแสงเมืองท่านเข้ามาได้อย่างไร? ไม่กลัวถูกทหารจับได้แล้วโยนออกไปหรือ?" เจ้าน้อยลืมตาขึ้นมาเห็นว่าเป็นแสงเมืองจึงรีบถามเพราะเกรงว่าจะถูกจับได้

"ไม่กลัวขอรับ กระหม่อมคิดถึง เป็นห่วงเจ้าน้อย"

"เราไม่ได้เป็นอะไรมาก แค่เมื่อคืนตากน้ำค้างนิดหน่อย กลับมาก็แช่น้ำนานไปหน่อยเลยเป็นไข้"  เจ้าน้อยหวนคิด เมื่อคืนหลังจากกลับมาถึงคุ้ม ตนก็บอกปี้บัวแก้วให้เข้านอนได้เลย จากนั้นตนเองก็อาบน้ำอยู่นาน มัวแต่คิดถึงเหตุการณ์ทั้งร้ายและดีปะปนกันไปมาในสมองอยู่ตลอด เฝ้าคิดว่าใครกันนะที่หมายปองเอาชีวิตตนเอง แต่ก็ยังคิดไม่ออกเพราะตลอดชีวิตที่ผ่านมา ตนเองไม่เคยคิดร้ายต่อใครเลยแม้แต่ครั้งเดียว แต่อีกห้วงหนึ่งของความคิดกลับมีแต่ความหวานละมุนอบอุ่นอยู่ในหัวใจ เพราะใครอีกคนที่ช่วยชีวิตตนเองไว้ เจ้าน้อยทอดถอนหายใจออกมา แล้วจึงได้ออกมาแต่งตัวเข้านอน คงเป็นเพราะอาบน้ำนานกระมังถึงทำให้เป็นไข้

"ขอกระหม่อมขอจับดูได้ไหมขอรับว่าตัวร้อนอยู่รึเปล่า?"

"อื้อ"

"ตัวยังร้อนอยู่นะขอรับ เจ้าน้อยต้องรักษาพระองค์ให้ดีนะขอรับ กระหม่อมเป็นห่วง" แสงเมืองกล่าวไปเพราะใจที่สุดแสนเป็นห่วงคนตรงหน้า แค่อาบน้ำดึกนิดเดียวก็ไม่สบายแล้ว ฝ่ายร่างบางได้แต่พยักหน้ารับคำ

"นอนนะขอรับ เดี๋ยวกระหม่อมจะเฝ้าจนกว่าเจ้าน้อยจะหลับ ไว้พรุ่งนี้กระหม่อมจะมาเยี่ยมเจ้าน้อยใหม่"


>>>>>>>>>>>>

"ผ่านมาสองสามวันแล้ว เจ้าน้อยยังบ่หายสักเตื่อ เดียวไข้ก่อขึ้น เดียวไข้ก็ลด ปี้ว่าท่าจะบ่ดีละก้าหา" บัวแก้วพูดเปรยกับบัวคำนางกำนันในคุ้มเพราะอาการเจ้าน้อยยังไม่ค่อยดีขึ้นสักเท่าไหร่ อาจเป็นเพราะเจ้าน้อยทานข้าวน้อย แล้วก็ทานยาทีไรก็อาเจียนออกมาทุกที

"เปิ้นว่าลองไปถามโหรหลวงผ่อบ่ปี้บัวแก้ว? เผื่อเจ้าน้อยไปเยี๊ยะขวัญตกไว้ตี้ใดบ่ฮู้" (ลองไปถามโหรหลวงดีไหมพี่บัวแก้วเผื่อเจ้าน้อยทำขวัญตกไว้ที่ไหนไม่รู้) บัวคำพูดขึ้นมา เพราะทางล้านนามักจะมีความเชื่อเรื่องภูติผี ไสยศาสตร์อยู่พอสมควร เชื่อกันว่าบางทีอาการเจ็บไข้ได้ป่วยที่เกิดขึ้น อาจจะเกิดจากภูติผี หรือสัมภเวสีก็เป็นไปได้ ส่วนขวัญคือจิตที่สามารถแบ่งแยกออกเป็น 32 จิต และเมื่อตกใจก็อาจทำให้จิตของตนหล่นหายไปได้ บางครั้งจึงต้องมีการเรียกขวัญกลับมาเมื่อตกใจ เช่น ขวัญเอ่ยขวัญมา ขวัญหรือจิตนี้เมื่อตายแล้วมาสามารถไปเกิดได้เป็น 32 ที่หรือ 32 คน

"เอ่อแต๊ ตั๋วลองไปถามผ่อลอบัวคำ หื้อท่านโหรหลวงเปิ้นมาดูเจ้าน้อยกำลอ" (เอ่อจริง ลองไปถามดูหน่อยสิบัวคำ ให้ท่านโหรหลวงเค้ามาดูเจ้าน้อยหน่อย)

"ได้เจ้า" บัวคำรีบเดินออกไปตามโหรหลวงมาดูอาการเจ้าน้อยทันทีหลังจากตกลงกับพระพี่เลี้ยงคนสนิทของเจ้าน้อยแล้ว

"มาแล้วเจ้าปี้บัวแก้ว ท่านโหรหลวงมาแล้ว"

"ท่านโหรหลวงเจ้า เจ้าน้อยบ่สบายมาได้สองสามวันแล้ว กิ๋นยาเท่าใดก่อยังบ่หายสักเตื่อ ร่างกายก่อบ่แข็งแรงมาตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว ท่านโหรช่วยดูหื้อกำลอเจ้า"

"เจ้าน้อยเกิดวันอะหยัง วันที่อะหยัง เดือนอะหยัง ปีหยังบอกว่าหื้อครบลอ?" โหรหลวงที่มาใหม่ไตร่ถามวันเดือนปีเกิดเจ้าน้อยจากพระพี่เลี้ยงคนสนิทเพื่อใช้ในการทำนาย พร้อมใช้ดินสอขีดๆเขียนๆอะไรสักอย่างลงบนแผ่นกระดานดำ หลังจากบัวแก้วบอกวันเดือนปีเกิดเจ้าน้อยไป


"ดวงชะตาเจ้าน้อยเราได้บอกกับเจ้าแมนสรวงไปตั้งแต่เจ้าน้อยประสูติแล้วว่า ดวงชะตาอาภัพพระมารดา ครั้นเติบใหญ่จะพาลพบเรื่องราวร้ายๆ อันเกิดจากความริษยาและราชบัลลังก์ แต่ในความโชคร้ายก็มีโชคดี  จะทำให้พาลพบคู่บุญแต่ก่อนเก่าที่คอยช่วยเหลือเกื้อกูล อื้ม..ดวงเจ้าน้อยประหลาดนัก เราขอบอกกับเจ้าน้อยเองได้ไหม ?" ท่านโหรหลวงลูบหนวดยาวๆของตัวเองไปมาพร้อมคุ่นคิดอะไรอย่างอยู่สักพัก ก่อนเอ่ยถามพระพี่เลี้ยง

"ได้เจ้า เดียวข้าเจ้าไปเรียนเจ้าน้อยหื้อเจ้า เผื่อว่าเจ้าน้อยจะทรงบรรทมอยู่"

"เจ้าน้อยเจ้า ท่านโหรหลวงมาขอเข้าเฝ้าเจ้า"

"ท่านโหรหลวงมาขอพบเราด้วยเหตุอันใดกัน?" เจ้าน้อยที่ยังมิทรงหายประชวรไตร่ถามด้วยเสียงแหบแห้ง

"คือปี้กับบัวคำหันว่าเจ้าน้อยบ่สบายหลายวัน บ่หายสักที ปี้กลัวว่าผีมันจะเยี๊ยะหื้อ เลยหื้อท่านโหรหลวงมารักษาหื้อเจ้า แล้วเปิ้นบอกว่าขอบอกกับเจ้าน้อยเอง" (พี่กับบัวคำเห็นว่าเจ้าน้อยไม่สบายอยู่หลายวัน ไม่หายสักที พี่กลัวว่าผีมันจะทำร้ายเจ้าน้อย เลยให้ท่านโหรหลวงมารักษาให้เจ้าน้อยเจ้าแล้วท่านโหรหลวงก็บอกว่าอยากเรียนกับเจ้าน้อยเองเจ้า)

"เราเป็นไข้หวัดเองปี้บัวแก้ว ไม่กี่วันก็หาย ไม่เห็นต้องไห้ท่านโหรหลวงมาดูเลย"

"หื้อเข้ามาดูสักหน่อยนะเจ้า ปี้เป๋นห่วงแต๊ๆ นะเจ้าเจ้าน้อย" (ให้ท่านโหรหลวงมาดูสักนิดนะเจ้า พี่เป็นหางจริงๆ)

"ตกลงครับ งั้นให้ท่านโหรเข้ามาก็ได้ครับ"

"ไม่ต้องมากพิธีหรอกท่านโหรหลวงมีอันใดก็ว่ามาเถิด"

"เรียนเจ้าน้อย ก่อนกระหม่อมบอกสิ่งเหล่านี้ให้กับเจ้าน้อย กระหม่อมขอถามวันเวลาตกฟากของเจ้าน้อยเพื่อความแน่ชัดก่อนได้ไหมขอรับ?" หลังจากนั้นโหรหลวงก็ลบสิ่งที่เขียนลงบนกระดานนั้นใหม่หมด แล้วจึงไตรถามเจ้าน้อยเพื่อความแน่ชัดอีกครั้ง

"ได้สิ เราเกิดวันจันทร์ ที่ 22 เดือนอ้าย ปีมะเส็ง" หลังจากนั้นท่านโหรหลวงจึงได้ขีดๆเขียนๆลงบนแผ่นกระดานดำนั้นอีกครั้ง แต่ก็ต้องขมวดคิ้วไปกว่าเดิม

"เจ้าน้อยจะให้พระพี่เลี้ยงอยู่ฟังด้วยหรือขอรับ? เพราะเรื่องนี้อาจฟังดูแปลกประหลาด" ท่านโหรหลวงเอ่ยถามเจ้าน้อย

"เราไม่มีอะไรปิดบังพี่บัวแก้วหรอกท่านโหรหลวง ว่าอย่างใดท่านบอกมาได้เลย" เจ้าน้อยที่เห็นท่านโหรหลวงขมวดคิ้วจนเป็นปมแล้วยิ่งทำให้ใคร่รู้ยิ่งนัก

"ดวงชะตาเจ้าน้อยช่วงนี้จะเจอแต่เรื่องร้าย ๆ ต้องตกระกำลำบาก พลัดพรากจากที่อยู่ แต่ยังดีที่มีคู่บุญมาคอยหนุนนำช่วยเหลือ แต่ดวงชะตานำพาแสนแปลก คู่บุญของนั้นหนาเป็นเพศเดียวกันขอรับ" เจ้าน้อยแปลกใจอยู่เหมือนกันที่ท่านโหรหลวงบอก เพราะตนเองเพิ่งเจอเรื่องราวร้ายๆมาไม่กี่วันนี้เอง แต่ที่แปลกใจที่สุดคงเป็นเรื่องคู่บุญของตนเป็นบุรุษเพศ

"บ่ใช่แล้วก้าท่านโหรหลวง ดูใหม่ได้ก่อเจ้า?" บัวแก้วถามออกไปด้วยความเป็นห่วง คิดว่ามันอาจมีอะไรผิดพลาดสักอย่างเกิดขึ้นก็ได้

"เราดูมาสองครั้งแล้วพระพี่เลี้ยง แล้วมันก็เป็นดังเช่นเดิม เราก็ตกใจอยู่พอสมควร แต่หากมันคือดวงชะตาเจ้าน้อยก็คงมิสามารถหลีกเลี่ยงมันได้หรอก"
   
"แล้วมีทางช่วยผ่อนหนักหื้อเป็นเบาก่อเจ้า?"

"ให้ทำสะตวงแล้วเอาไปไว้ที่ทางสามแพร่ง เดี๋ยวเราจะทำให้เจ้าน้อยเอง แม่บัวแก้วไม่ต้องเป็นห่วง" สะตวงคือเครื่องทำพิธีทางไสยศาสตร์ ทำกาบกล้วยมาหักเป็นรูปสี่เหลี่ยมจัตุรัส ใช้ไม้เสียบด้านบนด้านล่าง แล้วใช้ใบตองปูรองพื้น นำข้าวกับพริก เกลือ วางไว้ตามมุมทั้ง ๔ ของสะตวง บางทีก็ใช้ดินเหนียวปั้นเป็นรูปคนใส่ไปในสะตวงด้วย แล้วนำสะตวงวางไว้ที่ปลายเท้าของผู้ป่วย นำมีดวนไปวนมาที่ผู้ป่วย แล้วกล่าวคำเกี่ยวกับการส่งข้าวให้ผี จากนั้น ก็นำสะตวงดังกล่าวไปวางไว้ตามทางแยกหรือตามทิศที่ผู้ทำนายแนะนำไว้

"แล้วต้องเตรียมอะหยังพ่องเจ้า?"

"เตรียมกาบกล้วย ไม้ไผ่ที่ทำเป็นไม้เสียบฐาน ข้าว พริก เกลือ หมาก พลู เมี่ยง อาหารคาว หวานอย่างละนิดหน่อย กล้วย อ้อย เทียน ......"

"ขอบคุณเจ้าท่านโหรหลวง เดียวข้าเจ้าจะไปเตรียมแล้วหื้อบัวคำเอาไปหื้อที่บ้านเน้อเจ้า"

"เจ้าน้อยอย่าเพิ่งกังวลเรื่องที่มันยังไม่เกิดขึ้นเลยนะขอรับ ปล่อยมันไปตามทางของมัน แม้บางครั้งมันหนักหนา ก็ขอให้เจ้าน้อยจงอดทนไว้นะขอรับ ปลายทางของมันจะทำให้เจ้าน้อยมีความสุขแต่ก็อาจจะพบกับความทุกข์ ทั้งหมดนี้ขึ้นอยู่กับสิ่งที่เจ้าน้อยเลือก เมื่อถึงทางแยกเจ้าน้อยอาจจะต้องเลือก แม้นว่ามันจะเป็นทางที่ไม่เหมือนผู้อื่น และมากด้วยขวากหนาม กระหม่อมขอให้เจ้าน้อยทรงมีสติ คิดและไตร่ตรองให้ดีนะขอรับ จำคำกระหม่อมไว้นะขอรับ"

"ปี้บัวแก้วไปส่งท่านโหรหลวงด้วยนะครับ เดี๋ยวเราจะนอนต่อสักหน่อย ค่อยมาปลุกตอนเย็นนะ"

"เดียวปี้ไปส่งท่านโหรหลวงหื้อเจ้า แต่เจ้าน้อยบ่ดีนอนจนถึงค่ำมาเจ้า เปื้นว่าบ่ดี ตะวันจะตกมาทับ จนเจ็บไข้ได้ป่วย เดียวจะบ่หายกันไปกั๋นใหญ่"
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 22-12-2014 16:49:56 โดย ApolloS »

ออฟไลน์ ApolloS

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 91
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +28/-0
ตอนที่ 9

"กะรับ ๆ ๆ" เสียงม้าวิ่งผ่านป่า ลัดเลาะจนมาถึงหน้าผาแห่งหนึ่ง ทั้งสองคนกระโดดลงจากหลังม้าอย่างรวดเร็ว จับมือกันอย่างเหนียวแน่น คล้ายกับว่าไม่อยากให้ใครพรากคนตรงหน้านี้ไป แม้ว่าเบื้องหลังจะมีเพียงหน้าผาอันสูงชัน ทั้งสองสบตากันด้วยความจำนนต่อฟ้าดิน จำนนต่อโชคชะตา

"เจ้าน้อยขอรับ ชาตินี้กระหม่อมคงทำบุญมาด้วยกันแค่นี้ หากชาติหน้ามีจริง กระหม่อมขอเกิดมาเป็นคู่รักกับเจ้าน้อย เราสองจะได้อยู่ด้วยกันไปตลอด ขออย่าได้มีอุปสรรคใดๆมาขวางกั้นความรักสองเราอีกเลยนะขอรับ"

"ฟ้าดินเป็นพยานหากชาตินี้นั้นไซร้  ไม่ได้เกิดมาครองคู่กัน ก็จะขอตายตกตามกันไปยังชาติหน้า ขอให้ฟ้าดินจงเห็นใจเราสอง ให้ได้ครองคู่อย่างชู้ชื่น อย่าได้ขมขื่นเพราะรักถูกขัดขวางอีกเลย" เจ้าน้อยกล่าวออกมาทั้งน้ำตาที่รินไหล สุดขมขื่น สุดระทม

"กระหม่อมต่ำต้อยนัก แต่กระหม่อมก็อยากจะขอรักเจ้าน้อยแบบนี้ตลอดไป จะกี่ร้อยชาติ พันชาติ กระหม่อมก็จะขอเกิดมาเพื่อนรักเจ้าน้อย รอที่เราจะได้อยู่ด้วยกันอีกครั้งนะขอรับ กระหม่อมขอสัญญาว่าจะขอรักและรอเจ้าน้อยคนเดียว รอกระหม่อมด้วยนะขอรับ" แสงเมืองพูดพลางจูบซับน้ำตาเจ้าน้อยเอาไว้ ตระกองกอดเจ้าน้อยเอาไว้จนได้ยินเสียงม้าควบตามมา

"เราก็รักท่านนะ อ้ายแสงเมือง อึ๊กๆ เราก็ขอสัญญา..ฮึก...แม้นว่าจะกี่ร้อยปี หมื่นปี โกฏิปี ฮึกๆ..หรืออสงไขยปี เราก็จะขอรักท่าน รอท่านแต่เพียงผู้เดียว" เจ้าน้อยแกะผ้ามัดเอวออกมามัดข้อมือของตนเองและแสงเมืองเอาไว้อย่างแน่นหนา

"ขอให้ผ้าผืนนี้เป็นดังสายใยที่คอยผูกมัดเราสอง ขอให้เป็นดั่งพันธนาการที่ผูกมัดสองดวงใจไว้ด้วยกัน อย่าได้มีสิ่งใดมาพรากเราออกจากกันอีกเลย" คำพูดที่บัดนี้แทบจะไม่เป็นคำ มีแต่เสียงสะอื้น แต่กระนั้นก็ยังสามารถเข้าใจได้ว่าเจ้าน้อยตัดสินใจทำเช่นใด

"กะรับๆ ๆ" เสียงม้าของทหารในคุ้มหลวงกำลังตามมาใกล้จะถึงแล้ว

======================

"ไม่ ไม่นะ ไม่ หื้อๆๆ ๆๆ เหือก!!" เด็กหนุ่มตื่นขึ้นมาจากฝันร้ายอันแสนเศร้า แสนทรมานด้วยใจที่ปวดร้าว เสียงร้องไห้สะอึกสะอื้น คล้ายกับว่าจะสิ้นใจ ต้องใช้เวลาครู่ใหญ่กว่าจะหยุดลงได้

"มะยมลูก เป็นยังไงบ้าง? โอ๋ๆ หลานยาย อย่าร้อง นิ่งซะนะ" ยายช้อยปลอบหลานชายด้วยใจอาดูร เพราะมีกันอยู่แค่สองยายหลาน พ่อแม่ของมะยมหลานรักก็ตายจากไปด้วยอุบัติเหตุต้องแต่ยังเด็ก

"ยายจ๋ามะยมฝันถึงพวกเค้าอีกแล้ว มันทรมานมากครับยาย ฮึกๆๆ ในฝันมีแต่ภาพลางๆ ไม่รู้ว่าเป็นใคร ฮึก... แต่ทำไมมะยมถึงได้รู้สึกดีกับพวกเค้าเหลือเกิน ฮึกๆ..รู้สึกเสียใจไปกับพวกเค้าด้วย" มะยมฝันถึงภาพเหตุการณ์เหล่านั้นตั้งแต่จบมอปลาย ก้าวเข้าสู่มหาลัยมา แม้ตอนนี้จะชินไปบ้างแล้ว แม้บ้างคืนจะไม่ฝันถึงแล้ว แต่บางคืนก็กลับฝันถึงสองคนนี้ซ้ำแล้วซ้ำอีก เด็กหนุ่มก็ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไมถึงฝันเห็นแต่ภาพเหตุการณ์เหล่านี้อยู่ตลอด

"หลับซะนะมะยมหลานรักของยาย ยายอยู่นี่แล้ว อยู่ข้างหนู"

"ขอบคุณครับยาย มะยมรักยายนะ" เด็กหนุ่มกอดยายผู้เป็นที่พึ่งสุดท้ายที่ตนมี

"ยายก็รักหนูนะ ลองไหว้พระก่อนนอนดูไหม เผื่อจะทำให้รู้สึกดีขึ้น"

"จ๊ะยาย" ปกติมะยมเป็นคนที่ไม่ค่อยคิดอะไรมาก แต่นับจากฝันประหลาดนี้ ก็เลยทำให้เด็กหนุ่มต้องนอนฝันร้ายร้องไห้ และต้องย้ายมานอนกับผู้เป็นยาย

"หลับตาซะหลานยาย ฝันร้ายจะกลายเป็นดี พรุ่งนี้จะได้ตื่นไปใส่บาตรกับยายแต่เช้า" ผู้เป็นยายลูบหัวหลานรักด้วยความรัก


=======================

"ยายตื่นนานแล้วเหรอจ๊ะ? เดี๋ยวมะยมล้างหน้าเสร็จแล้วจะมาช่วยยายเตรียมของใส่บาตรนะจ๊ะ" มะยมเป็นเด็กน่ารัก อ่อนโยน มีน้ำใจกับคนรอบข้าง ใครเห็นก็รักและเอ็นดู ยายช้อยจึงอดเป็นห่วงไม่ได้ว่า หากไม่มีตนแล้ว หลานคนนี้จะอยู่ได้ยังไง

"ยายจ๋า งั้นมะยมพับกลีบดอกบัวนี้ให้นะจ๊ะ ช่วยกันทำจะได้เสร็จเร็วๆ" มะยมยิ้มให้ผู้เป็นยาย ปากก็พูดนั่นพูดนี่ไปเรื่อยๆ แจ้วๆ คล้ายกลับว่าไม่ได้กังวลอะไรกับฝันเมื่อคืน

"วันนี้ยายทำแกงอะไรถวายพระเหรอจ๊ะ? หอมเชียวให้ทายคงเป็น มัสมั่นไก่ใช่ไหมจ๊ะยาย?"

"ใช่จ๊ะลูก เดี๋ยวหนูเอาถุงมาใส่ให้ยายหน่อยนะลูก ยายจะไปเตรียมบัวลอยสักหน่อย"

"จ๊ะยาย แต่ละอย่างหอม แล้วก็น่าทานทั้งนั้นเลยนะจ๊ะ ยายของหนูทำกับข้าวอร่อยที่สุด" ยายช้อยทำข้าวแกงขาย เป็นร้านมุงจากเล็กๆ อยู่หน้าบ้าน ทำแบบนี้มาตั้งแต่มะยมเด็กๆแล้ว ถือว่าเป็นอาชีพที่เลี้ยงตัวเองและหลานคนนี้จนโตมาจนถึงตอนนี้ ส่วนเรื่องเรียนมะยมเป็นเด็กหัวดี เรียนเก่ง ขยัน จึงมักได้ทุนเรียนดีบ้าง กู้ยืมเงินเรียนบ้างตั้งแต่มอสี่ จนถึงมหาลัยก็ยังกู้ต่อเนื่อง จึงไม่ค่อยเดือดร้อนเรื่องเงินค่าเล่าเรียน ส่วนเงินใช้จ่ายรายวัน หรือซื้อของใช้ส่วนตัว เจ้าตัวก็จะหาเอง ด้วยการรับจ้างทำรายงานบ้าง แปลงานภาษาอังกฤษบ้างแล้วแต่สะดวก

"เสร็จแล้วจ๊ะยาย แค่นี้ก็พอแล้วมั้งจะยาย พระบ้านเราก็มีแค่ 5 รูปรวมกับสามเณรเองนิจ๊ะ"

"หนูทำเพิ่มอีกชุดหนึ่งนะลูก เห็นชาวบ้านเค้าบอกว่ามีพระธุดงค์ท่านปักกลดอยู่ในป่าท้ายวัดโน้นอีกองค์ ยายว่าจะเอาอาหารไปถวายท่านสักหน่อย หนูก็ไปด้วยกันนะลูก"

"จ๊ะยาย หนูชอบทำบุญ ถึงเราไม่รวย เราก็ให้คนที่เค้าลำบากตามที่เรามีเนอะยาย"

"ใช่จ๊ะหลานยาย เราไม่จำเป็นต้องดิ้นรนให้มันเกินกำลัง เราสามารถมีความสุขได้จากสิ่งที่เรามี พอใจในสิ่งที่เรามี แค่เดินตามพระราชดำรัสของในหลวงท่าน ตามหลักเศรษฐกิจพอเพียงแบบนี้เราก็อยู่ได้โดยไม่เดือดร้อนตนเองแล้ว"

"จ๊ะยาย ยายของหนูเก่งที่สุดเลยจ๊ะ น่ารักที่สุด ฟ๊อด" มะยมกอดและหอมยายแบบนี้ทุกวัน รักผู้มีพระคุณที่คอยเลี้ยงตัวเองมาตั้งแต่ยังเด็ก

"ป่ะ ไปกันได้แล้วเดี๋ยวจะไม่ทันพระมาบิณฑบาต"

"นิมนต์เจ้าค่ะหลวงตา" สองมือเล็ก ค่อยๆบรรจงหยิบอาหาร ของหวาน ดอกไม้ ใส่ในบาตร

"อะภิวาทะนะสีลิสสะ   นิจจัง   วุฒาปะจายิโน,
จัตตาโร   ธัมมาวัฑฒันติ  อายุ   วัณโณ   สุขัง   พลัง" สองยายหลานกรวดน้ำเสร็จแล้ว จากก็เข้าครัวไปเตรียมของเพื่อจะไปถวายพระธุดงค์ต่อ

"หลานกรวดน้ำให้พ่อกับแม่ รวมถึงเจ้ากรรมนายเวรตามที่ยายสอนแล้วนะจ๊ะ หลานสบายใจขึ้นแล้ว ยายไม่ต้องเป็นห่วงนะจ๊ะ ความฝันมันก็คือความฝัน บางทีหนูอาจจะคิดมากเรื่องนี้แล้วเก็บเอาไปฝันก็ได้จ๊ะยาย" มะยมพูดออกไปตามนั้น แต่หากผู้เป็นยายกลับไม่ได้คิดเช่นนั้น เพราะหากเป็นฝันจริงๆ แค่ครั้งเดียวก็น่าจะลืมไปแล้ว แต่ทำไมยังฝันอยู่ได้ตลอด




===================================
อ่านแล้วมาเม้นหน่อยนะครับ จะได้รู้หีดแบคว่าชอบรึเปล่า ขอบคุณครับ
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 22-12-2014 15:26:09 โดย ApolloS »

ออฟไลน์ BBChin JungBB

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 549
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +37/-1
ชอบเรื่องนี้จัง เจ้าน้อยกับแสนเมืองจะเป็นไงต่อนะ

ออฟไลน์ googgigmenum

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 5
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
ชอบมากเลย ใช้ภาษาดี

ออฟไลน์ Akikojae

  • พี่ยุนรักน้องแจ ★彡
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1405
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1137/-17
ค่อยๆลงก็ได้ค่ะ เราตามอ่านไม่ทัน
มันก็มีงงบ้างแต่เราชอบมากค่ะ
เจ้าน้อยยยย
 :mew1:

ออฟไลน์ Biwty...

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 985
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +22/-1

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ ApolloS

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 91
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +28/-0
ตอนที่ 10

"เจริญพรพระคุณเจ้าเจ้าค่ะ อิชั้น เอาอาหารมาถวายพระคุณเจ้าเจ้าค่ะ"

"เจริญพรนะโยม" หลังจากที่สองยายหลานก้มลงกราบพระธุดงค์เสร็จ  ก็ได้ยกอาหารคาวหวาน น้ำดื่ม พร้อมด้วยดอกไม้ประเคนถวายพระคุณเจ้า

"อะภิวาทะนะสีลิสสะ   นิจจัง   วุฒาปะจายิโน, จัตตาโร   ธัมมาวัฑฒันติ  อายุ   วัณโณ   สุขัง   พลัง" สองยายหลานยกมือขึ้นพนมแนบอก ก้มลงกราบพระธุดงค์
"นี่หลานโยมใช่ไหม?" พระธุดงค์ถามยายช้อยหลังจากก้มลงกราบเสร็จ

"ใช่เจ้าค่ะพระคุณเจ้า"

"ชื่ออะไรเล่าโยม?"

"ชื่อมะยมขอรับพระคุณเจ้า"

"อื้ม...ชาติที่แล้วบุญมีแต่กรรมบัง ชาตินี้หากยังปรารถนาเหมือนดังชาติก่อน ก็ขอให้มั่นทำบุญให้มากๆนะโยม หากมีโอกาสให้ถวายเทียนเป็นคู่ได้ก็ยิ่งดี" อยู่ดีๆพระธุดงส์รูปท่านก็พูดอะไรแปลกๆไม่รู้ขึ้นมา

"ยังไงเหรอขอรับพระคุณเจ้า?" มะยมถามพระคุณเจ้าด้วยความไม่เข้าใจในสิ่งที่พระคุณเจ้ากล่าว คล้ายกับว่าคุณเจ้าต้องการบอกสิ่งใดกับตน แต่มันก็ยังไม่ชัดเจนไปซะทั้งหมด

"โยมกำลังเผชิญอยู่กับสิ่งใดล่ะทุกค่ำคืน แม้นว่าโยมจะพยายามคิดว่ามันคือความฝัน แต่ในใจโยมก็ยังคงเป็นกังวลกับมันอยู่มิใช่หรือ?"

"ขอรับพระคุณเจ้า"

"อย่าคิดมากเลยโยม สิ่งที่มันกำลังจะเกิดขึ้น ก็ขอให้มันเป็นไปตามครรลองของมัน อย่าได้กังวลกับมันเลย สักวันโยมจะเข้าใจ เพราะทุกอย่างมันมีที่มาที่ไป มีเหตุผลในตัวของมันเอง"

"ขอรับพระคุณเจ้า" สองยายหลานก้มลงกราบลาพระธุดงค์ก่อนขอลากลับบ้าน



"มะยมรีบตักแกงจะได้รีบทาน แล้วไปเรียน มะยม!!!"

"ยายว่าอะไรนะจ๊ะ"

"เห็นไหมมัวแต่เหม่อ เลยไม่ได้ยินที่ยายพูด"

"หนูขอโทษจ๊ะยาย"

"มะยมเอ๊ย..อะไรมันจะเกิดขอให้มันเกิด ปล่อยให้มันเป็นไปตามทางของมัน เหมือนกับที่พระธุดงค์ท่านได้บอกมาไงลูก ยายไม่อยากให้หนูเป็นกังวลกับสิ่งที่ยังไม่เกิดขึ้น แค่ทุกวันนี้หนูตั้งอยู่ในความดี ไม่ทำให้ใครเดือดร้อน หรือเบียดเบียนใครมันก็ดีแล้วนิ หลานของยายเป็นคนดีพระท่านต้องคุ้มครองอยู่แล้ว"

"มะยมรีบมาทานข้าวทานปลา จะได้รีบไปอาบน้ำแต่งตัวไปเรียน"

"จ๊ะยาย หลานจะรีบไปรีบกลับมาช่วยยายขายข้าวแกงนะจ๊ะ"

"เดี๋ยวหนูจะไปเตรียมจานกับช้อนเองนะจ๊ะยาย"

"ดีๆลูก เสร็จแล้วก็ยกไปทานที่ศาลาท่าน้ำนะลูก"

"อร่อยมากเลยจ๊ะยาย"

"อร่อยก็ทานเยอะๆนะลูก ตัวก็เล็กนิดเดียว จะตัวโตเหมือนคนอื่นเค้าสักที"

"หลานพยายามทานเยอะตลอดแหละจ๊ะยาย แต่ทานเท่าไหร่มันก็เท่าเดิม หลานอยากตัวโตๆ หนาๆ จะได้ปกป้องยายได้"

"นั่นสินะหลานของยายคงไม่โตแล้วล่ะ ฮ่าๆๆ"

"ทานเสร็จแล้ว หนูรีบไปโรงเรียนเลยนะลูก เดี๋ยวยายเก็บพวกนี้ไปล้างเอง"

"ไม่เป็นไรจ๊ะยาย ยายไปเตรียมของที่จะเอาขายเถอะจ๊ะ มหาลัยหนูไม่ไกลมาก นั่งรถแดงไปก็แป๊บเดียวเอง"

"งั้นรีบๆทำ รีบแต่งตัวไปเรียนนะลูก เดี๋ยวจะไปไม่ทันอาจารย์เค้าสอน"

"จ๊ะยาย"



"ยายจ๋า หนูไปนะจ๊ะยาย แล้วหนูจะรีบกลับมาช่วยยายขายของนะจ๊ะ"

================================================================



"เป็นไงบ้างมะยม มาแต่เช้าเลยนะ" มะยมตกใจเสียงเรียกของเพื่อนรัก อาจเป็นเพราะยังคิดถึงเรื่องที่พระคุณเจ้าบอกอยู่ มะยมได้แต่สายหัวไปมา เพื่อไล่ความคิดนี้ออกไป

"ไม่ได้สิอีฟ อาจารย์แกโหด ขืนมาสายมีหวังโดนหักคะแนนแน่อะ" คิดไปถึงอาจารย์วิชาประวัติศาสตร์ล้านนาที่ลงเรียนทีไร สยองทุกที สั่งงานทีเยอะมาก ดุก็ดุ ทำหน้าเคร่งอยู่ได้ตลอดทั้งวัน เหมือนอาจารย์แกมีรังสีแปลกๆออกมาจากตัวด้วยนะ ฮ่าๆๆ

"จริงสิเนอะ ฮ่าๆๆ" นักศึกษาหลายคนพากันจับกลุ่มลอกการ์บ้านบ้าง นั่งคุยกันบ้าง แต่เสียงดังทั้งหลายก็ต้องหยุดลงเมื่ออารย์เข้าห้องมา

"เอ้า นักศึกษาฟังอาจารย์ เมื่อชั่วโมงที่แล้วอาจารย์ได้พูดถึงเรื่อง อาณาจักรล้านนาและเมืองต่างๆ วันนี้อาจารย์มีข่าวดีมาให้พวกคุณ" ทุกคนต่างเงียบกริบ เมื่ออาจารย์เอามือเคาะโต๊ะ

"ข่าวดีอะไรค่ะอาจารย์?" เสียงนักศึกษาคนหนึ่งถามขึ้น

"ข่าวดีก็คืออาจารย์จะไม่สอนในคาบนี้ แต่จะให้นักศึกษาไปสืบค้นข้อมูลเรื่องเกี่ยวกับที่อาจารย์ได้สอนไปเมื่อคาบที่แล้ว"

"โด่ อาจารย์" นักศึกษาชายกลุ่มหลังห้องโห่ร้อง เพราะคิดว่าอาจารย์จะใจดีปล่อยให้ทำงานที่ค้าง

"อย่ามาโห่ หรือนักศึกษาคิดว่ามันน้อยไปจะได้เพิ่มให้?" นี่ไงโหดกับนักษาตลอด ดีนะเรารู้จักแบ่งเวลา ไม่ไปเที่ยวเตรดเตร่กินเหล้า เข้าผับบาร์เหมือนคนอื่น ไม่งั้นคงต้องโอดโอยเหมือนเพื่อนคนอื่นแน่ อีกอย่างต้องกลับไปช่วยยายขายของทุกวัน ยายจะได้ไม่เหนื่อยมากไปกว่านี้ อยากเรียนจบเร็วๆ จะได้ดูแลยาย อยากมีบ้านเล็กๆสักหลังเอาไว้อยู่กับยาย อยากมีรถคันเล็กเอาไว้ขับพายายไปนั่นมานี่ แล้วก็อยากให้ยายมีความสุข และอยู่กับมะยมไปนานๆ

"เอามากลุ่มละหนึ่งเรื่อง จากนั้นก็สรุป แล้วนำมาเสนอหน้าชั้นเรียน"

"กลุ่มละกี่คนครับอาจารย์?"

"เดี๋ยวก่อนสิ อาจารย์ยังพูดไม่จบ!!"

"2 คนก็พอ คนเยอะเดี๋ยวจะมีคนเอาเปรียบเพื่อน แค่นี้ครับ เลิกชั้นเรียนได้" นักศึกษาพากันเดินออกชั้นเรียน

"มะยมกลุ่มเราเอาเรื่องอะไรดี?"

"เรายังไม่รู้เลยอะ อีฟอะคิดว่าเราจะทำเรื่องอะไรดี?"

"ยังไม่รู้เหมือนกันอะ งั้นเราไปหาข้อมูลที่ห้องสมุดไหม? เผื่อได้ไอเดียดีๆ"

"ได้ๆ"

"มะยมดูเรื่องนี้สิ น่าสนใจไหมอะ?"

"เราได้ยินกลุ่มมินนี่ว่าจะเอานะ"

"งั้นเราลองแยกย้ายกันหาดีไหมจะได้เสร็จเร็วๆ เริ่มงานเร็วๆ?"

"โอ๊ย!! หล่นมาได้ยังไงเนี๊ยะ หนังสือเล่มไม่ใช่เบาๆ หนาก็หนา" สองเพื่อนสนิทแยกย้ายกันหาหนังสือบนชั้นวางในมุมหนังสือประวัติ แต่มะยมดันโชคไม่ดีหนังสือหล่นใส่อย่างฉิวเฉียด แต่ยังไงก็ทำให้เจ็บอยู่ดี

"เป็นอะไรอะมะยม ได้ยินเสียงร้อง!"

"ไอ้เจ้าเนี๊ยะหล่นใส่เรา อูย...เจ็บจัง"

"ไหนๆเราดูให้ แป๊บนึงนะ ผมมะยมยาวขึ้นอีกแล้วนะ เดี๋ยวเราคลำดูก่อน ตรงนี้ใช่ไหม?" มะยมได้แต่พยักหน้า หน้าตาแทบเล็ด

"ไม่มีเลือดออก แค่โนเฉยๆ แล้วมันตกมาได้ยังไงอะหนังสือเล่มนี้ มะยมมืนหัวไหม? เล่มก็ไม่ใช่เล็กๆ "

"นิดหน่อยอีฟ เราก็ไม่รู้ว่ามันตกมาได้ยังไง มันอาจถูกหยิบมาดู แต่เค้าไม่เก็บมันไว้ดีไง มันเลยตกมาโดนหัวเราพอดีไง ฮ่าๆๆ"

"ปิงนคร เมืองที่เคยยิ่งใหญ่ในล้านนา ......ปิงนคร อื้ม....." มะยมอ่านชื่อหนังสือที่ตกลงมาใส่หัวตัวเองซ้ำแล้วซ้ำอีก ไม่เคยรู้จัก แต่ทำไมกลับรู้สึกว่าคุ้นเคยกับชื่อนี้เหลือเกิน

"มีอะไรเหรอมะยม ?" อีฟถามมะยมที่ทำสีหน้าคุ่นคิดอะไรสักอย่าง

"ไม่มีอะไรหรอกอีฟ เราแค่คุ้นชื่อเมืองๆนี้เฉยๆ อีฟเคยได้ยินชื่อไหมอะ?" มะยมถามเพื่อนเพราะอีฟเป็นคนที่ค่อนข้างชอบอ่านหนังสือเก่าๆอยู่เสมอ อาจจะคุ้นๆชื่อก็เป็นไปได้ จะได้มีเนื้อหาที่หลากหลายขึ้น

"ปิงนครหรอก? เอ๊ะ...ปิงนคร!!! เหมือนเคยได้ยินผ่านหูผ่านตายังไงไม่รู้บอกไม่ถูก" ไว้เดี๋ยวเราไปถามคุณย่าให้ ท่านอาจจะรู้จัก เพราะท่านอยู่มานานละ อิอิ ความจริงที่เราชอบอ่านหนังสือประวัติศาสตร์พวกนี้ก็เพราะคุณย่าเราท่านชอบเหล่าเรื่องราวสมัยก่อนห้ฟังน่ะ เราว่ามันสนุกดีนะ บางครั้งก็โรแมนติกมาก แต่บางครั้งก็น่าเศร้ามาเหมือนกัน"

"งั้นเราเอาเรื่องนี้ไหม ไหนๆก็ไหนๆล่ะ คิดซะว่าหนังสือเลือกเรา เหมือนที่หมวกแห่งฮอกวอร์ดเลือกนักเรียนเข้าสู่บ้านต่างๆไง ฮ่าๆๆ" มะยมพูดเล่นกับเพื่อน แต่อีกใจก็รู้สึกผูกพันกับชื่อๆนี้อย่างบอกไม่ถูก

"ได้เจ้าค่ะ อิอิ"

"เราว่าหนังสือเล่มนี้ก็เก่าอยู่เหมือนกันนะ ดูจากสภาพ" มะยมจึงค่อยๆเปิดหน้าแรกมันดูอย่างถนุถนอม กลัวว่ามันจะขาดไปซะก่อนที่จะได้ทำรายงาน

"เราก็ว่างั้น หากเป็นคนก็คงรุ่นแก่กว่าคุณย่าเราแล้วล่ะ อิอิ"

"งั้นเราไปยืมกันนะ แล้ววันเสาร์สายๆ เราค่อยไปทำรายงานที่บ้านอีฟกัน"

"จ้า"

"มะยมกลับยังไงอะ รอกลับพร้อมเราไหมอะ เดี๋ยวเราให้พี่ชายเรามารับ จะได้แวะไปส่งมะยมด้วย"

"ไม่เป็นไรหรอกบ้านอีฟกับเราคนละทางกัน เดี๋ยวเรากลับรถแดงดีกว่า เกรงใจเปลืองน้ำมัน ฮ่าๆ"

"เกรงจงเกรงใจอะไรกัน เพื่อนกัน เดี๋ยวพี่ชายเราก็จะมารับแล้ว รอก่อนดิ จะได้อยู่เจอพี่ชายเราก่อน เพื่อนคนอื่นได้เจอพี่ชายเราหมดทุกคนแล้วนะ มีแต่มะยมนี่แหละคลาดกันตลอด เราอยากให้เพื่อนรักเราเจอกับพี่ชายสุดที่รักของเรา จะได้รู้จักกันไว้ไง" เพื่อนคนสนิทของมะยมบ่นอย่างไม่จริงจังเท่าไหร่

"ไม่ใช่ว่าเราไม่อยากเจอสักหน่อย มันเป็นความบังเอิญที่คลาดกันเองต่างหาก นะ!! ไว้คราวหน้าละกัน วันนี้เรารีบกลับไปช่วยยายขายของ สงสารยาย ท่านอายุเยอะละ เดี๋ยวพรุ่งนี้เอาขนมฝีมือยายมาฝาก"

"ก็ได้ เห็นแก่ขนม เอ่ย..เห็นแก่ยายของมะยมหรอกนะ"

"จ้า งั้นพรุ่งนี้เจอกันเราไปก่อนนะ บาย"

===+===+===+===+===+===+===+===+===+===+



"ยายจ๋า หนูกลับมาแล้ว"

"อย่าวิ่งลูก ไม่ต้องรีบก็ได้" มะยมรีบวิ่งหน้าตั้งมาช่วยยาย เพราะตอนเที่ยงแบบนี้คนเยอะ เห็นว่าเป็นร้านเล็กๆแบบนี้ แต่คนก็เยอะอยู่ทุกวัน คงเป็นเพราะกับข้าวฝีมือยายอร่อย คนถึงติดใจ อีกอย่างราคาก็ไม่แพงด้วย

"หนูไปเปลี่ยนผ้าก่อนสิลูก เดี๋ยวมันเปื้อนมาจะซักยาก"

"จ๊ะยาย"

"เอาอะไรจ๊ะพ่ออัฐ?"

"ผมเอาเหมือนเดิมนะครับยาย"

"ได้จ๊ะลูก งั้นเดี๋ยวไปหาที่นั่งนะ เดี๋ยวยายเอาไปให้ที่โต๊ะ"

"ครับ แล้วมะยมไปเรียนเหรอครับยาย วันนี้ไม่เห็น?"

"เพิ่งกลับมาเมื่อกี้นี่เองลูก ยายไล่ไปเปลี่ยนเสื้อผ้า อีกเดี๋ยวคงมา นั่นไงมาละ"

"สวัสดีครับพี่อัฐ"

"คราวหน้าไม่ต้องไหว้พี่แล้วนะ ดูเหมือนแก่ๆยังไงไม่รู้"

"อะ..ครับ เดี๋ยวผมไปช่วยยายขายของก่อนนะครับ"

"ครับ"

"เอาอะไรล่ะพ่อหนุ่ม?"

"ยายมีไรกินบ้างอะ?"

"มีแกงมัสมั่นไก่ แกงเทโพ ลาบคั่ว ไข่พะโล้ และน้ำพริกอ่องกับผักลวกจ๊ะ"

"เอาเทโพ กับไข่พะโล้ละกันยาย กับข้าวก็เดิมๆ"

"นี่จ๊ะ"

"นั่นหลานสาวยายเหรอ? มาทุกทีไม่เห็น มีหลานสาวสวยอย่างนี้ก็ไม่บอก จะได้มาอุดหนุนทุกวัน" วันนี้มะยมแต่งตัวด้วยเสื้อยืดสีขาว กางเกงยีนส์ขาสั้นเหนือเข่าธรรมดา แต่ผมที่ตอนนี้เริ่มยาวระคอ กับหน้าตาออกหวาน รูปร่างก็ผอมบางแบบนี้เลยทำให้ทุกคนคิดว่าเป็นผู้หญิงตัดผมซอย แต่จะทำยังไงได้เนอะ ชินแล้วล่ะตั้งแต่เกิดมา จำความได้

"น้องสาวจ๊ะ ชื่ออะไร?" มะยมได้แต่เงียบ ไม่อยากจะตอบ เพราะดูท่าแล้วเหมือนคนพาล เหมือนนักเลงหัวไม้

"อุ๊บ่ะ ไม่ตอบ หยิ่งพอดู" พอไม่ตอบมันก็แล้วแต่ มะยมไม่ชอบคนแบบนี้เลย

"นี่จ๊ะแกงเทโพ กับไข่พะโล้ อ๊ะ!! ปล่อย!!" มะยมพูดเสียงสั่นบอกให้ไอ้คนแปลกหน้าปล่อยมือ

"จับนิดจับหน่อยก็ไม่ได้"

"ผิวนุ่มดีนะน้องสาว พี่ชื่อเปี๊ยกนะ แล้วน้องล่ะชื่ออะไร บอกพี่ก่อนแล้วพี่จะยอมปล่อยมือ"

"ผมเป็นผู้ชายครับช่วยเรียกให้ถูก แล้วก็ปล่อยมือผมด้วยครับ"

"ผู้ชายเหรอวะหน้าอย่างกับผู้หญิง หุ่นอีก" ไอ้เปี๊ยกพูชดออกมาเบาๆ

"ช่วยปล่อยด้วยครับ" มะยมกลั้นใจบอกให้ปล่อยมืออีกครั้ง ทั้งที่ตนเองทั้งตกใจ ทั้งกลัวในคราวเดียวกัน

"จับนิดจับหน่อย ทำเป็นหวงเสื้อหวงตัว ผู้ชายเค้าไม่หวงเนื้อหวงตัวแบบนี้นะเว้ย" มะยมสะบัดมือยังไงก็ยังไม่สามารถหลุดออกมาได้ ยิ่งทำให้ร่างบางขมวดคิ้ว หน้าซีดไปกันใหญ่ ทั้งรังเกียจและขยะแขยง

"คุณครับ ช่วยปล่อยมือมะยมด้วยครับ" มะยมหันหน้าไปมองตามเสียงที่ขอให้ปล่อยมือตนเอง ทั้งดีใจ แต่ก็ยังไม่โล่งอกไปเสียทั้งหมด เพราะไอ้คนอันธพาลมันยังจับมือของมะยมไว้ยังไม่ปล่อยเลย

"แล้วเองเป็นใครว่ะ มาเกี่ยวอะไรด้วย?" มะยมตกใจเมื่ออันธพาลตะคอกเสียงถามพี่อัฐดังลั่น ลูกค้าในร้านก็เริ่มมองมากันใหญ่แล้วด้วย

"จะปล่อยหรือไม่ปล่อย?" อัฐเอ่ยถามอีกครั้งด้วยสิ่งที่แข็งขึ้น เพราะคนเราสมัยนี้ไว้ใจไม่ได้ ขนาดผู้ชายมันยังกล้าลนลาม

"ไม่ปล่อยเว้ย!!"

"ได้ไม่ปล่อยใช่ไหม พั๊วะ!!"

"ไอ้ห่าเอ๊ย มึงต่อยกูใช่ไหม ? เฮ้ย!! พวกมึงจัดการมันเว้ย!!"

"ว๊ายยยย......กรี๊ด!!!" เสียงลูกค้าในร้านตกใจกับการตะลุมบอนภายในร้าน โต๊ะตั่งกระจัดกระจายเต็มไปหมด



"เป็นไงบ้างครับพี่อัฐ เจ็บตรงไหนบ้าง?" มะยมเห็นหน้าตาอัฐแล้วยิ่งหน้าซีดไปกันใหญ่ มือไม้ทำอะไรไม่ค่อยถูก

"พ่ออัฐนั่งตรงศาลาท่าน้ำก่อนนะ เดี๋ยวยายจะให้มะยมเอายายมาใส่ให้ ดูสิหน้าตายับเยินไปหมด"

"จ๊ะยาย ไปกันเถอะครับพี่อัฐ"

"ซี๊ด....เจ็บ"

"นั่งรอผมตรงนี้ก่อนนะครับ เดี๋ยวผมไปเอายามาใส่ให้" มะยมรีบวิ่งไปเอายาบนบ้านมาใส่ให้อัฐ

"มาแล้วครับ เดี๋ยวผมขอดูแผลหน่อยนะครับ เจ็บมากไหมครับพี่อัฐ"

"ซี๊ด...ก็พอดูครับ โอ๊ะๆ เบาๆครับมะยม ซี๊ด..." จะให้บอกว่าไม่เจ็บเลยก็คงไม่ได้ เพราะดูจากสภาพตัวเองแล้ว สะบักสะบอมพอดูเลยทีเดียว พรุ่งนี้ไปทำงานเพื่อนๆคงต้องแซวว่าไปกัดกับหมามาแน่ๆ

"เช็ดแอลกอฮอลเสร็จแล้ว เดี๋ยวทายาแผลเหลืองสักหน่อยนะครับ พี่อัฐทนหน่อยนะครับ" ร่างสูงพะยักหน้าเบาๆรับคำ มือเล็กค่อยๆ ใช้ก้านสำลีชุบยาแผลเหลืองทาบริเวณแผลเบาๆ

"ขอบคุณพี่อัฐมากนะครับ ที่มาช่วยผมไว้ ไม่ได้พี่อัฐคงแย่แน่เลย"

"ไม่เป็นไรครับ พี่เต็มใจช่วย ถ้าไม่ช่วยนี่สิแปลก คนรู้จักกัน" มะยมยิ้มบางให้เป็นการขอบคุณ

"มะยม...คราวหน้าเรียกแทนตัวเองว่ามะยมกับพี่สิ น่ารักดีออก ถือว่าพี่ขอเป็นค่าตอบแทนที่เจ็บตัววันนี้ นะครับ" ร่างสูงเอ่ยขอร้องออดอ้อนร่างบางตรงหน้า

"เอ่อ...."

"นะครับ"

"ครับมะยมจะพยายาม เดี๋ยวพี่อัฐทานยาแก้ปวดกับแก้อักเสบนี้ไปด้วยนะครับ ผม เอ่อ..มะยมกลัวว่ามันจะอักเสบแล้วพี่อัฐจะไม่สบาย" มะยมเอายาสองเม็ดสีขาว และสีฟ้าเขียวให้ร่างสูง

"ขอบคุณครับ"

"เดี๋ยวพี่อัฐเอ็นหลังตรงนี้ก่อนก็ได้นะครับ เดี๋ยวมะยมไปช่วยยายเสร็จแล้วจะมาปลุก"








เม้นต์ๆๆๆ












ออฟไลน์ Akikojae

  • พี่ยุนรักน้องแจ ★彡
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1405
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1137/-17
มะยมน่ารักจัง พี่อัฐเลยเอ็นดู
 :o8:

ออฟไลน์ vk_iupk

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 990
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +93/-2
ตามเข้ามาอ่าน รวดเดียวจบเลย

ตอนแรกนึกว่าเป็นนิยายย้อนยุค
ที่ไหนได้ น้องมะยมฝันถึง

อยากรู้แล้วค่า ชาตินี้พระเอกคนไหนเอ่ย
แต่ไม่น่าจะใช่พี่อัฐชิมิ
รอตอนต่อไปค่าาา

ออฟไลน์ ApolloS

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 91
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +28/-0

 ตอนที่ 11
 
"ยายไปนอนก่อนนะลูก อย่านอนดึกล่ะ " ยายช้อยหอมแก้มหลานชายก่อนจะเข้านอน พร้อมทั้งกำชับว่าอย่านอนดึก เพราะทุกทีถ้ารับงานคนอื่นเค้ามาทำ ก็จะนอนดึกอยู่เสมอ
 
"จ๊ะยาย หนูขออ่านหนังสือที่จะเอาไปทำงานกลุ่มพรุ่งนี้อีกสักนิดก่อนจ๊ะยาย สัญญาว่าคืนนี้จะรีบนอนจ๊ะมะยมรักยายนะจ๊ะ"
 
"หลายตำนานกล่าวว่า เมืองปิงนคร เป็นเมืองที่อยู่ในอาณาจักรล้านนา สร้างโดยเจ้าแมนสรวง กษัตริย์ผู้ทรงเฉียบแหลมและแข็งแกร่ง ทรงเป็นกษัตริย์ที่แวดล้อมไปด้วยสตรี แต่แล้วเมืองที่ยิ่งใหญ่แห่งนี้ก็ต้องล่มสลายเพราะสตรีเช่นกัน" มะยมอ่านมาได้เพียงนิดเดียวก็ต้องสะดุดเพราะชื่อของกษัตริย์ผู้สร้างเมืองปิงนคร คล้ายกับว่าจะเป็นชื่อที่ตนเองคุ้นเคยเหลือเกิน แต่ก็เหมือนเป็นชื่อที่ทำให้มะยมรู้สึกคิดถึงและหวั่นกลัวอยู่ลึกๆบอกไม่ถูก
 
>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>
 
 
"เจ้าน้อยรีบไปเก็บของใช้จำเป็น อ้ายจะพาเจ้าน้อยไปราชการต่างเมืองกับอ้ายด้วย มีเวลาเหลืออ้ายจะได้พาเจ้าน้อยเที่ยวด้วย เห็นน้องอยู่ในคุ้มมาเฉยๆ คงจะเบื่อ หากได้ไปเที่ยวเปิดหูเปิดตาบ้างก็คงจะดี" เจ้ามิ่งขวัญพูดกับน้องชายพร้อมกับเอามือลูบหัวเบาๆอย่างเอ็นดู
 
"แล้วเจ้าป้ออนุญาตหรือครับเจ้าอ้าย ? น้องไปก็อาจจะเกะกะ ช่วยอะไรเจ้าอ้ายก็ไม่ได้นะขอรับ"
 
"อ้ายไม่ได้ชวนเจ้าไปช่วยธุระราชการบ้านเมือง อ้ายมาช่วยเจ้าไปเที่ยว ไปเปิดหูเปิดตาต่างหากเจ้าน้อย ไปเถิดอย่ามัวรีรอ บอกให้บัวแก้วเก็บข้าวของเครื่องใช้ได้แล้ว"
 
"ครับเจ้าอ้าย"
 
"น้องจะพาบัวแก้ว แล้วก็คนสนิทไปด้วยก็ได้นะเจ้าน้อย อ้ายอนุญาต"
 
"ขอบคุณครับเจ้าอ้าย"
 
"อ้ายจะออกเดินทางตอนสามโมงเช้า น้องยังมีเวลาตระเตรียมของ"
 
"เจ้าอ้ายจะไปกี่วันครับ? น้องจะได้เตรียมเสื้อผ้าไปถูก?"
 
"สักสามสี่วัน งั้นน้องเตรียมของไปนะเจ้าน้อย เดี๋ยวอ้ายไปดูทหารกับขบวนช้างม้า"
 
"ครับเจ้าอ้าย"
 
"ปี้บัวแก้ว เดี๋ยวช่วยเราเตรียมข้าวเสื้อผ้าข้าวของสักสี่ห้าชุด เจ้าอ้ายมิ่งขวัญจะให้เราไปราชการกับพระองค์ด้วยสักสี่สามสี่วัน พี่บัวแก้วก็ไปด้วยกันนะ เจ้าอ้ายจะออกเดินทางตอนสามโมงเช้า"
 
"เจ้าเจ้าน้อย เดียวปี้ไปเตรียมหื้อเจ้า จะได้สั่งหื้อบัวคำเฝ้าคุ้มหื้อตวย" จากนั้นบัวแก้วก็รีบออกไปเตรียมของ สั่งงานนางกำนัลในคุ้ม
 
"กระหม่อมล่ะขอรับเจ้าน้อย?"
 
"ท่านแสงเมือง เราตกใจหมด!!" เจ้าน้อยตกใจที่จู่ๆแสงเมืองก็โผล่มาไม่ให้ซุ่มให้เสียง
 
"ตกใจทำไมขอรับ ขวัญเอ๋ยขวัญม" แสงเมืองใช้สองมือโอบกอดเจ้าน้อยที่ตกใจอยู่ไม่หาย พลางใช้มือหนาลูบหลังปลอบเจ้าน้อย
 
"ไม่ต้องเลยท่านแสงเมือง อย่ามาลุ่มล่าม เดี๋ยวปี้บัวแก้วมาเห็น" เจ้าเอ่ยปรามเบาๆ แต่หากมิได้จริงจังนัก ยิ่งทำให้แสงเมืองได้ใจ  รู้ว่าเจ้าน้อยมิได้ทรงโกรธอะไรนัก
 
"ก็กระหม่อมคิดถึงเจ้าน้อยนี่ขอรับ กว่าจะได้อยู่ด้วยกันสองคนสักที แทบจะไม่มีโอกาสเลย"
 
"ฟ๊อด อ่ะ!! ท่านแสงเมือง!!!"
 
"โอ๋ๆ อย่าทำหน้าอย่างนั้นสิขอรับ กระหม่อมถือเป็นค่ามัดจำที่จะตามไปดูแลเจ้าน้อยต่างเมืองนะขอรับ อย่างอนไปเลย"
 
"ใครบอกจะให้ท่านไปกัน? นับวันยิ่งเอาใหญ่นะท่านนี่ ไม่เหมือนกับท่านทหารเอกที่เราเจอครั้งแรกเลย นี่ถ้าพี่บัวแก้วเห็นนะคงต้องเป็นเรื่องใหญ่แน่ๆ "
 
"ท่านเอกที่เจ้าน้อยว่านั้นเป็นยังไงหรือขอรับ แตกต่างจากกระหม่อมตอนนี้ยังไง"
 
"ท่านในตอนนั้นดูนิ่ง ไม่มีคำว่ากะล่อนหรือชอบฉวยโอกาสกับเราแบบนี้เลยสักนิด"
 
"ไม่เลยสักนิดเลยหรือขอรับ ตอนนั้นกระหม่อมว่าเริ่มมีนิดๆแล้วนะขอรับ อย่างเช่นตอนที่เจ้าน้อยทรงเสียจูบแรกให้กระหม่อมตอนคืนยี่เป็งล่ะขอรับ" แสงเมืองพูดกระเซ้าให้เจ้าน้อยเขินอายอยู่ได้ตลอด เพราะตนชอบที่จะมองหน้าขาวๆของเจ้าน้อยกลายเป็นสีระเรื่อยามเมื่อทรงเขิน
 
"ท่านนี่มัน!! หื้ย!!"
 
"กระหม่อมเป็นอย่างนี้ก็เพราะเจ้าน้อยนะขอรับ ทรงรับผิดชอบกระหม่อมด้วย"
 
"ทำไมเราต้องรับผิดชอบท่านด้วย?"
 
"เจ้าน้อยทรงทำให้กระหม่อมสูญเสียความเป็นตัวของตนเองนะขอรับ ทรงรู้รึเปล่า?"
 
"นี่ท่านอย่ามาพูดไปเรื่อยนะท่านแสงเมือง เราต่างหากที่ถูกท่านทำให้ไม่เป็นตัวของตนเอง"
 
"แต่ก็นับว่ากระหม่อมทำได้ดีมิใช่หรือขอรับ? เจ้าน้อยทรงกล้าแสดงความรู้สึกของตนเองมากขึ้น ทรงสดใสน่ารักมากขึ้นหลายเท่ายิ่งนัก"
 
"อย่ามาพูดเลยท่านแสงเมือง ท่านจะไปด้วยก็ไปเตรียมของสิ มามัวหยอกเราทำไม ? เดี๋ยวก็ไม่ทันไปหรอก"
 
"กระหม่อมเตรียมเสร็จแล้วขอรับ"
 
"ท่านเตรียมเสร็จได้อย่างใด? ในเมื่อเจ้าอ้ายเพิ่งมาบอกเราเมื่อครูนี่เอง?" เจ้าน้อยเอ่ยถามด้วยความแปลกใจ
 
"อย่าลืมนะขอรับว่ากระหม่อมเคยเป็นทหารของเจ้ามิ่งขวัญมาก่อน แม้นว่าตอนนี้กระหม่อมจะเป็นองค์รักษ์คู่กายของเจ้าน้อยแล้วก็ตาม แต่กระหม่อมย่อมรู้ว่าเจ้ามิ่งขวัญจะต้องเสด็จไปราชการที่ไหน แล้วพระองค์ก็บอกกับกระหม่อมตั้งแต่เมื่อวานแล้วขอรับ ทั้งยังกำชับให้กระหม่อมดูแลเจ้าน้อยให้ดีอีกด้วย" เจ้าน้อยบัดนี้ทำหน้าแดงเพราะคำว่าองครักษ์คู่กายไปเสียแล้ว
 
"ท่านมันเจ้าเล่ห์แสนกลนัก แล้วจะมาขอเราอีกทำไมกันในเมื่อเจ้าอ้ายทรงประทานอนุญาตให้ท่านไปด้วยแล้วนิ"
 
"หามิได้ขอรับเจ้าน้อย กระหม่อมเคยเป็นองค์รักษ์คนสนิทของเจ้ามิ่งขวัญมาก่อน แต่หากตอนนี้เจ้าน้อยคือนายของกระหม่อม คือเจ้าดวงใจของกระหม่อมนิขอรับ" ยิ่งฟังเจ้าน้อยยิ่งแก้มแดง แสงเมืองมองนวลปรางค์ที่ตอนนี้ขึ้นสีระเรื่อน่ากัดน่าหอมเสียเหลือเกิน
 
"ฟ๊อด นี่ท่านแสงเมือง พอได้แล้ว เดี๋ยวพี่บัวแก้วมาเห็น ท่านจะลำบากเอานะ" เจ้าน้อยเอ่ยพูดได้ไม่เต็มเสียง เพราะเขินอาย ประจวบกับกลัวพระพี่เลี้ยงคนสนิทจะมาได้ยินเข้า
 
"ก็ได้ขอรับ อดเปรี้ยวไว้กินหวานดีกว่า" เจ้าน้อยได้แต่สะบัดหน้าหนี ทำยังไงก็ไม่เคยชนะคนตรงหน้านี้ได้เลย นึกถึงเมื่อรู้จักกันครั้งแรกที่น้ำตก มาจนถึงสอนดาบ สอนขี่ม้า จนตอนนี้ทำทุกอย่างได้แล้ว หากแต่เรื่องฟันดาบก็ไม่ค่อยชอบเท่าไหร่นัก เพราะต้องการเอาไว้ใช้ป้องกันตัวเท่านั้น มาจนถึงวันลอยกระทงยี่เป็ง และจนถึงตอนนี้ เจ้าน้อยรู้สึกดีใจและอยากขอบใจคนตรงหน้านี้มากที่คอยดูแล คอยอยู่เคียงข้างไม่ห่างหาย
 
"เจ้าน้อยเจ้ามิ่งขวัญมารับตี้หน้าคุ้มแล้วนาเจ้า พร้อมหรือยัง?"
 
"พร้อมแล้วปี้บัวแก้ว"
 
"เดียวก่อนเจ้า ผมเจ้าน้อยหลุดหมด เดียวปี้มัดหื้อใหม่" เจ้าน้อยรีบหันไปมองหน้าแสงเมือง เพราะเป็นต้นเหตุที่ทำให้เป็นแบบนี้
 
"ขอบคุณครับปี้บัวแก้ว ไปกันเถอะ"
 
"จับมืออ้ายไว้นะเจ้าน้อย แล้วค่อยเหยียดขึ้นมาบนหลังช้างนี่ อย่าได้กลัวมัน เพราะมันถูกฝึกมาอย่างดีแล้วก็ที่จะนำมาเป็นช้างทรง มาส่งมือมาเจ้าน้อย" หลังเจ้าน้อยเดินขึ้นไปยืนบนพระแท่นที่ใช้สำหรับขึ้นหลังช้าง ส่วนเจ้ามิ่งขวัญก็ขึ้นไปรออยู่บนพระแท่นบนหลังช้างแล้ว  จึงช่วยจับมือเจ้าน้อยขึ้นหลังช้าง ในขบวนเดินทางนี้ประกอบไปด้วยช้างหนึ่งตัวสำหรับเจ้าน้อยและเจ้ามิ่งขวัญ ขบวนม้าและวัวเทียมเกวียนขนสำภาระเท่านั้น ดูไม่ใหญ่มากเพราะเจ้ามิ่งขวัญทรงอยากให้การเดินทางกระชับไม่ต้องเสียเวลาในการเดินทาง  แต่กระนั้นในสายตาของแสงเมืองก็ยังดูใหญ่อยู่ดี เพราะคนปกติหากต้องเดินทางไปไหนมาไหนไกลๆแบบนี้ก็คงใช้ม้าหรือแค่วัวเทียมเกวียนเท่านั้น คงไม่มีช้างพระที่นั่งแบบนี้หรอก คิดไปแล้วยิ่งทำให้เห็นความแตกต่างระหว่างตนเองกับเจ้าน้อยผู้เป็นที่รักยิ่ง  แต่ก็ใช่ว่าจะหลุดพ้นจากสายตาของเจ้าน้อยไปได้ ทรงเห็นสายตาหม่นของแสงเมืองที่มองมา ราวกับว่าน้อยใจต่อโชคชะตาและความรักต่างฐานันดรศักดิ์นี้เหลือเกิน (เป็นพระแท่นที่ทำจากปูนยกสูงขึ้นพอให้ง่ายต่อการขึ้นหลังช้าง ซึ่งช้างจำเป็นต้องคุกเข่าลงให้อยู่เสมอหรือมีระดับไล่เลี่ยกับพระแท่นเพื่อให้ง่ายต่อการที่พระมหากษัตริย์จะขึ้นหรือลงจากหลังช้าง)
 
 
 
 
 
 
 

ออฟไลน์ Akikojae

  • พี่ยุนรักน้องแจ ★彡
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1405
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1137/-17
ฐานันดร นั่นสินะ
อยากให้เจ้าน้อยกับแสงเมืองได้ครองรักกันในเร็ววัน

ออฟไลน์ ApolloS

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 91
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +28/-0
ตอนที่ 12

"เจ้าน้อยนอนในป่าได้ไหม? อากาศมันหนาวนะ อ้ายเป็นห่วง" การเดินทางไปราชการต่างเมืองแม้นว่าจะไม่ไกลมาก แต่ก็ต้องนอนค้างอ้างแรมในป่าระหว่างทางอยู่ดี เจ้ามิ่งขวัญจึงเป็นห่วงเจ้าน้อย เกรงว่าจะไม่สบายเอาได้

"ได้ครับเจ้าอ้าย ขอบคุณครับเจ้าอ้ายที่ทรงเป็นห่วงน้อง" เจ้าน้อยก้มลงกราบแนบอกเจ้ามิ่งขวัญผู้เป็นพี่ชาย ทรงคิดว่า ถึงเจ้าป้อจะไม่สนใจใยดีตนเองเลย แต่ตนเองก็ยังโชคดีที่มีเจ้ามิ่งขวัญ ปี้บัวแก้ว และใครอีกคนที่คอยเป็นห่วง และดูแลเสมอมา

"เจ้าน้อยอย่าลืมห่มผ้าหนาๆตอนนอนนะ บัวแก้วเอามาครบแล้วใช่ไหม? ขาดเหลืออะไรก็บอกอ้ายนะเจ้าน้อย ไปพักเถิดเดินทางมาทั้งวันแล้วคงจะเหนื่อย"

"ครับเจ้าอ้าย"

"เจ้าน้อยนอนบ่หลับกาเจ้า?" พอเข้าไปนอนในกระโจม ก็นอนพลิกไปพลิกมา ได้ยินแต่เสียงจิ้งหรีดเรไรก็พลันทำให้นอนไม่หลับ บัวแก้วจึงเอ่ยถามเจ้าน้อยขึ้นมาท่ามกลางความเงียบในกระโจม

"สงสัยคงแปลกที่ล่ะมั้งปี้บัวแก้ว เลยนอนไม่หลับ"

"ข่มตานอนเตอะเจ้า เดียวก่อหลับไปเอง ห้าวววว!!!" เสียงบัวแก้วหาว จนน้ำตาไหล การเดินทางไกลทำให้คนเราเหนื่อย แต่ไม่ใช่เจ้าน้อยในตอนนี้ ถึงแม้จะเหนื่อยอยู่บ้าง แต่กลับข่มตานอนไม่ลง

"พี่บัวแก้วง่วงก็นอนก่อนเราได้เลย เราจะออกไปดูอะไรไปเรื่อยเปื่อยข้างนอกสักพักละกัน"

"บ่ดีนาเจ้า เจ้าน้อย มันเป็นในป่า อันตรายนาเจ้า" บัวแก้วพูดด้วยความเป็นห่วง หากอยู่ในคุ้มก็ยังพอไหวอยู่ แต่ที่นี่มีแต่ป่า อันตรายรายล้อมจึงอดเป็นห่วงเจ้าน้อยไม่ได้

"เราออกไปหน้ากระโจมเฉยๆ สัญญาว่าจะไม่ไปไหนไกลเลย"

"ก่อได้เจ้า รีบไปรีบปิกมานานอนนาเจ้าเจ้าน้อย ........อั้นปี้ขอไปนอนก่อนนะเจ้า ห้าวววว!!" ถึงอย่างไรก็ทัดทานเจ้าน้อยไม่ได้ แต่เจ้าน้อยก็ทรงรับปากแล้วว่าจะไม่ไปไหนไกลกว่าหน้ากระโจม ทำให้บัวแก้วพอโล่งใจได้บ้าง

"ครับปี้บัวแก้ว"

"เจ้าแม่ครับ ลูกคิดถึงเจ้าแม่เหลือเกิน เจ้าแม่อยู่นั้นสบายดีไหมครับ?" เจ้าน้อยมองไปยังดวงจันทร์ที่ส่องสว่างยามนี้ พลันคิดถึงพระมารดา

"ตัก!!" เสียงคนเอาก้อนหินปามาโดนหน้ากระโจมของเจ้าน้อย

"ท่านแสงเมือง" เจ้าน้อยมองหาคนปามันมา ก็พบว่าแสงเมืองหลบอยู่หลังต้นไม้ใกล้ๆกับกระโจมของตน เจ้าน้อยมองซ้ายมองขวาแล้วจึงเดินออกมาหาแสงเมือง

"ท่านแสงเมืองมาที่นี่ทำไม? เดี๋ยวใครก็มาเห็นหรอก ท่านต้องไปตรวจดูทหารเฝ้ายามมิใช่หรือ?"

"ชู่ววว....เจ้าน้อยขอรับ อย่าส่งเสียงดังขอรับ เดี๋ยวคนอื่นได้ยิน กระหม่อมแค่คิดถึงเจ้าน้อยเฉยๆ อยากได้ยินเสียง อยากเห็นหน้าก่อนนอนแค่นั้นเองขอรับ" เจ้าน้อยพยักหน้ารับ มองซ้ายมองขวาอีกที ใจเต้นเป็นระส่ำเหมือนคนทำความผิด แล้วกลัวถูกจับได้

"ทางนี้ดีกว่าขอรับ" แสงเมืองจูงมือเจ้าน้อยมาทางด้านหลังกระโจมที่เป็นป่า แต่ก็ไม่ใช่ป่ารกแต่อย่างใด

"ท่านแสงเมืองอยู่ใกล้หูใกล้ตาเจ้าอ้ายขนาดนี้ ท่านยังกล้ามาหาเราอยู่อีก ช่างไม่กลัวอะไรบ้างเลยหรือ?" เจ้าน้อยบ่นกระปอดกระแปด

"กระหม่อมทนความคิดถึงไม่ไหวขอรับ แม้ว่าวันนี้จะได้เห็นหน้า แต่ก็ไม่ได้ยินเสียง เราไม่ได้คุยกันเลยนะขอรับ เพราะเจ้าน้อยอยู่กับเจ้ามิ่งขวัญตลอดเวลา และเราก็เดินทางตลอดเช่นกัน เจ้าน้อยไม่คิดถึงกระหม่อมบ้างหรือขอรับ?" เจ้าน้อยที่ไม่คิดว่าจะได้ยินคำถามแบบนี้ จึงได้แต่ก้มหน้าซ่อนหน้าแดงเอาไว้ คิดในใจว่าแสงเมืองช่างกล้านักที่ถามออกมาตรงๆเช่นนี้

"ท่านถามอะไรของท่าน เราง่วงแล้ว ขอตัวไปนอนก่อนนะท่านแสงเมือง ท่านก็อย่านอนดะ...."

"จะบ่ายเบี่ยงอะไรกระหม่อมอีกหรือขอรับ หื้ม?" คราวนี้แสงเมืองไม่ยอมปล่อยให้เจ้าน้อยหลุดมือไปง่ายอีกแล้ว เพราะความคิดถึงมันมีมากมายเหลือเกิน

"มองหน้ากระหม่อมสิขอรับ พยักหน้าให้กระหม่อมสักหน่อยก็ได้ว่า เจ้าน้อยก็คิดถึงกระหม่อมเหมือนกัน" แสงเมืองส่งสายตาให้เจ้าน้อยอย่างเว้าวอน เจ้าน้อยมองหน้าแสงเมือง สบสายตาที่คอยส่งมาให้ จนใบหน้านั้นค่อยๆก้มลงมาใกล้เรื่อยๆ

"อย่าหลับตาเลยนะขอรับ มองตากระหม่อม แล้วเจ้าน้อยจะเห็นว่ากระหม่อมต้องการบอกสิ่งใดกับเจ้าน้อย" แสงเมืองค่อยๆกระซิบบอกเจ้าน้อยเบาๆ จากนั้นค่อยๆหอมปรางค์สีระเรื่อเบาๆ ไล่ไปจนถึงปากบาง

"อื้ม..." เจ้าน้อยพยายามอย่างยิ่งที่จะไม่ส่งเสียงออกมา มิเช่นนั้นทั้งสองคนคงถูกจับได้เป็นแน่แท้ จนเมื่อเจ้าน้อยหายใจไม่ทัน จึงเอามือเล็กทุบอกของแสงเมืองเบาๆ จากนั้นแสงเมืองจึงค่อยๆผละออกจากปากหวานของคนตรงหน้าอย่างยากเย็น

"อื้ม....อื้อ" เหมือนว่าแสงเมืองจะไม่อาจทนต่อความต้องการร่างบางตรงหน้าได้อีก ยิ่งสัมผัสยิ่งอยากครอบครองเหลือเกิน จึงก้มลงจูบปากบางของเจ้าน้อยอีกครั้ง แต่ครั้งนี้จะรุนแรงและเร่าร้อนกว่าเดิมนัก จนพอใจแล้วจึงไล่ลงมาที่แก้มนวลและลำคอระหงส์

"ท่านแสงเมือง" เสียงเรียกเบาๆ ของเจ้าน้อยทำให้แสงเมืองรู้ว่าต้องหยุดตัวเองลง แม้จะควบคุมตัวเองยากเท่าไหร่ แต่ก็ไม่อยากทำให้เจ้าน้อยกลัวไปมากไปกว่านี้

"กลับเข้าไปในกระโจมนะขอรับ น้ำค้างเริ่มลงแล้ว เดี๋ยวเจ้าน้อยจะไม่สบายเอา"

"นอนห่มผ้าหนาๆ แล้วก็ฝันถึงกระหม่อมบ้างนะขอรับ"

>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>

"เจ้าน้อยเสวยข้าวเช้าก่อนนะเจ้า เดี๋ยวปี้ไปเตรียมของหื้อ เดียวเฮาจะออกเดินทางต่อกันแล้ว"

"ขอบคุณครับปี้บัวแก้ว เราพับวางไว้บนที่นอนแล้ว ฝากปี้บัวแก้วจัดเก็บให้ด้วยนะครับ"

"เจ้าเจ้าน้อย"

"เจ้าอ้ายเสวยข้าวเช้าแล้วหรือยังครับ?" เจ้าน้อยเอ่ยถามเจ้ามิ่งขวัญที่เดินมาหาตนเองหน้ากระโจม

"เรียบร้อยแล้ว เชิญเจ้าน้อยตามสบายเถิด อ้ายมาถามว่าน้องหลับสบายดีไหม? หรือไม่สบายเพราะอากาศหนาวรึเปล่า?"

"น้องนอนหลับสบายดีครับเจ้าอ้าย อากาศเย็นสบายดีครับ"

"อย่างนั้นก็ดีแล้วล่ะ เจ้าน้อยคอไปโดนอะไรมาน่ะ?" ระหว่างถามไถ่น้องชาย เจ้ามิ่งขวัญก็สะดุดกับรอยบางอย่างสีแดงบางๆ บนคอเจ้าน้อย จะว่าเป็นแมลงหรือยุงกัดก็น่าแปลกอยู่ที่ตนเองกลับไม่โดนกัดเลย เพราะในกระโจมจะมีธูปกลิ่นตะไคร้หอมที่เอาไว้ไล่ยุงไล่แมลงจุดอยู่แล้ว แถมข้างนอกยังมีการก่อกองไฟให้ควันมันไล่ยุง ไล่เอาไว้ผิงอีกด้วย

"ตรงไหนหรือครับเจ้าอ้าย?" เจ้ามิ่งขวัญเอามือแตะเบาๆที่ลำคอขาวของเจ้าน้อย พลางขมวดคิ้วหนัก คล้ายกับว่าเป็นรอยบางอย่างที่ตนรู้จัก

"อะ..เอ่อ...เมื่อคืนก่อนนอนน้องนอนไม่หลับ คงเพราะแปลกที่ เลยออกมาดูดาวดูพระจันทร์แถวๆนอกกระโจม   เลยอาจถูกยุงหรือริ้นไรแถวนี้มันกัดเอาก็ได้ครับเจ้าอ้าย" เจ้าน้อยนึกขอบคุณไหวพริบของตนเองที่ช่วยตอบคำถามของเจ้าอ้ายได้ เพราะตนเองนึกได้ว่าเมื่อคืนแสงเมืองเผลอทำอะไรที่คอตนเองเอาไว้ แต่ก็ไม่คิดว่ามันจะขึ้นสีขนาดเจ้าอ้ายสังเกตได้

"งั้นเจ้าน้อยคงต้องระวังหน่อยแล้ว ในป่าพวกยุงเหลือบริ้นมันเยอะ เดี๋ยวผิวขาวๆของน้องจะแพ้เอาได้" เจ้ามิ่งขวัญยังไม่วายคุ่นคิดถึงยุงหรือริ้นที่มากัดเจ้าน้อย พร้อมกำชับให้เจ้าน้อยดูแลตัวเองให้ดี

=========================

"มะยมๆ ตื่นได้แล้วลูก ทำไมหนูมานอนฟุบอยู่บนโต๊ะนี้ได้ล่ะลูก?"

"ขอโทษจ๊ะยาย หนูอ่านหนังสือเพลินไปหน่อย เลยเผลอหลับไป"

"ถ้าง่วงก็เข้าไปนอนต่อบนที่นอนนะลูก สักพักหนูค่อยตื่นก็ได้ มันยังเช้าอยู่เลย เดี๋ยวยายจะไปทำกับข้าว เตรียมของขายก่อน"

"ไม่เป็นไรจ๊ะยาย หนูไม่ง่วงแล้วจ๊ะ เมื่อคืนก็ไม่ได้นอนดึกมากเลยจ๊ะ" มะยมรู้สึกอย่างนั้นจริงๆ รู้สึกว่าได้นอนเต็มอิ่ม แถมยังฝันแปลกๆอีก

"งั้นหนูก็ลูกไปล้างหน้า แปรงฟันซะนะลูก แล้วค่อยไปช่วยยายก็ได้"

มะยมแปรงฟัน ล้างหน้าไป ก็คิดถึงความฝันเมื่อคืนไปด้วย ในฝันคล้ายกับว่ามะยมเห็นใครอีกคนที่รูปร่างหน้าคล้ายตนเอง เพียงแต่ผมยาวกว่ามาก ใส่ชุดในสมัยก่อน อยู่กับผู้ชายอีกคนที่เป็นทหาร แล้วทหารคนนั้นก็เรียกคนที่หน้าตาคล้ายตนเองว่า "เจ้าน้อย" และเจ้าน้อยก็เรียกทหารคนนั้นว่า "แสงเมือง"

ในฝันครั้งนี้ช่างน่าแปลก เพราะนอกจากหน้าตารูปร่างที่คล้ายกับตนเองแล้ว คนในฝันยังเหมือนกับเป็นคู่รักกันอีกด้วย มะยมส่ายหัวเบาๆ คิดว่าคงเป็นเพราะอ่านหนังสือเล่มนั้นก่อนนอน เลยทำให้ฝันเป็นตุเป็นตะ

ออฟไลน์ Akikojae

  • พี่ยุนรักน้องแจ ★彡
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1405
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1137/-17
ถ้ามะยมคือเจ้าน้อยในชาติปางก่อน
แล้วปี้แสงเมืองเล่า เจ้าอยู่หนใด
งื้อออ ชอบมากค่ะ
เราเม้นไม่ค่อยรู้เรื่องอย่าถือสาน้า อิอิ
 :กอด1:

ออฟไลน์ sirin_chadada

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4110
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +114/-8
นั่นสิ พี่แสงเมืองรายงานตัวด่วน
เป็นกำลังใจให้คนเขียนจ้า

ออฟไลน์ ApolloS

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 91
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +28/-0
ตอนที่ 13

"ยายจ๋ามะยมไปทำงานกลุ่มกับอิ๊ฟนะจ๊ะ แล้วหนูจะรีบกลับมาช่วยยายเก็บของนะจ๊ะ"

"เตรียมอะไรไปพร้อมแล้วใช่ไหมลูก ?"

"จ๊ะยาย หนูไปนะจ๊ะ"


"สวัสดีครับตาแช่ม ผมมาหาอิ๊ฟครับ จำผมได้ไหม?" มะยมยกมือไหว้ตาแช่มที่เป็นคนสวนของบ้านอิ๊ฟ หลังจากที่มาถึงและกดกริ่งเรียกจนมีคนมาเปิด บ้านของอิ๊ฟเป็นบ้านครึ่งปูนครึ่งไม้สมัยเก่า ผสมผสานระหว่างศิลปะล้านนากับยุโรปได้อย่าลงตัว เห็นคุณย่าของอิ๊ฟเคยเล่าให้ฟังว่าสมัยก่อนเรือนหลังนี้เป็นเรือนที่อยู่ในคุ้มเจ้าหลวงมาก่อน เป็นเรือนไม้สักทองศิลปะล้านนาทั้งหลัง แต่คุณปู่ของอิ๊ฟนำมาต่อเติมใหม่โดยใช้ศิลปะยุโรปมาผสมผสานเหมือนอย่างทุกวันนี้ นอกจากนี้ยังมีอีกหลายหลังในพื้นที่เดียวกัน แต่ที่น่าสนใจที่สุดคงเป็นเรือนไทยไม้สักทองหลังใหญ่ยกสูงแบบล้านนาที่อยู่ด้านในสุดของบ้านอิ๊ฟ มากี่ครั้งๆกี่ครั้งก็ทำให้อดมองไม่ได้เพราะสมัยนี้หาดูได้ยากเรือนไทยล้านนาแบบนี้ ครั้งแรกที่เห็นบ้านเรือนไทยหลังนี้มะยมก็รู้สึกว่า มันสวยมาก แต่เหนือสิ่งอื่นใดคือรู้สึกคุ้นเคยและผูกพันกับมันมากอย่างบอกไม่ถูก แต่ที่น่าแปลกคือมันถูกปิดอยู่ตลอด แต่ก็มีคนดูแลมันเป็นอย่างดีเหมือนกันทุกหลัง เพียงแต่ว่าเรือนนี้ไม่มีคนอยู่เหมือนทุกหลังนั่นเอง

"สวัสดีครับ จำได้สิครับคุณหนูมะยม ก็คุณหนูมาที่นี่ออกบ่อย" มะยมยิ้มให้เบาๆ แล้วเดินตามตาแช่มเข้าไป ตาแช่มแกเป็นคนขี้หลงขี้ลืม แต่อยู่กับแกแล้วสนุกดี อาจเป็นเพราะแกใจดีเหมือนยาย แล้วก็ชอบเอานั่นเอานี่มาเล่าให้ฟังเสมอ  จะว่าไปตาแช่มก็เป็นคนเก่าคนแก่ของที่นี้เหมือนกันนะ มะยมคิดในใจ

"มะยมมาช้าอะ" เพิ่งมาถึงแม่ตัวยุ่งนี่ก็บ่นทันที มะยมยิ้มให้เพื่อนตัวเล็กไป

"โทษทีจ๊ะ เราช่วยยายเตรียมของไว้ขายวันนี้น่ะ เลยมาช้า แต่เราเอาขนมถั่วแปปฝีมือยายมาฝากอิ๊ฟด้วยนะ"

"ชิ นึกว่าเอาขนมมาล่อแบบนี้แล้วอิ๊ฟจะหายโกรธเหรอ?"

"โทษทีนะอิ๊ฟ งั้นเราเอาบัวลอยนี่ให้อีกด้วย ของโปรดอิ๊ฟทั้งนั้นเลยน้า ไม่เอาจริงเหรอ?" มะยมเอ่ยแซวเพื่อนไปเพราะหน้ายัยตัวยุ่งตอนนี้ยุ่งซะยิ่งกว่าอะไรอีก

"ชิ อิ๊ฟไม่ใช่คนเห็นแก่กินนะ"

"งั้นก็แสดงว่าอิ๊ฟไม่เอาใช่ไหม? เราจะได้เอาไปให้ตาแช่ม แกคงดีใจที่ได้กินของอร่อยๆแบบนี้"

"เอาไปใส่จานด้วย!!" มะยมยิ้มให้กับความน่ารักแสนงอนของเพื่อนตัวเล็ก ทำให้รู้สึกเหมือนมีเพื่อนกับน้องสาวในเวลาเดียวกัน

"ขอรับท่านหญิง" มะยมรู้จักบ้านของอิ๊ฟดี เพราะมาบ่อยอย่างที่ตาแช่มว่านั่นแหละ แต่มาทุกครั้งก็ไม่ค่อยเห็นใครเลย นอกจากคุณย่าของอิ๊ฟ เพราะพ่อกับแม่อิ๊ฟออกไปทำงานด้วยกันทั้งคู่ คุณย่าก็คงอยู่ในห้องหรือไม่งั้นก็อยู่ในสวนหลังบ้าน มะยมชอบบ้านอิ๊ฟนะ สวยดี สวนก็สวย มีแต่ดอกไม้หอมๆเต็มไปหมด เดินดูแล้วสบายใจดี ส่วนอีกคนพี่ชายอิ๊ฟ ซึ่งมากี่ทีก็ไม่เคยเจอเลย อิ๊ฟบอกว่าพี่ชายคนนี้บ้างานมาก แถมยังเนื้อหอมอีกด้วย แต่ที่อิ๊ฟสงสัยก็คือพี่ชายตนเองจะเป็นเกย์รึเปล่า? เพราะอายุก็ปาไปตั้งสามสิบกว่าแล้ว แต่ยังไม่เห็นพาแฟนมาให้รู้จักเลย บอกว่ามีดูๆกันบ้าง แต่ดูกันได้ไม่เท่าไหร่ก็เลิกกัน เพราะพี่ชายของอิ๊ฟมัวแต่บ้างาน ไม่สนใจแฟน ผู้หญิงที่ไหนเค้าจะทนได้ เห็นอิ๊ฟบอกว่างี้นะ

"สวัสดีครับคุณย่า"

"ไหว้พระเถิดจ๊ะหลาน ย่าจะทำขนมจีนน้ำเงี้ยว พอดีเลยจะได้มาทานด้วยกัน"

"ขอบคุณครับคุณย่า"

"ดีจังเลยค่ะคุณย่า อิ๊ฟจะกินให้พุงกางไปเลย" เพื่อนสาวของมะยมพูดด้วยสายตาเป็นประกายเพราะฝีมือคุณย่านวลอร่อยที่สุด นานๆทีจะได้กินสักที

"เป็นสาวเป็นนางสมัยนี้เค้าต้องรักษารูปร่างกันไม่ใช่เหรอลูก ขืนกินเยอะขนาดนี้คงไม่มีคนมาจีบหลานย่าพอดี เพราะหลานย่าคงจะอ้วนเป็นตุ่มแน่ๆ"

"แหมคุณย่าค่ะ อิ๊ฟยังไม่อยากมีหรอกค่ะ รอเรียนให้จบก่อน ยังอยากใช้ชีวิตโสดให้เต็มที่ นี่อิ๊ฟก็เพิ่งยี่สิบกว่าเอ็งนะค่ะคุณย่า ยังไม่ต้องรีบก็ได้ อิอิ"

"แล้วมะยมล่ะ มีแฟนกับเค้ารึยังลูก หรือว่าจะรอเป็นโสดพร้อมหลานย่า?"

"ยังไม่มีหรอกครับคุณย่า ผมก็เหมือนอิ๊ฟครับ อยากเรียนให้จบก่อน จะได้หางานทำ จะได้ดูแลยายได้ครับ"

"หนูเป็นเด็กดี คิดดีทำดี ตกน้ำไม่ไหล ตกไฟไม่ไหม้หรอก เชื่อย่า ความกตัญญูของหนูจะช่วยให้หนูประสบความสำเร็จและเป็นเกราะคุ้มของหนูจากสิ่งไม่ดี" คุณย่ายกมือขึ้นลูบหัวมะยมอย่างเอ็นดู เพราะนึกรักและเอ็นดูเด็กคนนี้มาตั้งแต่แรกเห็นครั้งเมื่อหลานสาวพาเพื่อนมาทำงานกลุ่มที่บ้านครั้งแรก ทั้งกริยา น่าตาช่างเรียบร้อย น่ารักไปเสียหมด แต่เหนือสิ่งอื่นใดคือความกตัญญูที่มะยมมีอยู่ เพราะได้ยินหลานสาวพูดถึงบ่อยๆว่ามะยมเพื่อนของตนเอง น่ารัก เรียนเก่ง ขยัน เรียนเสร็จหรือว่างก็จะรีบกลับไปช่วยยายขายของทันที

"ครับคุณย่า"

"งั้นย่าไปทำขนมจีนก่อนนะ เดี๋ยวตอนเที่ยงตาอิฐจะกลับมาทานกลางวันด้วยกัน"

"เป็นแบบนี้นี่เอง ถึงว่าวันนี้คุณย่าถึงลงครัวทำเอง เป็นเพราะหลานชายสุดที่รักจะกลับมาทานกลางวันด้วยนั่นเอง อิอิ"

"ก็นานทีย่าจะได้อยู่คุยกับหลานๆพร้อมหน้าพร้อมตาสักที ก็พี่ชายเรานั่นแหละมัวแต่ทำงานหามรุ่งหามค่ำ กว่าจะกลับบ้านมาย่าก็ขึ้นนอนแล้ว เป็นแบบนี้ทุกที" คุณย่านนวลบ่นถึงหลานชายบ้างานที่นานๆทีจะได้เจอ

"คุณย่ายังไม่ชินอีกเหรอค่ะ อิ๊ฟชินแล้วล่ะค่ะ ถ้าคุณย่าอยากให้พี่อิฐกลับบ้านเร็วๆ แล้วเลิกบ้างาน คุณย่าก็ให้พี่อิฐแต่งงานมีครอบครัวสิค่ะ เผื่อจะได้รีบกลับบ้านมาเจอหน้าเมียเหมือนกับเค้าบ้าง อิอิ"

"เราก็มีความคิดเข้าท่านะหลานย่า แต่ตาอิฐเค้ายังไม่มีแฟนไม่ใช่เหรอลูก?"

"ใช่ค่ะคุณย่า ใครจะไปทนได้ ผู้ชายบ้างาน ทำงานจนลืมเวลานัด ลืมวันสำคัญ มีนัดกับผู้หญิงแต่ดันทำงานเพลิน จนเลยเวลาเป็นชั่วโมง สองชั่วโมง"

"นั่นสินะ ย่าก็อยากเห็นนักว่าใครมันจะช่วยทำให้หลานย่ากลับมาเป็นคนปกติ ที่ไม่ใช่หุ่นยนต์แบบนี้ได้บ้าง?" ย่านวลหัวเราะเบาๆ กับคำพูดของหลานสาว ส่วนมะยมได้แต่ยิ้มบางๆกับสองย่าหลานที่เมาท์เรื่องมนุษย์โรบอท

"คุณย่าขา หนูกับมะยมมีเรื่องขอร้องให้คุณย่าช่วยค่ะ คือพวกเรากำลังทำงานกลุ่มเกี่ยวกับอาณาจักรล้านนาค่ะคุณย่า แล้วอาจารย์ให้เลือกหัวข้อที่น่าสนใจมาหนึ่งเรื่อง พวกเราก็เลยเลือกเอาเรื่อง "ปิงนครค่ะคุณย่า" แต่มันไม่ค่อยมีข้อมูลสักเท่าไหร่ เลยจะขอให้คุณย่าเล่าให้ฟังได้ไหมค่ะ?"

"ทำไมถึงคิดจะมาถามย่าล่ะลูก?"

"ก็หนูเหมือนจำได้นิดหน่อยว่าคุณย่าเคยพูดถึงเมืองนี้อยู่เหมือนกัน เลยมาขอให้คุณย่าช่วยไงค่ะ นะค่ะคุณย่า?"

"ย่าก็เล่าให้หนูฟังตั้งนานแล้วนิลูก จำไม่ได้รึไง หื้ม? เล่าให้หนูฟังก่อนนอนทุกคืน มาถามย่าตอนนี้ ย่าก็ไม่รู้จะจำได้หมดรึเปล่าเพราะมันนานมาแล้ว ตั้งแต่สมัยย่ายังเด็กๆโน้น ตอนนี้ย่าก็แก่แล้วด้วยสิ"


"ยังไม่แก่สักหน่อย คุณย่าขอบหนูยังแข็งแรง ความจำดีอยู่เลย" ย่านวลยิ้มและส่ายหัวไปมากับความช่างพูดของหลานสาว

"งั้นหนูเดินไปเอากุญแจมาเปิดบ้านเรือนไทยนะลูก ย่าจะไปทำน้ำขนมจีน แล้วจะตามไปนะลูก ที่นั้นมีหนังสือทีหลายๆอย่างเกี่ยวกับปิงนครเยอะแยะเลย พวกหนูเข้าไปนั่งอ่านก่อนได้เลย"

"ค่ะ/ครับ คุณย่า"


"มะยมคงไม่เคยขึ้นไปบ้านเรือนไทยนี่ใช่ไหม? เรือนหลังนี้เก่าแก่มากเลยนะ ตั้งแต่สมัยคุณทวดเราแล้วล่ะ"

"อื้ม ยังไม่เคยขึ้นไป สวยดีนะบ้านเรือนไทย สมัยนี้หาดูได้ยากด้วย มีแต่บ้านอิฐบ้านปูนไปเสียหมด"

"ตามขึ้นเราขึ้นมาสิมะยม เดี๋ยวก่อนนะเราหากุญแจเปิดบ้านก่อน เอ๊ะ!! เราว่าเราเอามาแล้วนะ สงสัยคงลืมไว้ตอนไปเข้าห้องน้ำเมื่อกี้ งั้นมะยมรอนี่นะ เดี๋ยวเรากลับไปเอามาก่อน" มะยมหยุดยืนดูสภาพบ้านหลังนี้อยู่นานจนอิ๊ฟต้องเรียกให้ตามขึ้นไปบนบ้าน อาจเป็นเพราะยิ่งได้เห็นใกล้ๆ ยิ่งทำให้รู้สึกเหมือนกับว่าน้ำตามันจะไหล คิดถึงจนบอกไม่ถูก

"อื้ม!!" มะยมรับปากเบาๆ พรางมองบ้านเรือนไทยล้านนาหลังนี้ด้วยความประหลาดใจก็ไม่ใช่ มันมีหลายความรู้สึกที่บรรยายไม่ได้ ทั้งเงียบเหงา ทั้งเศร้า และเต็มไปด้วยความรักอย่างบอกไม่ถูก จากนั้นก็เหมือนมีภาพอะไรไม่รู้มากมายที่ค่อยๆไหลเข้ามาในหัวของมะยมเต็มไปหมดเกี่ยวกับสถานที่แห่งนี้ เป็นภาพที่มะยมเคยฝันตั้งนานแล้ว ทั้งเสาต้นนี้ ระเบียงตรงนั้น และใครอีกหลายคนที่เหมือนว่าจะเกี่ยวข้องกับที่แห่งนี้ มันช่างเหมือนกับในฝันของมะยมเหลือเกิน พลันน้ำตาจะไหล

"อ้าวมะยมเปิดบ้านหลังนี้ได้ยังไงอ่ะ? มะยมๆ" อิ๊ฟเดินเข้ามาเขย่าแขนเรียกมะยม เพราะเห็นว่ามะยมยืนเงียบไม่ตอบอะไร แถมยังเหม่อๆอีก

"ว้าย มะยม มะยมเป็นอะไรอะ" อิ๊ฟร้องลั่นเพราะหลังจากที่ไปเขย่าแขนเรียกมะยมแล้วมะยมไม่ตอบ แต่กลับเป็นลมเกือบล้มลงไป ยังดีที่พี่อิฐเข้ามาประคองไว้ได้ทัน อิ๊ฟตกใจกลัวเพื่อนเป็นอะไร แต่ก็ไม่รู้จะทำยังไง ดีที่อิฐมีสติรีบอุ้มกลับไปที่บ้านใหญ่ได้ทันที

"ว้ายคุณอิฐ คุณอิ๊ฟ คุณมะยมเป็นอะไรไปค่ะ?" เด็กในบ้านถามด้วยความตกใจ

"อย่าเพิ่งถามได้ไหมน้อย ไปหายาดมมาให้ก่อน" อิฐบอกเสียงขรึม ทำให้น้อยเด็กรับใช้ในบ้านต้องรีบวิ่งไปหายาดมมาให้ทันที

"เสียงดังอะไรน่ะตาอิฐ ?" คุณย่าที่เพิ่งออกมาจากครัวถามขึ้น เพราะเวลานี้ทุกคนแตกตื่นกันไปหมด

"มะยมเป็นลมค่ะคุณย่า" อิ๊ฟที่เพิ่งได้สติตอบย่านวลออกไป ทั้งที่ใจก็พะวงเป็นห่วงเพื่อนอยู่มาก

"แล้วให้ใครเอายาดมยาหอมมาให้รึยัง?"


"ผมให้น้อยเอามาให้แล้วครับคุณย่า"

""มาแล้วค่ะคุณอิฐ" หลังจากเอายาดมให้คนตัวเล็กดมแล้ว อิฐก็เพิ่งมีโอกาสมมองหน้าเพื่อนสนิทของน้องสาวคนนี้อย่างพินิจวิเคราะห์ 














« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 01-02-2015 10:17:04 โดย ApolloS »

ออฟไลน์ Akikojae

  • พี่ยุนรักน้องแจ ★彡
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1405
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1137/-17
พี่อิฐคือพี่แสงเมืองใช่ไหม  :mew1:
รอวันทุกอย่าเฉลยนะคะ
น้องมะยมรีบฟื้นนะลูก

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด