บทที่ 5 ไม่มีทางเลือก(จบ)
“อรุณสวัสดิ์ครับทุกคน” ภาวัฒน์โบกมือทักทายเจ้าหน้าที่ห้องฉุกเฉินทุกคนอย่างร่าเริง ก่อนจะไปจบลงที่พยาบาลสาวหน้าเคาน์เตอร์ เขายกถุงน้ำเต้าหู้และปาท่องโก๋ถุงใหญ่ส่งให้ “สวัสดีครับพี่ชโลธรคนสวย เวรเช้าเหรอครับ นี่ของฝาก แบ่งๆ กันทานนะครับ”
“ถ้าไม่เข้าเวรคงไม่มานั่งทำสวยอยู่ตรงนี้หรอกค่ะ” ชโลธรตอบ ตั้งแต่ภาวัฒน์ปฏิรูปหน้าตาตัวเองให้ดูน่าคบหาเธอก็ยอมญาติดีกับเขาขึ้นมาทันที “แล้วก็ขอบใจนะจ๊ะ ตอนนี้พี่กำลังหิวพอดี เคสยุ่งแต่เช้าเลย พี่ขอร้องน้องพลุวันนี้อย่าขยันไปรับคนไข้มาเยอะนะจ๊ะ... น้า”
“ขอร้องผมไม่ได้หรอกครับ ผมก็ทำไปตามหน้าที่”
“ว่าไงพลุ” ชายวัยกลางคนในชุดหมีสีดำคาดแถบสีส้มคนหนึ่งเดินตรงเข้ามาหา “มาถึงก็หว่านเสน่ห์เชียวนะ”
“สวัสดีครับหัวหน้า” เด็กหนุ่มยกมือไหว้ “กินข้าวเช้ามาหรือยังครับผมซื้อน้ำเต้าหู้ร้านเจ้าประจำมาฝาก”
“โดนไปเรียบร้อยล่ะ ขอบใจมาก” หัวหน้าตบไหล่อย่างเอ็นดู “เออ ฉันมีข่าวร้ายจะมาบอก เรื่องงานวิทยากรที่เชียงใหม่อาทิตย์นี้น่ะฉันคงไปกับนายไม่ได้แล้วล่ะพอดีแม่ยายป่วย ต้องทำหน้าที่ลูกเขยที่ดีพาเมียกับลูกไปเยี่ยม” เขาบอกด้วยใบหน้าเคร่งเครียด
“ไปเป็นไรครับ ผมไปกับพี่หนึ่งแค่สองคนก็ได้”
“เจ้าหนึ่งก็ติดธุระด่วนเหมือนกัน” หัวหน้าเสียงเครียดยิ่งกว่าเดิม “เมียเพิ่งคลอดลูกเมื่อเช้า แล้วจู่ๆ จะให้ไปทำงานไกลๆ ตั้งหลายวันมันก็... นะ แต่ไม่ต้องห่วงฉันหาคนมาแทนได้แล้วคนนึง”
“ได้แค่นี้ก็ดีแล้วครับ”
“ดีๆ” หัวหน้าตบบ่าเด็กหนุ่มอย่างโล่งอก “ศุภพัฒน์เองก็ยังเป็นแค่อาสาสมัครมือใหม่อยู่เลย จะปล่อยไปกับนายสองคนก็ห่วงอยู่แต่ถ้านายไม่ว่าอะไรฉันก็ค่อยเบาใจหน่อย ฝากนายดูแลเขาด้วยแล้วกันนะ”
ภาวัฒน์ตาโต “หัวหน้าว่าใครจะไปกับผมนะครับ”
“ก็ศุภพัฒน์เพื่อนนายไง... นี่เขาอาสามาช่วยเองเลยนะ”
“งานนี้จะต้องสนุกแน่ๆ เลยนายว่าไหม” เสียงทุ้มดังขึ้น แล้วร่างสูงใหญ่ในชุดหมีสีดำคาดแถบสีส้มอีกคนก็เดินเข้ามาร่วมวงสนทนา
ภาวัฒน์พูดไม่ออก แค่รู้ว่าต้องกลับบ้านเกิดเขาก็เต็มกลืนแล้วแต่ก็พยายามคิดว่ามันเป็นงาน เขาจะไม่เที่ยว ไม่ออกจากโรงแรมไปไหนเพื่อลดความเสี่ยงที่ต้องเจอ ‘คนๆ นั้น’ แต่ถ้าให้เพื่อนสมัยเด็กคนนี้ไปด้วยแผนการที่วางไว้ต้องล่มไม่เป็นท่าแน่ๆ
“นั่นนายมาทำอะไรที่นี่น่ะ” คุณหมอหนุ่มที่หอบชุดใส่แล้วออกมาจากห้องพักแพทย์เพื่อเอากลับไปซักที่บ้านเดินผ่านมาพอดีร้องด้วยความตกใจที่เห็นคนเมาเมื่อคืนสวมชุดหมีกอดคอหยอกล้อกับเด็กหนุ่มอยู่
คนตัวโตยิ้มกว้างให้คนในอ้อมแขนก่อนจะหันไปหาปาวัสม์และยกมือไหว้ “ผมเป็นเพื่อนสนิทพลุชื่อศุภพัฒน์หรือจะเรียกเทมส์ก็ได้ ยินดีที่ได้รู้จักครับว่าแต่... คุณลุงเป็นใครเหรอครับ”
เปิดศึกชัดเจนด้วยสรรพนามที่เจตนาให้รู้ว่าเขาสนิทกับภาวัฒน์มากจนรู้ว่าผู้ชายคนนี้โกหกเรื่องเป็น ‘พี่ชาย’ และจงใจตอกย้ำว่าระหว่างพวกเขามันช่าง ‘ต่าง(วัย)’ กันสุดๆ
“เรียกพี่ก็พอมั้ง” ปาวัสม์เหยียดยิ้มการฑูตตอบกลับไปได้อย่างแนบเนียนพร้อมกับตบบ่าคนอายุน้อยกว่าแต่ดันตัวโตกว่า... มีเด็กป่วนโผล่มาอีกคนแล้วเหรอเนี่ย “พี่ชื่อปืนเป็นหมอที่นี่”
“ครับ อาหมอ” ศุภพัฒน์ยอมลดลงให้หน่อยนึงเพราะคนในชุดหมีที่ยืนอยู่ข้างกันมองเขาตาเขียวปัด
“พวกนายสองคนไหวแน่นะ” หัวหน้าหน่วยกู้ชีพพูดเรื่องที่ค้างไว้ต่อดูท่ายังไม่ค่อยวางใจเท่าไหร่
“มีปัญหาอะไรกันครับหน้าเครียดเชียว หรือเจ้าแสบนี่ไปก่อเรื่องอะไรไว้”
“เรื่องงานวิทยากรน่ะครับคุณหมอ” หัวหน้าบอก “พอดีผมกับลูกน้องอีกคนดันติดธุระ งานมีอาทิตย์นี้แล้วด้วย ไปตั้งสามวัน แถมยังไกลถึงเชียงใหม่แน่ะ ตอนนี้เลยกำลังกลุ้มใจอยู่ว่าจะหาใครไปเป็นเพื่อนเจ้าพลุมันดี นี่เพิ่งได้เจ้าศุภพัฒน์มาช่วยแค่คนเดียวเอง... แต่ของมันเยอะแถมคนฟังยังเป็นเด็กม.ปลายร่วมสองร้อยคนแน่ะ ถ้าได้คนเก่งๆ เป็นงานมาช่วยอีกสักคนก็แจ่มเลย”
คำว่า ‘คนเก่งๆ เป็นงาน’ ที่ลอยมากระทบหูเหมือนจะเป็นคำขอร้องแกมบังคับยังไงพิกลแต่สิ่งที่ทำให้ปาวัสม์ตัดสินใจเด็ดขาดคือภาพเด็กหนุ่มในชุดหมีสองคนที่ยืนตัวติดจนแทบจะสิงกัน “งั้นให้ผมช่วยนะครับ”
“แต่อาทิตย์นี้หมอปืนเข้าเวรยาวสามวันรวดเลยไม่ใช่เหรอครับ”
...แล้วนั่นนายมารู้ตารางเวรฉันได้ไงน่ะ ขนาดฉันเองยังจำไม่ได้เลยนะ!?...
เขาหรี่ตามองคนผมน้ำตาลที่เหมือนจะรู้ตัวว่าพูดอะไรมีพิรุธออกมาจึงแกล้งทำเป็นผิวปากไม่รู้ไม่ชี้
“ไม่รบกวนคุณหมอแน่นะครับ” หัวหน้าย้ำให้แน่ใจ
“ไม่ไปก็ไม่มีใครว่าหรอกนะ” ศุภพัฒน์กระซิบลอยลม
ปาวัสม์นึกหมั่นไส้จนอยากจะกระโดดเบิ๊ดกะโหลกคนตัวโตสักที “ไม่เป็นไรครับ ผมไปได้” เขาฉีกยิ้มกว้างเห็นฟันขาวครบสามสิบสองซี่ เรื่องเวรไว้ค่อยไปปวดหัวทีหลัง เพราะตอนนี้ความต้องการเอาชนะมันมีมากกว่า ใครจะไปยอมปล่อยให้เจ้าเด็กแสบนี่ไปกับเจ้าเพื่อนตัวดีนั่นสองต่อสองกันล่ะ!
“ท่าทางน่าสนุกเชียว ขอนิวไปด้วยคนได้ไหมคะ” เสียงหวานแทรกขึ้นพร้อมกับเสียงรองเท้าส้นสูงที่หยุดลงข้างกายร่างสูง มือเรียวเอื้อมมาคล้องแขนอย่างเป็นเจ้าข้าวเจ้าของ
“ไม่มีปัญหาครับคุณหมอ” หัวหน้ายิ้มแก้มปริที่เห็นคุณหมอสาวสวยอีกคนมาช่วยขันอาสา
“เอ่อ... นิวจะไปได้หรือจ๊ะตั้งสามวันเลยนะ” ปาวัสม์ท้วงเบาๆ พร้อมทั้งพยายามแกะมือรชญาออกแต่มันกลับจับเขาแน่นยิ่งกว่าตีนตุ๊กแกเสียอีก
“พี่ปืนไม่อยากให้นิวไปด้วยเหรอคะ” รชญาย้อนถามเสียงเครียดก่อนที่หน้าหวานๆ จะหม่นลงและพูดต่อด้วยน้ำเสียงเศร้าสร้อย “น่าเสียดายจังที่นิวคงไปกับพี่ปืนไม่ได้...” นัยน์ตากลมโตตวัดมองคนผมสีน้ำตาลพร้อมกับริมฝีปากสีกุหลาบกระตุกมุมขึ้นยิ้ม “ยังไงก็ฝากน้องพลุดูแล ‘พี่ปืนของพี่’ ด้วยนะจ๊ะ”
OOOOOO
“เคสเตียงสี่ไม่มีปัญหาอะไรแล้วให้กลับบ้านได้เลยนะ ส่วนเตียงห้าน่าจะเป็นไส้ติ่ง ให้น้องตามหมอศัลยกรรมมาดูแล้ว”
ปาวัสม์พูดโทรศัพท์พลางเปิดสมุดโน้ตเพื่อส่งต่ออาการผู้ป่วยซึ่งยังคงตกค้างอยู่ที่ห้องฉุกเฉินในเช้าวันนี้ ในขณะที่ตัวเขาพร้อมเป้หนึ่งใบกำลังนั่งหาวอยู่หน้าเคาน์เตอร์เชคอินสำหรับผู้โดยสารขาออกที่สนามบินสุวรรณภูมิเพื่อรอขึ้นเครื่องเดินทางไปให้ความรู้เรื่องการช่วยชีวิตเบื้องต้นกับภาวัฒน์ โดยมีจุดหมายปลายทางคือจังหวัดเชียงใหม่
และผู้ช่วยชีวิตในนาทีเวรแน่นวิกฤตเช่นนี้ก็ไม่ใช่พระเจ้าหรือเทวดาที่ไหนแต่เป็นวิทยาเพื่อนรักของเขาเองที่ยอมควงเวรสามวันรวมทั้งสิ้นเจ็ดสิบสองชั่วโมงรวดเพื่อให้เขาได้ไปช่วยงานเด็กหนุ่มตามใจต้องการ
“ขอบใจมากนะจิว ถ้ามีอะไรโทรหาได้ตลอดเลยนะแล้วจะซื้อของไปฝาก... ไม่เอาเหรอ... ขอเป็นเลี้ยงเหล้าแทน ได้ๆ ไม่มีปัญหาแล้วไว้คุยกันนะ ขอบใจอีกทีนะจิว”
จบสายปาวัสม์ก็โยนโทรศัพท์ทิ้งข้างตัวอย่างเหนื่อยล้าจากการอดนอนทำงานมาทั้งคืน เขาถอดแว่นออก หลับตาลงและกำลังใช้นิ้วโป้งนวดหัวตาให้ผ่อนคลายพลันนึกถึงผู้หญิงคนหนึ่งที่ต้องโวยวายโรงพยาบาลแตกแน่ๆ ถ้าไม่โทรหาก่อนเครื่องออก ปาวัสม์สะดุ้งลุกขึ้นนั่งตัวตรงและคว้าโทรศัพท์มากดอีกครั้ง
ปลายสายรับในชั่วอึดใจ
“อุ้ม” เขาพยายามทำเสียงให้หวานที่สุดเพราะดูท่าคนรับจะเพิ่งตื่นและไม่อยู่ในอาการอยากคุยเท่าใดนัก แต่เขาต้องชิงลงมือช่วงนี้ล่ะเพราะถ้านุชนันท์ได้สติเต็มที่เขาอาจต้องฟังเธอบ่นยาวทีเดียว “ตอนนี้อยู่สนามบินแล้ว รอเชคอินอยู่... ไปเชียงใหม่ สามวันกลับ เธออยากกินไร เอาแคปหมูน้ำพริกหนุ่มนะ... ไส้อั่วด้วย ได้ๆ เดี๋ยวซื้อไปฝากห้าโล... ไม่พอเหรอ! โอเคๆ สิบโลก็สิบโลจ๊ะ จ้า... ถึงแล้วจะโทรหา งั้นแค่นี้นะจ๊ะ”
คุณหมอหนุ่มกดวางสายและถอนหายใจอย่างโล่งอกก่อนจะหลับตาเอนหลังพิงพนัก เขาเผลอไผลหลับไปจึงไม่ทันรู้ตัวว่าใครคนหนึ่งย่องมายืนอยู่ข้างหลัง ใครคนนั้นจึงแกล้งกระโดดตะครุบไหล่อย่างแรงเพื่อปลุกให้เขาตื่น
“แฮ่!!!”
ปาวัสม์สะดุ้งสุดตัวจนเกือบไถลตกเก้าอี้ “ตกใจหมด เล่นอะไรเนี่ย” มือใหญ่ฟาดเข้าที่ไหล่เด็กหนุ่มไปทีนึง
“หมอปืนอยากเปิดช่องว่างนั่งหลับเองทำไมล่ะ”
“ช่วยไม่ได้ก็คนมันง่วงนี่ เมื่อคืนโคตรยุ่งเลย” พูดจบปาวัสม์ก็หาวปากกว้างอย่างควบคุมไม่ได้
“นี่ขนาดผมไม่ได้เข้าเวรนะเนี่ย” ภาวัฒน์แซว “งานนี้โทษผมไม่ได้ล่ะ หมอปืนดวงยุ่งเองนะ เดินไปทางไหนงานเข้าตลอด... เอ๊ะ! แบบนี้ผมต้องระวังแล้วสิขืนอยู่ใกล้คุณหมอมากๆ ติดเชื้อความซวยไปล่ะแย่เลย”
“ปากดีนักนะมานี่เลย” ปาวัสม์คว้าตัวเด็กหนุ่มมาล็อกคอจากด้านหลังและใช้กำปั้นกดหนักๆ ที่ข้างขมับ “คนที่ซวยน่ะฉันต่างหาก”
“โอ๊ย! หมอปืน มันเจ็บนะครับ”
“สองคนเล่นอะไรกัน” ศุภพัฒน์ร้องขัดขึ้นพร้อมทั้งโบกมือทักทายอย่างอารมณ์ดี
“สวัสดีเทมส์” ปาวัสม์กำลังจะพยายามตัดอารมณ์ขุ่นมัวแกมหมั่นไส้คนตรงหน้าทิ้งไปพร้อมทั้งยิ้มทักทายเพราะต้องอยู่ด้วยกันไปอีกสามวัน ถ้าคนตัวโตไม่มาดึงตัวภาวัฒน์จากอ้อมแขนเขาไปกอดเสียก่อน
“ไม่เจอกันตั้งสามวันคิดถึงนายที่สุดเลยพลุ”
...แต่ตอนนี้กระผมหมั่นไส้เอ็งเป็นบ้าเลยครับ...
“ของมีเท่านี้ใช่ไหม” ศุภพัฒน์กวาดสายตาดูสัมภาระต่างๆ ซึ่งมีแค่กระเป๋าเดินทางใบใหญ่สองใบที่ใส่รวมทั้งเสื้อผ้าและอุปกรณ์การสอนทั้งหมดไว้ “งั้นเรารีบไปกันเถอะ”
ภาวัฒน์เหลือบมองร่างสูงที่ยืนดูอยู่ หัวคิ้วที่ย่นจนแทบจะชนกันทำให้เขาเกิดนึกอยากลองเล่นอะไรดูสักหน่อย เขาหันไปยิ้มกับคนตัวใหญ่กว่าและยกมือขึ้นกอดตอบ “ไปกันเถอะ”
ตอนนี้ดูราวกับศุภพัฒน์จะยึดตัวคนผมน้ำตาลไว้คนเดียวและปาวัสม์ก็กลายเป็นส่วนเกินที่ได้แต่เดินตามหลังมาเงียบๆ “นี่เป็นครั้งแรกของฉันเลยนะที่จะได้ไปสอนนอกสถานที่แถมยังเป็นเด็กอีก แค่คิดก็ตื่นเต้นสุดๆ แล้ว”
“ไม่เกินความสามารถนายหรอก” ภาวัฒน์ตอบ “เนื้อหาก็พื้นๆ ที่ยากน่ะคงเรื่องรับมือเด็ก ซึ่งนายคงสบายอยู่แล้วปกติที่บ้านก็รับสอนเด็กอายุประมาณนี้นี่”
“แต่ถ้าเกิดเด็กมันดื้อฉันก็ไม่มีสิทธิ์สั่งวิดพื้นแบบในคลาสนี่หว่า แล้วถ้ายิ่งร้องไห้งอแงขึ้นมาฉันคงทำอะไรไม่ถูกเลย”
“จะบ้าเรอะ! เด็กม.ปลายที่ไหนจะมางอแงวะ “
“เออใช่ ฉันก็ลืมไป”
แล้วทั้งสองคนก็หัวเราะคิกคักไปด้วยกัน
ปาวัสม์มองภาพตรงหน้ารู้สึกแปลกๆ อยู่ในใจอย่างอธิบายไม่ถูกมันเจ็บแปลบคล้ายๆ กับอาการหัวใจขาดเลือด เขายกมือกุมหน้าอกกำลังคิดโทษข้าวขาหมูจานใหญ่ที่ซัดไปก่อนมาก็พอดีกับมีสายเรียกเข้า เขารีบกดรับทันทีที่เห็นชื่อบนหน้าจอ รู้สึกตกใจไม่น้อยที่ตัวเองลืมคนสำคัญที่สมควรโทรหาอีกคนไปเสียสนิทเพราะรชญายื่นคำขาดสั่งให้เขาโทรศัพท์หรือส่งข้อความหาสามเวลาหลังอาหารเป็นอย่างน้อย หรือจะทุกชั่วโมงได้เลยยิ่งดี
“ครับนิว ตอนนี้เชคอินแล้วกำลังเดินไปขึ้นเครื่อง... อืม ถึงแล้วจะโทรหานะ “ พูดไปพลางปาวัสม์ก็เหลือบมองเด็กหนุ่มทั้งสองที่หยุดยืนรอ เขากำลังจะกดวางสายอยู่แล้วเมื่อสายตาสบเข้ากับอ้อมแขนของคนตัวโตที่ยังโอบหลวมๆ อยู่รอบเอวร่างโปร่ง สายตาคมเลื่อนขึ้นสบตาคนถูกโอบโดยอัตโนมัติ เขากระซิบถ้อยคำหวานก่อนจะกดวางสาย “รักนะครับนิว”
“น่ารักจังเลยนะครับเวลาอาหมอคุยกับแฟน” ศุภพัฒน์ยิ้มมีเลศนัยน์พลางหันไปหาคนในอ้อมแขนที่แกล้งทำเป็นไม่ได้ยินทั้งยังเบี่ยงตัวออกห่างก่อนจะหันไปสาละวนเช็คกระเป๋าเป้ที่จะนำขึ้นเครื่องและตั๋วเครื่องบินทั้งที่ไม่จำเป็น
“รีบขึ้นเครื่องกันเถอะแถวเริ่มสั้นแล้ว” ภาวัฒน์ตัดบท เจ็บแปลบที่หัวใจกับแผนลองใจแบบเด็กๆ ของตัวเองแล้วโดนย้อนกลับเข้าอย่างจัง... เล่นเองเจ็บเอง ไม่มีสิทธิ์โทษใคร
“พลุนั่งตรงไหน ฉันได้ที่นั่งติดทางเดินน่ะ” ศุภพัฒน์ถาม
ภาวัฒน์หยิบตั๋วตนเองขึ้นมาดูอีกครั้ง “ของฉันติดหน้าต่าง”
คนตัวโตมีสีหน้าผิดหวังอย่างไม่ปิดบังเพราะคิดมาตลอดว่าต้องนั่งติดกัน “งั้นใครนั่งตรงกลางล่ะ?”
“ก็ฉันไง!” ปาวัสม์เบียดตัวเข้ามานั่งที่ตน ในที่สุดสองคนนี้ก็ออกจากโลกส่วนตัวและรับรู้สักทีว่ามีเขาร่วมเดินทางมาด้วย
ภาวัฒน์หลุดขำออกมาเล็กน้อย “ดีแล้วนั่งข้างกัน จะได้สนิทๆ กันไว้”
“อืม” ทั้งสองรับคำทั้งรอยยิ้ม หากในใจคิดตรงกันเป็นครั้งแรกว่า
...ใครเขากันอยากสนิทกับนาย/ลุงกัน!!!...
“เป็นอะไร หน้าเครียดเชียว กลัวความสูงเหรอ” ปาวัสม์กระซิบถามเมื่อเห็นคนหน้าทะเล้นเอาแต่นั่งเงียบกุมมือตัวเองแน่น ในขณะที่คนตัวโตหลับปุ๋ยตั้งแต่เครื่องเริ่มเทคออฟแล้ว
“เปล่าครับ” เด็กหนุ่มแค่นยิ้ม “แค่รู้สึกไม่ค่อยดี”
ปาวัสม์หันไปส่งสัญญาณเรียกแอร์โอสเตสสาวในชุดกระโปรงสั้นสีส้มอ่อน “ขอน้ำหน่อยครับ”
แอร์โฮสเตสสาวยิ้มและเพียงอึดใจเธอก็กลับมาพร้อมสิ่งที่เขาขอ “หลานชายไม่สบายเหรอคะ”
ปาวัสม์สะดุ้งเฮือก “ไม่ใช่หลานหรอกครับ เพื่... เอ่อ น้องชายกับเพื่อนน่ะครับ”
นัยน์ตาคมเหลือบมองเด็กหนุ่มสองคนที่นั่งขนาบข้าง แม้อายุจะไม่ห่างกันจนดูเหมือนพ่อกับลูกแต่ก็ไม่ได้ใกล้เคียงขนาดจะให้บอกเป็นเพื่อนร่วมงาน แต่ที่น่าแปลกคือทำไมเขาต้องตกใจและหงุดหงิดแบบนี้ด้วย ทั้งที่แค่โดนทักว่าเป็นอากับหลาน เขาแค่ไม่ชอบใจที่โดนหาว่าแก่ใช่ไหม... ใช่! มันต้องใช่แน่ๆ เพราะเขายังไม่แก่ถึงขนาดนั้นสักหน่อย
“เอ่อ... ขอโทษค่ะ พอดีดิฉันได้ยินน้องอีกคนเรียกคุณว่าคุณอาน่ะค่ะ “แอร์โฮสเตทสาวรีบยกมือขอโทษ “น้องชายคุณเป็นอย่างไรบ้างคะ รู้สึกคลื่นไส้หรือไม่สบายยังไงบอกดิฉันได้นะคะ”
ปาวัสม์เหลือบมองศุภพัฒน์ด้วยความหมั่นไส้ นึกอยากจะแกล้งปลุกมาตีเสียให้เข็ดแต่คงจะเข้าข่ายผู้ใหญ่รังแกเด็กและมันก็ไม่เท่เอาเสียเลยที่จะมาหัวเสียกับเรื่องไม่เป็นเรื่องแบบนี้ เขาจึงทำได้แค่เข่นเขี้ยวเคี้ยวฟันใส่และหันไปยิ้มให้แอร์โฮสเตทสาว “ไม่เป็นไรครับ” เขาบอกและหันมาส่งน้ำให้ภาวัฒน์
“ขอบคุณครับ” เด็กหนุ่มรับน้ำไปดื่มแต่สีหน้ายังไม่สู้ดีนัก
ปาวัสม์ลอบสังเกตคนปากแข็ง
...แปลกแฮะ! ทำตัวหลุกหลิกชอบกล... ไหนว่าบ้านเกิดอยู่เชียงใหม่ไง กลับบ้านทั้งทีทำไมไม่เห็นดีใจ? แล้วนี่ฉันอุตส่าห์หลวมตัวไปด้วยเชียวนะ ตัวแสบอย่างนายควรจะต้องทำหูตั้งเข้ามาพันแข้งพันขาชวนไปเที่ยวบ้านเซ่! แล้วไหงถึงได้หงอยเหมือนลูกหมาโดนวางยาเบื่อแบบนี้ล่ะ! แบบนี้ฉันก็พลอยเซ็งไปด้วยสิ!!...
“อยากได้อะไรอีกไหม”
“ไม่ล่ะครับ” เด็กหนุ่มตอบเนือยๆ “ผมขอนอนหน่อยดีกว่า หลับสักงีบตื่นมาคงดีขึ้น”
OOOOOO
“ทำไมหมอปืนตาโหลเป็นหมีแพนด้าอดนอนแบบนี้อ่ะ” เด็กหนุ่มแซวร่างสูงที่ยืนหน้าเหี่ยวเป็นซอมบี้ขณะรอรับกระเป๋าหน้าสายพานของส่วนผู้โดยสารขาออกที่ท่าอากาศยานเชียงใหม่ซึ่งคราคร่ำไปด้วยผู้คน และศุภพัฒน์ขอตัวไปคุยโทรศัพท์อีกทาง
...ยังมีหน้ามาถาม มันความผิดใครล่ะฟะ!...
ย้อนกลับไปบนเครื่องบิน หลังจากที่เด็กหนุ่มบอกว่าจะนอน เขาก็ผล็อยหลับไปจริงๆ ปาวัสม์จึงค่อยเบาใจและกำลังจะปิดตาลงเพื่อพักผ่อนบ้างเมื่อได้ยินเสียงตุบ! กระทบกับผนังเครื่องบินเป็นจังหวะ
เขาหรี่ตาขึ้น เห็นคนหลับง่ายนั่งคอพับคออ่อนเอาศีรษะโขกผนังแล้วนึกสงสารขึ้นมาจับใจจึงช่วยดึงตัวขึ้นมานั่งพิงเบาะดีๆ แต่จนแล้วจนรอดศีรษะที่ประกอบด้วยเรือนผมสีน้ำตาลยุ่งๆ นั้นก็พุ่งไปชนกับผนังเครื่องบินซ้ำแล้วซ้ำเล่าราวกับมีแรงดึงดูดเข้าหากัน
ปาวัสม์ถอนหายใจไม่รู้เป็นรอบที่เท่าไหร่... ให้รักษาคนไข้อาการหนักเขายังมั่นใจว่าทำได้ดีกว่ารับมือกับเด็กแสบคนนี้อีก ในขณะที่กำลังเกาหัวแกรกคิดไม่ตกเขาก็นึกได้ว่าครั้งหนึ่งภาวัฒน์เคยหลับบนไหล่เขาหน้าห้องฉุกเฉินมาแล้ว
นัยน์ตาคมเหลียวดูคนข้างตัวที่เอาหัวโขกผนังอีกครั้ง ฝ่ามือใหญ่เอื้อมไปรั้งใบหน้าสีแทนกลับมาเป็นครั้งสุดท้าย
คุณหมอหนุ่มยิ้มอย่างพึงใจกับวิธีการแก้ปัญหาสุดเจ๋งของตัวเอง เขาปิดตาลงและกำลังจะเข้าสู่ห้วงนิทราเมื่อเรือนผมสีน้ำตาลที่อยู่บนบ่าเริ่มขยับเบาๆ และทิ่มแก้มให้เขาจั๊กจี๋เล่น หนำซ้ำจมูกยังพ่นลมหายใจอุ่นๆ รดลงบนไหล่ผ่านไปจนถึงหน้าอก
ก้อนเนื้อในช่องอกที่เรียกว่าหัวใจเต้นแรงขึ้นอย่างไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย นัยน์ตาคมหรี่มองใบหน้าไร้เดียงสาที่หลับปุ๋ยอยู่ นึกอยากแกล้งปลุกขึ้นมาด้วยการ... ด้วยการ...
คิ้วหนาย่นเข้าหากัน ...เขาจะปลุกด้วยวิธีไหนกันล่ะ?
ทั้งที่ยังคิดไม่ออกแต่รอยริ้วสีแดงกลับพาดขึ้นเต็มสองแก้ม ปาวัสม์ยกมือขึ้นกุมหน้าผากนึกอยากเอาปืนจ่อหัวตัวเองที่คิดอะไรแปลกๆ อีกแล้ว เขาเหลือบมองเด็กหนุ่มผ่านนิ้วมือตัวเองที่ยังใช้ปิดหน้าไว้ เรือนผมสีน้ำตาลยุ่งๆ คลอเคลียอยู่ข้างแก้มอย่างน่าหมั่นไส้ที่สุด โดยเฉพาะริมฝีปากได้รูปที่คอยหาเรื่องเขาได้ตลอดนั่นอีก
ฝ่ามือใหญ่ปล่อยการเกาะกุมจากหน้าผากและเลื่อนเข้าหาดวงหน้าสีแทน ปลายนิ้วแตะเบาๆ ลงบนกลีบปากล่างที่เผยอรับสัมผัสเขาเล็กน้อย
ปาวัสม์กลืนน้ำลายเหนียวๆ ลงคอพร้อมกับชักมือกลับและตัดสินใจถ่างตาไม่ให้หลับตลอดการเดินทาง
****
“ก็คนบางคนเล่นมาหลับน้ำลายยืดแหมะๆ อยู่บนไหล่ ใครมันจะไปหลับลงล่ะ” ปาวัสม์กอดอกทำเป็นดุ “ปวดไปหมดแล้วเนี่ย”
“โอ๋ๆ อย่าโกรธกันเลยน้า... มามะผมนวดให้”
“ไม่ต้องมาเอาใจเลย ว่าแต่เราจะไปพักที่ไหนกัน”
“หัวหน้าผมจองโรงแรมเอาไว้ให้แล้ว เดี๋ยวเราโบกรถกระป๋องไปกัน”
พูดจบภาวัฒน์ก็รีบวิ่งออกไปที่ริมฟุตปาธ เขากำลังจะโบกรถแดงที่เห็นวิ่งมาแต่ไกลเมื่อรถกระบะคันหนึ่งแล่นปราดเข้ามาปาดจอดตรงหน้า ร่างโปร่งผวาหลบจนเกือบล้มลงกับพื้น “เฮ้ย! ขับรถภาษาอะไรเนี่ย”
“เป็นอะไรหรือเปล่าพลุ” ปาวัสม์รีบวิ่งเข้ามาช่วยแต่ดูท่าคนผมน้ำตาลจะพร้อมบู๊ยิ่งกว่าเขาเสียอีก
“ไม่ได้ดูคนเลย ใบขับขี่นี่ซื้อมาหรือไง!” ภาวัฒน์ถกแขนเสื้อ ตั้งท่าเท้าเอวเตรียมโวยวายเอาเรื่องเต็มที่ เมื่อคนขับเปิดประตูรถพรวดแล้วรีบวิ่งมาขอโทษขอโพย
“ขอโทษครับคุณพลุ ผมบ่ได้ตั้งใจ๋ครับ”
เด็กหนุ่มรู้สึกแปลกใจและคุ้นเคยอย่างไม่น่าเชื่อกับสำเนียงเชียงใหม่แท้ๆ ที่เรียกชื่อตน เขาหันไปพบกับชายสูงอายุคนหนึ่งในชุดเสื้อม่อฮ่อมผูกผ้าขาวม้า “ลุงเสริม!” มือที่กำหมัดคลายออกเป็นกระพุ่มไหว้ทันที “ไม่เป็นไรครับลุง ผมไม่ได้รับบาดเจ็บอะไรแค่ตกใจนิดหน่อยเองครับ”
ชายสูงวัยคนนี้เป็นคนสวนบ้านศุภพัฒน์ จึงเป็นเรื่องน่าแปลกอย่างยิ่งที่จู่ๆ เขาจะขับรถมาแถวสนามบิน
“บ่เป็นหยังกะดีแล้วน้อง” ลุงเสริมยกมือทาบอกโล่งใจ “ของคุณพลุอยู่ตี้ไหนครับผมจะจ้วยขนขึ้นรถ”
“ลุงพูดเรื่องอะไรน่ะครับ” ภาวัฒน์เริ่มใจคอไม่ดีเพราะสิ่งที่เป็นกังวลกำลังจะกลายเป็นความจริงเมื่อเสียงศุภพัฒน์ตะโกนมาจากทางด้านหลังย้ำชัดถึงสิ่งที่คิดไว้ เขาเพิ่งคุยโทรศัพท์เสร็จและกำลังเดินออกประตูสนามบินมา
“ของอยู่นี่ครับลุง ขนขึ้นรถได้เลย”
“เทมส์นี่มันเรื่องอะไรกัน” ภาวัฒน์ถามเสียงเครียด
“ขอโทษทีว่ะพลุ “ศุภพัฒน์ไหวไหล่อย่างช่วยไม่ได้ “พ่อจอมเผด็จการของฉันน่ะสิ แค่ฉันบอกว่าตอนนี้มาทำธุระกับนายที่เชียงใหม่เลยจัดการโทรไปแคนเซิลที่พักแล้วส่งลุงเสริมมารับนี่แหละ พ่อเพิ่งโทรมาบอกเมื่อกี้เอง เห็นทีงานนี้เราคงไม่มีทางเลือกแล้วล่ะ”
**********************************************************
บทที่ 5 จบแล้ววววววววววววววววว
ส่งสองหนุ่มไปไกลๆ น้องนิวได้เรางี้โคตรโล่งงง(จิงอ่ะ)
ขอบคุณทุกคอมเมนต์มากๆ นะคะทั้งในนี้และลับหลังในเฟส/ทวิต

(อินี่ก็เผือกไปเจอเนอะ555) (ทำงานมาเหนื่อยๆ เจอแต่ละเมนท์ที่เรียงกันเกือบได้หนึ่งตอนนี่กำลังใจมาเต็ม เคยนั่งอ่านยิ้มเป็นบ้าเป็นหลังบนสาย8 จนกระเป๋ารถมองด้วยหางตาแล้วสไสลด์ตัวห่างไปสามก้าวอ่า...)
อาทิตย์หน้าเลกกี้คงไม่ได้ลงตอนใหม่นะคะ พอดีติดธุระ(ผช.)(ที่เกาหลี) เดินทางอังคารนี้กลับต้นเดือนกพ.เลย
และหลังจากนี้จะขออัพอาทิตย์เว้นอาทิตย์นะคะ(เหตุผลด้วยงานที่ยุ่งมาก ขอโทษจริงๆไม่มีข้อแก้ตัวค่ะ -_/l\_- )
ปล. อ่านถึงตอนนี้เชื่อว่าหลายๆ คนคงหมั่นไส้น้องเทมส์...แต่อย่าเพิ่งด่วนตัดสินเค้าเลยนะคะ เพราะจิงๆแล้วเค้าน่ารำคาญกว่านิว... แป่วววว ไม่ใช่ล่ะ!