(ต่อจากด้านบน)
ย้ายสถานที่จากในสวนมายังเตียงคิงไซส์
“ เจ็บมั้ย ”
“ กลัวบอสเจ็บก็เบาๆ ซิครับ ”
“ ถ้าไม่อยากเจ็บก็อย่าเกร็งสิ ”
“ โอ้ย บอสว่าบอสทำเองดีกว่า ”
“ บอสทำเองมันจะไปถนัดตรงไหน อย่าดื้อสิ มาพี่ทำให้ รับรองครั้งนี้ไม่เจ็บ ”
“ พี่ปูนก็พูดแบบนี้ตลอด สุดท้ายก็เจ็บอยู่ดี ”
คนตัวใหญ่หยุดมือที่กำลังทายาที่แผลผมก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองด้วยสายตาเจ้าเล่ห์
อย่าบอกนะว่าเพราะประโยคเมื่อกี้?
“ ที่ว่าพี่พูดตลอด พี่พูดตอนไหนหรอครับ ”
เจอแบบนี้ก็ไปไม่ถูกสิ เอาไงดี
“ ว่าไง หื้ม? ”
ผมเคยบอกหรือยังว่าผมเกลียดสายตาเจ้าเล่ห์ของเขาที่สุด ยิ่งเวลาคาดคั้นจะเอาคำตอบยิ่งทำให้ผมจนมุมจนแทบอยากจะสลายร่างกลายเป็นผุยผง แต่ในเมื่อทำไม่ได้ ก็ขอแถตามป๊าบ้างละกัน
“ เรื่องงานพรุ่งนี้ พี่ปูนเตรียมของขวัญให้น้องปันรึยังครับ ”
“ เปลี่ยนเรื่องเฉย เฮ้อ ” คนตัวใหญ่แกล้งถอนหายใจพลางติดผ้าก็อซที่แผล ก่อนจะตอบคำถามอย่างไม่มีทางเลือก “ ก็กำลังคิดอยู่ว่าจะซื้อแพ็กเก็จทัวร์ยุโรปหรือว่าจะซื้อมินิคูเปอร์ให้ดี บอสว่าไงล่ะ ”
“ ผมว่าซื้อครัวใหม่ให้น้องก็ดีนะครับ ครัวเก่าเริ่มจะเละละ ”
“ ไม่มีทาง ถ้าทำแบบนั้นมีหวังโดนฆาตกรรมหมู่กันทั้งบ้านแน่ เข้าครัวมาตั้งหลายปี ทำไมรสชาติมันถึงเหมือนเดิม สอนกันยังไงเนี่ย ”
พูดพลางขยับเข้ามาใกล้จนปลายจมูกของเราชนกัน น้ำเสียงคนพูดดูคล้ายตำหนิแต่สายตากลับสวนทาง ดวงตาคมที่มองมาเลื่อนต่ำลงไปเรื่อยๆ จนมาหยุดที่ริมฝีปาก
“ สู้บอสก็ไม่ได้ สอนครั้งเดียวก็รู้งานเลย ”
“ ทะลึ่ง! ”
พูดจบก็ได้ตีอกชกลมไปเมื่อคนตัวใหญ่รวบมือเล็กๆ ของผมได้ทัน ก่อนจะจ้องมาที่ตาผมด้วยสายตาจริงจังไม่มีท่าทีขี้เล่นเหมือนก่อน
“ บอส เรื่องหนี้ของพ่อเราพี่จะจัดการให้เอง ไม่ต้องห่วงนะ ”
“ พ..พี่ปูนรู้? ป๊าบอกใช่มั้ย บอสจะไปหาป๊า! ”
ผมสะบัดข้อมือออกจากการเกาะกุมพร้อมกับจะลุกขึ้นเตรียมจะเดินไป แต่ก็โดนอีกฝ่ายรั้งให้กลับมานั่งที่เตียงดังเดิมแต่เปลี่ยนท่าใหม่ เป็นผมนั่งอยู่บนตักหนาไม่สามารถหนีออกไปได้เพราะโดนแขนแกร่งทั้งสองข้างของอีกฝ่ายโอบล้อมรอบตัว ใบหน้าหล่อเหลาคลอเคลียที่ใบหูเพื่อกระซิบตอบทุกคำถาม
“ พ่อไม่ได้บอกอะไรพี่ แต่ท่าทีของบอสต่างหากที่บอกว่ากำลังโกหก พี่รู้จักบอสมานานแล้วนะ เรื่องแค่นี้ทำไมจะดูไม่ออก ”
อึ้งสิครับ ไม่อยากจะเชื่อเลยจริงๆ ว่าผมจะทำตัวมีพิรุธขนาดโดนจับได้ แต่ก็อย่างที่เขาว่านั่นแหละ ถ้ากลับกันเป็นคุณปูนโกหกผม มีหรือที่ผมจะดูไม่ออก
“ เรื่องเงินไม่ใช่เรื่องใหญ่สำหรับพี่บอกก็รู้ ”
“ แต่.. ”
“ ฟังพี่ให้จบก่อน ”
คุณปูนจับผมพลิกให้หันไปเผชิญหน้ากับเขา แต่ยังคงนั่งอยู่บนตักนั่นเหมือนเดิม
“ บอสเป็นคนรักของพี่ ของๆ พี่ก็เหมือนของๆ บอส ไม่ว่าจะเป็นบ้าน รถ หรือว่าเงินทอง บอสอยากจะใช้เมื่อไหร่ก็เอาไปได้เลยพี่ไม่เคยว่า พี่ไม่อยากให้เรามามัวเกรงใจแล้วทำเหมือนพี่เป็นคนอื่น ”
“ … ”
“ บอสรักยัยปันมั้ย ”
ผมเงยหน้าขึ้นมาสบตาคุณปูนอีกครั้งหลังจากที่โดนเอ็ดจนคางชิดอก ก่อนจะเงยหน้ามาตอบคำถามล่าสุดโดยไม่ต้องผ่านกระบวนการคิดให้เสียเวลา
“ รักสิครับ รักเหมือนน้องสาวแท้ๆ ของตัวเองเลย ”
“ พี่ก็รักบรีส รักพ่อบอสเหมือนคนในครอบครัวเช่นกัน เพราะฉะนั้นเมื่อครอบครัวของคนที่เรารักเดือดร้อนเราจะนิ่งดูดายได้ยังไง เว้นเสียแต่ว่า...บอสไม่ได้รักพี่ ”
สายตาคมเปลี่ยนเป็นเศร้าสอยในทันที คุณปูนไม่ได้ทำแบบนี้เพื่อเรียกคะแนนสงสาร หากแต่เป็นความรู้สึกลึกๆ ที่ติดอยู่ในใจตลอดระยะเวลาที่คบกัน
เพราะผมไม่เคยพูดคำว่า ‘รัก’ กับเขาเลย
“ ไม่ใช่แบบนั้นนะครับ ผม... ”
“ บอสไม่ต้องรีบพูดก็ได้ ถ้าบอสยังไม่พร้อม พี่บอกแล้วว่าพี่จะรอ รอฟังคำว่ารักที่ออกมาจากหัวใจของบอส ”
“ พี่ปูน ”
ผมโผเข้ากอดคุณปูนแน่น ซบหน้าลงบนไหล่กว้างแล้วร้องไห้ออกมาเหมือนเด็กๆ
ที่ยังไม่พูดไม่ใช่ว่าไม่รัก แต่ด้วยบางครั้งโอกาสก็ไม่เอื้ออำนวย และคิดว่าไม่เป็นไร คำๆ นั้นบอกเมื่อไหร่ก็ได้ ใช้การกระทำบอกในทุกๆ วันแทนก็คงพอ
,,แต่ลืมคิดไปว่าเวลามันไม่เคยพอ,,
คุณปูนกอดผมจนผมหยุดร้องไห้โดยไม่ได้ทำอะไรเกินเลยไปกว่าจูบซับน้ำตาที่ข้างแก้ม ก่อนจะพาผมไปล้างหน้าล้างตาและลงไปทานอาหารเย็น และขึ้นมาอาบน้ำนอน
คืนนี้ก็เป็นอีกหนึ่งคืนที่เราสองคนต่างหลับไปในอ้อมกอดของกันและกัน โดยไม่มีเรื่องอื่นใดเข้ามาเกี่ยวนอกจาก
‘ความรัก’
ที่บอกผ่านกันผ่านภาษากาย
วันนี้คฤหาสน์อภิมหาธนวัชรมีงานเลี้ยง ฉลองการจบไฮส์สคูลของเด็กสาวคนเล็กของบ้าน
ผมเลยต้องแยกร่างทั้งช่วยน้าอุ่นเตรียมอาหาร ช่วยป๊าจัดแต่งสวน ก่อนจะไปแต่งตัวด้วยชุดสูทสีเทามาช่วยคุณปูนดูแลความเรียบร้อยของงาน
จริงๆ น้องปันจะให้ผมสวมชุดเจ้าหญิงเป็นเพื่อนเธอ แต่เจ้าปีใหม่ดันไปงับชุดผมเล่นจนขาด ผมเลยรอดตัวอย่างหวุดหวิด
งานเลี้ยงเป็นไปด้วยความเรียบง่าย ตามสไตล์งานเล็กๆ ในครอบครัว ทำให้การตระเตรียมไม่ยุ่งยากมากนัก แต่ขึ้นชื่อว่าปุณณัตต์ไม่ว่าเรื่องเล็กเรื่องใหญ่ก็สามารถนำมาเป็นประเด็นได้ทุกที
" ทำไมต้องเชิญมันมาด้วย อยากเจอกันนักรึไง "
" มันไหนครับ? "
" ก็ไอ้หมอนั่นไง เป็นคนนอกแท้ๆ ยังสะเอ๊อะมางานครอบครัวคนอื่นอีก "
ผมมองตามสายตาของคุณปูนไปปะทะกับชายหนุ่มรูปร่างสูงใหญ่ไม่คุ้นตาที่กำลังหันหลังคุยกับปัณณ์ณิชอยู่
น้องปันคงเห็นว่าผมมองไป เลยสะกิดชายคนนั้นให้หันมาทางที่ๆ ผมยืน
รอยยิ้มอบอุ่นที่แสนคุ้นเคยฉายชัดบนใบหน้าที่คุ้นชิน
..โทนี่..
สมกับมีเชื้อสายทางยุโรปจริงๆ ภายในเวลาแค่ไม่กี่ปีดูเหมือนจะสูงขึ้นอีกเกือบ 20 เซน หน้าตาก็ดูคมขึ้นจากหนุ่มน้อยโทนี่ในวันนั้น กลายเป็นคุณชายโทนี่หล่อเฟี้ยวโดยสมบูรณ์ในวันนี้ ไม่อยากจะคิดถึงวันที่เขาก้าวเข้าสู่รั้วมหา'ลัย คงหนีไม่พ้นตำแหน่งเดือนคณะที่ใครๆ ต่างพากันหลงใหล ดีไม่ดีคงได้เป็นถึงเดือนมหาวิทยาลัยประจำปีการศึกษานี้ก็เป็นได้
" บอส! "
" ค...ครับ? "
" มองตาไม่กระพริบแบบนั้นหมายความว่าไง นี่อย่าบอกนะว่า.. "
ผมหลุดขำพร้อมกับส่ายหน้าน้อยๆ ให้สามีจอมขี้หึง ก่อนจะพูดตัดประโยคของคนที่ชอบคิดเองเออเองเป็นตุเป็นตะ
" พี่ปูน โทนี่เป็นเพื่อนบอสนะครับ อีกอย่างเราก็ไม่ได้เจอกันมาตั้งหลายปี ถ้าบอสคิดกับโทนี่เกินคำว่าเพื่อน บอสไม่อยู่กับพี่มาจนวันนี้หรอก "
คนฟังมีสีหน้าอ่อนลง แต่ก็ยังมีแววตาไม่พอใจอยู่เล็กๆ คงเป็นเพราะคำๆ นั้น ที่ผมยังไม่ได้พูดไป ผมยิ้มให้เขาแทนเพื่อส่งสานส์บางอย่าง ซึ่งไม่แน่ใจว่าจะไปถึงเขาหรือไม่
ผมจะบอกประโยคที่เขาอยากฟังที่สุด วันนี้
งานเลี้ยงดำเนินไปอย่างต่อเนื่อง โดยมีคุณพิทรับหน้าที่เป็นพิธีกรอย่างเช่นทุกครั้ง งานนี้พิเศษสุดตรงที่มีการแสดงโชว์จากป๊าผมเพิ่มเข้ามา
คุณพิทคิดผิดแล้วละที่ยกไมค์ให้ป๊า เพราะคนอย่างป๊าเสียงไม่หมดไม่มีทางเลิก!
" พ่อบอสร้องเพลงเพราะนะ "
ประโยคแรกที่โทนี่พูดกับผมในรอบ 3 ปีที่ผ่านมา ไม่ได้คุยกันตั้งนานแอบเขินๆ เหมือนกันแหะ ยิ่งตอนอยู่กันสองต่อสองแบบนี้ยิ่งทำตัวไม่ถูก
เหตุผลที่คุณปูนยอมทิ้งผมไว้กับโทนี่ตามลำพังจะเป็นอะไรได้อีกนอกจาก น้องสาวบังเกิดเกล้าที่ถูลู่ถูกังลากพี่ชายไปตักอาหารที่มุมอีกด้านนึง ผมเห็นนะว่าน้องปันแอบส่งสายตาให้โทนี่ คงไม่พ้นวางแผนกันไว้อีกตามเคย แต่ก็ดีแล้วล่ะครับ ผมก็อยากคุยกับมันเหมือนกัน ตอนคุณปูนอยู่คุยไม่ได้ อึดอัดจะแย่
“ เพราะ? ฟังออกรึไงถึงได้พูดว่าเพราะ ”
โทนี่ไม่ตอบเพียงแต่หัวเราะเล็กๆ ออกมา ก่อนจะหาเรื่องคุยใหม่แต่ยังอยู่ในหัวข้อเดิม
“ ดูท่าทางบ้านบอสจะชอบเพลงนี้นะ ”
ผมพยายามตั้งใจฟังเสียงป๊าที่กำลังแหกปากแข่งกับเสียงดนตรี ไม่รู้ว่าดนตรีเล่นไม่ดีหรือป๊าผมร้องไม่ได้เรื่องกันแน่ ก็กว่าผมจะแกะเนื้อร้องได้เล่นเอาสมองแทบระเบิด
“ อ่อ เพลงเป็นโสดทำไม เพลงหากินจีบหญิงของป๊าน่ะ แกชอบเอาไปร้องแซวแม่ค้าในตลาดหวังจะได้ส่วนลด แต่ก็ไม่เคยได้ โชคดีแค่ไหนแล้วที่เขาไม่แถมสากแถมมีดมาด้วย ร้องก็เพี้ยนออกขนาดนั้น ”
พูดไปก็ขำไป ภาพในอดีตย้อนกลับเข้ามาเหมือนหนังม้วนเก่า จริงๆ ป๊าในความทรงจำวัยเด็กของผมถือว่าเป็นไอดอลของผมเลยนะ ทั้งเก่ง ขยัน อดทน รักครอบครัว จนกระทั่งวันที่เขาเป็นหนี้นี่แหละ ทุกอย่างก็เริ่มเปลี่ยนไป
เสียงฮัมเพลงลอยมาตามลม เสียงมันดังไม่ใกล้ไม่ไกล ถ้าหูผมไม่ฝาดผมว่ามันดังมาจากคนข้างๆ นี่แหละ
“ เห้ย โทนี่ร้องเพลงนี้ได้หรอ ไปฝึกภาษาไทยมาตั้งแต่เมื่อไหร่เนี่ย ชัดเชียว ”
“ ได้นิดหน่อย ก็บรีสร้องกรอกหูอยู่ทุก.. ”
คนพูดจบประโยคตัวเองซะดื้อๆ ใบหน้าที่กำลังยิ้มแย้มเริ่มหมองลง ก่อนจะกลับมามีสีหน้าปกติเมื่อเงยหน้ามามองที่ผม
“ ไม่มีอะไรหรอก ว่าแต่เป็นไงบ้าง สบายดีมั้ย ”
“ ถามถึงผมหรือว่าใคร ”
โทนี่เงียบไม่ตอบ ผมว่าผมไม่ได้คิดไปเองแล้วล่ะว่าตั้งแต่เจอโทนี่ ผมเห็นเขาชะเง้อเหมือนกำลังหาใครบางคน ตอนแรกก็ไม่แน่ใจว่าจะใช่คนในความคิดผมมั้ย แต่ยิ่งเห็นปฏิกิริยามีพิรุธของมัน ผมว่าคงใช่แล้วล่ะ
“ คุยกับบอสก็ต้องถามถึงบอสสิ จะไปพูดถึงคนอื่นทำไม จริงมั้ย ”
“ ถ้าถามผม ผมก็สบายดีอย่างที่เห็น แต่ถ้าไม่ใช่ผม ผมก็ไม่รู้เหมือนกันรายนั้นไม่ติดต่อมาหลายวันแล้ว ”
“ ทำไม? เกิดอะไรขึ้น ป่วยรึเปล่า แล้วบอกมั้ยว่าจะกลับมาเมื่อไหร่ ทำไมชอบทำให้คนอื่นเป็นห่วงอยู่เรื่อย ตอนไปก็ไม่คิดจะร่ำลา คนเคยอยู่ด้วยกันแท้ๆ น่าน้อยใจชะมัด ไม่เห็นผมเป็นเพื่อนก็น่าจะเห็นเป็นคนรู้จักบ้างก็ยังดี นี่อะไร.. ”
“ มาซะยาวเลยนะ ”
โทนี่หัวเราะแห้งๆ มาให้อย่างคนลืมตัวที่หลุดพูดทุกสิ่งในใจจนหมด ดูแล้วไม่เหมือนโทนี่ที่ผมเคยรู้จักเลยแม้แต่น้อย ส่วนผมเองก็ได้แต่ยิ้มให้เขาอย่างผู้มีชัย ก่อนจะตอบทุกคำถามที่เขาอยากจะรู้
“ เห็นว่าอ่านหนังสือหนักเตรียมสอบเข้ามหา’ลัย เรื่องที่ว่าจะกลับเมื่อไหร่คงไม่ใช่เร็วๆ นี้แน่ ดูท่าจะอยู่ยาว ไม่รู้ติดใจอะไรที่นั่นหนักหนา ส่วนเรื่องอื่นคงต้องไปถามกันเองแล้วล่ะ เพราะถึงผมจะเป็นพี่ชายแท้ๆ ผมก็ไม่รู้เหมือนกัน ”
“ หรือว่ามีใครใหม่ไปแล้ว ”
รู้สึกเหมือนโทนี่จะพึมพำอะไรซักอย่างผมฟังไม่ถนัด ก็เสียงป๊าบนเวทีดังออกขนาดนั้น
เมื่อไม่มีใครคิดจะพูดอะไรต่อ ความเงียบจึงเข้าปกคลุมพวกเราโดยปริยาย แต่ทว่าความเงียบนั้นก็มาได้เพียงไม่นาน เสียงโทรศัพท์ของชายหนุ่มข้างๆ ก็ดังขึ้น
Rrrrrrrrrrrrrrr
“ แม่โทรมา งั้นผมขอตัวไปรับโทรศัพท์ก่อนนะครับ ”
ผมพยักหน้าพลางยิ้มอย่างเป็นมิตรให้เพื่อนเก่า
สุดท้ายผมก็ถูกทิ้งให้นั่งเฝ้าโต๊ะเพียงลำพัง อาหารก็ยังไม่มา คนคุยด้วยก็ไม่มี ครั้นจะเล่นมือถือก็กลัว 3G หมด งั้นนั่งดูป๊าร้องเพลงก็ได้ว่ะ
“ พี่บอส เซอร์ไพร์ส ^^ ”
เสียงเล็กๆ สดใสของใครคนนึงเรียกผมให้หันไปมอง ไม่อยากจะเชื่อว่าคนๆ นั้นจะมาอยู่ที่นี่จริงๆ เหมือนฝันเลย แต่ยังไม่ทันทีผมจะได้เรียกชื่อคนมาใหม่กลับ คนที่จากไปในตอนแรกทั้งสามก็กลับมาพร้อมกันโดยมิได้นัดหมาย
“ พี่บอส ดูซิพี่ปูนตักนี่มาให้.. พ่อ! ” ปัณณ์ณิชยื่นจานที่ใส่อาหารจนพูนมาตรงหน้าผม แต่แล้วสายตาก็ไปปะทะกับชายวัยกลางคนในชุดสูทดูภูมิฐานยืนเคียงข้างกับหญิงวัยสี่สิบปลายๆ แต่หน้าตาอ่อนกว่าอายุ(เอ๊ะ ยังไง?)
“ พ่อเพ่ออะไรยัยปัน นั่นมัน.. แม่! ”
ประโยคของโทนี่ก็ดังขึ้นเป็นคนสุดท้าย พร้อมกับใบหน้าของทั้งเขาและชื่อของคนในประโยคจะสตั้นไปไม่ต่างกัน
“ โทษทีๆ พอดีแม่ชวนคุย รอนานหรือเปล่าครับ บรีส! ”
“ O_o ”
อย่าถามถึงผม เพราะผมช็อกไปตั้งแต่วินาทีแรกแล้ว
( ขอแบ่งตอนจบเป็น 3 พาร์ทนะคะ วันนี้เอาพาร์ทแรกไปก่อน แล้วจะทยอยลงให้เน้อ )
