Chapter 9“เธอ... ทำแบบนี้บ่อยหรือ”
เสียงที่ตอบกลับมาฟังดูล่องลอย หากแทงลึกตรงกลางใจดวงน้อย... นี่ทาริคเห็นเขาเป็นคนยังไงกันนี่? คิดว่าเขาจะจูบใครต่อใคร ถึงแม้จะเป็นผู้ชายก็ได้ง่ายๆ อย่างนั้นหรือ? ใบหน้าสวยร้อนวาบขึ้นมาทันควัน มือขาวผลักอีกฝ่ายให้ออกห่างอย่างแรง
“คุณพูดแบบนี้หมายความว่ายังไงกัน!” ร่างโปร่งตะโกนลั่นพลางลุกหนี
มือใหญ่รั้งข้อมือขาวไว้ แล้วดึงเข้าหาตัว จนคนที่กำลังโกรธจนหน้าแดงร่วงตุ้บลงบนตักเขาพอดี “เดี๋ยวสิ”
“ปล่อยผม!” เด็กหนุ่มขืนตัวออก ไม่นึกว่าร่างสูงจะดูถูกตนมากถึงขนาดนี้... เขาไม่ควรทำลงไปเลย ไม่ควรปล่อยให้อารมณ์อยู่เหนือสติ คิดแล้วก็เกลียดตัวเองมากเหลือเกิน
แขนแกร่งทั้งสองข้างรวบเอวบอบบางเข้าหาตัวแล้วยึดไว้แน่น พร้อมกับถามออกไปเสียงเรียบ “ทำไมต้องโกรธขนาดนี้ด้วย”
แววตาใสไหวระริก สองมือผลักอีกฝ่ายออกจากตัว “คุณดูถูกผม! คิดว่าผมจะจูบใครๆ ก็ได้งั้นเหรอ!”
“แล้วเธอจูบฉันทำไมล่ะ”
“...ฮึก!...” ศตคุณชะงัก ไม่รู้จะตอบว่าอย่างไรดี เขาช้อนตาขึ้นมองใบหน้าคมเข้ม ซึ่งก็ไม่ได้แสดงอารมณ์ใดๆ ให้เขาคาดเดาได้ว่าอีกฝ่ายกำลังคิดอะไรอยู่
“ถ้างั้น ตอบฉันได้มั้ย ว่าเธอเคยทำแบบนี้กับใครบ้าง”
ร่างโปร่งเสตาหลบ “...ก็หลายคน... แต่มันไม่ใช่อย่างที่คุณคิดนะครับ ตอนที่อยู่เวียนนา ผมจูบแบบนี้เวลาทักทายหรือร่ำลา”
“แต่ที่นี่ เราทักทายกันด้วยการสัมผัสแก้ม เฉพาะกับคนที่สนิทหรือญาติเท่านั้น”
“ไม่ใช่นะ ผม...”
...ที่จูบคุณไม่ใช่เพียงแค่การทักทายชายหนุ่มถามแทรกขึ้นโดยไม่รอให้อีกฝ่ายพูดจบ “แล้วจูบแบบอื่นล่ะ เธอเคยทำกับใครบ้างรึเปล่า”
ศตคุณรู้สึกเหมือนเด็กที่ทำผิด แล้วกำลังถูกคุณครูซักถาม “...เคยครับ ผมอายุสิบแปดแล้วนะครับ ก็ต้องมีบ้าง”
“กับใคร?”
ดวงตากลมหลุบต่ำ “เพื่อนหญิง... ที่โรงเรียน... ครับ”
“เพื่อนหญิง? เธอมีคนรักอยู่ที่เวียนนาอย่างนั้นรึ”
ร่างโปร่งส่ายหน้าทันควัน “ไม่มีนะครับ ผม... ไม่เคยคบกับใครจริงจัง”
“จริงจัง?” ทาริคขมวดคิ้ว ชายหนุ่มยิ่งดูขรึมมากขึ้นไปอีก “...แปลว่าที่ไม่จริงจังนี่มีใช่มั้ย”
ไม่ต่างลูกหนูตัวน้อยที่ถูกสิงโตต้อนจนจนมุม ศตคุณตอบเสียงอ่อย “ก็มีบ้าง อย่างที่บอก ผมอายุสิบแปดแล้วนะครับ”
“แล้ว... ถ้ามากกว่าจูบล่ะ เธอเคยบ้างรึเปล่า”
ใบหน้าหวานร้อนวูบ “ทาริค! คุณถามอะไรกันเนี่ย!”
“ตอบสิ... ฉันอยากรู้” มือกร้านจับหัวไหล่ทั้งสองข้างแน่น พลางเขย่าเบาๆ เป็นเชิงเร่งให้ตอบคำถาม
ดวงตาสีนิลฉายแววจริงจัง จนเหมือนกับบังคับให้ตอบอยู่กลายๆ หากเด็กหนุ่มเองก็ไม่คิดปิดบังอะไรอยู่แล้ว เขาไม่อยากให้ทาริคเข้าใจตนเองแบบผิดๆ อีก “ไม่เคย... ครับ... ผมเคยคบกับเพื่อนหญิงบ้าง แต่ผมไม่เคยมีความสัมพันธ์ลึกซึ้งกับใคร”
ร่างสูงถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก แล้วโอบร่างโปร่งบางไว้ในอ้อมแขนแกร่ง “ค่อยยังชั่ว”
“...มันสำคัญกับคุณมากเลยรึไง”
“ฉันอยากได้เจ้าสาวที่ยังบริสุทธิ์... แปลกรึ”
“ฮะ!? ทาริค! คุณอย่าล้อผมเล่นแบบนี้!!” คำตอบที่ควรจะทำให้คนฟังหัวใจเต้นเป็นลิงโลด แต่ความวิตกกังวลนั้นมีมากเกินกว่าที่จะเชื่อว่าอีกฝ่ายหมายความอย่างนั้นจริงๆ มือขาวผลักตัวเองให้หลุดออกจากอ้อมกอดที่รัดแน่นราวกับโซ่ตรวนในห้องคุมขัง แต่ทาริคเองก็ไม่ยอมปล่อยให้ร่างโปร่งหลุดออกไปได้ง่ายๆ เช่นกัน
“ฉันไม่ได้ล้อเล่น” เสียงทุ้มฟังดูหนักแน่น จนคนที่ดิ้นอยู่ชะงักกึก
“ทาริค ผมไม่เข้าใจคุณเลย ผม... เป็นผู้ชายนะครับ” ใบหน้าที่เปลี่ยนเป็นสีแดงก่ำเบี่ยงหลบ
“แล้วยังไง หรือว่าเธอรังเกียจที่จะเป็นเจ้าสาวของคนที่ร่อนเร่อยู่แต่ในทะเลทรายอย่างฉัน” มือหยาบจับคางมนให้หันหน้ากลับมาทางเขา “ไม่ต้องกังวลไปหรอก ฉันไม่ได้อยากบังคับขืนใจเธอ เมื่อไปถึงเฟอร์โดส... ถ้าเธอต้องการ เธอก็จะได้กลับบ้าน”
บ้านงั้นหรือ... ตัวเขาไม่มีบ้านให้กลับสักหน่อย เขาไม่มีครอบครัวที่ไหน ถ้าเช่นนั้นแล้วเขาจะอยู่ที่ใดก็ไม่สำคัญหรอก ขอแค่ให้เป็นที่ที่เขาจะได้รับความรัก ความเอาใจใส่จากคนเพียงคนเดียว... ทาริค... นั่นคือสิ่งที่เขาต้องการมากที่สุด “แต่ว่า ผม... จะต้องไปแอบซ่อนอยู่ในฮาเร็มของคุณรึเปล่า”
“ฮาเร็ม? ฉันไม่มีฮาเร็ม ถ้าเธอยอมเป็นเจ้าสาวของฉัน ฉันก็มีเธอเพียงคนเดียว และจะพาเธอไปด้วยทุกหนทุกแห่ง... แต่เธอจะอยู่ได้หรือเปล่า ในที่กันดาร อากาศร้อนแบบนี้ มือนุ่มๆ ของเธอจะหยาบกร้าน สีผิวขาวเหมือนน้ำนมนี่ก็จะหมองคล้ำ... และที่สำคัญ ถ้าเธอไม่ได้เล่นเปียโนอีกล่ะ”
“ทาริค...” พอริมฝีปากสีแดงสดเผยอเพื่อจะตอบ ทาริคก็วางนิ้วลงบนกลีบปากเป็นเชิงห้าม
“อย่าเพิ่งตอบฉัน... คิดดูให้ดีเสียก่อน เมื่อไหร่ที่เราไปถึงเฟอร์โดส ฉันจะถามคำถามเดียวกันนี้กับเธออีกครั้ง”
“ก็ได้ครับ” สำหรับศตคุณแล้ว เขามั่นใจว่าความรู้สึกของตนเองจะไม่เปลี่ยนไปง่ายๆ แน่
ชายหนุ่มชักมือกลับอย่างอ้อยอิ่งแม้ใจไม่อยาก ทว่าพอได้สบสายตากับดวงตาสีน้ำตาลอ่อนใสแจ๋วนั่น หัวใจก็อดหวั่นไหวไม่ได้ เขาโน้มใบหน้าเข้าไปจรดปลายจมูกโด่งลงบนแก้มสีระเรื่อ แล้วแต้มริมฝีปากลงเบาๆ ตรงมุมปาก
ร่างโปร่งถึงกับกลั้นหายใจเมื่อเห็นใบหน้าหล่อเหลาโน้มเข้ามาใกล้ เมื่อรู้สึกถึงเรียวปากร้อนและลมหายใจอบอุ่น เด็กหนุ่มก็ค่อยๆ ปิดตาลงทีละน้อย หัวใจของเขาเต้นระส่ำเพียงแค่คิดว่าอีกฝ่ายกำลังจะประทับริมฝีปากเข้ามาหา ตื่นเต้นราวกับจุมพิตครั้งแรกยังไงยังงั้น
“ไปเถอะ เดินทางกันต่อดีกว่า”
...หือ? พอเด็กหนุ่มเปิดตาขึ้น อีกฝ่ายก็ลุกไปแล้ว
“นั่งทำอะไรอยู่ ลุกสิ” ร่างสูงถาม พร้อมกับส่งมือให้ศตคุณใช้ยึด
ก็นึกว่าจะจูบ... สงสัยว่าเขาก็คงต้องรอจนกว่าจะถึงเฟอร์โดสเหมือนกัน... ร่างโปร่งบ่นอยู่ในใจพลางพ่นลมหายใจออกหนักๆ ก่อนจะลุกตาม “ครับ”
ทั้งสองกลับขึ้นไปนั่งบนหลังอูฐเพื่อเตรียมตัวออกเดินทางกันต่อ มือขาวจับแขนแกร่งมาโอบรอบเอวตน แล้วจึงหันหน้าไปหาคนข้างหลังพร้อมด้วยรอยยิ้มน่ารัก “รัดเข็มขัดนิรภัยก่อน” พอพูดจบเขาก็จับผ้าคลุมพันรอบศีรษะเพื่อเตรียมตัวให้พร้อมสำหรับออกเดินทาง
ชายหนุ่มหัวเราะพลางกระชับอ้อมกอดแน่น จากนั้นก็ออกคำสั่งให้เจ้าอูฐยืนขึ้น และเริ่มเดินออกไปช้าๆ ไต่ไปบนเนินทรายสูงต่ำอย่างเนิบนาบ ร่างสูงเกยคางบนหัวไหล่เล็กพร้อมกระซิบถาม “ชอบขี่อูฐมั้ย”
ศตคุณพยักหน้า แล้วเหลือบมองใบหน้าคมสันที่อยู่ใกล้เพียงปลายนิ้วกั้น “ชอบครับ ถึงจะช้าไปสักหน่อย แต่ว่าก็สนุกดี”
ทาริคดึงผ้าคลุมที่ปิดหน้าตาออกพอหลวม เพื่อที่เขาจะได้พูดได้สะดวกขึ้น “อยากลองขี่คนเดียวมั้ย”
“อื้อ! ไม่เอานะครับ”
“กลัวรึ” ชายหนุ่มยิ้มมุมปาก
“.....” ริมฝีปากอิ่มเม้มแน่น ทีแรกน่ะ เขาก็กลัวอยู่หรอก เพราะไม่เคยขี่อูฐมาก่อน ทว่าตอนนี้ที่ไม่อยากขี่อูฐคนเดียว ก็เพราะจะไม่ได้อยู่ในอ้อมกอดอบอุ่นน่ะสิ
“ขี่ไม่ยากหรอก”
เด็กหนุ่มหันขวับกลับไปยังคนที่นั่งอยู่ทางด้านหลัง “แต่ผม... ไม่อยากขี่อูฐคนเดียวนี่ครับ อยากให้ทาริคช่วย...” หากศตคุณยังพูดไม่ทันจบ อีกฝ่ายก็พูดแทรกขึ้นมาทันควัน
“อยากให้ฉันกอดไว้แบบนี้?”
ใบหน้าหวานร้อนวาบ โชคดีที่เขามีผ้าคลุมปิดบังไว้ทั้งใบหน้าจนเหลือเพียงแค่ดวงตา ไม่อย่างนั้นทาริคคงจะเห็นว่าคำถามนั้นแทงใจเขามากขนาดไหน
“ใช่มั้ย?”
ดวงตาหวานหลุบต่ำ ก่อนจะพยักหน้ายอมรับ “ใช่... ครับ”
มือหยาบเชยคางมนให้เงยขึ้น นัยน์ตาสีเข้มจ้องมองลึกเข้าไปในแววตาที่สั่นไหว เขาแต้มจูบแผ่วเบาบนริมฝีปากที่อยู่ภายใต้ผ้าคลุม พลางปล่อยลมหายใจอุ่นๆ ประสานกัน
จูบบนหลังอูฐในยามราตรีที่มีดวงดาวนับล้านเป็นพยานให้ แม้เพียงสัมผัสเบาๆ ก็ทำให้เด็กหนุ่มอ่อนยวบไปทั้งร่าง เขาปิดตาลงเพื่อกำซาบความนุ่มละมุนของจุมพิตจากชายหนุ่มแห่งทะเลทราย เท่านี้ก็ทำให้หัวใจเต็มเปี่ยมไปด้วยความหวังอีกครั้ง
“หันไปมองทางเถอะ”
ร่างโปร่งพยักหน้ารับอย่างเชื่อฟังแล้วหันหน้ากลับ ทว่าไม่ได้มีกระจิตกระใจจะสนใจมองทาง หัวใจดวงน้อยพองโต เขายิ้มระรื่นอยู่ภายใต้ผ้าคลุมหน้านั้น
อีกไม่กี่ชั่วโมงบนพื้นทะเลทรายผืนเดียวกันนี้ จะร้อนผ่าวราวกับอยู่ในเตาอบเพราะดวงสุริยันที่ขึ้นมาแทนที่จันทราในยามค่ำคืน ศตคุณยังไม่เคยสัมผัสกับความร้อนกลางทะเลทรายแบบไม่มีร่มเงาของหินผาหรือโอเอซิสบดบัง เขาไม่อาจคาดเดาได้เลยว่าจะร้อนมากถึงเพียงไหน มือขาวแตะลงบนท่อนแขนแกร่งที่คอยอุ้มชูช่วยเหลือตนเองอยู่ตลอด แต่เพราะมีทาริคอยู่ใกล้ๆ เขาจึงไม่เป็นกังวลกับสิ่งที่จะเกิดขึ้นต่อไปหลังจากนี้
ร่างโปร่งเอนหลังพิงกับแผ่นอกกว้างด้วยหัวใจที่ชุ่มชื่น พร้อมกับฮัมเพลงที่ฟังดูครึกครื้นกว่าทุกครั้ง ใบหน้าน่ารักเงยขึ้นมองดวงดาวจรัสแสงแข่งกัน กะพริบระยิบระยับไปทั่วท้องนภา จันทราลอยเคว้งคว้าง... ทุกสิ่งทุกอย่างรอบๆ ตัวดูสวยงามไปหมด นี่หรือเปล่านะ ที่เขาเรียกว่าความสุข
“เพลงอะไรน่ะ” ทาริคแนบแก้มชิดกับพวงแก้มนิ่ม
“Liebeslieder (เพลงรัก)... ครับ ทาริคเคยได้ยินมาก่อนรึเปล่า”
“ไม่แน่ใจ... แต่ก็เพราะดีนะ”
“ผมยังไม่เคยเล่นเปียโนเพลงนี้หรอกครับ แต่เคยได้ยินวงออร์เคสตราเล่นกันบ่อยๆ ในงานประจำปีที่เวียนนา... ตอนนั้นก็คิดว่าไม่ค่อยเข้ากับตัวเองสักเท่าไหร่...” เด็กหนุ่มฮัมเพลงต่อไปอีกสักพัก แล้วจึงหันกลับไปถาม “ทาริคชอบเพลงนี้มั้ย”
“ก็ดี... แต่ฉันชอบเพลงที่เธอแต่งมากกว่า... Paradise น่ะ”
“เพลงนั้นกับเพลงนี้ ความหมายแตกต่างกันอยู่นะครับ”
“ต่างยังไงหรือ”
ศตคุณไม่ตอบ เขาฮัมเพลงต่อไปเรื่อยๆ ดวงตากลมโตทอดมองไปบนผืนทรายที่ต้องกับแสงจันทร์เป็นสีขาวนวล “ตอนกลางคืนแบบนี้ มองออกไปเห็นทรายเป็นสีขาวหมดเลย เหมือนเวลาที่หิมะตกที่เวียนนา... ทาริคเคยเห็นหิมะมั้ยครับ”
“ในทะเลทรายก็มีหิมะตกเหมือนกันนะ”
“หือ? ร้อนๆ แบบนี้น่ะเหรอครับ”
“ตอนหน้าหนาว เวลากลางคืนที่นี่อากาศเย็นเฉียบไม่แพ้เมืองหนาวเลยทีเดียว ในทะเลทรายมีทั้งฝน ลูกเห็บและหิมะ เพียงแต่เวลากลางวันร้อนมากจนหิมะกองอยู่บนทรายได้เพียงชั่วครู่ แล้วก็จะละลายไป”
เด็กหนุ่มขมวดคิ้ว “...ถ้าตอนกลางวันฝนตกก็คงดี ตกให้หนักๆ เลย จะได้ไม่ร้อนมากนะครับ”
ทาริคหัวเราะหึๆ “ไม่ดีหรอก เพราะเวลาฝนตกหนักๆ พื้นทรายบริเวณที่ระบายน้ำไม่ทันก็จะกลายเป็นโคลน แล้วไอ้เจ้าพวกนี้” เขาชี้ไปยังพวกอูฐ “จะไม่ยอมเดินเอาดื้อๆ”
“ทาริค... คุณรู้เรื่องในทะเลทรายเยอะจริงๆ เลยครับ”
“ฉันก็รู้พอที่จะเอาตัวรอดได้เท่านั้น...”
ศตคุณชำเลืองมองใบหน้าหล่อเหลาซึ่งเริ่มมีไรหนวดบางๆ ปกคลุมเล็กน้อย เขาไม่รู้เรื่องส่วนตัวใดๆ ของชายหนุ่มเลย และดูอีกฝ่ายก็ไม่ค่อยอยากจะเอ่ยถึงเท่าไรนัก แต่เขาก็อดสงสัยไม่ได้... ทาริคเกิดที่ไหน โตที่ไหน... เรื่องเรียนหนังสือ น่าจะเรียนสูงอยู่ เพราะพูดภาษาต่างชาติได้คล่องแคล่ว ท่วงท่าการวางตัวที่ดูสง่างามเหมือนได้รับการอบรมสั่งสอนมาเป็นอย่างดี
“ทาริค... ปกติแล้ว... คนในทะเลทรายทำงานอะไรน่ะครับ” ที่จริงร่างโปร่งอยากรู้ว่าคนที่นั่งอยู่ข้างหลังเขานี่ ทำงานอะไรต่างหาก
“...พวกเบดูอินก็เลี้ยงสัตว์หรือค้าขาย... พวกที่ไม่ทำงานก็มี พวกโจร ปล้นฆ่า... ถ้าในเมืองทะเลทรายก็มีทั้งค้าขาย เพาะปลูก และเลี้ยงสัตว์”
“แล้วทาริค... เอ้อ... คุณทำงานอะไร”
ร่างสูงนิ่งอึ้ง คล้ายกับกำลังนึกคำตอบ “...หลายอย่าง”
“หลายอย่างนี่... มันมีอะไรบ้างละครับ”
“ก็ทำได้ทุกอย่าง มีอะไรให้ทำก็ทำ...” ชายหนุ่มตอบแบบขอไปที “แล้วเธอล่ะ” เขาชิงเป็นฝ่ายถามบ้าง
เด็กหนุ่มขมวดคิ้ว คำตอบของทาริคไม่ได้ช่วยทำให้อะไรกระจ่างขึ้นเลย แล้วทำไมไปๆ มาๆ กลายเป็นเขาที่ถูกซักถามไปได้ล่ะเนี่ย “ก่อนมาที่นี่... ผมเพิ่งเรียนจบครับ ก็มีไปทำงานที่ร้านอาหาร สอนเปียโน แล้วก็แสดงเปียโน”
“ลำบากมั้ย”
“...ก็... ไม่ลำบากหรอกครับ แต่เพราะผมต้องเก็บเงินเพื่อเดินทางมาที่นี่ งานก็เลยหนักหน่อย วันๆ แทบไม่ได้นอน ตะลอนๆ ไปทุกที่ที่มีคนจ้าง... แต่เพื่อนผมสิครับ ทั้งทำงานแล้วก็เรียนหนักเสียด้วย”
“เพื่อนหรือ?”
ศตคุณพยักหน้า “ผมมีเพื่อนสนิทคนนึง เราซี้กันมาตั้งแต่เข้าเรียนใหม่ๆ จนถึงตอนนี้ก็หลายปีแล้วครับ เราสองคนเป็นกะเหรี่ยงหัวดำในโรงเรียนที่มีแต่ชาวยุโรปเหมือนๆ กัน ก็เลยสนิทกันตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา”
“ชีวิตผมก่อนหน้านี้ ไม่มีอะไรน่าสนใจหรอกครับ... นอกจากเรียนแล้วผมก็ฝึกแต่เปียโน ฝึกจนเวลานั่งเฉยๆ นิ้วยังขยับไปเองเลยด้วยซ้ำ”
“เธอคงชอบเปียโนมาก”
“...ก็คงใช่นะครับ ตั้งแต่ผมจำความได้ ทุกคนก็คอยปลูกฝังกับผมว่าต้องเล่นเปียโน จนมันเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตผมไปแล้ว”
ทาริคประคองมือขาวขึ้นมาตรงหน้า แล้วเปรยเบาๆ “รอสักหน่อยนะ เมื่อเราไปถึงเฟอร์โดสแล้ว ฉันจะพยายามหาเปียโนที่เธอถูกใจให้”
คำพูดของชายหนุ่มราวกับเป็นคำสัญญา ซึ่งทำให้หัวใจดวงน้อยเต้นรัวแรง ริมฝีปากอิ่มภายใต้ผ้าคลุมศีรษะคลี่ยิ้มกว้าง มือขาวรั้งผ้าที่ปกปิดใบหน้าออกเล็กน้อย แล้วยืดตัวขึ้นไปจูบเบาๆ บนแก้มตอบ “สัญญานะครับ”
เด็กหนุ่มประสานสายตากับนัยน์ตาคมกริบ “บอกซะก่อน ผมไม่ได้ทำแบบนี้กับทุกๆ คน และโดยเฉพาะกับผู้ชาย... คุณเป็นคนแรก”
ศตคุณไม่ได้ตาฝาดไป หากดวงตาสีเข้มลึกล้ำนั้นดูอ่อนโยนขึ้นไม่น้อย อ้อมแขนแกร่งยิ่งกระชับเอวบางแนบแน่น จากนั้นชายหนุ่มก็ค่อยๆ โน้มศีรษะเข้ามาจุมพิตกลีบปากสีแดงราวกับกลีบกุหลาบ หากแตะอยู่ภายนอกเพียงบางเบา คลึงเคล้าราวกับภมรหนุ่มยามดอมดมเกสรดอกไม้ ก่อนจะถอนออกอย่างเชื่องช้า
สัมผัสนุ่มละมุนจนร่างโปร่งแทบหยุดหายใจ เขาอยากจะโอบกอดและเหนี่ยวรั้งอีกฝ่ายไว้ อยากจะหยุดเวลาแสนพิเศษเช่นนี้เอาไว้เนิ่นนาน ฝ่ามือนุ่มประกบบนแก้มของชายหนุ่ม แล้วใช้ปลายนิ้วโป้งไล้เบาๆ โดยไม่ยอมละสายตาจากใบหน้าคมเข้มเลยแม้แต่น้อย
...ความสุข... เป็นอย่างนี้นี่เอง หัวใจที่อิ่มเอมแบบนี้ เป็นเพราะคำว่า รัก... อย่างนั้นใช่มั้ย
TBC~*อรั๊ยยยยยยยยยยยย หวานเนอะะะะ /หยิบทรายปาใส่
บ้าๆๆๆ จีบกันไม่อายอูฐเลย 55555
น้องคุณแย่แล้ววว ตกหลุมรักหนุ่มทะเลทรายเต็มเปา เตรียมสินสอดทองหมั้นกันเถอะค่า
บรรยากาศหวานๆ แบบนี้ เหมาะกับวันวาเลนไทน์ดีนะคะ ฮัสกี้ก็ขอสุขสันต์วันแห่งความรักทุกคนไว้ล่วงหน้าเลยละกันค่ะ
ขอบคุณนักอ่านทุกคน ขอบคุณทุกคอมเมนท์ แล้วก็ขอบคุณที่แนะนำนิยายของฮัสกี้ในกระทู้แนะนำนิยายนะคะ รักมากเลยยยย /จับจูบบบบ ขอบคุณสำหรับทุกกำลังใจเลยค่ะ
#พื้นที่โฆษณา แล้วแวะไปอ่าน "เบลอ" กับ "เงาจันทร์ในม่านหมอก" บ้างนะค้า