Chapter 10กระไอแดดจากดวงสุริยันที่เพิ่งโผล่พ้นขอบฟ้าเริ่มแรงกล้าขึ้นทีละน้อย หากก็มากพอที่จะทำให้เห็นว่ารอบๆ ตัวพวกเขานั้นมีเพียงทรายและเนินทรายเวิ้งว้าง มีกอหญ้าที่ใบกรอบแห้งจนเป็นสีน้ำตาลอยู่ประปราย เบื้องหน้าที่ไกลลิบๆ มีภูเขาหิน และอีกฝั่งของภูเขาหินนั่นคงจะเป็นที่ตั้งของเมืองเฟอร์โดส ซึ่งเป็นที่หมายของทั้งสองคน
อากาศที่อบอ้าวส่งผลให้ศตคุณเริ่มรู้สึกปวดศีรษะหน่วงๆ ไม่สามารถหายใจเข้าได้ลึกเต็มปอดเหมือนอย่างเคย แต่เด็กหนุ่มก็พยายามรักษาท่าทางของตนเองไว้ให้เป็นปกติ เขาไม่อยากให้ทาริคเห็นว่าตนเองอ่อนแอเหลาะแหละ
“เราหยุดพักกันตรงนี้ล่ะ หลังภูเขาตรงโน้น คือเมืองเฟอร์โดส... บริเวณนี้มีแต่ทะเลทราย ไม่มีร่มเงาอะไรเลย เธอต้องอดทนสักหน่อยนะ” ชายหนุ่มพูดพลางลูบศีรษะเล็กเบาๆ ก่อนจะหันไปยกข้าวของลงมาจากหลังอูฐเพื่อให้พวกมันได้พักผ่อนบ้าง
“ครับ ให้ผมช่วยนะ”
ทาริคยิ้ม “เอาซิ”
สองหนุ่มช่วยกันตั้งกระโจมเล็กๆ บนที่โล่ง ผ้าสำหรับทำกระโจมเป็นผ้าต่างผืนกับทีแรกและมีขนาดใหญ่กว่า ดูเหมือนว่าทาริคจะเปลี่ยนมาใช้ผ้าที่ได้มากับของขวัญจากเมืองที่พวกเขาเพิ่งจากมา ผ้าที่มีน้ำหนักเบาและหนา ด้านนอกเป็นสีอ่อน แต่ภายในเป็นสีเข้ม ศตคุณช่วยจับแท่งโลหะสำหรับใช้ยึด ไม่นานพวกเขาก็ประกอบกระโจมที่พักสำเร็จ จากนั้นก็ปูพรมบนพื้นด้านใน
“แดดเริ่มแรงแล้ว ต้องเอาพวกอาหารใส่กระโจมไว้ก่อน”
“ส่งมาเลยครับ สบายมาก” ทาริคส่งต่อข้าวของให้เด็กหนุ่มจัดใส่กระโจม โดยทั้งคู่ต่างลืมไปเสียสนิทว่าร่างกายของคนที่เกิดในเมืองหนาวนั้นไม่ได้ถูกสร้างขึ้นมาให้ทนความร้อนและแห้งแล้งได้ ไม่ควรจะออกเรี่ยวแรงมากจนเกินพอดี ไม่อย่างนั้นจะสูญเสียน้ำออกจากร่างกายมากเกินความจำเป็น
อุณหภูมิสูงขึ้นพรวดทันทีที่ดวงอาทิตย์เคลื่อนที่สูงขึ้น แม้ภายในกระโจมจะช่วยปกป้องให้พ้นจากแสงแดดอันร้อนแรงได้ แต่ความร้อนระอุของทะเลทรายก็ไม่ได้จางหายไปมากนัก สำหรับเด็กหนุ่มแล้ว เพียงขยับตัวแค่เล็กน้อยก็รู้สึกเหนื่อยจนเหมือนกับจะเป็นลม เจ้าตัวเองก็ไม่อยากเชื่อว่าเขาจะอ่อนแอขนาดนี้ การหายใจก็ติดขัดมากขึ้นเรื่อยๆ จนรู้สึกเจ็บในอก ดวงตาเริ่มพร่ามัว ปวดศีรษะเหมือนกับกำลังจะระเบิด
ร่างโปร่งบางที่คลานเข้าไปนั่งในกระโจมหอบหนักๆ เขาไม่ได้อยากรบกวนอีกฝ่ายที่กำลังยุ่งอยู่กับพวกอูฐทางด้านนอก “ทาริค... ผม...” ใบหน้าหวานซีดเซียว เรี่ยวแรงของเขากำลังหายไปทีละน้อย จนเจ้าตัวต้องเอนตัวลงนอนราบบนพื้นพรม ร้อนและทรมานจนเหมือนถูกไฟเผา
ชายหนุ่มเพิ่งก้าวเข้ามาในกระโจม เมื่อเห็นศตคุณทิ้งตัวลงนอนอย่างอ่อนแรงก็ถลาเข้าไปดูอาการ แล้วรีบคว้าถุงน้ำมาจ่อริมฝีปากที่แห้งผาก “คุณ! ดื่มน้ำก่อน”
ศตคุณดื่มน้ำไปเพียงเล็กน้อย ด้วยกลัวว่าถ้าหากน้ำหมดไป พวกเขาจะต้องแย่แน่ๆ การเดินทางจะต้องใช้เวลาอีกยาวนานสักเท่าไหร่ก็ไม่รู้
“ดื่มน้ำอีกสักหน่อยสิ ไม่ต้องห่วงว่าน้ำจะหมด เรามีน้ำตั้งมากมาย” ร่างสูงเริ่มเป็นกังวล เพราะเด็กหนุ่มหอบหนักมากกว่าทุกที มือหยาบลูบศีรษะเล็กอย่างอ่อนโยน “อย่าขยับตัว นอนเฉยๆ... ฉันไม่ควรให้เธอยกของหนักๆ แบบนั้นเลย”
ใบหน้าหวานส่ายไปมาเล็กน้อย เขาไม่มีแรงแม้กระทั่งจะผงกศีรษะขึ้นจิบน้ำด้วยซ้ำ
“คุณ ขอโทษนะ” ทาริคดื่มน้ำเข้าไว้ในโพรงปาก ก่อนจะแนบริมฝีปากของเขาบนปากอิ่ม ใช้ปลายลิ้นแง้มกลีบปากให้แยกออกจากกัน แล้วส่งผ่านน้ำเข้าไปให้
“อือ...”
ชายหนุ่มทำซ้ำๆ แบบเดิมอีกสองสามครั้ง จนศตคุณปรือตาขึ้นมองเขาได้ “ดื่มน้ำอีกนิดนะ” เขาป้อนน้ำผ่านริมฝีปากให้กับร่างโปร่งอีกครั้ง ส่วนปลายของลิ้นชื้นสัมผัสโดนกันเพียงบางเบา หากเขาก็รู้สึกได้ว่ามันนุ่มหวานมากขนาดไหน แต่แล้วก็ต้องจำใจผละออกมาช้าๆ
เด็กหนุ่มหายใจสะดวกขึ้นเล็กน้อย หากความอ่อนเพลียทำให้ผล็อยหลับไปอย่างง่ายดาย ทาริคได้แต่จ้องมองด้วยความเป็นห่วง เขาเทน้ำลงบนผ้าให้เปียกพอหมาด แม้รู้ว่าไม่ควรใช้น้ำฟุ่มเฟือยในทะเลทรายเช่นนี้ แล้วแตะลงเบาๆ บนกรอบหน้าสวย เพื่อช่วยคลายความร้อนให้กับอีกฝ่าย
“อดทนอีกนิดนะ” เขาพร่ำกระซิบบอก พลางแนบจูบบนผิวแก้มเนียน
แสงแดดในยามกลางวันแผดเผาราวกับจะทำให้ทุกสิ่งทุกอย่างภายใต้ผืนฟ้ามอดไหม้เป็นจุณ สายลมที่พัดผ่านส่งผลให้กระโจมสั่นไหวเพียงเล็กน้อย แต่ไม่ได้ช่วยให้ความอบอ้าวผ่อนคลายลงไปสักเท่าไหร่ ส่วนชายหนุ่มที่อยู่ภายในกระโจมนั้นก็แทบจะไม่ได้พักผ่อน เนื่องจากเขาตื่นขึ้นมาตรวจเช็กดูอาการของศตคุณเป็นระยะๆ ด้วยความเป็นห่วง
สีหน้าของเด็กหนุ่มดูดีขึ้นมาก แม้การหายใจจะยังดูไม่ค่อยคล่องนัก มือหยาบประคองมือนุ่มขึ้นมาแนบจูบเบาๆ เขาได้แต่ภาวนาให้หมดวันไปสักที
หลังจากช่วงเวลาที่เลวร้ายของวันจบสิ้นลง ปลายฟ้าสาดสีแดงไปทั่ว ลมที่พัดผ่านเย็นสบายขึ้นบ้างเล็กน้อย ปลุกร่างสูงให้ตื่นขึ้นจากการหลับใหลอีกครั้ง เขาโน้มตัวไปตรวจดูอาการของศตคุณซึ่งตัวร้อนรุมๆ เหมือนว่าจะเป็นไข้ จากนั้นจึงขยับไปค้นหายาในกองสัมภาระที่ขนมา
“คุณ ตื่นมากินยาสักนิด”
“อือ...” ร่างโปร่งปรือตาขึ้นเล็กน้อย ร่างกายอ่อนแรงจนขยับได้ลำบาก “ทาริค... ผม... ปวดหัว”
“เธอมีไข้นะ กินยาสักหน่อย จะได้รู้สึกดีขึ้น”
ภาพเบื้องหน้าที่ศตคุณมองเห็นพร่ามัว เขาพยายามยกมือขึ้นสัมผัสคนที่ประคองศีรษะของตนขึ้นช้าๆ แล้วเพ่งมองยาเม็ดแคปซูลที่ทาริคหยิบใส่ปากให้... อดสงสัยไม่ได้ว่ายาแผนปัจจุบันแบบนี้ชายหนุ่มไปหาซื้อมาจากไหน แปลว่าทาริคเคยเข้าไปในเมืองใหญ่ด้วยอย่างนั้นหรือ?
“ลุกมาดื่มน้ำไหวมั้ย”
เด็กหนุ่มกะพริบตาปริบๆ ยังไม่ทันให้คำตอบ อีกฝ่ายก็ป้อนน้ำผ่านริมฝีปากให้ก่อนแล้ว “อือ...” มือขาวขยุ้มเสื้อคลุมของอีกฝ่ายไว้ทันทีที่เรียวปากของทั้งคู่สัมผัสกัน
“พักก่อนนะ เดี๋ยวฉันจะทำอาหารให้กิน” ท่อนแขนแกร่งค่อยๆ ประคองร่างโปร่งบางให้นอนราบลง
“ทาริค... ข้างนอกมืดรึยังครับ”
“ยังหรอก แต่อาทิตย์กำลังตกดินแล้ว”
“อา... เดี๋ยวเราต้องเดินทาง...”
“ไม่ต้องห่วงหรอก เมื่อคืนเราเดินทางมาเยอะพอดู เธอไม่สบาย ต้องพักผ่อนก่อน ไว้รู้สึกดีขึ้นค่อยเดินทางต่อ” ร่างสูงวางมือประกบหลังมือขาวแล้วตบลงเบาๆ ก่อนจะลุกขึ้นเพื่อออกจากกระโจมไปเตรียมการทำอาหารแบบง่ายๆ
“ทาริค ผมขอโทษ...” ศตคุณพูดเสียงแผ่ว
คนที่กำลังเปิดกระโจมออกหันกลับมาทางคนที่นอนหมดเรี่ยวแรงอยู่ทันที “ฉันเองที่ผิด ฉันไม่ควรให้เธอเคลื่อนไหวมากหลังจากดวงอาทิตย์ขึ้นแล้ว เพราะงั้นเธอไม่ต้องคิดมากหรอก” ก่อนจะก้าวออกจากกระโจมไป
ดวงตากลมค่อยๆ ปิดลงทีละน้อย ทั้งพิษไข้และฤทธิ์ยาส่งผลให้ร่างโปร่งหลับไปแทบจะในทันที ส่วนชายหนุ่มที่เพิ่งปลีกตัวไปนั้น เขาตั้งใจให้ศตคุณได้พักผ่อนอีกสักหน่อย ถ้าหลังจากมื้ออาหารแล้วอาการดีขึ้น เขาก็จะพาเดินทางต่อ ทาริคหยิบเอาเศษไม้และหญ้าแห้งๆ เท่าที่หาได้กับมูลอูฐมาก่อกองไฟเพื่อต้มน้ำและอุ่นซุปในกระป๋อง หากด้วยความกังวลและเป็นห่วง ทำให้เขาต้องเดินไปเดินมาระหว่างกระโจมกับกองไฟหลายต่อหลายครั้งเพื่อเช็กดูอาการของเด็กหนุ่ม เมื่อเห็นว่าอุณหภูมิร่างกายของอีกฝ่ายลดลงและดูหายใจสะดวกขึ้น เขาก็โล่งใจ พอเตรียมอาหารเสร็จแล้วร่างสูงจึงกลับเข้าไปในกระโจมเพื่อปลุกคนที่หลับสนิทให้ตื่นขึ้น
“คุณ ตื่นมากินอะไรสักหน่อยก่อนนะ”
“อืม...” ศตคุณยันตัวลุกขึ้นทั้งดวงตายังไม่เปิดเต็มที่ “ผมหลับไปนานแค่ไหนกันนี่”
ทาริคประคองร่างโปร่งขึ้น แล้วจับให้นั่งเอนหลังพิงบนแผ่นอกเขา “ชั่วโมงกว่าๆ เท่านั้น เอ้า ดื่มซุปหน่อย”
เด็กหนุ่มอมยิ้ม เขาไม่ได้ย่ำแย่ถึงขนาดไม่มีเรี่ยวแรงจะลุกนั่ง ยาที่ทาริคป้อนให้ช่วยเขาได้มากจริงๆ สมองปลอดโปร่ง ไม่ปวดศีรษะอีกแล้ว แต่ว่าในเมื่อชายหนุ่มจะเอาอกเอาใจกันทั้งที เขาก็ไม่ปฏิเสธล่ะ “ครับ”
ร่างสูงประคบประหงมศตคุณราวกับเด็กอ่อน เขาป้อนอาหารให้ทีละน้อย ช่วยเช็ดคราบอาหารที่หกเลอะ จนเด็กหนุ่มหลุดยิ้มออกมาอยู่หลายครั้ง
“ผมอิ่มแล้วล่ะ ขอบคุณนะครับ” เมื่อเห็นว่าทาริคไม่ได้แตะต้องอาหารเลย เพราะมัวแต่คอยดูแลตนอยู่ฝ่ายเดียวก็เกรงใจ คิดว่าอีกฝ่ายคงหิวเช่นกัน “ผมรู้สึกดีขึ้นมากแล้วล่ะ” ก่อนจะขยับไปนั่งพิงกองสัมภาระที่ปลดออกมาจากหลังอูฐ มือขาวเอื้อมไปแหวกกระโจมออกเล็กน้อย แล้วมองออกไปยังท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยดวงดาวมากมาย เพื่อเปิดโอกาสให้ร่างสูงได้จัดการกับอาหารบ้าง
สายลมเย็นสบายพัดผ่านช่องว่างเข้ามาภายในกระโจม มือขาวปลดผ้าคลุมออกให้ลงไปกองอยู่บนหัวไหล่ พลางปิดตาแล้วเงยหน้าขึ้นรับแสงนวลจากจันทรา “ลมเย็นดีจัง”
ดวงตาคมกริบเพ่งพิศใบหน้าอันงดงามราวกับถูกสะกด ริมฝีปากนุ่มหยุ่นที่วันนี้เขามีโอกาสได้สัมผัสอยู่หลายครั้ง ยิ่งได้ใกล้ชิดกันมากขึ้นทุกวัน ก็ยิ่งหลงใหลและถลำลึกลงไปทุกที หรือนี่เป็นโชคชะตาของเขา
...ทั้งที่พยายามหักห้ามใจแล้วแท้ๆ
“ทาริค... หน้าผมมีอะไรผิดปกติอย่างนั้นเหรอ”
“เปล่า...” คนถูกทักเสตาหลบ แล้วหันไปเก็บภาชนะใส่อาหารที่พวกเขาจัดการกันจนหมดเกลี้ยงแล้วลงในกระสอบ
“แต่ผมเห็นนะ ทาริคชอบจ้องหน้าผม” ศตคุณขยับกายไปทางที่ชายหนุ่มนั่งอยู่ช้าๆ แล้ววางมือขาวชิดติดกับมือใหญ่พอให้ปลายนิ้วแตะกันเล็กน้อย จากนั้นก็เอี้ยวคอหันหน้าเข้าหาอีกฝ่าย “ผมไม่ได้หมายความว่าไม่ชอบให้คุณจ้องหน้าผมหรอกนะครับ... ขอบคุณมากที่ช่วยดูแลผม ตอนนี้รู้สึกดีขึ้นมากแล้วละครับ”
ร่างสูงใช้หลังมือแตะเบาๆ ตามกรอบหน้าสวยเพื่อวัดอุณหภูมิ “เธอรู้สึกดีก็เพราะฤทธิ์ยาเท่านั้น ฉันเป็นห่วงเธอเหลือเกิน พรุ่งนี้เราก็ต้องตั้งกระโจมกันกลางทะเลทรายแบบนี้อีก”
“ผมไม่เป็นไรหรอกครับ พรุ่งนี้จะระวังให้มากกว่าวันนี้” เด็กหนุ่มวางมือประกบกับมือสีน้ำผึ้งที่สัมผัสใบหน้าตน เขาหลุบตาลงต่ำพร้อมกับกัดริมฝีปากเบาๆ อย่างชั่งใจ เขาจะทำยังไงดีนะ จะบอกคนตรงหน้านี้อย่างไร ว่าอยากให้จูบเขาอีกสักครั้ง อยากให้แสดงออกมาว่า
รัก กันอีกสักนิด
ทาริคชักมือออก แล้วลุกออกไปจากกระโจม “งั้นเราเตรียมออกเดินทางกันเถอะ เธอรออยู่ในนี้ก่อน ฉันจะเอาของขึ้นหลังอูฐ คืนนี้คงไม่ต้องหยุดพักกลางทาง เราจะเดินทางรวดเดียวเลย คงได้สักยี่สิบกิโล น่าจะเกือบถึงภูเขาหินนั่นแล้ว อีกสองวันเราก็น่าจะถึงเฟอร์โดส”
นัยน์ตาสีน้ำตาลอ่อนมองตามแผ่นหลังชายหนุ่มไป อีกครั้งแล้ว... ที่ทาริคกลับมาเป็นแบบนี้ ทั้งที่เขาคิดว่าเมื่อตอนที่ขี่อูฐมาด้วยกันเข้าใจกันดีแล้วแท้ๆ ศตคุณถอนหายใจออกยาว เพราะอีกฝ่ายเป็นเช่นนี้ ทำให้เขาไม่มั่นใจเอาเสียเลย ที่ว่าจะให้เขาเป็นเจ้าสาวน่ะ หมายความอย่างที่พูดจริงๆ หรือเปล่า
TBC~*สุขสันต์วันตรุษจีนนะคะทุกคน <3
แล้วทาริคก็ยังคงยังไม่ทำอะไรให้แน่ชัดสักที... ทำไมกันหนอ~ หลอกให้น้องคุณรอเก้ออยู่เรื่อยเลย 5555 คนใจฮ้ายยยย
ตอนนี้ไม่หวาน ขอเก็บสะสมเอาไว้ตอนอื่นๆ บ้างนะคะ เดี๋ยวจะเป็นเบาหวานกันไปซะหมด ฮาาาา
วันนี้ฮัสกี้ลงสองเรื่องพร้อมกันเลย อ่านนิสรีนแล้วแวะไปอ่าน "เบลอ" กันบ้างนะค้า (ส่วนน้องเร็นกับเจ้านาย ฮัสกี้ขอยกยอดไปอาทิตย์หน้าละกันนะคะ)
ขอบคุณนักอ่านทุกคนที่แวะมาอ่านค่ะ ตอนนี้สั้นไปนิด งั้นไว้จะลงตอนต่อเร็วขึ้นนะคะ