Chapter 15เด็กหนุ่มที่สลบไสลไปด้วยพิษของแมงป่องถูกนำตัวไปยังวังนิสรีนอย่างรวดเร็ว ซึ่งพวกแพทย์ที่ได้รับแจ้งข่าวเตรียมพร้อมการรักษาอยู่ที่นั่นแล้ว พวกเขาพาร่างโปร่งบางไปนอนบนเตียงใหญ่ในห้องพักห้องหนึ่งซึ่งอยู่ในเขตวังหน้าฝั่งขวา แล้วเร่งทำการรักษาทันที
ศตคุณที่จมลึกอยู่ในภวังค์สะดุ้งตัวเบาๆ เพราะรู้สึกเจ็บจี๊ดเหมือนโดนเข็มแหลมแทงที่มืออยู่หลายหน ก่อนจะปรือตาขึ้นมอง ภาพเบื้องหน้าพร่ามัว เขาเห็นแต่สีขาว... ขาวโพลนไปหมด หรือเขาอยู่บนสวรรค์แล้วกันนะ
“อือ...” แต่ทำไมยังปวดหัวและร้อนผ่าวไปหมดทั้งตัว... ทำไมหายใจได้ลำบาก บนสวรรค์เขาไม่ควรจะรู้สึกทรมานอีกไม่ใช่หรือ
เสียงคนพูดคุยกันดังอยู่รอบๆ ตัว แต่เป็นภาษาที่เด็กหนุ่มฟังไม่เข้าใจ สักพักก็เจ็บที่มืออีกแล้ว เจ็บจี๊ดอยู่อีกหลายครั้ง หากไม่นานก็เริ่มหายใจได้สะดวกขึ้น ความร้อนในกายลดลงทีละน้อย
“พ่อ... แม่...” ริมฝีปากที่แห้งผากส่งเสียงครางอย่างน่าสงสาร ทำไมพ่อกับแม่จึงยังไม่มาหาเขาล่ะ ที่นี่คือบนสวรรค์ไม่ใช่หรือ
“ใคร?” ร่างโปร่งถามเสียงแผ่ว เมื่อรู้สึกว่ามีใครบางคนประคองตัวเขาให้ลุกนั่ง เสื้อผ้าที่สกปรกเลอะเทอะถูกถอดออกไปทีละชิ้น เขาสะดุ้งตัวน้อยๆ เมื่อรู้สึกถึงผ้านุ่มชื้นที่กำลังเช็ดไปบนผิวกาย ตามด้วยผ้าแห้ง เสร็จแล้วแผ่นหลังบางจึงได้สัมผัสกับฟูกหนาอีกครั้ง
ศตคุณผล็อยหลับไปเมื่อรู้สึกสบายตัว เขาพลิกตัวหนีคนที่บ่นพึมพำอยู่ข้างตน
“คุณศตคุณ ดูสิ ต้องฉีดยาจนพรุนเป็นสิบเข็มแบบนี้... เพราะคุณดื้อจริงๆ ไม่ฟังอะไรเลย ดีนะที่คุณไม่เป็นอะไรมาก คอยดูเถอะ ฟื้นขึ้นมาเมื่อไหร่ผมจะต่อว่าให้หูชา นี่ถ้าชีครู้เข้า พวกเราจะโดนลงโทษกันหมดทั้งฝูงซะก็ไม่รู้”
เวลาหนึ่งวันเต็มผ่านพ้นไป จันทราหมุนเวียนกลับมาลอยเด่น ณ จุดเดิมบนท้องฟ้าตรงตำแหน่งเดียวกันกับเมื่อวาน ร่างโปร่งยังคงนอนซมด้วยทั้งพิษไข้และฤทธิ์ยา ตลอดทั้งวันมีแพทย์สลับกันมาตรวจดูแลอาการเป็นระยะๆ
บนท้องฟ้าแห่งรัตติกาล เฮลิคอปเตอร์ลำใหญ่ซึ่งบินข้ามทะเลทรายมายังเมืองโอเอซิสอันเงียบสงบค่อยๆ ร่อนลงจอด หากผู้ที่โดยสารมาด้วยร้อนใจจนไม่อาจรอให้มันจอดสนิทได้ เขากระโจนลงมาแล้ววิ่งเข้าตัววังสีขาวสะอาดไปอย่างรวดเร็ว ถัดมาไม่นานประตูห้องพักของศตคุณก็ถูกกระแทกให้เปิดออกเสียงดังปังใหญ่ จนทุกคนในห้องสะดุ้งเฮือก พากันก้มหน้าหลบสายตาอันดุร้ายเกรี้ยวกราดของคนที่ก้าวเดินเข้ามาด้วยท่วงท่าราวกับราชสีห์ ชายหนุ่มในชุดทหารสีน้ำตาลคล้ายกับสีของผืนทรายตรงไปยังเตียงใหญ่ที่ศตคุณนอนอยู่ เขาไม่ได้เอ่ยคำพูดใดๆ แต่หมู่ทหารและสาวใช้ภายในห้องก็เงียบกริบ แม้แต่อาเหม็ดเองก็ยังไม่กล้าพูดอะไร และจำต้องถอยไปยืนก้มหน้านิ่งอยู่ตรงมุมห้อง
ท่อนแขนแกร่งประคองเด็กหนุ่มขึ้นมาเล็กน้อยแล้วกอดแนบแผ่นอก เขาซุกใบหน้าลงตรงซอกคอขาวแล้วกระซิบบอก “อย่าเป็นอะไรไปเลยนะ Ana Ooheboka (อานา อูฮิบบูกา)”
“อือ...” ศตคุณครางในลำคอเบาๆ เมื่อถูกรบกวน ส่งผลให้เจ้าตัวกึ่งหลับกึ่งตื่น ทว่าลืมตาไม่ขึ้น... ใครกันที่โอบกอดเขา อ้อมกอดอันอบอุ่น หากมีกลิ่นหอมอ่อนๆ ปะปนกับกลิ่นของดินปืนจางๆ
“ทาริค...” มือขาวยกขึ้นไขว่คว้าในอากาศ ราวกับต้องการหาสิ่งยึดเหนี่ยว
เมื่อชายหนุ่มเหลือบไปเห็น เขาก็คว้ามือนั้นมาแนบจูบ “ฉันอยู่ที่นี่แล้ว ทำไมถึงทำร้ายตัวเองแบบนี้ จะฆ่าฉันให้ตายทั้งเป็นรึไงกัน”
“ฮือ... เจ็บ... ผมเจ็บ...” ดวงตากลมปรือปรอย ความโศกเศร้าในหัวใจถูกขับออกมาพร้อมกับน้ำตาเม็ดใสๆ ซึ่งหลั่งรินออกมาไม่ขาดสาย
ริมฝีปากอบอุ่นช่วยจูบซับน้ำตาให้ แล้วกระซิบปลอบ “ฉันไม่ได้ตั้งใจให้เกิดเรื่องเข้าใจผิดแบบนี้ ฉันไม่ได้อยากทำให้เธอเจ็บปวด... ฮาบีบีของฉัน”
“ฮือ...” คำพูดของชายหนุ่มดูจะเข้าไปไม่ถึงโสตประสาทของอีกฝ่าย ดวงตากลมที่เปียกชื้นไปด้วยน้ำตาหรี่ปิดลงทีละน้อย
“อย่าร้องไห้ ฮาบีบี... เมื่อธุระเสร็จแล้วฉันจะรีบกลับมา ฉันจะบอกความจริงกับเธอทุกอย่าง ได้โปรด... อย่าเป็นอะไรเลยนะ”
“...คนโกหก... หลอกลวง...” เสียงที่เปล่งออกมาแหบพร่า แล้วค่อยๆ เบาบางลง จากนั้นเด็กหนุ่มก็สลบไสลไปด้วยฤทธิ์ยาอีกครั้ง
“เธอไม่เชื่อใจฉันหรือ... คุณ คุณ!” มือหยาบเขย่าร่างโปร่งบางในอ้อมกอดเบาๆ ใจเขาไม่ดีเอาเสียเลยที่เห็นเด็กหนุ่มเป็นแบบนี้ พอได้รับรายงานจากอาเหม็ด เขาเป็นกังวลสารพัด จนต้องทิ้งหน้าที่และความรับผิดชอบมาดูเด็กหนุ่มให้เห็นกับตา
“คุณศตคุณหลับเพราะฤทธิ์ยาน่ะครับ” นายแพทย์ผู้รับผิดชอบดูแลร่างโปร่งรายงานผู้เป็นนาย
ชายหนุ่มยังโอบกอดศตคุณไว้ในอ้อมแขน เขาไม่อยากปล่อยศตคุณไว้คนเดียว แต่ตัวเขายังมีหน้าที่ที่ต้องทำ และงานการที่ต้องสะสาง “ดูแลเขาให้ดี เฝ้าเขาไว้ทุกฝีก้าว แล้วฉันจะรีบกลับมา”
“จำคำพูดของฉันเอาไว้ให้ดี! ถ้าปล่อยให้เขาเป็นอะไรไปอีก ทุกคนจะต้องชดใช้ด้วยชีวิต!” เสียงทุ้มฟังดูมีอำนาจดังก้องไปทั่วทั้งห้อง ก่อนผู้พูดจะวางร่างโปร่งบางในอ้อมแขนลงช้าๆ อย่างระมัดระวัง เขาแนบจูบบนหน้าผากมน มือหยาบลูบผิวแก้มบนใบหน้าที่ไร้สีเลือด ก่อนจะหักใจลุกเดินออกจากห้องไป
..
......
..
สายลมเอื่อยลอดผ่านบานหน้าต่าง พาความเย็นสดชื่นในยามสุริยันกำลังจะลาลับขอบฟ้าเข้ามาสัมผัสเรือนกายขาวผ่อง ปลุกคนที่หลับใหลมาเกือบสองวันให้ตื่นขึ้นอย่างอ่อนโยน
ดวงตาสีอ่อนลืมขึ้นช้าๆ กะพริบปริบๆ ให้เข้ากับแสงสว่างจากโคมไฟระย้าภายในห้อง ที่ส่องกระทบเพดานและกำแพงสีอ่อน ยิ่งทำให้ภายในห้องดูสว่างมากขึ้นไปอีก
ใบหน้าหวานอยู่นิ่งเพื่อรอจนภาพเบื้องหน้าชัดเจนขึ้น เพดานโค้งสีขาวแกะสลักเป็นลวดลาย ดูเหมือนกับดอกกุหลาบดอกใหญ่ที่มีกลีบซ้อนกันนับร้อยกลีบ ผนังห้องทำจากหินอ่อนสีฟ้าอมเทา เมื่อมองเพลินๆ ก็เหมือนล่องลอยอยู่ท่ามกลางปุยเมฆ
...สวย... สมกับเป็นสวรรค์เสียจริง... ศตคุณคิดอยู่ในใจ
“อืม...” ร่างโปร่งผงกศีรษะขึ้นเล็กน้อย สบสายตากับคนที่นั่งเฝ้าเขาอยู่พอดี “คุณอาเหม็ด” เขากวาดสายตามองไปรอบๆ ห้อง อีกฝั่งของเตียงมีชายในชุดขาวนั่งอยู่ข้างกล่องเครื่องมือ ดูท่าจะเป็นแพทย์ และที่ด้านหลังของชายคนนั้นมีสาวใช้นับสิบนางนั่งอยู่บนพื้นห้อง “นี่ผมยังไม่ตายหรอกเหรอเนี่ย” เขาเอ่ยราวกับผิดหวัง
“พวกผมน่ะสิครับจะตายก่อน” อาเหม็ดพูดเสียงดุ ขณะโน้มตัวไปหาเด็กหนุ่ม “เป็นยังไงบ้างครับ เจ็บปวดตรงไหนอีกหรือเปล่า ให้คุณหมออัสลันตรวจดูสักหน่อยนะครับ”
“สวัสดีครับ ผมอัสลัน ขออนุญาตนะครับ” นายแพทย์เข้ามาตรวจดูอาการเบื้องต้นของร่างโปร่ง แมงป่องที่ต่อยศตคุณเป็นชนิดที่พิษไม่ร้ายแรงมาก แต่เพราะศตคุณมีอาการแพ้เข้าร่วม ก็เลยทำให้ร่างกายทรุดหนัก เขาตรวจดูหู จมูก ปาก ตา อัตราการหายใจ เสร็จแล้วจึงเปิดผ้าที่พันมือไว้ออก เพื่อตรวจดูรอยแผล ก่อนจะสรุปอาการคร่าวๆ ให้เด็กหนุ่มฟัง “แผลยังอักเสบ คุณศตคุณคงจะยังมีไข้เป็นระยะๆ ผมจะคอยฉีดยาแก้ปวดให้นะครับ ส่วนมือข้างนี้อย่าเพิ่งขยับมาก นอกนั้นก็ไม่มีอะไรน่าเป็นห่วงครับ”
ดวงตาสีอ่อนจ้องมองรอยแผลบนมือซ้ายที่บวมเป่ง แวบหนึ่งในยามที่สมองยังมึนงง เขานึกห่วงว่าตนเองจะเล่นเปียโนต่อไปอีกได้หรือเปล่า แต่แล้วร่องรอยเมห์นดิจางๆ ที่หลงเหลืออยู่ก็ทำให้ความทรงจำของเรื่องที่เพิ่งเกิดขึ้นผุดขึ้นมาแทนที่ความกังวล เจ็บจี๊ดในหัวใจราวกับถูกมีดปลายแหลมทิ่มแทงเข้าไปทีละน้อย
...ใช่... เขาเพิ่งถูกทอดทิ้งมาหมาดๆ ถูกคนที่รักและไว้ใจหักหลัง เอาเขามาทิ้งไว้ที่วังแห่งนี้
เด็กหนุ่มปล่อยมือลงข้างลำตัว ไม่สนใจร่างกายที่ไร้อาภรณ์ใดๆ ปกปิดด้วยซ้ำ เขาเอนศีรษะลงบนหมอนช้าๆ แล้วปิดตาลงสนิท หยดน้ำตาแห่งความเสียใจถูกกลั่นออกมามากมาย เปรอะเปื้อนพวงแก้มนิ่ม
“คุณศตคุณ... รู้สึกไม่ดีหรือครับ คุณหมอ... แน่ใจเหรอว่าคุณศตคุณปลอดภัยแล้วน่ะ” อาเหม็ดถลาเข้าไปหาด้วยความเป็นห่วง แล้ววางมือลงบนหัวไหล่เล็ก
ร่างโปร่งพลิกตัวหนี เสียงที่ถูกเปล่งออกมาจากลำคอที่แห้งผากสั่นสะท้าน “ทำไมไม่ปล่อยให้ผมตาย... ฮึก... ผมคิดถึงพ่อ คิดถึงแม่... พวกคุณจะใจร้ายกับผมไปถึงไหนกัน ฮือ...”
“คุณศตคุณ ใจเย็นๆ ก่อนสิครับ ฟังผมก่อน”
“ไม่!! ผมไม่ต้องการจะฟังอะไรจากพวกคุณอีกแล้ว ออกไป!! ออกไปให้หมด!!” เด็กหนุ่มสร้างเกราะป้องกันหัวใจที่แตกสลาย เขาสะอื้นไห้จนตัวโยน ดูบอบบางและน่าสงสาร หากอาเหม็ดก็ไม่อาจปล่อยเด็กหนุ่มไว้คนเดียวได้ เพราะเกรงว่าจะทำอะไรบ้าบิ่นลงไปอีก เขาเข้าใจจิตใจของศตคุณดี แต่สำหรับเขา คำสั่งของเจ้านายต้องมาก่อนสิ่งอื่นใด
“ผมจะไม่ไปไหน ผมจะอยู่กับคุณศตคุณตรงนี้” อาเหม็ดเอื้อมมือไปแตะแขนเรียวเบาๆ
“อย่าแตะต้องตัวผม!!” ศตคุณตะโกนลั่น เขาพยายามตะเกียกตะกายลุกออกจากเตียงกว้างด้วยเรี่ยวแรงเท่าที่มี มือขาวทั้งสองข้างฉุดกระชากผ้าปูที่นอนโดยไม่สนใจความเจ็บปวด พวกสาวใช้ก็ได้แต่ยืนมองอย่างพะว้าพะวัง เพราะพวกเธอเองก็ไม่กล้าแตะต้องคนสำคัญของผู้เป็นนาย
“คุณหมอ! ทำอะไรสักอย่างสิครับ ปล่อยให้คุณศตคุณเป็นแบบนี้จะดีหรือ! ช่วยกันจับตัวไว้เร็วเข้า”
อัสลันรีบเปิดกระเป๋ายา แล้วเตรียมยาเป็นพัลวัน “เดี๋ยวผมจะให้ยาระงับประสาท คงต้องให้คุณศตคุณพักผ่อนอีกสักหน่อยครับ”
หลังจากพยายามปราบคนที่ทั้งดื้อทั้งดิ้นเร่าไม่ยอมแพ้ง่ายๆ ให้สงบลงได้สำเร็จ ทุกคนในห้องก็แทบหมดแรงตามไปด้วย ศตคุณนอนนิ่งไปแล้ว ดวงตากลมฉ่ำน้ำยังคงปรือปรอย มีหยดน้ำตาร่วงหล่นลงมาอีกเป็นระยะๆ
อาเหม็ดสะอื้นตาม พลางสั่งให้สาวใช้ช่วยกันสวมเสื้อผ้าให้กับศตคุณ เขาสงสารเด็กหนุ่มมากเหลือเกิน มือหยาบคอยประคองมือขาวข้างที่ไม่เป็นแผลแล้วบีบเบาๆ เพื่อให้เด็กหนุ่มรู้ว่ามีคนอยู่เคียงข้างเสมอ ส่วนมืออีกข้าง นายแพทย์อัสลันกำลังตรวจดูแผลและพันผ้าให้ใหม่
“ผมคิดว่าคงต้องให้ยาระงับประสาทควบคู่ไปกับการรักษาอีกสักพัก คุณศตคุณจะหลับๆ ตื่นๆ แต่เมื่อได้พักผ่อนอย่างเพียงพอ ก็จะเป็นผลดีต่ออารมณ์ของคุณศตคุณนะครับ”
..
.....
..
สองวันเต็มๆ ผ่านไป อาการไข้ของศตคุณลดลงมากแล้ว แผลที่ถูกแมงป่องต่อยเอาก็ยุบลงไปมาก อัสลันจึงลดปริมาณยาลงทีละน้อย จนเขาตัดสินใจงดให้ยาระงับประสาทกับเด็กหนุ่ม
เมื่อถึงเวลาเย็น ศตคุณเริ่มขยับตัวมากกว่าปกติ เขากำลังจะตื่นจากการหลับใหลในไม่ช้า แต่อาเหม็ดที่คอยเฝ้าอยู่ตลอดนั้น เตรียมตัวพร้อมรับสถานการณ์อยู่แล้ว ทันทีที่ดวงตาสีอ่อนลืมขึ้น เขาก็ปราดเข้าไปกุมมือเด็กหนุ่มไว้ทันที “คุณศตคุณ”
“.....” ร่างโปร่งบางไร้เรี่ยวแรง ร้องไห้จนดวงตาคู่สวยบวมช้ำไปหมด อีกทั้งหลายวันมานี่ได้รับแต่น้ำเกลือผ่านทางเส้นเลือดเพียงอย่างเดียว พอลืมตาขึ้นพบอาเหม็ดเข้า เขาก็ปิดตาลงทันที
“ผมเตรียมโจ๊กไก่ไว้ให้คุณศตคุณ ตำรับคุณจีรุฒน์เชียวนะครับ คุณศตคุณชอบไม่ใช่หรือครับ” อาเหม็ดคิดว่าเขาควรต้องดึงความสนใจของศตคุณไว้กับครอบครัวในอดีตที่มีแต่ความสุข ซึ่งเป็นสิ่งที่เด็กหนุ่มยึดติดก่อนเป็นอย่างแรก พอเด็กหนุ่มมีสติและยอมรับฟังเหตุผล เขาก็จะค่อยๆ อธิบายถึงสาเหตุที่พาอีกฝ่ายมายังสถานที่แห่งนี้
เมื่อได้ยินชื่อของคุณลุงจีรุฒน์ผู้ล่วงลับ คุณลุงซึ่งเป็นพี่ชายคนเดียวของบิดาแท้ๆ ของตน เด็กหนุ่มก็อดลืมตาขึ้นมองไม่ได้... สมัยเด็กๆ ตอนที่บิดามารดายังอยู่ เวลาไม่สบาย มารดามักจะทำโจ๊กให้เขารับประทานเป็นประจำ เช่นเดียวกับตอนที่อาเหม็ดเดินทางไปพบกับเขาหลังจากบิดามารดาประสบอุบัติเหตุ ผู้ชายคนนี้ก็ทำอาหารชนิดเดียวกันนี่ให้เขารับประทานทุกเช้า
“คุณจีรุฒน์น่ะ รักคุณศตคุณมาก ท่านเล่าถึงคุณอยู่บ่อยๆ อยากให้คุณมาที่วังนิสรีนแห่งนี้สักครั้ง ทุกคนที่นี่ ทั้งชาวบ้านชาวเมืองต่างก็รู้จักคุณจีรุฒน์กันหมดเลยนะครับ”
ดวงตาที่ชุ่มไปด้วยน้ำตากะพริบปริบ... คุณลุง... ก็เคยมาที่นี่ด้วยอย่างนั้นหรือ
สาวใช้ที่ดูอายุมากกว่าใครเพื่อนคลานเข้ามาถึงขอบเตียง เธอส่งกรอบรูปถ่ายขนาดเล็กที่เธอกอดไว้อยู่นานให้กับเด็กหนุ่ม พร้อมกับรอยยิ้มอ่อนโยน
ภายในภาพถ่ายเก่าแก่ น่าจะสักยี่สิบกว่าปีที่แล้วได้ มีคุณลุงที่ร่างโปร่งรู้จักดียังดูหนุ่มแน่น นั่งอยู่กับเด็กผู้ชายตัวเล็กๆ อีกสองคนบนโซฟาหรูหราขนาดใหญ่ในห้องซึ่งอาจจะเป็นห้องใดห้องหนึ่งในวังแห่งนี้ ส่วนด้านหลังมีผู้ชายอาหรับที่ดูแก่กว่าเล็กน้อยยืนโอบไหล่ของคุณลุงอยู่ มือขาวข้างที่ไม่เจ็บยื่นออกไปรับกรอบรูปมาเพ่งดูอย่างสนใจ
...ผู้ชายคนนี้... ถึงจะดูหนุ่มกว่ามาก แต่เขาจำได้แม่นว่าคือคนเดียวกับคนในรูปถ่ายที่ตนเคยได้รับเมื่อตอนอยู่ที่เวียนนา
“อยากรู้มั้ยครับ ในรูปนี้มีใครบ้าง... ผมจะเล่าเรื่องคุณจีรุฒน์ต่อก็ได้ แต่คุณศตคุณต้องทานโจ๊กไปด้วย ตกลงมั้ยครับ” พออาเหม็ดพูดจบ สาวใช้อีกสองสามคนก็ยกถาดเข้ามารอ ชายวัยกลางคนเอื้อมมือไปประคองแผ่นหลังบอบบางให้ลุกขึ้นนั่งช้าๆ เขาเองก็หวั่นใจว่าศตคุณจะพยศอยู่เหมือนกัน
ร่างโปร่งเอนหลังพิงหมอนรองหลังที่วางซ้อนๆ กันอยู่หลายชั้น เขาเผยอริมฝีปากรับโจ๊กที่สาวใช้ป้อนให้ แล้วเหลือบมองอาเหม็ดคล้ายจะทวงสัญญา
“ผู้ชายคนที่ยืนข้างหลังนี่ คือชีคชารีฟยังไงล่ะครับ” อาเหม็ดหยุด เพื่อเปิดโอกาสให้สาวใช้ป้อนโจ๊กให้กับเด็กหนุ่มต่อ “แล้วนี่คือลูกชายคนโตของชีคชารีฟ ท่านคือ ชีคจาร์ซี ชารีฟ อิสมาเอล อัช ชะกิยาห์”
“และนี่คือลูกชายคนที่สอง ชีคทัชอัลดิน ชารีฟ อิสมาเอล อัช ชะกิยาห์”
อาเหม็ดลอบถอนหายใจอย่างโล่งอกที่เขายังพอจะรับมือศตคุณได้ เด็กหนุ่มดูสงบและยอมรับประทานอาหารแต่โดยดี หากสบายใจได้ไม่นานเท่าไหร่
“อื้อ...” ศตคุณยกมือขึ้นปิดปาก “ผม... จะอาเจียน...”
พวกสาวใช้ถลาไปหยิบกระโถนมาส่งให้ ก่อนเด็กหนุ่มจะอาเจียนเอาอาหารที่เพิ่งรับประทานเข้าไปออกมาจนหมด ร่างโปร่งบางหอบหนัก น้ำตาไหลนองใบหน้า ในปากขมไปหมด ทั้งยังมวนท้อง รู้สึกพะอืดพะอมและทรมาน สองแขนที่กอดลำตัวไว้สั่นเทา
“ดื่มน้ำหน่อยนะครับ” อาเหม็ดช่วยลูบหลัง พลางหยิบแก้วน้ำส่งให้ จากนั้นจึงสั่งให้สาวใช้ไปตามแพทย์มาอย่างเร่งด่วน เขาโอบกอดเด็กหนุ่มไว้หลวมๆ “อดทนหน่อยนะครับ คงเป็นเพราะคุณศตคุณไม่ได้มีอะไรตกถึงท้องมาหลายวันก็เลยเป็นแบบนี้”
สักพักอัสลันก็วิ่งหน้าตาตื่นเข้ามาในห้อง เขาพุ่งตรงเข้าไปตรวจดูอาการของเด็กหนุ่ม ตรวจซ้ำไปซ้ำมาอยู่นานจนแน่ใจ แล้วจึงสรุป “เป็นไปได้ว่าอาจจะยังมีพิษของแมงป่องหลงเหลือในกระแสเลือด แต่เดี๋ยวผมจะส่งอาเจียนของคุณศตคุณไปตรวจในแล็บอีกครั้งเพื่อความแน่ใจ และอีกอย่าง คุณศตคุณไม่ได้ทานอะไรมาหลายวัน ผมคิดว่าหลังจากอาเจียนแล้วก็น่าจะรู้สึกดีขึ้นนะครับ”
อาเหม็ดพยักหน้า พลางหันไปซับน้ำตาให้กับร่างโปร่ง “คุณศตคุณอดทนหน่อยนะครับ อย่างน้อยคุณก็ต้องทานอะไรไว้ให้อยู่ท้องบ้าง” เด็กหนุ่มในอ้อมกอดเขายังคงนั่งนิ่งราวกับตุ๊กตา เขาจึงต้องหาเรื่องใหม่ๆ มาล่อหลอกต่อไปอีก “...ผมจะเล่าเรื่องของคุณจีรุฒน์ต่อ ตกลงมั้ยครับ”
ร่างโปร่งหลุบตาลงต่ำ เขาจะปฏิเสธได้เชียวหรือ ในเมื่อเป็นเรื่องของคนในครอบครัวของเขา ทำไมจะไม่อยากรู้กันเล่า เด็กหนุ่มจำใจอ้าปากรับโจ๊กที่สาวใช้ป้อนให้อีกครั้ง
“อื้อ...” ศตคุณคลื่นไส้จนต้องหลับตาปี๋ แต่อาเหม็ดก็ส่งเสียงเชียร์ให้เขากลืนลงท้องไปช้าๆ
“จะอาเจียนอีกมั้ยครับ... ไหวมั้ย”
ไหวมั้ย... เดินไหวรึเปล่า...ร่างโปร่งบางสั่นสะท้าน คำพูดและสถานการณ์ที่คล้ายคลึง ทำให้เขานึกถึงเสียงทุ้มของใครบางคนที่ยังคงวนเวียนอยู่ในความทรงจำ มือขาวยกขึ้นกุมตรงอกซีกซ้าย ซึ่งความเจ็บปวดยังไม่จางหายไปเลยแม้แต่น้อย
“คุณศตคุณ เป็นอะไรไปครับ”
เด็กหนุ่มส่ายหน้า “ไม่เป็นไรครับ” พลางอ้าปากรับโจ๊กที่สาวใช้ป้อนให้อีกครั้ง
เมื่อเห็นว่าเด็กหนุ่มกลืนอาหารลงท้องได้บ้าง อาเหม็ดจึงเล่าต่อ “...ภรรยาของชีคชารีฟ ท่านเสียไปตอนที่คลอดบุตรคนที่สองนะครับ ต่อจากนั้น คุณจีรุฒน์ก็เป็นคนดูแลบุตรทั้งสองของชีคชารีฟมาโดยตลอด เหมือนเป็นคุณแม่คนนึงเลยทีเดียว ชีคจาร์ซีและชีคทัชอัลดินน่ะ รักคุณจีรุฒน์มากเลยล่ะครับ” อาเหม็ดหันไปเรียกสาวใช้ให้หยิบผ้าคลุมศีรษะที่ทำจากผ้าไหมสีดำสนิทมาส่งให้กับศตคุณ “ผ้าไหมแบบไทยๆ กลางทะเลทรายอาหรับ สุดยอดไปเลยใช่มั้ยครับ คุณจีรุฒน์สอนพวกชาวพื้นเมืองให้ทอผ้าไหม เรามีต้นหม่อนเลี้ยงเองในเรือนกระจก ส่วนผ้าผืนนี้น่ะ คุณจีรุฒน์สั่งทอให้กับชีคทัชอัลดินครับ”
ร่างโปร่งฟังเรื่องเล่าไปเรื่อยอย่างตั้งใจ สมัยยังเยาว์ ตัวเขาได้พบกับคุณลุงปีละสองหน โดยที่คุณลุงจะเป็นฝ่ายเดินทางไปยังเวียนนาเสียส่วนใหญ่ มีเพียงครั้งเดียวที่เขาเป็นฝ่ายได้มาเยี่ยมคุณลุงที่ดินแดนอาหรับนี่... แต่เพราะยังเด็กจึงจำไม่ได้ว่าคุณลุงสนิทกับครอบครัวของชีคชารีฟมากถึงขนาดนี้
“อิ่มแล้วครับ” ศตคุณส่ายหน้าเมื่อเห็นสาวใช้กำลังใช้ช้อนตักโจ๊กในชาม แล้วช้อนตาขึ้นสบสายตากับอาเหม็ด “ผมอยากพัก... อยากอยู่คนเดียว”
“ไม่ได้หรอกครับ... ผมต้องขอโทษด้วย” ชายวัยกลางคนสั่งให้สาวใช้ถอยออกไป ก่อนจะประคองเด็กหนุ่มให้นอนลง “พักอีกสักหน่อย จะได้มีแรงนะครับ”
ดวงตากลมปิดลงสนิท พอหลับตา... ภาพใบหน้าของทาริคก็ผุดขึ้นมาทำให้หัวใจเจ็บปวดอีกแล้ว ทั้งๆ ที่เขาพยายามไม่นึกถึง แต่อ้อมกอดอันอบอุ่น เสียงทุ้มอันอ่อนโยนก็ยากที่จะลืมเลือน... เขาไม่อยากเชื่อเลยว่าชายหนุ่มจะหลอกลวงเขามาทิ้งไว้ที่นี่จริงๆ ถ้าหากว่านี่เป็นเพียงแค่ฝันร้ายก็คงจะดี
อาเหม็ดนั่งลงบนเก้าอี้ข้างเตียงหลังใหญ่ เขาผ่อนลมหายใจหนักๆ นึกสงสารศตคุณจับใจ แต่เขาก็ไม่อาจขัดใจเจ้านายได้เช่นกัน ได้แต่เฝ้ารอให้คนสำคัญของศตคุณกลับมาช่วยรักษาบาดแผลในใจของเด็กหนุ่มสักที
TBC~*เอามาลงยาวๆ แล้วน้า จะได้อ่านกันแบบว่าไม่ค้างคานะคะ (หรือค้างกว่าเดิม 5555)
หลังจากตอนนี้ไป ความจริงทั้งหมดจะค่อยๆ เปิดเผยออกมาทีละน้อย หลายคนที่คาดเดาไว้ว่าทาริคเป็นใคร ก็มีถูกบ้างหลายคนเลยล่ะค่ะ 55555
ฮัสกี้ไม่ได้หายไปไหนน้า ยังมีชีวิตอยู่ 5555 ช่วงนี้ยุ่งๆ นิดหน่อยค่ะ เพราะทำเล่ม "ตะวันเคียงเดือน" กับ "แกนีมีด" อ่าค่ะ เพิ่งทำเสร็จแล้วส่งโรงพิมพ์ไปหมาดๆ เอง เหนื่อยมากกกกก ขอบคุณทุกคนที่ให้การสนับสนุนนะคะ ^^ ติดตามข่าวสารของทั้งสองเรื่องนี้ได้ที่เพจของฮัสกี้น้า
แล้วก็ ฮัสกี้ของฝากเรื่อง Blurred & เงาจันทร์ในม่านหมอก ไว้ในอ้อมอกของเพื่อนๆ ด้วยนะคะ สองเรื่องนี้ไม่ค่อยมีใครอ่านเลย 55555 ฮัสกี้เศร้า 
ขอบคุณทุกคนมากค่ะ รักน้าาาา จุ๊บบบบ 