โคตร..คิดถึง
Once upon a time
คำว่า ‘โคตร’ มันเป็นคำที่ใช้เพื่อบ่งบอกปริมาณใช่ไหม? มันอาจจะใช้กับสิ่งของ วัตถุ อะไรที่เป็นรูปธรรม หรือ บางทีก็นามธรรมอย่าง…ความรู้สึก…
ความจริงแล้วคำนี้มันอาจจะฟังดูหยาบ ไม่ค่อยรื่นหู และกึ่งจะเป็นคำที่ไม่สุภาพเท่าไหร่นัก
แต่สำหรับผมแล้ว…คำนี้มันก็โคตรจะสามารถอธิบายความรู้สึกได้ดีที่สุดแล้วในตอนนี้…
#1
ท้องฟ้าสีส้ม…เมฆเทาชมพูเคลื่อนตัวแผ่ขยายทั่วบริเวณ ลมเย็นๆพัดผ่านแตะกระทบผิวกายจนขนลุกชัน
นอนหงายเงยหน้ามองอย่างไร้จุดโฟกัส จินตนาการทำให้ภาพสิ่งต่างๆปรากฏขึ้นกลางกลุ่มก้อนเมฆ
คิดๆดูแล้วเมื่อสมัยก่อนก็เคยอยากจับเมฆนี่นะ…
จะนุ่มไหมนะ จะจับติดมือหรือเปล่า หรือมันเป็นแค่ไอน้ำอย่างนั้นจริงๆ
เพราะถ้าอย่างนั้นนักโดดร่มหรือนักกีฬาทางอากาศเวลากระโดดลงมาจากเครื่องบินก็คงจะติดอยู่บนก้อนเมฆเสียก่อนที่จะได้โรยตัวลงมาที่พื้นดิน
เพราะฉะนั้นหากลองยื่นมือไปปัดผ่านกลุ่มก้อนเมฆมันก็คงจะเป็นเหมือนหมอกควันจางๆที่เจือหายไปตามแรงลมสินะ
ขึ้นไปยืนไม่ได้ ล้มตัวนอนเกลือกกลิ้งก็ไม่ได้ จับหรือยัดเข้าปากยิ่งไม่ได้ไปใหญ่เลย…น่าเบื่อจัง
ได้กลิ่นฝนแหะ…
“ภาพ”
เสียงทุ้มคุ้นหูดังมาจากด้านหลัง แต่ไม่ได้ทำให้เจ้าของชื่อดีดตัวลุกขึ้นนั่ง
ความสบายกายจากการผ่อนกล้ามเนื้อนอนแผ่อยู่ตอนนี้ทำให้เขารู้สึกดีเกินกว่าจะขยับตัว
ได้ยินเสียงฝีเท้าดังเข้ามาใกล้เรื่อยๆจนหางตาเหลือบเห็นเพื่อนสนิททรุดตัวนั่งลงข้างกาย
“มึงจะกลับยัง?”
“อีกสักพักอ่ะ ขี้เกียจลุก มึงเสร็จแล้วเหรอ?”
ภาพวาด ชายหนุ่มที่อีกไม่ถึงปีก็กำลังจะเรียนจบจากมหาลัยชื่อดังเอ่ยปากตอบแล้วลากยาวถามแต่ไม่ได้กระดิกตัวเลยสักนิด
ในมือกระชับอุปกรณ์คู่ชีพให้พอดีมือขึ้น
“เออ กูได้งานมาสเตอร์พีชคราวนี้ละ ว่าจะพอก่อนเหมือนฝนจะตก”
“อืม…ได้กลิ่น มึงกลับไปก่อนเลยก็ได้นะพีช เดี๋ยวอีกสักพักกูก็กลับ”
พีชยิ้มมุมปากแล้วเอี้ยวตัวมองใบหน้าเหม่อลอยไร้จุดหมายของเพื่อนข้างๆ “อารมณ์ไหนตอนนี้”
เขาเอ่ยคำถามประจำที่มักจะถามเมื่อเห็นอีกฝ่ายดูลอยๆเบลอๆเหมือนร่างกายอาจจะจางไปเรื่อยๆได้ถ้าหากไม่รีบขยับตัวสักนิด
“…คิดถึง” เสียงพึมพำแผ่วเบาแต่ก็ไม่ได้ทำให้เขาไม่ได้ยิน
พีชหัวเราะเล็กน้อยแล้วเงยหน้ามองฟ้าเหมือนที่ภาพวาดทำอยู่ตั้งแต่แรก
“อีกแล้วเหรอวะ”
“…”
“นานแล้วนะมึง”
ประโยคสั้นๆแต่แฝงไปด้วยความหมายของพีชทำให้ภาพวาดกระพริบตาถี่ๆอย่างครุ่นคิด
คิ้วเข้มขมวดเข้าหากันเล็กน้อยอย่างที่เจ้าตัวก็ไม่ทันรู้
ใช่…นานแล้ว…3ปีนี่มันนานมากแล้วจริงๆ
“อีกอย่างตอนนั้นมึงก็บอกว่าคิดดีแล้วไม่ใช่เหรอวะ”
“ก็ตอนนี้กูคิดใหม่แล้ว”
คำตอบที่ฟังยังไงก็เหมือนเด็กที่เถียงอย่างไม่ไตร่ตรอง ทำคนฟังยิ้มขำแล้วเอื้อมมือไปขยี้ผมเพื่อนตัวดีหนักๆ
“กลับเหอะมึง เดี๋ยวฝนตกแล้วลูกมึงก็เปียก” พีชว่าแล้วพยักหน้าไปที่กล้องตัวโปรดในมือของภาพวาด
“เออ กลับก็กลับ”
เขาว่าแล้วขยับตัวลุกขึ้น ปัดฝุ่นบริเวณหลังและบั้นท้ายออกพอเป็นพิธี
ก่อนจะเดินลงบันไดดาดฟ้าก็ไม่ลืมที่จะแหงนหน้ามองขึ้นไปด้านบนอีกครั้ง…
เมฆเปลี่ยนสีแล้วนะ ภาพวาดโบกมือลาเพื่อนแล้วลงจากรถไฟฟ้ามาเมื่อตัวรถจอดเทียบที่สถานีเป้าหมายของเขาแล้ว
ชายหนุ่มเดินไปหยุดยืนที่ริมรั้วมองผ่านสายฝนที่โปรยปรายลงมาเล็กน้อยพอวิ่งฝ่าไปได้
แต่เจ้าตัวกลับทำเพียงเปิดกระเป๋ากล้องหยิบลูกรักขึ้นมาเปิดปรับค่าจนพอใจแล้วส่องดูบริเวณโดยรอบผ่านเลนส์อย่างไม่รีบร้อน
ผู้คนรอบข้างบ้างก็บ่นฝนเพราะไม่มีร่ม บ้างก็ขมวดคิ้วหงุดหงิดเหมือนไม่พอใจ บ้างก็คุยโทรศัพท์รอคนมารับ บ้างก็วิ่งออกไปเรียกรถโดยสาร
ความหลากหลายนั่นทำให้เขาไม่เบื่อที่จะส่องกล้องไปเรื่อยๆแล้วกดชัตเตอร์บ้างในจังหวะที่พอใจ
แต่แล้วเขาก็ชะงักแล้วลดกล้องลงเมื่อภาพในเลนส์ไปโฟกัสที่ชายหนุ่มคนหนึ่งที่มีลักษณะคุ้นตาคล้ายคนในความทรงจำ
ภาพวาดจึงเพ่งมองด้วยนัยน์ตาตรงๆโดยไม่ผ่านอุปกรณ์
เขาถอนหายใจแล้วก้มหน้าลง แค่นยิ้มเล็กน้อย…
จะใช่เขาได้ยังไง…นี่มึงเพ้อมากไปแล้วไอ้ภาพ ภาพวาดประชดตัวเองในใจแล้วส่ายหัวยัดกล้องใส่กระเป๋าดังเดิม ก่อนจะเริ่มก้าวเท้าออกจากตรงนั้น
ไม่นานนักเขาก็ฝ่าฝนเข้ามาที่ร้านก๋วยเตี๋ยวใกล้ๆหอพัก
“อ้าว น้องภาพ เปียกมาเชียวไม่ได้พกร่มเหรอคะ”
ป้าใจ เจ้าของร้านผู้ใจดีที่คุ้นหน้าคุ้นตากันมาหลายปีแล้วเดินเข้ามาทักแล้วส่งกล่องกระดาษทิชชู่ให้อย่างมีไมตรีจิต
“ขอบคุณครับป้าใจ เผอิญวันนี้ผมแบกกระเป๋ากล้องหนักแล้วเลยขี้เกียจเอาร่มไป ไม่คิดว่าฝนจะตก”
“ก็หน้าฝนนี่คะ รับอะไรดีคะวันนี้ เหมือนเดิมไหม?”
“เอ่อ…ขอเป็นเล็กต้มยำแล้วกันครับ”
คนรอฟังเมนูอาหารชะงักไปนิดแล้วยิ้มบางส่งให้อย่างรู้กัน
“ถ้าอย่างนั้นวันนี้ก็เอาผักกับถั่วงอกสินะคะ”
ภาพวาดหัวเราะนิดหน่อยแล้วพยักหน้าให้อีกฝ่ายหมุนตัวไปยืนหน้าหม้อน้ำซุป
ถึงจะเขินแต่ก็ช่วยไม่ได้…ป้าใจเป็นอีกคนที่เขาค่อนข้างจะสนิทสนม
เพราะด้วยที่มากินตั้งแต่ช่วงเข้ามหาลัยใหม่ๆจนถึงตอนนี้ก็ยังแวะเวียนมาเป็นประจำเรียกได้ว่าแทบจะทุกวันเลยด้วยซ้ำ
ก็แถวๆหอเขาร้านป้าใจอร่อยสุดๆแล้ว และแน่นอนว่าต้องเคยมากับ
‘เขาคนนั้น’ บ่อยครั้งจนกลายเป็นรู้กันเวลาบอกว่าเหมือนเดิม
ไอ้ตัวเขาเองไม่กินเผ็ด ไม่กินผัก การที่จะสั่งเล็กต้มยำผักงอกเนี่ยมันก็คงไม่ใช่นิสัย
หากไม่ใช่เพราะเป็นเมนูประจำของ…
อีกคน… เขาเลยมักจะสั่งเวลาที่…คิดถึงแบบนี้
“เอ้า ได้แล้วค่ะ เอาร่มไปด้วยนะคะไว้มาคืนวันหลังก็ได้”
ถุงบะหมี่แยกน้ำร้อนๆที่มีถุงผักและถั่วงอกพร้อมเครื่องปรุงใส่ไว้ให้ถูกวางลงที่โต๊ะตรงหน้าคนที่สั่งพร้อมร่มสีแดงลายจุด
“ขอบคุณครับป้าใจ แต่ไม่เป็นไรหรอกครับวิ่งนิดเดียวเองฝั่งตรงข้าม ไหนๆก็เปียกแล้วเอาให้สุด”
“จะเอาอย่างนั้นเหรอคะ เดี๋ยวไม่สบายป้าไม่รู้ด้วยนะ” คนอายุมากกว่ายิ้มเอ็นดูแล้วรับเงินจากเด็กหนุ่มตรงหน้า “วิ่งระวังๆนะคะน้องภาพ”
เจ้าของชื่อยิ้มรับแล้วโค้งหัวลา ก่อนจะวิ่งฝ่าฝนออกไปอีกครั้ง
“ซี้ดด…อึก..”
เสียงสูดปากสลับกับเสียงกลืนน้ำจนเกือบหมดแก้วดังก้องห้องมาค่อนชั่วโมง
ชามก๋วยเตี๋ยวสีส้มแดงตรงหน้าก็ยังไม่ลดลงไปสักเท่าไหร่นัก เหมือนว่าตอนนี้คนกินจะอิ่มน้ำไปมากกว่าเส้นเสียแล้ว
ก็ไม่รู้จะสั่งทำไมไอ้เมนูเผ็ดที่กินไม่ได้เนี่ย ทรมาณไปก็เท่านั้น…
ภาพวาดคิดด่าตัวเองในใจแล้ววางตะเกียบลงนั่งมองอาหารในชามนิ่งๆ
ภาพและเสียงในความทรงจำเมื่อหลายปีก่อนจะหวนกลับมา
‘ใส่พริกเพิ่มอีกเหรอพี่?!’
‘อื้ม จะได้มีรสชาติ’
‘งี้พี่กินพริกเลยเหอะ’
‘มันไม่เหมือนกัน ใครจะกินจืดชืดแบบวาดกันล่ะ’
‘น้ำซุปอร่อยอยู่แล้วเถอะ ลองลิ้มรสชาติมันลึกๆดูสิ’
‘ครับๆ น้องวาดลิ้มรสชาติอาหารได้ล้ำลึกที่สุดแล้ว’
‘ไม่รู้กินไปได้ยังไง แดงเถือกแบบนั้น’
‘ลองดูไหมล่ะ?’
‘ไม่ล่ะ ลิ้นพองแน่’ เสียงหัวเราะของคนตรงข้ามดังก้องอยู่ในความคิดขณะที่สายตาเขายังคงจับจ้องอยู่ที่น้ำซุปสีออกส้มๆที่ยังแดงไม่ถึงครึ่งของวันนั้นเลยด้วยซ้ำ…
เหมือนว่าตอนนี้การกระทำและความคิดของภาพวาดจะไม่ต้องการเหตุผลรองรับ…
เมื่อเขาคีบเส้นเล็กสีขาวขุ่นที่ดูดซึมน้ำจนเปลี่ยนเป็นสีส้มอ่อนเข้าปากอีกครั้ง
ไม่รู้ว่าเพราะอะไรและก็ไม่ได้สนใจจะรู้เท่าไหร่นักว่าทำไมขอบตารู้สึกร้อนๆ
อาจจะเป็นเพราะความเผ็ดร้อนของพริกในเล็กต้มยำตรงหน้าก็ได้
ฟึ่บ! ภาพวาดขยี้ตาไปมาด้วยอาการง่วงแล้วลุกขึ้นหลังจากเลื่อนปิดนาฬิกาปลุกในโทรศัพท์เป็นรอบที่4แล้ว
เขาเหลือบมองเวลาที่หน้าจอก่อนจะยกมือลูบท้ายทอยตัวเองไปมา…
คราวนี้4รอบแหะ… ด้วยความขี้เซาของชายหนุ่มทำให้เจ้าตัวต้องตั้งเวลาปลุกถี่ๆชนิดที่ถ้าไม่ตื่นก็ไม่หยุดปลุกแน่ๆ
ยกตัวอย่างเช่น หากเวลาที่ต้องการจะตื่นคือ8โมงเช้า
ก่อนเข้านอนเขาก็จะตั้งปลุกตั้งแต่ 6ครึ่ง 7โมง 7โมงครึ่ง 8โมง 8โมงครึ่ง 9โมง 9โมงครึ่ง
ลากยาวที่ละครึ่งชั่วโมงไปจนถึงเที่ยงกันเลยทีเดียว
หากแต่การกระทำงี่เง่านั้นก็ไม่อาจทำลายการนอนหลับอันแสนรื่นรมย์ของเขาได้
‘วาดคงจะคิดว่าเป็นเสียงเพลงกล่อมไปแล้ว ถึงได้นอนฟังแบบมีความสุขอย่างนั้น’ วูบนึงที่เผลอก็ทำเขาคิดถึงประโยคพูดแสนธรรมดาของคนคนนั้นอีกแล้ว…
เขาส่ายหัวสะบัดความคิดฟุ้งซ่านให้หายออกไป ก่อนจะเปิดโปรแกรมนาฬิกาปลุกเพื่อปิดการตั้งปลุกของเวลาที่ยังมาไม่ถึง
แล้วลุกขึ้นไปคว้าผ้าเช็ดตัวเข้าห้องน้ำ
เขาก้มหัวลงแล้วเปิดฝักบัวให้น้ำไหลผ่านศีรษะลงตามร่างกายอย่างไม่รีบร้อน
วันนี้เขาจะนั่งเลือกรูป แล้วเอาไปอัดเสียหน่อย
ระหว่างที่ปล่อยความคิดให้ไหลไปกับสายน้ำอย่างสบายๆแบบที่ทำประจำในตอนเช้าของวันที่ไม่เร่งรีบ
เขาก็เผลอมองไปที่แปรงสีฟัน2อันที่วางพิงกันอยู่ในแก้วน้ำหน้ากระจกตรงอ่างล้างหน้า
และไม่ต้องเดาว่าความฟุ้งซ่านกำลังจะกลับมาเป็นครั้งที่2สำหรับวันใหม่
ควรจะทิ้งไปได้หรือยังนะ…หรือว่าจะย้ายห้องเลยดี…หรืออาจจะต้องย้ายหอเลยก็ได้…
ถ้ามันจะทำให้อาการระลึกชาติแบบนี้หายไปเสียที
สบู่กลิ่นผลไม้ที่เขาชอบไหลลงตามแขนและขาเมื่อมันกระทบกับสายน้ำจากฝักบัวบนหัว
เขาลูบมันทิ้งอีกแรง ก่อนจะหมุนก๊อกปิดแล้วสะบัดหัวอย่างที่ชอบทำ
มืออีกข้างที่ว่างจากการยีผมก็เอื้อมไปคว้าผ้าด้านข้างมาพันรอบเอวลวกๆ
และแน่นอนว่าเขาเหน็บมันไม่เป็น เหน็บๆยัดๆทีไรผ้าก็ร่วงลงพื้นทุกที…เพราะ
‘มานี่มาจะจับอยู่แบบนั้นทำไม พี่เหน็บผ้าให้’ เมื่อก่อนจะมีอีกคนทำให้อยู่เสมอ…ต่างกันตรงที่ตอนนี้ไม่มีแล้ว
เป็นครั้งที่3กับอาการฟุ้งซ่าน…วันสองวันนี้มันอะไร อยู่ๆโรคเก่ามากำเริบถี่ขนาดนี้
ภาพวาดสะบัดหัวอีกครั้งปิดท้ายความคิดไร้สาระแล้วเอาจับชายผ้าทั้ง2ข้างรวบไว้ที่เอวก่อนจะรีบก้าวขาออกจากห้องน้ำเพื่อไปแต่งตัวให้เร็วที่สุด
จะได้พ้นจากการที่ต้องจับผ้าเช็ดตัวนี่ไว้เสียที
RRrrrrRrrr
RrrRrrrrrrr [ไอ้ภาพพพ] เสียงของพีชเพื่อนสนิทร่วมสถาบันและอาชีพดังขึ้นทันทีที่รับสาย
“เออ ว่าไง”
[เลือกรูปยังวะ]
“ยังเลย กำลังจะเลือกละ เพิ่งกินข้าวเสร็จ”
[เออ กูเปิดๆดูละ ยังไม่ใช่เท่าไหร่ว่ะ ว่าจะไปถ่ายใหม่ เลยจะมาถามมึงก่อน]
“กูยังไม่ได้ดูเลย มึงจะไปที่ไหนอ่ะ เผื่อตามไป”
[คราวนี้ว่าจะไปแถวมหาลัย]
“เค ถ้าไปเดี๋ยวโทรหา”
[เออ ไงเจอกัน แต่ถ้าช้ากูเสร็จละไม่รอนะเว้ย]
“เรื่องมึง จะไปไหนอีกล่ะ”
[ไหนบอกเรื่องกู]
“หึหึ”
[ไม่ต้องมาแค่นหัวเราะ ถ้าเสร็จละมึงไม่มาเดี๋ยวกูแวบไปหาที่หอ]
“เออ ไว้ว่ากัน”
สิ้นคำภาพวาดก็ตัดสายแล้ววางโทรศัพท์ลงที่โต๊ะ เขาเสียบการ์ดเมมโมรี่กล้องเข้าโน้ตบุ๊คแล้วรอมันโหลด
ระหว่างนั้นก็ยกแก้วนมขึ้นจรดปาก และพาลระลึกอดีตเป็นรอบที่4
‘เดี๋ยวนี้หัดไว้หนวดเหรอเรา’ คำพูดกลั้วหัวเราะที่มาพร้อมสัมผัสจากมือหนาที่ปาดมาตรงบริเวณมุมปากลากผ่านมาจนถึงอีกด้าน
ก่อนจะยกนิ้วโป้งที่มีคราบนมเลอะอยู่โชว์เขาเหมือนติดจะแซว
แล้วก็อีกครั้งที่ต้องยกมือกุมขมับเพราะความคิดน่ารำคาญที่เกิดขึ้นไม่หยุด
เขาระบายลมหายใจอย่างเหลืออด แล้วคว้าทิชชู่ด้านข้างมาเช็ดปาก เสร็จแล้วก็ขยำเป็นก้อนปาลงถังขยะอย่างไม่ใส่ใจนัก
รูปที่ถ่ายเมื่อวานกว่าร้อยรูปค่อยๆรันขึ้นโชว์บนหน้าจอจนรู้สึกลายตา
แสงสีหลากหลายที่จับจ้องผ่านเลนส์เมื่อวานปรากฏจนครบทุกช่องภาพ
เขาคลิกเลือกตั้งแต่ภาพแรกแล้วไล่ดูหนึ่งรอบพร้อมจดรหัสภาพที่เข้าตาในแวบเดียวไว้ก่อน
วิธีการเลือกรูปของเขาจะใช้เวลาและซ้ำไปซ้ำมาเสียหน่อย แต่เขาว่ามันคุ้มค่าและได้ผลทีเดียว
เพราะเขามีความเชื่อว่าภาพที่ดีจะต้องดึงดูดสายตาตั้งแต่แวบแรกที่เหลือบมอง หลังจากนั้นถึงชัดเจนเมื่อเริ่มเพ่ง และสุดท้ายต้องตราตรึงในสมอง
การเลือกรูปรอบแรกของเขาจึงเป็นการเปิดผ่านตั้งแต่ภาพแรกจนภาพสุดท้ายด้วยความเร็วที่ค่อนข้างมากสักหน่อย
จากนั้นจึงเปิดรูปที่จดรหัสเพราะสะดุดตามาดูอย่างละเอียด
แล้วรอบสุดท้ายค่อยเป็นการตัดสินใจจากเหตุและผลอย่างเป็นหลักการ
ทำซ้ำรอบละ2-3ครั้งเป็นอันจบ จนกว่าจะได้รูปที่ดีที่สุดมาครอบครอง
และทั้งหมดทั้งมวลนั้นเขาก็ใช้วิธีครูพักลักจำมาจากคนคนนั้นอีกนั่นแหละ นำมาประยุกต์ใช้จนเป็นวิธีของตัวเอง…
นานแล้วนะที่ไม่ได้เลือกรูปด้วยกัน การเถียงเรื่องความรู้สึกกับเหตุผลในภาพแต่ละภาพมันสนุก
สนุกจนบางทีใช้เวลากับเขาทำเรื่องนี้เพียงเรื่องเดียวจนข้ามวันข้ามคืน
และทั้งสิ้นที่กล่าวมา มันคงไม่แปลกใช่ไหม ที่ในชีวิตของภาพวาดคนนี้ จะมีเขาเป็นส่วนประกอบถึงครึ่งนึงของชีวิต
…หรืออาจจะมากกว่าเสียด้วยซ้ำ TBC...
วันนี้เอาเรื่องเศร้าบรรยากาศเหงาๆเรื่องใหม่มาเสนอค่ะ
ขอฝากนายเอกคนใหม่ ลูกชายที่รักที่สุดอีกคนไว้ด้วยนะคะ 