บทที่ 34
“พักนี้แกดูหงุดหงิดง่ายนะนาว หน้าแกก็ซีด แกได้กินข้าวบ้างเปล่าวะ” ไอ้บิวบอกกับผมในบ่ายวันหนึ่ง วันนี้เจ้าชายแอชตันยอมปล่อยให้มันมาหาผมได้ อีกไม่ถึงห้าวันก็จะเข้าสู่ปีใหม่แล้ว องค์เหนือหัวรับสั่งให้มีการจัดงานให้ประชาชนได้เฉลิมฉลองกันเต็มที่หลังจากที่ต้องถูกลิดรอนอิสระกันมาหลายปี
“ฉันนอนไม่ค่อยหลับว่ะบิว ฝันร้ายตลอดเลย” ผมบอกมัน
“ฝันว่าอะไรวะ”
“ฝันว่ามีคนมาบีบคอ ไดแอนบอกว่าเพราะฉันไปลบหลู่ผีป่า”
“เจ้าชายแอลบอกฉันว่าเรื่องผีป่าคือเรื่องไร้สาระ เป็นอุปทานหมู่ มันไม่มีจริง” ไอ้บิวบอกผม ผมก็เห็นด้วยกับเจ้าชายแอชตัน แต่สิ่งที่เกิดขึ้นกับผมมันก็เป็นสิ่งที่ยังพิสูจน์ไม่ได้เหมือนกัน ผมแน่ใจว่าการฝันร้ายทุกวันมันไม่ใช่เรื่องปกติ
“ฉันก็ว่างั้น”
“แล้วพี่ธีมงานยุ่งตลอดเลยเหรอ” มันถาม ผมถอนหายใจก่อนจะพยักหน้าให้มัน
“เขาบอกฉันว่าอยากรีบเคลียร์ทุกอย่างให้เสร็จให้หมด เขาจะได้มีเวลาพาฉันกลับเมืองไทยไปเยี่ยมพ่อปริณกับแม่เม แกไปกับฉันไหม” ผมถามไอ้บิว มันหน้าเศร้าก่อนจะส่ายหน้า
“ฉันไปไม่ได้หรอก”
“ทำไมวะ แกจะไม่มีวันหยุดเลยเหรอ”
“เพิ่งจะมาเองแก ก่อนจะไปบอกฉันหน่อยแล้วกัน จะฝากซื้อของที่เมืองไทยด้วย” มันบอกผม ผมนึกสงสารมันที่ไม่มีอิสระเท่าที่ควร ขณะที่ผมกำลังคุยกับไอ้บิว อลันก็เดินเข้ามาพร้อมกับถ้วยยา ผมถอนหายใจแรงๆ ไม่อยากกินเลย
“เมื่อไหร่จะเอาเฝือกออกได้ละอลัน” ผมถามอลันเพราะรู้สึกอึดอัดกับการต้องสวมเฝือกอยู่แบบนี้
“อีกสองวันครับ แต่ถ้าคุณมะนาวต่างดุ๊ดยังเดินไปเดินมาไม่หยุด หมออาจจะต้องให้ใส่ต่อ” อลันบอก หนอยแน่ะ เดี๋ยวนี้รู้จักขู่ผมด้วย สงสัยให้โหดสั่งกำชับอลันห้ามผมไปไหน
“รู้แล้วน่า แล้วพี่ธีมกลับมาจากข้างนอกรึยัง” ผมถาม
“กลับมาแล้วครับ ไปเข้าเฝ้าท่านนาทีค อีกสักครู่คงมาที่นี่ครับ”
“วันนี้กลับมาเร็วจัง” ผมดีใจ ปกติกว่ามันจะกลับมาผมก็หลับแล้วทุกที
“งั้นฉันกลับก่อนนะ มานานแล้ว พรุ่งนี้ฉันจะทำซุปมาให้ แกผอมลงเยอะเลย” ไอ้บิวบอกผม ผมขอบใจมันและให้อลันไปส่งมันที่ตำหนักสายรุ้ง ส่วนตัวผมก็เข้าไปล้างหน้าล้างตาให้ดูสดชื่น ไม่อยากดูโทรมตอนที่ไอ้โหดมันกลับมา
ผมนั่งมองนาฬิกาพร้อมกับความหงุดหงิดที่เพิ่มขึ้นตามลำดับ จากที่อลันบอกว่ามันกลับมาแล้วจนถึงตอนนี้ก็ผ่านไปห้าชั่วโมงแล้วแต่ธีมมันยังมาไม่ถึงห้องเลย วินาทีที่ตัดสินใจจะลงไปตามหามัน มันก็เปิดประตูห้องเข้ามาเสียก่อน พอมันเห็นผมหน้าบึ้งก็รีบเข้ามาสวมกอดผมอย่างเอาใจ
“พี่เปลี่ยนน้ำหอมเหรอ” ผมถาม เพราะกลิ่นตัวมันเปลี่ยนไป
“อ๋อ เปล่า เมื่อกี้พี่กอดกับแม่มา คงเป็นกลิ่นน้ำหอมของแม่มั๊ง อย่าบอกนะว่าระแวงพี่อีกแล้ว” มันถามผม ผมยังคงจ้องหน้ามัน ยอมรับว่าระยะหลังผมหึงมันมากขึ้นและงอนมันบ่อยๆ
“ก็อลันบอกว่าพี่มาถึงตั้งนานแล้ว”
“พี่คุยข้อราชการกับพ่อนานไปหน่อย พี่บอกแล้วไง อยากเคลียร์งานที่ท่านปู่สั่งให้หมดไวๆ” มันโยกหัวผมเบาๆก่อนจะคลายอ้อมกอดออกแล้วเดินไปยืนที่หน้าตู้กระจก
“ขออาบน้ำก่อนนะ เหนียวตัวมากเลย” มันบอกผมก่อนจะถอดเสื้อออก ผมจะหันไปอ้อนมันว่าขอไปอาบให้แต่ก็ต้องชะงักไปเมื่อเห็นว่าที่แผ่นหลังของมันมีรอยถลอกเป็นทางยาวเหมือนถูกข่วนมา แต่คราวนี้ผมไม่ได้โวยวายถามมันจนกระทั่งมันเดินเข้าห้องน้ำไปผมถึงได้แสดงสีหน้าว่าไม่สบายใจออกมา สักพักมันเดินออกมาจากห้องน้ำ แต่งตัวเสร็จแล้วมันถึงได้เดินไปนั่งที่โซฟา ผมเดินไปหามันแล้วนั่งลงข้างๆ เห็นมันหยิบเอกสารรายงายการจัดงานปีใหม่ขึ้นมาดู
“เออ พี่ว่าจะเอาราณีไปช่วยงาน เพิ่งรู้ว่าน้องมันมีความรู้เกี่ยวกับประวัติศาสตร์ของบัณตราดี ท่านปู่อยากให้พี่รู้เรื่องของบัณตราให้ลึกซึ้งมากกว่านี้”
“พี่ดูเป็นเจ้าชายเต็มตัวแล้วเนอะ” ผมบอกมัน
“พี่อยากให้นาวภูมิใจในตัวพี่” มันบอกผม ผมยิ้มให้มันก่อนจะเหม่อมองไปที่นอกหน้าต่าง
“พี่คงไม่อยากเป็นไอ้ธีมคนธรรมดาแล้วมั๊ง” ผมพูดต่อ มันหันมามองหน้าผมก่อนจะวางเอกสารลง
“งอนอะไรพี่อีก ไหนพูดซิ” มันถอนหายใจ
“แล้วนาวควรจะงอนพี่เรื่องอะไรบ้างละ”
“นาวไม่เคยเป็นแบบนี้เลยนะ” น้ำเสียงของมันดูเหนื่อยๆ คงจะผิดหวังที่ผมงอนมันแบบไม่มีเหตุผล
“แล้วแผลที่หลังของพี่คืออะไร” ผมถามมันเสียงดัง มันดูตกใจที่ผมเสียงดังใส่มัน ก่อนจะเปิดกระเป๋าหยิบถุงยาออกมาให้ผมดู
“หมู่บ้านที่พี่ต้องขึ้นไปวันนี้มันไม่มีถนน รถเข้าไม่ถึง พี่ต้องเดินขึ้นเขาไป แล้วแผลเนี่ยคือพี่โดนกิ่งของเถาวัลย์มันเกี่ยว เมื่อกี้แม่ให้หมอมาดูอาการ กลัวติดเชื้อไข้ป่ามาด้วย พี่ถึงได้มาช้าเพราะรอหมออยู่ แล้วนาวคิดว่าพี่ไปทำอะไรมา” มันถามผม ผมอึ้งไปเมื่อได้รับรู้
“ก็...นาว...”
“ถ้าขานาวหายดีพี่จะพานาวไปด้วยทุกทีเลยนะคราวนี้ คิดว่าพี่ไม่คิดถึงนาวรึไงที่ต้องห่างกัน” มันลูบที่แก้มผมเบาๆ ผมรู้สึกผิดขึ้นมาเลย
“นาวขอโทษ” ผมจับมือมันที่ลูบแก้มผมมาหอม แล้วขยับเข้าไปสวมกอดมัน มันกดจูบที่หน้าของผมเบาๆ ผมซุกหน้าเข้าไปหอมที่ซอกคอของมัน แล้วผมก็เด้งตัวออกก่อนจะดึงคอเสื้อมันลง
“นี่รอยเถาวัลย์ด้วยใช่ไหม” ผมถาม ที่คอมันมีรอยห้อเลือดกลมๆ สองวง มันหน้าเสียก่อนจะดึงมือของผมออกจากคอเสื้อมัน
“ไม่รู้ว่ามีรอยตั้งแต่เมื่อไหร่” มันบอกก่อนจะเดินไปส่องกระจก ดูรอยที่คอมัน
“โกหกนาวทำไม” ผมถาม ในใจของผมเหมือนมีน้ำร้อนราดลงมาเต็มๆ ในตอนนี้
“พี่ไม่รู้จริงๆ ว่ารอยอะไร” มันเดินเข้ามาหาผม ผมดันตัวมันออก ไม่ยอมให้มากอดผม
“พี่ไม่รู้นาวจะบอกให้ รอยดูดไง” ผมตวาดมัน
“ใครจะมาดูดพี่ พี่ไม่ได้นอนกับใครนอกจากนาวนะ”
“อ๋อ พี่จะบอกว่านาวดูดคอพี่แล้วจำไม่ได้สินะ”
“ก็ถ้านาวมั่นใจว่านี่เป็นรอยดูด ก็ต้องเกิดจากนาวเท่านั้น” มันยังปากแข็งไม่ยอมรับ ผมรู้สึกเจ็บจนพูดไม่ออก
“นาวจะไปนอนห้องนาว” ผมบอก ก่อนจะลุกขึ้น มันคว้าข้อมือผมไม่ให้ผมเดินไป
“อย่าทำแบบนี้ มีเหตุผลหน่อยสินาว” มันดุผม
“เออ นาวไม่มีเหตุผล ส่วนพี่คนที่มีเหตุผลก็กลับไปทบทวนให้ดี ถ้าพี่เบื่อนาวแล้วก็บอกตรงๆ นาวก็ไม่อยากทนอยู่โดยที่ไม่รู้ว่าตัวเองเป็นอะไรสำหรับพี่” ผมสะบัดมือมันออก มันลุกขึ้นมาสวมกอดผมเอาไว้จากข้างหลัง
“เชื่อพี่สินาว พี่ไม่ได้มีคนอื่นจริงๆ” ผมยืนนิ่งอยู่สักพัก สุดท้ายก็ถอนหายใจออกมา
“นาวเจ็บนะ แค่สงสัยยังเจ็บขนาดนี้ พี่ไม่ใช่คนที่เจ็บไม่เข้าใจหรอก” ผมบอกมัน รู้เลยว่าเสียงของตัวเองสั่นมาก
“นาวต้องเชื่อใจพี่สิ” มันบอก
“นาวให้อีกครั้งเดียวนะ มีอะไรต้องเล่าให้นาวฟัง อย่าให้นาวระแวงคิดไปเอง”
“ตกลง” มันกระชับกอดผมแล้วพาผมไปลงไปกินข้าว ผมเองก็พยายมจะลืมเรื่องที่ระแวง เพราะมันอาจจะไม่ได้โกหกผมก็ได้ ผมพยายามนึกถึงแปดปีที่มันเฝ้าหลงรักผม ผมจะเชื่อใจมัน
วันนี้มิเชลมาร่วมทานอาหารค่ำด้วยกัน เพราะต้องการมาคุยเรื่องการจัดงานปีใหม่ ไอ้โหดเองมันพยายามเล่าเรื่องที่มันออกไปเจอประชาชนของมันมา มันบอกว่าคนที่นี่อยากเจอผม มันบอกว่าผมดังกว่ามันเสียอีก แถมยังแหย่ผมว่า มีคนเป็นติ่งปารมีแข่งกับมันเยอะแยะไปหมด มันชวนผมคุยไปเรื่อยจนผมอารมณ์ดีขึ้น มิเชลก็ยืนยันว่าคนที่นี่รักผม เธอเสนอว่าน่าจะให้ผมทำการแสดงอะไรบางอย่างเป็นของขวัญวันปีใหม่ให้แก่ชาวบัณตรา ซึ่งไอ้โหดก็เห็นด้วย ผมถามหาราณี อลันบอกว่าราณีไม่ค่อยสบาย ผมเลยสั่งให้ไดแอนไปดูแลราณีให้ดี มิเชลทำหน้าไม่พอใจก่อนจะพูดขึ้นมาลอยๆ ว่า ให้ระวังคนใกล้ชิดให้ดีจะโดนหักหลัง ไอ้โหดดุมิเชลทันทีที่พูดอะไรที่ทำให้ผมไม่สบายใจ ผมเองก็คิดเหมือนไอ้โหด มิเชลไม่ชอบหน้าราณีอยู่แล้วและคอยหาเรื่องตลอด ผมเลยไม่ได้เอาคำมิเชลมาใส่ใจ โดยที่ผมไม่คิดเลยว่าคำเตือนนั้นจะเป็นความจริงที่ทำให้ผมเจ็บปวดที่สุด
เช้าวันถัดมา หลังจากที่ไอ้โหดมันออกไปทำงานแล้ว ผมก็ให้อลันพาลงมานั่งเล่นในสวน ถามถึงอาการป่วยของราณี อลันก็บอกว่าราณีดีขึ้นและก็ออกไปทำงานกับไอ้โหดแล้ว จู่ๆ คำพูดของมิเชลก็ลอยมาในหัว ผมเลยบอกให้อลันพาผมกลับไปที่ห้องพร้อมกับใช้ให้อลันไปเอาอาหารที่ตำหนักสายรุ้งไปให้ท่านนาทีค เมื่อปลอดคนแล้วผมก็เดินเข้าไปที่ห้องของราณีห้องที่อยู่ติดกันกับห้องนอนของผม ภายในห้องก็ไม่มีอะไรมาก ดูเป็นระเบียบเรียบร้อยดี ในใจก็รู้สึกผิดที่เข้ามายุ่มย่ามกับของๆ คนอื่น แต่สุดท้ายลางสังหรณ์ในใจก็ชนะความรู้สึกผิด ผมเลยถือวิสาสะเปิดลิ้นชักหน้าตู้กระจกของราณีออก ในนั้นมีกล่องไม้ที่ค่อนข้างเก่าวางอยู่หนึ่งใบ ผมหยิบกล่องไม้ขึ้นมาเปิดดู ในนั้นมีรูปผู้หญิงคนหนึ่งกับแหวนหนึ่งวง ผมหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาถ่ายเอาไว้ จากนั้นก็เก็บใส่ลิ้นชักเหมือนเดิม ผมเหลือบเห็นขวดน้ำหอมวางอยู่ ผมหยิบน้ำหอมมาดมก่อนจะวางขวดน้ำหอมลงด้วยความรู้สึกที่อ่อนแรง กลิ่นเดียวกับที่ติดตัวพี่ธีมมาในวันนั้นเลย แล้วทำไมพี่ธีมต้องโกหกผมว่าเป็นกลิ่นของพระชนนีเนตรนภา ผมหันไปมองรอบๆ ห้องอีกหน เห็นตระกร้าผ้าที่ตั้งอยู่หน้าห้องน้ำ มีผ้าปูที่นอนยัดอยู่ในนั้น ผมเดินไปหยิบมาดู หัวใจผมเต้นแรงและขอให้ไม่ใช่อย่างที่ผมคิด แต่แล้วคำภาวนาก็ไม่เป็นผล ผ้าปูที่นอนเปื้อนเลือดเป็นวงและมีคราบขาวเปรอะปะปนกับเลือดเต็มไปหมด ผมทิ้งมันลงไปในตระกร้าอย่างเดิม ก่อนจะเดินไปที่เตียง นั่งลงแล้วเปิดลิ้นชักหัวเตียงออกดู ผมเห็นผ้าเช็ดหน้าของไอ้โหดวางอยู่ในลิ้นชัก ใกล้ๆ กันนั้นมีถุงยางอนามัยที่ยังไม่ได้ใช้ยี่ห้อเดียวกับที่ไอ้โหดมันซื้อมาใช้กับผมวางอยู่ ผมปิดลิ้นชักลงก่อนจะเดินออกมาจากห้องของราณีด้วยหัวใจที่มันเริ่มชา ชาไปถึงสมอง ผมกลับมาถึงห้องก็เดินไปเปิดลิ้นชักของตัวเอง ถุงยางของไอ้โหดหายไปแล้ว ผมปิดลิ้นชักลงแล้วบีบมือของตัวเองเอาไว้เพราะตอนนี้มันสั่นมาก ในสมองตีกันไปหมดไม่รู้ว่าควรคิดอะไรก่อน สุดท้ายก็ได้แต่ล้มตัวลงนอนบนที่นอน ขดตัวกอดเข่าตัวเองเอาไว้ อย่างน้อยก็จะได้รู้สึกว่าตัวเองกำลังโดนปลอบโยนให้หายจากความเจ็บปวดที่กำลังก่อตัวขึ้นรุนแรงในขณะนี้
จนกระทั่งถึงเวลาอาหารค่ำ ผมทำตัวปกติราวกับว่าไม่ได้รับรู้อะไรมา ผมเป็นนักแสดง แต่การแสดงว่าตัวเองไม่ได้รู้สึกอะไรทั้งที่เจ็บปวดแทบขาดใจมันเป็นเรื่องยากที่สุดในชีวิตของผมแล้ว ผมแอบลอบสังเกตพี่ธีมกับราณี ทั้งคู่คุยกันถูกคอและดูสนิทสนมกันดี รอยยิ้มที่ไอ้โหดยิ้มให้ราณีมันเหมือนกับที่มันเคยยิ้มให้ผม ราณีเองก็ดูสดใสมากขึ้นกว่าเดิมและผมสังเกตเห็นว่า แขนของราณีมีรอยม่วงจางๆ ปรากฏอยู่
หลังจากอาหารค่ำผมก็ขอตัวขึ้นไปนอน โดยบอกกับไอ้โหดว่าผมรู้สึกเพลีย มันก็เดินขึ้นมานอนกอดผม จนผมเผลอหลับไปจริงๆ มารู้สึกตัวกลางดึกเพราะได้ยินเสียงขู่ฆ่าเหมือนทุกคืนที่หลับ แต่พอตกใจลุกขึ้นมาที่นอนข้างๆ ก็ว่างเปล่า พี่ธีมหายไป ผมรู้สึกใจไม่ดี มองไปที่ห้องน้ำก็ไม่มีแสงไฟ ในใจภาวนาว่าอย่าให้สิ่งที่ผมคิดเป็นจริงเลย ขอให้เป็นแค่เรื่องที่ผมมโนไปเอง ผมนั่งอยู่นิ่งๆ อย่างนั้นสักพักก็ยังไม่มีวี่แววของไอ้โหดจะเดินกลับมา สุดท้ายก็ตัดสินใจลุกเดินไปที่ห้องของราณี ไม่ลืมที่จะหยิบกุญแจสำรองที่ขอจากไดแอนมาด้วย ผมเดินมาถึงหน้าห้อง รู้สึกว่ามือของตัวเองเย็นเฉียบ กว่าจะไขกุญแจได้ก็ใช้เวลานอนพอสมควรเพราะมือของผมสั่นมาก ผมพยายามแง้มเปิดประตูให้เบาที่สุด
“ซี๊ด อืม” เสียงครางจากในห้องดังมาให้ได้ยิน ขาผมนิ่งสนิทก้าวไม่ออก ผมแง้มประตูให้กว้างพอจะเห็นได้
เงาลางๆ ของคนสองคนบนเตียงกอดรัดกันจนเป็นเหมือนร่างเดียวกัน ก่อนอีกฝ่ายจะพลิกตัวขึ้นมา แผ่นหลังกว้างที่ผมคุ้นเคยทำให้หัวใจผมแทบหยุดเต้น เจ้าของแผ่นหลังใหญ่จับขาขออีกฝ่ายให้แยกออกก่อนจะเสือกตัวเข้าไปอยู่ที่หว่างขาของคนนอนราบ คนตัวเล็กกว่าส่งเสียงครวญครางเมื่ออีกฝ่ายกระแทกตัวเข้าใส่แรงๆ เสียงเนื้อกระแทกกันดังเป็นจังหวะ แล้วร่างเล็กกว่าชันตัวขึ้นมาโอบกอดไอ้โหด ก่อนจะเป็นพลิกตัวเป็นฝ่ายอยู่ด้านบนแล้วเคลื่อนไหวตัวขึ้นลงเสียเอง เมื่อทั้งคู่ต่างใส่กันอย่างถึงพริกถึงขิง ร่างเล็กกว่าก็กัดที่ไหล่ของไอ้โหดก่อนจะเชิดหน้าขึ้นแล้วส่งเสียงครางดังกว่าเดิม ไอ้โหดเองก็บีบเคล้นตามเนื้อตัวของคนร่างเล็กอย่างแรง หัวใจของผมกำลังจะแตกสลาย มือของผมผลักบานประตูออกอย่างแรง ร่างเล็กที่นอนราบสะดุ้งตกใจก่อนจะร้องเรียกชื่อผม แล้วผมก็รู้สึกเหมือนโดนใครสักคนเอาผ้ามาปิดจมูกของผม ผมพยายามจะดิ้น แต่สุดท้าย ผมก็ไม่รับรู้อะไรอีกเลย
“นาว...นาว แกเป็นยังไงบ้าง” เสียงของไอ้บิวทำให้ผมลืมตาขึ้นมา ผมรู้สึกปวดหัวอย่างรุนแรงเลยหลับตาลงอีกครั้ง สักพักสัมผัสได้ถึงความเย็นที่หน้าผาก ผมลืมตาขึ้นมาก็เห็นไอ้บิวกำลังเช็ดหน้าให้ผมอยู่
“บิว ฉันปวดหัว” ผมบอกมัน
“แกมีไข้สูง พี่ธีมบอกว่าเมื่อคืนแกเพ้อทั้งคืนเลย เขาเฝ้าแกทั้งคืนเพิ่งจะยอมลงไปกินข้าวเมื่อกี้นี่เอง ไอ้บิวช่วยประคองให้ผมลุกขึ้นมานั่ง พอผมนั่งพิงถนัดแล้วถึงได้เห็นว่าราณีนั่งอยู่ที่ปลายเตียง ผมจ้องมองจนอีกฝ่ายก้มหน้าหลบสายตาของผม
“ให้มันออกไป” ผมบอก อลันตกใจที่ผมตวาดเสียงดัง ราณีเองก็หน้าตื่นตกใจที่ผมตะโกนไล่เธอ
“พี่นาว...” ราณีเรียกชื่อของผม
“ให้มันออกไป บิว ให้มันออกไป” ผมบอกเสียงสั่น บิวหันไปพยักหน้ากับอลัน อลันเลยรีบพาราณีออกไปก่อน
“แกเป็นอะไรนาว” ไอ้บิวถามผม ผมส่ายหน้า ก่อนจะปิดหน้าแล้วร้องไห้ออกมาอย่างหนัก จนกระทั่งได้ยินเสียงประตูเปิด
“นาว เป็นยังไงบ้าง” ไอ้โหดมันรีบเข้ามานั่งข้างผม ผมรีบผลักมันออกไป
“ไป อย่ามาใกล้นาว ออกไป” ผมรีบเช็ดน้ำตาตัวเอง
“นาวเป็นอะไร” มันถาม ผมตวัดสายตามองมัน
“พอเถอะ อย่าแสดงละครอีกเลย” ผมบอก มันขมวดคิ้ว
“พี่ไม่เข้าใจ นาวพูดสิ ว่าเกิดอะไรขึ้น” มันถาม ผมหมดความอดทน กระชากเสื้อมันจนกระดุมหลุด รอยกัดที่ไหล่ยังคงชัดเจน ไอ้บิวทำหน้าตกใจก่อนจะมองไปที่ไอ้โหด
“ก็...นาวเป็นคนกัดพี่เมื่อคืน..ตอนที่ เรา..” มันหน้าเจื่อนนิดหนึ่งก่อนจะบอก ผมถึงกับอึ้ง มันทำร้ายผมแล้วยังโกหกหน้าด้านๆ นี่เหรอวะคนที่ผมรัก
“หึ...นาวละเมอสินะหรือผีป่าสิงร่างดี นาวถึงไม่รู้เรื่องเลยว่าทำอะไรเอาไว้ พี่นอนกับมัน พี่เอากับมันเมื่อคืนนี้ นาวเห็นกับตา ต้องให้บอกไหม ว่าทำกันท่าไหนบ้าง มันนั่งบนตัวพี่แล้วพี่ก็.ฮือ....ฮึก..ก็..ฮึก” ผมหมดความอดทน ร้องไห้ออกมา ไอ้บิวรีบมากอดผมเอาไว้ ไอ้โหดถึงกับยืนอึ้งไปเมื่อผมระเบิดคำพูดออกมา
“มันไม่ใช่เลยนะ” ไอ้โหดบอกกับผม พยายามจะจับมือของผม ผมสะบัดมือมันออก
“นาวจะกลับเมืองไทย ไม่อยู่แล้ว” ผมบอก
“พี่ไม่ให้นาวกลับ” มันตวาดบ้าง
“ฮือ..บิว พาฉันไปด้วย ฉันไม่เอาแล้ว...” ผมร้องบอกไอ้บิว ราณีวิ่งเข้ามานั่งข้างเตียงก่อนจะกอดขาของผมเอาไว้
“หนูขอโทษนะ พี่นาว มันไม่ใช่อย่างที่พี่คิด..” ราณีละร่ำละลักบอกกับผม
“ออกไป ออกไป อลัน เอามันออกไป บิว พาฉันไป พาฉันไปที ได้โปรด” ผมร้องบอก ไอ้บิวรีบพยุงผมลุกขึ้น ไอ้โหดเดินเข้ามาคว้าข้อมือผมหน้าเครียด
“มันยังร้อนอยู่ ให้มันไปกับบิวก่อนนะพี่” ไอ้บิวบอกพี่ธีม มันถึงยอมปล่อยมือผม
“พี่รักนาวนะ” มันบอกเมื่อผมเดินผ่านตัวมัน
คำว่ารักของมันเหมือนกับมีด ยิ่งมันพูดก็ยิ่งกรีดใจผม รักที่ทำร้ายกันผมไม่อยากได้ยิน ผมไม่ได้มองหน้ามันเลยสักนิด กลัวว่าจะใจอ่อน กลัวว่าตัวเองจะโง่ซ้ำๆ ที่กลัวที่สุดคือ กลัวสายตาของมันจะแสดงออกมาว่าไม่ได้รักผมจริงๆเหมือนที่คำพูดของมัน นั่นก็เพราะว่าผมยังไม่อยากตายทั้งที่ยังมีลมหายใจครับ
โปรดติดตามตอนต่อไป