บทที่ 4 เดี๋ยวก็รู้
ในที่สุดวินาทีอันยิ่งใหญ่ที่สุดในรอบวันมาถึง เสียงออดแห่งอิสรภาพดังขึ้น เหล่าเพื่อนร่วมชั้นต่างพร้อมใจกันเก็บของใส่กระเป๋าแบบไม่รอให้อาจารย์ผู้สอนได้บอกเลิกสักนิด ยังดีที่หัวหน้าอย่างอ่อนไอซ์นำทำความเคารพทันก่อนจะมีใครวิ่งพรวดกลับบ้านไป
เวลาบ่ายสี่พอดีเป๊ะ ชาวแกงค์เก็บของและทำท่าจะเดินออกจากห้องแต่ต้องชะงักเมื่อเห็นผมไม่ขยับไปไหน
“ไม่กลับบ้านเรอะมึง อ่อ ลืมไปว่ามีนัด” นาวเป็นคนเอ่ยถามคนแรกแล้วตอบคำถามของตัวเองเสร็จสรรพผมเลยหันไปบอกพวกมันที่ทำหน้าลังเลว่าจะอยู่รอผมหรือกลับกันก่อนดีให้ไปไหนก็ไป แน่นอนว่ามีเสียงอแงหาว่าผมไล่ ตามหลังมาแต่ผมก็ทำหูทวนลมไม่สนใจ
ไปไหนก็รีบๆไปเหอะพวกมึง เรื่องที่เปลวจะคุยกับกูนี่ความลับระดับชาติให้คนนอกมาเสือกไม่ได้
พวกตัวกวนจากไปหมดแล้วในห้องเหลือผมกับผู้หญิงอีกกลุ่มหนึ่งแล้วก็พวกเวรประจำวันที่ทำหน้ายักษ์จ้องคนที่เหลือด้วยสายตาแปลความหมายได้ว่า พวกมึงออกจากไปเดี๋ยวนี้กูจะทำความสะอาดห้อง
แน่นอนว่าผมไม่สะทกสะท้าน นั่งไม่รู้ไม่ชี้ต่อไป
หลังจากนั้นไม่นาน(ประชด) ไม่นานพ่องงงง เกือบห้าโมง คนที่นัดผมไว้ถึงวิ่งหน้าเริดมา ตอนนี้ผมย้ายตัวเองมานั่งในโรงอาหารอย่างช่วยไม่ได้เพราะตึกเรียนมันใกล้ปิดแล้ว
“ขอโทษทีให้รอ” เปลวหอบฮั่กๆให้รู้ว่าวิ่งมาเต็มที่แล้ว
“พอดีคุยเรื่องงาน first night กับประธานอยู่ มึงไม่โกรธกูใช่ไหม” อีกฝ่ายถามผมด้วยสีหน้าสำนึกผิด
งานที่ว่าก็คือกิจกรรมคอนเสิร์ตที่จัดขึ้นตรงกับวันสุดท้ายของการสอบปลายภาคเทอมหนึ่งซึ่งจัดขึ้นเป็นประจำทุกเทอมเพื่อให้เหล่านักเรียนที่อ่านหนังสือสอบอย่างหนักได้ปลดปล่อยและอำลาเพื่อนที่จะไม่ได้เจอกันช่วงปิดเทอม ส่วนเทอมสองก็มี
คอนเสิร์ตเหมือนกันแต่จะเรียนว่า last night แทน
แน่นอนว่านักร้องนำวงโรงเรียนอย่างมันต้องติดต่อประสานงานกับคณะกรรมการนักเรียนช่วงเวลานี้ถูกแล้ว เพราะตอนนี้ก็เลยสอบกลางภาคมาได้เกือบเดือนแล้ว
“อืม ไม่เป็นไร”
“งั้นไปกันเถอะ” มันเอ่ยชวนผม
“ไปไหน?”
“ไปคุยกันที่อื่น อยู่ในโรงเรียนเดี๋ยวมีคนแอบฟัง” ดวงตาคู่สวยเหลือบมองไปทางพวกนักเรียนที่เหลืออยู่ประปรายในโรงอาหารซึ่งหันมามองทางพวกผมอย่างสนใจแบบเห็นได้ชัด
การที่พวกผมพูดคุยกันนับว่าเป็นปรากฏการณ์แปลกใหม่ ไม่เคยพบเคยเห็นมาก่อนเลยเหรอไง? แค่คนหล่อสองคนคุยกันเนี่ย? ผมเลยเดินตามมันไปทางหลังโรงเรียนอย่างช่วยไม่ได้
ว่าแต่...ที่อื่นของมึงคือที่ไหนไม่ทราบครับคุณแปลวตะวัน มึงอย่าเอาแต่เดินนำกูออกห่างจากรั้วโรงเรียนเรื่อยๆโดยไม่พูดอะไรสักคำสิอย่างงั้นสิครับ อย่าบอกนะว่าจะพากูไปฆ่าปิดปากเพราะดันไปรู้ความลับของมึงเข้า ไม่ได้นะมึงกูมีน้องสาวตัวเล็กๆต้องดูแล ไหนจะพ่อแม่ที่แก่ตัวลงทุกวันอีก
สุดท้ายความคิดออกทะเลของผมก็ถูกหยุดลงเมื่อมันเดินพ้นซอยหมู่บ้านเก่าๆหลังโรงเรียนแล้วยกมือขึ้นโบกแท็กซี่สีคลาสสิกให้จอด ชื่อสถานที่ที่มันให้ลุงคนขับมุ่งไปทำเอาผมแทบจะยกมือขึ้นเขกกะโหลกมันซักรอบ
ห้างเดียวกับที่เจอเมื่อวาน...
“โห!! มึงงงง อยู่ใกล้แค่นี้นั่งรถเมล์เอาก็ได้นะ”
“ไม่ชอบเหรอ แบบนี้สบายกว่าตั้งเยอะ”
“เปลือง” ถึงบ้านผมจะพอมีเงินแต่ไม่ได้หมายความว่ามีเงินพอใช้แบบละลายแม่น้ำเล่นได้
“งั้นวันหลังกูให้รถที่บ้านมารับแทนแล้วกัน โอเคมั้ย?” อืมมม ใช้คำว่ารถที่บ้านแสดงว่าที่บ้านมีคนขับรถ ถ้าที่บ้านมีคนขับรถก็
แสดงว่ารวย ผมเลยพยักหน้าอือออเชิงรับรู้ว่าการพาเพื่อนนั่งรถโดยสารเขียวเหลืองสำหรับมันถือเป็นเรื่องปกติสามัญ โดยลืมสังเกตุคำว่า’วันหลัง’ที่ประกอบมากับรูปประโยคของอีกฝ่ายไปสนิท
ตอนมาถึงที่หมายแล้วผมก็เตรียมควักตังค์จ่ายค่ารถกับมันคนละครึ่งแต่มันดันบอกปัดว่าไม่ต้องแล้วก็ออกให้ฝ่ายเดียวด้วยเหตุผลว่าผมมาที่นี่เพื่อเรื่องของมันซึ่งผมก็น้อมรับความหวังดีนี้แบบไม่ลังเล
มันเดินนำผม(อีกแล้ว)เข้าไปในห้างก่อนจะพาผมเข้าไปในร้านกาแฟที่ทุกคนรู้จักดีแห่งหนึ่ง
ช่างหาร้านได้เหมาะสมกับฐานะตัวเองจริงๆ ศูนย์อาหารก็คุยได้ปะมึง กระแดะมานั่งร้านกาแฟเพื่อ!?
ผมนั่งคนชาเขียวปั่นที่เหลือแค่ก้นแก้วไปมาพลางเหลือบมองอีกคนที่นั่งอยู่ตรงกันข้ามซึ่งยิ้มตอบกลับมาหน้าซื่อ ทำเอาผมไปเป็นเป็นนิดๆ เพราะพวกเราเข้ามานั่งในร้านนี้เกือบชั่วโมงได้แล้วแต่ยังไม่มีบทสนทนาไหนเข้าสู้หัวข้อหลักอย่างที่ควรจะเป็น
นายน้ำเงินเริ่มเกิดความลังเลว่าตนควรเอ่ยปากถามออกไปตรงๆเลยจะได้ไม่ต้องนั่งลุ้นว่าเมื่อไหร่แบบนี้หรือควรรักษามารยาทรอให้เปลวเป็นฝ่ายเริ่มก่อนดี
“เรื่องคอนเสิร์ตพี่ประธานเค้าว่าไงอะ” ผมถามมันแก้เงียบ
“ประธานบอกว่าอยากจัดเซอร์ไพรส์พิเศษเลยให้กูไปช่วยคิด แต่ยังคิดไม่ได้เลย เย็นนี้ต้องไปซ้อมอีกว่างๆมึงก็ช่วยคิดได้นะ” มันโยนงานมาให้แบบหน้าด้านๆแต่ก็เข้าทางผมพอดี
“โหยยย แค่เรื่องเมื่อคืนที่มึงเอามาให้กูรับรู้นี่กูก็คิดไม่ตกแทนมึงแล้ว ไม่ต้องหาเรื่องมาให้เพิ่มก็ได้นะ เอ้อ พูดถึงเรื่องเมื่อคืน ตกลงมึงคิดได้ยังวะ?” เป็นการบอกปัดงานและแอบโยงเข้าประเด็นที่ต้องการได้อย่างแนบเนียน ฉลาดจริงๆผมเนี่ย ฮ่าๆๆๆ
อีกอึดใจเดียวในที่สุดผมก็กำลังจะรู้ผลลัพธ์ที่สามารถตัดสินชะตาผู้หญิงทั้งโรงเรียนแล้วว่าจะหัวเราะหรือร้องไห้
เอ๊ะ!!? ถ้ามันเกิดตอบว่าชอบผู้ชายขึ้นมาจริงๆก็หมายความว่าเมื่อคืนมัน’รู้สึก’กับผมนะสิ!?
เฮ้ยยย แต่มันก็กลั้นใจทำเป็นไม่รู้ไม่เห็นไม่ได้ เรื่องของคนดังขนาดมันถ้าผมไม่ได้คำตอบกลับบ้านไปวันนี้ต้องนอนไม่หลับอีกคืนแน่นอน
มึงช่วยพูดอะไรหน่อยเถอะ เลิกมองหน้ากูแล้วทำหน้าอึกอักได้แล้วว้อยยยยยยยยย อยากรู้จนจะลงแดงแล้วววววว
เสียงกรีดร้องในใจผมคงส่งไปถึงมันได้เพราะจู่ๆแววตาของคู่สนทนาก็เกิดประกายแน่วแน่เหมือนเจ้าของได้ตัดสินใจอะไรบบางอย่างลงไปแล้ว อะไรบางอย่างที่ผมรอฟัง
“น้ำเงิน” ผมเผลอกลั้นลมหายใจแบบไม่รู้ตัวตอนที่เปลวเรียกผม จะมาแล้วๆสินะผลการพิสูจน์เมื่อคืน มาเลยๆๆๆ บอกมาเลยน้ำเงินคนนี้ยินดีรับฟัง ไม่ว่ามึงจะเป็นอะไรยังไงมิตรภาพที่กูมีให้ก็ไม่มีวันเปลี่ยน สาบานว่าจะไม่เอาไปบอกใครด้วย!!
“เมื่อคืนนี้ เอ่อ...”
“กูคิดว่ากู...”
“...ชอบมึงหวะ”
“!?”
................................
“กูคิดว่ากูชอบมึงหวะ”
“กูคิดว่ากูชอบมึงหวะ”
“กูคิดว่ากูชอบมึงหวะ”
“กูคิดว่ากูชอบมึงหวะ”“อ๊ากกกกกกก ออกไปจากหัวกูเดี๋ยวนี้นะ!!!” นายน้ำเงินผู้กำลังสติแตกกดหน้าของตัวเองลงกับหมอนแล้วแหกปากร้องอย่างอัดอั้น เวลาตอนนี้คือเที่ยงคืนพอดีไม่ขาดไม่เกิน ทั้งคำพูดทั้งน้ำเสียงหรือแม้แต่สีหน้าที่ประดับด้วยรอยยิ้มเหมือนอย่างเคยของเปลววนเวียนอยู่ในหัวของเขามาครึ่งคืนแล้ว
หลังจากมันพูดคำๆนั้นออกมาสมองก็เหมือนถูกกระทบกระเทือนอย่างรุนแรง ผมผุดลุกจากที่นั่งแล้วเดินออกจากร้านโดยไม่บอกลามันสักคำค่าน้ำก็ไม่ได้จ่ายด้วย ผมวิ่งขึ้นรถตู้โดยไม่ดูสายด้วยซ้ำโชคดีที่มันเป็นคันที่ถูกต้อง
กลับถึงบ้านก็รีบกระโจนขึ้นเตียงดิ้นกระแด่วๆเป็นกุ้งเต้นโดนบีบมะนาวใส่อย่างที่เห็น
ยอมรับเลยว่าทำอะไรไม่ถูก วินาทีนั้นสมองประมวลผลออกมาไม่ทันด้วยซ้ำว่าอีกฝ่ายเป็นผู้ชายตัวเองก็ผู้ชาย ผู้ชายบอกชอบผู้ชายแปลว่าเป็นเกย์ ตอนนั้นที่ลุกออกมาแค่เพราะไม่รู้ว่าต้องทำตัวยังไงเฉยๆ
ไม่กล้าพูดคำว่าไม่ ไม่กล้าแม้แต่จะสบตา
ครืดดดด ครืดดดด ครืดดดด...
เสียงสั่นของโทรศัพท์เรียกสติที่หลุดลอยออกไปให้เข้าร่องเข้ารอยขึ้นมาบ้างแต่พอเห็นรายชื่อผู้ติดต่อมาเท่านั้นแหละ
...เปลวตะวัน...
รายชื่อเพื่อนเพียงคนเดียวที่ผมเมมไว้ด้วยชื่อจริงด้วยความชอบส่วนตัว
ผมชอบพระอาทิตย์และเปลวตะวันก็แปลว่าแสงสว่างของพระอาทิตย์แถมเจ้าของชื่อยังทำตัวเหมือนพระอาทิตย์ที่อาศัยอยู่บนพื้นดินอีกต่างหาก ตอนได้ยินชื่อมันครั้งแรกผมนี่ชมนักชมหนาว่าอย่างเท่ห์
แต่ตอนนี้...ทำได้แค่เหม่อมองชื่อที่ว่าอยู่สักพักถึงตัดสินใจกดรับทั้งๆหัวที่ยังขาวโพลนอยู่อย่างเดิม
ถ้ารับแล้วผมควรตอบมันไปตรงๆว่าไม่มีรสนิยมชอบเพศเดียวกันอย่ามายุ่งกันเลย มันดูทำร้ายจิตใจกันเกินไปไหม หรือผมควรพูดแบบเดียวกับที่มันเคยพูดกับพี่ไอริณเมื่อวันก่อนดี...?
“น้ำเงินหรอ”
“อืม”
“นอนรึยัง?”
“ยัง”
“ทำไมถึงยังไม่นอน”
“นอนไม่หลับ” ผมตอบคำถามมันแบบถามคำตอบคำ จากนั้นปลายสายก็นิ่งไปสักพักเหมือนใช้ความคิดไม่ก็รวบรวมความกล้าอยู่
“เพราะกูใช่ไหม?”
“...”
“ขอโทษที่ทำให้ไม่สบายใจ”
“ไม่เป็นไร” พออีกฝ่ายทำเสียงเหมือนเสียใจอย่างสุดซึ้งแบบนี้คำพูดที่เตรียมๆไว้ก็หลุดหายลงไปในลำคอแทบจะทันที
“งั้นกูขอจีบมึงนะ” ยังไม่ทันที่ผมจะคิดอะไรได้จบมันก็พูดขัดขึ้นมา ชนิดที่เรียกว่าถ้าผมเดินอยู่คงสะดุดอากาศลงไปล้มกลิ้ง
“ห๊ะ!?”
“ได้ไหม?” เปลวถามย้ำ
“จะบ้าเร้อออออออ!! จีบกูเนี่ยนะ กูเป็นผู้ชายนะมึง ไม่ได้ชอบไม้ป่าเดียวกันด้วย แล้วชาติไหนมึงจะจีบกูติดหละนั่น!!?”
“เดี๋ยวก็รู้”
จากนั้นเชี่ยแม่งก็วางสายไปทันที ทิ้งให้ผมถือมือถือแนบหูค้างอยู่ท่าเดิมอ้าปากหวอตาเหลือกตัวแข็งทื่อและอื่นๆอีกมากมายที่แสดงออกให้รู้ว่ากูตกใจอยู่นะ!!ได้
ช่วงนี้ชีวิตอันสงบสุขของผมชักจะหักมุมมากเกินไปแล้ว
กระผมรู้สึกสับสนและงงงวยกับชีวิตช่วงนี้เป็นอย่างมาก รู้สึกทำอะไรไม่ถูกเลยตัดปัญหาด้วยการนอนแม่ง...
.
.
............................................................................
ถูกหวยกันถ้วนหน้า 55555 ชายเปลวของเราสารภาพรักกับน้ำเงินน้อยจริงๆ เรื่องนี้นักเขียนพยามแต่งให้สดชื่นเหมือนอากาศตอนฤดูร้อน และสดใสเหมือนพระอาทิตย์ตอนเที่ยงวันตามชื่อเรื่องนะคะ
ด้วยความคิดที่ว่า...ชีวิตจริงช่างโหดร้ายเหลือเกิน การบ้านเยอะเหลือเกิน ข้อสอบยากเหลือเกิน โสดมานานเหลือเกิน...
จึงเกิดเป็นนิยายเรื่องนี้ขึ้นค่ะ(ฮา)
อาจมีดราม่าแทรกแซงเล็กน้อยให้ชีวิตรักของตัวเอกมีสีสันแต่จะแต่งให้สมเหตุสมผลที่สุด ผู้หญิงจะไม่เป็นชะนีวี๊ดว๊ายแย่งสามีกับผู้ชาย มือที่สามจะไม่ได้มีแค่ด้านร้ายๆ ตัวเอกจะไม่มีแต่ด้านดีๆ...
พล่ามมานาน เอาเป็นว่าฝากเรื่องนี้เอาไว้พักพิงยามท้อแท้จากชีวิตจริงด้วยนะคะ ขอบคุณค่ะ