ตัวประหลาด
บทที่ 4
แคปซูลขนาดใหญ่ยักษ์สูงสองเท่าของขนาดมนุษย์คือสาเหตุของสัญญาณเรียกประชุมด่วนเมื่อไม่กี่นาทีที่
ผ่านมา ภูริและปรมะวิ่งกระหืดกระหอบเข้ามาในห้องกว้างเปิดไฟสว่างไสวเป็นคู่สุดท้ายในขณะที่ภายในห้องมีบุคลากร
จำนวนหนึ่งยืนอยู่แล้ว
ที่นี่คือองค์การบริหารการบินและอวกาศแห่งชาติหรือที่ทุกคนรู้จักกันในนาม นาซ่า แต่มีไม่กี่คนที่รู้ว่านาซ่ามี
ฐานทัพเล็กๆแห่งนี้อยู่บนเกาะร้างแห่งหนึ่งกลางทะเลอันดามันของประเทศไทยด้วย และมันก็ตรวจสอบไม่ได้ทาง
ภาพถ่ายดาวเทียมเพราะฐานทัพแห่งนี้ถูกขุดลึกลงมาใต้ดินลึกจนกระทั่งส่วนหนึ่งด้านล่างของโดมยักษ์ล้อมรอบไปด้วย
น้ำทะเล ทางออกของฐานทัพมีเพียงไม่กี่ทาง ทางหนึ่งคือด้านบนที่มีลานจอดของเครื่องบินขนาดเล็กและด้านล่างที่
ต้องใช้เรือดำน้ำออกไป
แต่เมื่อออกไปภายนอกได้การเดินทางก็ค่อนข้างจะลำบากเช่นกัน เพราะโดยรอบที่ตั้งฐานมีแต่หน้าผาสูงชัน
ของเกาะเล็กๆแห่งนี้ ดังนั้นที่นี่คือสถานที่ที่เหมาะสมที่สุดที่นาซ่าเลือกใช้เป็นแหล่งเก็บข้อมูลความลับที่ไม่อาจเปิดเผย
ให้มนุษย์โลกรู้ได้
มนุษย์ต่างดาว เป็นสิ่งที่ใครๆก็พูดถึงในแง่ความเหนือจริง บางคนก็ว่าเป็นเรื่องไร้สาระแต่หากคนนั้นได้มาเห็น
ฐานลับแต่ละแห่งทั่วโลกของนาซ่าแล้วก็จะรู้ว่ายังมีความลับมากมายที่ปกปิดไว้ ในเมื่อโลกของเรายังมีสิ่งมีชีวิตมากมาย
แล้วทำไมดาวดวงอื่นในจักรวาลจึงจะไม่มีสิ่งมีชีวิตเล่า คนที่ทำงานในฐานทัพนาซ่าจึงเต็มไปด้วยนักวิทยาศาสตร์ใน
สาขาต่างๆ เช่นด้านฟิสิกส์คำนวนการเคลื่อนไหวของดวงดาวอย่างภูริหรือจะเป็นนักชีววิทยาอย่างปรมะเป็นต้น
หัวหน้าฐานทัพประจำประเทศไทยยืนเด่นอยู่ด้านหน้าเป็นชายวัยกลางคนท่าทางภูมิฐาน เขาอธิบายที่มาของ
แคปซูลประหลาดที่ตั้งอยู่กลางห้องควบคุมที่มีกระจกหนาพิเศษล้อมรอบ นักวิทยาศาสตร์ทั้งหลายยืนกระจายตัวจ้อง
มองอย่างตื่นเต้น
“มียานบินลำหนึ่งบินผ่านโลกของเราและได้ปล่อยอะไรบางอย่างผ่านชั้นบรรยากาศของโลกลงมา เราคาด
เดาว่าจะเป็นยานบินสำรวจของดาวดวงอื่นที่ส่งมาแต่เมื่อมาถึงชั้นบรรยากาศคาดว่าพลังงานคงจะหมดลงจนกระทั่งมัน
ตกลงมากลางทะเลลึกในเขตการดูแลของหน่วยเรา นี่คือยานลำนั้น”
พูดจบลงเขาก็สั่งให้หน่วยตรวจสอบหลายคนที่สวมชุดป้องกันเต็มที่ก้าวเข้าไปด้านใน ทุกคนทำงานอย่าง
ระมัดระวังเพื่อจะหาทางเปิดเจ้าแคปซูลนั่นใช้เวลาครู่ใหญ่สัญลักษณ์ว่าพวกเขาทำสำเร็จก็ถูกส่งออกมา ผนังด้านหนึ่ง
ของแคปซูลถูกดันขึ้นช้าๆ
เสียงฮือฮาดังขึ้นจากหน่วยตรวจสอบ คนหนึ่งพูดผ่านไมค์ออกมาอย่างตื่นเต้น
“มีสิ่งมีชีวิตหนึ่งร่างอยู่ในแคปซูล แต่มันกำลังบาดเจ็บสาหัสมากเราจะทำยังไงดีครับหัวหน้า”
“นำมันออกมาอยู่ภายใต้การควบคุมตามกฏแล้วให้ฝ่ายชีววิทยาเข้าไปรักษาและศึกษาข้อมูลเชิงสรีรจาก
ร่างกายของมันด้วย”
นี่คืองานชิ้นใหม่ของปรมะ
ชายหนุ่มหน้าตาดีที่ใครๆไม่อยากใช้คำว่าหล่อเมื่อได้เห็นเพราะมันค่อนจะไปทางสวยหวานมากกว่า ดวงตาสี
นิลเป็นประกายคือเสน่ห์ดึงดูดจุดใหญ่ของเขาที่ทำให้ทุกคนต่างเหลียวมอง แต่เพื่อนที่ทำงานต่างก็รู้กันว่าปรมะกำลัง
คบหาอยู่กับภูริที่เป็นชายหน้าตาดีอีกคนหนึ่งของฐาน
และตอนนี้ปรมะกำลังตื่นเต้นกับมนุษย์อวกาศจากดวงดาวไกลโพ้นที่เขาเองก็ไม่รู้ที่มา แต่ร่างกายใหญ่โตสีควัน
บุหรี่กำลังรอให้เขาและทีมงานช่วยชีวิต
แผนกของเขาคือการทำงานด้านชีวิต พวกเขาจะศึกษาวิจัยร่างกายของมนุษย์ต่างดาวที่ถูกจับอยู่ในฐาน แต่
ที่ผ่านมามักจะเป็นร่างที่ไม่มีการเคลื่อนไหว นี่เป็นครั้งแรกตั้งแต่ปรมะเข้ามาทำงานที่เขาพบว่าสิ่งที่เขาวิจัยอยู่ยังมีลม
หายใจ
ปรมะและเพื่อนร่วมแผนกกำลังตรวจร่างกายที่นอนนิ่งอยู่บนเตียงขนาดพอดีกับสิ่งมีชีวิตนั้น ร่างกายภายนอก
สูงใหญ่เกือบเท่าผู้ชายสองคนต่อตัวกัน สีผิวขาวซีดปนเทามีมือเท้าคล้ายมนุษย์โลกแต่ใหญ่กว่ามาก ดวงตาไร้เปลือก
ตาห่อหุ้มแต่มันปิดได้เพราะหนังด้านบนกับด้านล่างมาประกบกันเอง
“เพศผู้”
เพื่อนร่วมงานกล่าวขึ้นเป็นข้อมูลให้คนที่ทำหน้าที่บันทึกได้เก็บข้อมูล
“ลมหายใจเร็วและร้อนมาก ร่างกายก็อุณหภูมิสูงและมีร่องรอยบาดเจ็บ”
ปรมะขมวดคิ้วเมื่อเขาพบสิ่งแปลกปลอมอยู่ภายในร่างกายนั้น มือเรียวที่ใส่ถุงมือปราศจากเชื้อวางแนบไปกับ
ส่วนลำตัวพร้อมกับตรวจด้วยเครื่องมือพิเศษ ปรมะเบิกตากว้างอย่างตื่นเต้น
“พบสิ่งมีชีวิตอยู่หนึ่งร่างอยู่ในร่างกายนี้คาดว่าน่าจะเป็นลูก”
เสียงฮือฮาดังขึ้นก่อนที่คนในแผนกจะวิ่งเข้ามาดูผลจากจอมอนิเตอร์เมื่อเห็นการเคลื่อนไหวภายในช่องท้อง
แต่ทันใดนั้นทุกคนก็ต้องตกใจเมื่อสัญญาณชีพจากสิ่งมีชีวิตที่นอนบาดเจ็บจะหยุดลง
“มันหยุดหายใจแล้ว เอาไงดีในท้องมันมีลูกนะ”
“เราต้องช่วยมัน”
ปรมะตัดสินใจ เขาวิ่งไปคว้าเครื่องมือผ่าตัดเล็กออกมาแล้วใช้มีปลายแหลมกรีดลงไปบนผนังหน้าท้องหนา
อย่างยากลำบากในขณะที่คนอื่นแบ่งหน้าที่ไปช่วยฟื้นคืนชีพ ครู่ใหญ่ปรมะจึงสามารถแหวกช่องท้องลงไปมองเห็นตัว
อ่อนที่เกาะติดอยู่ตรงช่องท้อง เขาควักมันออกมาท่ามกลางของเหลวสีเขียวอ่อนที่น่าจะเป็นเลือดของสิ่งมีชีวิตจากดาว
อื่น
ตัวอ่อนขนาดเท่าเด็กสักสองขวบดิ้นไปมาอยู่ในอ้อมกอดของปรมะที่ถอนหายใจอย่างโล่งอก ในขณะที่เพื่อน
ร่วมงานพากันสบถเมื่อไม่สามารถยื้ออีกหนึ่งชีวิตไว้ได้ พวกเขาพากันมามุงดูสิ่งมีชีวิตแรกเกิดในอ้อมแขนของปรมะ
“โชคดีนะที่ลูกของมันยังไม่ตาย แล้วเราจะเรียกมันว่าอะไรดีล่ะ”
ปรมะจ้องมองใบหน้าแปลกประหลาดนั้นแล้วคลี่ยิ้มออกมา
“เราจะเรียกมันว่าเอวัน”
ทันทีที่เขาพูดจบปรมะก็สะดุ้งเมื่อผนังหุ้มตาของมันเปิดออก ดวงตาสีเขียวเบิกโพลงจ้องมองปรมะไม่วางตา
“ภูไม่เห็นด้วยเลยที่ปอจะเลี้ยงมันไว้”
ภูริส่ายหัวไปมาเมื่อรู้ที่มาที่ไปของเอวันที่อยู่ในตู้อบขนาดใหญ่ เขามองมันอย่างไม่ไว้วางใจ
“จุดประสงค์ของมันที่มายังโลกเราก็ยังไม่รู้ ร่างกายของมันจะมีอันตรายหรือเปล่าก็ยังไม่รู้อีก แล้วจะเลี้ยงมัน
ไปทำไม”
“ไม่เอาน่าภู อย่าพูดอย่างนั้นสิเอวันน่าสงสารออก เกิดมาพ่อเอ๊ะ หรือแม่ก็มาตายแถมยังมาเกิดในดาวที่ไม่ใช่
ดาวตัวเองด้วย”
“ใครใช้ให้มาดาวโลกกันล่ะ”
ภูริยักไหล่พลางขมวดคิ้วมองตัวอ่อนขนาดใหญ่ที่ส่ายมือเปะปะไปมาอยู่ในตู้อบ ดวงตาสีเขียวมองมายังเขา
อย่างหงุดหงิด
“จะมองกูทำไมไอ้ตัวประหลาด”
ภูริจ้องตาตอบกลับ
“ทำเป็นหงุดหงิดไอ้นี่ เดี๋ยวเหอะ”
“มันคงหิวล่ะมั้งตั้งแต่เกิดมายังไม่ได้กินอะไรเลยนี่”
“อ้าว แล้วจะเอาอะไรให้มันกินล่ะ”
ภูริถามอย่างสงสัย ทันใดนั้นเสียงเพื่อนร่วมงานคนหนึ่งของปรมะก็ดังลั่น
“ผลวิเคราะห์เลือดของมันอย่างละเอียดออกแล้ว ทั้งเนื้อทั้งตัวเต็มไปด้วยสารปรอททั้งนั้น”
ปรมะดีดนิ้วเปาะก่อนจะวิ่งไปที่ห้องเก็บสารเคมีที่อยู่ด้านหลัง เขาหยิบสารปรอทสีเงินออกมาอย่างระวังกลับ
มาด้วยและใช้หลอดทดลอบดึงมันแล้วยื่นมือเข้าไปในตู้อบจ่อสารปรอทเข้าใกล้ปาก เอวันใช้จมูกใหญ่ดมอยู่พักหนึ่งแล้ว
ค่อยๆดูดกลืนสารปรอทเข้าไปจนหมด
“สงสัยดาวมันจะมีแต่สารปรอท นี่ไม่เป็นโรคมินามาตะกันบ้างไงวะ”
ปรมะอดหัวเราะไม่ได้กับอาการพาลของภูริที่ทำท่าฮึดฮัดก่อนจะเดินออกไปทำงานต่อ เมื่อเอวันกินสารปรอท
จนอิ่มหนำก็ปิดเยื่อหุ้มตาแล้วหลับลงไป เขาจึงได้กลับมานั่งที่โต๊ะทำงานของตัวเอง
ชายหนุ่มมองผลการวิเคราะห์โครโมโซมของเอวัน สิ่งมีชีวิตที่ดวงดาวอันไกลโพ้นมีโครโมโซมเพศวายเพียง
อย่างเดียวแสดงว่าการผสมพันธุ์จนเกิดตัวอ่อนก็คือโครโมโซมวายกับวาย ปรมะเลิกคิ้วเมื่อเดาว่าดาวดวงนั้นก็จะเป็น
ดวงดาวที่มีแต่เพศผู้เหมือนกันหมดทั้งดวงดาว ร่างโปร่งลุกขึ้นยืนแล้วเดินไปมองเอวันพลางยิ้มอย่างมีเมตตา
“เป็นเด็กดีนะเอวัน”
เขาเดินกลับไปแล้ว ปรมะไม่ทันเห็นดวงตาสีเขียวที่จ้องมองตามแผ่นหลังของเขาไม่วางตา
เอวันโตเร็วมาก เพียงสองเดือนรูปร่างก็สูงใหญ่เกือบจะเท่าตัวเต็มวัย และไม่มีใครเข้าใกล้มันได้นอกจากปร
มะเพียงคนเดียวเท่านั้นที่มันยอมให้เข้ามาภายในห้องควบคุมที่ต้องขยายขนาดเพื่อรองรับ มีปรมะคนเดียวที่สามารถเจาะ
เลือดหรือแตะต้องตรวจร่างกายมันได้ถ้าเป็นคนอื่นเอวันจะอาละวาดและส่งเสียงกรีดร้องด้วยภาษาที่ทุกคนฟังไม่ออก
และโดยเฉพาะวันนี้ที่มันหงุดหงิดเป็นพิเศษจนกระทั่งเขาต้องเข้าไปฉีดยานอนหลับให้มัน
“อาละวาดอะไรนักหนาก็ไม่รู้”
เพื่อนคนหนึ่งบ่นอุบเมื่อเห็นเอวันมองตาขวาง อุณหภูมิร่างกายพุ่งสูงลิบ
“นี่ถ้าเป็นหมาเป็นแมวที่บ้านจะบอกว่ามันติดสัด ถ้าเป็นคนก็จะบอกว่ามันเงี่ยน ฮ่าๆๆ”
เพื่อนอีกคนพูดขึ้นจนปรมะยื่นมือไปตบปาก
“พูดมากลามก”
“หรือไม่จริงไอ้ปอ แหม การระบายออกซึ่งอารมณ์ทางเพศนี่มันก็เป็นเรื่องปกติหรือเปล่าวะ ไม่ว่าสิ่งมีชีวิตดาว
ไหนมันก็ต้องมีทั้งนั้นแหละไม่งั้นมันจะสืบพันธุ์มีวงศาคณาญาติกันยังไงล่ะไอ้นี่ทำเป็นเขิน มึงนั่นแหละไอ้ปอระวังเหอะ
เอาเวลามาทุ่มให้ไอ้เอวันนี่มากๆเดี๋ยวไอ้ภูแม่งเงี่ยนขึ้นมามึงแหละจะหนาว”
ปรมะหน้าแดงก่ำ เขาคว้ากระดาษม้วนอยู่ในมือแล้วโยนใส่เพื่อนพลางหัวเราะอย่างขัดเขิน มันก็จริงอย่างที่
เพื่อนบอก เขาเองก็ไม่ได้มีความสุขกับภูริมานานตั้งแต่เอวันเกิดขึ้นมา ก็น่าที่ภูริจะหงุดหงิดอยู่หรอก
“ไอ้พวกบ้า หมดเวลาทำงานออกเวรไปได้แล้วพวกมึงโน่นฤทธิ์ยานอนหลับออกแล้ว เจ้าเอวันหลับเรียบร้อย
ไม่มีอะไรต้องห่วง”
หัวเราะกันลั่นก่อนที่เพื่อนๆเขาจะโบกมือแล้วเดินออกไป วันนี้เป็นวันที่เขาต้องอยู่เวรเฝ้าเอวันเพียงลำพังแต่
อยู่คนเดียวไม่นานก็ได้ยินเสียงสัญญาณเรียกหน้าห้อง ปรมะเดินไปเปิดประตูจึงเห็นภูริยิ้มกริ่มอยู่ด้านนอกปรมะยิ้มรับ
พลางเบี่ยงตัวให้ภูริเดินเข้ามาภายในแล้วปิดประตู
ทันทีที่อยู่กันเพียงลำพังภูริก็คว้าปรมะมากอดรัดจนแน่นแล้วฝังจมูกโด่งลงบนซอกคอแล้วสูดกลิ่นตัวหอมๆ
ของปรมะ
“ปอใจร้าย เบื่อภูแล้วใช่ไหมถึงได้ไม่สนใจกันเลย”
“ภูอย่าเข้าใจผิด”
ปรมะเกี่ยวแขนคนรักให้มานั่งบนเก้าอี้ทำงานตัวเล็กของเขา
“ปอต้องทำงานหนักเพราะช่วงนี้เจ้าเอวันมันกำลังโต ภูอย่าน้อยใจเลยปอรักภูเหมือนเดิมแหละ คิดถึงมาก
ด้วย”
ดวงตาสีนิลเป็นประกายฉ่ำหวานเมื่อปรมะกางขานั่งคร่อมลงไปบนตักของภูริ เขาประคองใบหน้าคมของภูริ
แล้วประกบปากแนบชิด ภูริขยับตัวเบียดแนบโอบเอวคอดเข้าหาพลางส่งปลายลิ้นเข้าไปตวัดเกี่ยวลิ้นเล็กจนหอบตัวโยน
“อยากจูบปอมาหลายวันแล้วรู้หรือเปล่า”
เสียงของภูริสั่นไหวแหบพร่า เขาใช้ลิ้นเกี่ยวลิ้นชื้นของปรมะออกมาดูดดุนอยู่นอกริมฝีปากจนน้ำใสเชื่อมกัน
เป็นแนวยาวเมื่อผละจากกัน ปรมะเอียงคอให้ภูริได้ฝังปากขบเม้มถนัดๆพลางเบียดกายเข้าหาให้แผ่นอกถูไถจนลม
หายใจร้อนผ่าว
“ปอก็คิดถึงภูจะตายอยู่แล้ว”
ปรมะพึมพำเสียงสั่นพร่าไม่แพ้กัน สองมือโอบกอดไปที่แผ่นหลังแล้วกดบีบเบาๆปล่อยให้ภูริปลดกระดุมเสื้อ
เชิ้ตของเขาทีละเม็ดจนกระทั่งผิวกายขาวผ่องอวดสายตาพร้อมยอดอกสีชมพูงดงามที่ล่อตาให้ภูริใช้ปลายลิ้นแตะลงไป
เบาๆ
“อื้อ ภู”
ปรมะเหยียดกายให้ภูริได้ละเลงลิ้นลงบนยอดอกข้างหนึ่ง ส่วนอีกข้างก็ถูกปลายนิ้วของภูริคีบดึงแล้วบีบเค้น
รอบลานนม ร่างโปร่งกดสะโพกเข้าหาจุดกึ่งกลางลำตัวของภูริแล้วถูไถไปมาจนรู้สึกถึงความแข็งขืนอยู่ภายใต้ร่มผ้า ปร
มะเป่าปากสยิวกายไปมาเขาเลื่อนมือไปลูบไล้ขอบกางเกงของภูริแล้วปลดซิปออก มือเรียวคว้าท่อนเนื้ออุ่นจนร้อนมา
คลึงเคล้าจนรู้สึกถึงความชื้นที่ปริ่มออกมา
“เซ็กซี่จังเลยปอ”
ภูริครางอย่างถูกใจเมื่อเห็นคนบนตักเงยหน้าสูดลมเข้าปอด ดวงตาคู่สวยปรือฉ่ำพลางเม้มริมฝีปากแดงเรื่อ
เบาๆ ภูริยกสะโพกปรมะเพื่อจะดึงกางเกงออกจนพ้นต้นขา
“กดลงมาเลยไหมครับปอ ภูอยากจะเข้าไปในตัวปอจะแย่แล้ว”
เสียงทุ้มกระซิบเบาๆปรมะยิ้มรับ เขาโหย่งสะโพกแล้วจับแท่งเนื้อร้อนจนเส้นเลือดโปนของภูริจ่ออยู่ตรงปาก
ทางแล้วกดช่องทางของตัวเองลงมาช้าๆ สองแขนโอบคลองรอบคอภูริพลางเอียงคอซบไหล่กว้างกัดฟันรับความคับ
แน่นที่ค่อยๆสอดลึกเข้าไปจนกระทั่งเนื้ออ่อนสัมผัสถึงขนหยาบปรมะก็รู้ว่ามันเข้ามาจนสุดโคนแล้ว
“เสียวมาก คับแน่นฟิตเหมือนเดิมนะครับปอที่รัก”
ภูริเป่าลมเบาๆเมื่อช่องทางของปรมะกำลังโอบรัดอยู่รอบลำแท่งจนแทบขาดใจ ภูริบีบแก้มก้นนุ่มมือจนได้ยิน
เสียงครางหวานลอดออกมา เขาดึงเอวออกมาพร้อมผ่อนลมหายใจแล้วกระแทกเข้าไปใหม่
“อ๊า ภู เสียวจัง”
ปรมะปล่อยเสียงครางลั่น เขาเอียงหน้าไปบดจูบหนักหน่วง สะโพกกลมกลึงเบียดลงแล้วขยับเป็นวงกลมให้
ท่อนเนื้อที่ฝังกายควงสว่านอยู่ภายในจนเบียดแนบจุดกระสันให้ความเสียวซ่านแล่นปราดตั้งแต่หัวจรดเท้า สองขาของ
ปรมะเกาะเกี่ยวไปรอบเก้าอี้แล้วยิ่งคลึงสะโพกเรียกเสียงครางต่ำออกมาจากลำคอของภูริบ้าง
“จะฆ่ากันหรือปอ นี่เกือบแตกแล้วนะ”
ภูริเองก็ไม่ยอมแพ้ เขาเด้งเอวเข้าใส่มือใหญ่จับเอวปรมะไว้แน่นแล้วยกขยับขึ้นลงจนพากันสั่นสะท้าน ปรมะ
กอบกุมแท่งเนื้อสีสวยของตัวเองแล้วรูดรั้งไปมา กัดฟันด้วยความเสียวซ่านจนกระทั่งร่างกายทนไม่ไหวบีบเกร็งหดรัด
น้ำขาวขุ่นก็ทะลักออกมา ภูริหอบลึกเร่งเครื่องสาวเอวจนปรมะพ่นเสียงครางฮือเขาจึงอัดผลผลิตให้ปรมะรองรับรีดเค้นจน
ตัวเบา
ต่างพากันซบหน้าลงบนบ่าของอีกฝ่ายจึงไม่มีใครเห็นดวงตาสีเขียวที่เบิกโพลงมองมาตั้งแต่ภูริก้าวเข้ามาใน
ห้องทดลอง
มีต่ออีกจ้า...