เดียวดายใต้แสงจันทร์
บทที่ 1
สุริยาลับขอบฟ้าแล้ว แสงสีส้มทาบอยู่ตีนฟ้าเป็นแสงสุดท้าย
เส้นทางสู่สำนักบู๊ตึ๊งบนเขาสูง คราคร่ำมากผู้คนจากหลายสิบทิศ คนทุกผู้ต่างเดินทางเพื่อจุดหมายเดียวนั่น
คือการชุมนุมชาวยุทธบนเขาบู๊ตึ๊งอันเวลาเหลืออีกครบรอบในหนึ่งจันทร์เต็มดวงข้างหน้านับจากวิกาลแห่งข้างขึ้นในคืนนี้
งานชุมนุมจัดขึ้นในรอบสองปีแต่ละครั้งต่างหมุนเวียนให้สำนักและพรรคยอดฝีมือเป็นผู้นำและคราวนี้มีสำนักบู๊ตึ๊งได้
หมุนเวียนครบรอบอีกครา
ริมทางเดินบนเนินเขาเตี้ยกลับปรากฏตึกสองชั้นไม่ใหญ่ไม่เล็กตั้งอยู่ มันเป็นโรงเตี๊ยมเพียงแห่งเดียวใน
ละแวกนี้ ด้านในมีโต๊ะไม้นับได้ห้าถึงหกตัว ด้านหนึ่งมีบันไดเล็กทอดสู่ชั้นบนอันเป็นห้องพักสิบกว่าห้อง เถ้าแก่วัยชรานั่ง
ง่วงเหงาอยู่ในคอกเล็กด้านข้าง ศิษย์สำนักห่างไกลต่างแวะเวียนเข้ามาพักผ่อนฝีเท้าและหาที่คุ้มลมฝนพักผ่อน หาก
ไม่ทันพิจารณาอาจไม่เห็นบุรุษผู้หนึ่งนั่งเดียวดายในโต๊ะมุมที่สุด ชุดดำที่สวมใส่และหมวกกุยเล้ยใบเก่าปิดบังใบหน้าจน
มองไม่เห็นชัดแจ้ง บนโต๊ะของมันมีเพียงอาหารไม่กี่อย่างและป้านน้ำชาอุ่นจัดเท่านั้น ใบหน้าหรุบลงดวงตามองแน่วนิ่งที่
อาหารของมันแต่หูกลับลอบฟังการสนทนาของแขกผู้อื่นที่นั่งเต็มทุกโต๊ะ
ไหสุราเคลื่อนที่ทั้งหลายนั่งปะปนกันทั้งสำนักใหญ่น้อยและสำนักคุ้มภัยต่างเมามายคล้ายกันถ้วนหน้า คำ
พูดจาอึงอลไปทั่วโรงเตี๊ยม บ้างกร่างในอาวุธของตน บ้างกล่าวถึงเหตุการณ์สำคัญที่เกิดขึ้นจนเป็นที่โจษจันไปทั่วบู๊ลิ้ม
“ประมุขพรรคสำคัญในยุทธภพต่างทยอยถูกกำจัดไปแล้วถึงห้าคนห้าสำนักทั้งสิ้นเกิดขึ้นในคือเดือนเพ็ญ”
ผู้หนึ่งเอ่ยขึ้นด้วยใบหน้าเคร่งเครียด
“ตลอดห้าเดือนที่ผ่านมานี้ทำให้สะเทือนไปทั้งแผ่นดิน”
“ล้วนแต่เป็นฝีมือของผู้ใด”
อีกผู้หนึ่งจากโต๊ะติดกันเอ่ยถาม มันผู้แรกกลับส่ายหน้า
“ข้าพเจ้าไม่ทราบ หากแต่ท่านอาจารย์ของข้าพเจ้าเล่าขานว่าทุกศพล้วนตายด้วยรอยกระบี่เดียว”
“รอยกระบี่เดียว? มันผู้ใดช่างหาญกล้านักเมื่อผู้ตายต่างเป็นเจ้าสำนักเลื่องชื่อ”
“ท่านไฉนไม่ล่วงรู้จักเพลงกระบี่จันทราอันโหดเหี้ยม”
เสียงดังอวดรู้จากอีกโต๊ะ ผู้กล่าวหัวร่อราวกับมันเองประเสริฐนัก
“นัยว่าเพลงกระบี่จันทราสาบสูญไปจากยุทธจักรนานนับยี่สิบปีเนื่องเพราะจอมกระบี่มารเฉินจื่อเยี่ยนถูกสิบ
ประมุขสำนักยอดฝีมือร่วมกันขจัดจนตายหมดทั้งตระกูล รวมถึงได้ทำลายคัมภีร์กระบี่จันทราด้วย หากมิทราบเพราะกระไร
ห้าเดือนที่ล่วงผ่านมานี้จึงบังเกิดจอมยุทธกระบี่มารขึ้นมาอีกครา”
ปลายนิ้วที่จับด้ามตะเกียบถึงกับกำแน่นเข้าเมื่อเหล่าชายฉกรรจ์เอ่ยถึงจอมกระบี่มารเฉินจื่อเยี่ยน หากผู้ใดเก่ง
กล้ามองลอดผ่านกุยเล้ยที่ปิดบังอยู่ ไม่แน่นักอาจเห็นดวงต้าประกายเดือดดาลที่ซ่อนอยู่ในกายนิ่งนั่นเอง
เสียงก้าวเดินเข้ามาด้านในเรียกให้ทุกผู้หันไปมองอาคันตุกะคนใหม่ นับว่าตกเป็นเป้าสายตาอย่างยิ่งเมื่อบุรุษ
แสนธรรมดาผู้หนึ่งก้าวเข้ามาเพียงลำพังในโรงเตี๊ยมแห่งนี้ สารรูปช่างปกติธรรมดามันสวมใส่เสื้อคลุมสีขาวหากการตัด
เย็บประณีตยิ่ง ดูจากใบหน้าแล้วอาจมิได้ทำให้ดรุณีโฉมงามต้องสะเทิ้นอายด้วยความหลงใหลหากแต่ไม่อาจมีใคร
ปฏิเสธและรังเกียจยามมันแย้มยิ้มอย่างสำราญใจเช่นนี้เป็นแน่
ผู้มาใหม่หยุดยืนเป็นเป้าสายตาอยู่กลางร้าน โต๊ะห้าถึงหกตัวนับได้ว่ามีผู้ครอบครองถ้วนทั่วแล้ว หากแต่โต๊ะตัว
หนึ่งประกอบด้วยเก้าอี้ไม้สามถึงสี่ตัว สายตาคมกริบจึงหยุดมองโต๊ะตัวในที่มีผู้ครอบครองเก้าอี้เพียงหนึ่งเดียว ปลายเท้า
พามันไปทันที
“เก้าอี้เหล่านี้หากไม่มีผู้ครอบครอง ข้าพเจ้าถือว่าเป็นเกียรติหากได้นั่งร่วมโต๊ะกับสหายท่านนี้”
หมวกกุยเล้ยไม่ได้ขยับมีเพียงฝ่ามือผายออกเล็กน้อย ผู้มาใหม่นั่งลงพร้อมกับเสียงตะโกนของเถ้าแก่เรียก
ผู้อยู่ด้านหลังร้านให้รีบออกมา
เสี่ยวเอ้อผู้หนึ่งเดินออกมาจากผ้าม่านหลังร้าน เสื้อคลุมเข้มเก่าซอมซ่อมีผ้าเช็ดมือพาดบ่าหมวกเก็บคลุมผม
มิดชิดหากแต่ใบหน้าอ่อนเยาว์คล้ายเพิ่งอายุได้สิบเจ็ดสิบแปดปีรุดมาหยุดยืนด้านหน้าของผู้มาใหม่
“กงจื้อ(คุณชาย)ท่านนี้มิทราบต้องการอาหารหรือสุราชั้นดีหรือไม่”
ผู้มาใหม่เหลือบแลอาหารบนโต๊ะที่มีเพียงไม่กี่อย่าง พลันยกมือลูบคางก่อนเอ่ยเสียงแจ่มใสออกไป
“บนโต๊ะนี้มีอาหารน้อยอย่างยิ่ง น้อยเกินไปสำหรับต้อนรับสหายใหม่ จงนำเนื้อมาอีกสามชั่งพร้อมสุรารสเลิศมา
มอบแด่ข้าพเจ้าเถิด”
เสียงหัวร่อเย้ยหยันดังมาจากหนึ่งในหมู่โต๊ะที่เต็มไปด้วยผู้ครอบครอง
“ฮา ฮา เนื้อและสุรารสเลิศ มิแน่ว่าอาจไม่มีปัญญาจ่าย”
ดังลั่นด้วยเสียงหัวร่อตอบรับ ผู้มาใหม่ได้แต่หันหน้ากลับมาให้ความสนใจกับบุรุษที่ปกปิดด้วยหมวกกุยเล้ยใบ
ใหญ่
“ข้าพเจ้าแซ่หวังนามต้าชาน มิทราบสหายท่านนี้นามว่ากระไร”
หัวไหล่โยกไหวเล็กน้อย นับว่าเล็กน้อยจนอาจไม่ทันเห็น
“พบกันเพียงครั้งเดียว ใยต้องถามไถชื่อแซ่”
หวังต้าชานงงงันยิ่งเมื่อได้ยินคำกล่าวนั้น มันจับตามองบุรุษชุดดำแสนสุขุม น้ำเสียงที่เอื้อนเอ่ยราบเรียบยิ่ง
เยือกเย็นยิ่ง บางทีอาจยิ่งกว่าน้ำในทะเลสาบยามกลายเป็นแผ่นน้ำแข็งในฤดูตงเทียน(ฤดูหนาว)
เสี่ยวเอ้อหนุ่มเดินยกถาดอาหารและไหสุราวางลงบนโต๊ะ หวังต้าชานรอจนทั้งหมดเสร็จสิ้นจึงเอ่ยกับเสี่ยวเอ้อ
“มิทราบที่นี้ยังมีห้องพักหลงเหลือหรือไม่”
เสี่ยวเอ้อมองหวังต้าชานและบุรุษหนุ่มที่นั่งร่วมโต๊ะ
“ห้องพักมีเพียงห้องสุดท้ายอีกหนึ่งห้องเท่านั้น กงจื้อยังต้องการหรือไม่”
หวังต้าชานดึงถุงบรรจุตั๋วแลกเงินดึงออกมาสักหลายใบส่งให้เสี่ยวเอ้อน้อย มันรีบรับไว้พร้อมกับเบิกตาโตทันที
“ข้าพเจ้าจะรีบไปปัดกวาดห้องบัดนี้”
หวังต้าชานหันกลับมามองสุราราคาแพงที่วางอยู่บนโต๊ะ มันคว้าชามเปล่ามาแล้วจัดแจงเทน้ำสุราลงไป
“ทั่วยุทธจักรมีผู้คนมากหน้าหลายตา หากแต่น้อยคนนักที่จะได้มาร่วมโต๊ะทั้งที่ไม่รู้จัก นับว่าเป็นวาสนาอย่าง
ยิ่ง หากข้าพเจ้าคิดจะเชิญท่านดื่มสักจอกสักชาม?”
“ข้าพเจ้ามิชมชอบรสชาติสุรา”
มือที่กำลังจะเทสุราจากไหชะงักงันพลันยิ้มกระจ่างอย่างยิ่ง
“รสชาติของสุราอาจฝืดคอ แต่บรรยากาศยามดื่มสุรากับสหายรู้ใจนับว่าประเสริฐ เอาเถอะ หากท่านมิชอบสุรา
ฝืดคอจริงๆ ข้าพเจ้าจะถือว่าน้ำชาตรงหน้าของท่านรสชาติไม่แพ้สุราชั้นเลิศ”
หวังต้าชานยกชามสุราเทเข้าปาก ยังไม่ทันหมดชามเสียงหวีดร้องจึงดังขึ้น มันหันขวับไปมองทันที
เสี่ยวเอ้อน้อยร้องลั่นด้วยความตกใจ แขนของมันถูกหนึ่งในไหสุราเคลื่อนที่คว้าไว้ ท่าทีหวาดกลัวยิ่งทำให้
พวกมันกำเริบถึงกับคว้าเอวเสี่ยวเอ้อเข้าไปหา เสียงโห่ฮาดังกระหื่มเมื่อไม่มีใครห้ามปรามจนเสี่ยวเอ้อน้อยถึงกับตัวสั่น
หวาดกลัวอยู่ในหมู่ชายฉกรรจ์เมามาย หวังต้าชานวางชามสุราลงแล้วลุกไปในทันใด
“เก่อเกอ(พี่ชาย)ท่านนี้ มิทราบมีอันใดจะใช้สอยมันหรือเปล่า”
หวังต้าชานขยับคว้าท่อนแขนใหญ่โตของผู้ที่ล่วงเกินเสี่ยวเอ้อ ดวงตากลับกลายเป็นจริงจังยามจ้อง มันกลับ
ยิ้มเยาะและยิ่งก่อกวนหนักขึ้น
“ฮา ฮา ตี่ตี๋(น้องชาย)ใคร่จะร่วมสนุกกับข้าพเจ้าใช่หรือไม่ เสี่ยวเอ้อผู้นี้ร่างเล็กและหน้าตาหมดจดราวดรุณี
น้อย หรือว่าตี่ตี๋ไม่เห็นพ้องด้วย”
“กงจื้อ ได้โปรด”
สายตาของเสี่ยวเอ้อละห้อยอ้อนวอนเมื่อตกอยู่ในหมู่ผู้คิดร้าย หวังต้าชานออกแรงเพียงเล็กน้อยบีบท่อนแขน
จนเจ้าของมันหน้าคล้ำ
“มิว่าเป็นดรุณีหรือบุรุษ จอมยุทธย่อมไม่ทำร้ายผู้ที่อ่อนแอกว่า หากทำเช่นนั้นก็นับว่าขลาดเขลาแล้ว”
ปึง!!
มันตบโต๊ะเสียงดังพลันกระแทกกายเข้าใส่ หวังต้าชานเพียงสะบัดมือกลับมีมีดเล็กขาววับยาวหนึ่งเชียะออก
มาจากปลายแขนเสื้อพุ่งใส่มือหนาของชายฉกรรจ์ผู้นั้น นับว่าผิดคาดเมื่อมีมีดอีกอันหนึ่งมาจากแขนอีกครั้งขว้างเข้าใส่
สหายของมันปากแขนโลหิตสาดกระเซ็นก่อนมีดเล็กจะบินวกกลับมาเข้ามือของหวังต้าชาน
“มีดบินอหังการ์ ฮา ฮา นับว่าประเสริฐแล้วที่ได้ประลองฝีมือ”
มันผลักเสี่ยวเอ้อออกห่าง โรงเตี๊ยมกลายเป็นเวทีวิวาทหลายคนต่อหนึ่ง มันทั้งหลายราวห้าถึงหกคนยืนล้อม
หวังต้าชานที่ใช้อาวุธเพียงมีดน้อย หากต่อสู้ได้อย่างเร้าใจเมื่อสามารถคว่ำพวกมันได้จนเหลือเพียงสองรุมหนึ่ง แต่ครั้ง
หนึ่งที่หวังต้าชานพลาดเดินถอยหลัง มิคาดหนึ่งในสองคิดฟาดฟันจากด้านหลัง
ขวับ!!
ตะเกียบคู่หนึ่งลอยละลิ่วมาจากทิศใดมิอาจทราบได้ มันตรงเข้ากระแทกข้อมือที่จับดาบใหญ่อย่างรวดเร็วยิ่ง
รุนแรงยิ่ง ดาบใหญ่หลุดจากมือดังเคร้งก่อนที่มันจะทรุดฮวบกับพื้นเมื่อหมวกกุยเล้งลอยตามมาเฉือนเอ็นหลังเข่าของมัน
หวังต้าชานขว้างมีดอีกครั้ง ครานี้คมมีดบินผาดปากผิวหนังลำคอของมันจนสายเลือดปลิวเป็นสาย มันถึงกับ
ตัวสั่นงันงกก้าวหนีพลางยกมือชี้ที่ใบหน้าของหวังต้าชานด้วยความอาฆาต
“ไอ้ลูกเต่า นับว่าข้าพเจ้าจะปล่อยท่านไปก่อน พบกันครั้งหน้าข้าพเจ้ารับรองจะไม่ไว้ชีวิต”
เหล่าพวกมันล้วนจากไปแล้ว เถ้าแก่ยืนกล่าวพ่นคำด่าตามหลังยาวเหยียด ผู้อื่นที่นั่งอยู่ต่างกลับไปกินอาหาร
และดื่มสุราอย่างสงบ เสี่ยวเอ้อรีบยกมือโค้งคำนับแด่หวังต้าชาน
“เสี่ยวเอ้อแซ่ฟ่านคารวะกงจื้อที่ช่วยเหลือ”
“มิเป็นไร เซียวฟ่าน(ฟ่านน้อย) ข้าพเจ้ามิใคร่ชอบใจยามเห็นผู้อ่อนแอถูกรังแก”
หวังต้าชานยิ้มแย้มให้ฟ่านเสี่ยวเอ้ออีกครั้งก่อนเดินกลับมาที่โต๊ะ เป็นครั้งแรกที่มันได้เห็นเค้าหน้าของผู้ร่วม
โต๊ะเมื่อไม่มีหมวกกุยเล้งปกปิด
เหมาะสมเป็นอย่างยิ่ง ดีเป็นอย่างยิ่ง แม้เค้าหน้านั้นจะยังคงหรุบต่ำ หากแต่คิ้วโก่งรับกับดวงตาเรียวที่อยู่
เหนือจมูกเชิดรั้งนั้นจับใจหวังต้าชานจนระส่ำระสาย
“ขอบคุณน้ำใจที่ช่วยเหลือยามลำบาก สหาย...”
“ข้าพเจ้าแซ่เฉินนามเฟิงหยาง”
“ไพเราะยิ่ง เหมาะสมแล้วกับฝีมือเยี่ยมยุทธ แม้เพียงตะเกียบหนึ่งคู่กับหมวกเก่าอีกหนึ่งใบมิคาดคิดว่าจะเป็น
อาวุธ ได้รู้จักกับท่านนับว่าประเสริฐแท้ ขอดื่มคารวะท่านสักหนึ่งจอกเถิด”
“ข้าพเจ้าบอกกับท่านแล้วว่าไม่ชมชอบสุรา และบัดนี้ข้าพเจ้าเลิกหิวกระหายเสียแล้ว”
ลุกขึ้นยืนเต็มรูปกาย อวดความสูงโปร่งในชุดสีดำสนิท กระบี่คาดที่เอวยิ่งดำกว่า ด้ามจับสีเหลืองทองแวววับ
มือข้างนั้นกระชับมันราวกับไม่เคยห่างมือ
“ท่านจะไปแล้ว?”
มิทราบเป็นเพราะกระไรใจของหวังต้าชานจึงหายวาบ ถึงกับเหลียวหลังมองแผ่นหลังนั่นอย่างอาวรณ์
“แต่เบื้องนอกฝนตก”
รีบบอกเตือนให้ทราบอาจบางทีเฉินเฟิงหยางจะรั้งรอนานอีกสักนิดเมื่อพายุฝนกระหน่ำลงมา
“ข้าพเจ้าจะไปยืนรอด้านนอก”
มันถึงกับไปจริงๆ ไปยืนนิ่งเป็นหุ่นอยู่นอกโรงเตี๊ยม สายฝนเทลงมาห่าใหญ่ ละอองฝนสาดสัดจนเสื้อคลุมสีดำ
เปียกปอน เฉินเฟิงหยางเงยหน้ามองฟ้าเมื่อไม่เห็นแววฟ้าเปิด มันถึงกับทอดถอนใจออกมา
“ฝนตกหนักไม่เหมาะกับเดินทาง เช่นไรเชิญจอมยุทธเฉินพักรอที่ห้องของข้าจนกระทั่งฝนหยุดจะประเสริฐ
กว่า”
เฉินเฟิงหยางเข้ามาในห้องพักของหวังต้าชาน มันนั่งสงวนท่าทีเป็นสง่าอยู่ที่โต๊ะกลางห้อง ตะเกียงใหญ่ดวง
ใหญ่ส่องสว่างยิ่งทำให้หวังต้าชานมองเห็นเค้าหน้านั้นชัดเจนยิ่งขึ้น ความจับใจแปลกประหลาดก็ยิ่งตอกย้ำมากขึ้น
“ท่านจะพักนานเพียงไรก็ได้”
“ข้าพเจ้าอยู่เพียงแค่ลมฝนหยุดลงเท่านั้น ไม่คิดจะรบกวนท่านมากไปเกินนี้”
เสียงราวกระดิ่งลมโต้ตอบทันควัน ชั่วแวบหนึ่งที่หวังต้าชานสบตากับเฉินเฟิงหยางหัวใจของหวังต้าชาน
กระตุกวูบหนึ่ง เป็นคราแรกที่หวังต้าชานไม่เข้าใจตัวมันเองว่าสืบเนื่องจากเหตุกระไรแน่
เฉินเฟินหยางหรุบตาลงต่ำอีกครั้งเพื่อหนีจากการประสานสายตา ทีท่านั้นสร้างความอึดอัดแก่หวังต้าชานไม่
น้อย
มันหวังเพียงให้เฉินเฟิงหยางได้มองสบตามันด้วยประกายตาสดใสบ้าง
“เชิญท่านพักผ่อน หากจะทำเยี่ยงไรก็แล้วแต่ใจท่านเถิด”
หวังต้าชานหันกลับไปยังประตูทางออก
“ท่านกำลังจะออกไป?”
เสียงของเฉินเฟิงหยางทำให้หวังต้าชานชะงักไปวูบหนึ่ง
“ปีศาจสุราเยี่ยงนี้จะมีสถานที่ใดเหมาะกับข้าพเจ้ามากไปกว่าไหสุราเล่า”
หวังต้าชานก้าวเดินลงมายังชั้นล่างที่ไร้ผู้คน คนเดินทางผ่านล้วนจากไป คนจับจองห้องพักล้วนซุกตัวอยู่ใต้
ผ้าห่มนวมคลายหนาว หากแต่มันกลับเดินเตร็ดเตร่ใบหน้าเครียดขรึมสับสน พลันสายตาปะทะกับฟ่านเสี่ยวเอ้อทีกำลัง
ทำความสะอาดพื้นอยู่ชั้นล่าง
“กงจื๊อ ท่านต้องการสิ่งใด”
หวังต้าชานฝืนยิ้มให้ฟ่านเสี่ยวเอ้อ เอ็นดูในความขยันขันแข็งของมัน
“ต้องการเหล้าสักไหใหญ่ มิทราบเซียวฟ่านยังมีหลงเหลือหรือไม่”
เสี่ยวเอ้อตัวเล็กยิ้มแย้มตอบ มันผายมือให้หวังต้าชานเดินตามมันไปยังด้านหลังของโรงเตี๊ยมอันที่สถานที่
เก็บไหสุราชั้นดีตั้งอยู่บนชั้นวางหลายสิบไห หวังต้าชานหัวร่อชอบใจ
“สุราล้วนชั้นเลิศ ประเสริฐนัก”
มันคว้าสุราดีมาได้ไหหนึ่ง พานเทใส่ปากดื่มไม่ยั้งราวกับเป็นปีศาจสุราโดยแท้ ดื่มสุราเพียงอย่างเดียวจนใกล้
หมดไหหวังต้าชานจึงได้ยินเสียงฟ่านเสี่ยวเอ้อดังขึ้นด้านหลัง มิคาดว่ามันยังคงอยู่กับหวังต้าชานในห้องเก็บสุรา
“อากาศหนาวเหน็บเยี่ยงนี้ กงจื้อมิควรดื่มสุราให้เลือดในกายอุ่นเพียงประการเดียว หากกงจื้อได้มีผ้าห่มแนบ
เนื้อนับว่าประเสริฐกว่ามาก”
หวังต้าชานหันขวับกลับมาพานพบภาพไม่คาดคิด ภาพลานตาอย่างยิ่ง
มีต่ออีกนิด...