ตอนที่ 5
“ติณณ์ ทำไมมึงดูมีความสุขแปลกๆว่ะ” เสียงแลนด์ทักผม ตอนนี้เรานั่งเล่นอยู่โต๊ะไม้หินอ่อนหน้าคณะ อีกชั่วโมงนึงกว่าจะถึงเวลาเรียน พวกผมเลยมานั่งรับลมอยู่ตรงนี้ดีกว่า
“กูก็ปกติ” ผมไม่เห็นจะมีอะไรที่ผิดปกตินี่
“ไอ้ติณณ์ แหวนมึงสวยดีว่ะ เท่าไหร่เนี่ย” นิดาที่นั่งข้างๆผมเอ่ยถาม คือผมวางมือไว้บนหนังสือที่อยู่บนตัก ไม่แปลกที่นิดาจะเห็น
“ก็...แพงนิดนึง” ผมไม่ค่อยอยากจะบอกราคาเท่าไหร่ ความจริงผมเป็นคนไม่ค่อยสนใจพวกเครื่องประดับสักเท่าไหร่ ถ้าอันไหนไม่สะดุดตาจริงๆ ก็อย่าหวังว่าจะได้เงินจากผม
“ไหนๆๆ ขอกูดูหน่อย” จีน่าว่าก่อนเอื้อมมือผ่านโต๊ะ (จีน่านั่งอยู่ตรงข้ามกับผม) คว้ามือผมขึ้นมาวางไว้บนโต๊ะ ทำให้พวกที่เหลือมองกันใหญ่
ผมใส่ไว้ที่นิ้วนางข้างขวา เพราะผมเป็นคนถนัดซ้าย ใส่ข้างซ้ายแล้วกลัวว่าจะเขียนหนังสือไม่ถนัด ความจริง...ผมก็ไม่รู้หรอกนะ ว่าคนทั่วไปเวลาเลือกแหวนที่ชอบมาใส่ จะใส่นิ้วไหน แต่สำหรับผม ผมคิดว่า...ในบรรดานิ้วทั้งห้า ผมว่าใส่ที่นิ้วนางแล้วมันดูสวยที่สุด ...ในความคิดผมนะ
“สวยว่ะ แต่...เหมือนก็เคยเห็นร้านในเน็ตเคยเอาลงนะ” จีน่าว่าพลางทำหน้านึก
“ตัวเองเคยเอารูปมาให้เค้าดูไม่ใช่เหรอ ลองเปิดดูดิ น่าจะยังไม่ได้ลบนะ” นิดาบอกจีน่า ไม่ต้องแปลกใจที่ว่าทำไมนิดาถึงพูดแบบนี้กับจีน่า มันเป็นเพราะว่า สองคนนี้เขาเป็นแฟนกัน ...อืม....อ่านไม่ผิดหรอก สองคนนี้เขาเป็นแฟนกันตั้งแต่ม.4 ซึ่งพวกผมก็รับได้น่ะนะ ความสุขของเพื่อน อีกอย่างมันก็ไม่ได้เสียหายอะไร
“เดี๋ยวเค้าดูก่อน”
“ไอ้ติณณ์ ทองคำขาวป่ะเนี่ย” ไอถามเมื่อใช้นิ้วลูบแหวนของผมเบาๆ
“...อืม”
“แพงเชี่ยๆ” เสียงหลุยส์ และแลนด์สบถขึ้นพร้อมกัน
“นี่ๆ ร้านเอ็กซ์พรีเซ็นต์ใช่ป่ะ” จีน่าว่าพลางยื่นโทรศัพท์มาให้ผมดู อืม...ใช่ ผมซื้อที่ร้านนั้นแหละ จะว่าไปร้านนี้เขาก็ดังเหมือนกันนะ ผมพึ่งรู้
“มันเป็นแหวนคู่ ราคาสองหมื่นเก้าพันเก้าร้อย และที่สำคัญ ขายเป็นเซ็ทคู่ ไม่แยกขายเป็นวง” จีน่าอ่านรายละเอียด
“มึงซื้อมาสองวงเลยเหรอว่ะ”
“เอ่อ....”
“ทำไมต้องอ้ำอึ้ง” หลุยส์ถามอย่างจับผิด
“ก็...พี่ตาลช่วยซื้ออีกวงน่ะ” ขอโทษนะครับพี่ตาล ที่น้องติณณ์เอาชื่อพี่มาแอบอ้างแบบนี้
“แค่นี้...อ้ำอึ้งทำไม” หลุยส์ว่าอย่างเซ็งๆ เหมือนกำลังลุ้นอะไรสักอย่างแล้วมันไม่เป็นไปตามคาด
“ก็...ไม่มีอะไร” ผมตัดบทก่อนจะเปิดหนังสือที่วางอยู่บนตักของผมเปิดอ่านขึ้นอีกครั้ง
“ติณณ์ครับ” อยู่ๆก็มีคนมาเรียกผม ผมจึงเงยหน้าขึ้นมอง ก็พบว่าเป็น...เฟียส ผู้ชายที่ผมเจอที่หน้าโรงหนัง เป็นต้นเหตุที่ทำให้คนนิ่งเฉยอย่างโปเต้หงุดหงิดขึ้นมาได้
“....” ผมมองแต่ไม่ได้พูดอะไร และไม่ได้ทักกลับ
“คือ...ผมซื้อน้ำผลไม้มาฝาก ไม่รู้ว่าติณณ์จะชอบรสไหน ก็เลยซื้อมาเยอะเลย ลองทานดูนะ” เฟียสบอกผม ก่อนจะว่างถุงที่บรรจุขวดน้ำผลไม้หลายขวดไว้บนโต๊ะตรงหน้าผม
“ขอบคุณ ...แต่วันหลังหรือไม่ว่าจะวันไหน ...ไม่ต้องก็ได้” ผมบอกเขาไป ที่ผมทำแบบนี้ก็เพื่อที่จะให้เขาล้มเลิกความคิดที่จะจีบผมซะ ไม่อยากให้เขาต้องพยายามให้มากไปกว่านี้ เพราะผมมั่นใจว่ายังไงก็ไม่มีทางชอบเขาหรอก
“แต่ผมเต็มใจ”
“นี่นาย...ไม่เห็นหรอ ว่าเพื่อนฉันไม่เล่นด้วยน่ะ” นิดาเริ่มออกตัวแทนผม
“มันก็ยังไม่แน่เสมอไปหนิครับ ถ้าเกิดผมพยายามแล้วมันสำเร็จล่ะ” เฟียสหันไปบอกกับนิดา
“เลิกพยายามเถอะ ผมว่า...มันเป็นไปไม่ได้หรอก” ผมเอ่ยบอกเขาไป แม้คำพูดมันจะทำร้ายใจเขา แต่มันก็ดีกว่าปล่อยให้เขาอยู่กับความหวังลมๆแล้งๆ
“ทำไมครับ ...หรือว่าคุณจะเว้นที่ไว้ให้ไอ้นภัทรมันจริงๆ”
พูดกับคนแบบนี้ไปมันก็คงจะไม่เกิดประโยชน์อะไรขึ้นมาสินะ
“.....” ผมมองหน้าเขานิ่งๆ ไม่อยากจะพูดอะไรจนกลายเป็นต้องเข้าตัวเอง เงียบไว้...มันคงจะดีกว่า
“ติณณ์...” อยู่ๆก็มีเสียงคนเรียกผม และแน่นอน...เป็นคนที่ไม่ว่าจะเดินไปไหนมาไหน ก็จะต้องมีคนจับจ้องตลอดเวลา
...โปเต้
“...อะไรเหรอ” ผมถามเขากลับ
“....” โปเต้ไม่ตอบ แต่ยื่นโทรศัพท์ของเขามาให้ผม ผมรับมาก่อนจะมองหน้าเขา แต่เขาก็ไม่ได้พูดอะไร ผมจึงก้มหน้าลงมามองโทรศัพท์ ลองกดเปิดหน้าจอดูก็พบว่ามืดสนิท แบตคงจะหมด แล้วเขาคงจะมาฝากผมชาร์ตแน่ๆ
ผมเอื้อมมือไปหยิบกระเป๋าของตัวเอง หยิบที่ชาร์ตแบตสำรองออกมาแล้วชาร์ตแบตโทรศัพท์ให้โปเต้ แน่นอนว่าผมรู้ว่าทั้งเพื่อนผมและคนรอบข้างต่างก็มองการกระทำแบบนั้นของผม แต่ผมก็ไม่ได้รู้สึกอะไร ผมกับโปเต้เราไม่ได้ทำอะไรที่มันผิดแปลกไปสักหน่อย
“หวงก้างจริงๆ” เฟียสสบถออกมาเบาๆ แต่มันก็ดังพอที่จะทำให้โปเต้ยิน สรุปสองคนนี้เขาเคยมีปัญหามาก่อนใช่มั้ยเนี่ย เจอกันก็เหมือนพร้อมจะต่อยกันได้ทุกเมื่อเลย
“.....” โปเต้ยืดตัวขึ้นเต็มความสูง ก่อนจะหันทำตาดุใส่เฟียส
“.....” เฟียสเองก็มองกลับอย่างไม่ยอมแพ้เหมือนกัน อะไรของสองคนนี้เนี่ย
“โปเต้ นั่งก่อนสิ เราเรียนวิชาเดียวกันหนิ อีกตั้งนานแหนะ กว่าจะถึงเวลาเรียน” จีน่าพูดขึ้น เมื่อเห็นว่าบรรยากาศเริ่มมาคุ ก่อนที่นิดาจะลุกขึ้นไปนั่งข้างๆจีน่า ทำให้ข้างๆผมมีที่ว่าง
“.....” โปเต้ไม่พูดอะไร เพียงแต่เดินมานั่งข้างๆผม
“...ติณณ์ครับ วันนี้ผมคงต้องขอตัวก่อน ไว้วันหลังผมจะมาใหม่” ว่าจบ เฟียสก็เดินออกไปทันที อยากจะบอกว่าวันหลังไม่ต้องมาก็ได้ แต่ดูเหมือนว่าพูดไปก็เท่านั้น
จนกระทั่งเฟียสเดินไป ในโต๊ะของผมก็ยังไม่มีใครพูดอะไร จนกระทั่งเพื่อนของโปเต้เดินมา
“เอ่อ...ขอพวกเรานั่งด้วยได้ป่ะ” คนที่ผมจะจำได้ว่าชื่อเซย์เอ่ยขึ้น
“ได้ดิ นั่งเลยๆ” นิดาเป็นคนบอก เซย์เลยนั่งลงข้างๆแลนด์ ส่วนเพื่อนของโปเต้อีกคนนึงก็เดินไปนั่งข้างๆหลุยส์
ทุกคนคุยกันสนุกสนาน ยกเว้นผมกับโปเต้ ด้วยความที่ผมไม่ค่อยจะยุ่งเกี่ยวกับบทสนทนาของเพื่อนอยู่แล้ว ส่วนโปเต้ก็รู้ๆกันอยู่อะนะ เขากำลังนั่งเล่นเกมในโทรศัพท์ของเพื่อนเขา ส่วนผมก็นั่งอ่านหนังสือของผมไป อ้อ...แล้วส่วนน้ำผลไม้ที่เฟียสเอามาให้ผม พวกเพื่อนของผมและเพื่อนของโปเต้ก็จัดการมันไปแทนผมเรียบร้อย
“แค่กๆ” เสียงไอที่ดังขึ้นเบาๆ สามารถเรียกความสนใจจากคนทั้งโต๊ะได้เลยครับ
นั่นคงเป็นเพราะ ต้นเสียงมันมาจากโปเต้นั่นเอง
“แค่กๆ” โปเต้ก็ไอเบาๆออกมาอีก
“.....” ผมไม่ได้ถามอะไร แต่ถือวิสาสะ (แบบลืมตัว) เอื้อมมือไปตะหน้าผากของโปเต้เบาๆ พบว่ามันก็ไม่ได้ร้อนอะไร
“คอแห้งน่ะ” โปเต้พูดบอกเบาๆ แต่ตายังสนใจไปที่เกมในโทรศัพท์(ของเพื่อน)ในมือ ไม่มีสนใจจะเงยหน้าขึ้นมาหาน้ำกินเลยสักนิด ผมจึงหันไปหยิบน้ำเปล่าที่อยู่ในกระเป๋าของตัวเองออกมา เอื้อมมือไปหาหลอดในถุงที่ใส่ขวดน้ำผลไม้ที่เฟียสเอามาให้ เมื่อหยิบมาได้ ก็เอาเปิดฝาขวดน้ำเปล่า เสียบหลอดลงไป แล้วยื่นไปจ่อปากโปเต้
ยอมรับเลยว่าผมลืมตัว เพราะช่วงนี้โปเต้เริ่มแสดงอาการดื้อเงียบ ถ้าผมไม่เริ่มนำก่อน เขาก็จะไม่ค่อยทำ เมื่อคืนเขายังจะไม่อาบน้ำเลย แต่ผมดักเขาด้วยการยื่นผ้าเช็ดตัวให้เขา ผลักเขาไปที่หน้าห้องน้ำ แล้วพูดดักด้วยการบอกว่าจะหาชุดนอนให้ สุดท้ายโปเต้ก็เดินเข้าห้องน้ำไป ก็เข้าใจว่ามันใกล้หน้าหนาวแล้ว ช่วงนี้ตอนกลางคืนมันก็เริ่มหน้ากว่าที่ผ่านมา จะทำให้ไม่อยากอาบน้ำมันก็ไม่ใช่เรื่องแปลก แต่ถ้าเป็นแบบนั้นมันก็ไม่ไหวนะ เพราะเราต้องนอนเตียงเดียวกัน เรื่องนี้ก็เหมือนกัน ถ้าผมไม่ป้อน เขาก็ไม่มีทางจะไปหาน้ำมากินแน่ๆ
“.....” แม้จะคิดไปว่าตัวเองพลาดที่ลืมตัวแสดงกริยาเหมือนอยู่บ้านกับโปเต้ต่อหน้าทุกคน แน่นอนว่าคนรอบข้างต่างมองมาที่ผมสองคน แต่จะให้ผมชักมือออกก็คงไม่ทันแล้ว เพราะโปเต้เงยหน้าขึ้นมามองหน้าผม ก่อนจะดูดน้ำจากหลอดในขวดน้ำที่ผมยื่นไปให้
“ดูแลกันดีจริงๆ” มาแล้วครับ เสียงจากนิดา ส่วนผมก็เลือกที่จะไม่พูดอะไรดีกว่า เดี๋ยวจะกลายเป็นแก้ตัว เอ๊ะ...หรือผมควรพูดหว่า?
“ก็...เปล่า” ผมพูดเบาๆ ก่อนจะเก็บทั้งขวดน้ำและหนังสือของตัวเองลงกระเป๋า
“แต่ที่เห็นมัน...” นิดาทำท่าจะพูดต่อ แต่โปเต้ที่นั่งเงียบมาตลอดก็แย้งขึ้น
“จะถึงเวลาเรียนแล้ว” โปเต้พูดก่อนจะเงยหน้ามองหน้าทุกคน ก่อนที่ตัวเขาเองจะลุกขึ้น แล้วเดินออกไปเลย ผมเองก็ไม่รอช้า ลุกตามไปติดๆเหมือนกัน ไม่อยากถูกถามมาก เพราะผมก็ไม่มีคำตอบให้พวกนั้นหรอก ผมไม่ได้เป็นอะไรกับโปเต้ ผมย้ำกับพวกนั้นไปหลายครั้ง แต่มันก็ไม่ฟังกันเลย
แต่ผมก็ไม่ชอบการถูกเข้าใจผิดนะ
ตอนนี้ก็ถึงเวลาเลิกเรียนล่ะครับ ผมกับเพื่อนๆของผม และรวมไปถึงโปเต้และเพื่อนของเขา กำลังเดินลงบันไดของอาคารเรียน วันนี้เลิกเรียนช้าไปสักหน่อย ทำให้ทุกคนในตอนนี้อยู่ในสภาพหิวมากๆ และตกลงกันว่าจะไปหาอะไรกินกันก่อนกลับบ้าน และดูเหมือนตอนนี้กลุ่มของผมกับกลุ่มของโปเต้จะรวมตัวกันไปโดยปริยาย
“เอ่อ ...ขอโทษนะคะ” อยู่ก็มีผู้หญิงคนนึงมาขวางหน้าพวกเราเอาไว้ ดูท่าจะเป็นรุ่นน้อง
“มีอะไรเหรอครับ” หลุยส์เอ่ยถามน้องเขาซะเสียงหวาน แน่ล่ะครับ ก็น้องเขาน่ารักนี่นา
“คือ...หนูมีเรื่องอยากจะขอร้องพี่นภัทรน่ะค่ะ” น้องเขาบอกก่อนจะมองไปที่โปเต้ ที่เดินรั้งท้าย
“.....” โปเต้ไม่ได้พูดอะไร เพียงแต่มองหน้าน้องเขานิ่งๆ
“คือ...หนูไม่ได้จะมาสารภาพรักนะคะ พี่ติณณ์อย่าเข้าใจผิด พอดี...หนูมีโปรเจ็คที่ต้องทำส่งอาจารย์น่ะค่ะ และอยากจะได้พี่นภัทรเป็นนายแบบ” น้องเขาหันมาบอกกับผม ก่อนจะหันไปพูดกับโปเต้ นี่เข้าใจว่าผมกับโปเต้คบกันจริงๆเหรอ
“..ทำไมต้องเป็นผม” โปเต้ถามเสียงเรียบ
“คือ...ก็...พี่นภัทรเป็นผู้ชายหน้าตาดีมากๆคนนึงเลยน่ะค่ะ ขนาดรูปแอบถ่ายก็ยังดูดี หนูเลยคิดว่าถ้าได้พี่มาเป็นนายแบบให้หนู งานของหนูจะต้องออกมาเพอร์เฟ็คมากๆเลยน่ะค่ะ” น้องเขาพูดถึงเหตุผลที่มาขอโปเต้ไปเป็นนายแบบให้
“ไปหาคนอื่นเถอะ” โปเต้พูดเรียบๆ ด้วยน้ำเสียงที่ไม่บ่งบอกถึงอารมณ์
“โหยยย...พี่คะ ถือว่าช่วยหนูเถอะนะ สักครั้งเถอะนะคะ” น้องเขาว่าเสียงอ่อน แถมยังทำหน้าอ้อนวอนสุดๆ ไม่พอแต่เพียงเท่านั้น น้องเขายังเดินเข้าไปเขย่าแขนโปเต้อีกต่างหาก ถือว่าเป็นผู้หญิงที่กล้ามากๆคนนึงเลยนะ
“ปล่อยผมก่อน” โปเต้บอกน้องคนนั้นเบาๆ แต่ก็ไม่เชิงกับดุ แค่เอ่ยออกมาเรียบๆ
“พี่ติณณ์ พี่ช่วยพูดกับพี่นภัทรให้หนูหน่อยนะ นะคะ ...หนูอยากให้งานหนูออกมาดีที่สุดน่ะค่ะ นะคะ...” น้องเขาเดินมาดึงแขนผม แล้วลากไปหยุดอยู่หน้าโปเต้ และเขย่าแขนโปเต้เบาๆ น้ำเสียงน้องเขาอ้อนวอนมาก และทำหน้าเหมือนถ้าหากผมไม่ช่วย น้องเขาก็จะร้องไห้เสียอย่างนั้น
“...ว่าไง” โปเต้เอ่ยถามผมเบาๆ สถานการณ์อย่างนี้คุ้นๆนะ เหมือนเคยเกิดขึ้นมาแล้วสองครั้ง ดูท่าว่าโปเต้จะเล่นมุกนั้นอีกล่ะ
“ขอโทษนะ ..ให้โปเต้เขาตัดสินใจเองเถอะ” ผมว่าก่อนจะเดินออกมา ไม่ใช่อะไร ผมหิวมาก แล้วบังเอิญเหลือบไปเห็นร้านขายขนมพอดี ว่าจะไปซื้อขนมปังมากินรองท้อง อีกอย่างผมก็ไม่อยากจะมีส่วนร่วมกับเรื่องนี้ แค่นี้เขาก็เข้าใจผิดคิดว่าผมคบกับโปเต้ไปค่อนมหาลัยแล้ว ถ้าผมยังไปตัดสินใจแทนโปเต้แบบนั้นอีก ผมว่ามันไม่ควรสุดๆ
“เฮ้...” แต่เพียงแค่หันหลังแล้วกำลังจะก้าวขา ข้างมือของผมก็ถูกใครบางคนจับเอาไว้เสียก่อน พร้อมๆกับเสียงเฮ้เบาๆ
“ปล่อยผม” ผมจะไปซื้อขนมปัง มาจับไว้ทำไมเนี่ย
“ว๊าย พี่ติณณ์ โกรธหนูที่จับแขนพี่นภัทรเหรอคะ หนูขอโทษนะ หนูไม่ได้ตั้งใจ” น้องคนนั้นที่กำลังจับแขนโปเต้อยู่ รีบปล่อยมือออก ก่อนจะขอโทษผมเสียยกใหญ่
“เปล่าหรอก” ผมตอบน้องเขา เพราะผมแค่จะไปซื้อขนมปัง ไม่ได้โกรธอะไรใครเลย
“หรือว่าไม่พอใจที่พี่นภัทรโดนผู้หญิงคนอื่นถูกเนื้อต้องตัว งั้นหนูก็ต้องขอโทษนะคะ หนูไม่ได้ตั้งใจ หนูแค่อยากได้พี่นภัทรมาเป็นนายแบบให้หนู พี่ๆอย่าทะเลาะกันเลยนะคะ หนูไม่ได้คิดอะไรกับพี่นภัทร หนูมีแฟนอยู่แล้ว เอ่อ...ถ้างั้น ...หนูไม่ตื้อพี่นภัทรให้ไปเป็นนายแบบแล้วก็ได้ค่ะ พวกพี่จะได้ไม่ต้องลำบากใจ” น้องคนนั้นพูดด้วยสีหน้าที่ดูเศร้า เอาอีกแล้วนะโปเต้ ไอ้วิธีแบบนี้ทำไมชอบใช้จัง แถมยังใช้ผมเป็นเครื่องมือด้วย ชอบใช้ประโยชน์จากเรื่องที่คนอื่นเข้าใจเราสองผิด ชิ...ผมไม่ยอมให้มีครั้งที่สามหรอกนะ
“ตกลง” ผมเอ่ยบอกกับน้องเขา
“ค่ะ..คะ???” น้องเขาทำสีหน้างงๆ
“โปเต้...จะไปเป็นนายแบบให้น้อง ..ตกลงนะ” ประโยคหลังผมพูดพร้อมกับสบตาโปเต้ แผนที่เขากำลังใช้มันไม่ได้ผลหรอก
“จริงเหรอคะ ขอบคุณมากๆค่ะพี่ติณณ์ ขอบคุณนะคะพี่โปเต้ ไว้พรุ่งนี้หนูจะมาหาใหม่นะคะ” ว่าจบ น้องเขาก็รีบวิ่งไปหาเพื่อนผู้หญิงอีกสองคนที่คอยยืนดูท่าทีอยู่ไม่ไกล
“เล่นอย่างงี้เลยหรอ” โปเต้ถามผม น้ำเสียงสูงขึ้นเล็กน้อย
“นายทำก่อนนะ ...ปล่อยมือ” ผมบอกให้เขาปล่อยมือที่จับข้อมือผมเอาไว้ ซึ่งเขาก็ปล่อยแต่โดยดี
“นิสัยเสีย” โปเต้ว่าผมก่อนจะเดินนำไป เหอะ...เขามากกว่านะนั้น ที่นิสัยเสีย เจอเอาคืนหน่อยก็ไม่ได้
ตอนนี้พวกเรากำลังมุ่งหน้าไปยังร้านอาหารที่อยู่หลังมหาลัย แต่พอเห็นร้านนมที่อยู่ข้างๆ ทุกคนก็ตัดสินใจเข้าร้านนมแทน ทั้งๆที่ผมอยากกินข้าวแทบตาย แต่ก็ไม่ว่าอะไร เพราะร้านนั้นก็มีข้าวขายเหมือนกัน
“ไอ้ภัทร แล้วแกจะไปถ่ายแบบให้น้องเขาป่าวว่ะ” เสียงของเซย์เพื่อนของโปเต้เอ่ยถามโปเต้
“ใครตกลงก็ไปถ่ายเองสิ” โปเต้พูดลอยๆ แต่กระทบผมเต็มๆ
“.....” ผมไม่ได้พูดอะไร ก่อนจะตักข้าวที่เหลือไม่กี่คำเข้าปาก
“ก็มึงถามความเห็นจากนติณณ์ไม่ใช่เหรอ”
“ก็ไม่ได้บอกให้ตัดสินใจให้” นี่เขาเรียกว่ากวนตีนใช่มั้ย ก็พอจะรู้อยู่หรอกว่าเห็นเงียบๆแบบนี้ แต่ไอ้เรื่องกวนชวนให้โดนตีน โปเต้ก็ไม่แพ้ใครเหมือนกัน
“นิดา เดี๋ยวกูกลับก่อน จะไปซื้อของ อ่ะนี่เงิน” ผมยื่นแบงค์ร้อยไปให้นิดา แม้ว่าทั้งค่าข้าวและค่านมจะไม่ถึงก็เถอะ แต่ก็ไม่เป็นไร เพราะตอนนี้ผมไม่มีแบงค์เศษเลย และที่กลับก่อนก็ไม่ใช่อะไร ว่าจะไปร้านหนังสือเจ้าประจำ แถวหอพักเก่าของผม แต่มันอยู่คนละทางกับที่จะไปบ้าน ผมไม่อยากรบกวนโปเต้ ผมว่าผมไปเองดีกว่า
“อ่าว แล้วนภัทรล่ะ นี่มึงโกรธนภัทรจริงๆเหรอ” นิดาถามผมเสียงดังจนทุกคนเงยหน้าขึ้นมามองผม
“เปล่า ...ไปล่ะ” ผมบอก ก่อนจะเดินออกมาโดยไม่ได้ฟังเสียงคนอื่นทักท้วง คือมันก็เย็นมากแล้ว กลัวร้านเขาจะปิด
ผมเดินออกมารอแถวบริเวณป้ายรถเมล์ ที่อยู่ไม่ไกลจากร้านที่พึ่งออกมามากนัก แต่ว่าผมยืนรอได้ประมาณห้านาที ก็มีเสียงมอเตอร์ไซต์บิ๊กไบท์มาขับมา ก่อนจะมาจอดข้างฟุตบาทตรงที่ผมยืนอยู่ ...คงไม่ต้องบอกสินะ ว่าคนขับคือใคร
“ขี้งอนเหรอ” โปเต้ถามผมเสียงเรียบ
“ใคร” ใครงอน? หรือเขาจะคิดว่าผมงอนเขา บ้าเหรอ
“ยังจะถามอีก ขึ้นรถ” โปเต้สั่งก่อนจะหยิบหมวกของผมขึ้นมาแล้วส่งให้
“ขึ้นทำไม ไม่ได้กลับตอนนี้”
“แล้วจะไปไหน”
“ร้านหนังสือ” ผมตอบไปตามตรง
“เดี๋ยวพาไป ขึ้นรถ”
“แต่...”
“เร็วๆ เห็นมั้ยว่ารถเมล์กำลังจะจอด” โปเต้เร่งผม ซึ่งมันก็จริง เพราะรถเมล์กำลังขับมาและใกล้ถึงป้ายแล้ว แต่มีรถของโปเต้ขวางอยู่
และสุดท้าย ผมก็ต้องก้าวขึ้นรถไปกับโปเต้ และตกเป็นเป้าสายตาของนักศึกษาที่อยู่แถวนั้นจนได้