ตอนที่ 13 (ครึ่งแรก)
“ติณณ์ นี่น้ำกับผลไม้ ผมซื้อมาฝาก”
“ติณณ์ พี่ซื้อขนมมาฝาก”
“ติณณ์ไม่ต้องไปกินขนมหรอก กินผลไม้ดีกว่า”
“แกมีสิทธิ์อะไรมาบังคับติณณ์ว่ะ”
“นั่นมันเรื่องของผม”
สงสัยใช่มั้ย ว่าสองเสียงนั่นเป็นเสียงของใคร ใครกับที่เอาน้ำกับผลไม้มาให้ผม และใครกับที่เอาขนมมาให้ผม
พวกคุณลองทายดูสิ
“โถ่วววววววว ...จะมายืนทะเลาะอะไรกับ เอาใจไอ้ติณณ์มันไปก็เท่านั้นแหละ มันไม่สนใจหรอก ทั้งชีวิตมันสนใจแฟนมันคนเดียว” หลุยส์คงจะทนไม่ไหว ถึงได้พูดแทนผม
“ผมแค่ซื้อมาฝากในฐานะเพื่อน” เฟียสตอบหลุยส์หน้าซื่อ
“พี่เอามาฝากในฐานะพี่รหัส” พี่เฟรมแอ๊บตอบได้กวนตีนมากๆ
“เหรออออออออออออออออออออออออออ” เพื่อนผมทั้งสี่ลากเสียงยาวอย่างประชดใส่สองคนนั่น
“ติณณ์ ...กูสังเกตนานล่ะ ที่คอมึงอ่ะ โดนใครหยิกมาเหรอ” แลนด์หันมาถามผม น้ำเสียงดูสงสัยนะ แต่ตานี่...ไม่ใช่อ่ะ
เดี๋ยวนะ...รอย??? ที่คอ???
เฮ้ย! ...รอยที่โปเต้ทำไว้เมื่อวันก่อนนี่หว่า!!!
ไม่แปลกที่ใครๆจะเห็น ก็มันเล่นอยู่ตรงที่สะดุดตามากๆ แถมมันยังช้ำม่วงจนน่ากลัว แม้ว่าจะเป็นจุดเล็กๆ ไม่ใหญ่มาก แต่เพราะผมเป็นคนขาว มันเลยตัดกัน จึงทำให้เห็นชัดมาก
และผมก็ลืม...ว่ากระแสระหว่างผมกับโปเต้มันก็ยังแรงดีไม่มีตก ถ้ามีข่าวเรื่องรอยที่คอ มันจะต้องมีข่าวแปลกๆออกมาแน่ๆ
แต่จะให้หาอะไรมาปิด อย่างเช่นพลาสเตอร์เหมือนพวกผู้หญิงทำ ...ผมว่ามันออกจะสาวแตกไปมั้ย ผมเป็นผู้ชาย ผมไม่ได้ซีเรียสขนาดนั้น
ครับ...ผมไม่ซีเรียสเรื่องรอยที่คอ แต่ผมซีเรียสเรื่องที่จะต้องบอกเพื่อนว่ารอยนี้ได้มาแต่ใดต่างหาก บอกตามตรง ...ยางอายผมยังมีอยู่
“จริงด้วย ช้ำมากเลยติณณ์ ใครหยิกเหรอ” เฟียสเอ่ยขึ้นอย่างเห็นด้วย นี่เขาคิดว่าโดนหยิกจริงๆเหรอ
“.....” ผมไม่ตอบ ก่อนจะหยิบหนังสือตรงหน้าขึ้นมาอ่านแทน
นี่ถ้าโปเต้อยู่ด้วย ...อาจจะได้วางมวยกับเฟียสไปแล้วมั้ง เพราะโปเต้มักจะน็อตหลุดเวลาเฟียสมาหาผม (แต่เฟียสเองก็แปลก รู้ว่าผมมีแฟนแล้วก็ยังมาเทคแคร์ ชอบมากวนตีนโปเต้บ่อยๆ)
ถ้าจะถามว่าโปเต้ไปไหน บอกไว้เลยว่าผมไม่รู้ เพราะเมื่อมาถึง อยู่ๆจินกับเซย์ก็มาลากตัวโปเต้ไป บอกกับผมว่าขอยืมตัวโปเต้แป๊บนึง แล้วก็หายกันไปเลยสามคน
“สมน้ำหน้า ติณณ์เมินแก” เสียงพี่เฟรมหันไปเย้ยเฟียสครับ
“เหอะ ติณณ์เขาก็เมินพี่เหมือนกัน” เฟียสว่ากลับอย่างไม่ยอมแพ้
“แกคนเดียวเถอะ”
“พี่ด้วยต่างหาก”
“แกคนเดียว”
“พี่ด้วย”
“บอกว่าแกก็แกคนเดียวดิว่ะ!”
เดี๋ยวนะๆ ...ตกลง ...สองคนนี้มาหาผมหรือมาทะเลาะกันเอง อย่างกับผัวเมียเถียงกัน
“แหมมมมมมม ...เถียงกันขนาดนี้ ลูกหัวปีท้ายปีแน่ๆเลย” เสียงนิดาเอ่ยขึ้นอย่างขำๆครับ
“เหยดดดดดดดดดดดดดด ...น้องนิดา ตบปากเลยยยยยยย ...พี่รับไม่ได้กับคำที่น้องกล่าวมามากๆ” เสียงพี่เฟรมบอกนิดา ประมาณว่า ...พี่แกรับได้จริงๆ
“ผมเองก็รับไม่ได้เหมือนกัน ที่จะต้องเอาผู้ชายปากสุนัขเป็นเมีย” เฟียสว่าอย่างไม่ยอม พร้อมแขวะพี่เฟรมไปพร้อมๆกัน
“ใครเป็นเมียแกว่ะ ต่อยกันเลยมั้ยเฮ้ย!” พี่เฟรมหันไปเอาเรื่องกับเฟียส
“ผมไม่นิยมทำร้ายคนแก่ที่ไม่มีทางสู้หรอก” เฟียสว่าอย่างเย้ยๆ แม้ว่าพี่เฟรมจะสูงและล้ำยังไง ก็สู้เฟียสไม่ได้หรอก
ดูจากปัจจัยหลายๆอย่างอ่ะนะ
“ไอ้!..” พี่เฟรมดูท่าว่าจะไปต่อไม่ถูก คงไม่รู้จะหาคำไหนมาด่าเฟียส
“เฮ้ย! ไอ้ติณณ์ ทำไมแฟนมึงเดินหน้ามุ่ยมาแบบนั้นว่ะ” อยู่ๆ จีน่าก็ร้องทักซะเสียงดัง
“.....” ผมเงยหน้ามองไปหาโปเต้ พบว่ากำลังเดินมาที่โต๊ะ แต่สีหน้าบ่งบอกได้เลยว่ากำลังหงุดหงิดสุดๆ แล้วพอมาใกล้ๆ ...ผมก็สังเกตุได้ถึงสิ่งผิดปกติที่อยู่บนใบหน้าหวานๆนั่น
รอยแดงที่โหนกแก้ม ที่อีกไม่นานต้องกลายเป็นรอยช้ำ กับแผลปริแตกเล็กๆที่มุมปาก ยังมีคราบเลือดติดอยู่ บ่งบอกได้ว่ายังไม่ได้ทำแผล
ไปทำอะไรมาน่ะ?
“.....” โปเต้เดินมานั่งข้างๆผม แต่ยังไม่ปริปากพูดอะไร และผมเองก็ยังไม่พูดอะไรเช่นกัน
ทั้งโต๊ะเงียบ ...รวมไปถึงสองคนที่พึ่งตีกันอย่างเฟียสกับพี่เฟรมด้วย
“.....” โปเต้ไม่ยอมมองหน้าผม เขามองก้มลงมองพื้น แต่มือที่วางอยู่ที่หน้าขากำลังกำแน่น ราวกับกำลังระงับอารมณ์
“.....” ผมเอื้อมมือไปแตะเบาๆ ที่มือของโปเต้ ก่อนจะค่อนๆเปลี่ยนๆเป็นกุมมือ
“.....” โปเต้หลับตาก่อนจะถอนหายใจเบาๆ มือของเขาคลายออก ก่อนจะเปลี่ยนเป็นจับมือผมแทน
“...เป็นอะไร” ผมถามเบาๆ
“...ไม่มีอะไรหรอก” โปเต้ตอบ ...แต่ไม่มองหน้าผม
“เป็นอะไร” ผมยังคงถามคำถามเดิม
“ไม่มีอะไร”
“โปเต้”
“ไม่มี”
“โปเต้ เป็นอะไร” นี่เป็นครั้งแรกที่ผมถามเขา แล้วเขาจงใจปฏิเสธที่จะบอกผมอย่างเห็นได้ชัด ดูก็รู้ว่าไปมีเรื่องมา
ผมรู้ว่าโปเต้เป็นคนอารมณ์ร้อน เขามักจะฟิวส์ขาดทุกครั้งที่โมโหถึงขีดสุด อย่างน้อยก็ครั้งนึงตอนเฟียสเข้ามาขอจีบผม แต่ครั้งนั้นผมห้ามทัน
แล้วครั้งนี้ล่ะ ..ไม่มีเรื่องมาแน่นอน แถมยังเจ็บตัวมาด้วย
ผมสารภาพเลยว่าผมเป็นห่วงเขา ผมก็เหมือนผู้ชายคนอื่นๆอ่ะ ที่ไม่อยากให้แฟนตัวเองเจ็บตัว อยากรู้ว่าเขาไปทำอะไรมา
“ไม่ได้เป็นอะไร”
“.....”
“อยู่นี่เอง อ่ะนี่...ทำแผลซะ กูอุตส่าห์ขับรถออกไปซื้อที่ร้านยาหน้ามหาลัยให้” เซย์เดินมาอย่างรีบๆ ก่อนจะวางกล่องปฐมพยาบาลเล็กๆไว้ตรงหน้าโปเต้
“ทำไมดู...ซีเรียสกันจัง” จินที่เดินตามมาเอ่ยทัก
ผมไม่หันมองหน้าคนอื่นๆ ผมยังมองอยู่ที่โปเต้ ที่ยังไม่ยอมพูดอะไร
ผมรู้สึก...อึดอัด แน่นๆที่อก หายใจไม่ทั่วท้อง ...ผมเจ็บ
...เห็นเขาเจ็บตัว ...ผมเองก็เจ็บไปด้วย ผมไม่รู้ว่าตัวเองเป็นอะไร ทำไมถึงรู้สึกแบบนี้
เจ็บ...ที่เห็นเขาเจ็บตัว เจ็บ...ที่ไม่รู้ว่าเขาเป็นอะไร เจ็บ...ที่ไม่รู้ว่าเขาไปมีเรื่องกับใครมา เจ็บ...ที่ไม่รู้อะไรเลย เจ็บ...ที่เขาไม่ยอมบอกอะไร เจ็บ...
เจ็บจริงๆ ผมไม่อยากรู้สึกแบบนี้
แต่ผมก็ไม่อยากบังคับโปเต้ ถ้าเขาอยากบอกให้ผมได้รับรู้ เขาก็ต้องบอกผมแล้ว
แม้ว่าใจจะคิดแบบนั้น แต่ทำไม...ผมถึงรู้สึกอยากร้องไห้ว่ะ
ผมไม่เคยคิดที่จะเข้าใจอารมณ์ผู้หญิง เวลาที่แฟนมีเรื่องชกต่อยแล้วมานั่งร้องไห้
แต่ตอนนี้ผมรู้แล้วว่าพวกเธอรู้สึกยังไง เพราะผมเองก็รู้สึกแบบนั้นไม่ต่างกัน ผมไม่เคยร้องไห้ให้กับเรื่องไม่เป็นเรื่อง ไม่เคยร้องไห้ให้กับเรื่องเล็กๆน้อยๆ ไม่เคยร้องไห้มานานมากแล้ว...ล่าสุดคงเป็นตอนที่พ่อแม่เสียชีวิต
แค่ผมเห็นโปเต้มีแผล ผมก็เจ็บแทน อีกทั้งยังไม่ยอมบอกอะไรอีก ความรู้สึกอยากร้องไห้ผมก่อขึ้นอยู่ในอกผม มันน้อยใจ อึกอัด เป็นห่วง อยากรู้...เพราะอาจจะช่วยอะไรได้บ้าง แม้จะแค่เรื่องเล็กก็ต้องบอก ยิ่งเรื่องใหญ่ยิ่งต้องบอก
นี่ผมกำลัง ‘แคร์’ โปเต้อยู่ใช่มั้ย
ผมไม่ได้กำลังงี่เง่า ...ผมไม่รู้เหมือนกันว่าตัวเองเป็นอะไร
“.....” ผมค่อยๆเลื่อนมือออกจากมือใหญ่ที่จับมือผม โปเต้ทำท่าจะคว้ามือผม แต่ก็ต้องชะงักลง เมื่อเห็นผมหันไปหยิบกล่องปฐมพยาบาลขนาดเล็กมาวางไว้บนตัก ก่อนจะเปิดออก หยิบสำลีและยาขึ้นมา
“.....” โปเต้มองการกระทำของผมอย่างเงียบๆ และผมเองก็ไม่ได้พูดอะไรเหมือนกัน
“.....”
“ซี๊ดดด..” โปเต้ร้องเบาๆ เมื่อสำลีที่ชุบยาในมือผมโดนแผลที่มุมปากของเขา ทำเอาผมชะงักมือ
“.....” ผมเม้มปากแน่น ก่อนจะค่อยๆแตะสำลีลงไปที่มุมปากที่ปริแตกของโปเต้อย่างเบามือกว่าครั้งก่อน
มือผมสั่นจนตัวผมเองยังรู้สึก ...ภาพตรงหน้าค่อยๆพร่ามัว
หยาดน้ำตาเม็ดใสร่วงหล่นจากดวงตาของผมราวกับมีคนมาเปิดก๊อก ไม่มีเสียงสะอื้นใดๆ มีเพียงน้ำตาที่ไหลออกมาอย่างห้ามไม่อยู่ ผมไม่ได้อยากงี่เง่า... ผมไม่ได้เป็นคนที่ร้องไห้ง่าย แต่น้ำตา...มันไหลออกมาเอง อารมณ์ผมตอนนี้มันอ่อไหนไปหมด เพียงแค่มีอะไรมาสะกิดนิดเดียว ...มันก็พร่อมที่จะพรั่งพรูออกมา
“เจ็บมั้ย” ผมเอ่ยออกมาเบาๆ เสียงสั่นแบบที่ว่าห้ามไม่อยู่ ผมเป็นห่วงเขา ไม่อยากให้เขาเจ็บ
“ติณณ์...” โปเต้รวบมือผมที่ทำแผลให้เขาด้วยมือข้างหนึ่ง ส่วนมืออีกข้างก็ยกขึ้นปาดน้ำตาให้ผมอย่างเบามือ
และมือโปเต้เอง...ก็สั่นไม่แพ้กัน
“...เจ็บมั้ย” ผมเอ่ยถามซ้ำ
“ไม่ ...ไม่เจ็บ ขอโทษ ...อย่าร้อง” ดูท่าโปเต้จะเริ่มเรียบเรียงคำพดไม่ถูก แต่ผมรู้ว่าเขาพยายามปลอบผม
“.....” ผมค่อยๆก้มหน้าลงมองมือตัวเองที่ถูกมือใหญ่ของโปเต้กุมเอาไว้
“ก่อนจะเดินมาหา ...บังเอิญไปเจอพวกปากหมาเข้า ...มันดูถูกติณณ์ มันหยามติณณ์ มันพูดถึงติณณ์ในทางไม่ดีต่อหน้าผม ...ผมทนไม่ได้ ที่จะต้องมีคนพูดถึงติณณ์แบบนั้น เลยมีเรื่องกันนิดหน่อย ผมไม่ได้เป็นอะไรมาก ผมไม่อยากบอก กลัวว่าติณณ์จะไม่สบายใจ ...รอยที่คอ จะไม่ทำแล้ว มันทำให้ติณณ์โดนมองไม่ดี ...ขอโทษนะ” นี่คงเป็นประโยคที่ยาวที่สุดที่โปเต้เตยพูดเลยก็ได้ แต่มันทำให้ผมดีใจอยู่นิดๆ
เขาแคร์ผม ...และพยายามปกป้องผม
“โปเต้...เรื่องแค่นั้นเอง ไม่ต้องไปสนใจก็ได้”
“ไม่ได้หรอก มันดูถูกติณณ์”
“คนมีปากก็เอาไว้พูดอ่ะ ไม่ต้องไปสนใจหรอก ผมไม่อยากเห็นนายเจ็บตัว เพราะผมเองก็เจ็บไปด้วย ...นะ อย่ามีเรื่องเพราะผมอีกเลย”
“ไม่รับปาก ถ้าทำให้ได้ก็จะทำ” โปเต้ตอบเสียงเรียบ แต่รอยยิ้มนิดๆที่มุมปากที่เขาส่งมาให้ มันทำให้ผมมั่นใจว่า โปเต้จะต้องพยายามให้เกิดเรื่องแบบนี้ให้น้อยที่สุด
“.....”
“เลิกร้องได้แล้ว”
“.....” ผมได้แต่เงียบ ...เพราะความเขิน
ดันมาร้องกลางคณะซะได้ เริ่มรู้สึกอายๆขึ้นมาล่ะ
ผู้ชายอย่างผม มานั่งร้องไห้ให้ผู้ชายที่ได้ชื่อว่าแฟนกลางคณะ ...คงได้มีข่าวใหม่อีกแน่ๆ
แต่ว่านะ ...การเป็นแฟนกับโปเต้นี่มันก็...โอเคอ่ะ
เอ...ดูเหมือนผมจะลืมสิ่งมีชีวิตที่เรียกว่าเพื่อน รุ่นพี่ และชายต่างคณะอีกแปดชีวิตไปเลยแหะ
*******************************************************
FANPAGE
https://www.facebook.com/pages/Pawaree/1548716445345046 (ftp://www.facebook.com/pages/Pawaree/1548716445345046)