Chapter 14(กลับมาภายในห้องพักของเร็น)หลังจากนั่งนิ่งอยู่นาน เสียงเตือนข้อความเข้าโทรศัพท์ก็ดังขึ้น เร็นกวาดสายตามองหาต้นเสียง ก่อนจะลุกขึ้นแล้วหันมองไปรอบๆ เขาเปิดกระเป๋าเป้ที่ใส่หนังสือเรียนออกดูก่อน แล้วจึงพบว่าโทรศัพท์มือถือกับกระเป๋าสตางค์ที่เขาส่งให้เลขาหนุ่มไปในวันแรกอยู่ในกระเป๋าใบนั้นแล้ว มือหยาบหยิบโทรศัพท์ขึ้นมากดดูข้อความจากหมายเลขที่ไม่รู้จัก เป็นข้อความสั้นๆ ว่า ได้คืนโทรศัพท์มือถือกับกระเป๋าสตางค์พร้อมทั้งบัตรสำคัญทั้งหมดไว้ในกระเป๋าเป้ รวมถึงเงินอีกหนึ่งล้านเยนด้วย
ร่างสูงเบิกตาโพลง พอรื้อกระเป๋าเป้ดูจึงพบซองสีน้ำตาลหนา เขาหยิบมาเปิดดูแล้วรีบปิดไว้เช่นเดิม
“คุณคิดว่าผมเห็นแก่เงินนี่มากนักรึไง!” เร็นโยนซองสีน้ำตาลนั้นลงบนพื้น “ที่ผมพูดกับคุณทั้งหมดนั่น ผมไม่ได้โกหกคุณเลยแม้แต่นิดเดียว!” มือหยาบยกขึ้นทุบศีรษะ ไม่เข้าใจตนเองเช่นกันว่าจะโวยวายไปเพื่ออะไร ในเมื่ออีกฝ่ายก็ไม่ได้ยิน ไม่ได้รู้เห็นด้วยสักหน่อย
เด็กหนุ่มพยายามโทรกลับไปที่เบอร์ที่ส่งข้อความมาหลายครั้ง หากก็ไม่เป็นผล ระบบตอบมาเพียงว่าไม่มีหมายเลขที่ต้องการติดต่อ เขายกมือขึ้นกุมใบหน้าแล้วถูหนักๆ “...จะทำยังไงดี ผมจะทำยังไง ถึงจะได้พบกับคุณอีกครั้ง” จากนั้นจึงล้มตัวลงนอนอย่างอ่อนแรง
แสงอบอุ่นจากดวงอาทิตย์สาดส่องเข้ามาภายในห้อง เสียงฝีเท้าของห้องที่อยู่ข้างๆ กันดังตึงๆ ทุกคนต่างอยู่ในช่วงรีบเร่ง เพื่อเตรียมตัวเดินทางไปโรงเรียน ไปมหาวิทยาลัย หรือไปทำงาน
เร็นลืมตาขึ้นช้าๆ ภายในห้องอันคุ้นตา เขายันตัวขึ้นนั่ง... อยากให้ความผิดพลาดเมื่อคืนเป็นเพียงความฝัน ภายในชั่วพริบตา ชีวิตของเขาก็เปลี่ยนแปลงรวดเร็วเสียจนปรับตัวไม่ทัน ทั้งๆ ที่เมื่อไม่กี่ชั่วโมงที่ผ่านมา เขายังโอบกอดร่างกายที่เปลือยเปล่าของเจ้านายไว้ในอ้อมแขนนี้อยู่เลย
“จริงสิ แม่...” เด็กหนุ่มลุกขึ้นพรวดแล้วปราดเข้าไปในห้องอาบน้ำ เขาเปลี่ยนใส่เสื้อยืดกับกางเกงยีนส์ จากนั้นจึงตรงไปยังโรงพยาบาลซึ่งเป็นที่รักษาตัวของมารดา
ฮานาโกะยังคงพักอยู่ในห้องคนไข้พิเศษเช่นเดิม พอได้เห็นหน้าลูกชาย เธอก็ร้องไห้ฟูมฟาย โอบกอดเขาด้วยความคิดถึง “ลูกรักของแม่”
“แม่สบายดีนะครับ” เร็นโอบเธอตอบ “ผ่าตัดเจ็บมั้ย”
“ไม่รู้สึกอะไรเลย สบายมาก แล้วก็นะทั้งหมอ ทั้งพยาบาลผลัดเวียนกันเข้ามาดูแลตลอดวันเลยล่ะ นี่คุณหมอว่าอาทิตย์หน้าก็กลับบ้านได้แล้ว”
“ดีจังครับ” ร่างสูงยิ้มบาง ใจชื้นขึ้นเล็กน้อย ที่อย่างน้อยมารดาของเขาก็มีอาการดีขึ้นมาก ก่อนจะนั่งลงบนเก้าอี้ข้างเตียงนอนอย่างอ่อนแรง
มารดาลูบศีรษะลูกชายอย่างอ่อนโยน เธอสังเกตเห็นว่าลูกชายดูเปลี่ยนไป ใบหน้าหล่อเหลามีเค้าโครงของความเศร้าหมอง และดูสงบ เป็นผู้ใหญ่มากขึ้น “แม่ดีใจที่เร็นแข็งแรงดี บนแท่นเขาคงดูแลดีสินะ เร็นดูมีเนื้อมีหนังขึ้นบ้าง แม่เป็นห่วงแทบแย่ กลัวเร็นจะทำงานหนัก”
“......”
“มีอะไรรึลูก” เธอเชยคางลูกชายขึ้น “...เร็นมีปัญหาอะไรรึเปล่า”
เด็กหนุ่มเสตาหลบ แล้วยกสองมือขึ้นประสานกันไว้ตรงหน้า “ช่วงที่ไปทำงาน... ผม... ได้พบกับคนที่อยากพบมานาน... ได้พบเขาอีกครั้งเหมือนฝันเลยล่ะครับ ช่วงเวลาที่ได้อยู่ใกล้ชิดกัน ผมมีความสุขมากๆ เขาคอยช่วยเหลือผมทุกอย่าง... เป็นเหมือนกับเทวดาของผมเลยล่ะครับ” เขาถอนหายใจหนักๆ “...แต่ว่า... ต่อจากนี้ไปเราคงจะไม่ได้พบกันอีกแล้ว”
มารดาหัวเราะเบาๆ อย่างรู้สึกเอ็นดู “ทำไมล่ะ เร็นไม่รู้จักชื่อเขาเหรอลูก”
“รู้ครับ”
“ถ้ารู้ ยังไงก็น่าจะตามหาเขาได้นี่... อยู่บนแผ่นดินเดียวกัน เขาจะไปซ่อนตัวที่ไหนได้”
เร็นสบสายตากับมารดา “นั่นสินะครับ”
“ใครกันนะ ทำให้เร็นของแม่เพ้อหาได้ขนาดนี้” เธอขยิบตาให้ลูกชาย “...แล้วต้องพามาให้แม่ดูตัวด้วยนะ”
ร่างสูงหัวเราะฝืดๆ เจ็บจุกอยู่ในอกเมื่อนึกถึงเรื่องของเขากับเจ้านาย ความหวังที่ดูจะริบหรี่ “.....”
มารดาเคลื่อนมือมาบีบมือของเด็กหนุ่ม “...ขอบใจนะลูก ที่อดทนลำบากเพื่อแม่ขนาดนี้”
“ไม่ได้ลำบากอะไรสักหน่อยครับ” เด็กหนุ่มยิ้มบาง “แล้วอีกอย่าง... ถ้าไม่ใช่เพราะแม่ ผมก็คงไม่ได้พบกับเขา” มือหยาบกุมมือของมารดาตอบ “แต่ว่า ผม... ไม่รู้จะทำยังไงต่อไปดี”
“เขารักเร็นรึเปล่าล่ะลูก”
...รักมั้ย... “ผมไม่รู้...”
“อ่าว... ใครจะรู้ดีเท่าตัวเราเองกันล่ะ... แล้วเร็นล่ะ รักเขาแน่แล้วรึเปล่า”
“รักครับ” เด็กหนุ่มก้มหน้าหลุบตาต่ำ “ผมเคยพบเขาครั้งแรกเมื่อตอนที่อยู่ไฮสคูล”
“แล้วเขาก็จำเร็นได้ใช่มั้ย... ถ้างั้นก็คงจะมีใจให้บ้างละมั้ง” มารดาครุ่นคิดไปกับลูกชายด้วย
“ถ้าเป็นอย่างนั้นก็ดีสิครับ”
ฮานาโกะบีบมือลูกชายเบาๆ “คนเราน่ะนะ ถ้าไม่สนใจ ก็คงไม่คิดจะจดจำหรอก”
นั่นสินะ... เหมือนตัวเขาที่เฝ้ารอคอยวันที่จะได้พบกันอีกครั้งมาตลอด แล้วเมื่อได้พบกัน ก็ตอกย้ำให้มั่นใจว่ายังไงเขาก็คงไม่มีวันลบชายหนุ่มออกไปจากหัวใจได้แน่ แล้วเจ้านายล่ะ... ที่เลือกซื้อตัวเขา ช่วยเหลือเขาสารพัดนี่ ก็เพราะยังลืมไม่ลงเหมือนกันไม่ใช่เหรอ เจ้านายจะยอมมีความสัมพันธ์ทางร่างกายกับเขา แม้จะเป็นครั้งแรก ทั้งๆ ที่ไม่ได้นึกชอบเขาเลยสักนิดรึไงกัน เมื่อคิดได้เช่นนั้น ประกอบกับย้อนนึกไปถึงการกระทำของอีกฝ่าย เด็กหนุ่มก็เริ่มมีกำลังใจขึ้น
“อย่ายอมแพ้เหมือนแม่นะเร็น ถ้ารักแล้ว ต้องสู้ให้ถึงที่สุด”
เด็กหนุ่มยิ้มบาง รอยยิ้มของเขาเศร้าสร้อย “แต่เขากับผม... เราต่างกันมาก คงจะยากสำหรับเขา ที่จะเชื่อใจคนอย่างผม”
“ก็พยายามสิลูก พิสูจน์ตัวเอง พิสูจน์ให้เขาเห็น...”
เร็นไม่ได้ตอบอะไร เขาผ่อนลมหายใจออกยาวแล้วชวนมารดาเปลี่ยนเรื่องคุย จนถึงเวลาเที่ยงที่มารดาต้องรับประทานอาหารและพักผ่อน เขาจึงบอกลา จากนั้นจึงเดินออกจากโรงพยาบาลไปยังโบสถ์ที่อยู่ใกล้ๆ กัน สองขาพาเจ้าของก้าวเข้าไปในตัวโบสถ์ พอรู้สึกตัวอีกที ก็ไปยืนอยู่หน้าภาพวาดเทวดาภาพเดิมซะแล้ว
เด็กหนุ่มจ้องมองดวงตาสีเขียวใส กับรอยยิ้มน่ารักของเทวดาในรูปภาพ พลางเอื้อมมือไปสัมผัส “...ผมขอโทษ”
“จะมาสารภาพบาปรึลูก... ก่อนอื่นต้องแบ๊บติสก่อนนะ” บาทหลวงหัวเราะเบาๆ
“อ้าว คุณพ่อ” ร่างสูงค้อมศีรษะลงต่ำ “สวัสดีครับ”
“ไม่เห็นหน้านานเลยนะ แล้วนี่... กินอะไรมารึยังล่ะ”
“ยังครับ”
“มาๆ งั้นมากินกับพ่อสิ”
“ขอบคุณครับ...” เร็นยิ้ม “คุณพ่อ... ถ้าไม่สารภาพบาป เราพอจะคุยกันเฉยๆ ได้มั้ยครับ”
บาทหลวงยิ้มอย่างใจดี “หืม... ได้สิ เอาไว้หลังกินข้าวละกันนะ”
หลังจากรับประทานอาหารเสร็จแล้ว บาทหลวงก็เดินนำเด็กหนุ่มเข้าไปในห้องทำงานของตน “มีอะไรรึลูก”
“คุณพ่อครับ... ผมผิดสัญญากับคนที่ผมรัก แต่ผมไม่ได้หลอกลวงหรือขี้โกงอะไรเขานะครับ เขาบอกกับผมว่า ความรักไม่อาจคงอยู่ได้หากปราศจากความไว้ใจ แล้วก็โกรธผมจนบอกว่าไม่อยากพบหน้าผมอีก”
“เรื่องของหัวใจนี่เอง” บาทหลวงอมยิ้ม “นอกใจเขารึ”
“เปล่าครับ... คือว่า เขาไม่ต้องการให้ผมรู้ว่าเขาเป็นใคร แต่ผม... ก็สืบดูจนรู้”
“แล้วสืบทำไมล่ะ”
“เพราะผมอยากรู้ว่าคนที่ผมรักเป็นใคร ใช่คนที่ผมเคยพบมาก่อนแล้วรอคอยเขาอยู่รึเปล่า แล้วผมก็คิดว่าผมจำเป็นที่จะต้องรู้ ถ้าหากวันใดเขาหายตัวไป ผมจะได้ตามหาเขาได้ โดยไม่ต้องรอคอยแบบลมๆ แล้งๆ อีก”
บาทหลวงยิ้ม “ก็มีคำตอบให้ตัวเองแล้วนี่ลูก”
เร็นชะงัก “.......”
“ความรักไม่อาจคงอยู่ได้หากปราศจากความไว้ใจ... ถ้าอยากได้ความรักจากเขากลับคืนมา ก็ทำให้เขาไว้ใจเราอีกครั้งสิลูก”
“...ทำให้เขาไว้ใจอีกครั้ง” เด็กหนุ่มทวนคำพูดของบาทหลวง “แล้วผมจะทำยังไงดี”
“ตัวลูกเองรู้ดีที่สุด ลองกลับไปนึกทบทวนดู การแก้ปัญหาต้องใช้สติให้มากๆ”
“ขอบคุณครับ” ร่างสูงลุกขึ้นค้อมศีรษะ
“ถ้ามีปัญหาอะไร ก็แวะมาได้เสมอ ขอให้พระเจ้าอวยพรนะลูกนะ”
“ถ้าคุณพ่อต้องการให้ผมช่วยอะไร ก็เรียกใช้ได้เสมอนะครับ” เร็นกล่าวอำลา จากนั้นจึงกลับเข้าไปในตัวโบสถ์ ไปยืนอยู่ที่หน้าภาพวาดของเทวดาอีกครั้ง
“...ผมรู้ว่าคุณกำลังจะแต่งงาน แต่ว่า... อย่างน้อยการที่ผมจะรักคุณ ก็ไม่ใช่ความผิดอะไรไม่ใช่เหรอ... ผมจะพิสูจน์ให้คุณเห็นว่าผมเป็นคนที่คุณไว้ใจได้”
อย่างแรกที่เขาต้องทำ คือค้นหาที่ตั้งของบริษัทเจ้านาย เขาจะต้องเอาเงินที่เพิ่งได้มาไปคืน แล้วก็จะตั้งใจทำงานหาเงินมาใช้คืนให้ได้ทั้งหมด
“...คุณอาจจะไม่เชื่อ แต่ผมขอบอกคุณไว้ตรงนี้เลย... ผมไม่คิดขายตัวแบบนี้อีกไม่ว่าต่อไปต้องลำบากแค่ไหน ผมจะเรียนจนจบมหาลัย แล้วจะต้องเป็นนักเบสบอลอาชีพให้ได้...”
“...ผมตั้งใจว่าจะไม่คบกับใครโดยปราศจากความรักอีก แล้วถ้าผมรักใคร ผมก็จะซื่อสัตย์แต่กับเขาคนเดียวเท่านั้น”...คำพูดที่เคยบอกกับเจ้านาย เขาจะพิสูจน์ให้อีกฝ่ายได้เห็น เขาจะต้องทำให้เจ้านายเชื่อมั่นในตัวเขาอีกครั้ง
เร็นรีบกลับไปที่บ้าน เขารื้อหาเบอร์โทรศัพท์ของกัปตันทีมเบสบอลสมัยที่อยู่ไฮสคูลในหนังสือรุ่นแล้วรีบโทรไปสอบถามเรื่องของบริษัทที่เป็นสปอนเซอร์ให้กับทีมของโรงเรียน จากนั้นก็เสิร์ชหาที่ตั้งของบริษัทจากอินเทอร์เน็ต เมื่อได้ข้อมูลครบตามต้องการแล้ว เขาจึงจัดการโทรศัพท์ไปที่บริษัทแล้วขอให้ต่อสายหา ดาริล รอส หากโชคไม่ดีนักเพราะอีกฝ่ายไม่รับสายจากใคร และคนที่รับสายแทนก็คือเลขา ซึ่งเร็นจำเสียงได้อย่างแม่นยำ เขาจึงรีบวางสายไป
เด็กหนุ่มเคลื่อนสายตาไปมองดูเวลาที่ปรากฏบนจอโทรศัพท์พลางขมวดคิ้ว หรือเขาควรจะไปแอบดูลาดเลาแถวๆ บริษัท เพราะไหนๆ ก็ตั้งใจว่าจะออกไปหาลุงมาซะเพื่อขอกลับไปทำงานเช่นเดิมอยู่แล้วด้วย
เมื่อตัดสินใจได้แล้วก็รีบออกจากห้องพัก นั่งรถไฟอีกสองสามต่อ จนถึงบริเวณใกล้ๆ กับสำนักงานใหญ่ของเครือบริษัทรอสจึงลงเดินต่อ สายตาของร่างสูงสอดส่าย กวาดมองไปโดยรอบตลอดทางที่เดินไปยังตึกสูงใหญ่ พอไปถึงทางด้านหน้าตึกซึ่งมียามรักษาการณ์ประจำอยู่ เขาก็หยุดสังเกตการณ์อยู่ห่างๆ
การเดินทางผ่านเข้าออกตึกนั้นดูไม่ลำบากนัก แต่เมื่อเข้าไปแล้วนี่สิ เฉพาะพนักงานที่มีบัตรผ่านเท่านั้นจึงจะผ่านต่อไปยังลิฟต์โดยสารได้ เพราะงั้นคงจะยากสำหรับเขาอยู่สักหน่อย
เร็นนั่งมองดูอยู่สักพัก หากยังไม่ทันถึงเวลาเลิกงาน เขาก็สังเกตเห็นว่ามีรถสีดำคันหรูเคลื่อนเข้าไปจอดด้านหน้าบริษัท ไม่นานคนที่เขารอคอยก็เดินออกมาพร้อมกับเลขาส่วนตัว เด็กหนุ่มลุกขึ้นพรวด ก้าวขาจะวิ่งออกไปแต่ก็หยุดชะงัก ถ้าหากเขาทำอะไรผลีผลามไป คงจะไม่ดีแน่ เพราะถ้าครั้งนี้พลาด เจ้านายจะยิ่งระวังตัวแจ โอกาสที่จะได้ปรับความเข้าใจกันคงจะยากมากขึ้นไปอีก
การเข้าถึงตัว ดาริล รอส คงจะยากเกินไป แต่ถ้า... ดวงตาสีนิลเคลื่อนไปทางชายหนุ่มที่ก้าวเข้าไปนั่งบนเบาะหลังด้วยกันกับเจ้านาย... ถ้าเป็นเลขาคนนั้น อาจจะพอมีโอกาส
...แต่จะทำยังไงได้บ้างล่ะ
นัยน์ตาสีเข้มจ้องมองรถคันหรูเคลื่อนออกไปช้าๆ พลางถอนหายใจ เขารอจนรถคันนั้นลับตาไป จึงเดินกลับไปยังสถานีรถไฟแล้วเดินทางต่อไปหาลุงมาซะ
“ไอ้เร็น!” ลุงมาซะเบิกตากว้าง แล้วถลาออกมาต้อนรับ “เป็นไงวะไอ้หนุ่ม! แม่เอ็งเป็นไงบ้าง!”
“แม่อาการดีขึ้นแล้วครับ จะออกจากโรงพยาบาลอาทิตย์หน้าแล้ว ผมเลยกลับมาของานทำจากลุง”
“ได้สิ ได้ๆ ลุงก็ไม่ได้จ้างใครเพิ่มหรอก เข้ามาก่อนสิ”
“ผมเริ่มทำงานวันนี้เลยได้มั้ย”
“ได้สิ โชกับเคนจิกำลังวุ่นอยู่ในครัวน่ะ เอ็งไม่อยู่นี่ ลูกค้าสาวๆ หายไปโหม้ดดด” ลุงมาซะบ่น
เมื่อโชกับเคนจิเห็นเร็นเข้าก็ยิ้มรับ “ไอ้เร็น! พี่นึกว่าเอ็งมีคนเลี้ยงดูไม่มาทำงานอีกแล้วววว”
เร็นหัวเราะแหะแหะ “ใครเขาจะมารับเลี้ยงผมกัน ตัวโต กินจุขนาดนี้”
“แล้วเอ็งหายไปไหนมาวะ แม่เอ็งผ่าตัดรึยัง”
“ผ่าตัดแล้วครับพี่ พอดีมีคนให้กู้เงินได้ นี่ผมก็ต้องกลับมาทำงานหาเงินใช้หนี้น่ะครับ”
“อืออ เอ็งโชคดีนะ ไอ้น้องชาย”
พวกเขาพูดคุยกันได้ไม่นานเท่าไหร่ก็ถึงเวลาเลิกงานของคนทั่วไป ลูกค้าทยอยกันเข้ามาจนแน่นร้าน หลายคนที่ทักเร็นว่าไม่ได้เห็นหน้ากันนาน เขาดูจะเป็นที่รักของขาประจำร้านอยู่ไม่น้อย
“เฮ้ เร็น! เมื่อตอนบ่ายเห็นที่รปปงหงิ ว่าจะเรียกอยู่แล้วเชียว ไปทำอะไรแถวนั้นล่ะ” ชายวัยกลางคนคนหนึ่งที่นั่งโต๊ะตรงเคาน์เตอร์พูดขึ้น เขาเป็นขาประจำคนหนึ่งของร้าน
“เห็นผมที่รปปงหงิ... ทำไมคุณอาถึงเห็นได้ล่ะครับ”
มาซะที่ยืนอยู่ด้านหลังเคาน์เตอร์พอดีพูดขึ้นบ้าง “คุณทานากะมีร้านดอกไม้อยู่แถวนั้นใช่มั้ยนะ”
“ใช่แล้ว”
เร็นเลิกคิ้วขึ้นพลางโน้มใบหน้าเข้าไปหา “...คุณอา... รู้จักตึกของบริษัทรอส... มั้ยครับ”
ชายวัยกลางคนยกแก้วสาเกขึ้นจิบพร้อมพยักหน้าหงึกหงัก “รู้ซี่ บริษัทใหญ่ขนาดนั้น ไม่รู้ก็แย่แล้ว... อีกอย่างมีคนในบริษัทนั้นมาสั่งดอกไม้ที่ร้านอาเป็นประจำ เลขาของลูกเจ้าของที่ผมทองหล่อๆ น่ะ เขามารับดอกไม้ที่ร้านกับมือเลยนะ”
เด็กหนุ่มเบิกตาโพลง “จริงเหรอครับ! คุณอา! อย่าหลอกผมนะ!”
“เฮ่ย! จะหลอกทำไมล่ะว้า”
เร็นหันมองไปรอบๆ รอจนมาซะหันไปจัดการกับอาหารจึงย่อตัวลงนั่งข้างๆ ลูกค้าคนนั้น “คุณอา เลขาคนที่ว่า เขาชื่ออะไรครับ แล้วเขาไปที่ร้านคุณอาเมื่อไหร่บ้าง”
“มีอะไรกับเขาเหรอ”
“เดี๋ยวผมเลี้ยงสาเกอีกแก้ว คุณอาบอกผมหน่อยนะ นะครับ”
ชายวัยกลางคนยิ้มกว้าง “เขาชื่อมิยะ มิยะ คาซึกิ เขาจะมาที่ร้านวันพฤหัสตอนหลังเลิกงาน มารับช่อดอกลิลลี่สีขาวให้เจ้านายเขา เห็นว่าเพราะจะแวะไปโบสถ์ทุกวันศุกร์เช้าน่ะ”
เด็กหนุ่มยิ้มกว้าง “ขอบคุณคุณอามากครับ ร้านคุณอาอยู่ตรงไหน ชื่ออะไร ช่วยบอกผมทีสิครับ”
“ถ้าบอกแล้วจะไปช่วยงานที่ร้านบ้างได้มั้ยล่ะ อาอยากได้ผู้ช่วยหน้าตาดีๆ เอาไว้เรียกสาวๆ บ้าง ส่วนค่าจ้างอาจะให้เป็นรายชั่วโมงดีมั้ย”
“ดีเลยครับคุณอา ผมว่าจะไปหางานเพิ่มพอดี ผมเริ่มงานที่ร้านนี้ห้าโมงเย็น คุณอาอยากให้ผมไปทำเวลาไหนบ้างก็บอกมาเลยครับ”
หลังจากตกลงกันได้ ก็สรุปว่าเร็นจะไปทำงานพิเศษที่ร้านดอกไม้เพิ่มอีกอาทิตย์ละสองวัน วันละสองชั่วโมง เงินเดือนที่ได้ก็ถือว่าดีเลยทีเดียว แต่เด็กหนุ่มก็คิดว่าคงจะต้องหางานเพิ่มอีก เพราะตอนนี้ยังอยู่ในช่วงปิดเทอม เขาควรใช้เวลาทำงานพิเศษให้ได้เงินมากที่สุดเท่าที่จะทำได้
เร็นหางานพิเศษไปพลาง จนกระทั่งถึงวันพฤหัสที่รอคอย ก่อนถึงเวลาเด็กหนุ่มจึงเข้าไปช่วยงานเจ้าของร้าน เวลาที่มีคนมาสั่งช่อดอกไม้ เขาก็จะเข้าไปช่วยถือดอกไม้ไว้ในขณะที่พนักงานในร้านจัดช่อ
ระหว่างนั้นมีผู้ชายคนหนึ่งเข้ามาภายในร้านกับเพื่อน ผู้ชายคนนั้นท่าทางเขินอาย แต่พวกเพื่อนก็ดันหลังแรงๆ ไปยังตรงหน้าชั้นวางแจกันที่มีดอกกุหลาบตั้งโชว์ไว้หลากสี เร็นก้าวเข้าไปทักทาย “สวัสดีครับ จะรับดอกกุหลาบเหรอครับ จัดช่อมั้ยครับ”
“ไอ้หมอนี่จะเอาไปจีบสาว ช่วยจัดกุหลาบแดงให้มันสักช่อครับ”
“เฮ้ย! จะดีเหรอ จู่ๆ ก็จะเอากุหลาบแดงไปให้เลย!”
“เขาจะได้รู้เจตนามึงแต่แรกไง ไอ้งี่เง่านี่!”
เร็นยิ้มมุมปาก พลางเอื้อมมือไปยังแจกันดอกกุหลาบสีแดง “จะรับกี่ดอกดีครับ”
“สอง... เอ๊ย สามละกันครับ”
“ครับ จะรับดอกอื่นแซมด้วยมั้ยครับ”
“เอา...”
“ไม่ครับ เอาแต่กุหลาบแดงครับ!” เพื่อนที่มาด้วยกันชิงตอบ แล้วหันไปตบศีรษะชายหนุ่มดังป้าบ “จะบอกรักสาวทั้งที เอาห้าดอกเลย อย่างกน่ะ!”
เร็นขมวดคิ้ว “จะบอกรัก? ต้องใช้กุหลาบสีแดงเหรอครับ”
“อ้าว! ไอ้น้อง! ทำงานร้านดอกไม้ไม่รู้เรอะ!”
“อา... ขอโทษครับ พอดีผมเพิ่งมาทำงาน”
ลูกค้าโบกมือไปมา “ไอ้น้อง! หน้าตาแบบนึ้คงไม่เคยต้องง้อผู้หญิงหรอกว่ะ”
“.....” เร็นก้มลงมองดอกกุหลาบที่เขาหยิบออกมาจากในแจกัน พลางนึกไปถึงเมื่อตอนที่ยังอยู่ด้วยกันกับเจ้านาย เขาฝากแม่บ้านซื้อช่อดอกกุหลาบสีแดงขนาดเล็กให้เจ้านายเช่นกัน โดยที่ไม่ได้รู้ความหมายอะไรเลย
“...ผมเป็นคนเลือกดอกไม้เองนะครับ!”
“กุหลาบสีแดงนี่น่ะเหรอ ...ทำไมถึงเลือกกุหลาบสีแดงล่ะ”อา... เพราะอย่างนี้นี่เอง ที่เสียงของเจ้านายในตอนนั้นไม่ได้แสดงถึงความดีใจอะไร เพราะคำตอบที่ไม่ได้เรื่องของเขาสินะ แต่ก็เพราะตอนนั้นเขาไม่รู้จริงๆ นี่นา แค่หวังจะทำอะไรให้เจ้านายมีความสุขบ้าง สักเล็กน้อยก็ยังดี
ร่างสูงรีบนำดอกไม้ไปส่งให้พนักงานในร้านจัดช่อ เขายืนอยู่ข้างๆ เธอแล้วถาม “พี่ครับ... ปกติแล้ว กุหลาบแดงใช้บอกรัก แล้วดอกลิลลี่สีชมพูมีความหมายว่ายังไงเหรอครับ”
หญิงสาวเงยหน้าแล้วเลิกคิ้วขึ้น พร้อมกับยิ้มมุมปาก “ใครให้มาล่ะ”
เร็นหัวเราะ “ผมอยากรู้เฉยๆ”
“อืม... ความรักที่ดีที่สุดที่ได้พบเจอ ที่สุดของหัวใจที่ตามหาจนพบเจอ... อะไรทำนองนี้น่ะล่ะ โรแมนติกใช่มั้ยล่ะ”
เด็กหนุ่มโน้มใบหน้าเข้าไปฟังอย่างสนใจ พอได้รู้ความหมายหัวใจก็เต้นแรง อดตั้งคำถามไม่ได้ว่า... แล้วเจ้านายล่ะ ให้ดอกไม้นั้นกับเขาด้วยความหมายเดียวกันรึเปล่า
ไม่ว่าจะใช่หรือไม่ใช่ เร็นก็คิดเข้าข้างตัวเองไปแล้ว ซึ่งทำให้เขามีใจฮึกเหิมมากขึ้นไปอีกนิด
เมื่อใกล้ถึงเวลาเลิกงานของบริษัท ร่างสูงออกไปตั้งหลักรอที่ด้านนอกร้านดอกไม้เพื่อไม่ให้เจ้าของร้านเดือดร้อนจากการกระทำของตน เด็กหนุ่มใส่หมวกแก๊ปพรางใบหน้า ขณะที่กวาดสายตามองไปรอบๆ อย่างรอคอย
แล้วก็เป็นอย่างที่เจ้าของร้านว่าไว้ ไม่นานเลขาหนุ่มของดาริลก็มาถึงที่ร้านดอกไม้แห่งนี้ ร่างสูงหัวใจเต้นระส่ำ เขายืนรออีกฝ่ายทางด้านนอกร้านด้วยใจจดจ่อ
คาซึกิก้าวออกมาจากร้านพร้อมช่อดอกลิลลี่สีขาวในมือ เขาหยุดชะงักเมื่อมีใครบางคนก้าวเข้ามาขวาง แต่พอเงยหน้าขึ้นสบสายตากับเด็กหนุ่ม สีหน้าก็เปลี่ยนเป็นเคร่งขรึมทันที “มีอะไร”
เร็นไม่หลบสายตาดุๆ นั่น เขาพูดเสียงเข้มเช่นกัน “ผมมีเรื่องจะต้องคุยกับคุณสักหน่อย ผมไม่ได้ขู่นะ แต่จะให้ผมพูดตรงนี้หรือจะไปคุยกันตามลำพัง”
คาซึกิขมวดคิ้ว เนื่องจากตัวเขาออกมาตามลำพังคนเดียว แล้วเร็นก็ตัวใหญ่ไม่ใช่น้อยเสียด้วย เรื่องกำลังยังไงก็แพ้แน่ๆ ประกอบกับไม่อยากให้กระโตกกระตากเป็นที่สนใจ เขาจึงพ่นลมหายใจออกมาหนักๆ “ไปร้านกาแฟตรงนั้นแล้วกัน”
เลขาหนุ่มเดินนำเข้าไปภายในร้าน ไปที่มุมหลบตาคน เขาสั่งกาแฟให้ตนเองกับเร็น แล้วพูดขึ้นอย่างไม่รอช้า “มีอะไรก็ว่ามา”
เร็นเปิดกระเป๋าเป้ หยิบซองสีน้ำตาลหนาขึ้นมาแล้ววางลงบนโต๊ะตรงหน้าคาซึกิ “ผมฝากคืนให้เจ้านายของคุณด้วย ส่วนที่เหลือ ผมจะทำงานมาใช้คืนให้”
เลขาหนุ่มเลิกคิ้วขึ้น “...คุณต้องการอะไรกันแน่”
“ผมอยากพบกับคุณดาริลอีกครั้ง” ร่างสูงพูดออกไปอย่างชัดเจน
“คุณคิมุระ!” คาซึกิเบิกตาโพลง เพราะไม่นึกว่าเด็กหนุ่มจะจำเจ้านายของตนได้ เขารู้เรื่องแค่สั้นๆ จากเจ้านายเพียงแค่ว่า ถูกเร็นมองเห็นหน้าเพราะไม่ระวังตัวให้ดี ไม่ทันคิดว่าเป็นคืนที่มีแสงสว่างจากจันทร์เพ็ญ ก็เลยยกเลิกสัญญา และเพื่อตัดปัญหาที่อาจจะตามมา จึงยกเงินส่วนที่ค้างอยู่ให้กับเร็นไป
“ผมสัญญาว่าจะคืนเงินให้ทั้งหมด แล้วก็ไม่บอกใครเด็ดขาด แต่ผมมีเรื่องสำคัญที่จะต้องคุยกับคุณดาริลให้รู้เรื่อง”
“...คุณ... จำชื่อได้ด้วยงั้นเหรอ”
“จำได้สิครับ ผมจำได้แม่น จำได้ด้วยว่าผมเคยพบกับคุณดาริลครั้งแรกเมื่อตอนอยู่ไฮสคูลปีหนึ่ง”
“นี่คุณ...” คาซึกิอ้าปากค้าง
“ผมหวังที่จะได้พบกับคุณดาริลอีกครั้งมาตลอด... คุณคงไม่อยากเชื่อว่าผมดีใจมากแค่ไหนที่คุณดาริลมาเยี่ยมผมที่โรงพยาบาล แล้วบอกว่าจะมาเยี่ยมผมอีก วันต่อมาน่ะ ผมรออยู่ทั้งวัน ถึงรุ่นพี่ที่ชมรมจะบอกว่าให้เจียมตัว คุณดาริลไม่มีทางมาเยี่ยมผมอีกครั้งแน่ๆ ผมก็ไม่เชื่อคำพูดของใคร จนกระทั่งคุณพยาบาลยกถุงขนมกับดอกไม้เข้ามาให้ตอนค่ำๆ ของวัน ผมถึงสำนึกได้... แล้วพยายามตัดใจ”
“แต่คุณคิมุระก็คบหาผู้หญิงมากมายหลังจากนั้น”
“ก็คุณจะให้ผมหวังลมๆ แล้งๆ รอให้เทวดาบนสวรรค์ร่วงลงมาบนดินเหรอครับ คุณรู้มั้ยว่ามันยาก มันทรมานแค่ไหน กับการพยายามลบใครสักคนออกไปจากหัวใจ”
“......” ใบหน้าของคาซึกิเคร่งเครียด เขาสอดมือเข้าไปในกระเป๋าเสื้อสูทแล้วเอนหลังพิงพนักเก้าอี้ จากนั้นจึงโน้มตัวกลับไปทางเด็กหนุ่มอีกครั้ง
“ผม... เป็นคนผิดเอง ผมทำผิดกฎ ผมเปิดผ้าม่านทั้งที่รู้ว่าเป็นคืนพระจันทร์เต็มดวง... แล้วยังคิดทำทุกวิถีทางให้ได้รู้ว่าคนที่ผมกอดจูบอยู่ทุกคืน คือคนคนเดียวกันกับคนที่ผมรอคอยมานาน” เร็นพูดเสียงสั่นเล็กน้อย หัวใจของเขาเจ็บปวดมากจนแทบบ้า ทรมานราวกับจะขาดใจ
“อะไรที่ทำให้คุณสงสัย นึกสงสัยตั้งแต่เมื่อไหร่”
“ตั้งแต่คืนที่สอง... ผมพบเส้นผมของคุณดาริล ทำให้ผมนึกถึงเรื่องในอดีตทันที ทั้งที่พยายามจะลืม... เมื่อตอนที่ได้พบกับคุณดาริลครั้งแรกนั่นน่ะ เขามักจะใส่เสื้อแจ็กเกตหนาๆ กับกางเกงยีนส์สีซีดมาที่โรงเรียน แล้วก็ใส่แว่นดำด้วย... แต่ผมเคยได้สบสายตากับเขาแค่สองครั้งเท่านั้น”
คาซึกิยิ้มมุมปาก น่าแปลกที่เขาค่อนข้างจะเชื่อคำพูดของเด็กหนุ่ม นั่นคงเป็นเพราะรายละเอียดที่เด็กหนุ่มใส่ใจจะจดจำตั้งแต่ครั้งแรกที่ได้พบกัน แล้วไม่ว่าจะมีเรื่องราวอะไรเกิดขึ้น ต้องห่างกันไกล เวลาผ่านไปนานแค่ไหน พวกเขาก็ยังกลับมาพบกันจนได้ แบบนี้ใช่ที่เขาเรียกกันว่า... พรหมลิขิตรึเปล่านะ
“คุณเลขาครับ ได้โปรด... ช่วยผมหน่อยเถอะนะครับ ผมอยากพบคุณดาริลจริงๆ”
เลขาหนุ่มปรับสีหน้าให้นิ่งเฉย ขณะถามคำถามไปเรื่อย “...เพื่ออะไร... จะพบไปทำไมกัน”
เร็นพูดด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำหนักแน่น “ผมรักคุณดาริล ผมต้องการขอโทษ อยากจะอธิบายให้เขาเข้าใจถึงเหตุผลที่ทำให้ผมตัดสินใจทำผิดสัญญา”
เลขาหนุ่มเลิกคิ้วขึ้นพลางหัวเราะ “คุณคิมุระ อยากตกถังข้าวสารมากเลยเหรอครับ แต่เสียใจด้วยนะ คุณดาริลกำลังจะแต่งงานในอีกไม่กี่เดือนนี้แล้ว”
“ผมรู้ แต่ผมก็ยังอยากจะบอกความรู้สึกของผมให้คุณดาริลรู้อยู่ดี”
“ตัดใจซะเถอะ”
“ไม่ครับ ถ้าคุณเลขาไม่ช่วย ผมก็จะหาวิธีอื่น” เด็กหนุ่มปฏิเสธเสียงแข็ง
คาซึกิคิดว่าเขาไม่ควรจะให้โอกาสกับเร็น เพราะยังไงซะ เจ้านายก็ต้องแต่งงาน ถ้ายิ่งรู้ว่าพวกเขาใจตรงกัน ก็จะยิ่งทำให้ตัดใจจากกันลำบาก แต่เขากลับไม่อาจตัดรอนหรือตอบปฏิเสธอีกฝ่ายได้ เพียงเพราะคิดว่า... เจ้านายคงจะดีใจและมีความสุขมาก หากได้ยินคำบอกรักจากคนที่รอคอย “......”
...เจ้านายที่น่าสงสารของเขา ตั้งแต่เล็กมาก็แทบไม่เคยได้สัมผัสกับความสุขเลย ไม่เคยได้ใช้ชีวิตอย่างเด็กคนอื่นๆ แถมยังต้องแบกรับความรับผิดชอบและหน้าที่ไว้มากมายยิ่งกว่าผู้ใหญ่บางคนเสียอีก ส่วนตัวเขา... คนที่ครั้งหนึ่งเคยใจร้ายกับเจ้านายมาแล้ว ภาพใบหน้าน่ารักที่แสดงถึงความผิดหวังและเจ็บปวดยังคงฝังลึกอยู่ในใจ หยดน้ำตาที่หลั่งไหลเปื้อนแก้มใสทั้งที่เจ้านายเป็นคนเข้มแข็ง เคยร้องไห้นับครั้งได้ แล้วแบบนี้ตัวเขายังจะกล้าตัดสินใจอะไรหักหาญน้ำใจอีกฝ่ายอีกอย่างงั้นหรือ
“จะให้ผมทำอะไรก็ได้เพื่อพิสูจน์ความจริงใจของผม... แต่ได้โปรด ขอโอกาสให้ผมพบคุณดาริลสักครั้งนะครับ” เร็นลุกขึ้นจากเก้าอี้แล้วคุกเข่า พร้อมค้อมศีรษะลงต่ำ “ได้โปรดเถอะครับ”
...ทำอะไรก็ได้งั้นเหรอ... เขาไม่อยากตัดสินใจผิดพลาดอีกแล้ว เพราะงั้น ก็ปล่อยให้เป็นเรื่องของโชคชะตาก็แล้วกัน “...ถ้าภายในสามเดือนนี้ คุณคิมุระ...” คาซึกิผ่อนลมหายใจออกยาว “...สามารถลงแข่งเป็นตัวจริงในลีคมหาวิทยาลัยในโตเกียวภาคฤดูใบไม้ร่วง แล้วสามารถทำให้เฮเซชนะได้ละก็ ผมจะช่วยให้คุณได้พบกับคุณดาริล”
เร็นประสานสายตากับอีกฝ่าย สองมือกำเข้าหากันแน่น “ตกลงครับ”
“ส่วนเงินนี่... เอาไว้คืนด้วยตัวเองก็แล้วกัน” คาซึกิลุกขึ้นแล้วผงกศีรษะเล็กน้อย “หวังว่าคุณคิมุระจะทำได้ทุกอย่างอย่างที่พูดไว้จริงๆ”
เด็กหนุ่มยืนขึ้น “ขอบคุณที่ให้โอกาสครับ ผมจะพยายามให้มากที่สุด”
TBC~*พาน้องเร็นมาส่งแล้วค่ะ
ถึงเวลาที่น้องเร็นจะต้องเป็นฝ่ายวิ่งตามเจ้านายบ้างแล้วววว~
แล้วเจ้านายเคยไปวิ่งตามน้องเร็นตอนไหน? เดี๋ยวฮัสกี้ต่อตอนหน้านะค้า
ขอบคุณทุกคนที่แวะมาอ่านค่ะ 