@@รักเกิดในอู่ซ่อมรถ (บารมี&พิพัฒน์) ตอน เหตุการณ์ปกติ
บารมีไม่สามารถนิยามความสัมพันธ์ที่เป็นอยู่ในตอนนี้ได้ ข้ามขั้นเลยเถิดกับพิพัฒน์ไปไกล
บังคับฝืนใจมาอยู่ห้องเดียวกัน
มีความสัมพันธ์ทางกายกันอย่างร้อนแรง มีความสัมพันธ์ทางใจที่อธิบายเป็นคำพูดไม่ได้
แต่.............
ไม่ได้นิยามให้ชัดเจนว่าในเวลานี้เราเป็นอะไรกัน
อยู่ด้วยกันอย่างปกติ ใช้ชีวิตด้วยกันตามปกติ
และเมื่ออยากจะทำอย่างอื่นที่ไม่ใช่การมีความสัมพันธ์ทางกายเพียงอย่างเดียว และไม่ใช่แค่การพูดคุยกันแบบที่เคย ๆ ต้องทำยังไง
พิพัฒน์นั่งกอดหมอนอยู่ที่โซฟา
ตามองจ้องที่รายการโทรทัศน์ ดูรายการที่บารมีดู และบารมีก็นั่งในท่าสบาย ๆ อยู่ที่โซฟาอีกตัวห่างออกไป
กิจวัตรประจำวันหลังจากกินข้าวเย็นเสร็จเรียบร้อย คือการนั่งดูรายการโทรทัศน์ด้วยกัน
อาจจะดูข่าว ภาพยนตร์ หรือรายการต่าง ๆ และเมื่อถึงเวลาที่ต่างฝ่ายต่างง่วงก็เข้านอนพร้อม ๆ กัน
แต่บางครั้ง........บารมีก็รู้สึกถึงความห่างเหินระหว่างกัน
มีความสัมพันธ์เกินเลยกันไปไกล แต่ทำไมท่าทีบางอย่างถึงดูเย็นชาต่อกัน บางครั้งบารมีก็ไม่เข้าใจ
เหลือบสายตามองหน้าพิพัฒน์อยู่หลายครั้ง
ถ้า...............จะลองเข้าใกล้
ถ้าจะลองเข้าไปนั่งใกล้ ๆ กันสักนิด หรือหยอกล้อกันแบบคนรักบ้าง มันจะเป็นยังไง
ถ้า........จะทำอะไรอย่างที่อยากจะทำบ้างจะเป็นยังไง
ได้แต่คิด แต่ไม่เคยลงมือทำ
บารมีลอบถอนใจยาว ๆ เล็กน้อย ก่อนจะเมินมองไปที่รายการโทรทัศน์เหมือนเช่นเคย และพิพัฒน์ที่นั่งห่างออกไปก็แอบลอบมองปฏิกิริยาของบารมีที่ดูแตกต่างออกไปจากทุกวัน
เหมือนอยากจะทำอะไรบางอย่าง แต่ไม่สามารถทำได้ อะไรบางอย่างที่พิพัฒน์ไม่รู้ว่าคืออะไร
“นอนยัง”
บารมีเอ่ยถามคนที่นั่งกอดหมอนอยู่ห่างออกไป และพิพัฒน์ก็ส่ายหน้า
“ดูนี่จบก่อน”
พิพัฒน์ไม่ได้มองหน้าคนถาม แต่ตั้งใจชมรายการสารคดีชีวิตสัตว์อย่างตั้งใจ และบารมีก็ปิดปากหาวนอนและลุกขึ้นเดินไปส่งรีโมทโทรทัศน์ให้พิพัฒน์ และพิพัฒน์ก็รับมาถือเอาไว้และเหลือบสายตาขึ้นมองหน้าของบารมี
“อะไร มองหน้ากูทำไม”
เอ่ยถามด้วยความสงสัย แต่พิพัฒน์ส่ายหน้าไม่ได้ตอบอะไรออกมา บารมีก็เลยเตรียมก้าวขาจะเดินหนีขึ้นห้องแต่พิพัฒน์ก็รีบคว้าข้อมือของบารมีเอาไว้
“อะไรของมึง กูจะไปนอนแล้ว”
แกล้งทำเสียงสูง และแสดงท่าทางหงุดหงิดใส่เล็กน้อย และพิพัฒน์ก็เงยหน้ามองและคราวนี้เปลี่ยนเป็นกอดที่เอวของบารมีและซบหน้าลงที่หน้าท้องแกร่งของคนที่ยืนอยู่ตรงหน้า
“อะไรของมึงนักหนาวะ”
บารมีเปลี่ยนใจลงมานั่งข้าง ๆ พิพัฒน์แล้ว และพิพัฒน์ก็ยิ้มออกมาบาง ๆ เมื่อคนที่กำลังจะขึ้นนอนยอมลงมานั่งอยู่บนโซฟาตัวเดียวกัน
“กูง่วงมึงเข้าใจมั้ย”
พิพัฒน์พยักหน้ารับว่าเข้าใจ และวางหมอนอิงลงบนขาตัวเองและบารมีก็เงยหน้าขึ้น ถอนหายใจหนัก ๆ และก้มกลับลงมามองหน้าของพิพัฒน์
“มึงนี่มันเรื่องมากเรื่องเยอะจริง ๆ เลยว่ะพัฒน์”
บารมีบ่นพึมพำเสียงเบา แต่ก็ค่อยๆ เอนกายลงนอนโดยใช้หน้าขาของพิพัฒน์แทนหมอนหนุน
แม้จะเป็นเรื่องเล็ก ๆ น้อยๆ แต่น่าแปลกที่การทำแบบนั้นมันทำให้หัวใจรู้สึกชุ่มชื่นและฟูฟ่องขึ้นอย่างน่าประหลาด
การปฏิบัติต่อกันด้วยวิธีการเรียบง่าย แต่เต็มไปด้วยความรู้สึกมากมาย
แค่เพียงได้ใกล้ชิดและสัมผัสร่างกายกันบ้าง โอบกอด ออดอ้อน และสนใจในความเป็นไปของกันและกัน
เพียงแค่นั้นก็ทำให้รู้สึกดีได้อย่างน่าประหลาด บารมีหนุนตักของพิพัฒน์ นอนมองหน้าของพิพัฒน์ที่กำลังดูรายการโทรทัศน์และบารมีก็หันไปมองที่หน้าจอโทรทัศน์ด้วย
แบบนี้มันยิ่งกว่ามีความสุข
เป็นความสุขในความเรียบง่ายที่ไม่เคยปฏิบัติกับใครมาก่อน
“ดูช่องเมื่อกี้ก่อน จะเปลี่ยนช่องทำไม”
บารมีบ่นพึมพำใส่คนที่กดรีโมทเปลี่ยนรายการโทรทัศน์ และพิพัฒน์ก็ใช้มือบีบปากบารมีเอาไว้ไม่ให้พูด
“ไอ้อัดอู...........แอ่ก อ่ะ แอ่ะ”
บารมีรีบดึงมือพิพัฒน์ออกและด่าคนที่แกล้งทำอะไรบ้า ๆ ใส่
“ไอ้พัฒน์ ทำห่าอะไรของมึง นี่ปากคนนะไม่ใช่ของเล่น กูเจ็บนะเนี่ย”
พยายามจะแย่งรีโมทคืน แต่พิพัฒน์ก็รีบเอาไปซ่อนไว้ข้างหลัง และแบมือสองมือให้บารมีดู ว่าไม่มีรีโมทแล้วจริง ๆ
“กูอายุสามขวบหรือไง ห่าพัฒน์”
บารมีทำหน้าหงุดหงิดโมโหใส่ และพิพัฒน์ก็เปลี่ยนมาเกาคางบารมีเบา ๆ
“กูไม่ใช่แมว”
โดนพูดแบบนั้นพิพัฒน์ก็เลยเปลี่ยนมาลูบหน้าผากบารมีแทน
“เพื่อนเล่นมึงเหรอ”
บารมียังทำเสียงดุใส่ไม่เลิก พิพัฒน์ก็เลยลูบที่หน้าผากของบารมีและจูบเบา ๆ ก่อนจะผละออกห่าง
และเป็นบารมีที่ถอนหายใจและยกมือลูบหน้าผากตัวเอง
“แบบนี้ทุกที”
แม้จะทำเหมือนไม่พอใจ แม้จะทำเหมือนไม่ชอบ แม้จะรู้ว่าพิพัฒน์อ้อนขอดูรายการโทรทัศน์ด้วยวิธีที่บารมีปฏิเสธไม่ได้
แต่บารมีก็ต้องยินยอมให้พิพัฒน์เอาแต่ใจเสมอ
“ใจร้ายนะครับ”
พ่อง ใครไปใจร้ายกับมึงตั้งแต่เมื่อไหร่ กูยังไม่ได้ทำอะไรเลยสักนิด อย่ามาพูดจามั่วซั่วแบบนี้ไอ้พัฒน์
“มึงเลิกพูดไปเลย ถ้าพูดแล้วไม่ได้ช่วยให้อะไรดีขึ้น มึงก็เลิกพูดไปซะ”
บารมียกแขนขึ้นปิดหน้าตัวเอง แกล้งหลับไปทั้งอย่างนั้น และพิพัฒน์ก็อมยิ้มเวลาที่มองบารมีทำแบบนั้น
“อยากดูอะไรมึงก็ดูไปเลย กูจะนอน”
บารมีแกล้งหลับไปต่อหน้าต่อตาพิพัฒน์โดยใช้แขนปิดตาเอาไว้ และพิพัฒน์ก็ลูบที่เส้นผมของบารมีเบา ๆ
“ดูเสร็จแล้วปลุกกูด้วย ง่วง”
พูดเพียงแค่นั้น และพิพัฒน์ก็อมยิ้มเมื่อเห็นปฏิกิริยาแบบนั้นของบารมี
และบารมีก็ยกแขนออกและลืมตาขึ้นมองหน้าของพิพัฒน์อย่างเอาเรื่อง
“ตลกอะไร มึงขำทำไม”
พิพัฒน์ไม่รู้ว่าตัวเองขำทำไม ไม่รู้ว่าทำไมถึงยิ้ม แต่เมื่อบารมีเห็นอย่างนั้นแล้วมันก็พาลให้หงุดหงิดและไม่ชอบใจจนต้อง ดึงต้นคอของพิพัฒน์ลงมาหา
“มายิ้มใกล้ ๆ ซิ”
ดึงคอของพิพัฒน์ลงมา และจ้องมองไปที่ดวงตาของพิพัฒน์ที่กำลังมองมา
พิพัฒน์ยังคงยิ้ม และยอมก้มหน้าลงมาหา
ในเวลาไม่นานเมื่อริมฝีปากแตะเข้าหากันอย่างช้า ๆ และค่อยๆ บดคลึงเข้าหากันก็ทำให้ทั้งบารมีและพิพัฒน์รู้สึกไม่ต่างกัน
สัมผัสนุ่มนวลแผ่วเบา ก่อนจะคลึงเคล้าคล้ายหยอกล้อ แต่เต็มไปด้วยความรู้สึกมากมาย
จูบเบา ๆ แต่นุ่มนวล ชวนให้หัวใจลอยล่องไปไกล
มีความสุขเมื่อได้อยู่ด้วยกันทุกวัน
และเมื่อค่อย ๆ ผละริมฝีปากออกห่างจากกันอย่างช้า ๆ ต่างฝ่ายต่างปรือตามองหน้ากัน
เพียงเท่านั้นก็มากพอให้รับรู้ความรู้สึกของกันและกัน
พิพัฒน์แตะฝ่ามือที่ข้างแก้มบารมีเบา ๆ และลูบไล้เล่น
และบารมีก็หลับตาลงอย่างช้า ๆ
รอยยิ้มจาง ๆ ปรากฏที่ใบหน้า พิพัฒน์ยิ้มออกมาอย่างมีความสุข และบารมีก็รู้สึกไม่ต่างกัน
หลายครั้งที่อยากใกล้ชิดกัน แต่ก็ขัดเขินจนไม่สามารถทำได้ บางครั้งอยากใกล้ชิดกันให้มากขึ้นกว่าที่เป็น
ต่างฝ่ายต่างอยากจะใกล้ชิดและโอบกอดสัมผัสกันบ้างแต่ก็ไม่กล้าที่จะเข้าใกล้กันเพื่อแสดงความรู้สึกต่อกันมากนัก
แต่การที่เริ่มเปิดใจให้อีกฝ่ายเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตในครั้งนั้น เป็นจุดเริ่มต้นที่ในเวลาต่อมาเมื่อถึงเวลาที่ต้องดูรายการโทรทัศน์ร่วมกัน บารมีจะล้มตัวลงนอนและใช้หน้าขาของพิพัฒน์หนุนนอนแทนหมอนจนเป็นปกติในทุก ๆ วัน
TBC.