CHAPTER 2“But you didn’t have to cut me off
Make out like it never happened and that we were nothing”(Somebody That I Used to Know – Walk off The Earth)
ผมคิดว่าวันเวลามันผ่านไปช้ากว่าที่คิด
“เฮียยยยยยยยยยยย” เสียงทุ้มที่ขึ้นสูงจนจะเพี้ยนเป็นคำหยาบดังขึ้นจากหลังประตู ผมไม่ได้พูดอะไร ประตูก็เปิดพรวดออกมาให้เห็นไอ้เด็กผมเกรียนๆ เจาะหูสามสี่รูและลิ้นอีกหนึ่งรู ไหนจะเกรียนๆ เหมือนกับคนเรียนรด. นั่นอีก “มีโทรศัพท์โทรมาที่ร้าน บอกว่าขอสายเฮียอ่ะ”
ผมดึงบุหรี่ออกจากปาก “ใคร?”
ไอ้เก้ ลูกจ้างฟูลไทม์เพียงคนเดียวนิ่งไปชั่วครู่ก่อนที่จะหัวเราะ “ขอโทษเฮีย แบบว่า... ลืมถามน่ะ”
ผมพ่นลมหายใจออกมาอย่างหงุดหงิด ปัดมือเป็นเชิงไล่และไม่ลืมที่จะบอกว่าเดี๋ยวตามไป ก่อนที่จะจ้องข้อความเป็นพรืดบนแมคบุ๊คตัวเองอยู่พักใหญ่ แต่นิ้วกลับไม่ขยับ คิดไม่ออกว่าก่อนหน้านี้จะเขียนอะไร... ปัญหาที่ผมพบเจอบ่อยๆ เวลามีใครมาขัดจังหวะตอนที่ตัวเองกำลังทำงาน ผมกลอกตาไปมาอย่างหงุดหงิด จังหวะนั้นเองที่เหลือบไปเห็นโทรศัพท์ตัวเองนอนแน่นิ่งเหมือนกับตายไปแล้วมาร่วมสามวัน
ใช่ สามวัน ผมปิดโทรศัพท์มาสามวันแล้ว ไม่คิดจะเปิดมันขึ้นมาแม้แต่นิดเดียว ยังมีการติดต่อจากพ่อกับแม่ที่หนีเมืองกรุงย้ายไปปักหลักอยู่ที่ภาคอีสานมาทางโทรศัพท์บ้าน ส่วนนอกจากนั้นผมเองก็ไม่ค่อยได้คบค้าสมาคมกับใครอยู่แล้ว
ผมได้แต่สัมผัสรสขมพร่าจากบุหรี่ ก่อนที่จะดึงมันออกจากปากและขยี้มันลงบนที่เขี่ยบุหรี่ที่มีในห้อง
ให้ตาย... ผมโกหก นั่นไม่ใช่สาเหตุที่ผมปิดโทรศัพท์
เมื่อสามวันก่อนมีคนแอดไลน์มาหาผม ภาพโปรไฟล์ไม่ใช่รูปคนแต่เป็นรูปวิว ตอนแรกก็คิดไม่ออกหรอกว่าอีกฝ่ายเป็นใครจนมีข้อความเข้ามา
‘ส่งบทความสำหรับนิตยาสารฉบับหน้าให้ผมภายในวันเสาร์’
แค่เท่านั้นแหละ ผมเองก็รู้ทันทีว่าอีกฝ่ายเป็นใคร
ผมไม่ตอบ ทันทีที่เห็นข้อความนั้นก็เลือกที่จะปิดเครื่องทันทีเพราะผมไม่มั่นใจว่าถ้าหากตัวเองเปิดเครื่องไว้แบบนั้นจะทำอะไรลงไปบ้าง ยกตัวอย่างเช่น... พิมพ์ข้อความทุกอย่างที่แล่นในหัวหามัน กดโทรหามันเพียงเพื่อจะได้ยินเสียง หรืออาจจะมีอะไรที่งี่เง่ากว่านั้นแบบที่ผมเองก็ไม่อยากจะจินตนาการ
ไม่มีใครที่จะลำบากกับการขาดหนทางติดต่อกับผม นอกจากเจ้าคนที่ต้องตามงานนั่นแหละ
ผมรู้ตัวว่าตัวเองโคตรจะทำตัวเป็นเด็กไม่หย่านม ผมยังหงุดหงิดตัวเองเลย แต่อย่างน้อยผมก็โตพอที่จะจัดการเขียนบทความจำนวนสี่พันอักขระให้ทันวันเสาร์
หมายถึง ‘พยายามให้ทัน’ วันเสาร์ เพราะวันนี้นี่แหละคือวันเสาร์...และมันก็บ่ายสองแล้วเสียด้วย
มันแย่มาก ผมไม่คิดมาก่อนว่าผมจะเขียนอะไรแทบไม่ออกเช่นนี้ โอเค... อาการ ‘ตัน’ มักจะโผล่มาเป็นพักๆ ในการทำงานอะไรแบบนี้อยู่แล้ว แต่ของผมมันไม่ใช่อาการที่แล้วๆ มา มันเหมือนกับการจะเขียนอะไรสักอย่างแล้วมีใครสักคนมากระโดดโลดเต้นอยู่ข้างๆ จนทำสมาธิไม่อยู่ แน่นอนว่าคนมากระโดดโลดเต้นในหัวสมองผมไม่ใช่ใครอื่นนอกจากคนที่เพิ่งได้รับตำแหน่งบรรณาธิการของผมไปหมาด ๆ
ผมสูดลมหายใจลึก พยายามจะทำสมาธิให้ตั้งมั่นอยู่กับสิ่งที่ต้องทำในตอนนี้ แต่ไม่ทันจะทำอะไรก็ได้ยินเสียงวิ่งดังตึกๆๆ ก่อนจะตามมาด้วยเสียงเปิดประตู
“เฮียยย เขาโทรมาอีกแล้ว”
ผมสบถอย่างหงุดหงิด “แล้วรู้รึยังใครโทรมา!” หันไปมองหน้าไอ้เก้อย่างเสียอารมณ์
“เขาบอกว่าเป็นบก. เฮียอ่ะ” ผมหยุดชะงัก หันไปมองมันแล้วเลิกคิ้วเล็กน้อย “เห็นว่าจะชื่อ...”
“อินทร์” ผมไม่รอให้มันจบประโยคก่อนที่จะตระหนักอะไรได้แล้วเค้นยิ้มออกมา อ๋อ... จริงสินะ เรียกแบบนี้ไม่ได้แล้วนี่นา
“...คุณกชอินทร์” “ใช่ๆ ชื่อนั้นแหละ” ไอ้เก้ที่ยืนอยู่หน้าประตูพยักหน้า
“เหรอ เขาว่ายังไงล่ะ”
“เขาบอกให้เฮียส่งงานให้ภายในครึ่งชั่วโมง” ผมกลอกตากับคำพูดนั้น แต่ต้องเบิกตากว้างกับคำพูดถัดมาของลูกจ้างตัวเอง “ไม่อย่างนั้นเขาจะมาหาเฮียที่นี่”
ผมยิ้มไม่ออก ไม่ได้ตอบอะไรไปด้วยซ้ำแม้กระทั่งไอ้เก้จะปิดประตูไปช่วยงานที่ร้านหน้าบ้านของผมแล้วก็ตาม นานทีเดียวกว่าจะตั้งสติได้และมองจำนวนอักขระที่เขียนไปแล้ว พบว่าเหลืออีกเกือบครึ่งที่ผมยังไม่ได้เขียน
เยี่ยม สงสัยบรรณาธิการของผมจะคิดผิดถนัด การมาข่มขู่เช่นนี้ไม่ใช่การทำให้ผมทำงานได้เร็วขึ้น ให้ผลตรงข้ามด้วยซ้ำเมื่อคิดว่า ‘เขา’ จะมาที่นี่...
พลาดเสียแล้วล่ะมั้ง คุณกชอินทร์ ผมเสียเวลาไปเกือบสิบนาทีในการนอนบนเตียง ก่อนที่จะลุกมาที่หน้าแมคบุ๊คใหม่อีกครั้ง พิมพ์บทความไปอยู่พักหนึ่งก่อนที่จะเสียเวลาไปราวห้านาทีในการนั่งคิดว่าอีกฝ่ายได้เบอร์ติดต่อที่ร้านของผมมาได้อย่างไร
จริงอยู่ว่าผมเปิดร้านอาหารเล็กๆ ที่ตอนค่ำจะเปลี่ยนเป็นบาร์แจ๊สอยู่หน้าบ้านแต่ผมเองก็ไม่เคยบอกเบอร์ที่ร้านให้ใครเพราะผมจะลงไปเป็นพ่อครัวบ้างบางครั้งแต่มักจะให้ลูกจ้างสองสามคน (ไอ้เก้คือหนึ่งในนั้น) ดูแลมากกว่า มันเลยไม่ใช่หนทางที่ดีในการติดต่อผม หนักกว่านั้นคือการที่อินทร์บอกว่าจะมาหาผม ‘ที่นี่’ ผมไม่ได้คุยกับมันเอง ไม่รู้หรอกว่าไอ้เก้สื่อสารอะไรผิดพลาดหรือเปล่า แต่อินทร์ไม่ใช่คนที่จะพูดออกมาพล่อยๆ เพียงเพราะต้องการขู่เสียด้วย
สักพักโทรศัพท์บ้านก็ดังขึ้น ผมสะดุ้งอย่างลืมตัวก่อนที่จะเดินไปหยิบมันมารับสายทั้งๆ ที่ใจเต้นจนตัวเองรู้สึกแปลกใจ
...แค่คิดว่า ‘ใคร’ เป็นคนโทรเข้ามา
“เฮียๆ” เสียงจากปลายสายคือเสียงไอ้เก้ จนผมได้แต่เค้นยิ้มกับตัวเอง คาดหวังอะไรจากคนพรรค์นั้นอยู่นะ… “คนที่ชื่อกชอินทร์เขามาแล้ว”
คำพูดนั้นทำให้ผมดีดตัวขึ้นมาก่อนจะเหลือบมองนาฬิกาแล้วจึงขมวดคิ้วมุ่นด้วยความแปลกใจ ยังไม่ถึงครึ่งชั่วโมงที่อีกฝ่ายกำหนดไว้ด้วยซ้ำ จริงๆ มันควรจะใช้เวลามากกว่าครึ่งชั่วโมงที่เขาจะมาปรากฎตัวแถวนี้ เพราะเขาควรจะรอจนกว่ามั่นใจว่าผมไม่ส่งไปเลยออกเดินทาง
คิดอะไรอยู่... ผมได้แต่ตั้งคำถามในใจจนได้ยินเสียงของตะโกนเรียกผมเสียงดัง
“เฮีย! แล้วจะให้ปล่อยเขาเข้าไปในบ้านเฮียเลยไหม”
“ไม่” ผมตอบปฏิเสธเสียงหนักแน่น “ไม่... ไม่ต้อง” ย้ำอีกครั้งก่อนที่จะสูดลมหายใจลึกเพื่อสงบสติอารมณ์ โยนคำถามต่างๆ นานาที่วิ่งแล่นผ่านหัวสมองเมื่อกี้ออกไปให้หมด “บอกเขาว่ารอไป เดี๋ยวจะไปหาเอง”
ผมว่าเช่นนั้นก่อนที่จะกดวางสายอย่างไม่รีรอ หันกลับมากดเซฟงานที่ทำและปิดแมคบุ๊ค เดินออกจากห้องนอนตัวเองในสภาพเสื้อยืดสีขาวย้วยๆ กับกางเกงขายาว (ใส่แต่บ๊อกเซอร์มาทั้งวันเลยต้องหยิบมาใส่บ้าง เดี๋ยวลูกค้าหนีจากร้านกันพอดี) ส่วนผมยาวๆ ที่เลยมาจนถึงบริเวณไหปลาร้าก็ปล่อยมันไปเฉยๆ แบบนั้น
พอเดินออกจากบ้านมาถึงร้านเล็กๆ ชื่อ ‘นั่งคุยกัน’ ที่ตัวผมสร้างด้วยน้ำพักน้ำแรงของตัวเองแล้วก็เห็นไอ้เก้ที่เอานิ้วชี้ไปทางมุมร้านฝั่งในสุด มองตามปลายนิ้วไปก็เห็นหัวทุยๆ ของใครบางคนที่สูงเลยผนักเก้าอี้มาไม่มากนัก
ผมเกลียด...เกลียดการมองมันจากด้านหลัง เพราะผมมักจะต้องมองมันจากมุมนี้เสมอนับตั้งแต่เราไม่ได้คุยกัน
ยิ่งเห็นว่าเจ้าของผมสีเข้มนั่นก้มๆ เงยๆ มองข้อมือข้างขวาของมันที่ใส่นาฬิกาอยู่ก็ยิ่งทำให้ผมเหมือนขาสองข้างของตัวเองมันหนักขึ้น จังหวะนั้นเองที่มันหันหน้ามาทางประตูร้าน ซึ่งเป็นตำแหน่งที่ผมยืนอยู่พอดิบพอดี
อินทร์ไม่ได้เดินเข้ามาในทันที มันไม่แม้แต่จะลุกขึ้นด้วยซ้ำ ผมเห็นมันชะงักไปเล็กน้อยแล้วจับจ้องอยู่ที่ผมเหมือนกับรอให้ผมเดินเข้าไปเองจนผมต้องสูดลมหายใจลึกและเดินไปหย่อนกายนั่งตำแหน่งตรงข้ามกับมัน
“คุณมันไร้ความเป็นมืออาชีพ” อีกฝ่ายเอ่ยปากทันทีที่ผมนั่ง
ผมรู้สึกลำคอแห้งผาก แต่ก็ยังกล้าพอที่จะเอ่ยปากออกไป “มาที่นี่ได้ยังไง”
“งานอยู่ไหน” มันไม่แม้แต่จะสนใจคำถามของผมด้วยซ้ำ “เสร็จหรือยัง”
ผมไม่ได้ตอบอะไร ยิ่งเห็นมันมีสีหน้าหงุดหงิดภายใต้การกระทำที่เรียบเฉยคล้ายพยายามสกัดกั้นความโมโหไว้ยิ่งทำให้นิสัยเสียของผมตื่นตัว ผมแกล้งหยิบไฟแช็กที่พกติดตัวขึ้นมาพร้อมกับบุหรี่หนึ่งมวนและจุดมันต่อหน้าของเขา
“คุณพีรพัฒน์” มันเรียกชื่อผมเสียงเข้ม
ผมควรทำอะไรนะ... ผมตั้งคำถามในใจก่อนที่จะยกยิ้มยียวนบนใบหน้า พลางดึงบุหรี่ออกจากริมฝีปาก
“คุณพีรพัฒน์” อีกฝ่ายเรียกชื่อผมอีกครั้ง “งานอยู่ไหน คุณทำมันเสร็จหรือยัง”
“ยัง” ในที่สุดผมก็ตอบไปตามจริง ผมเห็น... เห็นตอนที่มันสูดลมหายใจลึกและค่อนๆ ผ่อนมันออกมา เห็นมือของมันกำเข้าหากันแน่นคล้ายจะสงบสติอารมณ์ มันเงียบไปราวสิบวินาทีก่อนที่จะพูดออกมา
“รู้ไว้ซะว่าคุณเป็นคนที่ไร้ความเป็นมืออาชีพมากที่สุดเท่าที่ผมเคยรู้จักมา” มันพูดเสียงเรียบในขณะที่ผมได้แต่ยักไหล่อย่างไม่ยี่หระ มันมองผมตาขวางและพูดต่อ “ทำงานซะ ที่นี่ เดี๋ยวนี้”
“น่าเสียดายจัง” ผมเป่าควันบุหรี่ออกมา “พอดีอุปกรณ์ทำงานอยู่บนบ้านน่ะ... คุณกชอินทร์” ผมแกล้งเอ่ยชื่อมันอย่างเย้ายั่ว แต่ดูเหมือนมันจะไม่ได้ผลใดๆ เมื่ออีกฝ่ายลุกขึ้นพร้อมกับเอ่ยปากออกมาอย่างชัดเจน
“งั้นก็เข้าไปที่บ้านคุณสิ ผมจะได้เข้าไปเฝ้าการทำงานคุณด้วย”
เป็นผมเองที่เกือบหลุดคำว่า ‘อะไรนะ’ ออกมา ขอบคุณตัวเองที่มีสติมากพอที่จะไม่ทำแบบนั้น ยิ่งเห็นอีกฝ่ายไม่ขยับตัวไปไหนทั้งๆ ที่ลุกขึ้นแล้วยิ่งทำให้ผมหงุดหงิดใจ สบถเบาๆ อย่างหัวเสียแล้วลุกขึ้นพร้อมกับเดินนำมันออกจากร้าน ไม่ลืมที่จะชี้โต๊ะเดิมที่อินทร์นั่งอยู่ให้ไอ้เก้เห็นว่าสามารถเก็บโต๊ะได้แล้ว
ผมเดินนำมันและรู้สึกแปลกๆ กับการที่อีกฝ่ายเดินตามหลัง ไม่กี่สิบก้าวก็ถึงบ้านเดี่ยวของผมที่เพิ่งปรับปรุงให้ขนาดเล็กลงโดยการแบ่งส่วนหนึ่งไปเป็นร้านที่เปิดเมื่อสองสามปีก่อน แล้วจึงเปิดประตูเข้าไป
“ถอดรองเท้าด้วยล่ะ” ผมพูดกับมันเสียงห้วนโดยที่ไม่หันไปมองมันด้วยซ้ำ
แต่ถึงกระนั้นผมก็ได้ยินเสียงมันถอนหายใจ... และ ให้ตาย ผมรู้สึกว่าทุกอย่างของมันมีอิทธิพลกับผมมากเกินไป
ไม่ใช่ว่าไม่รู้ตัวว่าตอนนี้ตัวเองทำตัวเป็นเด็ก ช่างประชดประชัน ทำตัวคล้ายเรียกร้องความสนใจ เหมือนกับเด็กที่ร้องไห้กระจองงอแงยามไม่ได้ดั่งใจแต่คงจะมีแค่ไม่กี่คนที่ทำให้ผมเป็นได้ขนาดนี้
ผมมองข้ามข้าวของระเกะระกะที่ตัวเองวางไว้ในห้องนั่งเล่นตามประสาบ้านของชายโสดก่อนที่จะเปิดประตูห้องนอนตัวเองแล้วหันไปมองหน้ามันก่อนที่จะชะงักเล็กน้อย ผมคิดว่าผมเห็น...เห็นมันทำแววตากังวลใจ
และผมพยายามบอกตัวเองว่าผมคิดไปเอง
“จะเข้าไปไหม” ผมถามมันด้วยน้ำเสียงนิ่งเรียบ
“เข้า ไม่อย่างนั้นจะรู้ได้ยังไงว่าคุณทำงานจริง” มันพูดเสียงแข็ง แววตาดูเฉยชาแต่กลับไม่สบตากับผมแม้แต่น้อย
ผมเค้นหัวเราะ ไม่ได้พูดอะไร เดินเข้ามาในห้องนอนตัวเองที่มีทุกอย่างเพราะความขี้เกียจของตัวเองที่ไม่ต้องการห่างเตียงเกินสามเมตร กระทั่งตู้เย็นผมยังมีอยู่ในห้องด้วยซ้ำ
ผมไม่ได้มองอินทร์ว่ามันทำสีหน้าแบบไหนตอนเดินเข้ามาในห้อง ได้แต่เดินไปเปิดแมคบุ๊คที่เพิ่งจะปิดไปเมื่อไม่กี่นาทีก่อน
“ผมนั่งบนเตียงได้ไหม”
“เชิญ” ผมตอบเสียงห้วน
เพราะว่าเก้าอี้สำหรับโต๊ะทำงานของผมหันหน้าให้ผนังห้องและหันหลังให้กำแพงเพราะแบบนั้นผมจึงได้ยินเฉพาะเสียงยวบและเสียงผ้าจากเตียงของตัวเอง
ผมรู้สึกทำอะไรไม่ค่อยถูก ไม่ถึงกับว่ามือชื้นเหงื่อหรือหัวสมองตื้อตันจนเขียนอะไรไม่ได้ ยิ่งนั่งคิดว่ามันจับตามองผมจากด้านหลังผมยิ่งเกร็ง พยายามจะสูดลมหายใจสงบสติอารมณ์แต่ในหัวสมองผมก็คิดไปต่างๆ นานาว่าตัวเองควรจะทำอะไรกับสถานการณ์เช่นนี้
ผมไม่ได้สูดลมหายใจจากที่เดียวกับมันมานานแค่ไหนแล้ว... ไม่ได้มองหน้ามันใกล้แค่นี้มานานแค่ไหน... ไม่ได้ยินเสียงมันมานานเท่าไหร่
คำถามเดิมๆ ที่มันวิ่งวนอยู่ในหัวสมองของผมนับตั้งแต่เจอมันที่ห้างวันเซ็นสัญญาวิ่งกลับเข้ามาอีกระลอก และผมไม่สามารถหาคำตอบได้เลยแม้แต่น้อย
ในห้องไม่มีคำพูดใดๆ และผมคิดว่าสิ่งเหล่านั้นไม่จำเป็น สิ่งที่ผมได้ยินมีเพียงเสียงนิ้วของตัวเองกระทบกับคีย์บอร์ด เสียงหมุนของใบพัดในพัดลม เสียงลมหายใจ และเสียงผ้าที่เสียดสีทั้งจากมันและจากผมทุกครั้งที่มีการขยับตัว มันไม่ส่งเสียงใดๆ แม้ว่าผมจะนิ่งไปอยู่พักใหญ่เวลาคิดอะไรไม่ออกแต่ผมคิดว่านั่นมันดีกว่าการที่มันจะมานั่งจู้จี้ พูดเสียงของมันให้ผมได้ยินตลอดเวลาที่นิ้วมือหยุดพัก ถ้าขืนเป็นเช่นนั้นจริงๆ ผมคงเขียนอะไรต่อไม่ออก
ผมพยายามทำสมาธิ บอกตัวเองว่าเราอยู่คนเดียวแต่ดูเหมือนมันจะไม่ช่วยเท่าไหร่นัก
“คุณจะเสร็จเมื่อไหร่” เสียงของอีกฝ่ายดังขึ้นท่ามกลางความเงียบ
“ไม่รู้สิ” ผมตอบอย่างไม่จริงจัง “คุณคิดว่าเมื่อไหร่ล่ะ”
“คุณพีรพัฒน์” ผมกลอกตาไปมาโดยไม่หันไปมองหน้ามันด้วยซ้ำ “คุณคิดว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องเล่นๆ หรือยังไง”
“ไม่ แต่ช่วยเงียบไปก่อนได้หรือเปล่า”
“ผมให้เวลาคุณอีกแค่ครึ่งชั่วโมง” ผมพยักหน้า ไม่ได้ตอบอะไรไปมากกว่านั้นและพยายามจดจ่ออยู่กับตัวอักษรที่ค่อยๆ ปรากฏขึ้นบนหน้าจอที่ละตัวตรงหน้า ก่อนที่ความเงียบจะเข้าปกคลุมพวกเราอีกครั้งหนึ่ง
จำนวนอักขระเพียงพอต่อการเขียนบทสรุปแล้ว ผมเริ่มตั้งสติใหม่โดยการย้อนกลับไปอ่านบทความตัวเองตั้งแต่ต้นจนจบอีกครั้งและเรียบเรียงความคิดต่างๆ ไว้ในหัว นิ่งไปอยู่พักหนึ่งก่อนที่จะเริ่มพิมพ์ข้อความตามที่คิดแต่จังหวะนั้นเองที่โทรศัพท์ของใครสักคนดังขึ้นมากก่อน
“ครับ” กชอินทร์พูดเสียงแผ่ว ได้ยินเสียงมันลุกขึ้นจากเตียงโดยที่ผมไม่หันกลับไป “ว่าไงเหรอพริม”
...พริม? ชื่อผู้หญิงอย่างงั้นหรือ
ผมละสายตาจากหน้าจอเหลือบมองมันโดยหางตาแบบอัตโนมัติ ก่อนที่จะส่ายศีรษะไปมาเมื่อรู้ตัวว่าตัวเองพลาดไปเสียแล้ว มันเดินออกไปจากห้องนอน ปิดประตูอย่างแผ่วเบาแต่มันก็พูดคุยกับคนในสายที่ชื่อพริมดังพอที่จะทำให้ผมซึ่งนั่งอยู่ในห้องนี้ได้ยิน
“ไม่ได้ ปลีกตัวไม่ได้ ทำงานอยู่... ไม่เอาครับ อย่าทำตัวแบบนี้นะ” อะไรบางอย่างวิ่งเข้ามากระแทกที่อกของผมอย่างแรง พอจะเดาได้เหมือนกันว่าอีกฝ่ายเป็นอะไรกับอินทร์ “เดี๋ยวโทรกลับ ไม่เอา คุยตอนนี้ก็ไม่รู้เรื่อง” ประโยคหลังมันพูดดังขึ้นมาเสียหน่อยจนผมได้ยินอย่างชัดเจน “แค่นี้ก่อนนะ ก็บอกแล้วว่าทำงานอยู่... พูดไปตอนนี้เชื่อด้วยเหรอ”
ผมกำมือแน่น สมาธิที่ตั้งมั่นไว้เป็นหมันไปเสียหมด เสียงของอินทร์เริ่มกลับมาเบา ไม่นานมันก็เปิดประตูกลับเข้ามาในห้องนอนใหม่อีกครั้ง แต่ครั้งนี้แตกต่างออกไปเมื่อผมมองหน้ามันอย่างตรงๆ
“คุยโทรศัพท์กับแฟนเหรอ” ผมแกล้งถามเสียงระรื่น “ไม่ไปหาเสียล่ะ”
“ไม่ใช่ธุระกงการอะไรของคุณ” มันเอ่ยปากออกมาด้วยสีหน้าหงุดหงิดแบบปิดบังไม่มิด คาดว่าน่าจะเป็นผลจากคนปลายสายของมันเมื่อกี้ “เราไม่ได้สนิทกันถึงขนาดจะถามเรื่องส่วนตัวได้นี่”
คำพูดของมันทำให้ความพยายามที่จะควบคุมตัวเองลดลงได้มากพอควร ผมพยายามสูดลมหายใจลึก บอกตัวเองว่านั่นเป็นความจริง เพียงแต่พอมองสภาพห้องของตัวเองแล้วภาพ ‘บางอย่าง’ ที่เคยเกิดขึ้นในห้องนี้มันทำให้ความคิดของผมแตกเป็นเสี่ยง เหมือนกับทำให้ผมตัดสินใจเลือกระหว่างการเก็บความเจ็บปวดไว้กับตัวแล้วไม่ขยับไปไหน กับการขยับไป...ทำให้มันรู้สึกถึงความเจ็บปวด
ผมลุกขึ้นยืนช้าๆ “ไม่สนิท?” ทวนคำเสียงเรียบก่อนที่จะเค้นหัวเราะ “นั่นสินะ ไม่สนิทนี่นา”
...เกรงว่าผมจะเลือกอย่างหลัง กชอินทร์มองผมด้วยแววตาที่สะท้อนความกังวลใจบางอย่างเมื่อผมเดินเข้าไปใกล้มันมากขึ้นอีกนิด เหมือนกับที่ผมเห็นตอนที่มันกำลังจะเดินเข้าห้องนี้มา และมันเหมือนกับจะบอกว่ามันเองก็จำเรื่องที่เกิดขึ้นในห้องนี้ได้ เพียงแต่มันไม่แสดงออกมาให้เห็นเท่านั้นเอง
“อันที่จริงเราก็ไม่เคยสนิทกันเลย จริงไหม” ผมไม่รู้ว่าตัวเองทำหน้าแบบไหนไป แต่เมื่อเห็นอีกฝ่ายแล้วผมคิดว่า... มันคงไม่ใช่สีหน้าที่ดีเท่าไหร่นัก “ลองทำเรื่องที่คนไม่สนิทกันเคยทำในห้องนี้อีกครั้งไหม”
“...”
“อย่างเช่น...” ผมเอ่ยปากเสียงแผ่ว เดินเข้าไปชิดมันจนสัมผัสข้อมือเล็กๆ ของมันได้ด้วยกำมือของผม
“ ‘จูบ’ ของคนไม่สนิท” ในหัวตอนนี้ไม่ค่อยได้คิดอะไรเท่าไหร่ นอกจากคำว่า...
ผมสามารถสัมผัสมันได้แล้ว--------------------------------
หายหัวไปนานเลยค่ะ

แต่เค้าสอบเสร็จแล้วนะะะะ
เดี๋ยวจะมาต่อบ่อยๆ นะคะ!