◇◆ TIME TICKET ย้ำอีกครั้งว่า... ◆◇ ปก + แจ้งข่าว P.6 (04.09.15)
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: ◇◆ TIME TICKET ย้ำอีกครั้งว่า... ◆◇ ปก + แจ้งข่าว P.6 (04.09.15)  (อ่าน 65667 ครั้ง)

ออฟไลน์ NINEWNN

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 317
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +105/-4

CHAPTER 6

“I can’t let go, broken yet holdin’ on
To you, to us, this love is too strong for me to let go”

(Broken Yet Holding on – Roni Tran)




     ผมไม่รู้อะไรสักอย่าง...ไม่เข้าใจอินทร์สักนิด

     ผมนอนอยู่บนเตียง มองเพดาน ในหัวมีคำถามมากมายที่ไม่ถูกถามออกไปและคิดว่าคงจะไม่มีโอกาสได้รับคำตอบ ผมได้แต่คิดว่าตัวเองคาดหวังอะไรจากมันมากไปหรือ มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่พวกเราถึงกลายเป็นแบบนี้
   
     ผมไม่รู้ หมายถึง ‘ไม่รู้’ จริงๆ

        ผมหยิบหนังสือรุ่นข้างกายมามองหน้าเดิมที่ถูกเปิดไว้ร่วมชั่วโมง หน้านั้นไม่มีผม... ภาพถ่ายของเด็กห้องศิลป์ – คำนวณที่อินทร์เรียนอยู่ถูกเปิดไว้ ผมได้แต่จับจ้องมันที่ยิ้ม ไล้ปลายนิ้วลงบนใบหน้าของมันที่ดูเยาว์กว่าตอนนี้แล้วก็ได้แต่ถอนหายใจเฮือกใหญ่

        ใจหนึ่งผมอยากจะปาหนังสือนี้ทิ้งไปซะ รวมถึงเศษซากอัลบั้มที่อยู่ข้างๆ ผมเหมือนกัน ไหนจะโปสการ์ดปึกใหญ่นั่นอีก... ให้ตาย ผมเพิ่งรู้สึกตอนนี้เองว่าตัวเองทำตัวเหมือนสาวน้อยระลึกถึงรักแรกขนาดไหน ยิ่งคิดยิ่งหงุดหงิดจนต้องตะโกนด่าคำหยาบอย่างยาวออกมาด้วยความอัดอั้นใจ

        หลังจากแหกปากจนเริ่มสงบสติอารมณ์ได้ผมก็เหลือบมองของทุกอย่างแล้วค่อยๆ หลับตาลงอย่างอ่อนแรง

        อัลบั้มนั่นแจกกันทั้งห้องตอนจบมัธยมสาม ในนั้นมีภาพมันเต็มไปหมดส่วนภาพของผมแทบจะไม่มี เพราะอินทร์มันเป็นศูนย์รวมของคนในห้องอยู่แล้ว มีเพียงภาพเดียวที่เป็นรูปผมคุยกับมันอยู่ และนั่นก็เป็นรูปคู่เพียงรูปเดียวที่ผมมี

        รูปเดียวที่ยืนยันว่ารอยยิ้มของมันที่มีให้ผมในอดีตเป็นเรื่องจริง...

        โปสการ์ดเป็นกองเกือบๆ สิบใบ กชอินทร์ไปเที่ยวบ่อย มันรู้ว่าผมสะสมโปสการ์ดเลยให้ผมทุกครั้งที่กลับมาจากการไปเที่ยวกับครอบครัวมัน ไม่มีข้อความใดๆ เขียนอยู่แต่ทุกใบมีโพสอิทใบเล็กแปะไว้ บางอันก็เขียนว่า ‘ซื้อมาให้แล้วไอ้โย่ง’ ในขณะที่บางอันไม่มีข้อความใดๆ นอกจากลงวันที่กับชื่อมันไว้

        ผมเก็บทุกอย่างที่เกี่ยวกับมันไว้ในลิ้นชัก ไม่ได้เปิดมาอีกนับตั้งแต่เข้ามหา’ ลัยจวบจนวันนี้

        หลายครั้งหลายคราที่ผมอยากจะโยนทุกอย่างทิ้ง ผมหมายถึง ‘ทุกอย่าง’ จริงๆ... ตั้งแต่ข้าวของที่มันให้ในโอกาสต่างๆ อย่างวันเกิด วันฉลอง หรือในวันที่มันเกิดอาการอยากให้โดยไม่มีสาเหตุใดๆ ไปจนถึงความทรงจำที่มีมันซึ่งฝังรากลึกจนถึงทุกวันนี้ แต่ผมไม่เคยทำได้ ทุกครั้งที่จะโยนของพวกนี้ทิ้งผมก็จะคิดเสมอว่ามันคือสิ่งสุดท้ายแล้วที่บอกว่าเรื่องทั้งหมดผมไม่ได้ฝันไปคนเดียว เราเคยมีช่วงเวลาเหล่านั้นจริงๆ

        สาเหตุจริงๆ แล้วมันเกิดจากอะไรกัน... พวกเรากลายเป็นคนที่ห่างไกลยิ่งกว่าคนไม่รู้จักกันแบบนี้ได้อย่างไร

        ผมหยิบอัลบั้มนั้นมาดูบ้าง ภาพเดียวที่คนอาจจะไม่ใส่ใจกลายเป็นหนึ่งในสิ่งที่ผมเก็บรักษาอย่างดีที่สุด ภาพพวกเราในสิบสองปีที่แล้ว ตอนที่ผมกับมันยังหัวเกรียนใส่กางเกงน้ำเงินกันอยู่ ผมคิดไม่ออกว่าตอนนั้นเราคุยอะไรกัน รูปถูกถ่ายในห้องเรียน อินทร์นั่งข้างๆ ผมโดยที่มันไม่ใช่ที่นั่งปกติของมัน มันยิ้มกว้างมากจนเห็นเหล็กดัดฟันที่มันเพิ่งใส่ตอนเปิดเทอมสองมาไม่นาน ผมจำได้ว่าตอนแรกผมหัวเราะเป็นบ้าเป็นหลังเพราะช่วงแรกๆ มันออกเสียงจ. จานกับช. ช้างไม่ชัด พอผมแหย่เข้าหน่อยมันก็มุ่ยหน้าแบบที่มันชอบทำแล้วก็ฟาดฝ่ามือของมันลงมาบนแขนผมแรงๆ ทั้งที่ตัวออกจะผอมแห้งแท้ๆ

        ผมได้แต่ยิ้มทั้งที่ในใจไม่ได้ยิ้มไปด้วย

        ตอนนั้นผมไม่ได้จำหรอกว่ามีอะไรที่ผมทำให้มันยิ้มกว้างขนาดนั้นได้บ้าง...เพราะมันยิ้มให้ผมกว้างแบบนั้นบ่อยมาก บ่อยเสียจนเป็นเรื่องธรรมดา

        และไอ้ความที่มันเป็นเรื่องธรรมดานั่นแหละที่ทำให้ผมต้องเจ็บปวดใจ เมื่อมันไม่ได้ยิ้มให้ผมแบบที่เคยทำอีกต่อไป ตอนนั้นผมจำไม่ได้ด้วยซ้ำว่า ‘รอยยิ้มธรรมดา’ มีให้ผมครั้งสุดท้ายตอนไหน

        ...เพราะผมไม่คิดเลยว่ามันจะเป็น ‘ครั้งสุดท้าย’

        ไม่คิดเลยจริงๆ



        อินทร์นั่งกุมขมับอยู่ตรงหน้าผม

        หน้าของมันซีดแล้วแต่ก็ยังก้มลงจับจ้องตำราเรียนเล่มหนาอย่างไม่ลดละและเป็นแบบนี้มาเกือบชั่วโมงแล้ว ส่วนผมน่ะหรือ... อ่านหนังสือแป๊บๆ ก็เหนื่อย เลือกที่จะจ้องไปที่หน้าของมันดีกว่า

        ‘คิ้วขมวดมากไปแล้ว’

        คนที่นั่งอยู่อีกฝั่งของโต๊ะอาหารเงยหน้าขึ้น ‘ก็มัน...’

        ผมไม่ปล่อยให้มันพูด เอื้อมมือไปนวดบริเวณขมับให้มันอย่างแผ่วเบา ริมฝีปากของอินทร์ปิดเงียบทันทีเมื่อผมทำแบบนั้น ‘เครียดอะไรขนาดนั้น’

        ‘มึงสิทำไมไม่เครียดอะไรเลย!’ มันลืมตาขึ้นมาทำหน้าบึ้งใส่ ‘เรียนสายวิทย์แน่รึเปล่าฮะ!’

        ‘ใครกำหนดวะว่าเรียนสายวิทย์ต้องเครียด’

     ผมบ่นเบาๆ โดยที่ปลายนิ้วยังนวดขมับให้มันอยู่ อินทร์ทำเสียงจิ๊จ๊ะแต่ไม่ได้บ่นอะไรไปมากกว่านั้น มันเอาหัวทุยๆ ไถไปกับโต๊ะของโรงอาหารอย่างเหนื่อยอ่อนจนผมต้องเลื่อนมือตาม

     ‘พระเจ้าไม่ยุติธรรมเลยว่ะ ทำไมกูไม่ฉลาดแบบมึงบ้าง’ มันบ่นอย่างอิดออด

     ผมไม่ได้ตอบอะไรไป ยอมรับว่าตัวเองเป็นคนหัวดีตั้งแต่เด็ก ซึ่งมันมักจะมาพร้อมกับความขี้เกียจ กลับกัน กชอินทร์เป็นคนที่ขยันได้อย่างน่ากลัวแต่กลับหัวช้าในด้านวิทยาศาสตร์ จนทำให้มันยอมแพ้ที่จะเข้าเรียนสายวิทย์ – คณิตเหมือนกับผมแล้วไปเรียนสายศิลป์ – คำนวณแทน ซึ่งมันก็ยังมีปัญหากับคณิตศาสตร์จนระเห็จให้ผมมาสอนทุกครั้งที่จะมีสอบ

     วันนี้ก็เหมือนกัน มันนั่งทำโจทย์เลขอยู่กับผม (ขยายความอีกหน่อยคือ มันทำ... ส่วนผมมองมันทำ) ในโรงอาหารโรงเรียนที่แทบไม่มีคน เลิกเรียนมาเกือบสองชั่วโมงแล้ว โดยมากเด็กก็กลับบ้านกันหมดแล้วแหละ

     มันก้มหน้าก้มตาเอาแก้มแนบกับหนังสือ เงยหน้ามองผมด้วยสีหน้ามุ่ยๆ ที่มันไม่เคยรู้ตัวเลยว่าน่ารักแค่ไหน

     ‘ไม่อ่านแล้วได้ไหมอ่ะ’

     ‘บอกให้เลิกอ่านตั้งนานแล้ว’ ผมยิ้ม อินทร์เลื่อนตัวเข้ามาใกล้ขึ้นอีกนิดหน่อย ‘ไอ้แก่’ ผมว่าพลางจิ้มนิ้วไปบนระหว่างคิ้วของมันที่ขมวดกันเป็นปม อินทร์ทำท่าปัดมืออย่างหงุดหงิดใจ

     ‘จะกลับบ้านเมื่อไหร่’

     ‘จะกลับเมื่อไหร่ล่ะ’ ผมตอบมันด้วยคำถาม

     อินทร์เม้มปาก ‘กลับก่อนก็ได้ ต้องรอน้องอีก’ มันพูดถึงน้องชายตัวเองที่ชื่อเอ็กซ์ที่อายุน้อยกว่ามันสามปี ตอนนี้เพิ่งจะเข้ามัธยมหนึ่งเอง เห็นว่ามีทำงานกลุ่มจนต้องกลับบ้านช้า

     ‘ก็ไม่อยากกลับ’ ผมว่าเรื่อยเปื่อย ไล้นิ้วบนเส้นผมของมันเล่นอย่างเพลินมือ

     ‘...เลิกจับได้ไหม’ มันบ่นเบาๆ อย่างไม่จริงจังนัก เงยหน้าขึ้นมาโดยที่ริมฝีปากเม้มเข้าหากัน ผมเหลือบมองที่หูของมันที่เริ่มแดง

     หลังจากสังเกตมาสักพัก ผมรู้ว่านี้คืออาการเขินของมัน

     ผมได้แต่อมยิ้ม ก้มลงเอาหน้าแนบกับโต๊ะอาหาร (ที่คิดว่ามันคงไม่สะอาด) บ้างโดยหันมองหน้ามัน อินทร์เลยรีบดีดตัวขึ้นมาอย่างรวดเร็วเมื่อหน้าเราใกล้กันเกินไปหน่อย

     ‘เล่นอะไรวะ!’

     ผมไม่ได้ตอบ ทำเพียงหัวเราะเบาๆ

     อินทร์น่ารัก... มันไม่เคยรู้ตัวหรอกว่ามันน่ารักขนาดไหน เพราะแบบนี้ทำให้ใครต่อใครสนใจมัน มันคงไม่เคยรู้เลยว่ามีผู้ชาย นางฟ้า ทั้งรุ่นน้องทั้งรุ่นพี่ปลื้มมันอยู่กี่คน ยิ่งขึ้นมัธยมปลายแล้วมันได้เป็นคณะกรรมการนักเรียนยิ่งมีคนชอบมันเพิ่มขึ้นเยอะ เด็กกิจกรรมที่ออกหน้าออกตาบ่อยๆ ก็แบบนี้แหละ ถ้าไม่ใช่มันเคยมีวีรกรรมต่อยกับคนที่มาจีบมันจนต้องเข้าห้องปกครอง สาบานว่าหัวกระไดมันไม่แห้งแน่ๆ

     ผมได้แต่มองมันที่นั่งหลังตรงจากมุมต่ำ อินทร์เองก็มองหน้าผมเหมือนกัน หูของมันค่อยๆ แดงขึ้นเรื่อยๆ จนเริ่มสังเกตเห็นได้ชัด

     ไม่นานมันก็เลื่อนมือมาสัมผัสปลายนิ้วของผมเบาๆ และกำไว้อย่างหลวมๆ

     ‘...’ ผมเลิกคิ้วนิดหน่อย ไม่ได้เอ่ยถามอะไร แค่เห็นมันเม้มปากเข้าหากันแน่นแล้วค่อยๆ คลี่ยิ้มออกมาก็ทำให้ผมยิ้มตามได้ไม่ยาก

     พวกเราเหมือนคุยกันผ่านความเงียบในโลกที่ไม่เคยหยุดพูด

     ปลายนิ้วของเราสัมผัสกัน มันเหมือนเป็นหนทางที่ทำให้พวกเราสื่อสารกันได้ เราไม่เคยพูดถึงคำที่เรารู้สึก ไม่เคยคิดจะจัดการความสัมพันธ์ของเราให้ชัดเจนไปมากกว่านี้ ไม่เคยแม้กระทั่งใกล้ชิดกันจนคนอื่นรู้สึกสงสัยในเรื่องราวระหว่างพวกเราสองคน ไม่ได้พยายามจะปกปิดแต่ไม่อยากจะเปิดเผย อินทร์ปากแข็งกว่าใคร... ผมเองก็ไม่อยากทำให้มันลำบากใจกับสิ่งที่พวกเรากำลังเป็นกันอยู่ ณ ตอนนี้

     อาจจะเป็นเพราะแบบนั้น... เพราะเราไม่เคยพูดคุยกันเรื่องสถานะ ผมจึงไม่มีสิทธิ์ใดๆ ในตัวของมัน

     บางทีผมก็อดคิดเล่นๆ ไม่ได้ว่าผมจะทำยังไงในวันที่มันเจอใครสักคนที่ถูกใจ ใครสักคนที่มันอยากจะจริงจังด้วยมากกว่านี้ ยิ่งถ้าคนนั้นเป็นผู้หญิงที่สามารถยืนเคียงคู่กับมัน ออกหน้าออกตากันได้ในอนาคต... ในตอนนั้น ผมจะมีสิทธิ์อะไรในตัวมันอีกไหม...

     แต่ผมก็ปัดความคิดเหล่านั้นทิ้งไปและบอกตัวเองว่าอินทร์ยังอยู่กับผมในปัจจุบัน...มันไม่เคยไปไหน

     ตอนนั้นตัวผมคงจะเด็กเกินกว่าที่จะเข้าใจเรื่องจริงที่เลวร้าย

     การที่มัน ‘ไม่เคย’ จากไป...ไม่ได้แปลว่ามัน ‘จะไม่มีวัน’ จากไป



     ผมสะดุ้งตื่นตอนรุ่งเช้า ยังไม่ทันหกโมงด้วยซ้ำไป

     ผมรู้สึกตกใจไม่ใช่น้อย...นี่น่าจะเป็นการตื่นเช้าครั้งแรกในรอบหลายเดือน ปกติผมมักจะเป็นมนุษย์กลางคืน คือใช้ชีวิตทำงานตอนกลางดึกแล้วนอนยาวไปจนถึงเที่ยง แต่พอนั่งบนเตียงเพื่อตั้งสติสักพักจึงรู้ว่าตัวเองเผลอหลับไปตั้งแต่หัวค่ำ โดยที่ยังมีของต่างๆ ที่รื้อมากองอยู่เต็มเตียง

     จริงๆ เลย...

     ผมถอนหายใจเฮือกใหญ่ ลุกขึ้นไปอาบน้ำเพราะยังไม่ได้อาบตั้งแต่เมื่อวาน เน่าเสียไม่มี...แต่ผมก็ไม่ได้รู้สึกเคร่งเครียดกับเรื่องนี้อยู่แล้ว ซกมกเป็นบ้า

     หลังจากอาบน้ำเสร็จผมก็เดินออกไปที่หน้าปากซอย ซื้อข้าวเหนียวหมูปิ้งมากินด้วยความขี้เกียจ ไม่อยากจะเข้าครัวไปทำอาหารใดๆ เอง แวะเข้า 7-11 ไปซื้อขนมปังเอามาเผื่อไว้ในบ้านด้วยเลย

     เพราะว่าวันนี้เป็นวันจันทร์เลยมีคนไปซื้อของในช่วงเช้าค่อนข้างมากผมเลยใช้เวลานานหน่อย พอกลับมาก็ได้แต่มานั่งทำอะไรเรื่อยเปื่อย ดูทีวีบ้าง อ่านหนังสือที่ซื้อมากองๆ ไว้เมื่อนานมาแล้วและยังไม่ได้แตะบ้าง มันคงเป็นนิสัยเสียอย่างหนึ่งของผม เกือบทุกครั้งที่เข้าร้านหนังสือผมมักจะซื้อหนังสือติดมือมาสองสามเล่มเสมอ แล้วเวลาอ่านดันไม่มีจนตัวเองได้แต่กองๆ ไว้แบบนั้น
             
     ผมคิดว่าผมรู้ตัว... การกระทำแบบนั้นไม่ช่วยไล่ความคิดถึงที่มีต่อคนๆ หนึ่งออกไปจากหัวสมองได้เลย

        ผมพ่นลมหายใจ วางหนังสือในมือที่อ่านไปก็ไม่เข้าหัวไว้ข้างกาย เอนตัวพิงพนักโซฟาอย่างเหนื่อยอ่อน

        ‘...ผม ‘เกลียด’ คุณ…’

        ทำไมมันถึงพูดคำนั้นออกมาง่ายนัก

        ผมได้แต่ตั้งคำถามเดิมซ้ำไปซ้ำมา มันไม่เคยช่วยอะไรได้ ไม่เคยเลย...

     ผมนึกย้อนไปถึงเมื่อวาน มันพูดคำว่าเกลียดให้ได้ยินอย่างชัดถ้อยชัดคำ พวกเรายืนอยู่ในความเงียบ ก่อนที่มันจะเป็นฝ่ายหันหลังและเดินจากไปก่อน

     ผมไม่รู้ด้วยซ้ำว่าหลังจากนั้นมันกลับไปกี่โมง ไม่ได้สนใจว่าพริมาที่รู้จักกับมันกลับไปด้วยกันหรือเปล่า เพราะผมปล่อยให้ไอ้เก้และพ่อครัวดูแลร้านและปลีกตัวมานอนกลิ้งไปกลิ้งมาบนเตียง

     ผมรู้สึกอยากร้องไห้แต่ร้องไม่ออก นั่นเป็นเรื่องดี มันคงน่าสมเพชหากผู้ชายผมยาวตัวใหญ่อย่างผมร้องไห้เหมือนพระเอกหนังเกาหลี แต่นั่นทำให้ผมยิ่งสับสน เหมือนกับผมไม่สามารถทำอะไรกับความรู้สึกที่อัดแน่นนี่ได้แม้แต่น้อย มันเหมือนคนเมาค้างแต่ไม่สามารถอ้วกได้

     ผมอยากจะคายทุกความรู้สึกนี้ทิ้ง...แต่ผมทำไม่ได้

     เพราะแบบนั้นผมจึงนอนคิดอะไรเรื่อยเปื่อย ก่อนที่จะลุกขึ้นไปขุดของที่ตัวเองเก็บไว้จนเกือบลืมไปแล้วว่ามีออกมานั่งอ่าน นั่งทวนเรื่องราวในอดีต

     ผม ‘เกือบลืม’ ว่ามี...แต่บางทีอีกฝ่ายอาจจะลืมไปแล้วจริงๆ ก็ได้...ว่าเราเคยมีช่วงเวลาที่ยังยิ้มให้กันได้

     ผมถอนหายใจอีกครั้ง ทึ้งหัวตัวเองอย่างหงุดหงิดใจ หยิบหนังสือขึ้นมานั่งอ่านใหม่ก่อนที่จะเริ่มเข้าสู่วงจรเดิม วางหนังสือแล้วนั่งเพ้อเจ้อ เป็นแบบนี้อยู่สามสี่ครั้งจนผมได้ยินเสียงโทรศัพท์แผดร้อง ผมจึงจำใจลุกขึ้นจากโซฟาไปหยิบมือถือตัวเองที่วางไว้บนโต๊ะกินข้าวมารับสาย

     “สวัสดีครับ”

     “กชอินทร์นะครับ”

     “...” ปลายสายทำให้ผมพูดอะไรไม่ออก ทำหน้าหงุดหงิดใจออกมาอย่างไม่ปิดบัง แต่ไม่ว่าอย่างไรอีกฝ่ายก็ไม่มีโอกาสได้เห็นอยู่ดี “มีอะไร”

     “หนังสือรวมบทความของคุณผ่านแล้วนะ แต่เดี๋ยวต้องจัดการอะไรอีกเยอะ... จะลงถึงบทความที่สี่สิบของคุณ  ตัดในเรื่องที่ลงบทความที่สองของเดือนกรกฎคม ลองคิดชื่อหนังสือด้วย” คำพูดของมันมีแต่งาน งาน งานและงาน ผมกลอกตาไปมา ส่งเสียงครางรับในลำคอเบาๆ “แล้วก็... มีคนเสนอให้คุณพีรพัฒน์เขียนบทความเกี่ยวกับหนังสือครบรอบยี่สิบปีของสำนักพิมพ์น่ะ”

     “ใครเสนอวะ” ผมบ่นเบาๆ

     “ผมเอง” คำตอบที่สวนกลับมาทำให้ผมถอนหายใจออกมา “ยังสรุปคอนเซ็ปโดยรวมไม่ได้ แต่คาดว่าไม่ลำบากกับคุณหรอก จำนวนไม่ได้มากอะไรเลย”

     “เหรอ”

     “และบทความที่เขียนลงนิตยสาร...” มันเอ่ยเสียงเรียบ “ความยาวต่างๆ เท่าเดิม หัวข้อ ‘รักครั้งแรก’ นะครับ”

     ฟังชื่อหัวข้อแล้วทำให้ผมพ่นลมหายใจออกมาอย่างแรง ไม่รู้ว่าอีกฝ่ายได้ยินหรือเปล่าแต่เห็นว่ามันเงียบไปพักใหญ่จนผมต้องเอ่ยปากถามขึ้นมาเอง

     “หมดเรื่องแล้วใช่ไหม?”

     “ใช่ครับ” ...ผมเกลียดคำสุภาพของกชอินทร์จริงๆ นะ “ไม่สิ ยังไม่หมด เดี๋ยวผมส่งวัน เวลา สถานที่ในการแจกลายเซ็นให้ทางไลน์แล้วกัน หวังว่าคุณจะไม่มีปัญหาอะไรนะ”

     ผมถอนหายใจ “ทางที่ดี ช่วยส่งทุกอย่างทางไลน์เลยได้ไหม”

     “...” กชอินทร์เงียบ

     “ถ้ามีปัญหาเร่งด่วนค่อยติดต่อมาทางโทรศัพท์ ผมขี้เกียจรับโทรศัพท์ของคุณแล้ว” ผมพยายามเอ่ยปากอย่างใจเย็นที่สุด “และผม... ไม่อยากได้ยินเสียงคุณน่ะ”

     “ไม่ต้องกลัวหรอกคุณพีรพัฒน์” ผมได้ยินเสียงสูดลมหายใจดังขึ้นจากปลายสาย “ผมเองก็ไม่ได้อยากได้ยินเสียงคุณเท่าไหร่นักหรอก”

     “...”

     “ถ้าคุณว่าแบบนั้นเดี๋ยวผมจะพยายามไม่จู้จี้กับคุณอีกแล้วกัน เดี๋ยวผมส่งเวลาไปให้ มีปัญหาอะไรช่วยติดต่อมาทีหลังแล้วกันนะ” สายถูกตัดไปทันทีที่บรรณาธิการของผมพูดจบ

     ผมนิ่งไปอยู่พักใหญ่ก่อนที่จะรู้สึกตัวว่าตนเองกำมือแน่นแค่ไหน ผมกระแทกโทรศัพท์ลงบนโต๊ะอย่างแรง

     ‘ผมเองก็ไม่ได้อยากได้ยินเสียงคุณเท่าไหร่นักหรอก’

     ‘...ผม ‘เกลียด’ คุณ...’

     ทำไมอินทร์ถึงแสดงออกถึงความเกลียดชังได้ง่ายนัก พูดมันออกมาง่ายๆ

     ตรงกันข้ามกับคำที่ทั้งมันและผมไม่เคยเอ่ยเอื้อนตอนที่เรารู้สึกแม้ว่าเราจะปฏิบัติต่อกันราวกับเราเป็นคนรักกันแต่ผมไม่เคยได้พูดและไม่เคยได้ยินคำนั้นสักครั้ง

     เพราะตอนนั้นผมไม่ได้พูดไปใช่ไหม... ตอนนี้ผมถึงไม่มีสิทธิ์ใดๆ ในตัวมันเลย..



------------------------------------------
หลายคนคงจะ... เอ๊ะ อะไรวะ ไม่เห็นรู้เรื่องเลย

ซึ่งมันก็ไม่แปลกหรอกค่ะ... ตอนนี้มันมุมมองของพีท ซึ่งนางก็พูดมาหลายรอบแล้วว่าไม่รู้เรื่อง ไม่เข้าใจเลยแม้แต่นิดเดียว

แต่ตอนนี้ก็น่าจะรู้แล้วนะคะว่าทำไมพีรพัฒน์ของเราถึงได้ฝังใจมากมายขนาดนี้ ตอนนี้ลดความหน่วงด้วยความคาวาอี้ของเด็กๆ กางเกงน้ำเงินแล้วกันนะคะ <3 ก่อนที่จะมันจะไม่มีช่วงเวลาฟรุ้งฟริ้งแบบนี้อีก (ฮา)

ขอโทษที่รับช้านะคะ ไม่มีอะไรมากเลย...อู้ค่ะ ช่วงนี้ตื่นเช้ามาเรียนตั้งแต่เจ็ดโมงตลอดเลย อย่างกับไปโรงเรียน กลับบ้านทีไรก็หลับยาวทุกที แง


ออฟไลน์ B52

  • เป็ดZeus
  • *
  • กระทู้: 13215
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +420/-26

ออฟไลน์ BlueCherries

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4060
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +159/-17
อยากอ่านฝั่งอินทร์บ้างค่ะ


ออฟไลน์ NINEWNN

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 317
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +105/-4

CHAPTER 7

“The littlest thing that take me there
I know it sounds lame but it’s so true”

(The Littlest Thing – Lilly Allen)



     ผมมองตัวเองในเสื้อเชิ้ตสีสุภาพ กางเกงขายาว จัดการรวบผมลวกๆ อย่างแปลกตาก่อนที่จะเดินออกมาจากห้องน้ำด้วยความหงุดหงิดในใจเล็กน้อย รำคาญเป็นบ้า... ขนาดเพิ่งอาบน้ำประเทศไทยก็ยังทำให้ผมเหงื่อออกได้ในเวลาสั้นๆ เสมอ เป็นประเทศที่ไม่เป็นมิตรกับคนขี้ร้อนเลยแม้แต่นิดเดียว

     หลังจากจัดการตัวเองเรียบร้อยแล้วจึงคว้ากุญแจรถ กระเป๋าสตางค์ โทรศัพท์มือถือเดินออกจากบ้าน ไม่ลืมที่จะดูนาฬิกา พบว่ามีเวลาเหลือเฟือกว่าจะถึงเวลานัด

     วันนี้มีการแจกลายเซ็นที่ห้าง ไกลจากบ้านของผมพอสมควรแต่ก็ยังเดินทางง่ายๆ ตอนแรกตั้งใจจะนั่งรถเมล์ไปอยู่หรอก แต่คิดถึงตอนที่มีการแจกลายเซ็นครั้งแรกที่โหนรถเมล์ไป กว่าจะไปถึงนู่นสภาพดูไม่ได้จนโดนบก. คนเก่าตำหนิเข้าให้ว่าควรจะรู้จักรักษาภาพลักษณ์มากกว่านี้

     พอคิดถึงบรรณาธิการแล้วผมก็ได้แต่ถอนหายใจ เอาเถอะ... ใช่ว่าจะได้เจอกันในวันนี้เสมอไป แต่ถ้าได้เจอกันแล้วเห็นผมหลังสภาพโหนรถเมล์ไปมันคงด่าเช็ดตามประสาคนระเบียบจัด

     เมื่อคืนก็โดนมันส่งไลน์มาหาเรื่องเวลาต่างๆ เป็นการย้ำอีกที ผมกดอ่านแต่ไม่ได้ตอบอะไรไป มันก็ส่งข้อความมาอีกว่าถ้าอ่านแล้วช่วยส่งสัญญาณให้รับรู้บ้าง ผมเลยจำต้องกดส่งสติ๊กเกอร์ไปให้ตัวหนึ่งอย่างเสียไม่ได้

     ผมคิดว่าตัวเองทำตัวสงบสติอารมณ์ได้มากขึ้นแล้ว...แต่ก็ใช่จะเสมอไป อินทร์ไม่โทรจิกอะไรแล้ว อาจจะเป็นเพราะไม่มีหน้าที่อะไรในช่วงนี้ กำหนดส่งบทความในหัวข้อ ‘รักครั้งแรก’ ก็อีกราวๆ สี่ห้าวัน ซึ่งรอบนี้ผมเองก็เขียนไปบ้างแล้ว คงไม่ได้เขียนแบบจับแพะชนแกะเหมือนคราวก่อน

     ผมออกไปกำกับไอ้เก้เรื่องการปิดร้านต่างๆ นานาเผื่อไว้ก่อน แต่จริงๆ ก็คิดว่าไม่น่าจะเป็นปัญหา ผมกลับมาทันตรวจความเรียบร้อยอยู่แล้ว ตามตารางทุกอย่างจะเสร็จสิ้นในเวลาหกโมงเย็น บวกปัญหารถติดของกรุงเทพฯ ไปอีกนิดก็ไม่น่าจะช้าอะไรมาก

     “ไปทำงานเหรอเฮีย แต่งตัวดีมากกกกก” ผมพยักหน้าแทนคำตอบเมื่อไอ้เก้เริ่มลามปามจับผมหันซ้ายหันขวา ไอ้ลูกน้องพรรค์นี้นี่มัน.. “เฮียควรแต่งตัวแบบนี้บ่อยๆ นะ ปกติอย่างกับยาจก ทำตัวหล่อๆ ก็เป็น”

     “ไปทำงานไป” ผมชี้ไปที่โต๊ะซึ่งเรียกให้คิดเงินพอดี

     มันพยักหน้าอย่างขันแข็ง ทำท่าเหมือนรด. รับคำสั่ง (มองหัวเกรียนๆ ของมันยังรู้สึกว่ามันเป็นเด็กเรียนรด. ทุกที) และวิ่งปรู๊ดไปอย่างรวดเร็ว

     ผมแอบไปดูในครัวนิดหน่อยก่อนที่จะเดินออกมาจากร้านไปหารถตัวเองที่ไม่ค่อยได้ใช้งานเท่าไหร่นัก ทำงานที่บ้านไง... กว่าจะได้ใช้ก็ตอนเกิดอารมณ์อยากไปขับรถเล่นหรือไปทำธุระที่รถสาธารณะไม่ผ่าน เอาจริงๆ ผมก็ชอบขึ้นรถเมล์นะ ขี้เกียจเกินกว่าจะขับรถ ยกเว้นปัญหาอากาศร้อนหมาตายควายตะลึงเนี่ยแหละ

     ผมจะจัดการแจกลายเซ็นตอนสี่โมงครึ่งพร้อมกับนักเขียนในสำนักพิมพ์เดียวกันอีกคน แต่ ‘คุณบรรณาธิการ’ กำชับมาอย่างชัดเจนว่าผมควรจะไปถึงก่อนเวลาอย่างต่ำหนึ่งชั่วโมง

     เพราะว่าออกจากบ้านเร็ว ประกอบกับการที่รถไม่ติดทำให้ผมไปถึงห้างนั้นเกือบสามโมง  และพอมาถึงผมก็นั่งคิดหนัก ผมรู้ว่ามีการแจกลายเซ็นที่ร้านหนังสือไหน เพียงแต่ไม่รู้ว่าจะต้องไปที่ร้านก่อนเลยหรือเปล่า สิ่งที่ควรทำคือการติดต่อคนที่ดูแลเรื่องนี้ ซึ่งมันก็คือกชอินทร์...ที่ผมไม่ค่อยอยากจะโทรหาเท่าไหร่นัก

     ผมเอาลิ้นดุนแก้มตอนมองเบอร์ในหน้าจอที่ผมบันทึกไว้ในชื่อ ‘บก.’ อยู่นานทีเดียวกว่าจะตกลงกดโทรออก

     รอสัญญาณอยู่สักพักอีกฝ่ายก็กดรับ“มาถึงแล้วหรือ” เสียงเรียบเฉยดังขึ้นจากปลายสาย

     “เออ” ผมตอบเสียงห้วน

     “เดินมาที่ชั้นสาม ตรงกันร้านหนังสือข้ามจะมีคอฟฟี่ ช็อป พวกผมกับคนอื่นๆ อยู่ในร้าน” กชอินทร์ว่าเช่นนั้นก่อนที่จะตัดสายไปอย่างรวดเร็ว

     ก็ดี... ได้ยินเสียงมันนานๆ อาจจะทำให้ผมเป็นบ้าได้

     ผมเดินออกจากลานจอดรถเข้ามาในตัวห้าง ขึ้นบันไดเลื่อนไปชั้นสามตามที่มันบอก ไม่นานก็อยู่ตรงหน้าร้านที่มันว่า เดินเข้ามาก็เห็นทันทีว่ากชอินทร์นั่งอยู่ที่โต๊ะซึ่งมีจำนวนคนสี่ห้าคน

     มันสวมเสื้อเชิ้ตสีฟ้าอ่อน การแต่งตัวเหมือนพนักงานออฟฟิศของมัน ไม่ว่าจะมองกี่ครั้งก็ยังไม่รู้สึกคุ้นตา อีกฝ่ายเงยหน้าขึ้นมา ผมรู้ทันทีว่าเราสบตากันที่มันกลับไม่ส่งสัญญาณใดๆ เป็นการเชิญ ซ้ำยังผลุบตาลงต่ำ ผมได้แต่มองมันแล้วเค้นหัวเราะก่อนที่จะเดินเข้าไปที่โต๊ะนั้นก่อน

     “สวัสดีครับ” ผมยกมือไหว้คนบนโต๊ะนั้น

     “อ้าว พีทมาแล้ว” คุณศศิกานต์ นักเขียนผู้หญิงวัยสี่สิบต้นรูปร่างผอมแห้งที่จำผมได้เพราะเคยเจอกันบ้างเป็นบางครั้ง “มาเร็วนะจ๊ะ” เธอเอ่ยทักทายยิ้มๆ ผายมือไปที่เก้าอี้ว่าง... ข้างๆ คุณบรรณาธิการของผมเอง

     ผมยิ้ม ไม่ได้แสดงสีหน้าอะไรแต่สายตาเหลือบมองกชอินทร์ มันเองก็ไม่ได้แสดงอะไรให้เห็นเพียงแต่ยกแก้วตรงหน้ามันขึ้นจิบตอนที่ผมหย่อนกายลงข้างๆ มัน

     “นี่คุณพีรพัฒน์ครับ” คนข้างกายแนะนำผมให้กับคนในโต๊ะเมื่อวางแก้วลง

     ผมได้แต่ยิ้ม บนโต๊ะมีแต่ผู้หญิง ผู้ชายมีแค่ผมกับมัน พอแนะนำตัวเสร็จผู้หญิงที่ดูอายุใกล้เคียงกับนักเขียนอีกท่านก็จัดการแจกแจงลำดับขั้นตอนในการทำงานว่ามีอะไรบ้าง ไม่ได้ยุ่งยาก เหมือนกับงานทั่วๆ ไป มีการถ่ายรูปรวม สัมภาษณ์นิดๆ หน่อยๆ หลังจากนั้นก็แจกลายเซ็น ผมคิดว่าวันนี้คนคงไม่ได้เยอะอะไรมาก

        หลังจากพูดคุยกันเรียบร้อยแล้วพวกเราก็นั่งกันในร้านอยู่พักหนึ่ง ผมมักจะคุยกับคุณศศิกานต์ที่นั่งตรงกันข้ามมากกว่าคนอื่น ส่วนผมกับบรรณาธิการที่นั่งข้างๆ ไม่มีคำพูดใดระหว่างกันเลย

        “พีทกับคุณกชอินทร์อยู่ด้วยกันนี่ทำให้พวกเราดูสาวขึ้นนะจ๊ะ” คุณศศิกานต์เอ่ยปากขึ้นด้วยรอยยิ้ม เล่นเอาผมกลืนไม่เข้าคายไม่ออก ได้แต่ส่งยิ้มให้อีกฝ่าย ตามมาด้วยเสียงของสาวน้อยใหญ่ที่ร่วมโต๊ะแสดงความเห็นด้วย

        “นั่นสิ อายุเท่าไหร่กันเอง”

        “วัยหนุ่มๆ ไฟแรงๆ ดีแล้วนะ”

        ผมเลื่อนสายตามองคนที่นั่งข้างกาย เห็นว่ามันยิ้มจนเห็นลักยิ้มแต่กลับไม่ได้ให้ความรู้สึก ‘น่ามอง’ เหมือนแต่ก่อนเท่าไหร่นัก

        สมัยก่อนมันยิ้มแบบ ‘บริสุทธิ์’ มากกว่านี้

        ผมนึกตลกระคนสมเพชตัวเองที่เผลอไผลคิดถึงมันในสมัยก่อน ระยะเวลาที่ผ่านมายืนยันแล้วว่ามันคนเดิมที่ผมเคยรู้จักไม่อยู่อีกต่อไปแล้ว

        “น้องอินทร์เขาเองก็ใหม่ในการเป็นบก. นะ แต่ทำออกมาไม่เลวเลย” ผู้หญิงคนหนึ่งที่วัยดูใกล้เคียงกับผมมากที่สุดเอ่ยขึ้น “ก่อนหน้านี้เห็นบริหารการขาย...”

        “เราไปเตรียมดีกว่าไหมครับ ใกล้ถึงเวลาแล้วด้วย”

        “อุ๊ย จริงด้วย” เจ้าหล่อนก้มลงมองนาฬิกาทันทีที่คนข้างกายของผมเอ่ยตัดบทขึ้นมา

        ผมพยักหน้าเมื่อคนทั้งโต๊ะตกลงตัดสินใจจะออกจากร้าน สี่โมงสิบนาทีแล้ว อินทร์ไม่ได้พูดผิดที่ว่าใกล้ถึงเวลาแต่รอยยิ้มของมันที่ยังอยู่บนใบหน้าทำให้ผมรู้สึกแปลกไปมากกว่าเก่า ผมเป็นคนที่เดินออกมาเป็นคนสุดท้ายส่วนอินทร์ไปเดินคุยกับผู้หญิงที่อธิบายลำดับขั้นตอนให้ผมก่อนหน้านี้ ผมเห็นมันถือเอกสารแล้วถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่

        ไม่รู้มองผิดหรือเปล่า...แต่ผมว่าผมเห็นมันปรายสายตามาทางผมก่อนที่จะหลบสายตาทันทีที่เราสบตากัน

        ผมกัดริมฝีปากตัวเองด้วยความหงุดหงิด สาเหตุคือทั้งตัวมันทั้งตัวผม อินทร์มองผมจริงๆ หรือไม่ได้ตั้งใจ แล้วผมจะไปมองมันอีกเพื่ออะไร... คำตอบของคำถามข้อหลังผมรู้ดีอยู่แก่ใจแต่ต้องทำลืมๆ มันไปอย่างเสียไม่ได้

        “เดี๋ยวคุณพีทนั่งข้างขวานะคะ” ผู้หญิงคนหนึ่งที่น่าจะเป็นสต๊าฟเอ่ยปากออกมาพร้อมกับชี้ให้ดู มีฉากเป็นภาพหนังสือเล่มใหม่ล่าสุดของผมกับคุณศศิกานต์ ไม่ได้มีเวทีอลังการอะไรแต่ก็ยังเป็นบริเวณยกพื้นเล็กน้อย “พอดีน้องพิธีกรตัวเล็กน่ะค่ะ ถ้าให้นั่งข้างซ้ายกลัวว่าจะบังน้องเขา”

        “ได้ครับ” ผมพยักหน้าให้อีกฝ่าย เจ้าหล่อนอธิบายขั้นตอนคร่าวๆ อีกครั้งก่อนที่จะเดินออกไปคุยกับคุณศศิกานต์

        “คุณพีรพัฒน์” เสียงทุ้มเรียกชื่อผมดังขึ้นมาทันทีที่เจ้าหล่อนเดินออกไป

     ผมถอนหายใจออกมาอย่างแผ่วเบาเพราะรู้ดีว่านั่นมันเป็นเสียงใครก่อนที่จะหันไปทำหน้าหงุดหงิดใส่อีกฝ่าย “อะไร”

     “ช่วยทำตัวให้เรียบร้อยกว่านี้หน่อยได้ไหม” กชอินทร์ว่าเช่นนั้น ปรายตามองที่ชายแขนเสื้อซึ่งผมไม่ได้ติดกระดุมไว้ และเดินเข้ามาใกล้อีกสองสามก้าว ผมยืนตัวแข็งทื่อ ไม่ได้ขยับไปไหน “ทำไมยังมีกลิ่นบุหรี่”

     “สูบมา” ผมตอบตามตรงเสียงห้วน

     มันเดาะลิ้นครั้งหนึ่ง ถอนหายใจเฮือกใหญ่ก่อนที่จะดึงอะไรบางอย่างออกมาจากแขนเสื้อ “เคี้ยวหน่อยแล้วกัน”

     ผมรับมันมาอย่างไม่ได้เต็มใจเท่าไหร่นัก อินทร์ส่งหมากฝรั่งรสมิ้นท์ให้ทั้งแผง ผมจำใจเอาชิ้นหนึ่งมาเคี้ยวอย่างเสียไม่ได้ก่อนที่จะส่งยื่นให้มันคืน

     “ไม่เป็นไร คุณเอาไปเลย”

     ผมพ่นลมหายใจออกมา “ทำไม กลัวเสนียดมันติดรึยังไงฮะ”

     “คุณพูดออกมาเองนะ” มันตอบกลับเสียงเรียบก่อนที่จะเลื่อนสายตาไปที่ชายแขนเสื้อใหม่ “จะติดกระดุมหรือจะพับก็เอาสักอย่าง” มันว่าแต่ไม่ยอมขยับตัวไปไหน คงหมายความว่าจะรอดูให้แน่ใจว่าผมจะทำตามที่มันต้องการ

     ผมเอาลิ้นดุนดันกระพุ้งแก้มขณะเคี้ยวหมากฝรั่งรสหวาน พยายามสงบสติอารมณ์ พักแขนเสื้ออย่างลวกๆ เพราะกระดุมที่แขนตัวนี้ขาด เสื้อผ้าผมไม่ค่อยมีสภาพดีเท่าไหร่หรอก

     คนตรงหน้าถอนหายใจ “วันหลังใส่เสื้อยืดก็ได้นะครับ”

     “จะมีวันหลังอีกรึยังไง” ผมว่าประชดประชันโดยไม่มองหน้าอีกคนเพราะนั่งจัดการแขนเสื้อข้างขวาตัวเองอยู่ พับยังไงก็เหมือนม้วน... ทุเรศเกินไป ขนาดผมยังรับไม่ได้เลย

     หมับ!

     ผมผงะเมื่ออีกฝ่ายคว้าข้อมือข้างขวาของผมไปและก้มลงพับแขนเสื้อให้ผมอย่างประณีต ก่อนที่มันจะเลื่อนมือมาที่ข้อมือข้างซ้ายซึ่งผมเพิ่งพับไปเมื่อกี้ คลายออกมาแล้วพับให้ใหม่อย่างสวยงาม

     ผมละสายตาจากมันที่ก้มหน้าก้มตาแม้พับแขนเสื้อให้ผมเสร็จแล้วไม่ได้ มันจับมือของผมมาเทียบกันก่อนที่จะส่งเสียงจิ๊จ๊ะในลำคอบ่งบอกว่าหงุดหงิดใจเมื่อทั้งสองข้างไม่เท่ากันก่อนที่จะคลายแขนเสื้อข้างขวาออกมาพับใหม่

     มือของผมขยับไปแตะไหล่มันโดยไม่รู้ตัวตอนที่มันพับเสร็จ กชอินทร์สะดุ้งขึ้น เงยหน้ามองผมด้วยแววตาตกใจในเสี้ยววินาทีและกลับมาเรียบเฉยราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น

     “รักษาภาพลักษณ์ของคุณหน่อย คุณพีรพัฒน์” มันว่าเช่นนั้นก่อนที่จะหันหลังเดินไปอีกทาง

     ผมได้แต่มองมันตาไม่กระพริบ อินทร์ไม่ได้ไปเข้ากลุ่มกับคนอื่นๆ มันเดินไปนั่งบนเก้าอี้ที่ถูกจัดเตรียมไว้ให้นักอ่านที่จะมารับลายเซ็นก่อนที่จะเอามือกุมขมับโดยไม่เงยหน้าขึ้นมาแม้แต่นิดเดียว

     มันคงไม่เห็น...ว่าผมมองมันอยู่และจับจ้องมันตลอดจนเสร็จงาน



        ผมโดนคนอื่นๆ ชวนไปทานอาหารเย็นด้วย แต่สายตาผมยังคงจับจ้องไปที่คุณบรรณาธิการซึ่งคุยอะไรสักอย่างกับเหล่าสต๊าฟในงานเมื่อกี้ มันโค้งขอบคุณก่อนที่จะเดินมาทางพวกเราซึ่งมีแต่คนในสำนักพิมพ์
   
     “อินทร์ ไปทานข้าวเย็นกันไหมจ๊ะ”

        คนถูกชวนยิ้มเล็กน้อย “ไม่ล่ะครับ วันนี้ผมไม่สะดวก”

        “งั้นหรือ เสียดายจัง” คุณศศิกานต์พยักหน้า “จะกลับเลยรึ กลับบ้านยังไง”

        “รถผมเสียน่ะครับ คงเรียกแท็กซี่กลับ” กชอินทร์ตอบอย่างสุภาพก่อนที่จะยกมือไหว้สตรีคนอื่นๆ ซึ่งอายุมากกว่าเรากันทั้งนั้น “ผมขอลาเลยนะครับ”

        คนอื่นยิ้มโบกมือลา เริ่มตกลงกันว่าจะทานอะไร ผมมองมันที่กำลังเดินไปที่บันไดเลื่อนก่อนที่จะเอ่ยปากขึ้นมาบ้าง “ผมก็ขอตัวนะครับ”

        “เอ๊ะ เราด้วยเหรอ”

        “ต้องไปปิดร้านน่ะครับ” ผมยกข้ออ้างที่ไม่ใช่ความจริงออกมา ยกมือลาคนอื่นอย่างลวกๆ ไม่ลืมที่จะขอบคุณสำหรับการช่วยเหลือในวันนี้ให้ลุล่วงไปได้ด้วยดีและเดินตามกชอินทร์ไปที่บันไดเลื่อนอย่างรวดเร็วก่อนที่จะชะงักเมื่อคิดอะไรบางอย่างได้

     ...ตามไปทำไม?

     มันเป็นเรื่องจำเป็นหรือที่จะต้องตามอินทร์ไป ก็ไม่ แล้วผมจะปลีกตัวออกมาทำไม ผมคิดถึงเรื่องนั้นก่อนที่จะหันหลังกลับเดินไปอีกทางเมื่อเหลือบไปเห็นทางออกไปที่ลานจอดรถ แต่ได้ยินเสียงที่เคยคุ้นหูดังมาจากด้านหลังเสียก่อน

     “เมื่อกี้คุณเดินตามผมเหรอ”

     ผมหันหลังกลับไป กชอินทร์ยืนอยู่ตรงนั้น ระยะห่างไม่มากเท่าไหร่ มันกอดอกมองผมด้วยแววตาเฉยชา

     หัวสมองว่างเปล่า ผมคิดอะไรไม่ออก สุดท้ายก็ต้องจำใจตอบไปตามจริง “ใช่”

     “มีอะไร” มันถามเสียงห้วน ตรงนี้ไม่ค่อยมีคนด้วยซ้ำ แม้แต่ยามยังไม่มีเพราะไม่ใช่ประตูหลัก

     ผมหลับตาลง “ไม่มี” โกหกคำโต... ผมมีอะไรสักอย่างที่อยากพูดกับมันแต่ทำไม่ได้เพราะความกล้ามีไม่เพียงพอ

     ร่างติดผอมของมันเดินเข้ามาใกล้ผมอีกหนึ่งก้าว เอ่ยปากถามเสียงเฉยชา “ที่ผมพูด...” มันชะงักไปนิดหน่อย สูดลมหายใจและพูดให้ดังขึ้น “มันไม่ชัดเจนพอเหรอคุณพีรพัฒน์”

     “...” ชัดเจนอยู่แล้ว แต่...

     “จะมองผมทำไมอีก”

     คำพูดของมันทำให้ผมรู้สึกแปลกไป “อะไรนะ”

     อีกฝ่ายเงยหน้าขึ้นย้ำอีกครั้ง “ผมถามว่าคุณจะมองผมทำไม ทำเหมือนเรา...” มันหลับตาลง เม้มริมฝีปากเข้าหากันแน่นจนผมจับสังเกตได้ “เป็นเพื่อนร่วมงานที่ไม่สนิทกันได้ไหม”

     “เฮอะ” ผมเค้นหัวเราะออกมาเสียงดังด้วยความหงุดหงิด “เป็นเพื่อนร่วมงานที่ไม่สนิท? ก็ถูกแล้วนี่... ทำไมต้อง ‘ทำเหมือน’ ด้วยล่ะ เราไม่สนิทกันนี่” ผมอยากตบปากตัวเองที่ชอบพูดจาประชดประชันเสียเหลือเกินแต่นั่นไม่ใช่ประเด็น

     ผมมองลึกเข้าไปในแววตาของมัน กชอินทร์หลบตาผมแทบจะในทันที พอเห็นท่าทีของมันแปลกไปทำให้ผมเอาใหญ่ เหลือบสายตามองซ้ายขวาพบว่าไม่มีใครเลยเดินเข้าใกล้มันให้มากขึ้น อินทร์ถอยหลังหนีอย่างช้าๆ จนแผ่นหลังบางนั้นแนบไปกับกำแพงสีขาวข้างลิฟท์

     “มองงั้นหรือ? รู้ได้ยังไงว่าผมมองคุณ...” ผมพยายามพูดอย่างใจเย็น “นอกจากคุณเองก็มองผมเหมือนกัน”

     แววตาของมันที่ใสเหมือนกับลูกแก้วแสดงอาการตกใจขึ้นมานิดหน่อยก่อนที่จะเบือนหน้าหนี “ถอยออกไป”

     “ไม่” ผมตอบอย่างชัดเจน “มองหน้าผมสิ”

     อีกฝ่ายเม้มริมฝีปากแน่น กัดฟันจนสันกรามนูนออกมาให้เห็น สูดลมหายใจลึกและย้ำคำเดิมที่รู้ว่าไม่มีผลใดๆ กับผม “ถอยออกไป คุณพีรพัฒน์”

     “คราวก่อนพูดว่าอะไรนะ... เกลียดอย่างงั้นเหรอ” ผมว่าพลางเค้นหัวเราะ กำหมัดแน่นอย่างพยายามสงบสติอารมณ์แต่ดูเหมือนมันจะไม่ได้ผลนัก “เงยหน้าขึ้นมา อินทร์” มันไม่ได้ทำตามคำสั่งแต่ไม่เลื่อนกายไปไหนทั้งๆ ที่ตอนนี้ผมทำเพียงแค่ยืนประชิดมันธรรมดา ทีท่าของมันทำให้ผมยิ้มเย้ยหยัน “ถ้าเกลียดกันจริง...ก็แสดงออกมาให้เห็นสิ”

     “คุณพีรพัฒน์ ถอยไปเดี๋ยวนี้”

     “ทำให้เห็นสิว่าเกลียดน่ะ โธ่เว้ย!”

     มันสะดุ้งเมื่อน้ำเสียงของผมแปรเปลี่ยนเป็นการตะคอกด้วยความเหลืออด มือข้างหนึ่งทุบกำแพงข้างๆ มัน อินทร์ไม่ขยับกาย สิ่งที่มันทำมีเพียงแค่เบือนหน้าหนีมากกว่าเก่า มือของมันแทบจะแนบไปกับลำตัว

     “บอกว่าผมมองคุณ... คุณไม่มีทางรู้ถ้าคุณไม่ได้มองผมเหมือนกัน” ผมเค้นยิ้ม “แล้วดูสิ”

     ผมเลื่อนหน้าเข้าไปใกล้มันมากขึ้น จับใบหน้าของมันหันมาสบตากับผมตรงๆ แววตาของมันแสดงความตระหนกระคนความรู้สึกบางอย่างอย่างเห็นได้ชัด มืออีกข้างเลื่อนไปจับแขนของมันอย่างถือวิสาสะ
   
     อินทร์ไม่ใช่คนแรงน้อยแม้ว่าจะเป็นคนตัวผอมบางและเตี้ยกว่าผมแต่เรี่ยวแรงของมันเหมือนกับผู้ชายทั่วไป ดีไม่ดีอาจจะเยอะกว่าคนปกติด้วยซ้ำ แต่ดูสิ... มันทำอะไร ไม่แสดงทีท่าว่าจะหนีตั้งแต่ต้น ตอนแรกผมไม่ได้กันท่าไว้เลยว่า ถ้ามันจะหนีก็เป็นเรื่องง่ายอยู่แล้ว กระทั่งตอนนี้... ถ้ามันคิดจะทำให้ผมปล่อยมันก็ง่ายนิดเดียว   
   
     “ขนาดตอนนี้...แค่จะผลักผมออกคุณยังไม่กล้าเลย คุณกชอินทร์”

        อาจจะดูหลงตัวเองตัวเอง แต่ผมค่อนข้างมั่นใจว่าสาเหตุที่ทำให้มันไม่หนีผมไปคืออะไร...

        มันไม่อยากจะเดินออกไปจากตรงนี้





----------------------------------------------------------
   พีทนี่มันเป็นคนหลงตัวเองจริงๆ...

   มาลองเดากันดีไหมคะว่าเกิดอะไรขึ้นกชอินทร์ถึงเป็นแบบนี้ ใครทายถูกนิวให้สิบบาทนะคะ (ฮา) รอดูกันไปเรื่อยๆ ดีกว่า สักพัก...ใหญ่ๆ เดี๋ยวก็ได้รู้ค่ะ ยังไงเรื่องนี้ก็ตั้งใจให้อึดอัดอยู่แล้ว เหมือนโดนบังคับให้อยู่ในความเงียบทั้งๆ ที่อยากพูดน่ะค่ะ!

   พรุ่งนี้นิวต้องไปค่ายกับทางโรงเรียน ถ้ามาอัพช้าอย่าว่ากันนะคะ TvT
   
   ขอให้ทุกคนมีความสุขกับนิยายเรื่องนี้ค่ะ

   ปล. เพลง The Littlest Thing ก็เป็นอีกหนึ่งในเพลงที่ทำให้ได้พล็อตเรื่องนี้มานะคะ ฮา!

   หนึ่งคอมเม้นเท่ากับหนึ่งกำลังใจ อย่าลืมให้กำลังใจนิวด้วยหนึ่งคอมเม้นนะคะ!

ออฟไลน์ B52

  • เป็ดZeus
  • *
  • กระทู้: 13215
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +420/-26

ออฟไลน์ Vermouth

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 77
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +8/-0
โอ่ยยยยย อดีตวัยเด็กตอนยังรักกันอยู่นี่อย่างมุ้งมิ้งเลยค่ะ แต่ปัจจุบันนี่ยาขมมากๆ สงสารพีทนะคะ คือไม่รู้อะไรสักอย่างเลยจริงๆ มันอึดอัดมากนะแบบนี้ อินทร์มีเหตุผลอะไรกันแน่นะ ฮืออออ

ออฟไลน์ Autonomyz

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 161
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +10/-4
ทำไมยิ่งอ่านเรายิ่งไม่ชอบคนแบบอินทร์  :katai1:

ออฟไลน์ youuue

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 135
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +16/-1
คนไขว่คว้า กับคนหนีตัวเอง  งืม  ตามติดๆๆๆ :pig4: :pig4:

ออฟไลน์ NINEWNN

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 317
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +105/-4

CHAPTER 8

“We don’t talk much anymore
We keep running from the pain”

(I don’t know you anymore – Savage Garden)



        ผมมองลึกไปในแววตาที่แสดงอาการวูบไหวไปมาของมันท่ามกลางความเงียบ

        เงียบจนได้ยินเสียงลมหายใจที่แผ่วเบา...จนผมนึกกลัวว่าคนที่อยู่ตรงหน้ากันนี่อาจจะเป็นภาพลวงตา อินทร์พยายามที่จะเบือนหน้าหนีแต่ผมไม่ยอมให้เป็นแบบนั้นด้วยการจับใบหน้ามันไม่ให้เคลื่อนไปไหน อินทร์เลยทำได้เพียงผลุบตาลงต่ำ

        “อินทร์...”

        “ถอยไป” มันย้ำคำเดิมเสียงขุ่น แต่แฝงความสั่นไหวอยู่ในนั้น

        “อินทร์”

        “ถอย!” รอบนี้มันเริ่มขึ้นเสียงคล้ายจะตวาด ยกมือข้างหนึ่งขึ้นมากึ่งทุบกึ่งผลักลงบนไหล่ข้างขวาของผม ซึ่งมันไม่ได้ทำให้ผมสะทกสะท้านแม้แต่น้อย

        “ทำไมไม่ทำให้แรงกว่านี้ล่ะ” ผมยียวน

        คนตรงหน้าถลึงตาแต่กลับไม่ทุบอะไรผม ริมฝีปากบางเม้มเข้าหากันแน่นก่อนที่จะเปลี่ยนเป็นการกัดริมฝีปากล่างแบบที่มันชอบทำสมัยก่อนตอนเครียดๆ ผมมองดูปากบางของมันก่อนที่จะเลื่อนมือไปสัมผัสที่มุมปากของมันอย่างแผ่วเบา แต่คงมากพอที่จะทำให้มันสะดุ้ง

        “...”

        ไม่มีคำพูดใดหลุดมาจากเรา

        อินทร์มองหน้าผม ผมมองหน้ามัน เราสบตากัน...และเป็นมันที่หลบตาไปก่อน

        ผมได้ยินเสียงลมหายใจที่แสดงถึงความอึดอัดของคนตรงหน้า จังหวะนั้นเองที่ได้ยินเสียงคนพูดคุยกันดังเข้ามาใกล้ผมเลยรีบผละกายออกมาอย่างรวดเร็ว แต่ไม่วายที่จะคว้ามือของมันมาและออกแรงกระชากอย่างแรง

        “นี่!” มันเริ่มโวยวายอีกหนเมื่อผมลากมันออกมาที่ข้างนอกก่อนที่จะมีใครเดินเข้ามาเจอ “คุณพีรพัฒน์!”

        “เลิกเรียกสักที!”

        “แล้วจะให้เรียกว่าอะไรเล่า!”

        เสียงตวาดของมันทำให้ผมหันไปมอง กชอินทร์แสดงสีหน้าราวกับเพิ่งได้สติ มีคำว่า ‘พลาดแล้ว’ แสดงออกมาจากแววตาของมัน

        “เรียกว่าอะไร... ต้องให้ตอบจริงๆ รึยังไง” ผมเอาลิ้นดุนแก้มอย่างหงุดหงิดใจกับคำพูดของมัน พูดด้วยน้ำเสียงแสดงความขุ่นเคืองอย่างเห็นได้ชัดแถมยังกระชากเสียงอีกต่างหาก

     ในหัวผมตื้อไปหมด เหมือนกับโมโหทั้งที่รู้ดีอยู่แก่ใจว่าตนไม่มีสิทธิ์อะไรไปโมโหมัน... อาจจะเป็นเพราะว่าผมรู้ดีผมถึงยิ่งรู้สึกหงุดหงิดใจ ผมเกลียดที่ต้องยอมรับความจริงว่าผมไม่มีสิทธิ์ใดๆ ในตัวมัน ไม่ว่าจะเป็นสิทธิ์ในการสัมผัส การพูดคุย หรือการโอบกอดมันไว้ในอ้อมแขน... ไม่สิ ความจริงแล้ว สิทธิ์ที่ผมจะรู้เหตุผลที่เราไม่ได้พูดคุยกันมาตลอดสิบปีนี้ผมยังไม่มีเลยด้วยซ้ำไป
     
     คนตรงหน้าเงยหน้าขึ้นมา กัดริมฝีปากตามนิสัยเสียของตัวเองก่อนที่จะพูดคำที่ผมไม่อยากฟังออกมามากที่สุด

     “ผมเกลียดคุณ...” มันพูดแบบนั้นแต่กลับไม่ทำอะไรกับมือของผมที่จับข้อมือมันอยู่เลย ผมออกแรงบีบมากขึ้นเล็กน้อย แต่อินทร์ก็ยังคงย้ำคำเดิม “เกลียด...”

     “เดินออกไปสิ” ผมพูดตัดบท

     “...”

     “เกลียดไม่ใช่เหรอ เดินออกไปเลย เดี๋ยวนี้” ผมย้ำกับมันด้วยน้ำเสียงหนักแน่น ก้มลงมองข้อมือของมันที่ถูกผมจับกุมอยู่ก่อนที่จะเงยหน้าของมามองมันอีกครั้ง “แค่สะบัดก็หลุดแล้วนี่”

     “...”

     อย่ามาทำหน้าแบบนี้

     อย่ามองกันด้วยแววตาเหมือนผิดหวังกับคำพูดที่ออกมาจากปากผม คนที่ควรจะผิดหวังและเสียใจมันคือผมเองไม่ใช่หรือ... ทำไมต้องมองเหมือนผมทำอะไรให้ผิดหวังด้วย

     ผมสบถคำหยาบคายออกมาเสียงดังด้วยความหงุดหงิดใจ ก่อนที่จะดึงแขนมันมาอีกครั้ง อินทร์ไม่ได้คิดจะหนีผมไปไหน ซ้ำยังคล้ายจะยอมเดินตามแต่โดยดีด้วยซ้ำไป นี่เหรอท่าทีของคนที่เกลียดกัน...แล้วจะเชื่อได้ยังไงว่ามันเกลียดผมเหมือนที่มันพูด

     “ให้โอกาสให้เดินออกไปแล้วนะ...” ผมเอ่ยปากออกมาโดยที่ไม่มองหน้ามัน เดินตรงไปที่รถของตนเองซึ่งจอดอยู่ในชั้นนี้พอดี ยิ่งอีกฝ่ายไม่ตอบโต้อะไรกลับมายิ่งทำให้ผมกระชับมือมันแน่นกว่าเดิม “ถ้าไม่เดินออกไปตอนนี้...มึงจะไม่มีโอกาสเดินออกไปอีกแล้วอินทร์”

     “...”

     “กูจะไม่ปล่อยมึงไปอีกแล้ว...”

     ผมลืมความพยายามทุกอย่างไปหมดสิ้น ลืมว่าตัวเองเคยรู้สึกแย่เพียงไหนตอนที่มันเดินจากไปโดยไม่สนใจเสียงเรียกของผม ผมยอมทิ้งทุกอย่างไปพร้อมๆ กับความสับสน พอเจอหน้ามันใกล้ๆ...พอเห็นมันทำตัวคล้ายให้ความหวัง เสี้ยววินาทีนั้นผมกลับย้อนนึกถึงอดีตระหว่างเรา นึกถึงว่าสาเหตุที่ทำให้ผมไม่มีสิทธิ์คืออะไร ความคิดหนึ่งก็แวบเข้ามาในหัวสมองในทันที

     ที่ผมไม่มีสิทธิ์...เป็นเพราะตอนนั้นผมไม่กล้าพอที่จะคว้ามันไว้ใช่รึเปล่า...

     ถ้าผมโยนทิฐิทุกอย่างทิ้งตั้งแต่ตอนนั้น ยอมเดินไปอ้อนวอนขอร้องให้มันฟัง อินทร์จะทำยังไงกับผม จะยอมบอกสาเหตุให้ผมฟัง ยอมพูดคุยกับผมบ้างไหม

     ผมไม่รู้...และคิดว่าตัวเองคงไม่มีโอกาสได้รู้

     ครั้งหนึ่งผมเคยปล่อยโอกาสผ่านไปง่ายๆ แม้ในใจจะคิดแล้วว่านั่นคือโอกาสสุดท้าย ทุกครั้งที่ผมมองหน้ามันนับตั้งแต่มันเอ่ยปากบอกว่า ‘ขี้เกียจคุย’ ผมคิดตลอดว่ามันคือครั้งสุดท้ายของเรา... เราจะได้มองหน้ากันเป็นครั้งสุดท้าย... เดินผ่านกันเป็นครั้งสุดท้าย... แต่ถึงกระนั้นผมก็ยังไม่ยอมพยายามให้มากกว่านี้
 
     จนวันปัจฉิมที่ผมเดินสวนกับมันหลังจบพิธีการต่างๆ ตอนสามทุ่มกว่า ผมเห็นอินทร์เดินออกจากโรงเรียนไปเพื่อขึ้นรถแม่ของมันที่มารับ ทั้งที่ส่วนลึกในใจบอกให้ดันทุรังต่ออีกสักครั้ง... แต่ผมก็ยังปล่อยให้มันเดินผ่านไป

     ถ้าวันนั้นผมรั้งมันไว้อะไรจะเกิดขึ้น ถ้าผมดันทุรังต่ออีกสักนิด ถ้าผมพยายามให้มากกว่าเดิมอีกสักหน่อย

     บางทีสิ่งนั้นอาจจะค้างคาอยู่ในใจผมตลอดมา ผมถึงไม่เคยลืมมันได้ ปล่อยให้มันเป็นตะกอนในความทรงจำที่ยังชัดเจน แม้ไม่ได้คิดถึงทุกวันเวลา ห้วงหาทุกลมหายใจแต่ผมก็ชอบเผลอนึกไปถึงมันหลายครั้งหลายคราจนบางทีผมก็คิดว่าตัวเองเป็นพวกย้ำคิดย้ำทำ

     อินทร์อาจจะซ่อนในส่วนลึกของความทรงจำ แต่มันไม่เคยหายไปไหน...ไม่เคยเลย



     กชอินทร์ไม่แม้แต่จะถามว่าผมจะพามันไปไหน แค่ผมบอกให้มันขึ้นรถมันก็ขึ้นมาอย่างง่ายดายจนผมนึกแปลกใจและสับสนกับตัวมัน

     สรุปมันต้องการอะไรกันแน่ ผลักไสผมไปให้ไกลหรือต้องการให้ผมอยู่ใกล้ๆ อยากให้พวกเรามีความสัมพันธ์ที่ห่างเหินหรือต้องการให้เรากลับไปเป็นเหมือนเดิม ผมคิดไม่ออก ผมไม่สามารถเข้าใจมันได้ แต่บางทีผมก็อยากจะโยนความสงสัยนั่นทิ้งไปซะ ผมจะเข้าใจมันได้อย่างไรในเมื่อผมยังไม่เข้าใจตัวเองด้วยซ้ำไป

     ผมเหลือบตามองคนข้างกาย มันไม่ได้มองผมหากแต่หันมองออกไปนอกหน้าต่าง ฝนตกเล็กน้อยทำให้การจารจรติดขัดกว่าที่ควรจะเป็น

     “จะไม่ถามอะไรเลยเหรอ” ผมเป็นคนทำลายความเงียบตอนที่รถติดไฟแดง

     มันไม่ตอบ ไม่แม้แต่จะหันมามองผมด้วยซ้ำ

     ผมพ่นลมหายใจออกมาอย่างหงุดหงิด “ความปลอดภัยของตัวเองแท้ๆ...”

     คราวนี้มันหันมา “อยากให้ถามเหรอ จะพาไปไหนล่ะ” มันถามด้วยน้ำเสียงประชดประชันพร้อมกับเลิกคิ้วใส่ผม “เชิญเลย” ไหวไหล่คล้ายไม่ใส่ใจ

     “อย่าพูดออกมาพล่อยๆ ถ้าคิดว่าทำไม่ได้” ผมเอ่ยพร้อมกับกำพวงมาลัยในมือแน่นเมื่อสัญญาณไฟจารจรเปลี่ยนเป็นสีเขียว ผมได้ยินเสียงจิ๊จ๊ะดังออกมาจากอีกฝ่ายแต่กลับไม่มีคำพูดใดตามมา “ยังอยู่บ้านเดิมอยู่ไหม”

     “ไม่”

     “โอเค” ผมกระแทกเสียงใส่ “งั้นก็ไม่ต้องกลับบ้าน”

     มันหันขวับมามองผมด้วยสายตาหงุดหงิดใจ กัดริมฝีปากล่างอีกหนจนผมเผลอยกมุมปากขึ้นโดยไม่รู้ตัว นิสัยเสียแบบนี้ของมันไม่ได้เปลี่ยนไปเลยสักนิด

     “ปากแตกหมด”

     มันผงะนิดหน่อย ส่งเสียงหายใจฮึดฮัดก่อนที่จะเบือนหน้าไปที่นอกหน้าต่างใหม่

     กชอินทร์ไม่ได้พูดอะไรออกมาอีก ผมถือว่านั่นคือการไม่ปฏิเสธที่ผมจะไม่ไปส่งมันที่บ้าน เพราะฉะนั้นผมเลยถือวิสาสะขับรถมาที่บ้านของตัวเองแทน พอเริ่มใกล้ถึงผมก็ได้แต่สังเกตคนข้างกาย มันเริ่มแสดงอาการอึดอัดออกมาให้เห็นอีกครั้งหนึ่ง จนสุดท้ายมันก็เอ่ยปากออกมา

     “จะไปที่ไหน”

     “บ้าน”

     “จอด” มันเอ่ยเสียงแข็ง คงรู้แล้วว่าผมพูดถึงบ้านของใคร “เดี๋ยวนี้เลย”

     ผมไม่ได้ตอบอะไร ขับรถไปเรื่อยๆ จนมันเริ่มจะขยับตัวเพื่อปลดเข็มขัดนิรภัยผมจึงคว้ามือมันไว้อย่างรวดเร็ว “คิดจะทำอะไร”

     “ลงจากรถ”

     “บอกตั้งแต่ต้นแล้วใช่ไหมว่าให้เดินออกไปตั้งแต่ต้น” ผมพูดโดยไม่หันมองหน้ามันเพราะยังต้องจับจ้องกับถนนตรงหน้า ฟ้าเริ่มมืด ไหนจะฝนที่ตกลงมาอีก

     มันพยายามปัดแขนของผมออก จังหวะนั้นเองที่ไฟของสี่แยกใกล้บ้านของผมเปลี่ยนเป็นสีแดงผมจึงหันมองมันเต็มๆ ตา

     “หยุดเดี๋ยวนี้” ผมย้ำเสียงแข็ง “บอกแล้วใช่ไหม”

     “คุณพีรพัฒน์”

     “เตือนแล้วนะ...” ผมว่าเสียงเย็นตอนที่มันเรียกชื่อผม สักพักมันก็หยุดดื้อเมื่อสัญญาณไฟเปลี่ยนเป็นสีเขียว ผมถอนหายใจออกมาอย่างหงุดหงิดและหันไปสนใจทางข้างหน้าใหม่

     อินทร์แสดงอาการเครียดออกมาอย่างเห็นได้ชัด มันเริ่มขยับกายไปมาตอนที่ผมเลี้ยวเข้าซอยบ้านตัวเอง ผมเหลือบมองมันอีกครั้งตอนที่ตัวเองจะลงไปเปิดประตูบ้านเพื่อเอารถเข้าไปจอด อินทร์ไม่มีทีท่าที่จะหนีอีกแล้ว อะไรของมันกันแน่... ผมส่ายหน้าด้วยความไม่เข้าใจก่อนที่จะจัดการเอารถเข้าไปจอดให้เรียบร้อยแล้วจึงถามมัน

     “ไม่หนีแล้วเหรอ”

     “...”

     “อินทร์”

     มันหลับตาลงเล็กน้อยก่อนที่จะลืมตาขึ้นมาใหม่ “ไม่”

     เชื่อได้แค่ไหน

     ผมพยายามลืมคำถามนั้นไปก่อนที่จะออกมาจากรถ ยืนมองว่ามันจะขยับกายไปไหนหรือไม่ก่อนที่มันจะลุกขึ้นออกมาจากรถบ้าง เดินจ้ำอ้าวเข้าไปในบ้านโดยที่ไม่รอผมด้วยซ้ำ พอเดินไปที่หน้าประตูมันก็หันกลับมาเพราะผมยังไม่ทันไปเปิดประตูบ้านเลยด้วยซ้ำไป

     ผมยิ้มกับทีท่าแบบนั้นโดยไร้สาเหตุ... ยิ้มจากใจจริงๆ หลังจากไม่ได้ทำอย่างนั้นมานานร่วมสิบปี

     ผมปลดล็อคกุญแจ เดินเข้าไปในบ้านและค่อยๆ ไล่เปิดไฟ อินทร์ยังคงยืนอยู่ตรงนั้นจนผมต้องหันหลังไปคว้ามือมันให้เดินเข้ามา

     “...ไหนว่าจะไม่หนี”

     มันสูดลมหายใจ “ไม่”

     “ทำไมไม่เข้ามา”

     “การที่ไม่หนี มันหมายถึงต้องเข้าหาด้วยรึยังไง” อีกฝ่ายตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงประชดประชันอย่างเห็นได้ชัด

     ผมกลอกตากับคำตอบของมัน ดึงมันให้เดินเข้ามาในห้องนอน อินทร์ยืนอยู่ตรงหน้าประตูห้องตอนที่ผมเปิดตู้เสื้อผ้าและโยนเสื้อของตนเองใส่มัน

     “ไปอาบน้ำซะ”

     มันก้มมองเสื้อผ้าในมือก่อนที่จะโยนกลับมาหาผมอย่างแรง “ไม่” มันย้ำ “ไม่ พอ...พอ” ว่าแล้วก็ทำท่าเหมือนจะเดินออกไปจากห้อง แต่ผมไปขวางมันไว้เสียก่อน

     “จะทำอะไร ไม่ขับไปส่งแล้วนะ”

     “แล้วมันไม่มีแท็กซี่รึยังไง!” มันขึ้นเสียงใส่ผมบ้าง “ถอย”

     “แค่ให้นอนที่นี่มันจะตายรึยังไง”

     “ใกล้ตาย” มันเริ่มต่อปากต่อคำมากขึ้น “คุณพีรพัฒน์ ถอย”

     “เลิกเรียกว่าคุณพีรพัฒน์ได้แล้ว” กชอินทร์เหมือนไม่ฟังกันด้วยซ้ำ

     ผมกลอกตาอย่างหงุดหงิดใจ มันมองผมด้วยสีหน้าที่อ่านไม่ออก ผมไม่เคยอ่านมันออกตั้งแต่เราไม่ได้คุยกันอีก สักพักมันก็เริ่มแสดงสีหน้าแข็งกร้าวขึ้นมาใหม่

     “เลิกทำอะไรแบบนี้ได้ไหม...” ผมเอ่ยขึ้นมาอีกครั้ง “เลิกทำแบบนี้”

     “ใครกันแน่ที่ต้องเลิกทำอะไรแบบนี้” อินทร์พูดเสียงเรียบ “ใครกันแน่”

     “อินทร์” ผมเรียกชื่อมันก่อนจะถอนหายใจขึ้นมาเฮือกใหญ่ “เป็นอะไรขึ้นมาอีก ทำไมทำตัวดีๆ ไม่ได้” เหมือนสติจะขาดสะบั้นลงกับทีท่าไม่แน่นอนของมัน

     “...”

     “สรุปต้องการอะไร อยากจะหนีหรืออยากจะเข้าใกล้ หรืออยากจะทำแค่ยืนอยู่เฉยๆ” เสียงของผมเริ่มดังขึ้นด้วยความอัดอั้นใจ “ต้องการอะไร บอกมาสิวะ!”

     “…”

     “เคยรู้รึเปล่าว่าคนอื่นเขารู้สึกยังไงเวลาที่คุยกันเหมือนเดิมไม่ได้ อยู่ใกล้เหมือนเดิมไม่ได้โดยไม่มีสิทธิ์รู้สาเหตุอะไรเลย” ผมว่าต่อเมื่อเห็นว่ามันไม่โต้แย้งอะไรออกมา “คิดว่าคนอื่นเขารู้สึกยังไงที่มาเจอเพื่อนเก่าตัวเองหลังจากผ่านมาสิบปีแล้วโดนทำเหมือนคนไม่รู้จัก ทำเหมือนจำกันไม่ได้ ในขณะที่จำได้ทุกอย่าง!”

     “…”

     “ถ้าตอนนั้นเราเป็นแฟนกันเรื่องมันจะง่ายกว่านี้ไหม”

     “ถอย” อินทร์เอ่ยปากแต่ไม่ขยับเขยื้อนแต่อย่างใด “เลิกพูดนะ!”

     “ทั้งๆ ที่ตอนนั้นเรารักกันอยู่แท้ๆ!”

     “บอกให้หยุดพูดไง!”

     มันตวาดออกมาเสียงดัง...ดังจนทำให้ผมผงะ ก่อนที่มันจะก้มหน้าลง ค่อยๆ ทรุดกายลงไปนั่งคุกเข่ากับพื้นจนผมนิ่งงันด้วยความตกใจ

     “หยุดพูดนะ” มันพูดออกมาเสียงเบาโดยที่ไม่เงยหน้าขึ้นมา “เราไม่เคยรักกัน...”

     “...”
   
     “ถ้าไม่รู้อะไรก็หยุดพูดเถอะ”

     ผมย่อกายลงให้ใบหน้าอยู่ระดับเดียวกับใบหน้ามัน ก่อนที่จะเม้มปากแน่นเมื่อเห็นว่ามีอะไรบางอย่างหยดลงบนหลังมือของผมที่ใช้หยัดกายอยู่บนพื้น

     “มึงไม่เคยรู้อะไรเลย...”

     น้ำตาของอินทร์



----------------------------------------------------------
แต่งเองหงุดหงิดพวกนางเอก  :ling2:
คาดว่าคนอ่านคงรู้สึกไม่ต่างกัน (ฮา)

ปล. สุขสันต์วันเมษาหน้าโง่!

ออฟไลน์ BlueCherries

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4060
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +159/-17
 :hao4:

อึดอัดอย่างที่สุด ตอนนี้อินทร์อยู่ในบ้านแล้ว จะเปิดปากเล่าเรื่องเก่าๆได้ยังคะเนี่ยว่าเกิดอะไรขึ้น?


CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ B52

  • เป็ดZeus
  • *
  • กระทู้: 13215
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +420/-26
ก็แล้วทำไมไม่เปิดปากแล้วพูดออกมาสักทีว่ะ

ออฟไลน์ andear

  • ยาราไนก๊ะ ??
  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 839
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +63/-1
ก็ไม่พูด แล้มมันจะรู้มั๊ยละค๊าาาาาาาาาา

ออฟไลน์ กฤษณ์

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 649
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +37/-0
 :ling2:
กลุ้มแทนทุกคน..

ออฟไลน์ Vermouth

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 77
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +8/-0
เออ งงอินทร์จริงๆ พอพีทให้โอกาสไปก็ไม่ไป แต่สุดท้ายก็บอกว่าเกลียดกัน จะเอายังไงกันแน่ มึนแทนพีทเลยค่ะ
แล้วก็บอกว่าพีทไม่เคยรู้อะไรเลย ก็ใช่ไง ก็ตัวเองไม่เคยพูดพีทจะรู้ได้ไงอะ ต้องอยู่กับความอึดอัด สับสน ไม่เข้าใจ ไม่รู้มานาน เห็นใจพีทบ้างไหมอินทร์?
เฮ้อออ ต่อว่าไปงั้น มาทรงนี้อินทร์ไม่ใช่ไม่รักหรอกแต่ต้องมีเหตุผลสำคัญมากแน่ๆ ถึงได้ยอมแยกจากพีทไป ขอเดาว่าอาจจะเกี่ยวกับครอบครัว ถึงจะไม่มี clue อะไรเลยก็เถอะ 555

ออฟไลน์ suck_love

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 780
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +34/-1
คือปากหนักไปไหนอะะะะะ
สงสัยต้องให้พีทตบจูบง้างปาก 55555555

รอลุ้นนะคะ เราเดาว่าโดนพ่อแม่กีดกันตอนเด็ก

ออฟไลน์ youuue

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 135
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +16/-1
หน่วงงงงง :เฮ้อ: :กอด1: :กอด1: :กอด1: :pig4:

ออฟไลน์ suck_love

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 780
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +34/-1
แวะมาส่องงง  :katai5:

ออฟไลน์ NINEWNN

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 317
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +105/-4

CHAPTER 9

“รักไม่ได้...บอกกับตัวเอง หัวใจตัวเอง
ต้องห้ามตัวเอง บอกมันอย่าหวั่นไหว”

(รักไม่ได้ - Groove Rider)



     อินทร์ไม่เคยร้องไห้มาก่อน อย่างน้อยๆ ผมก็ไม่เคยเห็น

     นั่นเป็นสาเหตุว่าทำไมพอผมมองร่างบางตรงหน้ากอดเข่าตัวเอง ก้มหน้างุดและมีเสียงสะอื้นหลุดลอดออกมาผมถึงทำอะไรไม่ถูกแม้แต่นิดเดียว ผมพูดอะไรไม่ออก คำแสดงความหงุดหงิดด้วยโทสะที่กำลังจะหลุดปากถูกเก็บเงียบและกลืนลงคอไป ผมหมายจะเอื้อมมือไปสัมผัสมัน แต่ก็ต้องชะงัก

     ผมไม่รู้ว่าตัวเองควรจะทำอย่างไรดี

     สัมผัสมันเหรอ... หรือปลอบโยน... หรือผมควรนิ่งอยู่เฉยๆ

     ผมทำอะไรไม่ถูกจริงๆ ไม่เคยเห็นมันขดตัวให้เล็กที่สุดแบบนี้ มันพยายามกอดตัวเองไว้จนผมหวาดกลัวว่ามันจะหายไปจากตรงหน้า อินทร์เป็นคนมีที่มีรอยยิ้มบนใบหน้าหรือไม่ก็เอาแต่ทำหน้าเรียบเฉย ไม่เคยมีสักครั้งที่มันจะร้องไห้ออกมาแม้ว่าจะเคยกลัวกิจกรรมที่ค่ายลูกเสือจนตัวสั่น หรือจะเป็นตอนที่มันกระดูกร้าวจนใส่เฝือกเกือบเดือนเพราะทำกิจกรรมโรงเรียนมันก็ไม่เคยร้องไห้ออกมาแบบนี้

     ผมชักมือของตนเองกลับมา กำมือแน่น มองคนที่ส่งเสียงสะอื้นโดยไม่เงยหน้าขึ้นมาให้เห็น

     ‘ไม่เคยรู้อะไรเลย’ อย่างงั้นหรือ?

     ผมทรุดกายนั่งตรงหน้ามันอย่างเงียบเชียบ เสียงสะอึกสะอื้นที่ไม่เคยคาดคิดว่าจะได้ยินจากคนตรงหน้าดังขึ้นเป็นระยะจนผมต้องเม้มริมฝีปากเข้าหากันแน่น เลื่อนมือไปสัมผัสไหล่ของมันอย่างแผ่วเบา

     “อินทร์...”

     เจ้าของชื่อไม่ตอบแต่ส่งกำปั้นหลุนๆ ออกมาทุบลงบนอกผมอย่างแรง

     แม้จะเจ็บแต่ไม่ได้ห้ามอะไร ผมอยากปล่อยให้มันทุบจนพอใจจนกว่ามันจะหยุดร้องไห้

     เวรกรรมอะไรของผมกันนะ ต้องมาเจอมันหลังจากผ่านไปสิบปี มันไม่ยิ้มให้ ทำเป็นไม่รู้จัก ต้องคุยกันท่ามกลางความอึดอัดแล้วยังจะต้องมาเห็นมันร้องไห้อีกอย่างงั้นหรือ

     ร่างของคนข้างกายยังไม่ไหวติง ไหล่บางสั่นน้อยๆ สักพักก็หยุดมือทุบผม

     ผมขยับมือไปจับข้อมือมันไว้เบาๆ มันไม่มีแม้แต่แรงจะขัดขืนผมแล้วด้วยซ้ำไป

     “อินทร์...” ผมเรียกชื่อมันอีกครั้ง ขยับใบหน้าให้ลงไปอยู่ระดับเดียวกับมันแต่ไม่มีทีท่าว่ามันจะเงยหน้าขึ้นเลยแม้แต่น้อย “เป็นอะไร”

     ผมรู้ดี คำถามนี้มันไร้ประโยชน์ และผมคงไม่มีโอกาสได้รับคำตอบ

     “ปล่อย” มันเอ่ยเสียงห้วน ไม่เงยหน้าขึ้นมาด้วยซ้ำ

     ผมไล้ปลายนิ้วไปบนฝ่ามือที่กำแน่นของมัน ออกแรงนิดหน่อยให้มันแบมือออกก่อนที่จะต้องตกใจเมื่อเห็นว่าบนฝ่ามือของมันมีรอยจิกของเล็บอยู่อย่างชัดเจน

     ตั้งแต่เมื่อไหร่...

     ผมใช้ปลายนิ้วสัมผัสรอยเหล่านั้นอย่างแผ่วเบา ยังดีที่ไม่ถึงกับจิกเข้าไปในเนื้อ “เจ็บไหม” เอ่ยถามด้วยน้ำเสียงอ่อนที่สุดเท่าที่คิดว่าเคยพูดหลังจากกลับมาเจอกับมันใหม่

     หัวทุยๆ นั่นส่ายไปมาแทนคำปฏิเสธ ยังไม่ลดละความพยายามที่จะขืนมือหนีออกจากผมอย่างคนไม่มีแรงแต่ผมทำได้เพียงกำมือของมันไว้ บีบมันเบาๆ คล้ายจะกระซิบบอกโดยไร้เสียงว่าผมยังยืนอยู่ตรงนี้ ทีท่าต่อต้านของมันลดน้อยลง สักพักผมก็เปลี่ยนเอามือที่ชื้นเหงื่อของมันสัมผัสแก้มของผมอย่างแผ่วเบา

     “อินทร์”

     “...”

     “พีท...ไม่เคยรู้อะไรเลยเหรอ” ผมเผลอใช้คำแทนตัวเองได้หน่อมแน้มมากที่สุดเท่าที่เคยทำ แทนตัวเองด้วยชื่อแบบนี้ครั้งสุดท้ายตอนไหนผมยังจำไม่ได้เลยด้วยซ้ำไป “ไม่รู้อะไรเลยใช่ไหม...”

     “อึก...” มันส่งเสียงสะอื้น “ปล่อย”

     “ไม่” ผมตอบชัดถ้อยชัดคำ “ไม่ปล่อย” ผมย้ำ “ไหนบอกจะไม่หนีแล้วไง”

     “ปะ ปล่อย” มันย้ำเสียงแผ่วเบา
   
     คนตรงหน้าเป็นอะไรกันแน่นะ

        ตัวตนจริงๆ ยังเป็นแบบเดิมที่ผมเคยรู้จักเมื่อสิบปีที่แล้วหรือเปล่า ยังใช่มันอยู่หรือเปล่า... ตลอดเวลาที่มันมาเป็นบรรณาธิการให้ผม ที่พูดจากแข็งทื่อ ใช้คำพูดชวนเจ็บปวดคือตัวมันที่ถูกเวลาสิบปีหล่อหลอมมา หรือว่าเป็นเพียงเปลือกแข็งๆ ที่ห่อหุ้มตัวตนของมันที่ผมเคยรู้จักไว้กันแน่

        “เงยหน้าขึ้นมาหน่อยได้ไหม” ผมร้องขอด้วยน้ำเสียงแหบแห้ง แต่แน่นอนว่ามันก็ไม่ได้ทำตาม “ขอร้องล่ะนะ...อินทร์”

        เจ้าของชื่อไม่แม้แต่จะมีทีท่าหวั่นไหวด้วยซ้ำ ผมเม้มริมฝีปากเข้าหากันแน่นเพราะทำอะไรไม่ได้ สุดท้ายแล้วก็ยอมแพ้ ลุกขึ้นเล็กน้อยก่อนที่จะช้อนตัวมันขึ้นมาไว้ในอ้อมแขน กชอินทร์มีท่าทีขัดขืนแต่ก็ยังสู้แรงผมไม่ได้ ผมกึ่งอุ้มกึ่งพยุงมันมาที่เตียงอย่างทุลักทุเล

        อินทร์ล้มลงนั่งท่าเดิมบนเตียง “ปล่อย” มันย้ำคำเดิมซ้ำไปซ้ำมาเป็นรอบที่ร้อย “ปล่อยเถอะ”

        “...”

        “จริงๆ นะ...ปล่อยเถอะ”

        ผมสูดลมหายใจลึก มองมือของมันที่อยู่ในกำมือของตนเอง นั่งลงที่พื้นให้ต่ำกว่ามัน แต่ก็ยังไม่มีโอกาสได้เห็นหน้าของมันอยู่ดี อินทร์แนบหน้าของตนเองลงบนหน้าขาโดยไม่เปิดโอกาสแม้แต่นิดเดียวให้ผมเห็นหน้าที่เปื้อนน้ำตาของมัน เสียงสะอึกสะอื้นเริ่มหายไปแล้ว

     “พีทไม่รู้อะไรบ้างเหรอ ไม่เข้าใจอะไรบ้าง”
   
     “...”

        “ทำไมไม่ตอบล่ะ” น้ำเสียงของผมดูจะสั่นเล็กน้อย “ทำไมไม่พูดออกมาให้เข้าใจ...”

        มันบอกว่าผมไม่รู้ ซึ่งผมก็ไม่คิดจะปฏิเสธ...มันบอกว่าผมไม่เข้าใจ ซึ่งผมก็ไม่เข้าใจจริงๆ

        นานทีเดียวที่พวกเราตกอยู่ในความเงียบ เสียงก้อนสะอื้นของมันหายไปจนไม่ได้ยิน ท่าทีของมันเริ่มเหมือนกับสงบสติอารมณ์ได้แล้ว แต่ก็ยังยืนยันที่จะไม่พูดอะไรออกมา ผมเองก็ทำอะไรไม่ได้ พูดอะไรไปมันก็คงไม่คิดจะเปิดปากพูดให้ผมได้เข้าใจ

     ผมไล้ปลายนิ้วลงบนแผลของมันเรื่อยเปื่อย ก่อนที่จะจรดริมฝีปากลงบนรอยเหล่านั้นเบาๆ อินทร์สะดุ้ง ทำท่าจะขืนกาย จังหวะนั้นเองที่ผมชำเลืองมองมันและเห็นใบหน้ามัน

     แววตาที่แสนเศร้าสร้อยนั่น...

     บอกหน่อยได้ไหมว่านี่ไม่ใช่แววตาจริงๆ ของมัน อินทร์คงไม่ได้เศร้าเสียขนาดนี้หรอกใช่ไหม

     มันชะงักเมื่อเราสบตากัน เบือนหน้าไปอีกทางแล้วก้มหน้าซุกลงบนหน้าขาตนเองใหม่ นั่นทำให้ผมรู้ว่ามันไม่อยากให้ผมมองเห็นมันในสภาพแบบนี้

     ผมถอนหายใจ “ถ้าไม่อยากให้เห็นก็หยุดเลย” ยอมรับว่าต้องยอมแพ้ที่จะคาดคั้นมันในตอนนี้ “ไปอาบน้ำล้างหน้าเถอะอินทร์”

     “...”

     พอมันไม่ตอบอะไรผมเลยเลือกใช้วิธีพยายามออกแรงจับใบหน้ามันขึ้นมา อินทร์ไม่ยอมอยู่แล้ว สุดท้ายมันก็รีบมุดใต้แขนของผมออกไปวิ่งเข้าห้องน้ำ ปิดประตูเสียงดังซะจนผมยังสะดุ้ง

     เสียงน้ำดังออกมาจากในห้องน้ำ ผมไม่รู้ว่ามันอาบน้ำจริงไหมหรือคิดจะทำอะไรกวนโมโหอย่างเช่นเปิดน้ำไว้เฉยๆ แต่ที่แน่ๆ ก็ไม่มีทางให้มันหนี ผมถอนลมหายใจออกมา เหลือบตามองเพดานสีขาวที่ว่างเปล่าด้วยความรู้สึกบอกไม่ถูก จะยิ้มก็ยิ้มไม่ออก จะเศร้าก็ไม่เชิง จะบอกว่าสงสัยเองก็ใช่

     ผมไม่รู้อะไร...ผมไม่เข้าใจอะไร

     ผมหลับตาลงกับคำถามนั้นและคิดว่าหนทางเดียวที่จะทำให้ผมได้รู้คำตอบ คือการที่คนซึ่งร้องไห้เมื่อกี้มาพูดให้ผมฟังเท่านั้น

     

     อินทร์คงคิดจะยั่วโมโหกันจริงๆ...

     “อินทร์!” ผมตะโกนเรียกชื่อมัน ไม่มีเสียงตอบรับ มีเพียงเสียงน้ำที่ยังไหลไม่มีหยุดมาราวๆ ครึ่งชั่วโมง “นอนตายไปแล้วรึยังไงฮะ”

     ว่ากันตามจริงก็ไม่แปลกใจเท่าไหร่ เผื่อใจไว้แล้วว่าคนที่ดื้อเงียบอย่างมันคงจะไม่ยอมทำอะไรดีๆ ให้ผมที่มันบอกว่าเกลียดนักหรอก แต่ว่าก็ว่าเถอะ ผมอดยิ้มไม่ได้เมื่อเห็นว่ามันเริ่มทำตัวเป็นเด็กอีกครั้ง

     เป็นคนที่ผมรู้จัก

     กชอินทร์ที่ผมรู้จักไม่ใช่คนที่เอาแต่ใช้สรรพนามว่า ‘คุณ’ กับ ‘ผม’ ไม่ใช่คนที่เรียกคนอื่นด้วยชื่อจริง ไม่ใช่คนที่ใจเย็นอย่างร้ายกาจและพูดจาเหมือนเจรจาธุรกิจทุกครั้งที่ได้เจอ คนที่ผมรู้จักเป็นเพียงเด็กผู้ชายธรรมดาที่ทั้งดื้อทั้งซน พยายามทำตัวให้ดูเป็นผู้ใหญ่แต่ก็ยังดูเด็ก ทั้งที่เป็นคนมีความรับผิดชอบสูงเกินกว่าคนทั่วไปเพราะเป็นลูกคนโตแต่ก็มีความเอาแต่ใจตามประสาลูกคุณหนู

     อินทร์เป็นแบบนั้น...เป็นแบบนั้นมาตั้งนานแล้ว
   
     พอเห็นว่าตะโกนเรียกมันไปมันก็คงไม่ตอบ ผมเลยดันกายขึ้นจากที่นอนเดินไปเคาะประตูห้องน้ำแรงๆ สองสามที “อินทร์”
   
     เงียบ

     ผมเค้นยิ้ม เดินไปเปิดลิ้นชักจากโต๊ะที่มีของวางไว้ระเกะระกะ หยิบกุญแจพวงใหญ่ที่มีสติกเกอร์ติดไว้ทุกดอกว่าแต่ละดอกใช้เปิดอะไร ควานหาเพียงแป๊บเดียวก็เจอดอกที่เขียนว่า ‘ห้องน้ำ 1’

     ผมไม่ส่งสัญญาณอะไรอีก ทำเพียงไขกุญแจในเวลาอันรวดเร็วและเปิดประตูพรวดเข้าไป

     ภาพที่เห็นไม่ได้ทำให้แปลกใจเสียเท่าไหร่... อินทร์ยืนอยู่ที่หน้ากระจก เปิดน้ำจากฝักบัวทิ้งไว้ให้ไหลไปเฉยๆ จนผมได้แต่ส่ายหน้าอย่างระอา

        “เปลือง” ผมเดินเข้าไปปิดน้ำจากฝักบัว ก่อนที่จะหันมามองกชอินทร์ที่ทำหน้าตกใจ “ไม่อาบน้ำเหรอครับคุณกชอินทร์” เอ่ยปากประชดด้วยความนึกหงุดหงิดระคนขำขัน

        มันเม้มริมฝีปากเข้าหากัน กัดปากล่างอย่างที่เคยชินจนผมกลอกตาขึ้นข้างบนด้วยความหงุดหงิดใจ

        ผมเดินไปคว้ามือมันและออกแรงกระชากนิดหน่อยให้มันเดินตามมา จับมันมานั่งที่ปลายเตียงและจับใบหน้ามันไว้ไม่ให้หันหนีไปไหน

        “จะเล่าได้รึยัง” มันไม่ตอบ กัดริมฝีปากจนผมต้องตีแก้มมันเบาๆ “ปากแตกหมด”

        อินทร์ก้มหน้า ไม่มองหน้าผม จนผมคิดว่าเมื่อไหร่ตัวเองจะได้คำตอบ มีโอกาสรึเปล่าที่ผมจะได้คำตอบจากปากมันให้ชัดเจนเสียที ไม่ใช่ข้ออ้างอย่างคำว่าขี้เกียจ

        “อินทร์” ผมเรียกชื่อมันเสียงอ่อน “ขอถามสักคำได้ไหม”

        “...”

        “สมัยก่อน... เราเป็นเพื่อนกันจริงๆ น่ะเหรอ” คำพูดของผมทำให้มันเงยหน้าขึ้นสบตา แต่สุดท้ายก็ก้มหน้าลงใหม่ “ในเมื่อเราสองคนก็รู้ดีว่าไม่ใช่” ผมเอ่ยตัดเพ้อ “ถ้าจะบอกเลิกกันก็ช่วยบอกให้ชัดเจนได้ไหม ไม่ใช่แค่บอกว่าขี้เกียจคุยแล้วก็เดินหนีไป”

        “มัน” อินทร์เอ่ยปากออกมาในที่สุด “มันไม่ใช่แบบนั้น...”

        “อะไรที่ไม่ใช่?”

        มันเม้มปากเข้าหากันจนผมต้องไล้ปลายนิ้วลงบนริมฝีปากบางนั่นเบาๆ อินทร์ไม่แม้แต่จะมองผม ไม่แม้แต่จะเบือนหน้าหนี ผมใช้จังหวะนั้นเลื่อนใบหน้าเข้าไปใกล้ ใกล้จนสัมผัสได้ถึงลมหายใจ...ใกล้จนปลายจมูกของเราชนกัน ใกล้แบบที่ผมไม่คิดว่าตัวเองจะได้เข้าใกล้มันมากขนาดนี้อีกครั้ง

        “สรุปว่าเราเป็นเพื่อนกันหรือ” ผมเอ่ยถาม “เป็นเพื่อนกัน...” ก้มลงมองริมฝีปากของคนตรงหน้าที่มีปลายนิ้วของผมว่างอยู่ “แต่กลับจูบกันได้เนอะ”

        “...”

        “ทำไมไม่บอกให้รู้”

        “...”

        “ถ้าพูดออกมา ไม่ว่าจะเรื่องอะไร...เราอาจจะไม่ต้องเสียเวลาสิบปีไปแบบนี้ก็ได้”

        อินทร์หลับตาลง ไม่มีน้ำตาไหลลงมาจากดวงตาคู่นั้น สุดท้ายมันก็สูดลมหายใจลึก “จะรู้ไปทำไม” เอ่ยปากออกมาด้วยน้ำเสียงที่แหบแห้งจนผมไม่มั่นใจว่าที่มันเปิดน้ำจากฝักบัวเป็นเพราะว่ามันใช้เพื่อปิดบังเสียงสะอื้นของมันหรือเปล่า มันคงจะไม่ได้ไปร้องไห้ต่อในห้องน้ำใช่หรือไม่ “ต่อให้รู้ไปก็ทำอะไรไม่ได้อยู่ดี...”

        “...รู้ได้ยังไงว่าทำอะไรไม่ได้”

        มันไม่ได้ตอบอะไร มองผมด้วยแววตาแสนว่างเปล่า “ทำไมต้องอยากรู้ขนาดนั้น...คุณพีรพัฒน์”

        “เลิกเรียกแบบนั้นสักที”

        ทำไมกชอินทร์ไม่เข้าใจผม... ทั้งที่ครั้งหนึ่งในชีวิตผมเคยคิดว่ามันคือคนที่เข้าใจผมมากที่สุดคนหนึ่ง
     
     ทำไมคราวนี้มันถึงไม่เข้าใจเลยว่าผมจมกับคำถามเดิมๆ อยู่ร่วมสิบปี พอคิดว่ามีโอกาสรู้คำตอบ มันก็ไม่ยอมบอกออกมา
   
     ผมพูดอะไรไม่ออกสักคำ ทำได้เพียงมองตามันด้วยแววตาเว้าวอน อินทร์ไม่พูด พวกเราจมอยู่ในความเงียบกันอยู่พักใหญ่ ความเงียบที่ผมทั้งหวาดกลัวและเกลียดชัง นับตั้งแต่เราจากกันโดยไม่สมเหตุสมผล ผมกลัวทุกครั้งว่าผมจะไม่มีโอกาสได้ยินเสียงมันอีก

        “คุณพีรพัฒน์” มันเรียกชื่อจริงผมเสียงแผ่ว มันกำลังทำให้ผมเกลียดชื่อนี้ของตัวเองเสียเหลือเกิน “ยอมแพ้เถอะ”

        “ยอมแพ้อะไร?”

        มันพยายามยกริมฝีปากขึ้น “ที่พูดยังไม่ชัดเจนพออีกเหรอ”

        “อินทร์” ผมเรียกชื่อมัน จับมือมันให้แน่นกว่าเดิม สูดลมหายใจลึก “ขอร้องล่ะ...”

        “ทำไมถึงฝังใจกับผมนัก คุณพีรพัฒน์” มันยังคงเรียกชื่อผมด้วยชื่อนี้ ใช้สรรพนามที่แสนจะห่างเหินทั้งๆ ที่ตอนนี้เราอยู่ใกล้กันแต่มันทำให้เราห่างไกลกันมากขึ้น... มากขึ้น “ผมมีอะไรดีขนาดนั้นเลยเหรอ” มันก้มลงมองตัวเองก่อนที่จะเงยหน้าขึ้นมาสบตาผมใหม่ “หน้าตาเหรอ ร่างกายเหรอ ความสามารถเหรอ...”

        “ถ้ามีดีแค่นั้นมันจะทำให้ฝังใจจนทุกวันนี้หรือยังไงวะ” ผมเอ่ยแทรกขึ้นมาก่อนที่จะถอนหายใจเบาๆ “หน้าตามีคนดีกว่าตั้งเยอะ ร่างกาย...นี่ดีแล้วเหรอ” ผมพูดอย่างติดฉุนเล็กน้อย “ขอร้องเถอะ อย่าแกล้งทำเป็นไม่รู้เลย”

        “ผมไม่ใช่เกย์...” มันเอ่ยเสียงแผ่ว “ไม่ใช่”

        “อินทร์”

        “มันเป็นแบบนั้นไม่ได้...ไม่ได้” มันย้ำคำเดิมซ้ำไปซ้ำมา

        “ทำไมจะไม่ได้ ตอนนี้มันปี...”

        ไม่ทันที่ผมจะพูดจบประโยค อินทร์ก็เอ่ยแทรกถ้อยคำหนึ่งออกมาที่ทำให้ผมรู้สึกเหมือนโดนสาดด้วยน้ำร้อนเต็มหน้า ถ้อยคำที่แสดงให้เห็นถึงความหนักอึ้งที่มันแบกรับไว้มาตลอด สาเหตุของความอึดอัดและความเงียบของเราเมื่อสิบปีก่อน

        “แม้ว่าพ่อของคุณ...จะตายเพราะรู้ว่าลูกชายเป็นคบกับผู้ชายน่ะหรือ”






---------------------------------------------------------------------
   ทอล์กไม่ออก ไปล่ะค่ะ กลัวโดนคนปาเกิบใส่ *ฟิ้ว*

   ปล. คุณ B52 ใจเย็นค่ะ เห็นทุกครั้งเม้นเหมือนอยากทึ้งคอมมาก สัมผัสได้ถึงพลังงานบางอย่างในคอมเม้น
:hao5:

ออฟไลน์ BlueCherries

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4060
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +159/-17
ในที่สุด!!!

องค์อินทร์รบกวนง้างปากเล่ามาทุอย่างเถอะค่ะ  :z3:

ยังคาใจอยู่

ว่าแต่พ่อในที่นี้ หมายถึงพ่อของอินทร์สินะ...?

ออฟไลน์ B52

  • เป็ดZeus
  • *
  • กระทู้: 13215
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +420/-26
มันโผล่มาแล้ว!!!!!

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ กฤษณ์

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 649
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +37/-0
ก็ว่า..ทำไมไม่ยอมบอกสักที.. เรื่องใหญ่มาก..  :ling2:

ออฟไลน์ youuue

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 135
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +16/-1
 :sad4: ว่าแระ
  :pig4: :pig4:

ออฟไลน์ suck_love

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 780
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +34/-1
เดาพลาด5555555555555
ปมคลายมาจี๊ดนึง รออินทร์เล่าหมดปุปก็จะคลาย
และจะขมวดใหม่  :a5:

ออฟไลน์ Vermouth

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 77
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +8/-0
ฮะ!! นั่นไง เอาแล้วไง ว่าแล้วว่าต้องเอี่ยวกับเรื่องครอบครัว โอยยยย อึดอัดได้อีก TwT

ออฟไลน์ BoolinMini

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 220
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +22/-0
พึ่งตามอ่านมาจนทัน อยากจะบอกว่า อึดอัดมาก

พีทก็ทนมาได้เป็น10ปีเนอะ แบบไม่รู้สาเหตุ

จนมาถึงตอนนี้ ก็ยังอึดอัดจนวินาทีสุดท้าย

ต้องบอกว่าคนแต่งแต่งฟีลมากกกก

รอคำแถลงการณ์ของอินทร์ในตอนต่อไปค่ะ o13

ออฟไลน์ NINEWNN

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 317
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +105/-4

CHAPTER 10

“I don’t wanna close my eyes. I don’t wanna fall as sleep
‘cause I miss you babe, and I don’t wanna miss a thing”

(I Don’t Wanna Miss a Thing – Aerosmith)



        “แม้ว่าพ่อของคุณ...จะตายเพราะรู้ว่าลูกชายคบกับผู้ชายน่ะหรือ”

        ผมไม่เข้าใจ

        ถ้าให้ใช้คำที่ถูกต้องคือคิดว่าตัวเอง ‘ไม่เข้าใจ’ คำพูดของมันบ่งบอกชัดเจนว่าไม่ได้พูดถึงบิดาของผม เพราะฉะนั้นก็คงจะพูดถึงพ่อของมันเอง

        นี่มันเกินความคาดหมายไปมาก ผมอดคาดหวังให้ตัวเองได้ยินอะไรผิดไป แต่ดูเหมือนจะไม่ใช่อย่างนั้น มือของอินทร์ที่ถูกผมกุมอยู่สั่นเล็กน้อย สักพักก็ตามมาด้วยเสียงหายใจติดขัดจากอีกฝ่าย ทุกอย่างยิ่งยืนยันว่ามันไม่ได้พูดอะไรออกมาพล่อยๆ

        “อินทร์...” ผมเรียกชื่อมันเสียงแผ่วเบา ไม่เอ่ยปากคาดคั้นอะไรจากมันอีก “ไม่เป็นไร...” กระซิบข้างหูมัน เลื่อนแขนไปโอบมันไว้อย่างเบามือ “ไม่เป็นไร”

        แม้รู้ดีว่าคำพูดของผมช่วยอะไรไม่ได้เลย

        ร่างในอ้อมกอดพยายามจะผลักไสผมอยู่พักหนึ่ง ใช้มือของมันฟาดลงบนแผ่นหลังของผมอย่างแรง แต่เมื่อรู้ว่าไม่ได้ผลก็เป็นมือนั้นเองที่กอดผม แม้ว่ายังจะจิกปลายเล็บลงบนหลังผม มันเจ็บนิดหน่อยแต่คงจะน้อยกว่าความเจ็บปวดที่อีกฝ่ายได้รับอยู่มากโข เสียงสะอื้นดังขึ้นเป็นระยะ ทั้งๆ ที่ผมคิดว่าน้ำตาของมันจะหยุดไหลลงไปแล้ว แต่ดูเหมือนจะไม่ใช่    อินทร์เก็บน้ำตาไว้นานแค่ไหน... มันถึงมีมากจนไหลไม่หยุดขนาดนี้

        ผมไม่ได้ลูบหลังหรือปลอบประโลมมันแบบที่เคยทำกับคนอื่นยามร้องไห้ สิ่งเดียวที่ผมทำมีเพียงการโอบกอดมันไว้ให้แน่นที่สุด

        อยากให้มันได้ยินโดยที่ผมไม่ต้องพูดอะไร

        ...ว่าผมยังอยู่ตรงนี้... ตรงที่ซึ่งมันเคยเดินจากมา


   
        อินทร์ร้องไห้จนหลับไป ภาพที่ผมไม่เคยคิดว่าจะได้เห็นมันเป็นแบบนี้

        พอมันเริ่มพล็อยหลับผมก็จัดแจงมันอยู่ในสภาพดี ถอดเสื้อที่เปรอะไปด้วยน้ำตาของมันออก ตอนแรกก็ตั้งใจจะให้มันใส่แค่เสื้อกล้ามนอนแต่คนขี้หนาวอย่างมันคงนอนไม่ได้ สุดท้ายเลยเอาเสื้อนอนย้วยๆ ของผมมาใส่ให้มันอีกตัว ก่อนที่จะปลีกตัวไปอาบน้ำหลังมั่นใจว่ามันหลับไปจริงๆ และคงไม่หนีกันไปไหน

        พอออกมาจากห้องน้ำภาพที่เห็นก็ทำให้ผมรู้สึกแย่ไม่ใจน้อย

        อินทร์นอนขดร่างของตัวเองให้เล็กที่สุดเท่าที่ทำได้ เหมือนมองเด็กขี้เหงาที่ได้แต่โอบกอดตัวเองในวันที่ไม่มีใครอยู่เคียงข้าง

        ผมเดินเข้าไปใกล้ หย่อนกายนั่งบนเตียงให้แผ่วเบา มองใบหน้าที่ไม่ได้สติของมันแล้วรู้สึกอึดอัดใจ

        ผมนึกย้อนไปถึงครอบครัวของอินทร์ ผมเคยเจอแม่ของมันบ่อยๆ เพราะแม่อินทร์มักจะเป็นคนที่มารับลูกชายสองคนกลับบ้านในตอนเย็น ส่วนพ่อของอินทร์ผมเคยเจอเพียงครั้งเดียวตอนไปที่บ้านมัน ดูดุไม่ใช่น้อย ยิ่งคิดถึงคำพูดเวลามันพูดถึงพ่อของมันยิ่งทำให้ผมมั่นใจว่าท่านเข้มงวดไม่ใช่น้อย

        พ่อมันรู้เรื่องของเรางั้นหรือ?

        ผมรู้เพียงว่าพ่อของกชอินทร์หัวใจวาย ไม่ได้รู้จากมันแต่ได้ยินจากเพื่อนของมันอีกทีหลังจากงานศพถูกจัดการเรียบร้อยแล้ว ไม่ได้รู้รายละเอียดอะไรเท่าไหร่นัก นึกย้อนไปก่อนที่จะเกิดเหตุการณ์นั้นก็จำอะไรไม่ค่อยได้ คลับคล้ายคลับคลาว่ามันเป็นวันหยุดยาวที่ผมติดต่อมันไม่ได้ แม้จบวันหยุดยาวแล้วอินทร์ก็ไม่มาโรงเรียนอีกสองวัน ตอนแรกก็นึกว่ามันอาจจะไปเที่ยวกับครอบครัวตามประสาคนมีเงิน เลยไม่ได้ใส่ใจอะไรมากนัก

        ยิ่งคิดยิ่งชวนเครียด กลายเป็นผมเริ่มรู้สึกปวดหัวขึ้นมาอย่างเสียไม่ได้ ให้ตายเถอะ... เกิดอะไรขึ้นกันแน่

        “อื้อ...” ผมก้มลงมองร่างบนเตียงที่ส่งเสียงในลำคอออกมาเบาๆ ก่อนที่จะพลิกกายเอาใบหน้ามาทางฝั่งผม เล่นเอาผมเค้นยิ้มออกมาบางๆ

        คุณกชอินทร์ไม่ระวังตัวแล้วหรืออย่างไร ปกติอยู่กับผมเล่นระวังตัวแจ

        ริมฝีปากของผมเผลอยิ้มออกมาอย่างขบขัน ถือวิสาสะไล้ปลายนิ้วลงบนแก้มของมันอย่างแผ่วเบา แก้มมันยังชื้นๆ จากน้ำตาอยู่เลย

        “ฮื้อ!” มันส่งเสียงออกมาใหม่ พร้อมกับสะบัดหน้าหนี

        ผมไม่ได้สนใจ จับผมมันบ้าง แก้มมันบ้าง แค่พยายามระมัดระวังไม่ให้มันตื่นขึ้นมา อินทร์เองก็ยังไม่ได้สติเท่าไหร่นัก ผมมองหน้ามันอยู่นาน... อาจจะเป็นชั่วโมง จนตระหนักได้ว่าตัวเองน่าควรหยุดและปล่อยให้มันนอนไปสบายๆ ได้แล้วจึงเดินมาเปิดโน๊ตบุ๊คเพื่อที่จะทำงานแทน

        คงไม่มีนักเขียนที่ไหนจะปล่อยให้มีบรรณาธิการมานอนในห้องขนาดนี้แล้วแหละ... เฮ้อ

        นอกจากนี้ผมยังเดินไปปิดไฟให้เรียบร้อย เปิดเพียงโคมไฟที่โต๊ะเพราะคิดว่ามันน่าจะได้นอนให้สบายกว่านี้ กชอินทร์เป็นพวกนอนหลับในแสงสว่างไม่ได้ แต่อืม... อันที่จริงมันอาจจะปรับตัวได้แล้ว

        แม้จะเปิดไฟล์งานมาแล้วผมเองก็ได้แต่จับจ้องมันอยู่พักใหญ่ ไม่รู้ว่าจะเขียนเรื่องอะไรไปดีในเมื่อกชอินทร์เวียนวนอยู่ในหัวสมองผมไม่ไปไหน ทั้งตอนที่มันร้องไห้และพยายามซ่อนน้ำตาเอาไว้ ตอนที่มันเข้าใกล้และบอกว่าจะไม่หนีผมไปไหนอีกแล้ว

        ผมถอนหายใจ บอกตัวเองว่าเลิกคิดเรื่องนี้ซะก่อนที่จะเดินไปหยิบหูฟังมาเปิดเพลงฟังไปเรื่อยเปื่อยเพื่อที่จะหยุดความฟุ้งซ่านเหล่านี้

        แต่มันไม่ได้ผล...

        สุดท้ายแล้วผมก็เดินย้อนกลับไปที่ข้างๆ เตียงใหม่ มองมันที่หลับสนิทด้วยความรู้สึกที่บอกไม่ถูก

        ผมคิดว่านี่มันค่อนข้างจะปัญญาอ่อนไปเสียหน่อยที่ผมกำลังทำตัวเหมือนพระเอกในหนัง

        แต่ผมไม่มีกะจิตกะใจจะทำอะไรหรอก ผมเอาแต่คิดถึงมัน คิดว่าอยากสัมผัสมัน อยากมองหน้ามัน อยากจะใช้เวลาอยู่กับอินทร์ให้นานที่สุด เรื่องเมื่อสิบปีได้สอนให้ผมได้รู้ว่าผมไม่ควรจะปล่อยให้มันผ่านไปอย่างไร้ค่า อย่างน้อยๆ ก็ควรจะใช้เวลากับมันให้นานที่สุด

     ...เพราะผมอาจไม่มีโอกาสได้ทำแบบนี้อีกแล้วก็ได้

     ผมนอนลงข้างๆ มัน ตะแคงมองหน้ามันที่หายใจอย่างสม่ำเสมอ เกลี่ยผมมันเล่นอย่างไม่รู้จักเบื่อ อินทร์อาจจะเป็นคนที่ทำให้ผมเป็นโรคย้ำคิดย้ำทำ นี่มันน่ากลัวจริงๆ... และสิ่งที่น่ากลัวกว่านั้นคือมันไม่เคยรู้เลยว่ามันมีอิทธิพลกับผมมากขนาดไหน

     เพลงในโทรศัพท์ถูกเปลี่ยนไปเรื่อย ผมเริ่มรู้สึกง่วงนอนขึ้นมาบ้างจนต้องเดินไปปิดไฟบนโต๊ะเขียนหนังสือและเดินกลับมานอนในที่ข้างๆ มัน ก่อนที่จะรู้สึกถึงอะไรบางอย่างที่แปลกไป คล้ายว่ามันสะดุ้งเล็กน้อยตอนที่ผมกวาดวงแขนไปสัมผัสไหล่ของมัน จนผมต้องเอ่ยถามเสียงแผ่ว

     “ยังไม่นอนเหรอ”

     มันไม่ตอบแต่กลับพลิกกายไปอีกฝั่ง ดูเหมือนว่ามันจะตื่นอยู่จริงๆ

     “อินทร์...” ผมไม่ได้รับคำตอบนอกจากเสียงลมหายใจที่สม่ำเสมอ “พรุ่งนี้จะไม่หายไปใช่ไหม”

     ผมกลัวเหลือเกิน... กลัวว่าตื่นขึ้นมาจะไม่เห็นมัน กลัวว่ามันจะหายไปปล่อยให้เรื่องราวที่เกิดขึ้นวันนี้เป็นเพียงความฝันแค่หนึ่งตื่น

     “อย่าไปไหนได้ไหม”

     “...”

     “อย่าหนีอีกเลยนะ”

     ผมไม่รู้ว่ามันได้ยินผมหรือเปล่า ไม่รู้ว่ามันตื่นอยู่หรือว่ามันหลับจริงๆ ผมทำเพียงเลื่อนมือไปสัมผัสปลายนิ้วของมันอย่างแผ่วเบาและจับไว้ด้วยปลายนิ้วของผมเอง

     อยากจะเกาะกุมมันไว้ไม่ให้มันหนีไปอีกครั้ง

     แต่ไม่รู้ว่าจะสามารถทำอย่างนั้นได้หรือเปล่า...หากกชอินทร์ไม่ได้ต้องการมัน



     “ครับ ครับ มาค้างบ้านเพื่อน”

     ผมได้ยินเสียงที่ครั้งหนึ่งเคยคุ้นดังอยู่ใกล้ๆ แต่ดูเหมือนเปลือกตาของผมจะหนักไปเสียหน่อยเลยไม่เปิดไปตามที่ตัวเองต้องการ

     ผมเลื่อนมือไปเรื่อยเปื่อยก่อนที่จะสัมผัสกับร่างของใครสักคน พยายามสูดลมหายใจก่อนที่จะดันกายขึ้น ลืมตามองคนข้างกายอย่างไม่ค่อยได้สติเท่าไหร่นัก

     อีกฝ่ายเหลือบสายตามองผม “ครับ... เดี๋ยวจะกลับไปนะครับ แม่ไปทำงานก่อนเลย” แต่ยังหันไปพูดกับคนปลายสายอยู่อีกพักใหญ่ ผมที่เริ่มได้สติแล้วเลยเริ่มขยับกายเข้าไปหามันแต่กชอินทร์กลับปัดมือไปมาจนทำให้ผมต้องหงุดหงิดใจ “แค่นี้นะครับ”

     “ใคร” ผมถามไปงั้นแหละ ได้ยินมันเรียกปลายสายว่าแม่แล้วด้วยซ้ำ

     มันเหลือบตามองผม “เรื่องอะไรของคุณ”

     ผมกลอกตา “ให้ตายเถอะ” กระแทกเสียงอย่างประชดประชัน “คุณกชอินทร์ คิดจะทำแบบนี้ไปนานแค่ไหน ทีเมื่อคืน...”

     “เงียบ!” มันพูดใส่ผมเสียงดังจนเกือบจอเป็นตะคอก “ผม... ขอยืมห้องน้ำหน่อยนะ” มันเบี่ยงประเด็น เอี้ยวตัวลงไปอีกฝั่งของเตียงก่อนที่จะเดินไปทางห้องน้ำ ไม่วายหันกลับมาหาผม “เสื้อผมไปไหน”

     “ซักอยู่” ผมตอบเสียงห้วน

     มันแสดงอาการหงุดหงิดใจอย่างไม่ปิดบังจนผมต้องยิ้มอย่างขบขัน ลุกขึ้นไปหยิบเสื้อตัวหนึ่งจากตู้ให้มัน

     “เช้าจะกินอะไร”

     “ไม่” มันตอบกลับเสียงห้วน กระชากเสื้อจากมือของผมไปและเดินเข้าห้องน้ำไปเลย

     ผมอมยิ้ม เดินออกมาจากห้องนอนไปที่ห้องครัว คิดจะไปซื้อข้าวเช้าแต่คงไม่มีอะไรขายแล้ว ตอนนี้เกือบเก้าโมงแล้วด้วยซ้ำ อีกอย่างถ้าผมเดินออกไปจากบ้าน กชอินทร์คงได้หนีออกไปจริงๆ
   
     ผมไม่ไว้ใจมันหรอก... แค่คิดว่าอย่างน้อยผมน่าจะยังมีโอกาสอยู่หรือเปล่า

        สาเหตุที่มันจากไปเป็นเพราะการเสียชีวิตของพ่อมัน ไม่ใช่หมดใจ... ยิ่งมันร้องไห้ให้เห็นเมื่อวานยื่งเป็นการย้ำในคำตอบของคำถามว่าอินทร์ไม่รู้สึกอะไรกับผมแล้วจริงๆ หรือ คำตอบคือ ‘ไม่’ อินทร์ยังรู้สึก แม้ผมจะไม่รู้ว่ามันรู้สึกอย่างหนักแน่นเท่าไหร่ แต่ผมมั่นใจว่ามันยังคงรู้สึกอยู่

        สักพักอินทร์ก็เดินออกมาจากห้องนอน มันเหลือบตามองผมที่นั่งอยู่บนโต๊ะอาหาร ก่อนที่จะหันหลังให้ผมในทันที

        “เดี๋ยวสิ!” เสียงเรียกของผมทำให้มันหยุดชะงัก แต่กลับไม่หันมา “มากินข้าวก่อน เดี๋ยวไปส่ง”

        “ไม่จำเป็น”

        “อินทร์”

        ผมได้ยินเสียงมันถอนหายใจ “หยุดเถอะ”

        “...หยุดอะไร”

        มันหันมามองตาผม ไม่เข้าใกล้ ผมเองก็ไม่ได้ขยับเข้าไปหา ริมฝีปากของมันที่ก่อนหน้านี้ส่งเสียงสะอึ้นเอ่ยปากออกมาด้วยน้ำเสียงนิ่งเรียบที่ติดจะสั่นเล็กน้อย

        “เมื่อคืนยังไม่เข้าใจอีกเหรอ”

        “...”

        “จะให้ผมบอกกับแม่ยังไงว่าตอนนี้...” มันกัดริมฝีปาก คำพูดถูกหยุดชะงักไปชั่วครู่ “มันทำไม่ได้สักหน่อย” ตามมาด้วยการเอ่ยปากเสียงแผ่วเบา

        “ทำไมไม่พูดให้จบล่ะ” ผมถาม ลุกขึ้นจากเก้าอี้เดินเข้าไปใกล้มัน “ตอนนี้อะไรเหรอ?”

        มันหลบตาผมอีกแล้ว ริมฝีปากล่างถูกขบจนเลือดแทบจะไหล อีกฝ่ายสูดลมหายใจลึกแต่กลับไม่ยอมพูดอะไรออกมาจนเป็นผมถอนหายใจออกมา

        “ไปกินข้าวไป” ผมพูดเสียงอ่อน “ไม่อยากให้ไปส่ง เดี๋ยวก็กลับเองแล้วกัน”

        “จะสานต่อเหรอ”

     คำพูดของมันทำให้ผมผงะ อินทร์เงยหน้าขึ้นสบตาผมจนผมเผลอเอาลิ้นดุนแก้มอย่างนึกหงุดหงิดใจ ผู้ชายคนนี้เคยเข้าใจอะไรง่ายๆ บ้างหรือเปล่านะ... ทำไมต้องเอาแต่ทำให้ทุกอย่างมันยุ่งยากไปกว่าเดิม

     “ทำไมล่ะ ทำไม่ได้หรือยังไง” ผมเอ่ยถามเสียงประชดประชันนิดหน่อย “หรือจะบอกว่าไม่ได้ชอบ...”

     “ไม่!” มันตวาดเสียงดัง

     ผมเดินเข้าไปประชิดตัวมัน อินทร์เหมือนจะหนีแต่ไม่ไปไหนผมจึงคว้าตัวมันไว้ โน้มใบหน้าลงใกล้จนนึกกลัวว่าตัวเองจะหักห้ามใจตัวเองได้อีกนานเท่าไหร่ จังหวะที่ผมก้มลงจรดจมูกลงแถวบริเวณซอกคอมันทำเพียงหดหนี การกระทำนั้นทำให้ผมยิ้มเยาะออกมาเล็กน้อย

     “บอกแล้วใช่ไหมว่าจะไม่ปล่อยให้ไปอีกแล้ว...” ผมกระซิบเสียงแผ่ว มันเบือนหน้าหนีและสูดลมหายใจเฮือกใหญ่ “ปฏิเสธสิ”

     “...”

     “บอกสิว่าตอนนี้ไม่ได้รู้สึกอะไรแล้ว”

     “...”

     “พูดออกมาสิว่าเราไม่ได้รู้สึกเหมือนกัน” มันไม่ได้พูดอะไรออกมาจนผมถือวิสาสะคิดว่านั่นคือคำตอบว่าเรารู้สึกเหมือนกัน “แล้วมันจะมีสาเหตุอะไรที่ผมจะต้องปล่อยคุณไปด้วย... คุณกชอินทร์”

     ‘คุณกชอินทร์’ ตรงหน้าเม้มริมฝีปากเข้าหากันแน่น

     “มี” มันสูดลมหายใจตอบออกมาเสียงหนักแน่นกว่าเก่า “มัน... มี” มันพยายามผลักผมออก

     “มีอะไรล่ะ นอกจากเรื่องที่บอกแม่ไม่ได้” ผมถามอย่างอารมณ์เสีย

     อินทร์มองผมด้วยแววตาที่เริ่มจะแดงก่ำขึ้นมาใหม่ คิดว่ามันคงไม่ได้จะร้องไห้แต่อาจจะรู้สึกประสาทเสียกับผม แต่พอมันพูดออกมา กลับกลายเป็นผมเองที่ประสาทเสียกับมัน

     “ผมมีพริมอยู่แล้ว”

     คำตอบของมันทำให้ผมผงะ รู้สึกเหมือนโดนตบที่บ้องหูแรงๆ สีหน้าลำบากใจของมันฉายชัดก่อนที่มันจะพยายามทำสีหน้าให้เหมือนกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น

     “มันมากพอที่จะทำให้เรารักกันไม่ได้หรือยัง”

     





-------------------------------------------------
อันที่จริงอิสองคนนี้น่าจะเป็นโรคย้ำคิดย้ำทำนะคะ ว่าไหม...  :ling2:

ขอสุขสันต์วันสงกรานต์ล่วงหน้าเลยแล้วกันนะคะ กลัวว่าจะไม่ได้มาอัพในช่วงสงกรานต์
ขอให้มีความสุขกันทุกคนนะคะ <3

ออฟไลน์ BlueCherries

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4060
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +159/-17
โอเค อย่างน้อยก็รู้สาเหตุละ


อินทร์น่าจะรู้สึกว่าเป็นความผิดของตัวเองที่พ่อจากไปเพราะรู้เรื่องของตัวเอง

.....

แล้วหนูพริมนี่คือเป็นข้ออ้างเฉยๆหรือคบกันจริงๆล่ะนี่  :serius2:

ออฟไลน์ Vermouth

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 77
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +8/-0
ฮะ อินทร์คงไม่ได้คบพริมจริงๆ ใช่ม้ายยยย ตาพีทเหมือนจะมีความหวังแต่เดี๋ยวก็ต้องตกลงไปในวังวนดราม่าอีก น่าสงสารจัง ฮือออออ

ออฟไลน์ B52

  • เป็ดZeus
  • *
  • กระทู้: 13215
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +420/-26

ออฟไลน์ suck_love

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 780
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +34/-1
เอิ่มมมมมมมมม หนูพริมถอยให้ผู้ชายรักกันหน่อยได้ไหมลูก  :katai1:

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด