◇◆ TIME TICKET ย้ำอีกครั้งว่า... ◆◇ ปก + แจ้งข่าว P.6 (04.09.15)
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: ◇◆ TIME TICKET ย้ำอีกครั้งว่า... ◆◇ ปก + แจ้งข่าว P.6 (04.09.15)  (อ่าน 65593 ครั้ง)

ออฟไลน์ NINEWNN

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 317
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +105/-4

CHAPTER 11

“Do you still think of me like I think about you
Do you still dream of me 'cause I can’t sleep without you”

(Addicted – Stevie Hoang)



     พริม... พริมาน่ะหรือ?

     ในหัวผมกำลังพยายามหาข้ออ้าง อะไรก็ได้ที่จะบ่งบอกว่าอีกฝ่ายไม่ได้กำลังพูดความจริง อะไรก็ได้ที่บอกว่าอินทร์ไม่ได้กำลังมีใครอยู่ แต่ผมกลับไม่เจอข้ออ้างที่มากเพียงพอจะมาบอกว่ามันกำลังโกหก นึกย้อนไปถึงวันที่ได้เจอผู้หญิงคนนั้นยิ่งทำให้ผมไม่สามารถพูดได้ว่าทั้งสองคนไม่ได้สนิทกันในระดับหนึ่ง

     “คุณพีรพัฒน์” อีกฝ่ายเรียกชื่อผม “ปล่อยได้แล้ว...”

     “...”

     “ปล่อยผมไปเถอะ”

     มันไม่ได้ร้องขอให้ผม ‘ปล่อย’ มันในตอนนี้ แต่ผมรู้ คำพูดนั้นหมายถึงการที่ให้ผม ‘ปล่อย’ มัน ปล่อยให้มันมีชีวิตที่ดี ปล่อยให้มันไปมีความสุข และให้ผมทำได้เพียงมองเห็นแผ่นหลังของมัน

     กชอินทร์ค่อยๆ ผละกายออกจากผม เลื่อนมือที่สั่นเล็กน้อยมาผลักไหล่ของผมและขยับริมฝีปาก

     “ขอโทษนะ” คำนั้นแผ่วเบาจนผมรู้สึกว่าตัวเองฝันไป

     ผมไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรในตอนที่มันเอ่ยคำนั้นออกมา ในวินาทีนั้นเองที่ผมหมายจะเอื้อมมือไปสัมผัสแต่ก็ต้องหยุดชะงัก ในหัวตั้งคำถามมากมายไปหมด โดยเฉพาะคำถามที่มันถามมาก่อนหน้านี้

     เมื่อคืนผมไม่เข้าใจหรือ... ว่าทำไมอินทร์ถึงบอกว่าเรื่องของเราเป็นไปไม่ได้

     ผมไม่เข้าใจความทุกข์ใจนั้นของมันแน่นอน พ่อกับแม่ของผมรู้เรื่องรสนิยมทางเพศของผมมาสักพักก่อนที่เราจะเปิดใจคุยกันตอนผมเรียนจบใหม่ๆ ทั้งสองเปิดรับเรื่องนี้มากพอแม้จะแอบเลียบๆ เคียงๆ อยู่บ่อยครั้งตอนผมบอกว่าผมชอบผู้ชายว่าผมมีโอกาสจะกลับมาชอบผู้หญิงบ้างหรือเปล่า แต่ตอนนี้พวกท่านก็ไม่ถามอะไรอีก เพราะฉะนั้นผมไม่มีทางเข้าใจความรู้สึกทุกข์ใจของมันแน่นอน

     “คุณพีรพัฒน์” มันสูดลมหายใจลึก “ปล่อยผมไปเถอะนะ”

     “...”

     “หลังจากผมก้าวออกจากบ้านหลังนี้ไป เราช่วยเป็นแค่นักเขียนกับบก. ที่ไม่สนิทกัน คุยกันเฉพาะเรื่องงานได้หรือเปล่า” น้ำเสียงของมันอ่อนจนผมคิดว่านี่คือการเว้าวอน “ทำเหมือนเราไม่เคยรู้จักกันไม่ได้หรือ”

     “...”

     กชอินทร์เอื้อมมือของมันมา สัมผัสปลายนิ้วผมอย่างแผ่วเบา ออกแรงกำเล็กน้อยก่อนที่จะผละออกไป มันหันหลังเดินออกไปในขณะที่ในหัวผมกำลังมีความคิดมากมายวิ่งพล่าน ผมควรจะรั้งมันไว้อีกครั้งหรือไม่ ควรจะเอื้อมมือไปรวบตัวมันมากอดหรือเปล่า ถ้าหากผมทำเช่นนั้นมันจะทำอย่างไร กอดผมตอบหรือว่าผลักไสและหนีออกไปใหม่ แล้วถ้าผมกอดมันไว้ผมจะกอดมันได้แน่นแค่ไหน แน่นเพียงพอที่จะทำให้มันข้ามผ่านช่วงเวลาที่มันต้องขัดแย้งกับครอบครัวหรือเปล่า

     ผมไม่มั่นใจอะไรสักอย่าง

     นั่นเป็นสาเหตุว่าทำไมผมถึงยืนนิ่งอยู่กับที่ตอนที่มันเดินออกไปจากบ้าน ปิดประตูอย่างแผ่วเบา แต่ดังพอที่ทำให้ผมรู้สึกสั่นสะท้านไปทั้งร่าง

     ผมปล่อยมันไปอีกแล้ว

     ‘ขอโทษนะ’

     ผมคิดว่าเป็นตัวผมเองที่ควรเอ่ยคำขอโทษ

     ขอโทษที่ไม่มั่นใจในตัวเองมากพอที่จะรั้งมันไว้และบอกว่าเราจะผ่านเรื่องพวกนี้ไปด้วยกัน และขอโทษที่ไม่มั่นใจในตัวเองมากพอที่จะทำให้มันมั่นใจในตัวผม

     เพราะผมเป็นแบบนี้ ขี้ขลาดและน่าสมเพช

     และผมตระหนักได้ในตอนนั้นเอง ว่าตัวผมไม่ได้แตกต่างจากเด็กเมื่อสิบปีก่อนเลยแม้แต่น้อย



     ผมใช้เวลาไปกับการดูแลร้านเสียส่วนใหญ่ ต้องขอบคุณที่จังหวะนั้นลูกจ้างคนหนึ่งลาออกไป เหลือแค่ลูกจ้างประจำอย่างไอ้เป้กับพ่อครัว ผมเลยทำตัวให้ยุ่งมากกว่าเดิมได้ ยิ่งไอ้เก้ที่บางทียังมีสอบตามประสาเด็กปีสี่ มันเลยต้องลางานมากกว่าปกติ ทำให้ผมยุ่งกว่าปกติ

     กชอินทร์ติดต่อผมมาบ้างในเรื่องการตามงานบทความ พูดถึงเรื่องหน้าปกรวมเล่มบทความหนังสือว่าผมต้องการแบบไหน และส่งหัวข้อในการเขียนบทความถัดมาให้พร้อมกับคำวิจารณ์เล็กๆ น้อยๆ ในเรื่องที่ผมพลาดไปในบทความครั้งก่อน นอกจากนั้นพวกเราไม่ได้คุยอะไรกันอีก

     ผมนึกขอบคุณที่อินทร์ใช้วิธีคุยกันผ่านข้อความ ไม่เช่นนั้นผมอาจจะเป็นบ้ามากกว่านี้

     นอกจากนั้น กชอินทร์ยังเปลี่ยนรูปโปรไฟล์เป็นภาพตนเองคู่กับหญิงสาวที่ผมพอจะคลับคล้ายคลับคลาว่าเคยเห็นหน้ามาก่อน พริมาที่เขาเรียกว่า ‘พริม’

     ต้องยอมรับว่าในภาพนั้นอินทร์มีรอยยิ้มที่กว้าง...แบบที่ผมไม่ได้มองเห็นมานานแล้ว

     ยิ่งตอกย้ำกันเข้าไปใหญ่ว่าเรื่องที่มันพูดกับผมไม่น่าจะใช่เรื่องโกหก

     ช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมาผมสูบบุหรี่มากทั้งที่เคยบอกตัวเองว่าควรจะหยุดได้แล้ว ซ้ำยังซื้อเหล้ามาดื่มคนเดียวหนึ่งครั้งและเมาเหมือนหมาจนลำบากไอ้เก้ที่มาเคาะประตูบ้านเพราะผมไม่ยอมไปเปิดร้านให้มัน

     “เฮียเป็นไรวะ” มันเอ่ยถาม “อกหักเหรอ”

     “มั้ง” ผมตอบส่งๆ

     พอได้ยินเช่นนั้น อีกฝ่ายก็ทำตาโต “จริงเหรอเฮีย”
   
     ผมไม่ได้ตอบอะไรไปอีก ไอ้เก้เลยจัดการไล่ผมไปอาบน้ำก่อนที่จะคว้ากุญแจร้านไปจัดการเสร็จสรรพโดยไม่ถามอะไรเพิ่มเติม คิดว่าสภาพของผมน่าจะเป็นคำตอบที่ชัดเจนที่สุดแล้ว

     วันนี้ก็เหมือนที่ผ่านมา เวลาของผมผ่านไปอย่างน่าสับสน ขุ่นมัว และไม่สบอารมณ์ หนึ่งอาทิตย์ที่ผมรู้สึกว่ามันรวดเร็วกับการนั่งคิดคะนึงถึงเรื่องราวต่างๆ แต่กลับช้าจนแต่ละวันผมใช้เวลามากกว่าปกติหลายเท่า

     “เอาจริงๆ นะเฮีย” ไอ้เก้พูดขึ้นตอนเก็บร้าน “สภาพเฮียตอนนี้ทุเรศมาก”

     “อื้อ” ผมพยักหน้า ไม่คิดจะปฏิเสธ

     ตอนนี้หน้าโทรมกว่าปกติหลายเท่าทั้งๆ ที่ผมก็ไม่ใช่คนช่างสำอาง หนวดเริ่มผุดขึ้นมาบนใบหน้า มีเคราเขียวที่ดูไม่สบอารมณ์เท่าไหร่นัก แต่ผมก็ยังคงปล่อยมันไป
   
     มันวางไม้กวาด เอาหัวโล้นๆ ของมันยื่นเข้ามาใกล้ “แล้วทำไมเฮียไม่ทำตัวดีๆ หน่อยวะ”

     “ทำงานไป๊”

     “อะไร” มันบ่นอุบ “คนเรารึอุตส่าห์หวังดี เฮียก็ไม่ได้แย่ เป็นนักเขียนพอมีชื่อ อกหักมันจะตายรึยังไง”

     ผมถอนหายใจ “ใช่เรื่องเอ็งไหมเนี่ย” นั่นเป็นคำสุภาพของคำว่าเสือก “โทรมก็มีเงินจ้าง ทำงานเร็วๆ ก่อนที่จะไม่ได้เงิน” ว่าแล้วก็ตบเกรียนมันไปหนึ่งทีด้วยความหงุดหงิด

     “ทำไมไม่เนรมิตตัวเองให้ดูดีกว่านี้อีก เขาจะได้เสียใจ” มันไม่วายบ่นแต่ก็เดินถือไม้กวาดไปจัดการกวาดร้านตามที่ผมชี้นิ้วสั่ง

     คำพูดของมันทำให้ผมพ่นลมหายใจออกมา ไอ้เป้คิดอะไรง่ายๆ ประหนึ่งผมโดนอีกฝ่ายตบหน้าบอกเลิกเหมือนในละครจะได้ไปแก้แค้นเขาเหมือนนางเอก แต่ผมรู้สึกว่ามันไม่ใช่แบบนั้น ผมไม่ได้ต้องการให้มันเสียใจ ขณะเดียวกันก็ไม่ชอบที่ตัวเองเป็นแบบนี้

     คืนนั้นเองที่ผมได้รับข้อความจากคนที่หายหน้าหายตาไปพักหนึ่งอย่างกานต์

     ‘ไปเที่ยวกันเถอะพี่พีท!’

     ผมมองข้อความนั้นอย่างเหนื่อยใจ ลังเลอยู่พักหนึ่งก่อนที่จะต่อสายหาเบอร์โทรศัพท์ที่ไม่ได้โทรหาบ่อยๆ

     “ว้าว!” ปลายสายส่งเสียงร้องระรื่นอย่างน่าหงุดหงิด “พี่พีทโทรมา จริงเหรอเนี่ย”

     ผมถอนหายใจ “นึกยังไงถึงได้ชวนไปเที่ยว จะไปไหน”

     “พี่พีทตามใจกานต์เหรอ” น้องยังคงทำเสียงตื่นเต้น ตามมาด้วยเสียงหัวเราะคิกคัก

     “อยากทำอะไรก็ทำ พี่ว่างๆ พอดี...”

     ผมตอบไปตามจริง หลับตาลงอย่างเหนื่อยอ่อนแต่ก็ต้องลืมตาขึ้นมาใหม่เมื่อมีภาพของใครคนเดิมติดค้างอยู่ที่ใต้เปลือกตา ทันทีที่หลับตาก็เห็นกชอินทร์ นี่มันยิ่งกว่าภาพหลอนเสียอีก... แย่ชะมัด

     “มาแปลก เกิดอะไรขึ้นรึเปล่า” น้ำเสียงคนปลายสายดูจริงจังขึ้นมาหน่อย

     “นิดหน่อย” ผมไม่โกหก หากแต่ตอบแบบไม่คิดจะขยายความ

     กานต์ส่งเสียงตอบกลับมาเป็นเสียงครางในลำคอ คิดว่าน้องน่าจะรับรู้ว่าผมไม่ต้องการพูดเรื่องนี้

     “อยากไปไหนล่ะ” ผมเบี่ยงเบนประเด็น

     “กานต์แค่อยากจะดูหนัง แต่ไม่รู้จะไปกับใคร ไปด้วยกันไหมพี่พีท”

     “ได้สิ นัดมาเลย”

     พวกเรานัดกันเสร็จสรรพ พรุ่งนี้เป็นวันหยุดพอดีทำให้พวกเราสะดวกกันทั้งคู่ นี่ไม่ใช่ครั้งแรกๆ ที่พวกเราชวนกันไปทำกิจกรรมที่ดีมากกว่าการออกกำลังบนเตียง สำหรับผมแล้วกานต์เป็นเด็กที่ใช้ชีวิตอยู่คนเดียวไม่ค่อยได้ ต้องมีคนไปเที่ยวด้วยเป็นประจำ ผมมักจะเป็นตัวเลือกท้ายๆ ของน้องเพราะไลฟ์สไตล์เราไม่ค่อยตรงกัน แต่การไปเจอกันข้างนอกเป็นบางครั้งบางคราแบบนี้ก็ไม่ใช่เรื่องที่แย่นักหรอก

     พอวางสายจากกานต์แล้วผมก็ได้แต่พ่นลมหายใจ ในห้องนอนยังคงเป็นห้องที่เงียบสงบตามประสาคนอยู่คนเดียว หากแต่ครั้งนี้ผมกลับรู้สึกว่าได้ยินเสียงของคนที่ติดอยู่ในความคิดดังก้องในหัว

     เสียงหัวเราะที่มันเคยมีตอนยังเป็นเด็กมัธยม เสียงร้องไห้ปานจะขาดใจของมันเมื่อไม่กี่วันก่อน เสียงลมหายใจที่บ่งบอกถึงการมีตัวตนของมันในห้องนี้

     และบ่งบอกถึงการมีตัวตนของมัน...ในความทรงจำของผม

     

     ผมมาตามนัดกับกานต์ช่วงสาย ที่ห้างคนแน่นเหมือนเคย นั่นเป็นสาเหตุที่ทำให้ผมไม่ชอบมาห้างใหญ่ๆ

     พวกเราตกลงไปเลือกรอบดูหนังกันก่อน แม้กานต์จะเป็นเกย์ที่ออกสาวแต่รสนิยมการดูหนังก็เหมือนกับธรรมดา หนังแอคชั่น – ไซไฟแบบที่ผมเองก็ค่อนข้างชอบ เราเลยไม่มีปัญหาเรื่องการเลือกหนัง หลังจากนั้นพวกเราก็ไปทานข้าวกันโดยที่กานต์เป็นฝ่ายเลือก

     “ทำไมวันนี้พี่พีทตามใจกานต์จัง” น้องถามด้วยสีหน้าแปลกใจ

     ผมยักไหล่ ไม่ได้ตอบอะไร ปล่อยให้คนเดินข้างกายพูดจ้อไปเรื่อย เหมือนกับปกติ...กานต์ไม่ค่อยหยุดพูด ผมมักจะเป็นฝ่ายที่ฟังแบบไม่ค่อยใส่ใจ

     “พี่พีท” อีกฝ่ายยิ้ม เรียกชื่อผมเมื่อพวกเราเดินเข้ามานั่งในร้านอาหาร “มีอะไรรึเปล่า”

     “ฮึ?” ผมส่งเสียงตอบรับในลำคออย่างแปลกใจ

     “วันนี้พี่พีทดูสภาพ...” น้องไล่สายตาจากหัวจรดเท้าอย่างไร้มารยาทนิดหน่อยใส่ผม แต่ผมไม่คิดจะถือสาอะไร “ดูไม่ได้เลยว่ะ” ก่อนที่จะมาหยุดบนใบหน้าผม “ปล่อยหนวดขึ้นเป็นตอเลย”

     ผมเค้นยิ้ม เผลอเอามือจับใบหน้าตนเองอย่างลืมตัว “นั่นสินะ...” พึมพำเบาๆ

     “เอาเหอะ วันนี้พี่พีทมาเป็นเพื่อนดูหนังกานต์ กานต์เป็นคู่ควงให้เอง” กานต์ทำเสียงขันแข็งจนผมอดไม่ได้ที่จะเอื้อมมือไปขยี้ผมอีกฝ่ายด้วยความหมั่นเขี้ยว

     “อยากควงตาย”

     คนตรงหน้าหัวเราะเบาๆ ไม่ได้ตอบอะไร

     ถึงบนเตียงจะดูเป็นคนร้อนแรงแต่จริงๆ แล้วกานต์เป็นเด็กใสซื่อไม่ใช่น้อย เด็กแบบที่ให้ความรู้สึกว่า ‘เด็ก’... เอาแต่ใจ ขี้อ้อน ยิ้มเก่ง นั่นอาจจะเป็นสาเหตุที่ทำให้ผมค่อนข้างเอ็นดูน้อง พอๆ กับที่น้องมองผมว่าเป็นพี่ชาย ครั้งหนึ่งตอนกานต์อกหัก เมาจนหัวราน้ำ น้องเคยถามว่าพวกเราควรจะคบกันหรือเปล่า แต่พอน้องสร่างเมาน้องก็ทำหน้าแขยงพอรับรู้เรื่องที่ตัวเองถามผม

     ‘กานต์ไม่ได้เกลียดพี่นะ แต่คิดแล้วมันแปลกๆ...ไม่รู้สิ มันไม่ใช่อ่ะ ยังไงๆ ก็ไม่ใช่’

     นั่นเป็นเรื่องยืนยันว่าผมกับกานต์คิดเหมือนกัน ไม่ได้รังเกียจ แต่ก็ไม่เคยคิดจะจินตนาการว่าพวกเราจะเป็นอย่างไรในฐานะคนรักอย่างจริงจัง พอจินตนาการขึ้นมาสักครั้งก็รู้สึกว่ามัน ‘ไม่ใช่’... กานต์ไม่เคยทำให้ผมลำบากใจในความสัมพันธ์ พวกเรารู้ดีว่าจุดไหนที่ควรจะพอ ตอนใครสักคนมีแฟนก็หยุด เหมือนมาหาความสุขกันชั่วครั้งชั่วคราวในตอนที่เราไม่มีใครอยู่ข้างหลัง ว่ากันแล้วมันก็วิน – วินแหละนะ

     ขณะที่ผมนั่งฟังในสิ่งที่กานต์พูดไปเรื่อยเปื่อยรออาหารมาเสิร์ฟ สายตาผมก็เห็นใครบางคนเดินผ่านไปจากบริเวณกระจก

     กชอินทร์...

     ผมเผลอเลื่อนหน้าเข้าไปใกล้กระจกแทบจะในทันที กชอินทร์เดินเคียงคู่กับผู้หญิงคนหนึ่งที่ผมมองไม่ชัดว่าอีกฝ่ายคือใคร หัวใจผมเต้นรัวตอนเห็น ภาวนาในใจว่าอย่าให้เป็นพริมา แต่ดูเหมือนคำภาวนาของผมจะไม่เป็นผลเมื่อเห็นว่าทั้งสองหยุดที่ประตูร้านแห่งนี้

     ดูเหมือนการจับจ้องของผมจะเป็นการแสดงออกที่ค่อนข้างมากเกินไป กานต์เลยจับสังเกตได้ น้องหันมองไปตามสายตาผมก่อนที่จะหันกลับมาทางผม

     “เจอคนรู้จักเหรอ”

     ผมไม่ได้ตอบ พนักงานต้อนรับพากชอินทร์เดินตรงเข้ามาในร้าน ผมรู้ตอนนั้นเองว่าอินทร์ไม่ได้มากับสตรีคนนั้นคนเดียว แต่มากันสี่คน ทั้งสองกับหญิงสาวที่ดูสูงอายุอีกสองคน

     หนึ่งในนั้นผมจำหน้าได้... แม่ของกชอินทร์

     ผมเผลอสูดลมหายใจเข้าหากันลึก รู้สึกมวนในท้องพร้อมกับแรงบีบรัดจากก้อนเนื้อในอกข้างซ้าย ตอนที่อินทร์เดินผ่านพวกผมเหมือนอินทร์จะเห็น แววตาของเราสบกันเพียงเล็กน้อย แต่เรื่องราวมันแย่กว่านั้นเมื่อพริมาร้องออกมาอย่างแผ่วเบา

     “อ๊ะ” เธอมองผม ส่งยิ้มให้อย่างเป็นมิตร “พี่พีทนี่นา”

     ผมเห็นแววตาอึดอัดของคนที่เดินเคียงคู่กับเจ้าหล่อนผุดขึ้นมาแทบจะในทันที

     “สวัสดีครับ” พอถูกเธอทักทายเช่นนั้นผมก็ได้แต่คลี่ยิ้ม เอ่ยทักทายกลับไปตามมารยาท ยิ่งในสถานการณ์แบบนี้กชอินทร์ยิ่งเหมือนถูกผูกมัดให้ต้องทักทายผมไปด้วย

     “สวัสดีครับคุณพีรพัฒน์” อีกฝ่ายยิ้ม... ด้วยแววตาที่แสนว่างเปล่า “มาทานข้าวกับเพื่อนหรือ”

     ผมพยักหน้า เหลือบตามองกานต์ที่ยิ้มให้ทั้งสองคนด้วยความเป็นมิตรเช่นกันยามที่พริมาทักทายน้องอย่างคนมีมารยาท

     จังหวะนั้นเองที่สตรีสูงวัยเอ่ยถามกับลูกชาย “เจอเพื่อนหรือลูก”

     ผมลังเลตอนที่เห็นเจ้าหล่อนมองผม แม่ของอินทร์ดูแก่ไปมาก แต่นั่นไม่แปลก... มันผ่านมาร่วมสิบปีแล้วนับตั้งแต่เจอกันครั้งสุดท้าย สิ่งที่ผมทำมีเพียงการยกมือไหว้อีกฝ่ายตามที่คนอายุน้อยกว่าพึงทำ

     “เอ๊ะ” เธอทำหน้าแปลกใจเล็กน้อย นั่นทำให้ลมหายใจผมกระตุก คิดย้อนไปถึงคำพูดที่อินทร์พูด... พ่อของอินทร์รู้เรื่องของเรา... “นี่ไม่ใช่ เดี๋ยวนะจ๊ะ น้าจำไม่ได้...” เธอขมวดคิ้ว “ชื่ออะไรนะอินทร์ เพื่อนสนิทลูกตอนมัธยมน่ะ”

     ผมรับรู้ถึงการสะดุดของลมหายใจของร่างสูงแต่ติดผอมของกชอินทร์ ความเงียบถูกปกคลุม

     “พีท...ครับ” สุดท้ายคนถูกถามก็ตอบมาด้วยน้ำเสียงแหบแห้ง

     มันเรียกชื่อผมแบบที่มันเคยเรียก...เป็นครั้งแรก...

     “อ๋อใช่! พีท!” คุณแม่ของอินทร์ร้องออกมา คลี่ยิ้มให้ผมอย่างใจดีแบบที่ผมคุ้นว่าเคยได้รับในสมัยเป็นเด็ก “ไม่ได้เจอนานเลย เป็นยังไงบ้างจ๊ะ?”

     “ก็...ดีครับ” ผมตอบด้วยรอยยิ้มแก่นๆ เต็มไปด้วยความอึดอัดใจล้นอยู่ในอก

     “สมัยก่อนอยู่กับเจ้าหนูนี่บ่อยจะตาย หายหน้าหายตาไปเลย” เธอยิ้ม “นึกว่าเลิกสนิทกันแล้วเสียอีก”

     “ฮ่ะๆ” คำพูดของเธอทำให้ผมขมวดคิ้วเล็กน้อยแต่ก็ต้องส่งเสียงหัวเราะแห้งๆ ไปอย่างเสียไม่ได้ เหลือบสายตาไปสบตากับแววตาสั่นระริกของกชอินทร์ ไล่มองไปพบว่ามือของมันกำเข้าหากันแน่นจนผมต้องรั้งตัวเองไม่ให้ไปจับมันไว้

     “เป็นเพื่อนที่ดีกันจริงๆ เลยน้า สนิทกันตั้งนาน”

     คุณแม่ของอินทร์ยังคงเป็นคนที่ดูใจดีเสมอเพียงแต่น้ำเสียงนุ่มๆ ที่ทำให้ผมอบอุ่นตอนเด็กๆ กลับทำให้ผมรู้สึกอึดอัดเสียเหลือเกินในตอนนี้ เพราะมีคำพูดที่ทำให้ผมรู้สึกสะดุด
ผมมองอินทร์แทบจะในทันทีเมื่อสมองประมวลผลเสร็จ อินทร์ไม่มองผม ไม่ยอมสบตา ก้มหน้าและเอ่ยปากชวนให้แม่กับพริม พร้อมกับผู้ใหญ่อีกคนไปนั่งที่โต๊ะพร้อมกับอ้างเหตุผลว่าบริกรรอนาน

     ‘เป็นเพื่อนที่ดีกันจริงๆ เลย’ อย่างนั้นหรือ?

     ผมหันกลับไปมองอีกฝ่ายที่นั่งข้างๆ กับแม่ตนเอง แต่ตรงข้ามกับพริมาอีกครั้งก่อนที่จะเอาลิ้นดุนกระพุ้งแก้ม

     “มีอะไรหรือพี่พีท” คนตรงหน้าเอ่ยปากถามด้วยสีหน้าแปลกใจ

     “เปล่า...” ผมโกหก “ไม่มีอะไร”

     น้องพยักหน้า ไม่เซ้าซี้ถามต่อเพียงแต่มองผมที่กำลังนิ่งไปเพราะพยายามใช้ความคิดอย่างหนักเงียบๆ

     แม่ของอินทร์...ไม่รู้เรื่องของเราเมื่อสิบปีก่อนอย่างนั้นหรือ?



--------------------------------------

ขอสาปแช่งให้พวกนี้โดนรถชนตาย จะเอากานต์กับน้องเก้มาเป็นคู่พระ-นายแล้ว! :katai1:
มีความสุขกับสงกรานต์กันไหมคะทุกคน ยะโฮ้วววว

ออฟไลน์ suck_love

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 780
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +34/-1
เต็มไปด้วยฟามลับ  :ling1:


ออฟไลน์ กฤษณ์

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 649
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +37/-0
ไม่มีคอมเม้นอะไรลึกซึ้งกับตอนนี้นอกจากอีโมนี้  :เฮ้อ: และนี่  :ling2:
เพลียกับทั้งคู่..

ออฟไลน์ B52

  • เป็ดZeus
  • *
  • กระทู้: 13216
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +420/-26

ออฟไลน์ sittawan

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 64
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-1
เศร้าอ่าาา

ออฟไลน์ NINEWNN

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 317
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +105/-4

CHAPTER 12

“อยากเป็นคนดูแลเธอก่อนที่สาย
พูดว่ารักเธอก่อนที่ใครคนใดจะเอ่ยคำนี้”

(หากว่าย้อนเวลากลับไปได้ – พีท พีระ)



     แม่ของอินทร์ไม่รับรู้เรื่องของเราตอนมัธยม นั่นคือสิ่งที่ผมคิดหลังจากบังเอิญเจอมันที่ห้างจวบจนดูหนังกับกานต์เสร็จ ไปส่งน้องที่คอนโด กระทั่งกลับมาบ้านก็ยังคิดเรื่องนั้นไม่ตก

     ผมไม่อยากคาดคั้นอินทร์แม้ในใจจะมีแต่ความสงสัย

     ‘ทำเหมือนเราไม่เคยรู้จักกันไม่ได้หรือ’

     อินทร์พูดแบบนั้น... และหันหลังไปจากผมอีกครั้ง

     ผมต้องทำอย่างไรกับสิ่งนี้กันนะ ผมปล่อยมันไปหลายต่อหลายครั้งแต่ก็ต้องวิ่งไปจับมันใหม่เพราะทนมองมันจากข้างหลังไม่ได้ แต่ทุกครั้งที่ผมวิ่งเข้าหา กชอินทร์ก็วิ่งหนี ระยะห่างของพวกเรามากขึ้นเรื่อยๆ จนกลายเป็นมากมายขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่กัน

     พอกลับมาบ้านผมก็ต้องไปดูแลร้านอีกครั้งเพื่อไม่ให้ตัวเองฟุ้งซ่าน ผมพยายามหางานให้ตัวเอง ตรวจเช็กวัตถุดิบว่ามีอะไรขาดเหลือไปบ้าง

     “ผมว่าเราหาเมนูใหม่ๆ ดีไหม” จีระ พ่อครัวเพียงคนเดียวในร้านเอ่ยปากขึ้น “อันที่จริงเดี๋ยวนี้ของคาวแทบจะไม่ได้ทำเลยด้วยซ้ำ มีแต่ลูกค้าผู้หญิงมาทานขนมหวาน บางทีน้องพีทน่าจะเปิดเป็นร้านขนมไปเลยนะครับ”

     ผมเหลือบตามองพ่อครัวร่างหมีที่จนทุกวันนี้ยังไม่สามารถเชื่อได้ว่าอายุมากกว่าผมเพียงไม่กี่ปี แถมยังชอบเรียกผมว่า ‘น้องพีท’ ให้รู้สึกสยองเล่น เคยแย้งไปหลายต่อหลายครั้ง บอกให้เรียกพีทหรือไม่ก็คุณพีทไปเลย แต่บอกกี่รอบๆ ดูเหมือนอีกฝ่ายจะไม่ฟังแม้แต่นิดเดียวผมเลยปล่อยให้เขาเรียกไปแบบนี้ อันที่จริงเขายังยอมทำงานให้ก็ดีแค่ไหนแล้ว ค่าแรงรึก็ไม่ได้มากมายอะไร (ถึงงานมันจะค่อนข้างสบายก็เถอะ) แต่ฝีมือรอบด้านมาก ทำได้ตั้งแต่ของคาว ของหวาน ขนมไทย ทำเป็นทุกอย่าง รสชาติค่อนข้างดีทุกอย่างเสียด้วย

     “งั้นเหรอ” ผมพยักหน้าเออออ “คุณจีจะตัดเมนูไหนบ้างล่ะครับ”

     อีกฝ่ายหยิบกระดาษให้ผมที่เขียนรายชื่อเมนูต่างๆ ซึ่งมักจะไม่ค่อยมีคนสั่งให้ผม เสนอความคิดว่าควรจะเติมเมนูของหวานอะไรไปบ้าง ผมนั่งคุยกับคุณจีระอยู่พักหนึ่งก่อนที่จะได้บทสรุปว่าเขาจะช่วยหาเมนูใหม่ให้ พอแน่นอนแล้วค่อยว่ากันอีกที

     “ขอบคุณมากครับ” ผมพูด เหลือบตามองหน้าร้านที่แทบจะไม่มีคน “งั้นเดี๋ยวผมกลับบ้านก่อนนะ”

     คนตรงหน้าพยักหน้าหงึกหงัก ไม่ได้พูดอะไรอีก
     
     อันที่จริงผมคิดเหมือนกันว่าควรจะทำให้ร้านมีแนวทางที่ชัดเจนกว่านี้สักที ที่ทำๆ ก็ตามใจตัวเองทั้งนั้น จะบอกว่าร้านขนมก็ไม่ใช่ ร้านข้าวก็ไม่เชิง บาร์แจ๊สตอนดึกก็ไม่ค่อยมีคนเข้าเสียอีก เป็นอะไรก็ไม่รู้ที่มีอาหารขายให้คนกินตั้งแต่เช้าจนถึงเย็น

     พอกลับมาถึงบ้านนั่งนิ่งๆ คิดนู่นนี่ไปเรื่อย ผมก็ห้ามตัวเองให้ไปจับโปสการ์ดที่ถูกวางไว้ข้างเตียงอีกจนได้

     ผมถอนลมหายใจ หยิบสิ่งเหล่านั้นเปิดไปเปิดมาอย่างเรื่อยเปื่อย โปสการ์ดเหล่านั้นยังว่างเปล่าเหมือนเดิม โพสอิทที่ไม่มีกาวแล้วก็ยังถูกแนบไว้ในแต่ละใบเหมือนเดิม

     ...?

     ผมขมวดคิ้วเล็กน้อยเมื่อเห็นว่าโปสการ์ดใบที่อยู่ใต้สุดไม่ได้ว่างเปล่าเหมือนเคย

     มือของผมสั่นเล็กน้อยตอนที่หยิบมันออกมาจากกอง คิดย้อนไปว่าครั้งสุดท้ายที่เปิดกองกระดาษพวกนี้มาถึงแผ่นสุดท้ายตอนไหน ความทรงจำของผมมีเพียงตอนที่ได้ยินคำว่าเกลียดจากมันในวันที่เจอกับพริมาที่ร้านเท่านั้น หลังจากนั้นมันก็ไม่ได้ถูกแตะต้องอีก

     ผมสูดลมหายใจ อ่านข้อความตัวเล็กๆ ที่ถูกเขียนด้วยปากกาสีน้ำเงิน

     ‘ขอโทษ’

     เพียงคำสั้นๆ ที่ไม่ได้ช่วยให้ผมเข้าใจ
   
     ใต้คำนั้นมีข้อความที่ถูกขีดฆ่าจนผมอ่านไม่ออกอีก ความยาวไม่ต่างกันมากนัก ผมพยายามเพ่งสายตาแต่มันถูกขีดจนกระดาษหนาๆ เช่นโปสการ์ดแทบจะทะลุ ไม่ว่าพยายามแค่ไหนผมก็อ่านมันไม่ออก

     ลมหายใจผมคิดขัด หยิบโพสอิทที่มีเหลือเพียงตัวอักษรจางๆ ขึ้นมาเทียบ

     ลายมือเดียวกัน

     คำขอโทษนี้มาจากกชอินทร์

     ครืด...

     ผมสะดุ้งตอนที่โทรศัพท์ซึ่งถูกวางไว้บนโต๊ะสั่นจนเกิดเสียงดัง ผมวางกระดาษหนาแผ่นเล็กในมือไว้บนเตียงก่อนที่จะลุกขึ้นเดินไปหยิบโทรศัพท์ขึ้นมา

     ‘ยืนยันไปงานรวมรุ่นกันหน่อยเว้ยยย’

     ผมขมวดคิ้ว กดเปิดเข้าไปในกรุ๊ปไลน์ที่ร้างมาเป็นเวลานาน มันเป็นกลุ่มของเพื่อนสมัยมัธยมปลาย อ่านบทสนทนาคร่าวๆ ก็นึกขึ้นมาได้ว่าโรงเรียนมัธยมปลายจัดงานรวมรุ่นกันทั้งรุ่น มีคนที่เป็นหัวเรี่ยวหัวแรงมาทบอกให้ยืนยันว่าจะไปงานรวมรุ่นที่จะจัดขึ้นในวันเสาร์หน้ากับคนที่จองที่ไว้แล้ว ส่วนใครไม่ได้จองที่ก็ไปซื้อบัตรกันที่วันงานซึ่งจัดที่โรงเรียนเก่านั้นแหละ

     อืม... ก็คุ้นๆ ว่ามีเรื่องแบบนี้อยู่หรอก

     ผมอาจจะเป็นคนที่ดูเหมือนขาดสังคมแต่ก็ใช่ว่าไม่ได้อยากเจอกับเพื่อน ผมไม่ได้ลงชื่อไว้ ทั้งกลุ่มผมก็ไม่ได้ลงชื่อเหมือนกันหมดเพราะก็รู้ดีว่ามีการไปซื้อบัตรที่วันงานเลยอยู่แล้ว

     ผมไม่ได้ตอบอะไรไป ไม่ว่าจะเป็นสติ๊กเกอร์หรือข้อความ ทั้งยังต้องกดปิดแจ้งเตือนเพราะมีแต่บทสนทนาเด้งขึ้นจนน่ารำคาญก่อนที่จะย้อนกลับไปมองโปสการ์ดบนเตียง

     คำพูดไหนที่อยากจะลบกันแน่...อินทร์

     ครืด

     โทรศัพท์ของผมสั่นอีกครั้งหนึ่ง ผมคว้ามันมาเปิดดูก่อนที่จะพ่นลมหายใจแรงๆ เมื่อเห็นว่าคนที่ติดต่อมาคือใคร

     บรรณาธิการที่ชื่อกชอินทร์นั่นแหละ

     ผมเอาลิ้นดุนกระพุ้งแก้มอย่างหงุดหงิดใจตอนที่กดเปิดเข้าไปในไลน์เพื่อดูข้อความยาวเป็นพรืดที่มันส่งมาเมื่อไม่กี่นาทีก่อน กวาดสายตาสักพักถึงเข้าใจว่ามันพูดถึงการเขียนบทความในรวมเล่มว่าสามารถเขียนได้อีกหนึ่งตอน รวมถึงคำถามว่าอยากให้ใครเขียนคำนิยมให้เป็นพิเศษหรือเปล่า

     ‘ถ้าไม่ตอบผมจะถือว่าไม่มีแล้วจัดการเอง’

     มันพิมพ์ตอบกลับมาแบบนั้น คิดว่ามันคงเห็นว่าผมอ่านข้อความที่มันส่งมาแล้ว

     ‘เชิญ’

     ผมตอบกลับไปเพียงเท่านั้น มีตัวอักษรขึ้นให้เห็นว่ามันรับรู้แล้ว ผมสูดลมหายใจลึก มองคำขอโทษที่อยู่บนโปสการ์ดที่ควรจะสะอาดปราศจากสิ่งใด ลังเลว่าควรจะถามมันไปหรือเปล่า ไม่... นั่นเป็นคำตอบที่ผมได้รับหลังจากการคิดสะระตะแล้ว ตัวอักษรโกหกผมได้...และผมไม่ต้องการให้มันโกหกผมอีกต่อไป

     อีกฝ่ายพิมพ์ข้อความมาอีกเป็นพรืดเรื่องการรวมเล่ม รายละเอียดเล็กๆ ว่าตอนนี้อยู่ในขั้นตอนใด มีปัญหาใดเป็นพิเศษ ซึ่งผมไม่ได้ตอบอะไรกลับไปทั้งนั้น ผมโยนโทรศัพท์ทิ้งบนเตียง ความอึดอัดที่สุมในอกทำให้ผมทนอ่านข้อความของ ‘คุณกชอินทร์’ ไม่ได้ ได้ยินเสียงข้อความเข้าอยู่อีกสองสามครั้งก่อนที่มันจะเงียบไป ผมพ่นลมหายใจออกมาอย่างเหนื่อยอ่อน ตั้งคำถามว่าเรื่องราวมันจะน่าอึดอัดแบบนี้ไปอีกนานแค่ไหน

     ผมคิดว่าตัวเองต้องการอะไรสักอย่างระบายออก ความรู้สึกทั้งหมดในท้องทำให้ผมรู้สึกพะอืดพะอมจนอยากอาเจียน...ผมหมายถึงผมต้องการระบายมันออกไป ไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง

     พอคิดได้แบบนั้นผมก็ลุกขึ้นจากเตียง เดินไปนั่งที่โต๊ะที่ใช้ทำงานประจำ เปิดโปรแกรมในการพิมพ์งานขึ้นมา จรดปลายนิ้วลงกับแป้นพิมพ์เพื่อที่จะ ‘ระบาย’ ทุกอย่างออกมาแม้ไม่รู้ว่าอีกฝ่ายจะได้อ่านมันหรือเปล่า ผมไม่อยากสนใจ

     ‘แด่... ความสัมพันธ์ ความทรงจำและความลังเล’

     ผมได้ยินเสียงปลายนิ้วตัวเองกระทบแป้นพิมพ์ซ้ำแล้วซ้ำเล่า ตัวอักษรที่ปรากฏบนหน้าจอแทบไม่ได้เข้าหัวเลยแม้แต่น้อย ผมโยนทุกอย่างทิ้ง ไม่มีแก่นเรื่อง ไม่มีแบบแผน

     มีเพียงถ้อยคำที่อยากให้อีกฝ่ายได้ฟัง
   
     คำพูดที่อัดแน่นในอก คำถามที่ไม่เคยได้รับคำตอบ คำพูดที่เต็มไปด้วยความอึดอัด

     ทุกอักษร ทุกคำ ทุกประโยคที่ถูกเรียงร้อยด้วยความรวดเร็วเหมือนกับก๊อกน้ำที่แตกจนน้ำกระจายออกมา ทุกอย่างมีเพียงคำเดียวที่ผมมองเห็น

     คำที่ผมรู้สึก ไม่เคยได้พูดให้คนที่อยากให้ได้ยินที่สุด...และไม่เคยได้ยินจากคนที่อยากให้พูดมากที่สุด

     เพียงคำเดียวที่ทำให้ผมยังรู้สึกอึดอัดจนรู้สึกเหมือนอกจะฉีกออกจนถึงทุกวันนี้

     ‘รัก’



     เผลอแป๊บๆ ก็ถึงวันที่มีงานรวมรุ่น

     หลังจากที่ตอนแรกผมค่อนข้างมั่นใจว่าตัวเองจะมาแน่นอนแต่มันก็เกิดเหตุจนผมเกือบจะมาไม่ได้เพราะท่อประปาที่ร้านแตกตอนที่กำลังจะแต่งตัวเลยต้องเสียเวลามากไปเสียหน่อยกว่าจะได้ออกจากบ้าน ยังดีที่ไม่เป็นเหตุการณ์ใหญ่มากมาย

     หลังจากย้ำกับพ่อครัวและไอ้เก้เรียบร้อยแล้วผมถึงได้ออกมาเรียกแท็กซี่ไปโรงเรียนเก่าตัวเอง ตอนแรกก็ตั้งใจจะขับรถไปอยู่หรอก แต่คิดไปคิดมาก็คิดว่าคงได้ไปต่อกับเพื่อนแน่ๆ รอพึ่งพวกมันน่าจะดีกว่า แถมรถติดนิดหน่อยตอนที่ผมเดินทาง เล่นเอาเสียค่าแท็กซี่ไปร่วมร้อย แพงชิบหาย...

     ผมมาถึงโรงเรียนตอนเกือบสองทุ่ม เขาเริ่มเปิดงานกันไปเรียบร้อยหมดแล้ว เดินเจอเพื่อนเก่าแบบไม่หยุดพัก มีโต๊ะจีนที่ซื้อบัตรไว้มากินก็แทบไม่ได้นั่ง คุยนู่นคุยนี่ มีคนบางกลุ่มโยกย้าย เพื่อนผมบางคนพาแฟนมาด้วยก็มี คนในรุ่นเริ่มมีแต่งงานกันไปบ้างแล้ว บางคนเมียท้องแล้วยังมีเลยด้วยซ้ำไป

     แล้วยิ่งมีมีวงดนตรีของรุ่นน้องมาแสดงในงานให้เสียงดังลั่น แสงสีในฮอลล์ประชุมใหญ่ของโรงเรียนที่ถูกทำให้สลัวๆ เล็กน้อยผมยิ่งรู้สึกว่านี่มันเหมือนมาผับมากกว่า ยิ่งมีกลุ่มคนบางกลุ่มไปเต้น บางกลุ่มเดินไปเดินมานี่ยิ่งใช่เลย   
   
     “เฮ้ยยยย พีทเว้ยยยย” เสียงเรียกหนึ่งทำให้ผมหันไปขณะที่ในมือถือแก้วเบียร์ เห็นเพื่อนในโต๊ะหนึ่งโบกมือโบกไม้เรียกผมแต่ผมกลับลังเลเล็กน้อยที่จะเดินเข้าไป

     อินทร์นั่งอยู่ตรงนั้น

     อันที่จริงผมไม่แปลกใจเท่าไหร่ที่เห็นมัน อินทร์จะมางานรวมรุ่นก็ไม่แปลก ถ้ามันไม่มาสิจะทำให้ผมแปลกใจมากกว่า ขวัญใจมหาชนอย่างมันไม่มีพลาดเรื่องพวกนี้หรอก ผมถอนหายใจ สุดท้ายก็เดินเข้าไปทักทายเพื่อนที่นั่งอยู่ทางข้างซ้ายของอินทร์ตามปกติ

     ผมไม่รู้ว่าคิดไปเองหรือเปล่าแต่เราสบสายตากันนิดหนึ่ง อินทร์ไม่ดื่มเบียร์ เพราะฉะนั้นในมือมันเลยมีแก้วโค้กอยู่ (แต่สังเกตจากบนโต๊ะที่มีขวดเหล้า ผมคิดว่านั่นไม่ใช่แค่โค้ก) มันยกแก้วจรดริมฝีปากตอนผมเดินไปพูดคุยกับเพื่อนๆ ของมัน

     บนโต๊ะนั่นผมมีคนรู้จักอยู่สามสี่คนจากเป็นสิบแม้ว่าส่วนใหญ่จะคุ้นหน้ามากแต่ก็ไม่ได้คุยอะไรกัน

     หลังจากคุยถามสารทุกข์สุขดิบกันกับคนรู้จักอยู่พักหนึ่ง จู่ๆ คนที่ทักทายผมเป็นคนแรกมันก็กระทุ้งศอกใส่กชอินทร์ที่อยู่ข้างกาย

     “ทำไมไม่พูดอะไรวะ สนิทกันไม่ใช่เหรอ”

     อินทร์หน้าตึง มันขยับปากด่าเพื่อนมันแบบไร้เสียง ผมเองก็ไม่ได้พูดอะไร จังหวะนั้นก็ถือโอกาสปลีกตัวออกมาเมื่อเจอเพื่อนอีกกลุ่มหนึ่ง

     ผมนึกหงุดหงิดใจตอนที่บังคับสายตาตัวเองไม่ให้มองมันไม่ได้แม้ว่าผมจะคุยกับเพื่อนกลุ่มนั้นที กลุ่มนี้ทุก เดินกลับมานั่งบนโต๊ะตัวเองก็ตาม เมื่อผมเผลอ สายตาของผมจะต้องพยายามสอดส่องหากชอินทร์ไปโดยอัตโนมัติ แม้จะรู้ตัวว่าตัวเองทำอะไรเช่นนี้ แต่มันห้ามไม่ได้จริงๆ

     ผมเห็นมันคุยกับเพื่อนคนนั้นทีคนนี้ทีโดยที่คนส่วนใหญ่มาหามัน มันแทบไม่ลุกจากโต๊ะเลยด้วยซ้ำ จังหวะหนึ่งที่มันลุกขึ้น กำลังจะเดินออกไปนอกหอประชุมนี้ด้วยตัวคนเดียวทำให้ผมเผลอเม้มริมฝีปากแน่น และยิ่งแปลกใจกว่าเก่าเมื่อเห็นว่ามันเดินออกไปทางหลังหอประชุม ไม่ใช่ห้องน้ำหรือไปทางฝั่งทางเข้าเหมือนคนส่วยใหญ่

       ผมคิดว่ามันไม่ใช่เรื่องของผม... แต่ผมก็ลุกขึ้นเดินตามมันไป

       พอเดินออกมาจากหอประชุมผมก็ไม่เห็นอินทร์แล้ว ผมมองซ้ายมองขวา คิดว่ามันอาจจะมาคุยโทรศัพท์ เพราะว่าหอประชุมเก็บเสียงได้ดีมาก หลังหอประชุมเลยมีเพียงเสียงแผ่วๆ จากวงดนตรีดังขึ้นมา ยิ่งตอนนี้เปลี่ยนไปเล่นเพลงช้าๆ ซึ้งๆ ยิ่งทำให้เสียงเหล่านั้นค่อนข้างเบา แต่ถึงกระนั้นผมก็ไม่ได้ยินเสียงกชอินทร์อยู่ดี

       ผมถอดใจ บอกตัวเองว่าปล่อยมันไป... และผมควรจะหาที่สงบๆ หรือไม่ก็กลับไปในงาน ซึ่งผมคิดว่าตอนนี้ผมปวดหู หาที่เงียบๆ นั่งสูบบุหรี่อาจจะดีกว่า

     ถ้าเดินไปทางซ้ายมันจะออกไปทางเข้างาน เพราะฉะนั้นผมถึงเดินไปทางขวา ถ้าเดินเลาะจากหอประชุมจะกลายเป็นสนามบอลเล็กของโรงเรียน มันออกมานอกตึกเลยเห็นท้องฟ้าที่มืดสนิทแล้วชัดเจน แต่ถึงกระนั้นก็ยังมีแสงไฟเปิดรอบสนามอยู่

     ผมกำลังหยิบไฟแช็กและบุหรี่ของตัวเองขึ้นมา ก่อนที่จะชะงักเมื่อได้ยินเสียงคนเหยียบสนามหญ้า พอหันไปก็ต้องชะงักยิ่งกว่า

     กชอินทร์

    อีกฝ่ายหันมามองทางผมเช่นเดียวกัน มันเองก็ผงะไปนิดหน่อยตอนเราสบตากัน มือของผมที่กำลังจะจุดไฟแช็กหยุดแทบจะในทันที ผมพ่นลมหายใจ ส่ายหน้าเล็กน้อยก่อนที่จะแกล้งทำเหมือนมันไม่มีตัวตนและจัดการจุดบุหรี่ซะ

     อินทร์ไม่ได้เดินเข้ามาใกล้ ไม่ได้ออกห่าง มันไม่ขยับตัวไปไหนแค่ยืนมองผมจากระยะห่างประมาณสาม – สี่ฟุตของเรา
   
     อินทร์ถามคำถามด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย “คุณตามผมมาหรือ”
   
     ผมเป่าควันออกจากริมฝีปาก ไม่ได้ตอบอะไร สบตากับมันและถามคำถามที่นึกสงสัย “...’ขอโทษ’ อะไร?” มันผงะ การกัดริมฝีปากเล็กน้อยอย่างเคยตัวทำให้ผมรู้ว่าคำถามของผมทำให้มันรู้สึกเครียดและอึดอัดใจ ผมจึงถามต่อ “ก่อนจะออกไปก็ขอโทษ... อย่าบอกนะว่าถ้าไม่ตื่นขึ้นมา จะแอบหนีไปก่อน”

    “คุณพีรพัฒน์”

       ผมพ่นลมหายใจอย่างแรง “อ๋อ ลืมไปเราไม่รู้จักกัน” เอ่ยประชดประชัน “แล้วจะขอโทษคนไม่รู้จักกันทำไม”

       “เข้าใจก็ดี” น้ำเสียงและคำพูดของมันทำให้ผมรู้สึกหายใจไม่ออก

       ผมมองภาพตรงหน้า ทิวทัศน์โรงเรียนตอนกลางคืนไม่ได้เห็นบ่อยนักตอนเป็นนักเรียน ยิ่งพอมามองจากตรงนี้ผมก็ยิ่งรู้สึกแปลกไป ตึกเรียนนั้นที่ผมกับมันเคยเรียนด้วยกัน สนามบอลผมก็เคยเล่นกับมัน หอประชุมเราก็เคยอยู่ด้วยกัน ทุกอย่างในโรงเรียนนี้คือจุดเริ่มต้น พอมามองตัวเองที่มีความทรงจำเมื่อสิบปีก่อนอยู่ตอนนี้แล้วมันรู้สึกเหมือนในอกจะระเบิดเสียให้ได้

       ถ้าสิบปีที่แล้วมีคนบอกว่าเราจะมีแต่ความน่าอึดอัดและความเจ็บปวดระหว่างกัน ผมคงไม่เชื่อ

     “มีความสุขไหม” จู่ๆ ผมก็เอ่ยปากถามออกมาท่ามกลางความเงียบ ในขณะที่ความทรงจำต่างๆ วิ่งแล่นอยู่ในหัว ตอนที่อินทร์ยิ้ม ตอนที่อินทร์หัวเราะ เรื่องราวเหล่านั้นดูเหมือนว่าจะผ่านมานานเหลือเกิน ผมหลับตาลง สูดอากาศเข้าปอด ปลายลิ้นสัมผัสได้ถึงรสชาติขมพร่าในลำคอที่ผมรู้ว่ามันมาจากอะไร

    “...” อีกฝ่ายไม่ตอบอะไร  ระหว่างเราเงียบอยู่พักใหญ่ กชอินทร์ก้มหน้าลง ผมสังเกตเห็นว่าไหล่ของมันสั่นเล็กน้อย...แต่แล้วอย่างไร ในเมื่อสิ่งนั้นมันไม่สำคัญอีกต่อไป
   
    “ถ้าหากตอนนั้นกูพยายามมากกว่านี้...หรือมึงพูดอะไรมากกว่านี้ ‘ตอนนี้’ มันจะเปลี่ยนไปไหม”

       คำถามของผมแผ่วเบา เหมือนจะพูดให้สายลมฟังมากกว่าคนข้างกาย และผมไม่คาดหวังคำตอบใดๆ จากมัน เพราะรู้ดีว่าผมไม่มีโอกาสได้รู้

     ผมชอบอินทร์แล้วอย่างไร อินทร์ชอบผมแล้วอย่างไร...ในเมื่อมันไม่กล้าพอที่จะเรียกชื่อผมด้วยซ้ำ
   
    “ถ้ากูย้อนเวลากลับไปได้ กูอยากจะพูดทุกอย่างที่คิด จะขอร้องให้มึงอย่าไป ถ้ากูรู้ว่า ‘ตอนนี้’ มันจะเป็นแบบนี้... กูจะไม่ปล่อยเวลาผ่านไปเฉยๆ ตอนมึงเดินผ่านกูไป... อย่างน้อยๆ ก็ไม่ให้มีอะไรติดค้างในใจกันแบบนี้”
   
    ถ้าหากตอนนั้นเป็นอย่างนั้น... ถ้าหากตอนนั้นเป็นอย่างนี้...มันก็หมายถึงตอนนั้นเราไม่ได้ทำอะไรเลย

       “แต่ตอนนี้...มันทำอะไรไม่ได้แล้ว” ผมพูดมันออกมาในที่สุด “กูยอมแพ้แล้ว...อินทร์”

    ผมได้ยินเสียงลมพัด เสียงเพลงฟังไม่ได้ศัพท์จากหอประชุม เสียงลมหายใจที่แสนแผ่วเบา และเสียงหัวใจตัวเองเต้นรัวมากกว่าครั้งใด จำไม่ได้แล้วว่าครั้งสุดท้ายที่ใช้ความพยายามในการพูดอะไรแบบนี้มันเกิดขึ้นตอนไหนแต่มันคงจะนานมากแล้วจริงๆ

    ผมไม่รู้ว่าตัวเองควรทำอย่างไรตอนที่รู้สึกตัวว่าลมหายใจของผมสงบนิ่งยิ่งกว่าที่คิดไว้เมื่อได้พูดคำนั้น

    “ขอโทษนะ”

    ผมกระซิบคำนั้นกับมันที่ยืนอยู่ข้างกายโดยไม่รู้ว่ามันทำสีหน้าอย่างไร อาจจะเป็นเพราะตัวผมไม่กล้าพอที่จะหันไปมองมัน

    ...หันไปสิ หันหลังให้มัน
   
    ผมบอกให้ตัวเองทำแบบนั้น

       ...เดินออกไปเดี๋ยวนี้

       ผมบอกตัวเองให้ก้าวเท้าออกแม้ว่าจะรู้สึกเหมือนจะยืนไม่ไหวก็ตามที

       “เดี๋ยว”

    ...ห้ามหันหลังกลับไปเด็ดขาด
   
    “ไม่...!”

       ...อย่าหยุดเดินสิ

       “อย่าเพิ่ง! พีท!”


--------------------------------------------------------------------------
โปรดติดตามตอนต่อไป :katai5:

ออฟไลน์ sittawan

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 64
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-1

ออฟไลน์ B52

  • เป็ดZeus
  • *
  • กระทู้: 13216
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +420/-26
อะไรนักหนา!!!!!!!

ออฟไลน์ ammchun

  • Don't Worry,Be Happy
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1394
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +54/-4
ไข้ขึ้นเลยค่ะ :mew5: :mew5:

ออฟไลน์ Vermouth

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 77
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +8/-0
หน่วงขนาดหนัก อึดอัดอยู่ในอก แล้วตอนสุดท้ายนั่น อินทร์จะรั้งพีทไว้อีกทำไมมมมม

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ NINEWNN

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 317
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +105/-4

CHAPTER 12

“หวังลึกๆ ว่าเธอจะเปลี่ยนใจ
หวังลึกๆ ว่าจะใช้น้ำตารั้งเธอได้...แต่มันก็เท่านั้น”

(วันที่เรา – Nap A Lean)



       “อย่าเพิ่ง! พีท!”

       ผมชะงัก ถ้อยคำที่พร่ำบอกตัวเองในใจเมื่อกี้แทบจะแหลกเป็นผุยผงเพียงเพราะมันเรียกชื่อผมแบบที่มันเคยเรียก ยังดีที่ผมรั้งกายไม่ให้หันหลังกลับไป

       ผมสูดลมหายใจลึก ก้อนเนื้อในอกเต้นระรัว อยากจะขยับปากถามว่ามันจะบอกให้ผมหยุดทำไมแต่ไม่มีเสียง

       “อย่าเพิ่งหันมา...” เสียงของมันดังขึ้นนิดหน่อยคล้ายว่าเดินเข้ามาใกล้

       แม้มันไม่บอกแบบนั้นผมก็พยายามบอกตัวเองว่าอย่าหันไปอยู่แล้ว แต่คล้ายว่ามันจะไร้ผล ผมขยับไปข้างหน้าไม่ได้ ในขณะที่พยายามรั้งตัวเองไม่ให้หันหลังกลับไป

       สัมผัสแผ่วเบาเกิดขึ้นที่ปลายนิ้วมือข้างซ้าย...เบาจนผมนึกว่าฝันไป

       “ขอโทษ” ถ้อยคำนั้นเหมือนเสียงกระซิบกับลมที่ช่วยพามันมาถึงหูของผม “ขอโทษ...”

       ริมฝีปากของผมบดเข้าหากันแน่น ไม่ใช่เพียงเพราะความอึดอัดแต่เป็นเพราะความพยายามไม่ให้ตัวเองถามมันออกไป

       ขอโทษอะไร... ขอโทษไปเพื่ออะไรอีก

       ขอโทษที่มันไม่คุยกับผมมานานหรือ ขอโทษที่มันเหินห่างกับผมรึเปล่า ขอโทษที่ตอนนี้มันมีใครหรือขอโทษที่เราไม่สามารถรักกันได้

       “ขอโทษ...”

       คำเดิมถูกย้ำซ้ำไปซ้ำมา สัมผัสแผ่วเบาที่ปลายนิ้วไม่ถูกกระชับแน่นขึ้นแต่อย่างใด มันกลับค่อยๆ ผละออกไปราวกับมันไม่เคยเกิดขึ้น

       “กูขอโทษ...พีท”

       ผมรู้สึกร้อนผ่าวที่กระบอกตาตอนที่สัมผัสได้ว่าเสียงของคนที่พร่ำพูดคำว่าขอโทษอยู่ด้านหลังมันสั่นเล็กน้อย ผมไม่เข้าใจ... ทั้งตัวเองและกชอินทร์ ไม่เข้าใจว่าพวกเราทำตัวให้มันยุ่งยากกันไปทำไม แต่กว่าจะรู้ตัวอีกทีการกระทำที่ยุ่งเหยิงของพวกเราสองคนมันพันกันจนแก้ไม่ออกไปเสียแล้ว ด้ายเหล่านั้นมันไม่สามารถกลับมาซื่อตรงได้เลยแม้แต่น้อย

       ผมได้ยินเสียงสูดลมหายใจของอีกคนดังขึ้นจากด้านหลัง

       เวลานั้นเองที่ตัวเองคิดว่าอินทร์ร้องไห้แบบนี้บ่อยแค่ไหน มันร้องไห้กับใครบ้างหรือเปล่า ผู้ชายที่มีเปลือกของความเข้มแข็งฉาบหน้าไว้จะมีใครคอยปลอบโยนรึเปล่า

       “ขอโทษ”

       ผมได้แต่ฟังคำนั้น แต่ทำตามที่มันขอ...ไม่หันหน้ากลับไป

       พวกเราอยู่ในความเงียบที่มีแต่คำขอโทษโดยไม่มองหน้ากัน แม้จะมีแค่เพียงกชอินทร์พูดมันออกมาแต่ผมเองก็พูดคำนั้นกับมันในใจเหมือนกัน

       ...ขอโทษที่ปล่อยให้เวลามันล่วงเลยมาจนถึงตอนนี้



       พวกเรายืนอยู่ตรงนี้นานเท่าไหร่แล้วนะ...อินทร์หยุดพูดไปตั้งแต่ตอนไหนกัน

       เสียงเพลงมันเงียบไปแล้ว น่าแปลกใจที่ไม่มีใครเดินผ่านมาแถวนี้เลยแม้แต่คนเดียว ผมไม่แม้แต่จะขยับตัวเอานาฬิกาบนข้อมือขึ้นมาดูด้วยซ้ำว่ามันผ่านไปนานเท่าไหร่แล้วตั้งแต่ผมเดินออกมา สาเหตุหนึ่งเป็นเพราะมั่นใจว่าเพื่อนผมไม่ได้ใส่ใจที่จะหาผมหรอก

       เสียงโทรศัพท์ดังขึ้น ไม่ใช่ของผมแต่เป็นของอินทร์ ได้ยินเสียงสูดลมหายเล็กน้อยก่อนที่จะเป็นการรับสาย

       “ว่าไง” ผมพ่นลมหายใจออกมา ลังเลว่าตัวเองควรจะเดินออกไปหรืออยู่ตรงนี้ดีแต่ก็ตัดสินใจได้ตอนที่มันเอ่ยเรียกคนปลายสาย “อืม... ไม่เป็นไร เดี๋ยวจัดการเอง พริมกลับบ้านไปเถอะ”

       ผมควรไป

       นั่นสิ คำตอบก็ชัดเจนอยู่แล้ว

       ผมกลอกตา เดินออกไปโดยไม่รั้งรออะไรทั้งนั้น ที่ตัวเองทำก่อนหน้านี้มันช่างงี่เง่าสิ้นดี นี่สิสิ่งที่ผมควรจะทำ เดินออกไปจากชีวิตมันตามที่มันต้องการ

       ...นี่ไงสิ่งที่มันต้องการ

       ผมหลับตาลงตอนที่เดินมาได้ระยะหนึ่ง เสียงเพลงจากห้องประชุมเงียบไปแล้วจริงๆ ผมหยุดพัก ยืนอยู่กับที่ตรงนั้น ยังใช้ความพยายามอย่างมากที่จะไม่หันกลับไป เพียงแต่ผมเผลอ... เผลอหันกลับไปมองมันที่ยังยืนอยู่ที่เดิม เพียงเท่านั้นผมก็ต้องเงยหน้าขึ้นฟ้าเพราะคิดว่าการมองมันนานกว่านี้อาจจะทำให้ผมเผลอวิ่งกลับไปหามัน จับมันมากอดไว้ในอ้อมแขนอย่างคนเห็นแก่ตัว

       ผมใช้เวลาสักพักในการสงบสติอารมณ์ตัวเอง ยืนนิ่งๆ อยู่ตรงนั้น ปล่อยให้ความทรงจำต่างๆ ไหลผ่านร่างของผมไป นานพักใหญ่ทีเดียวก่อนที่จะตระหนักขึ้นได้ว่าผมควรจะกลับเข้าไปในห้องประชุมได้แล้ว

       พอกลับเข้าไปในห้องนั้น เพื่อนบนโต๊ะก็หันมามองผม “ไปไหนมาวะ” นั่นเป็นคำถามที่ไม่ต้องการคำตอบ “พวกข้าจะไปดื่ม เอ็งจะไปด้วยกันรึเปล่า”

       “ถ้าไม่อยากไปก็ได้นะเว้ย ข้ารู้สึกว่าวันนี้เอ็งเครียดๆ”

       ตอนแรกผมจะตอบปฏิเสธ เพียงแต่ผมหยุดความคิดนั้น “ไป” ตอบตกลงโดยไม่ทันคิด “ติดรถไปด้วยสิวะ วันนี้ไม่ได้เอารถมา”

       “ได้ๆ” พวกมันพยักหน้าเออออ

       ผมหย่อนกายนั่งลงบนโต๊ะ คุยกับพวกเพื่อนๆ ตัวเองราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น อันที่จริงต้องใช้คำว่าผม ‘พยายาม’ ทำเหมือนมันไม่มีอะไรเกิดขึ้น ทำเหมือนลืมมันไป นึกขอบคุณที่ไม่เคยมีใครรู้เรื่องนี้ ผมเก็บเรื่องแบบนี้ไว้กับตัวมานานเพราะมองว่าไม่จำเป็นที่จะบอก เด็กๆ จะเอาอะไรมากกับความรักสมัยมัธยม

       นั่นสิ... จะเอาอะไรกันมากกันนะ ทำไมผมต้องเป็นมากมายขนาดนี้กับมัน

       เดิมทีห่างไกลจากคำว่าคนมีความจำดีไปมากโข ทำไมถึงจดจำเรื่องของมันได้ดีนักก็ไม่รู้...

     จำได้ดีเสียจนถ้ายังมีสติอยู่ก็ไม่มีเวลาใดที่ไม่คิดถึงมันเลยแม้แต่น้อย...
   


       และผมก็คิดว่าตัวเองคิดผิดไม่ใช่น้อยที่คาดหวังว่าตัวเองจะไร้สติด้วยการใช้ตัวช่วยอย่างเหล้า เพราะไม่คาดคิดว่ากชอินทร์และเพื่อนๆ มันจะร่วมด้วย

       อันที่จริงมันก็ไม่แปลกเท่าไหร่ ผมคิดว่าหลายๆ กลุ่มน่าจะมาดื่มกันอยูแล้วหลังจบงานเลี้ยงรุ่น เพียงแต่ไม่คิดว่าจะเกิดเหตุการณ์บังเอิญมาเจอกับพวกนั้นที่หน้าร้านผับ อันที่จริงนี่มันเป็นผับที่พอมีชื่อเสียงและอยู่ใกล้โรงเรียน ตอนมัธยมปลายก็เคยมากันบ่อยๆ เพราะฉะนั้นมันก็ไม่ใช่เรื่องแปลกนักหรอกถ้าจะมีอดีตนักเรียนโรงเรียนผมโผล่มาที่นี่กันให้ควัก

       “มานั่งด้วยกันไหม”

       ประเด็นมันเริ่มขึ้นจากตรงนี้... เพื่อนเรารึก็มีมนุษย์สัมพันธ์ดี เอ่ยปากถามเพื่อนกลุ่มนั้น และคำตอบจากทางนั้นคือตกลง พวกเราร่วมสิบคนเศษเลยมานั่งอยู่ด้วยกันเสียได้

       ไม่ว่าจะพยายามแค่ไหน กชอินทร์ก็ยังอยู่ในขอบเขตสายตาของผม แม้ผมจะใช้ความพยายามที่จะจับจ้องไปที่อื่น มันก็ยังคงอยู่ที่มุมหนึ่งในภาพที่ผมเห็นอยู่ดี...ไม่รู้ว่ามันซวยจริงๆ หรือความพยายามของผมไม่มากพอกันแน่

       พวกเราแทบไม่ต้องสั่งแกล้มอะไรกันอีกแล้ว มีแค่เหล้า เหล้าและเหล้าที่ชายหนุ่มถวิลหา ลักษณะคล้ายกับพนักงานออฟฟิศที่เพิ่งได้รับเงินเดือนอย่างไรอย่างนั้น (ซึ่งเอาเข้าจริง เพื่อนผมมันก็พนักงานออฟฟิศเสียส่วนใหญ่แหละนะ) บางคนพอได้เหล้าไปไม่กี่แก้วก็เริ่มเดินออกไปสีสาว บางคนแทบจะไม่เอาเหล้าเข้าปาก กลัวเมียด่าบ้าง ไม่อยากเมาบ้าง

       ผมยกแก้วที่สามขึ้นให้รสขมพร่าไหลลงจนแสบคอในเวลาไม่นานนักตอนที่กลุ่มเพื่อนผมส่วนใหญ่เดินออกไปสีสาว คาดว่ามันอาจจะได้นารีสักคนสองคนไปใช้ชีวิตกลางคืนด้วยกันต่อ แต่นั่นไม่ใช่ปัญหาของผม

       “เป็นอะไรวะ ดื่มเยอะนะเนี่ย”

       “อยาก”

       ผมเหลือบตามองอินทร์กับเพื่อนของมันที่นั่งอยู่ข้างๆ ผม กชอินทร์กระแทกแก้วลงบนโต๊ะดังปัก ไม่รู้ว่าแก้วที่เท่าไหร่ของมันแล้วแต่คิดว่าคงไม่ใช่น้อยๆ อินทร์คอแข็งพอควรแต่กลับมีอาการกรึ่มอย่างเห็นได้ชัด

       ไม่ใช่เรื่องของผม...

       ผมบอกตัวเองอีกครั้ง ไม่ใส่ใจ แม้จะได้ยินเพื่อนอินทร์เริ่มปรามมันว่าให้พอได้แล้ว

       “ขับรถกลับไม่ใช่เหรอ”

       “เออ”

       “หยุดดื่มได้แล้วมั้ง”

       “...อยาก” นั่นเป็นคำตอบของมันอีกครั้ง

       ผมหลับตาลง หยิบแก้วอีกแก้วขึ้นมาดื่มอีกครั้ง มีคนมาถามว่าทำไมไม่ออกไปข้างนอกบ้างแต่ผมก็ไม่รู้จะทำอย่างไรเลยได้แต่ปฏิเสธไปด้วยรอยยิ้ม เดิมทีเวลามาดื่มก็ไม่ใช่คนชอบออกไปเต้นอะไรอยู่แล้ว

       “ไอ้พีทๆ” เพื่อนของอินทร์ที่นั่งข้างผมเอ่ยปาก “ฝากดูมันได้ไหมวะ เดี๋ยวไปเต้นบ้าง”

       ผมเลิกคิ้วกับคำถามนั้น มองลอดช่วงแขนของเพื่อนมันก่อนที่จะเห็นว่าอินทร์คอพับไปเรียบร้อยแม้ในมือจะถือแก้วอยู่ แถมข้างๆ อินทร์ก็ออกไปลัลล้ากันหมด เหลือแค่สี่คนบนโต๊ะและนั่งอีกฝั่งของมันทั้งหมด สุดท้ายแล้วก็ได้แต่พยักหน้าเออๆ ออๆ ไปเสียไม่ได้

       กชอินทร์ถือแก้วแอลกอฮอล์ไว้ในมือและคิดว่ามันคงจะไม่ปล่อย ดื่มไปมากมายขนาดไหนก็ไม่รู้จนทั้งหน้าของมันแดง ลามไปจนถึงใบหู

       เป็นมันอีกแล้ว... แม้เสียงเพลงจะดังแค่ไหน พอมองมันผมรู้สึกเหมือนโลกทั้งโลกอยู่ในความเงียบ ระยะห่างของพวกเรามากพอที่จะให้หนึ่งคนนั่ง บางทีความว่างเปล่านั้นอาจจะมีความน่าอึดอัดและความไม่เข้าใจนั่งอยู่ก็เป็นได้

       ผมไม่ได้ดูแลมันแบบที่ให้สัญญากับเพื่อนมันไว้ แค่ปล่อยให้มันกินเหล้าแบบที่มันต้องการ ความถี่ในการดื่มของมันมากกว่าผมราวสองเท่าเห็นจะได้ ยิ่งหลังๆ ผมแทบจะไม่ได้จับแก้วด้วยซ้ำเพียงเพราะเห็นว่ามันดื่มมากเกินไปแล้ว ใจหนึ่งก็อยากปรามแต่รู้ว่าปรามไปมันก็ไม่ฟัง

     หลังจากผ่านไปสักสองชั่วโมงที่กชอินทร์เอาแต่หยิบแก้วขึ้นมาดื่มอึกๆ จนตัวเริ่มทรงไม่อยู่ แทบจะแนบไปกับเก้าอี้อยู่แล้ว แถมเพื่อนผมบางคนเริ่มขอตัวกลับบ้างแล้วและประโยคเด็ดก็ถูกเอ่ยจากเพื่อนของอินทร์อีกครั้ง
   
     “ไอ้อินทร์ขับรถกลับบ้านไม่ไหวแน่เลย พีทกลับแท็กซี่ปะ ช่วยเรียกให้มันหน่อยได้ไหม”

       “ฮะ”

     ผมร้องออกมาเสียงหลง ก่อนที่จะพ่นลมหายใจตอนที่อีกฝ่ายบอกว่าจะไปต่อกับสาวที่ไหน จะสวนกลับว่าแล้วทำไมไม่ให้เพื่อนของตัวเองช่วยเรียก แต่กลายเป็นมองเห็นว่าเพื่อนแต่ละคนในกลุ่มนั้นเมาเหมือนหมาไปเสียแล้ว

    ...อินทร์น่าจะเลือกคบเพื่อนกินเหล้าไว้เสียหน่อย ผมส่ายศีรษะอย่างนึกระอา ก่อนที่จะพยักหน้าส่งๆ

     “จะกลับเมื่อไหร่ค่อยลากมันไปแล้วกันนะ อ่ะนี่” อีกฝ่ายยื่นเงินมาให้จำนวนหนึ่ง “จริงๆ อินทร์ฝากกูไว้เพราะมันจะให้เรียกแท็กซี่ให้นี่แหละ”

     ผมกลอกตาอย่างหงุดหงิดใจ เพื่อนอินทร์นี่แสนดีเหลือเกินจริงๆ

     เหลือบมองคนข้างกาย แม้จะตกลงรับภาระมาอย่างเสียไม่ได้แล้วแต่ผมก็อดคิดไม่ได้ว่าทิ้งมันไว้ที่นี่เสียดีไหม

     ทำไมผมถึงยอมรับทำอะไรแบบนี้นะ จริงๆ ปฏิเสธไปก็ได้แท้ๆ... ไหนบอกว่าจะหันหลังให้มันอย่างไรเล่า แม้จะรู้ดีว่าจริงๆ ผมคงไม่สามารถทำแบบนั้นได้เพราะอินทร์เองก็มีตำแหน่งเป็นบรรณาธิการประจำตัวผมไปเรียบร้อยแล้วก็ตาม แต่สิ่งที่ผมควรทำคือเอาตัวเองออกมาห่างมันให้มากที่สุดไม่ใช่หรืออย่างไรกัน

     ผมพ่นลมหายใจอีกครั้ง นั่งอยู่ที่เดิมอีกสักพักก่อนที่จะตัดสินใจสะกิดมันเล็กน้อย

     “นี่” ผมเอ่ยเสียงเรียบ “จะกลับรึยัง”

     “อื้อ...” คำที่ตอบกลับมาทำให้ผมได้รู้ อินทร์ไร้สติไปแล้วสินะ

     ผมบดริมฝีปากเข้าหากันอย่างใช้ความคิด มองซ้ายทีขวาที เพื่อนหายไปทีละคนสองคนในหมูฝูงชนที่ไม่หลับใหล ไอ้ที่นั่งๆ อยู่สภาพไม่สมประกอบสักราย ผมกลอกตา สุดท้ายก็ตัดสินใจแบกร่างของกชอินทร์ขึ้นโดยใช้วิธีอุ้มปีกมันเสียไม่ได้ ยังดีอยู่ว่ามีพนักงานคนหนึ่งมาช่วยหอบร่างไร้สติของมันมาจนถึงหน้าร้านที่มีแท็กซี่บางคันจอดรออยู่

     “อินทร์” ผมเรียกคนที่แทบจะทิ้งน้ำหนักบนบ่าผมอีกครั้ง “บ้านอยู่ไหน”

     “...ฮื้อ” มีเพียงเสียงงึมงำในลำคอตอบกลับมา “ไม่กลับน่า...” ตามมาด้วยคำที่ฟังแทบไม่ได้ศัพท์

     “ทิ้งไว้ตรงนี้ซะดีไหม” ผมเค้นยิ้ม สุดท้ายก็บอกให้คนขับแท็กซี่ช่วยรอแป๊บหนึ่งก่อนที่จะใช้มือสัมผัสไปที่กระเป๋าเสื้อของมันที่มีโทรศัพท์ คว้ามันมาตั้งใจจะกดโทรหาบ้านของมันแต่เจอปัญหาเมื่อเห็นว่ามันตั้งรหัสผ่านไว้

     ผมนิ่งไปชั่วครู่ ใช้เวลาคิดเล็กน้อยว่ามันเกิดวันที่เท่าไหร่ เดือนน่ะจำได้แม่นแต่ไม่มั่นใจ ยังดีที่กดเพียงสองครั้งก็ถูกจนปลดล็อกได้ ผมกดเข้าไปในรายชื่อ มันบันทึกเบอร์หนึ่งไว้ว่า ‘Home’ ผมจึงกดโทรเข้าไป เหลือบตามองคนข้างกายที่ดูจะไม่ได้สติจริงๆ ลองคิดว่ามันอยู่กับคนอื่นที่ไม่หวังดีก็คิดว่ามันอาจจะโดนปล้นฆ่าไปแล้ว

     “สวัสดีครับ” ผมละความสนใจจากใบหน้ากชอินทร์มาเป็นโทรศัพท์ของมันที่อยู่ในมือแทน “ต้องการพูดกับใครครับ”

     “นั่นบ้านของกชอินทร์หรือเปล่าครับ”

     ปลายสายเงียบไปสักครู่ ตอบกลับมาเสียงแข็ง “ใช่ครับ”

     “ไม่ทราบว่าบ้านอยู่ไหน คือเขาเมา ผมจะได้เรียกแท็กซี่ไปส่งถูก”

     คนปลายสายตอบที่อยู่กลับมาก่อนที่จะกดวางสายไปเลย ผมเลยได้แต่ขมวดคิ้วด้วยความแปลกใจ ใครกันนะที่รับสาย...เสียงผู้ชาย ก็น่าจะมีน้องของมันกับคนงานที่บ้านล่ะมั้ง แต่ถ้าใครสักคนจะหงุดหงิดก็ไม่แปลกหรอก นี่ไม่ใช่เวลาที่น่าจะมีคนโทรเข้ามา คนอื่นๆ ก็น่าจะนอนกันหมดแล้ว

     แต่เรื่องที่ผมแปลกใจไม่ใช่เรื่องที่เขากดตัดสายหรอก มันเป็นเพราะที่อยู่ที่ปลายสายบอกมา...มันเหมือนจะเป็นบ้านเดิมที่ผมเคยไปตอนมัธยม

     มันก็ใช่ว่าไม่มีหรอกไอ้ประเภทย้ายจากต้นซอยไปท้ายซอย แต่โดยส่วนตัวแล้วผมคิดว่าน่าจะเป็นคำโกหกของมันมากกว่าที่บอกว่าย้ายบ้านไปแล้ว

     รถไม่ค่อยติดเท่าไหร่แล้ว ก็นะ คนปกติเขาก็คงจะนอนกันหมดแล้วแหละ เพราะงั้นเลยใช้เวลาราวครึ่งชั่วโมงกว่าจะมาถึงแถวบ้านมัน ผมถือวิสาสะหยิบโทรศัพท์มันมาโทรไปที่เบอร์เดิมอีกครั้ง

    “หลังที่สาม ฝั่งซ้าย นับจากท้ายซอย” คำตอบห้วนๆ สั้นๆ จากเสียงผู้ชายคนเดิมตอนที่ผมตามเรื่องตำแหน่งของบ้านก่อนที่จะตัดสายใส่ผมอีกครั้ง

    พอรถเลี้ยวเข้าซอยมาผมก็บอกให้ลุงคนขับรถจอดตามตำแหน่งบ้านที่คนที่บ้านอินทร์บอกมา ส่ายหน้าเล็กน้อยเมื่อความรู้สึกตนเองไม่ได้ผิดแต่อย่างใด บ้านหลังเดิมจริงๆ ด้วย อินทร์โกหกผมเรื่องที่ว่าย้ายบ้านอย่างไม่ต้องสงสัยเลยทีเดียว

    ผมจัดการจ่ายเงินให้เรียบร้อย หิ้วปีกมันอีกครั้งอย่างเสียไม่ได้ ตอนแรกจะบอกให้แท็กซี่อยู่รอเสียหน่อยแต่ลุงแกบอกจะไปส่งรถผมเลยไม่ได้รั้งอะไร คิดว่าเดี๋ยวค่อยเดินออกมาเรียกคันใหม่ก็ไม่น่าจะเป็นปัญหาอะไร

    ผมหิ้วปีกมันอย่างยากลำบากนิดหน่อย อย่างที่บอกว่าคนไร้สติมักจะทิ้งน้ำหนักตัวทั้งหมดลงมา เดินมาหยุดที่หน้าบ้านของมัน หลังยังคงใหญ่อย่างกับคฤหาสน์เหมือนเคย ดูเหมือนไฟส่วนใหญ่จะดับหมดแล้ว นั่นไม่ชวนแปลกใจเท่าไหร่นัก แต่ยังไม่ทันที่ผมจะได้กดกริ่งประตูรั้วกลับถูกเปิดออกมาก่อน

    “...” ผมเลิกคิ้วนิดหน่อย คนที่เปิดประตูมาเป็นผู้ชายวัยยี่สิบต้น มีแค่คนเดียวในความคิดที่ผมคิดออก น้องชายของอินทร์ที่ชื่อเอ็กซ์ สนิทรึก็ไม่ หน้าน้องแกก็เลือนๆ ไปแล้ว แค่คิดว่าน่าจะมีคนเดียวที่อยู่ในช่วงวัยนี้ก็เท่านั้น
   
    อีกฝ่ายมองหน้าผม ตัวสูงขึ้นเยอะพอสมควร น่าจะสูงนำผมไปหลายเซนติเมตรอยู่เหมือนกัน คิ้วเข้มๆ ของอีกฝ่ายขมวดเข้าหากันก่อนที่จะเลิกคิ้วขึ้นนิดหน่อย แต่ไม่แม้แต่จะรับตัวพี่ชายมันไปจากผมด้วยซ้ำ

       “พี่...?” คนตรงหน้าเอ่ยปาก หรี่ตามองผม นิ่งไปสักพักก่อนที่จะเอาลิ้นดุนริมฝีปากด้วยสีหน้าหงุดหงิดใจ การเรียกผมว่าพี่ทำให้ผมมั่นใจว่าอีกฝ่ายคือเอ็กซ์จริงๆ “รู้จักกับอินทร์ตอนมัธยมใช่ไหม”
   
    “อื้อ ไปงานเลี้ยงรุ่นมา” ผมตอบรับไปตามจริง “ช่วยรับมันไปทีได้รึยัง”

       เอ็กซ์ไม่ตอบ พ่นลมหายใจออกมาอย่างหงุดหงิดแต่รับร่างของกชอินทร์ที่ปวกเปียกไม่น่ามองไปหิ้วปีกบ้าง

       ผมจะหันหลังกลับ ตั้งใจจะเดินออกมาในทันทีเพราะไม่มีความจำเป็นใดๆ ให้อยู่ แต่กลับมีเสียงที่บ่งบอกถึงความไม่พอใจดังไล่หลังมา

       “เดี๋ยว” ผมชะงัก หันหลังกลับไปมองเจ้าของเสียง จะรั้งอะไรกันหนักหนานะพี่น้องคู่นี้ “เข้ามาคุยกันก่อนดีไหม... พี่พีท”






--------------------------------------------------------
   ก็นะ... จะว่าลังเลไม่แน่นอนมันก็คงใช่

   แต่มันก็คงมีสักครั้งหรือสักคนที่ทำให้ความตั้งใจที่เราว่าหนักแน่นมากๆ แล้วพังทลายลงในไม่กี่วินาที
ถึงบอกตัวเองว่าไม่ให้ใส่ใจแต่รู้ตัวทีไรก็เผลอมองหาเขาไปแล้ว ต้องทำยังไงก็ได้ให้เขาอยู่ในสายตา
ประมาณว่าไม่ได้อยากจะสนใจหรอกนะ แต่ก็อยากจะให้รู้ว่าไม่เป็นอะไรจริงๆ

   ...อย่าหาว่าเพ้อเจ้อเลยค่ะ เพราะเพ้อเจ้อจริงๆ (ฮา)

   เอ็กซ์นี่มันใครกันนะ คึคึคึ


   หนึ่งคอมเม้นเท่ากับหนึ่งกำลังใจ อย่าลืมให้กำลังใจนิวด้วยหนึ่งคอมเม้นนะคะ!

ออฟไลน์ กฤษณ์

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 649
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +37/-0
ปวดตับออฟเดอะเยียร์ #มอบโล่
เพลียกับคู่นี้มาก จะตัดกันแล้วยังจะรั้งอีก ขี้ลังเลทั้งคู่เลย..
ก็นะ.. เข้าใจว่าถ้าไม่ง้อไม่ได้คุยกันคงขาดจริงๆคู่นี้ เพราะอีกฝ่ายก็มีพริมอยู่แล้วด้วย
แต่ไม่นึกว่าจะมีเหตุการณ์แบบนี้ให้ต้องมาถึงบ้าน..
โอ้ยปวดตับ..  :ling2:

ออฟไลน์ ammchun

  • Don't Worry,Be Happy
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1394
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +54/-4
ก็ยังสงสารพีทอยู่ดี ในอดีตนั่นพีทไม่รู้เรื่องอะไรๆจริงๆน่ะหรอ ถึงทำให้อินทร์หนีไปแบบนั้น เป็นความผิดของพีทจริงๆรึเปล่า?

ออฟไลน์ sirin_chadada

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4110
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +114/-8
รอตอนต่อไปอย่างใจจดจ่อ
เป็นกำลังใจให้คนเขียนจ๊ะ

ออฟไลน์ Vermouth

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 77
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +8/-0
เหนื่อยอะ เราว่าพีทพอเถอะ ถ้าจะขนาดนี้ มันเหนื่อยเปล่า เอาตัวเอาใจออกห่างมาเถอะ
คือไม่น่าเลย ที่ร้านเหล้าอะ ถ้าเห็นอินทร์เข้ามาก็ไม่น่าอยู่ดื่มต่อเลย สุดท้ายก็ต้องไปส่งถึงบ้าน
แล้วยังจะเจอน้องเอ็กซ์ที่ดูเหมือนจะรู้อะไรสักอย่างอีก นี่มันจะไม่ยิ่งพัวพันกันเข้าไปใหญ่เหรอ เฮ้อออออ

ออฟไลน์ B52

  • เป็ดZeus
  • *
  • กระทู้: 13216
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +420/-26
จะผูกก็ให้มันแน่น จะตัดก็ตัดให้มันขาด ยึกยักๆอยู่เนี่ยบางครั้งก็รำคาญทั้งคู่เลย

ออฟไลน์ NINEWNN

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 317
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +105/-4

CHAPTER 14

“Maybe we are lost out on the ocean
and we're the only ones to blame.”

(Shoulda Never Let You Go – The Working Hours)



       ผมเลิกคิ้ว “คุย?” ทวนคำด้วยน้ำเสียงนิ่งเรียบ “จำเป็นด้วยหรือ”

       เอ็กซ์มองผมด้วยการไล่สายตาตั้งแต่หัวจรดเท้าและมองย้อนเป็นเท้าขึ้นมาหัว นั่นมันชวนหงุดหงิดเล็กๆ ถ้ายังเป็นช่วงที่เลือดร้อนอยู่ผมคงจะกระชากคอเสื้อมาถามแล้วว่ามีปัญหาอะไร แต่พอโตขึ้นอะไรๆ ก็เย็นลง ยิ่งวันแบบนี้ยิ่งไม่อยากจะทำอะไรแบบนั้นเข้าไปใหญ่

       “คิดว่าจำเป็นนะ” อีกฝ่ายตอบกลับมา

       ผมเอาลิ้นดุนกระพุ้งแก้มอย่างนึกขัดใจ ใช่ว่าความอยากรู้ที่พร่ำบอกตัวเองว่าโยนมันทิ้งไปซะจะถูกโยนทิ้งไปจริงๆ เสียเมื่อไหร่ เกลียดความลังเลใจของตัวเองนัก

       “ยังไงก็มาช่วยผมพาพี่ไปที่ห้องหน่อยเถอะ” อีกฝ่ายไม่หยุดที่จะโน้มน้าว “ผมไม่อยากจะโดนตัวพี่เท่าไหร่น่ะ”

       ประโยคที่ตามมาทำให้ผมขมวดคิ้วมุ่น “ฮะ?”

       “พี่ไม่ชอบ...” เอ็กซ์เว้นไปชั่วครู่ “โดนตัววิปริตอย่างผม”

       ผมเกือบลืมหายใจตอนอีกฝ่ายพูดเหตุผลมันออกมา

       กชอินทร์น่ะหรือไม่ชอบน้องชายตนเอง เมื่อตอนมัธยมถึงจะบ่นเรื่องนั้นเรื่องนี้ให้ฟังบ้างแต่มันก็เป็นปัญหาของคนมีพี่น้องทั่วไป ทะเลาะกับน้องเรื่องงี่เง่าๆ ยิ่งไปกว่านั้น สีหน้าและน้ำเสียงของเอ็กซ์ไม่ได้ดูเหมือนคำพูดที่เอ่ยออกมาเป็นการล้อเล่นเลยแม้แต่น้อย

     ซ้ำร้าย แววตานั้นมันไม่ได้ฉายความเจ็บปวด...แต่ดูเหมือนโกรธแค้น
   
     ความรู้สึกตีรวนกันในหัวอย่างยุ่งเหยิง ชีวิตผมเริ่มจะยุ่งขึ้นเรื่อยๆ นับตั้งแต่ได้กลับมาเจอกชอินทร์ กว่าจะได้สติก็ตอนที่เอ็กซ์เงยหน้าขึ้นมายิ้มให้ ผลักร่างของอินทร์มาใส่แขนผมอย่างแรง ถ้าผมไม่เอื้อมมือไปรับคิดว่าหน้ามันคงได้กระแทกกับพื้นหน้าบ้านมันแน่นอน

       เอ็กซ์คล้ายจะรู้คำตอบของผมไปเสียแล้ว ในเมื่ออีกคนผายมือไปที่ประตูบ้านเล็กน้อยก่อนที่จะเดินนำเข้าไป

       ผมมองคนไร้สติในอ้อมแขน กชอินทร์เป็นตัวปัญหาจริงๆ ด้วย... แต่แม้จะรู้ว่ามันเป็นตัวปัญหา ผมก็เดินเข้าไปในบ้านมันอย่างเสียไม่ได้

       ความทรงจำกับบ้านหลังนี้มีน้อยจนแทบจำไม่ได้ คลับคล้ายคลับคลาแค่ว่ามันใหญ่มากเท่านั้นเอง เพราะฉะนั้นตอนเข้าไปถึงตัวบ้านผมจึงค่อนข้างจะรู้สึกเกร็ง... เอ็กซ์ที่เดินนำหน้าผมไปไม่ได้หันมามองหรือทำท่าทีจะช่วยแบกกชอินทร์เลยแม้แต่นิดเดียว

       ‘พี่ไม่ชอบ...โดนตัววิปริตอย่างผม’

       ตัววิปริตอย่างนั้นเหรอ ไหนจะไอ้การกระทำไม่ไยดีพี่ตัวเองที่ไร้สติแบบนี้อีก เท่าที่ผมจำได้ ความสัมพันธ์ของพี่น้องคู่นี้ไม่ได้แย่นี่นา

       พอเดินมาตรงถึงหน้าบันไดวนอีกฝ่ายก็หันมายิ้มให้ผม “ขึ้นบันไดไปเลยครับ อยู่ห้องซ้ายสุด”

       “ฮะ?” ผมร้องออกมาอีกครั้ง “แล้วน้องจะไปไหน”

       “พี่กินเหล้ามาด้วยใช่ไหม” เขาตอบผมด้วยคำถาม ดูเหมือนจะไม่ได้ถามถึงกชอินทร์แต่ถามผม “เดี๋ยวผมไปชงชาแก้แฮงค์มาให้แล้วกัน” ว่าเช่นนั้นก่อนที่จะเดินไปอีกฝั่งของบ้านทันทีโดยมีผมมองตามเอ็กซ์ไปด้วยความงุนงง นี่มันจะไม่สนใจพี่ชายมันจริงๆ หรือยังไงกัน

       สุดท้ายแล้วผมก็ต้องเดินแบกกชอินทร์ขึ้นบันไดวนไปอย่างเสียไม่ได้ ยิ่งมันส่งเสียงในลำคอออกมาคล้ายจะบ่นว่าไม่สบายตัวยิ่งทำให้ผมรู้สึกหงุดหงิดใจ

       “แล้ววันไหนจะทำได้อย่างที่พูดวะ” ผมบ่นกับตัวเอง

       ไม่รู้ทำไมพอเป็นเรื่องของกชอินทร์ผมถึงกลายเป็นคนที่มีความดันทุรัง ทะเยอทะยานแบบบ้าๆ ทำตัวเหมือนกับคนขาดสติยั้งคิดแบบนี้ทุกที บางทีผมควรจะปลีกตัวมาตั้งแต่เห็นอินทร์มากินเหล้าด้วยแล้ว ทำไมตอนนั้นไม่ทำแบบนั้นกันนะ แล้วยังไม่ปฏิเสธที่จะมาส่งมันที่นี่อีก สรุปแล้วคนที่เอาแต่วิ่งเข้าหาปัญหามันก็คือผมเองไม่ใช่เหรอเนี่ย

       ผมพ่นลมหายใจออกมา เอาวะ คุยกับไอ้เด็กนั่นแล้วจบๆ กันไป ผมเดินมาที่หน้าห้องที่น้องชายของอินทร์บอกอย่างทุลักทุเลนิดหน่อย แต่พอเปิดประตูเข้าไปและเปิดไฟ ผมกลับแปลกใจในสิ่งที่ปรากฏขึ้นมา

     ห้องของอินทร์ที่ว่านี้แทบไม่มีอะไร ไม่มีของที่ควรจะมีในชีวิตประจำวันเลยด้วยซ้ำ บนโต๊ะก็โล่ง บนชั้นวางของก็โล่ง ซ้ำผ้าปูที่นอนยังไม่ได้ปู หมอนก็ยังไม่ได้ใส่ปลอกใดๆ ไว้เลย
   
     ผมชะโงกหน้าออกมาจากห้อง มองซ้ายมองขวา นี่ก็ห้องซ้ายสุดอย่างที่เอ็กซ์มันว่านี่นา มีอยู่ห้องเดียวเสียด้วย ผมแบกอินทร์ไปนอนที่เตียงก่อนที่จะเดินออกมาดูรอบๆ เปิดประตูห้องที่ใกล้ที่สุดและพบว่ามันเป็นเพียงห้องเก็บของเล็กๆ เท่านั้น เพราะฉะนั้นห้องนี้ก็น่าจะถูกแล้ว

       ผมมองซ้ายมองขวาในห้องอีกที ประตูบานหนึ่งในอีกมุมคงจะเป็นห้องน้ำ ข้างๆ มีตู้เสื้อผ้า พอผมเดินไปเปิดดูผมก็ต้องแปลกใจอีกครั้ง มันไม่ได้ว่างเปล่าแต่ก็มีเสื้อผ้าอยู่น้อยมาก รวมๆ กันอาจจะไม่ถึงสิบตัวด้วยซ้ำ

       “อื้อ” เสียงบ่นงึมงำดังขึ้นทำให้ผมสะดุ้งนิดหน่อย

     ผมหันกลับไปมองเจ้าของเสียงที่ไร้สติก่อนที่ริมฝีปากจะวาดยิ้มออกมาด้วยความรู้สึกหงุดหงิดใจระคนดีใจ

     อินทร์ค่อยๆ พลิกตัวเป็นนอนตะแคง มันคว้าหมอนข้างที่ไม่มีปลอกมากอด ซุกหน้าลงบนนั้นทั้งหน้าจนผมคิดว่ามันอาจจะหายใจไม่ออกก็ได้

     พอนอนแบบนี้ค่อยเป็นอินทร์ที่ผมรู้จักขึ้นมาหน่อย...

     ผมอดคิดเช่นนั้นไม่ได้ ตอนมัธยมสามไปค่ายลูกเสือด้วยกันอินทร์ติดเครื่องนอนของตัวเองยิ่งกว่าอะไร มันลงทุนแบกหมอนกับผ้าห่มจากบ้านมาเลยด้วยซ้ำเพราะบอกว่านอนไม่หลับ คุ้นๆ ว่าตอนนั้นมันนอนด้านซ้ายของผม ไม่ใช่เพราะว่าเราตัวติดกันแต่เป็นเพราะเหลือที่ว่างตรงนั้นพอดีสำหรับมันกับเพื่อนๆ มันเลยเลือกที่จะนอนริม และผมก็จำได้ว่าสองคืนนั้นตัวเองแทบไม่ได้นอนเพราะเอาแต่นอนตะแคงข้างมองหน้ามันที่เอาซุกเข้าหมอนแล้วใจเต้นไม่เป็นส่ำ

     ให้ตายเถอะ ทำไมผมถึงจำเรื่องราวแบบนี้ได้ละเอียดนักนะ...ผมใส่ใจเรื่องของ ‘อินทร์’ ขนาดนั้นเชียวหรือ

     ผมเลื่อนมือไปสัมผัสเส้นผมด้านหน้าของมันอย่างแผ่วเบา อินทร์เป็นคนที่หน้าใสมาก ตั้งแต่เด็กแล้ว สิวแทบจะไม่เคยขึ้นสักเม็ดผิดกับเด็กคนอื่นๆ แล้วไหนจะผิวขาวๆ นุ่มๆ ของมันอีก สักพักปลายนิ้วมือของผมเลื่อนต่ำลงมาบริเวณริมฝีปากของมันอย่างลืมตัว มันไม่ดูแลตัวเอง ตอนนั้นมันไม่ดูแลตัวเอง ยิ่งหน้าหนาวยิ่งปากแตกให้เห็นบ่อยๆ จนตอนนี้ริมฝีปากของมันก็ค่อนข้างแห้งอยู่เหมือนเดิม

     สรุปตอนนี้มันเป็นแบบไหนกันแน่นะ... เป็นคุณกชอินทร์ที่ผมไม่รู้จักหรือเป็นอินทร์ที่ผมเคยใกล้ชิดด้วย

     “อื้อ!” มันส่งเสียงดังขึ้นนิดหน่อย แถมยังเอามือปัดมือของผมออกอีกต่างหาก

     ผมแสยะยิ้มออกมาอย่างเหนื่อยอ่อน “เกลียดมากรึยังไงฮะ” ขนาดตอนนอนยังไม่อยากให้ผมสัมผัสเลยงั้นสิ

     ผมละสายตาจากอินทร์ มองไปรอบๆ ก่อนที่จะไปหยุดสายตาลงที่ชั้นหนังสือข้างๆ กับโต๊ะเขียนหนังสือถัดจากเตียงนอน แทบไม่มีอะไรเหลืออยู่แต่ก็มีหนังสือบางเล่มที่วางไว้บนโต๊ะ

     ส่วนใหญ่ก็หนังสือในสำนักพิมพ์ ไลน์เดียวกับที่มันกำลังดูแลให้ผมอยู่ ผมเลยไม่ค่อยรู้สึกแปลกใจนัก แม้จะคิดภาพมันมานั่งอ่านหนังสือแนวเรื่องเล่า ประสบการณ์ หรือหนังสือชีวประวัติแบบนี้ไม่ค่อยออกเท่าไหร่นัก

   

     ‘อ่านแต่อะไรเข้าใจยาก’ อินทร์ตอนมัธยมปลายเคยพูดกับผมแบบนั้นตอนที่ผมนั่งอ่านหนังสือขณะรอมันทำโจทย์เลขให้เสร็จตอนเย็น อินทร์ไม่ถูกกับเลขจนทุกครั้งที่มันมีสอบต้องระเห็จเอาหนังสือมาให้ผมติวให้เสมอ ‘เนี่ย อะไร ภาษาอะไร ศัพท์อะไร ไม่เข้าใจ’

     มันคว้าหนังสือในมือของผมไป เปิดผ่านๆ ก่อนที่ทำท่าจะเหมือนจะกระแทกหนังสือใส่โต๊ะแต่ผมส่งสายตาปรามมันเสียก่อน อินทร์เลยรั้งมือไว้

     ‘เสร็จแล้วเหรอ’ ผมเอ่ยปากถาม คว้าหนังสือมาถือไว้เหมือนเดิม

     มันมุ่ยหน้า ‘ทำไม่ได้’

     ‘ก็ไม่ทำ มันจะได้ไหมเล่า’

     อีกฝ่ายไม่เถียงแต่ริมฝีปากของมันยื่นออกมาจนแทบจะกระแทกหน้าผมอยู่แล้ว ผมนึกแปลกใจว่าพ่อกับแม่กชอินทร์โอ๋ลูกมากไปรึเปล่าถึงได้ออกมาดื้อเงียบแบบนี้ เวลาอินทร์โกรธค่อนข้างจะเหมือนผู้หญิง คือไม่ค่อยพูด ไม่ค่อยโวยวาย แต่สัมผัสถึงรังสีบางอย่างที่บ่งบอกว่าไม่พอใจ

     มันวางปากกาอย่างแรง ‘ไม่ทำแล้ว’

     ‘อินทร์’ ผมปราม ‘ถ้าตกกูไม่ช่วยแล้วนะ’

     ‘อะไรเล่า’ มันบ่นงึมงำ ‘เลิกอ่านพวกนั้นได้แล้ว มาสอนกูสิ’
   
    ผมเลิกคิ้ว มองอินทร์ที่ทำหน้าบูดบึ้งด้วยความเอ็นดู ใช่ว่าจะไม่หายเคืองกับเรื่องที่มันกระชากหนังสือไปจากมือของผมหรอกแต่พออินทร์เริ่มทำหน้าเหมือนเด็กเรียกร้องความสนใจมันพาลทำให้ผมรู้สึกอ่อนใจทุกครั้ง
      
     ‘พีท’ มันเรียกชื่อผม เสียงออดอ้อนกว่าทุกครั้ง ‘อธิบายอีกรอบนะ’

       ให้ตาย... เจ้าคนนี้จะน่ารักไปไหนกัน เคยรู้บ้างไหมว่าผมใช้ความพยายามมากเพียงใดที่จะไม่ยิ้มกว้างๆ ออกมากับทีท่าแบบนั้น ผมพยายามสูดลมหายใจลึก วางหนังสือที่ตัวเองอ่านลงบนโต๊ะแล้วหยิบชีทของอินทร์ให้หันมาเล็กน้อยจะได้อธิบายมันที่นั่งอยู่ตรงข้ามได้สะดวก

       อินทร์ฟังบ้างไม่ฟังบ้าง ผมเลิกคิ้วอย่างแปลกใจเมื่อเห็นว่าครั้งนี้มันทำลื่นไหลกว่าที่เคย ก่อนที่จะสังเกตเห็นว่าหนังสือของตัวเองถูกเลื่อนไปอยู่ใกล้มันจนมันเอาไว้ใช้เท้าแขนได้อยู่แล้ว

       ...เป็นคนเรียกร้องความสนใจจริงๆ ด้วย


   
       ก๊อกๆ

       ผมหลุดออกจากภวังค์ตอนได้ยินเสียงเคาะประตู ตามมาด้วยการเปิดประตูอย่างถือวิสาสะ ใบหน้าที่คล้ายคลึงกับคนที่นอนบนเตียงส่งยิ้มให้ผม

       “จะลงไปไหมครับ”

       ผมเค้นยิ้ม พยักหน้าอย่างเสียไม่ได้ ก่อนที่จะหันกลับไปมองอินทร์ที่นอนบนเตียงที่ไม่มีแม้แต่ผ้าปูที่นอนอีกรอบ “จะให้มันนอนนี่เหรอ”

       “นี่ห้องเขานี่” อีกฝ่ายตอบอย่างไม่ยี่หระ

       “ทำไมห้องมันโล่งจัง” ผมตั้งคำถามตอนที่เดินออกจากห้อง

       เอ็กซ์เป็นคนปิดประตูอย่างแผ่วเบา ตอบผมอย่างเรียบเฉย “ก็อินทร์ไม่ได้อยู่ที่นี่” ผมคิดว่าสีหน้าของผมคงแสดงให้เห็นชัดไปเสียหน่อยว่าไม่เข้าใจกับสิ่งที่อีกฝ่ายพูด “ถึงเป็นห้องของอินทร์...แต่อินทร์ไม่ได้อยู่ที่นี่หรอก”

       ผมอยากจะเอ่ยปากถามไปว่าแล้วจะให้ผมมาส่งที่นี่ทำไม แต่เอ็กซ์เดินลิ่วๆ ไม่ได้สนใจผมเลยแม้แต่น้อย สิ่งที่ผมทำได้เลยมีเพียงแค่การทึ้งหัวตัวเองอย่างหงุดหงิด คนที่บ้านนี้ต้องประสาทไปแล้วแน่ๆ ชาติที่แล้วผมคงต้องไปทำกรรมอะไรไว้แน่นอน

       พอเดินลงมาจากบันไดวนที่แสนจะอลังการนั่นแล้วเอ็กซ์ก็เดินนำผมไปแถวๆ โซฟา น่าจะเป็นที่สำหรับรับแขก

       “ผมทำได้แค่นี้แหละ พอดีแม่บ้านนอนกันหมดแล้ว”

       “ขอบใจ” ผมตอบกลับน้ำเสียงเหนื่อยหน่าย “เรามีอะไรต้องคุยกันเหรอ” ว่าพลางหยิบแก้วที่ยังอุ่นๆ อยู่จากโต๊ะ เหลือบตามองนาฬิกาแล้วก็ได้แต่คิดในใจว่าพรุ่งนี้ผมคงโดนไอ้เก้ปลุกมาเปิดร้านอีกเป็นแน่ นี่มันจะเป็นเช้าวันใหม่อยู่แล้ว

       “กลับมาคบกับอินทร์หรือ”

       ผมชะงัก คำถามที่อีกฝ่ายถามมาทำให้แก้วน้ำถูกวางจรดแค่ริมฝีปาก ถึงจะดื่มเหล้าไปแต่ระยะเวลาที่ผ่านมาทำให้ผมได้สติแล้วไม่ใช่น้อย และคิดว่าเมื่อกี้ไม่น่าใช่การฟังผิด

       พอเห็นผมไม่ตอบ คนอายุน้อยกว่าก็เอ่ยปากต่อ “หรือไม่เคยเลิกคบกันแต่แรก”

       “...” ผมเลิกคิ้ว คำถามของเอ็กซ์เป็นอะไรที่นอกเหนือความคิดของผมไปไกลมาก ยิ่งยามที่อีกฝ่ายเดาะลิ้น หัวเราะเบาๆ ด้วยแววตาที่ไม่ขำนั้นยิ่งทำให้ผมรู้สึกงุนงง

       “พี่ผมนี่เยี่ยมจริงๆ” อีกฝ่ายพูดน้ำเสียงเรียบเฉย “ด่าคนอื่นว่าวิปริตแต่กลับเป็นเสียเอง”

       ผมสูดลมหายใจเข้าปอด “เราไม่เคยคบกัน” นั่นเป็นคำตอบเดียวที่ผมนึกออกในตอนนี้

       เอ็กซ์มองผมแล้ววาดยิ้มลงบนริมฝีปากนั่น อีกฝ่ายหน้าตาเข้มกว่าอินทร์เยอะ เพียงแต่ชั่วจมูกหรือปากโตขึ้นมาแล้วเหมือนกันค่อนข้างมาก แต่ถึงกระนั้น รอยยิ้มของคนตรงหน้าไม่ได้ให้ความรู้สึกดีเลยแม้แต่นิดเดียว

       “งั้นหรือ” เขาเคาะนิ้ว “ตอนนั้นคนตั้งเยอะรู้เรื่องพี่กับอินทร์นะ” คำพูดนั้นเป็นอะไรที่ผมไม่คาดคิดมาก่อน พอผมไม่พูดอะไรเขาก็พูดต่อเสียยาว “ถึงอินทร์ไม่ใช่คนดังอะไรแต่ก็มีรุ่นน้องปลื้มตั้งเยอะ เพื่อนๆ ผมนี่เต็มเลยล่ะ พวกออกหน้าออกตาก็งี้แหละ คนเก่งของโรงเรียน”

       เดิมทีเจ้าเด็กนี่เป็นคนยังไงกันนะ ผมไม่มั่นใจเท่าไหร่นัก ตัวตนของเอ็กซ์ในอดีตเลือนรางเหลือเกินสำหรับผม คิดออกแค่เป็นน้องของอินทร์แค่นั้น ถึงผมจะอยู่ในโรงอาหารตอนเย็นเล่นกับอินทร์บ่อยๆ เวลาที่อินทร์ต้องรอน้อง เวลาเดินผ่านก็ยิ้มให้กันบ้าง แต่ไม่เคยคิดจะหยุดคุยกันด้วยซ้ำไป

       “แต่ผมไม่ได้รู้สึกแปลกใจหรอกนะ...มันเป็นเรื่องปกติของชายล้วน จะมีบ้างมันก็ไม่แปลกหรอก” เขาพูดต่อโดนไม่มองหน้าผมแม้แต่นิดเดียว “ที่ผมแปลกใจก็คือ...ทำไมพ่อแม่ไม่รู้เรื่องนี้”

       คำพูดของเอ็กซ์ทำให้ผมงุนงงยิ่งกว่าเก่า

       ‘แม้ว่าพ่อของคุณ...จะตายเพราะรู้ว่าลูกชายคบกับผู้ชายน่ะหรือ’

       ผมพยายามรั้งปากตัวเองไม่ให้ถามออกไปเพราะยังคำนึงถึงมารยาทอยู่บ้าง แต่เหมือนคนตรงหน้าจะรู้ “มีอะไรหรือ พี่พูดได้เลย”

       “มัน...” ผมอึกอัก แต่อีกฝ่ายก็ยังคงยิ้มให้เป็นคำยืนยันว่าผมสามารถพูดออกไปได้ “อินทร์บอกว่าพ่อของมันเสียเพราะรู้ว่ามันคบกับผู้ชาย...” ผมพูดออกมาอย่างลำบากใจ

       เอ็กซ์เลิกคิ้วเล็กน้อย มองหน้าผมตรงๆ ริมฝีปากเม้มเข้าหากันก่อนที่จะพยักหน้า “อินทร์พูดแบบนั้นเหรอ”

       ผมนิ่งไปชั่วครู่ “ประมาณนั้นแหละ”

       “พ่อไม่ได้รู้เรื่องที่อินทร์คบกับผู้ชายหรอก” อีกฝ่ายเค้นหัวเราะ “คนที่คบกับผู้ชายแล้วพ่อรู้เข้า...คือผมต่างหาก”

       ผมรู้สึกเหมือนโดนคำพูดนั้นตบบ้องหูแรงๆ เอ็กซ์ตอบผมด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย ใบหน้าเขาไม่ได้แสดงความลำบากใจใดๆ ให้เห็นเลยแม้แต่น้อย นั่นยิ่งทำให้ผมไม่เข้าใจ ผมโดนทุบหัวด้วยคำพูดต่างๆ นานาจนไม่รู้แล้วว่าที่ตัวเองเข้าใจนั้นคือความจริงหรือเรื่องโกหก แต่พอย้อนคิดดีๆ อินทร์ก็ใช้คำว่า ‘ลูกชาย’... ไม่ได้บอกว่าเป็นมัน คนที่เข้าใจไปเองว่าพ่อมันรู้เรื่องของเราก็คือผมทั้งนั้น

       แต่...ถ้ามันเป็นแบบนั้น...ทำไม?

       “พี่ไม่รู้หรอกเหรอ” อีกฝ่ายยิ้มให้ผม “อินทร์หลอกพี่มานานเท่าไหร่แล้ว พ่อไม่รู้เรื่องของพี่หรอก อินทร์ปิดความลับเก่งจะตายไป”

       ผมกัดฟัน บดริมฝีปากเข้าหากันแน่นอย่างใช้ความคิด เมื่อไหร่กันที่ผมรู้สึกว่าเรื่องราวมันยากขนาดนี้ พอคำถามเก่าได้รับคำตอบ คำถามใหม่ก็ตามเข้ามาทีหลังปั๊บ ครั้นจะบอกว่าเอ็กซ์โกหกมันก็ดูประสาท เรื่องอะไรเขาต้องมาโกหกผมล่ะ เรื่องนี้มันไร้เหตุผลพอๆ กับว่าทำไมเขาต้องมาถามผมนั่นแหละ เพราะฉะนั้นผมเลยพยายามตั้งสติ แบ่งใจตัวเองว่าต้องเชื่อครึ่งไม่ใช่ครึ่ง แต่เรื่องที่เกิดขึ้นวันนี้ ทีท่าที่ดูไม่สนใจไยดีอีกฝ่ายจากเอ็กซ์ก็ทำให้ผมเทคะแนนไปที่ว่ามันเป็นเรื่องจริงมากกว่า

       “พี่คิดว่ามันรู้สึกยังไงล่ะตอนที่รู้ว่าพ่อหัวใจวายเพราะภาวะเครียด เนื่องจากรู้ว่าลูกชายคนเล็กของตัวเองเป็นเกย์ในขณะที่บริษัทกำลังจะล้มละลาย” ผมสูดลมหายใจเข้าปอดลึกยามที่อีกฝ่ายพูดคำพูดน่ากลัวออกมาด้วยน้ำเสียงนิ่งเรียบราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น “ยังไม่พ้นงานศพพ่อไปก็มีพี่ชายตัวเองคอยมาด่าว่าเป็นสาเหตุให้พ่อตาย” เอ็กซ์ผ่อนลมหายใจเหมือนพยายามสงบสติอารมณ์ “โดนด่าว่าเป็นพวกวิปริต”

       “...”

       “แล้วตอนนี้ยังต้องเห็นพี่ชายตัวเองมาคบผู้ชายด้วยกันอีก”





----------------------------------------------------------
เราโรคจิตนะคะ ชอบให้คนด่าตัวละครในนิยาย
...ตราบใดที่ยังไม่ด่าคนเขียนไปด้วย นิวก็รู้สึกมีความสุข:katai2-1:

ปล. อย่าเพิ่งด่าคนเขียนเลยค่ะ นะคะ 55555555
 





ออฟไลน์ B52

  • เป็ดZeus
  • *
  • กระทู้: 13216
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +420/-26
เอาแบบไหนดี กระโดดถีบสองขา  :z6:  ดีไหมหรือนั่งยิ้มแล้วปรบมือ  มันเยี่ยมมากค่ะ

ออฟไลน์ Vermouth

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 77
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +8/-0
... สุดๆ อะ ดราม่านี่มันหนักหน่วงจริงจัง มันยิ่งกว่าอะไร มันเจ็บซ้ำซ้อนล้ำลึกมาก โอ้ยตาย เรื่องมันเป็นอย่างนี้นี่เอง
รู้สึกกลืนไม่เข้าคลายไม่ออกตามตัวละครไปตามๆ กัน หนักสุดน่าจะเป็นอินทร์ ที่แบกรับทุกอย่างทุกทาง แต่ถ้าอินทร์ไม่โทษน้อง อินทร์คงมีความสุขกว่านี้ หมายถึงกับพีท แต่ก็รู้ว่ามันคงทำใจยอมรับได้ยากมากๆ
น้องเอ็กซ์ก็น่าสงสาร ที่พูดออกมาราวกับไม่รู้สึกอะไร แต่ในใจคงไม่ใช่ ยิ่งมาโดนพี่โทษ มันยิ่งเจ็บ แล้วตัวเองก็รู้ว่าพี่ก็ชอบผู้ชาย มันยิ่งน่าแค้น เหอะๆ
ส่วนพีทก็น่าสงสารตรงที่ไม่รู้อะไรเลยและต้องถูกทิ้งให้อยู่ในวังวนความไม่รู้และความเจ็บปวดเป็นสิบๆ ปี
เราว่าอินทร์กับพีทไม่น่ากลับมาเจอกันอีกเลยจริงๆ (คือตรงนี้ยังเป็นปริศนาอยู่ใช่ไหมคะว่าได้มาทำงานด้วยกันโดยบังเอิญหรืออินทร์ตั้งใจหรืออะไรยังไง
แต่เอาจริงถ้าอินทร์รู้อินทร์น่าจะเลือกไม่เจอและไปหางานอื่นทำแทนไหม​ ? หรือลึกๆ ก็ยังโหยหาแต่แบบ ก็กลับมาคบกันไม่ได้ อะไรยังไง ไม่เคยเข้าใจอินทร์อะค่ะ 555)
มันยิ่งทำให้พีทเหมือนยิ่ง move on ลำบาก โอเคที่ผ่านมาอาจจะติดค้างในใจบ้างแต่ถ้าไม่ได้เจอมันก็ไม่อะไรหรอก นี่ได้เจอแล้วยังมารู้อย่างนี้พีทจะทำยังไงอะ โอยยยย
จริงๆ ถ้าอินทร์ทำใจยอมรับได้จะกลับมาคบกับพีทก็ยังได้นะ แต่มีความรู้สึกว่าคงจะยาก และก็ยังมองไม่เห็นทางจะคู่นี้เค้าจะไปต่อกันได้ อย่างน้อยน้องเอ็กซ์ก็แค้นพี่อินทร์ไปละ เฮ้อออออ

ขอชมว่าคนเขียนเขียนดีมากกกกก ทั้งภาษา สำนวน บรรยากาศความอึดอัด การบรรยายก็ไหลลื่น อ่านแล้วอินมากกกก หน่วงและอึดอัดตามตัวละครจริงๆ
ที่สำคัญตอนนี้ปริศนาเผยออกมาเปราะหนึ่ง รู้สึกว่าวางพล็อตวางปมดราม่าได้ดีมากๆ ขอชมจริงๆ เป็นกำลังใจให้และจะตามอ่านทุกตอนอย่างแน่นอนค่ะ ^^

ออฟไลน์ BlueCherries

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4061
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +159/-17
อืม......

ไม่เข้าใจว่าทำไมอินทร์ต้องเปลี่ยนไปหลังเหตุการณ์นั้น เป็นคนที่มีความลับเยอะเหลือเกิน


CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ sirin_chadada

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4110
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +114/-8
จริงๆแล้วเรื่องทั้งหมดเป็นยังไงกันแน่ แล้วอินทร์คิดอะไรอยู่อ่ะ
เป็นกำลังใจให้คนเขียนจ๊ะ

ออฟไลน์ NINEWNN

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 317
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +105/-4

CHAPTER 15

“เจ็บกว่าการไม่มีความหวัง...ก็คือการไม่ลืมความหลัง
เท้าก้าวเดินไป แต่หัวใจอยู่ตรงนั้น”

(เจ็บกว่าจาก – พีท พีระ)



       หากจะรู้สึกเกลียดใคร...ก็น่าจะเป็นตัวผมเอง

       เกลียดนักตอนที่รู้เรื่องจากเอ็กซ์แล้วทำอะไรไม่ได้นอกจากนั่งอยู่ตรงนั้นเฉยๆ ไม่มีคำพูดปลอบใจใดๆ หลุดออกมาจากปากของผม ไม่มีคำโต้เถียงเรื่องที่อีกฝ่ายบอกว่าผมกับกชอินทร์กำลังคบกันอยู่ทั้งๆ ที่ไม่ใช่ความจริง ไม่มีความสงสัยผุดพรายขึ้นมาในหัวของผมว่าเรื่องที่อีกคนอธิบายเป็นเรื่องจริงอยู่มากมายแค่ไหน

     เพียงแต่คำถามแรกที่เข้ามาในหัวของผมกลับเป็นคำถามว่า...อินทร์ ‘โอเค’ หรือ?

     ณ ตอนนั้นความสับสนมีมากมายจนผมจำไม่ได้ว่าเอ็กซ์พูดอะไรอีกรึเปล่า เล่าเรื่องอะไรอีกนานแค่ไหน ทุกอย่างเป็นเหมือนภาพลางๆ ในความทรงจำ เพราะตอนนั้นมีแค่ความกระวนกระวาย

     ถ้ามันเป็นเรื่องจริง...อินทร์ผ่านมันมาได้อย่างไร...มันยังเจ็บปวดอยู่หรือเปล่าตอนที่คิดถึงช่วงเวลาเหล่านั้น

     ผมควรจะเกลียดตัวเองที่เกลียดกชอินทร์ไม่ได้เสียที ขนาดตอนที่รับรู้เรื่องแบบนี้ ผมยังมานั่งพะวงและเป็นห่วงเป็นใยในเรื่องของมันจนเกือบลืมไปเลยว่าไม่กี่ชั่วโมงก่อนหน้านี้ผมบอกกับตัวเองว่าต้องตัดใจ

     เป็นอินทร์อีกแล้ว เป็นมันอีกแล้วที่แค่ได้ยินชื่อก็ทำให้ความพยายามทั้งหมดของผมพังทลายลง

     ผมจำอะไรไม่ได้เลยนอกจากความคิดที่วนเวียนไปมาของตนเอง จำแทบไม่ได้ว่ากลับมาบ้านอย่างไร คลับคล้ายคลับคลาว่าเอ็กซ์จะเป็นคนเรียกแท็กซี่ให้ น่าจะเป็นเขาเองที่ถามเรื่องที่อยู่ของผมทั้งยังจ่ายเงินให้เสร็จสรรพ

     พอกลับมาถึงบ้านผมกลับนอนไม่หลับ บุหรี่ม้วนแล้วม้วนเล่าถูกจุดขึ้น ความทรงจำต่างๆ ถูกตีรวนขึ้นมาในหัวสมอง ตอนที่เจอมันครั้งแรก ตอนที่กลับมาเจอมันอีกครั้ง ตอนที่ใช้เวลาร่วมสิบปีไปกับ ‘ความเงียบ’ ระหว่างเราโดยไม่พยายามอะไรเลย ไม่ยอมเดินหนีไปแต่ไม่ยอมวิ่งเข้าหามันอีกครั้ง ผมคิดแต่เรื่องเหล่านั้นจนถึงตอนที่ไอ้เก้มากดกริ่งหน้าบ้านหลายครั้งหลายคราจนมันต้องโทรเข้ามาที่บ้านผมถึงได้สติ

     “เฮียเอาอีกแล้วววว!” มันร้องออกมาเมื่อผมเดินมาเปิดประตูให้ “โอ้ ตายๆๆๆ” มองสภาพผมตั้งแต่หัวจรดเท้าและพึมพำออกมาแค่คำเดิม

     ผมไม่ตอบอะไร เดินไปที่โต๊ะกินข้าว ควานหากุญแจร้านก่อนที่จะขมวดคิ้วเมื่อไม่เห็นว่ามีมัน

     “สติไม่มีแล้วเฮีย” มันเดินเข้ามาในบ้าน “นี่เอากุญแจมาให้ เมื่อวานเฮียให้ผมปิดร้านไม่ใช่หรือ ผมเปิดร้านเรียบร้อยแล้ว”

     ผมนิ่งไปชั่วครู่ก่อนที่จะส่งเสียงตอบรับในลำคอ คล้ายว่าจะมีเรื่องอย่างนั้นจริงเสียด้วย

     “เฮียไปอาบน้ำก่อนดีกว่าไหม แล้วบุหรี่... กลิ่นตัวเฮียเน่ามากตอนนี้” ไอ้เก้ไม่ได้พูดแค่นั้น มันบ่นอะไรต่อไปยาวเหยียดแต่เสียงพวกนั้นเหมือนกระทบหูผมแล้วก็ผ่านไปเท่านั้น จนมันต้องเอื้อมมือมาจับไหล่ผมไว้ ผมเหลือบตามองอีกฝ่ายยามมันเลื่อนมือมาดึงบุหรี่ออกจากปากของผมอย่างเลื่อนลอย “เฮียต้องไปอาบน้ำแล้วว่ะ จริงๆ นะ วันนี้มีผมคนเดียวนะเว้ย พี่จีเขาลาหยุดไม่ใช่หรือ เฮียต้องเป็นคนทำอาหารสิ”

     ผมเอาลิ้นดุนกระพุ้งแก้มตอนที่มันพยายามอธิบายให้ผมได้สติอย่างใจเย็น ถอนหายใจก่อนที่จะพยักหน้า

    “ไปๆๆ”

     มันดันหลังผมไปทางห้องนอน ปากก็บ่นอะไรไปเรื่อยเปื่อยประหนึ่งเป็นแม่ของผมอย่างไรอย่างนั้น ราวกับสลับตำแหน่งเจ้าหน้ากับลูกจ้างอย่างไรอย่างนั้นแหละ

     ผมไม่ได้สตินานมากตอนที่หยิบเสื้อผ้าตัวเองเดินเข้าห้องน้ำมา สักพักก็ได้ยินเสียงมันตะโกนดังลั่นพร้อมทุบประตูห้องน้ำอย่างแรง

     “เฮียหลับเหรอ! ตื่นเว้ยย อาบน้ำ!”

     ถ้าเป็นปกติผมคงด่ามันเปิดเปิงแล้ว อายุอานามก็น้อยกว่า ศักดิ์ก็เป็นลูกน้อง แต่เวลานี้ไม่มีแม้แต่แรงจะขยับปากด้วยซ้ำ

     ผมใช้เวลาอาบน้ำนานมาก ต้องเรียกว่าใช้เวลาตั้งสติเสียมากกว่า ไอ้เก้ตะโกนเรียกผมเป็นระยะๆ กว่าผมจะเดินออกมาจากห้องน้ำก็ผ่านไปเกือบชั่วโมงเพราะผมได้แต่ปล่อยให้น้ำไหลผ่านตัวไปเฉยๆ อยู่นาน ออกมาจากบ้านก็เห็นว่าไอ้เก้ไม่อยู่แล้ว สาเหตุน่าจะมาจากมันถึงเวลาเปิดร้านอย่างเป็นทางการแล้วกระมัง

     ผมเดินออกมาจากบ้านอย่างไร้สติ ยังดีที่เปิดประตูเข้ามาในร้านแล้วไม่เห็นลูกค้าสักคน

     “พี่จีเขาซื้อของไว้แล้วนะ ขนมมีที่พี่แกทำไว้ตั้งแต่เมื่อคืน”

     “อื้อ...” ผมพยักหน้าส่งๆ

     คนอายุน้อยกว่ามองผม เก้ดูเหมือนใช้ความพยายามมากที่จะไม่ด่าผมด้วยการสูดลมหายใจลึกๆ ตามด้วยการพ่นมันยาวๆ “นี่เฮียเป็นซอมบี้รึยังไงฮะ”

     ผมมองหน้ามันก่อนที่จะส่ายหน้าช้าๆ อย่างเหนื่อยหน่าย

     วันทั้งวันผ่านไปอย่างว่างเปล่า จะว่าช้าก็ช้า จะว่าเร็วก็เร็ว ผมได้ยินไอ้เก้เรียกเฮียแบบเสียงสูงผิดปกติจนแทบจะเป็นคำด่าหลายสิบรอบในวัน บ่อยที่สุดตอนที่มีคนสั่งอาหารคาวซึ่งผมต้องลงมือทำเอง ผมไร้สติจนได้แผลมาหลายแผล ที่ยิ่งกว่านั้นคือมันแทบจะไม่รู้สึกเจ็บเลยแม้แต่น้อย ถึงขนาดที่ไอ้เก้บอกว่า ‘เฮียพักหน่อยไหม กลัวเฮียเอาตัวเองไปทอดในกระทะตายก่อน’ ซึ่งมันดูละเหี่ยใจกับผมมากมายเหลือเกิน

     เพราะฉะนั้น พอมาถึงช่วงบ่ายหลังจากมั่นใจว่าไม่น่าจะมีใครสั่งอาหารแล้วผมจึงเดินเข้ามาที่บ้านตัวเองและปล่อยให้ความคิดต่างๆ ไหลผ่านหัวของผมไป

     มีแต่ชื่อกชอินทร์ มีแต่สิ่งที่เกี่ยวกับมัน คล้ายตอนที่ผมได้แต่เห็นหลังของมันเดินจากไปและไม่ยอมหันกลับมาตอนที่ผมเรียกชื่อ มันนานแล้วที่ผมไม่ได้เป็นอย่างนี้

     ผมควรทำอย่างไรดีกับเรื่องราวแบบนี้

     ปล่อยให้เรื่องของเราจบแบบนี้น่ะหรือ...กชอินทร์



     วันเวลาช่างผ่านไปอย่างยากลำบาก

     ผมคิดว่าอาจจะเป็นเวลาที่สมควรแล้วที่จะขึ้นเงินเดือนให้ไอ้เก้เพราะมันเป็นคนดูแลผมจริงๆ ภาระทุกอย่างของร้านแทบจะอยู่กับมันไปเสียหมด คุณจีเองก็เหมือนกัน เขาใช้ความพยายามมากที่จะคิดเมนูใหม่ตามที่เคยเสนอกับผมไว้ แต่ ณ เวลาเช่นนี้ ผมรู้สึกเหมือนอาหารแทบจะไม่มีรสชาติ บางวันผมแทบไม่ได้กินอะไรด้วยซ้ำ ไม่ใช่ว่าเหนื่อยจนกินอะไรไม่ได้ แต่มันรู้สึกไม่หิว เหมือนกับความอยากอาหารถูกดูดไปเสียหมด ถ้าสองคนนั้นไม่ช่วยเตือนผมคิดว่าผมอาจจะไม่ทานอะไรเป็นวันๆ เลยก็ได้

     พนักงานประจำทั้งสองอย่างไอ้เก้และคุณจีระต่างบอกเป็นเสียงเดียวกันว่าผมควรจะพักอยู่ที่บ้าน เดินมาช่วยร้านเวลากลางวันหรือคนเยอะๆ เป็นพอ

     “ถ้าเฮียยังเป็นแบบนี้ผมว่าสักวันร้านนี้คงล่ม”

     นั่นเป็นคำเตือนให้ผมได้สติจากไอ้เก้ แปลได้ประมาณว่า ‘เฮียควรกลับมาเป็นเหมือนเดิมได้แล้วถ้าไม่อยากเสียเงินทำกิน’ ไอ้เข้าใจความเป็นห่วงของมันน่ะใช่...แต่ทำได้หรือไม่มันอีกเรื่อง

     แต่ละวันของผมแทบไม่มีความทรงจำ มันผ่านไปกี่วันแล้วตั้งแต่ได้ไปส่งกชอินทร์ที่บ้านผมก็ไม่แน่ใจ อาจจะสองวัน สามวัน หรืออาจจะเป็นอาทิตย์แล้วก็ได้ ผมนึกตั้งคำถามกับตัวเองว่าควรทำอะไรดีนอกจากการนั่งอยู่เฉยๆ และปล่อยให้ความทรงจำต่างๆ ไหลผ่านตัวเองไป แต่ทุกครั้งที่ผมหยิบโทรศัพท์ที่ถูกปิดไว้คำถามมันก็จะดังขึ้นในหัวสมอง

     โทรไปหามันแล้วผมจะพูดอะไรกับมันหรือ?

     ถาม? ถามว่าอะไรล่ะ ที่น้องมันพูดเป็นความจริงหรือเปล่าเหรอ

     เค้นคำตอบงั้นหรือ? ผมมีสิทธิ์อะไรไปสั่งให้มันเล่าความจริงทุกอย่างแบบที่ผมปรารถนา

    หรือจะให้ผมบอกมันว่าทุกอย่างจะผ่านไปด้วยดี? ผมทำได้ด้วยหรือในเมื่อผมไม่มีมีอะไรเป็นหลักประกันว่ามันจะผ่านไปจริงๆ
   
     เพราะคำถามเหล่านั้นทำให้ผมไม่ได้จับโทรศัพท์เลยด้วยซ้ำ ทุกครั้งที่ผมจะเอื้อมมือไปจับมัน คำถามที่แวบซ้ำไปซ้ำมาก็ทำให้ผมชักมือกลับทุกครั้ง

       จนวันหนึ่ง ตอนค่ำๆ มีเสียงกดกริ่งที่หน้าบ้าน มันไม่ใช่เวลาปกติที่ไอ้เก้หรือคุณจีจะมาหาผมที่บ้าน นั่นเป็นสาเหตุว่าทำไมผมถึงแปลกใจนิดหน่อยตอนได้สติ

       และพอผมเปิดประตูออกไปผมก็แปลกใจยิ่งกว่าเดิม

       ไอ้เก้ยืนอยู่หน้าประตูบ้านก็จริงแต่มันไม่ได้ยืนอยู่คนเดียว สีหน้ามันตอนยิ้มให้ผมดูเจื่อนไม่ใช่น้อยตอนที่ผมเปิดประตูออกไป ก่อนที่มันจะหันไปพูดกับคนข้างๆ

       “ตอนนี้เฮียสภาพแย่มาก สงสารเฮียเขาหน่อยนะครับ เดี๋ยวผมไปทำงานต่อแล้ว” มันพูดแบบนั้นแล้วจึงเดินออกไปจากหน้าประตูบ้านผมแทบจะในทันที

       ผมมองหน้าคนที่เหลืออยู่ ร่างผอมติดสูงของอีกฝ่ายนิ่งไม่ไหวติง ไม่แม้แต่จะเงยหน้าขึ้นมาสบตากับผม เสื้อเชิ้ตทำงานสีที่เหมือนกับพนักงานออฟฟิศของมันถูกปลดกระดุมเม็ดบนสองเม็ด ไม่มีเนกไทที่ดูน่าเบื่อ อินทร์ถือกระเป๋าโน๊ตบุ๊คใบใหญ่แนบข้างลำตัว

       พวกเราอยู่ในความเงียบอยู่นาน ก่อนที่มันจะเป็นฝ่ายพูดขึ้นมาก่อน

     “ผมเคยเตือนคุณแล้ว...ว่าไม่ควรปิดโทรศัพท์”

     เป็นผมเองที่ผงะ แม้จะมีเรื่องของกชอินทร์เต็มหัวในระยะเวลาที่ผ่านมาแต่ผมลืมไปเลยเรื่องกำหนดการบทความที่ผมควรส่งให้เป็นประจำ

     “ขอโทษ” นั่นเป็นคำตอบเดียวที่ผมนึกออก

     “กระทั่งโทรศัพท์บ้านที่คุณให้ไว้ก็เป็นสายโทรเข้ามาที่ร้าน” ผมหลับตาลงยอมรับคำต่อว่าจากอีกฝ่ายแต่โดยดี ไม่มีคำเถียงใดๆ หลุดออกจากปากจนคุณบก. ตรงหน้าถอนลมหายใจออกมาเฮือกใหญ่ “เดดไลน์สี่ทุ่มนี้”

     ผมพูดอะไรไม่ได้ จำไม่ได้ด้วยซ้ำว่าหัวข้อที่มันบอกผมไว้ตอนนั้นคือเรื่องอะไร หัวสมองผมว่างเปล่าไปหมด

     “ผมเกรงว่าผมจะต้องเฝ้าคุณ ตอนนี้เลย คุณพีรพัฒน์” ผมพยายามตั้งสติ สูดลมหายใจเข้าปอดให้ลึกที่สุด “ระหว่างไปที่สำนักพิมพ์กับอยู่บ้านของคุณ เลือกอะไร”

     ผมไม่ได้ตอบ เดาะลิ้นอย่างอารมณ์เสีย สุดท้ายแล้วก็ต้องหันหลังกลับมาโดยไม่ได้พูดอะไรกับมัน คิดว่ากชอินทร์คงเข้าใจว่าผมเลือกที่จะอยู่ในบ้านหลังนี้

     อินทร์เดินตามผมเข้ามาโดยไม่ได้พูดอะไร เสียงปิดประตูอย่างแผ่วเบาดังขึ้นรั้งท้ายและนั่นเป็นเสียงสุดท้ายที่ดังขึ้นระหว่างเรา มันเดินตามผมเข้ามาในห้องนอนที่มีอุปกรณ์การทำงานของผมอยู่ในขณะที่หัวใจของผมกำลังเต้นระรัวดังขึ้น...ดังขึ้น

     อินทร์จะได้ยินมันหรือเปล่า...ผมหวังว่าไม่

     ผมเดินไปที่โต๊ะทำงาน ลากเก้าอี้มาหย่อนกายนั่งพลางเปิดโน๊ตบุ๊คของตัวเองไปด้วยตอนที่ได้ยินเสียงผ้าเสียดสีกันอยู่ด้านหลัง อินทร์คงจะนั่งบนเตียง ที่ผมใช้คำว่า ‘คงจะ’ เพราะผมไม่ได้หันไปมองอีกฝ่าย

     “คุณเขียนไปถึงไหนแล้ว”

     “...”

     “คุณพีรพัฒน์”

     ผมได้ยินเสียงมันเรียกชื่อผมด้วยน้ำเสียงหงุดหงิดใจ

     แต่ผมเลือกที่จะไม่หันกลับไปมอง...เพราะผมกลัวว่าตัวเองจะละสายตาจากมันไปไม่ได้

     ผมเลือกที่จะไม่เอ่ยเอื้อนคำใด...เพราะผมกลัวว่าตัวเองจะรั้งปากไม่ให้เอ่ยพูดคำถามไว้ไม่อยู่

     ผมได้ยินเสียงผ้าเสียดสีสวบสาบจากด้านหลังก่อนที่จะตามมาด้วยเสียงฝีเท้าหนักๆ ของอีกฝ่ายที่ดูเหมือนจะขยับกายเข้ามาใกล้ เสียงทุ้มของมันเรียกชื่อผมอีกครั้ง

     “คุณพีรพัฒน์”
   
     “ผมต้องการสมาธิ” เสียงของผมแหบแห้งจนเหมือนไม่ใช่เสียงของผม “ช่วยเงียบหน่อย...คุณกชอินทร์” เรียกชื่อที่มันต้องการให้เรียนเสียงหนักแน่น

       ไม่ได้เรียกมัน...แต่เป็นการย้ำกับตัวเอง

       ผมได้ยินเสียงพ่นลมหายใจของมันจากด้านหลัง แล้วจึงตามมาด้วยเสียงฝีเท้าและเสียงมันหย่อนกายลงบนเตียง นั่นทำให้ผมสงบสติอารมณ์ลงได้เล็กน้อย แต่มันก็แค่เล็กน้อยเท่านั้น

       ผมใช้เวลานานกว่าที่จะลากปลายนิ้วตัวเองเปิดเอกสารที่เขียนค้างไว้ ผมจำไม่ได้ด้วยซ้ำว่าตอนนั้นตัวเองเขียนอะไร อันไหนกันแน่ที่เป็นบทความที่ผมเขียนครั้งล่าสุด จนผมต้องนั่งไล่อ่านเอกสารที่เปิดล่าสุดสี่ห้าอันแรก แต่แม้จะลากสายตาผ่านตัวอักษรเหล่านั้นมันก็ไม่ได้เข้าหัวผมแม้แต่น้อย

       หลังจากความเงียบปกคลุมสองเราอยู่พักใหญ่ กชอินทร์ก็เอ่ยปากอีกครั้ง “คุณพีรพัฒน์”

       ผมหลับตาลง พยายามบอกตัวเองว่าไม่ได้ยินอะไรทั้งนั้นและจับจ้องกับตัวอักษรตรงหน้าใหม่ แต่อินทร์ก็กำลังจะทำลายความพยายามเหล่านั้นให้หมดลง

       “คุณพีรพัฒน์!” มันเรียกชื่อผมดังขึ้น “คุณคงไม่อ่านมันไปตลอดหรอกนะ”

       ผมไม่ตอบ บดริมฝีปากของตัวเองเข้าหากันอย่างสงบสติอารมณ์

       “คุณพีรพัฒน์!”

       “พอสักที!”

       อินทร์ทำลายมันอีกครั้ง... ความพยายามและความอดทนของผมถูกมันทำลายซ้ำแล้วซ้ำเล่า

       ผมตวาดมัน ลุกขึ้นจากเก้าอี้และหันไปมองหน้ามันที่ดูเหมือนจะตกใจไม่น้อยกับคำพูดของผม พ่นลมหายใจออกมาอย่างเหนื่อยอ่อน ทำไมต้องเป็นมัน...มันเท่านั้นที่ทำให้ทุกอย่างแหลกเป็นผุยผงได้อย่างง่ายดาย

       ผมกัดฟัน “ไม่รู้เหรอว่า...” คำพูดถูกหยุดชะงักไปชั่วครู่ “ที่ผ่านมาพยายามแค่ไหน”

       ผมไม่ได้หลบสายตากชอินทร์ กลับเป็นมันเองที่หลบสายตาผม เพียงประโยคเดียวที่ผมพูดมันออกมาอย่างยากลำบากทำให้ทุกอย่างที่ผมพยายามฝังมันในความเงียบเมื่อกี้มันถูกตีรวนขึ้นมา

       มันไม่เคยทำให้ผมสงบ ทุกความสนใจของผมลงกับมันเพียงคนเดียวทุกครั้ง ไม่ว่าจะเป็นตอนที่มันอยู่คนเดียวหรือตอนที่มันอยู่กับใคร แววตาผมมองแค่มัน เสียงผมอยากจะเรียกแค่ชื่อมัน หูผมอยากได้ยินเพียงเสียงลมหายใจของมัน ผมอยากจะรับรู้ทุกอย่างของมัน

       “คิดว่า...ผมพยายามมากแค่ไหน” ผมเอ่ยเอื้อนแต่ละคำออกมาอย่างยากลำบาก “ที่จะไม่ถามว่าคุณโกหกอะไรผมบ้าง...” ผมเห็นร่างนั้นสั่นเล็กน้อยตอนที่มันไม่ยอมเงยหน้าขึ้น มือของมันกำเข้าหากันแน่นจนสั่นไหว “ตอนนี้ผมไม่เข้าใจว่าอะไรคือความจริง อะไรคือเรื่องโกหกด้วยซ้ำ”

       ผมได้ยินเสียงลมหายใจมันติดขัดไม่ต่างจากของผม

       “ทำไม...” ผมบดริมฝีปากเข้าหากัน “ถึงทำมันได้ง่ายนัก...”

       “...”

       “ทำไม...ถึงลืมทุกอย่างง่ายนัก...อินทร์”

       มันเป็นคำพูดตัดเพ้อที่แสนงี่เง่า

       ผมหลับตาลง ความรู้สึกอึดอัดมันกลับมาอีกครั้ง มันไม่เคยหายไปไหน ตอนที่หลับตาผมเห็นแต่ภาพความทรงจำเก่าๆ ตอนอินทร์ยิ้ม ตอนอินทร์หัวเราะ ตอนที่มันงอแงงี่เง่า แต่ภาพพวกนั้นก็เปลี่ยนมาเป็นภาพมันที่เรียบเฉยเหมือนกับผมเป็นธาตุอากาศ แววตาที่ทำให้ผมชาวาบและเจ็บปวดทุกครั้งที่คิดถึง

       “ง่าย...” เสียงมันทวนคำดังขึ้น “ง่ายเหรอ...”

       ผมพยายามควบคุมลมหายใจ ค่อยๆ ลืมตาขึ้นหลังจากสงบสติอารมณ์ได้ตอนที่ได้ยินเสียงมันลุกจากเตียงนอน เดินเข้ามาใกล้ผม ทีละก้าว ทีละก้าว ก่อนที่จะหยุดลง

       “มันง่ายตรงไหน” ผมได้ยินเสียงมันสูดอากาศหายใจ “มันไม่ง่ายหรอกนะที่ผมต้องทำแบบที่ทำมา”

    ...เสียงของมันสั่นเครือและแผ่วเบา   

    “ที่ผมพยายามหันหลังให้คุณ...มันเป็นเพราะผมทนเห็นคุณหันหลังให้ผมไม่ได้”

    ...ไหล่ของมันสั่นไหวอย่างเห็นได้ชัด
   
    “ที่ผมพยายามไม่เรียกชื่อคุณ...มันเป็นเพราะผมทนฟังคุณเรียกชื่อผมไม่ได้”

       ...ขาของมันเหมือนจะทรุดลงไปกับพื้นอยู่แล้ว

       “ที่ผมพยายามไม่หันไปหาคุณ...มันเป็นเพราะผมทนที่จะวิ่งกลับไปหาคุณไม่ได้”

       ...มือของมันกำแน่นจนเห็นเส้นเลือดไปหมดแล้ว

       “มันง่ายเหรอ...ที่ผมต้องเดินจากมา...ทั้งที่ผมไม่ได้อยากทำแบบนี้เลย”

       ผมได้ยินเสียงอะไรบางอย่างแตกสลายลงในวินาทีที่มันพูดประโยคนั้นจบ

       แขนของผมจับแขนไหล่บางของมันก่อนที่สมองผมจะตั้งตัว ขาของผมก้าวไปหามันก่อนที่จะได้รับคำสั่งใดเสียอีก ผมแทบไม่รู้ตัวตอนที่มือของผมจับใบหน้าของมันให้เชิดขึ้น หรือตอนที่ผมบดริมฝีปากลงบนปากของอีกฝ่าย ตอนที่ปลายนิ้วของผมไล้ไปบริเวณพวงแก้มของมัน ตอนที่ผมโถมร่างตัวเองจนร่างอีกฝ่ายล้มลงบนเตียงของผมอย่างแรง แต่ผมกลับรับรู้ชัดเจนถึงมือของอีกฝ่ายที่พยายามผลักไสผมอยู่พักหนึ่งก่อนที่จะเปลี่ยนมาโอบกอดผมไว้ รวมถึงสัมผัสที่ริมฝีปากถึงรสชาติของอีกฝ่าย

       จากรสจูบที่เคยหวานละมุนในครั้งแรก

     ...มันกลายเป็นจูบที่มีแต่รสขมพร่าของน้ำตาได้อย่างไรกัน





ออฟไลน์ B52

  • เป็ดZeus
  • *
  • กระทู้: 13216
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +420/-26

ออฟไลน์ Vermouth

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 77
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +8/-0
โอยยยยยย จะบ้าาาาาา
นั่นไง อินทร์ก็ยังไม่ลืมไง แต่ทำใจยอมกลับมาคบพีทได้ไหมนั้นอีกเรื่อง
หน่วงหนักมาก เฮ้อออออ

ออฟไลน์ BlueCherries

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4061
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +159/-17
คือเราเข้าใจว่ามันเป็นแนวเขียนของจขกท. แต่เราทนอ่านต่อไม่ไหว มันหน่วงเกิน

ตัวเอกจะทำให้ชัดเจนไหม...ก็ไม่

โอเคที่ว่าปัญหาในอดีตตามมาถึงตอนนี้ แต่คือคุณๆโตกันแล้ว คุยให้รู้เรื่องสิวะคะ งี้ก็ไม่ต่างอะไรกับตอนแรกที่เจอหน้ากัน (โอเค อาจจะเพิ่มสามารถการจากลาและตัวละครเพิ่มขึ้นมาอีกหน่อย)

มันเหมือนวนลูปง่ะ (คหสต.)

ออฟไลน์ Veesi3

  • coHon3 {ต้นฝ้าย}
  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 715
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +33/-2
 :z3: เจ็บปวดใจ   :ling3:

ออฟไลน์ NINEWNN

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 317
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +105/-4

CHAPTER 16

“Because tonight will be the night that I will fall for you
Over again... Don't make me change my mind”

(Fall for You - Secondhand Serenade)



     “ไม่...” ผมได้ยินเสียงกระซิบตอนเราผละออกจากกัน ลมหายใจร้อนหอบถี่ดังอยู่ใกล้ใบหู แขนของอีกฝ่ายแทบไม่มีแรงผลักผมออกด้วยซ้ำ “หยุด...”

     “เงียบเถอะน่า”

       คนตรงหน้าขยับปากเหมือนจะพูดอะไรออกมา ผมมั่นใจว่ามันคงไม่ใช่สิ่งที่ผมอยากฟังเลยจัดการปิดมันอีกที
     
       เสียงปรามในลำคอที่ไม่ได้ศัพท์ของอีกฝ่ายไม่ได้เข้าหูผมแม้แต่น้อย กชอินทร์พยายามเม้มริมฝีปากไม่ให้สัมผัส แต่ยามโดนผมหยอกล้อเข้าอีกฝ่ายก็เริ่มโอนอ่อน เสียงปรามในลำคอของมันถูกแทนที่ด้วยเสียงเฉอะแฉะยามเราบดเบียดริมฝีปากเข้าหากัน ปลายนิ้วผมเลื่อนไปจับใต้ต้นคอของอินทร์ ข้างหนึ่งเลื่อนมาประคองใบหน้ามันไว้ อีกข้างหนึ่งลากต่ำลงมาถึงช่วงไหปลาร้า

       ผมรู้สึกเหมือนตัวเองรับรู้ถึงจังหวะหัวใจของมันที่กำลังเต้นอยู่ในขณะที่เราสัมผัสกันแบบนั้น

       แต่ทุกอย่างก็ถูกหยุดชะงัก ตอนที่ปลายนิ้วโป้งข้างที่ประคองใบหน้ามันไว้รับรู้ถึงหยาดน้ำที่ไหลลงมา

       ผมหยุดการกระทำนั้นในทันที ผละริมฝีปากออกแล้วมองใบหน้าของอีกฝ่ายชัดๆ กชอินทร์ไม่ได้ร้องไห้น้ำตาไหลเป็นสาย แต่ถึงกระนั้นมันก็ยังมีน้ำตา มันหลับตาลงเหมือนจะปล่อยให้ทุกอย่างเป็นไป

       “อินทร์...” ผมเรียกชื่ออีกฝ่าย “อินทร์” กระซิบเรียกมันเสียงแผ่ว

       “มันไม่ควรจะเป็นแบบนี้...มันไม่ควรเป็นแบบนี้เลย” คนใต้ร่างตอบกลับเสียงสั่น

       ผมเม้มริมฝีปากเข้าหากันแน่น อินทร์ไม่ขยับกายไปไหนแต่กลับยกแขนขึ้นมาวางปิดช่วงดวงตา เสียงลมหายใจผิดจังหวะดังขึ้นเรื่อยๆ

       “ทำไมต้องสนใจกันด้วย ทำไมต้อง...” มันหยุดไปชั่วครู่ “ฝังใจกับกูขนาดนั้น...”

       “อินทร์...”

     ผมเรียกชื่อมันอีกครั้ง เลื่อนมือไปสัมผัสปลายนิ้วมันเบาๆ แต่มันพยายามขยับกายหนีจนผมต้องวางแขนอีกข้าง กันไว้ไม่ให้มันหลบไปไหนได้
    
     “...กูไม่เหมือนเดิมแล้วนะ” เสียงสั่นๆ เอ่ยเอื้อนคำพูดนั้นออกมาอย่างยากลำบาก “ทั้งๆ ที่พยายามไม่สนใจแล้ว ทำไมไม่ตัดใจสักทีล่ะ”

     หยาดน้ำตาอีกฝ่ายหล่นลงมาเพิ่มขึ้น ผมนึกว่านั่นจะเป็นน้ำตาหยดเดียวของมัน แต่ไม่ใช่ ผมทำได้เพียงนั่งเงียบ ปล่อยให้อีกฝ่ายพูดออกมาขณะที่เลื่อนมือไปปาดน้ำตาของมันออกอย่างแผ่วเบา

     “ก็บอกแล้วไม่ใช่หรือว่าเกลียด...” มันหยุดชะงักไปเล็กน้อย “เกลียด...” ย้ำคำเดิมซ้ำไปมาอยู่สองสามหน

     “...”

     “...ทำไมไม่เกลียดกูบ้าง”

     อีกฝ่ายแค่กำลังตัดเพ้อ ไหล่บางของอีกคนสั่น ร่างเริ่มแสดงอาการสะอึกสะอื้นอย่างเงียบเชียบ

     นั่นไม่ใช่ประโยคคำถาม ผมรู้ แต่ยามที่อินทร์พูดเช่นนั้นก็ทำให้ผมรู้สึกโง่เง่า มันเป็นคำถามที่ตอนที่ผมไม่เข้าใจอะไรสักอย่างเอาแต่นั่งถามตัวเองทุกวัน ในเมื่อตอนนั้นอินทร์พูดออกมาเองว่าขี้เกียจคุย เหตุใดผมไม่เคยขี้เกียจสนใจเขาเลย ถ้าอินทร์พูดคำว่าเกลียดขึ้นมาง่ายๆ ทำไมผมทำแบบนั้นไม่ได้บ้าง ผมเฝ้าถามตัวเองอยู่นานแต่กลับไม่ได้รับคำตอบ จนวันนี้ผมถึงได้รู้คำตอบที่แน่ชัด

     “แล้วทำไม... มึงไม่เกลียดกูแบบที่มึงพูดล่ะ...”

     ...ทุกอย่างก็แค่สาเหตุเดียวกัน

     ตอนที่อินทร์บอกว่าขี้เกียจคุยกับผม มันไม่ได้ ‘ขี้เกียจ’ จริงดั่งที่บอก...ผมเลยขี้เกียจสนใจมันบ้างไม่ได้

     ตอนที่อินทร์บอกว่าเกลียดผม มันไม่ได้รู้สึกแบบนั้นจริงๆ ตามคำพูด...ผมเลยเกลียดมันบ้างไม่ได้

     มันอาจจะเป็นอะไรที่ไม่สมเหตุสมผล ไม่มีอะไรมาพิสูจน์ แต่บางคราความรู้สึกก็เป็นตัวตัดสินทุกอย่าง ลึกๆ ในใจผมเชื่อเสมอว่าคำพูดที่อินทร์พูดมันไม่ใช่ความจริง เพราะแบบนั้น ผมเลยคิดว่าผมยังสามารถเก็บความรู้สึกเหล่านั้นไว้ได้ ต่อให้ผมพยายามเท่าไหร่มันก็ไร้ผล เพราะสิ่งที่มันพูดออกมาไม่เคยเป็นความจริง

     ร่างข้างใต้ผงะไปเล็กน้อยตอนที่ได้ยินคำตอบของผม ผมได้ยินเสียงลมหายใจของมันผ่านความเงียบอย่างเดียวนานพอควร ก่อนที่มันจะเอ่ยออกมาเสียงสั่น

     “กู...ไม่รู้จะทำยังไง...”

     ถ้อยคำเหล่านั้นหลุดออกมาคล้ายคำสารภาพ

     “มันไม่ควรเป็นแบบนี้” เสียงสั่นเครือพูดออกมาแผ่วเบาแต่ดังพอที่จะทำให้หัวใจของผมเจ็บจนน้ำตาแทบไหล “ไม่ได้อยากให้มันเป็นแบบนี้...”

     ผมดันกายตนที่กึ่งนั่งกึ่งนอนมาเป็นลุกขึ้นนั่ง ดึงร่างของอีกฝ่ายขึ้นมา สวมกอดไว้อย่างแผ่วเบา ร่างของอีกฝ่ายที่สั่นสะท้านอยู่ในอ้อมแขนของผมทั้งร่างทำให้ผมรู้ว่ามันตัวเล็กกว่าผมมากแค่ไหน ยิ่งมันเอาใบหน้าซบลงบนบ่าของผมยิ่งทำให้มันดูตัวเล็กกว่าที่เป็น

     มือของผมทำอะไรได้มากกว่านี้ไหม สิ่งที่ผมทำได้มีเพียงการปลอบประโลมมันที่ร้องไห้แค่นี้เหรอ

     อินทร์พร่ำพูดคำว่าไม่ซ้ำไปมา ไม่รู้ว่ามันปรารถนาจะบอกผมหรือย้ำเตือนตนเองกันแน่ ผมรู้สึกเกลียดแสนเกลียดยามอีกฝ่ายกำท่อนแขนผมไว้แน่น หรือยามที่ได้ยินเสียงลมหายใจไม่สม่ำเสมอของมัน

     “แบบนี้มันไม่ถูกต้อง...”

     “อะไรหรือ” ผมเอ่ยถามออกมา “อะไรที่ไม่ถูกต้อง”

     “มัน...” เสียงของอีกฝ่ายขาดช่วง “เป็นแบบนี้ไม่ได้”

     ผมบดริมฝีปากเข้าหากัน ความลังเลใจพุ่งวาบขึ้นมาชั่วขณะแต่ผมเลือกที่จะโยนสิ่งเหล่านั้นออกไปและพูดความจริงออกมาให้มันฟัง

     “กูรู้หมดแล้ว...”

     เป็นอีกครั้งที่มันชะงักไป เสียงลมหายใจมันผิดจังหวะไปนิดหน่อย

     “หมดแล้ว...” ผมย้ำอีกที “เอ็กซ์บอกมาหมดแล้ว...ว่าที่มึงบอกเรื่องพ่อ...”

    ผมหยุดพูดตอนที่สัมผัสได้ว่าหัวไหล่ตนเองเปียกชื้นเพิ่มขึ้น ลมหายใจอุ่นๆ ที่กระชั้นขึ้นของกชอินทร์และแรงบีบจากมือของอีกฝ่ายที่เกาะกุมแขนผมอยู่เป็นคำสั่งไร้เสียงว่าหยุดเดี๋ยวนี้ อย่าพูดมันออกมา เขาไม่ปรารถนาจะได้ยินมัน

     ผมเลื่อนมือไปสัมผัสศีรษะอีกฝ่าย กดใบหน้ามันลงกับบ่าของผม นั่นเป็นสิ่งที่ผมควรจะทำตั้งนานแล้ว ถ้าหากตอนนั้นผมรู้เรื่องเร็วกว่านี้ ถ้าหากตอนนั้นผมตงิดใจกับความแข็งกร้าวที่ฉาบไว้ของมัน

     เสียงสะอื้นปานจะขาดใจของอีกฝ่ายดังขึ้นอยู่นาน ไม่มั่นใจว่าเวลาผ่านไปเท่าไหร่ เข็มนาฬิกาวนไปมากี่รอบ แต่ผมทำเพียงกอดมันไว้ จับมือมันไว้ จุมพิตบริเวณขมับของมันเป็นระยะ

     บอกมันโดยไร้เสียงว่าแขนของผมมีพื้นที่สำหรับอินทร์ที่แสนอ่อนแอเสมอ



     “เอ็กซ์...” เสียงของมันดังขึ้นหลังจากที่เสียงสะอื้นหยุดลงสักระยะ บ่าของผมเปียกไปหมด เสื้อของผมยับย่นแต่ผมกับมันยังไม่ได้ขยับไปไหน “มันแอบคบกับผู้ชาย” อีกฝ่ายพูดออกมาอย่างยากลำบาก “มันไม่ใช่เรื่องแปลกในโรงเรียนเราอยู่แล้ว...แต่...”

     “ไม่เป็นไร” ผมกระซิบ ใช้นิ้วหัวแม่โป้งไล้วนบนหลังมือของมันแผ่วเบา

     คนในอ้อมแขนนิ่งไปชั่วครู่ สูดลมหายใจลึก เงียบไปนานจนยอมพูดขึ้นต่อ “พ่อรู้...”

     “...” ผมสัมผัสมันอย่างแผ่วเบาโดยไม่เอ่ยเอื้อนคำใด ปล่อยให้มันพูดทุกอย่างออกมาด้วยน้ำเสียงเจ็บปวด

     “สองคนนั้นทะเลาะกันบ้านแทบแตก พ่อเครียด น้องก็เครียด ยิ่งแม่ไม่อยู่ตอนนั้น...” มันหยุดชะงักไปชั่วครู่ “เหมือนทุกอย่างมันถูกโยนลงที่กู เหมือนเป็นตัวกลาง ต้องคอยดูแลทั้งสองคน แล้วจะให้ทำยังไง บอกพ่อเหรอ... ผมก็คบกับผู้ชายครับ แบบนี้หรือ” อินทร์พูดอย่างประชดประชันด้วยน้ำเสียสั่นเครือ “มันทำได้ที่ไหน...”

     ผมคิดไม่ออกว่าตอนนั้นกชอินทร์ต้องแบกรับอะไรบ้าง

     “พ่อเครียดมาก วันถัดมาพ่อก็เข้าโรงพยาบาล สามวันจากนั้นพ่อก็เสีย”

     “ไม่ต้องพูดแล้ว” ผมกระซิบบอก กดใบหน้านั้นให้จมลงกับบ่าตัวเอง “ไม่เป็นไร” จุมพิตที่ไรผมของมันอย่างแผ่วเบา ย้ำซ้ำคำว่าไม่เป็นไรให้มันได้ยิน

     “ตอนนั้นกูแค่สิบเจ็ด...” เสียงสั่นๆ ของมันพูดต่อ “บริษัทพ่อก็มีปัญหา พ่อเสีย เอาแต่คิดว่าคนที่ทำให้มันเป็นแบบนั้นคือเอ็กซ์”

      “อินทร์... ไม่เป็นไร”

     “กูไม่ได้ตั้งใจจะพูดแบบนั้น”

     เสียงของมันสั่นเครือมากจนผมรู้สึกว่าร่างในอ้อมกอดเปราะบาง มันพูดออกมาเหมือนกับสารภาพผิดให้ผมฟัง แขนของมันจิกลงบนท่อนแขนของผมแต่ผมกลับไม่รู้สึกเจ็บ การเห็นมันเจ็บมากมายแบบนี้ เห็นมันอุ้มความรู้สึกเหล่านี้มานาน ผมก็อยากจะแบ่งเบาภาระของมันบ้าง

     “ไม่ได้ตั้งใจจะบอกเอ็กซ์ว่าเป็นเพราะมัน ไม่ได้ตั้งใจด่าน้องว่าวิปริต ไม่ได้ตั้งใจ...”

     “...”

    “ถ้ามันเป็นคนวิปริตกูก็เป็นเหมือนกันแท้ๆ...”

     ผมผละกายออกมาจากอีกฝ่าย มองตรงที่แววตาของมันซึ่งยังคงเปียกชื้นและแดงก่ำ ปาดน้ำตาให้มันราวกับว่านี่เป็นเพียงสิ่งเดียวที่ผมทำให้มันได้

     “ไม่เป็นไร” ผมพูดคำนี้มากี่ครั้งแล้วนะ กชอินทร์รับรู้รึเปล่าว่าผมหมายถึง ‘ไม่เป็นไร’ จริงๆ “ไม่ต้องพูดแล้วก็ได้”

     มันส่ายหน้า ริมฝีปากของมันบดเข้าหากันอย่างอึดอัด ผมได้แต่เค้นยิ้ม อีกฝ่ายดื้อ...ดื้อมาก คราก่อนบอกให้พูดออกมากลับไม่พูด ยามนี้บอกให้เงียบกลับพูดไม่หยุด...นี่แหละ ‘อินทร์’

     “กูเอาแต่คิดว่าน้องผิด ด่ามัน ว่ามัน คิดว่าตัวเองอายุแค่นี้ทำไมต้องมาเจอเรื่องแบบนี้ ถึงแม่จะอยู่แต่คนที่ควรจะดูแลบ้านก็คือกู”

     ผมไม่แปลกใจกับคำพูดนั้นเลยแม้แต่น้อย อินทร์เป็นคนประเภทรับทุกอย่างไว้ที่ตัวเอง เป็นมาตั้งนานแล้ว ถ้าหากจะกดดันตัวเองขนาดนั้นไม่ใช่เรื่องเหนือความคาดหมายเลยแม้แต่นิดเดียว กชอินทร์เอาแต่พยายามทำตัวเข้มแข็งทั้งๆ ที่จริงๆ แล้วมันนั่นแหละ...คนที่อ่อนแอและต้องการการโอบกอดมากที่สุด

     แต่ประโยคต่อมาทำให้ผมผงะ

     “น้องกินพาราฯ ทั้งแผง” มันพูดอย่างแผ่วเบา ก้มหน้าลงไม่ยอมสบตาผม “ถ้าวันนั้นแม่ไม่รู้ ไม่ได้พามันไปโรงพยาบาล มันจะเป็นยังไงก็ไม่รู้... แม่เอาแต่คิดว่าน้องเครียด แต่กูรู้ มันไม่ใช่ มันเป็นเพราะกู...”

     ผมไม่รู้จะพูดอย่างไร จะบอกว่าไม่ใช่ความผิดมันหรือ ถ้าหากเรื่องที่อินทร์เล่ามาเป็นเรื่องจริง อย่างน้อยๆ มันก็มีส่วนผิด บอกว่ามันเลิกแบกความรู้สึกผิดไว้หรือ ต่อให้พูดไปมันก็ไม่ฟังด้วยซ้ำ กชอินทร์เป็นแบบนั้น แบกรับทุกอย่างไว้ที่ตัวเอง ไม่เอ่ยเอื้อนหรือร้องไห้ออกมาเพราะต้องการความช่วยเหลือ มันแค่พยายามทำทุกอย่างด้วยตัวเอง

     ทั้งๆ ที่ถ้ามันยอมรับความช่วยเหลือ...เรื่องอาจจะไม่เกิดมาขนาดนี้ก็ได้

     “จะให้กูกลับไปรักกับมึงต่อได้ยังไง” มันพูดเสียงเบาคล้ายกระซิบ “ทำกับน้องขนาดนั้น ด่ามันขนาดนั้น ถ้ามันจะตายมันก็เป็นเพราะกู แต่จะให้ไปมีความสุขคนเดียวหรือ มันจะเป็นแบบนั้นได้ยังไง”

     “...”

     “มันไม่ควรเป็นแบบนี้”

     “แล้ว...ถ้าโยนคำนั้นทิ้งไป มันจะเป็นแบบไหน”

     ผมรู้ว่าผมแสนเห็นแก่ตัวที่พูดออกมาแบบนั้น

     ผมไล้ปลายนิ้วบนแก้มชื้นของอีกฝ่าย “ถ้าโยนคำว่าไม่ควรออกไป...มันจะเป็นแบบไหนหรือ” ถามย้ำอีกครั้งเมื่ออีกฝ่ายไม่ยอมตอบอะไรออกมา

     ถ้าเราลืมเรื่องนั้น เราจะ ‘รักกัน’ ได้ไหม?

     ถ้าผมเป็นคนเห็นแก่ตัว ถ้ามันยอมลดความรู้สึกผิดเหล่านั้น ฝังมันไว้กับความทรงจำเมื่อสิบปีก่อน เรื่องเลวร้ายเกิดขึ้นกับเด็กอายุสิบเจ็ดที่ทำให้เราต่างมานั่งปวดใจในตอนนี้ ถ้าพวกเราทำแบบนั้น สนใจแค่คำว่า ‘เรา’ มันจะยังพอเป็นไปได้อยู่ไหม

     “อินทร์...” ผมได้แต่เรียกชื่ออีกคนที่เม้มริมฝีปากเข้าหากันแน่ “ขอร้อง...”

     ไม่มีคำใดหลุดออกมาจากปากคนตรงหน้า

     กชอินทร์ทำเพียงกอดผมไว้แน่น หลับตาลงจนน้ำตาไหลลงมาให้เห็นเป็นสาย น้ำตาที่เหมือนกับกรดกัดกร่อนให้ใจของผมพังทลายลงซ้ำแล้วซ้ำเล่า

     “บอกมาเถอะ” เสียงของผมสั่นเล็กน้อย “สิ่งที่มึงต้องการ...อินทร์”

     กชอินทร์สะอื้นหนักขึ้น ไหล่บางกว่าผมเริ่มสั่นไหวอีกครั้ง

     “รัก...”

     เสียงของอีกฝ่ายแผ่วเบาเหมือนเป็นเสียงกระซิบแต่ดังพอที่จะทำให้ผมได้ยินอย่างชัดเจน

    “รัก...”

    ถ้อยคำที่รอมานับสิบปี

     ผมโถมร่างตนเองใส่อีกฝ่ายอีกครั้ง เกาะกุมให้มันอยู่ข้างใต้ บดริมฝีปากลงบนตำแหน่งเดียวกัน ลมหายใจของพวกเราเพิ่มมากขึ้นยามผมไล้ปลายนิ้วลงบนผิวขาวติดซีดของอีกฝ่ายหลังจากแทบไม่มีสติตอนที่เสื้อเชิ้ตของเขาถูกปลดออกด้วยมือผม

     มือของอีกคนปัดป่ายไปมาทั่ว สัมผัสเอวของผมก่อนที่จะเคลื่อนไปบนแผ่นอก

     “รัก...”

     ยามที่มันพูดคำนั้นด้วยริมฝีปากบวมเจ่อและใบหน้าแดงๆ นั่น
   
       เรากำลังโยนทุกอย่างทิ้ง เหลือเพียงเรา ใบหน้าของเราแทบไม่ห่างกัน เสียงชื้นแฉะจากริมฝีปากของเราที่เอาแต่เคลื่อนเข้าหากันราวกับมีแรงดึงดูด ฝ่ามือของผมที่ได้สัมผัสผิวกายร้อนที่เริ่มขึ้นสี เสียงหายใจหอบถี่ของอีกฝ่ายที่ดังอยู่ข้างหูยามที่ผมโน้มใบหน้าลงไปกัดต้นคอของมันราวกับจะฝากฝังรอยของผมไว้ในร่างกายของมันให้แจ่มชัดมากที่สุด

        ผมไม่เคยคิดถึงเรื่องความปรารถนาทางกายกับมัน อาจจะเป็นเพราะเรื่องของเราเริ่มตั้งแต่ตอนที่เรายังเป็นเด็ก สำหรับตอนนั้นแค่การจูบอย่างแผ่วเบาก็มากพอที่จะทำให้เราสั่นสะท้าน แต่ครั้งนี้ไม่ใช่...มันไม่พอ

       “อินทร์...” ผมกระซิบเรียกชื่อมันที่อยู่ใต้ร่าง “เรียกชื่อ...”

       อีกฝ่ายมองผมด้วยแววตาฉ่ำเยิ้ม ลมหายใจร้อนสัมผัสที่ข้างแก้มของผมเป็นระยะ

       “เรียกชื่อ...ได้ไหม” ผมอ้อนวอนมันอีกครั้ง

       มันหลับตาลง พ่นลมหายใจหอบที่ดูเหมือนจะไม่ได้สติ กชอินทร์กำลังเตลิดไปไกลในขณะที่พวกเราสัมผัสกันแบบเนื้อต่อเนื้อ แขนของมันดึงทึ้งผ้าปูที่นอนแต่กลับไม่ยอมส่งเสียงใดๆ ออกมาคล้ายจะกลั้นไว้

       ริมฝีปากของมันค่อยๆ เผยอขึ้น

       “พีท...”

       ชื่อของผม

       “พีท...”

          ชื่อที่ผมไม่ได้ยินมาเป็นเวลานาน

       ผมกดจูบลงอีกครั้ง จูบแบบไม่รุกเร้าในขณะที่เรากำลังบดร่างเข้าหากัน แต่ริมฝีปากของเรากำลังพร่ำพูดคำต่างฝ่ายต่างเก็บงำมาเป็นเวลานาน ตั้งแต่เรายังเป็นเพียงเด็กไม่ประสา

       ...รักเหลือเกิน...




------------------------------------------------
ขอโทษที่อัพช้าค่ะ
อาหารเป็นพิษ Orz ดื่มน้ำแร่ไปสองสามขวดแล้ว




ออฟไลน์ youuue

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 135
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +16/-1
เป็น :mew6:ความสัมพันธ์ที่รอคอยมาเนิ่นนานมากขอรับ

ออฟไลน์ B52

  • เป็ดZeus
  • *
  • กระทู้: 13216
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +420/-26
รอมานาน

ออฟไลน์ BlueCherries

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4061
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +159/-17
ในที่สุด!!!


ขอบคุณมากค่าาาาาา

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด