◇◆ TIME TICKET ย้ำอีกครั้งว่า... ◆◇ ปก + แจ้งข่าว P.6 (04.09.15)
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: ◇◆ TIME TICKET ย้ำอีกครั้งว่า... ◆◇ ปก + แจ้งข่าว P.6 (04.09.15)  (อ่าน 65665 ครั้ง)

ออฟไลน์ กฤษณ์

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 649
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +37/-0
ในที่สุดก็คุยกันเสียที โอยปริ่มจะร้องไห้  :hao5:

ออฟไลน์ Vermouth

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 77
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +8/-0
โอ่ยยยยยย นี่แหละปมในใจอินทร์ ตอนนี้เข้าใจกันแล้วก็จริงนะ แต่เมื่อต้องกลับมาสู่ความเป็นจริง มันจะทิ้งไปได้ง่ายๆ เหรอ ฮืออออ
แต่ถ้าสองคนใจตรงกัน สู้ไปด้วยกัน มันต้องมีทางสิเนอะ มันต้องมีทาง ถ้าจะรักมันกันขนาดนี้

คุณคนเขียนหายไวๆ นะคะ รอตอนใหม่มาอัพเสมอนะ ^^

ออฟไลน์ oaw_eang

  • Global Moderator
  • เป็ดHades
  • *
  • กระทู้: 8418
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2122/-586
โอ้ยตายแล้ว

แต่จากประสบการณ์ของเจ้

เจ้อยากจะบอกกับทุกคนว่า....

คำว่า "รัก" น่ะ

พูดเลย   

ถ้ารู้สึกอย่างนั้นจริงๆ

เจ้สอง

ออฟไลน์ NINEWNN

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 317
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +105/-4

CHAPTER 17

“อยากจะร้องไห้ อยากให้เวลาเดินช้าๆ... ขอเวลาสักหน่อย
อยากมองหน้ากัน อยากหยุดวันเวลานี้ไว้ นานเท่านาน...ก่อนจะต้องไป”

(อยากหยุดเวลา – ปาล์มมี่)



       ผมได้ยินเสียงน้ำหยดดังเปาะแปะตอนตื่นขึ้นมาและข้างกายว่างเปล่า

       สองสามนาทีผมถึงได้สติ กชอินทร์ที่นอนหลับข้างๆ ผมเมื่อคืนไปไหนไม่รู้ ผมตาลีตาเหลือกลุกขึ้นจากเตียง เปิดประตูห้องน้ำแต่พบว่าไม่มีใคร

       ณ เวลานั้นความหวาดกลัวเกาะกุมทุกจังหวะลมหายใจ

       ผมกลัวว่าตัวเองฝันไปกับคำบอกรักเมื่อคืน กลัวว่าตัวเองฝันไป ผมรีบเดินไปเปิดประตูออกจากห้องนอน สายตากวาดไปทั่วก่อนที่จะรู้สึกชื้นในเมื่อเห็นว่ากชอินทร์กำลังนั่งอยู่บนโซฟาในห้องนั่งเล่นถัดไปไม่เท่าไหร่ สวมเสื้อยืดของผมกับกางเกงบ็อกเซอร์ขาสั้น ในมือมีโทรศัพท์ มันหันมามองหน้าผมเล็กน้อยก่อนที่จะหันกลับไป

       ผมเดินไปใกล้ สวมกอดมันด้วยความหวาดกลัว ซุกใบหน้าลงบนบ่าเล็กของอีกฝ่าย

       “ครับ ครับ... ผมขอโทษจริงๆ ครับ จะให้เสร็จภายในสองชั่วโมงนี้แน่นอน... ครับ”

       เสียงติดแหบของอีกฝ่ายเอ่ยเอื้อนกลับปลายสาย พูดคำว่าขอโทษซ้ำไปมาอีกราวสองสามนาทีก่อนที่จะวางโทรศัพท์มือถือลง มันไม่ได้หันมามองผมด้วยซ้ำไป

       “ทำไมตื่นแต่เช้า” ผมกระซิบ “นึกว่า...”

       “เงียบน่ะ” มันตัดบท พยายามแกะแขนของผมที่โอบเอวมันไว้หลวมๆ อยู่ “ไปทำงานเดี๋ยวนี้”

       “ฮะ?” เป็นผมเองที่ร้องออกมาเสียงฉงน

       กชอินทร์ผลักผมออก ปัดมือผมอย่างไร้เยื่อใย “ลืมไปแล้วรึยังไงฮะว่าต้องเขียนบทความ ไปเอามาเขียนเดี๋ยวนี้!” พูดเสียงดังเกือบจะเป็นตะคอกด้วยอารมณ์ฉุนเฉียว

       ผมนิ่งไปชั่วครู่ก่อนที่จะครางตอบรับในลำคอ คลับคล้ายคลับคลาว่าจะมีเรื่องเช่นนั้นจริงๆ เสียด้วย มันตีท่อนแขนผมอีกทีเมื่อเห็นว่าผมไม่กระตือรือร้นจะขยับไปไหน

       “พีท!”

       ผมต้องเป็นบ้าแน่ๆ... ที่แค่มันเรียกชื่อผมเหมือนเดิมก็ทำให้ผมยิ้มกว้างได้ขนาดนี้

       อินทร์ถลึงตามองผม เอื้อมมือทำท่าจะประทุษร้ายกันอีกรอบจนผมต้องจับมือของมันกันไว้ก่อนและยื่นหน้าเข้าไปใกล้ มันผงะไปนิดหน่อย แววตาของอีกคนจ้องผมกลับอยู่สักพักหนึ่งก่อนที่จะผลุบลงต่ำ ผมเลื่อนสายตาไปที่ใบหูของมันที่เริ่มจะแดงขึ้นมาก่อนที่จะวาดยิ้มบางๆ

       “ไปเฝ้าหน่อย...” เอ่ยออดอ้อนอีกฝ่ายด้วยความสุข

       มันสบถคำหยาบออกมาเบาๆ แล้วพูดกับผมในที่สุด “ก็ต้องเฝ้าสิ ถ้าอู้อีกจะทำยังไง” คำพูดยืดยาวแปลความหมายได้ว่าตกลง

       ผมดึงมือขึ้นให้มันลุกขึ้นยืน สังเกตได้ตอนนั้นเองว่ามันค่อนข้างทุลักทุเลจากเรื่องเมื่อคืน อา... ให้ตาย ผมคิดว่าผมถนอมมันมากแล้ว แต่ยังไงบริบทของมันก็ทำให้มันเสียเปรียบอยู่ดี ผมเลือกที่จะประคองมันไว้หลวมๆ ไม่อยากแสดงอาการให้อีกฝ่ายเห็นมากเพราะกลัวมันจะหงุดหงิดแล้วพยายามทำอะไรอวดดีออกมาในเวลาที่ร่างกายไม่เอื้ออำนวย

       กชอินทร์นั่งลงบนเตียงอย่างกระอักกระอ่วน มันเบี่ยงเบนความเขินของมันโดยการสั่งให้ผมไปทำงานทั้งที่หน้าของมันแสดงออกมาให้เห็นอย่างชัดเจน

       เรื่องเมื่อคืนผมไม่ได้ฝันจริงๆ...

       คำใดที่มันพูดออกมาเป็นสิ่งที่ผมได้ยินจริงๆ ฝ่ามือของมันได้ผมได้สัมผัสก็เป็นเรื่องจริง ร่างของมันที่ผมตระกองกอดไว้ก็เป็นของจริง ยิ่งคิดถึงเรื่องพวกนั้นยิ่งทำให้ผมมีความสุข ช่วงเวลาที่แสนอึดอัดก่อนหน้านี้แตกต่างกับตอนนี้โดยสิ้นเชิงแม้ว่าผมจะต้องนั่งพิมพ์บทความบนคีย์บอร์ด พอเสียงเคาะเงียบหายไปหน่อยก็โดนอีกฝ่ายโวยวายขึ้นมาเสียงดังว่ารีบทำต่อสิ

       ผมอยากจะหยุดเวลาเหล่านี้เอาไว้

       เก็บเวลาที่เหมือนฝันนี้ไว้ให้นานที่สุด...ก่อนที่จะต้องตื่นขึ้นสู้กับความเป็นจริง



       ผมให้ไฟล์งานที่เสร็จสมบูรณ์กับอีกฝ่ายหลังจากนั้นเกือบชั่วโมง

       อินทร์เอาโน๊ตบุ๊คของตนเองมาทำงานต่อบนเตียงของผมในห้องของผมขณะที่มันใส่ชุดของผม พอได้มองมันหลังได้สติจริงๆ ทำให้ผมรู้สึกอุ่นไปทั่วหัวใจ ผมนั่งมองมันอยู่พักใหญ่โดยไม่เข้าไปใกล้มากเพราะโดนมันทำร้ายร่างกายทุกครั้งเวลาผมเข้าใกล้มันมากกว่าหนึ่งเมตร

       อินทร์หน้านิ่วคิ้วขมวดแทบจะตลอดเวลายามจ้องหน้าจอ มันแทบไม่ขยับส่วนไหนนอกจากมือสองข้างและปลายนิ้ว บางทีก็ส่งเสียงจิ๊จ๊ะในลำคอออกมา เป็นแบบนั้นอยู่นานทีเดียว ผมไล่สายตาไปที่ต้นคอ รอยฟันของผมประทับอยู่บนนั้นราวกับเป็นตราจองว่ามันเป็นของผมแล้ว ยิ่งมันเป็นคนผิวขาวซีดยิ่งเห็นได้ชัดแต่ผมค่อนข้างมั่นใจว่ามันยังไม่เห็น ไม่เช่นนั้นมันต้องด่ากราดผมเป็นแน่

       “เลิกจ้องได้ไหม”

       “ไม่” ผมตอบในทันที

       อีกฝ่ายนิ่งเงียบไปชั่วครู่ มันเม้มริมฝีปากเข้าหากันและกัดปากล่างแบบที่ชอบทำแล้วหันไปสนใจกับหน้าจอตรงหน้ามันต่อ

       ผมไม่เข้าใจตัวเองว่าทำไมต้องทำตัวเหมือนคนบ้า นั่งจ้องมันเป็นชั่วโมงโดยไม่ขยับตัวไปไหนแต่ผมละสายตาไปจากมันไม่ได้ ทั้งๆ ที่มันนิ่งอยู่ตรงนั้น นานทีเดียวจนผมรู้สึกว่าตัวเองหิวแล้วเลยเอ่ยปากถามว่ามันอยากจะกินอะไรเป็นอาหารเช้าและเดินออกมาทำอาหาร

       วันนี้ไอ้เก้ไม่ได้มาปลุกผม มันอาจจะคิดว่าผมคงทำงานดึกหรืออะไรก็แล้วแต่ ผมแอบแวบไปดูมันที่เตรียมเปิดร้านก่อนทำอาหารเสร็จ

       “ทำไมวันนี้เฮียเหมือนผีบ้าเลยวะ”

       ถ้าไม่ติดว่าอารมณ์ดีมันอาจจะโดนผมต่อยปากแหก แต่เพราะอารมณ์ดีผมเลยไม่ได้ทำอะไร สั่งงานมันนิดหน่อยก่อนที่จะเดินออกมา ตอนเดินเข้าไปอาบน้ำอินทร์ก็ยังคงทำงานอยู่ในท่าเดิม

       “อาหารเสร็จแล้วนะ”

       “อื้อ” มันตอบรับสั้นๆ

       พอเดินออกมาผมก็เหลือบมองมันเป็นระยะ อินทร์ไม่ละสายตาจากจอเลยจริงๆ ผมเลยบอกมันว่าถ้าทำงานเสร็จค่อยออกไปทานข้าวก็ได้ มันตอบรับนิดหน่อย ส่วนผมได้แต่เดินออกมาทานข้าวคนเดียวเพราะไม่อยากกวนมัน คิดไปคิดมาไอ้คนสร้างปัญหาให้กชอินทร์มันก็คือผมเองนี่นา จะไปเสนอหน้ามากก็ดูไม่ค่อยดีเสียด้วย รั้งจะทำให้มันหงุดหงิดมากขึ้นเสียด้วยซ้ำ

       หลังจากผมทานข้าวเสร็จเกือบครึ่งชั่วโมงมันถึงจะเดินออกมา

       “ไม่ต้องเข้ามาเลยนะ” อินทร์กัดฟันขู่ตอนที่ผมจะเดินไปช่วยพยุงมันออกมา

       เห็นไหม...บอกแล้วว่ามันไม่ชอบอะไรแบบนี้จริงๆ

       ผมไม่ได้พูดอะไร ถอยหลังกลับมานั่งเหมือนเคย อินทร์เดินมานั่งแล้วกินอาหารเช้าง่ายๆ ที่ผมเตรียมไว้ให้โดยไม่เอ่ยปากพูดอะไรออกมาแม้แต่นิดเดียว

       “งานโอเคไหม”

       อีกฝ่ายพยักหน้า “วันหลังไม่เอาแบบนี้อีกแล้วนะ”

       “เลตไปกี่ชั่วโมง?” ผมถามอย่างรู้สึกผิด “ตอนนั้นไม่ได้บอกว่าสี่ทุ่มเหรอ”

       “มีเผื่อเวลาไว้นิดหน่อย” อินทร์ตอบกลับมาแค่นั้นด้วยสีหน้าไม่พึงพอใจนัก “แต่มันก็เลตไปอยู่ดีนั่นแหละ” มองผมเหมือนจะบอกว่านั่นมันคือความผิดของผมนั่นแหละ ซึ่งผมเองก็ไม่สามารถปฏิเสธได้

       พวกเราตกอยู่ในความเงียบพักใหญ่จนมันทานอาหารเสร็จ ผมเป็นฝ่ายอาสาว่าจะล้างจานให้และมันก็นั่งรออยู่แบบนั้น พอเสร็จผมถึงได้กลับมานั่งตรงกันข้ามมัน มองตามัน

       รอยยิ้มมันค่อยๆ จางหายไป อินทร์ผลุบตาลงต่ำ ริมฝีปากของมันเม้มเข้าหากันไม่แตกต่างจากผม

       ถึงเวลาที่เราเลี่ยงมาตลอด

       ผมรู้ดี เราต่างไม่พูดถึงสิ่งที่ควรพูด เราไม่คุยกันว่าเราจะทำอย่างไรต่อไป เราแค่โยนความเป็นจริงทิ้งไว้ด้านหลัง แต่ถึงเราจะไม่พูดมันต้องมีบ้างที่เราจะคิดถึงมัน หลังจากนี้เราจะทำอะไรต่อ เรารักกันได้หรือยัง ช่วงเวลาที่มีแต่ความเงียบตอนที่ผมจ้องมองมัน คำถามเหล่านี้มันผุดขึ้นมาทุกครั้ง

       เมื่อคืนผมไม่ได้คิดตอนที่ตระกองกอดบอกรักมัน แต่ผมตระหนักได้ว่ามันยังมีใครอีกคน พริมาคือคนนั้น และผมไม่กล้าจะร้องขอมันว่าทิ้งอีกฝ่ายมาหาผมซะ การคบกับผู้หญิงทำให้มันไม่มีปัญหากับน้อง ไม่เหมือนสิ่งที่มันจะเกิดขึ้นถ้าหากมันคบกับผม

       แต่ผมไม่อยากจากมันไป ไม่เคยอยาก...ไม่เคยต้องการ

       “อินทร์...” ผมเป็นคนทำลายความเงียบเหล่านั้นก่อน

       เจ้าของชื่อเงยหน้าขึ้น มันพยายามจะยิ้มแต่มันเป็นรอยยิ้มที่โง่ที่สุดเท่าที่ผมเคยเห็นจากมัน

       “ยังคิดว่าจะหลอกกันได้อีกหรือ”

       เหมือนคำถามของผมทำให้ความพยายามของอีกฝ่ายหมดลง มันก้มหน้า มือทั้งสองข้างกำเข้าหากันแน่นวางอยู่บนโต๊ะ นั่นยิ่งยืนยันว่าที่ผมคิดน่ะถูกแล้ว ไม่ใช่พวกเราลืมแต่พวกเราแค่ไม่พูดมันออกมาเท่านั้น

       “ขอโทษนะ” เสียงของมันแผ่วเบาเหมือนกระซิบ

       “...อินทร์” ผมหลับตาลง สูดลมหายใจลึก “จะหนีอีกแล้วใช่ไหม”

       มันไม่ยอมตอบอะไร

       ไม่มีคำพูดใดหลุดออกมาจากริมฝีปากนั่น อินทร์นิ่งเงียบ มีเพียงเสียงลมหายใจที่ทำให้ผมรู้ว่ามันยังมีตัวตนอยู่ตรงหน้า นี่มันไม่ผิดไปจากความคิดเลย

       “เรา...ยืดเวลาไปมากกว่านี้ไม่ได้เหรอ” ผมถามคำถามโง่ๆ ออกมา

       อีกฝ่ายส่ายหน้า นั่นทำให้ผมถอนหายใจอย่างจนปัญญา

       เวลาแห่งความฝันจะจบลงเท่านี้หรือ เรากำลังจะต้องหยิบสิ่งที่โยนทิ้งไปเมื่อคืนกลับมาใช่หรือไม่ นี่คือผลลัพธ์ที่เราไม่คุยกันมาสิบปีเหรอ เรามีสิทธิ์มีความสุขอยู่แค่เวลาไม่ถึงยี่สิบสี่ชั่วโมงงั้นหรือ

       ผมจะไม่ยอมให้เป็นแบบนั้น

       มือของผมเลื่อนไปกุมมืออีกฝ่าย คลายมันออกเบาๆ เพื่อให้มันจับมือของผมไว้ เอ่ยถามออกมาด้วยน้ำเสียงที่นิ่งเรียบที่สุด

       “จะหนีจริงๆ เหรอ...” เสียงของผมแผ่วเบาอย่างน่าสมเพช “อย่าไปได้ไหม”

       “มันยาก...” คำตอบของมันถูกหยิบยื่นด้วยน้ำเสียงแหบพร่า “มันยาก... เมื่อคืนก็บอกไปหมดแล้วไม่ใช่หรือ...”

       ผมสูดลมหายใจลึก ใช่ มันบอกแล้ว และผมเองก็ทำความเข้าใจว่าเรื่องเหล่านั้นมันยากเย็นเท่าไหร่ที่จะยอมรับ แล้วผมเองก็มั่นใจว่ากชอินทร์ต้องแบกรับภาระมากกว่าที่ผมคิดแน่นอน

       แต่ว่า...

       “มันอาจจะช้าไป... แต่ช่วยเชื่อกันหน่อยได้ไหม”

       ผมพูดคำนี้ช้าไปไหมนะ

       ถ้าตอนนั้นผมพูดมันไปตั้งแต่ต้น บอกว่าเราจะผ่านเรื่องเหล่านั้นไปด้วยกัน ตอนนี้จะเปลี่ยนไปไหม เราจะเสียเวลาเป็นสิบปีหรือเปล่า

       ผมไม่รู้และคิดว่าเราไม่มีโอกาสจะรู้ มันย้อนเวลาได้ที่ไหน ที่ผ่านมาผมตั้งคำถามไปทำไม

       อีกฝ่ายตัวสั่นเล็กน้อย มันไม่พยายามที่จะให้ผมปล่อยมือแต่กำมือผมไว้แน่นกว่าเดิม ผมได้ยินเสียงสูดลมหายใจเหมือนกับพยายามตั้งสติ มันไม่พยายามพูดว่าเป็นไปไม่ได้หรือถ้อยคำที่รั้งให้เรารู้สึกแย่กว่าเดิม มันทำเพียงรับฟังผมอย่างเงียบๆ และเงยหน้าขึ้นมา

       “ผ่านมันไปด้วยกันได้ไหม”

       ผมกลั้นหายใจอยู่นานตอนพูดคำนั้นออกมา รอคอยคำตอบด้วยใจลุ้นระทึก ผมอาจจะร้องไห้ได้เลยถ้าหากมันปฏิเสธบอกว่าเรื่องระหว่างเรามันเป็นไปไม่ได้

       จนสุดท้าย กชอินทร์พยักหน้าเล็กน้อยเหมือนจะตอบรับ นั่นทำให้ผมลุกขึ้นเดินไปด้านหลังมัน โอบกอดมันไว้ให้แน่นที่สุด จับมือมันไว้ให้มั่นที่สุด กระซิบคำพูดบอกมันว่าผมจะอยู่กับมันตรงนี้

       นี่อาจจะเป็นสิ่งที่ควรทำตั้งแต่ต้น... ไม่ใช่การตั้งคำถามและคาดคั้นหาคำตอบ แต่เป็นการบอกมันว่าผมอยู่ตรงนี้ พูดให้มันฟัง ทำให้มันไว้ใจผมมากพอที่จะเอนกายซบผมยามที่มันอ่อนแอที่สุดและผ่านช่วงเวลาที่อาจจะเลวร้ายที่สุดไปด้วยกันโดยไม่ปล่อยมือกัน

   
   
       ผมกับอินทร์แทบไม่ได้ติดต่ออะไรกันอีกแม้ว่าเราตกลงว่า ‘จะผ่านมันไปด้วยกัน’

       ผมปลอบใจตัวเองว่าอย่างน้อยมันก็ไม่ได้หายไปอย่างไร้สาเหตุ กชอินทร์บอกผมว่ามันยุ่งกับงานบรรณาธิการ อย่าโทรหรือติดต่อไปในช่วงสัปดาห์นี้เลย ผมไม่รู้ว่ามันเป็นคำโกหกหรือเปล่าแต่เพื่อที่จะสบายใจ ผมเลือกที่จะเชื่อว่ามันเป็นแบบนั้นจริงๆ

       ฝั่งนั้นกำลังยุ่ง ผมเองก็ไม่แพ้กัน ตกลงเพิ่มเมนูตามที่พ่อครัวได้เสนอมาแล้ว ผมเองก็วุ่นกับการจัดการบัญชีอะไรหลายอย่างในช่วงอาทิตย์นี้ไม่แพ้อินทร์นั่นแหละ

       หลังจากจบอาทิตย์ตามที่อีกฝ่ายบอกผมก็เลือกที่จะโทรหาอีกคน แต่มันเริ่มทำให้ผมกระวนกระวายใจเมื่อการโทรไปหามันและปรากฏว่าสายไม่ว่างตลอดเวลา ไลน์ไปไม่ตอบ

       ใช่ ผมกระวนกระวาย ผมหวาดกลัว ผมนึกถึงคำพูดถามมันว่ามันจะไม่หนีไปใช่ไหม

       วันนั้นผมติดต่อมันเป็นร้อยๆ สายด้วยซ้ำแต่เบอร์ที่เมมไว้ไม่สามารถช่วยอะไรผมได้เลย

       เช้าวันถัดมาผมตั้งใจว่าจะไปหามันที่สำนักพิมพ์หลังจากดูแลร้านเรียบร้อยแล้ว เพราะไอ้เก้โทรมาบอกว่าติดธุระตอนเช้า ลูกจ้างอีกคนก็ลาออกไปแล้วและผมยังหาคนใหม่มาแทนไม่ได้ แน่นอนว่าผมไม่สามารถปล่อยให้คุณจีระวิ่งวุ่นทั้งทำอาหารและรับลูกค้าคนเดียวก็ไม่ได้เสียด้วย

       ผมนั่งมองนาฬิกา ทุกครั้งที่ว่างก็หยิบโทรศัพท์ เกือบเที่ยงแล้วแต่ไอ้เก้ไม่โผล่หัวมาสักที นั่นยิ่งทำให้ผมอยู่ไม่สุข

       ผมอยากเจออินทร์ อยากจะกอดมันไว้เพราะผมไม่ปรารถนาให้มันหนีผมไปอีกเป็นครั้งที่สอง มันหนีมามากพอแล้ว

       กริ๊ง

       ผมรีบหันไปที่ประตู ตอนแรกผมนึกว่าจะเจอไอ้เก้วิ่งกระหืดกระหอบมาแต่ผมกลับคิดผิด

       หญิงสาวที่เป็นลูกค้าเดินเข้ามาหาผมในชุดกางเกงและเสื้อที่ดูเป็นทางการเล็กน้อยรวมถึงรองเท้าส้นสูง เธอคลี่ยิ้มให้ผมและเอ่ยปากทักทายด้วยริมฝีปากสีส้มนั่น

       “สวัสดีค่ะพี่พีท”

       ผมสูดลมหายใจเข้าปอดลึก มองอีกฝ่ายด้วยความไม่เข้าใจ ไม่มีเหตุผลที่เธอจะมาปรากฏตัวแล้วยิ้มให้ผมแบบนี้ ไม่มีเลยแม้แต่น้อย

       “พริมา?”

       “ขอบคุณที่จำชื่อได้ค่ะ” เธอพยักหน้าให้เล็กน้อย “ฉันจะมาเป็นบก. คนใหม่ของพี่พีทนะคะ”

          ผมรู้สึกเหมือนโดนค้อนปอนทุบหัวเข้าอย่างแรงกับคำพูดนั้น เธอพูดอะไร ผมไม่เข้าใจเลยแม้แต่อย่างเดียว ทำไมทุกคนชอบทำให้ผมเป็นคนโง่นัก โดยเฉพาะคนที่เกี่ยวข้องกับอินทร์ เหมือนพวกเขารู้ทุกเรื่องแต่ผมไม่เข้าใจอะไรแม้แต่น้อย

       “อินทร์ล่ะ”

       เธอวาดยิ้มอีกครั้ง “ฉันเลยมาหาคุณถึงนี่ไงคะ”


   

------------------------------------------------------------
วันพรุ่งนี้จะเปิดเทอมแล้วค่ะ  :z3:
หลังจากนี้จะอัพช้าลงหน่อยนะคะ ขอโทษด้วยค่ะ
(ตอนนี้ขึ้นม.หกแล้ว ช่วงเวลาพีคสุดในชีวิตเลย ฮาา)

อีกไม่นานเรื่องนี้ก็จะจบแล้วค่ะ  :katai5:

ออฟไลน์ BlueCherries

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4060
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +159/-17
อินทร์ไปไหน หนีอีกแล้วเหรอ?

ออฟไลน์ oaw_eang

  • Global Moderator
  • เป็ดHades
  • *
  • กระทู้: 8418
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2122/-586
พระอินทร์บินขึ้นฟ้าไปล่ะ

ออฟไลน์ Celestia

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 833
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +16/-0
มัน หน่วง มากกกก เรื่องของเรื่องเราว่ามันเพราะความปากหนักของทั้งคู่นี่ล่ะ

ออฟไลน์ B52

  • เป็ดZeus
  • *
  • กระทู้: 13215
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +420/-26
จะเกิดอะไรขึ้นอีก

ออฟไลน์ ka[ze]na

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 3767
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +192/-6
ค้างจนน่าอึดอัด...

ออฟไลน์ Vermouth

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 77
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +8/-0
อะไรยังไง อินทร์ไปไหน แล้วพริมาไหงอยู่ดีๆ จะมาเป็นบก.แทนอินทร์ล่ะนั่น
มีความรู้สึกได้ว่าพริมาอาจจะไม่ใช่แฟนอินทร์จริงๆ ก็ได้ แต่อินทร์แค่โกหกเพื่อจะให้พีทตัดใจ
แต่เอาเถอะ อะไรก็เอา ขอแค่พีทกับอินทร์ยืนหยัด และ "จะผ่านมันไปด้วยกัน" ก็พอ

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ pharm

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 240
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +12/-1
ดราม่าแรง เราเสียนํ้าตาจนแสบตาหมดแล้ว

 :mew6: 

คึดว่าจะจบมาม่าแล้ว ยังมีต่ออีกหรือนี่ :ling3:

ออฟไลน์ bobby_bear

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 419
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +46/-5
สนุกมากเลยคับ
เพิ่งม.ปลายเองแต่เขียนเรื่องสนุกมาก สำนวนก็ดี เนื้อเรื่องก็สนุก นี่อ่านรวดเดียวเลย

ออฟไลน์ Lovelyjess

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 110
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +7/-0
มาม่ายังงไม่หมด จะหน่วงไปตลอดเลยใช่มั้ยเนี่ย

ออฟไลน์ NINEWNN

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 317
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +105/-4

CHAPTER 18

“I won't run, I won't fly
I will never make it by without you, without you”

(Without You - David Guetta)



       เจ้าหล่อนดูรู้อะไรเยอะ...อย่างน้อยๆ ก็น่าจะมากกว่าที่ผมรู้อยู่ตอนนี้

       ตอนแรกผมนึกลังเลใจ จะทิ้งเธอไว้แล้วหาทางไปหากชอินทร์ที่สำนักพิมพ์เลยน่าจะดีกว่าแต่เจ้าหล่อนกลับยิ้มให้ผม บอกด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย

       “ฉันคิดว่าคุณน่าจะรู้อะไรก่อนที่จะไปหาอินทร์”

       แน่นอนว่าผมลังเล ผมไม่สามารถมั่นใจว่าพริมาเป็นผู้หญิงที่สามารถเชื่อถือได้แม้ว่าเธอจะมีรูปลักษณ์ที่สวยแต่เรื่องจริงคือเธอเป็นคนที่กชอินทร์เรียกว่าเป็นคนรัก อย่างไรก็ตาม ความรู้สึกของผม...มันไม่ใช่แบบนั้น เวลานั้นเองที่ผมเลือกจะเชื่อความรู้สึกตัวเอง

       เพราะฉะนั้นผมเลยตกลง เชิญเธอมานั่งที่โต๊ะมุมหนึ่งในร้าน สั่งไอ้เก้บอกว่าให้นำเครื่องดื่มและขนมหวานมาเสิร์ฟ แม้พริมาจะบอกว่าไม่จำเป็นแต่ผมก็ไม่สนใจ

       “ขอโทษที่เรียกพี่พีทนะคะ แต่จริงๆ แล้วเราอายุเท่ากัน” นั่นเป็นประโยคแรกที่เธอพูดหลังจากเรามานั่งมองหน้ากัน เธอยิ้ม ในขณะที่ผมไม่สามารถยิ้มได้ “ฉันติดจากในแฟนเพจน่ะค่ะ”

       ผมไม่ได้ตอบอะไร นั่นไม่ใช่เรื่องสำคัญเลยแม้แต่น้อย เธอจะเรียกชื่อผมว่าอะไรก็ช่างเพราะในใจผมนึกกระวนกระวายคิดย้อนไปถึงคำพูดของเจ้าหล่อนก่อนหน้านี้ เธอบอกว่าเป็นบรรณาธิการของผม เธอมาหาผม ยิ้มให้ผมและยังไม่ตอบคำถามเกี่ยวกับอินทร์ให้ผมฟังเสียอีก

       ยิ่งเห็นเธอยิ้มยิ่งชวนให้ผมนึกร้อนใจ “อินทร์ไปไหน”

       “ใจเย็นๆ ค่ะ” เธอเอ่ยห้ามเสียงเรียบ “ค่อยๆ คุยกันดีกว่านะ”

       “พริมา”

       เจ้าของชื่อวาดยิ้ม “เรียกพริมก็ได้ค่ะ เราจะได้รู้จักกันอีกยาว”

       “จะเป็นพระคุณมากหากคุณช่วยอธิบายเรื่องตอนนี้” ผมถอนหายใจออกมาอย่างเหนื่อยหน่าย กองไฟสุมในอก ในหัวคิดแต่เรื่องเกี่ยวกับคนที่ไม่สามารถติดต่อได้

       จังหวะนั้นเองที่ไอ้เก้เอากาแฟกับคุกกี้มาเสิร์ฟ มันทำท่าเหมือนอยากเสนอหน้าเต็มแก่แต่ยังรู้จักมารยาทมากพอที่จะจัดการทุกอย่างให้เสร็จและหลบไปอยู่มุมหนึ่งของร้าน ผมส่งสายตาปรามมันเล็กน้อยจนมันเลิกสนใจ เดินเข้าไปในครัว

       “ฉันมารับช่วงต่อเป็นบก. ของคุณ”

       “มันหมายความว่ายังไง” คำถามของผมไม่ใช่คำถามประชดประชัน ผมไม่เข้าใจที่เธอพูดจริงๆ

       “เรื่องย้ายแผนกของฉันเพิ่งได้รับการอนุมัติน่ะ” เธอว่าพลางยกแก้วกาแฟที่เพิ่งเสิร์ฟมาแถวจมูก สูดดมกลิ่นและจิบเล็กน้อย “พอดีก่อนหน้านี้ฉันเป็นบรรณาธิการให้ไลน์นิยายรักน่ะค่ะ ฉันยื่นคำขอย้ายแผนกมาสักพักแล้วแต่ไลน์นิยายรักวุ่นวายนิดหน่อย ถึงไลน์เรื่องเล่าจะขาดคนดูแลแต่ฉันก็ปลีกตัวไปไม่ได้จริงๆ” พริมาอธิบายมันอย่างใจเย็น

       คิ้วของผมขมวดเข้าหากัน นี่เธอกำลังจะบอกว่าเธอเป็นบรรณาธิการในสำนักพิมพ์ที่เดียวกับอินทร์อย่างนั้นหรือ นี่มันค่อนข้างจะพูดยากเสียเหลือเกิน ผมไม่เคยรับรู้เรื่องนี้มาก่อนเลย ข้อมูลเกี่ยวกับพริมาเท่าที่ผมรู้คือผู้หญิงสวยที่เป็นแฟนกชอินทร์เพียงเท่านั้น

       “คุณรู้หรือเปล่าคะ...” เธอวางแก้วลง เงยหน้าขึ้นสบตากับผมอย่างตรงไปตรงมา “จริงๆ อินทร์ทำงานฝ่ายการตลาด”

       ผมส่ายหน้าแทนคำตอบ พริมาพยักหน้า ดูเธอไม่แปลกใจเท่าไหร่

       “พี่มิ้น บก. คนเก่าของคุณออกไปทำให้ตำแหน่งว่างอยู่ จริงๆ เขารอให้ฉันเข้าไป แต่ฉันก็ยังวุ่นกับไลน์งานเก่า คุณเลยเป็นนักเขียนคนเดียวที่ไม่มีบก. ดูแลตอนนั้น”

       “...”

       “มันไม่ใช่ ‘เรื่องบังเอิญ’ หรอกค่ะ ที่อินทร์เสนอตัวเข้าไปช่วย”

       ผมไม่เข้าใจ...

         คำพูดของเธอไม่ได้ทำให้ผมรู้สึกเข้าใจอะไรขึ้นมา แต่มันเหมือนกับการจุดประกายความหวังเล็กๆ ในใจ คำว่า ‘ไม่บังเอิญ’ ของเจ้าหล่อนหมายความว่าอย่างไร

       ผมนึกย้อนไปถึงวันแรกที่ได้เจอมันหลังจากไม่ได้เจอมาร่วมแปดปีนับตั้งแต่เราจบมัธยมหก ตอนนั้นมีเพียงความบังเอิญที่ตลกร้าย ผมไม่เคยคิดมาก่อนว่ามันไม่ใช่ความบังเอิญ ผมเข้าใจว่ามันเกลียดผมจนไม่อยากเจอหน้า ไม่มีความจำเป็นใดๆ ที่อินทร์จะต้องตั้งใจให้เราเจอกันอย่างที่พริมาบอก

       “จริงๆ แล้วแม่ของพวกเราเป็นเพื่อนกัน แล้วก็... มันกระดากนิดหน่อย แต่ฉันมีเส้นกับเจ้าของสำนักพิมพ์” เธอดูลำบากใจที่จะพูดอะไรเช่นนี้ “ตอนนั้นทุกคนต่างวุ่นวาย อินทร์เป็นคนขอให้ฉันช่วยให้มันทำงานให้คุณแค่ช่วงเวลาสั้นๆ ก่อนที่ฉันจะเคลียร์งานเก่าจบ”

       “...”

       “จริงๆ มันยากนะ แต่ตอนนั้นงานฝ่ายนั้นล้นมือ อะไรๆ เลยง่ายขึ้น แค่ย้ายอินทร์ออกจากแผนกการตลาดชั่วคราวมันก็เลยทางสะดวก”

       ริมฝีปากผมบดเข้าหากันแน่น

       “ผมไม่เข้าใจ” เสียงของผมแหบเล็กน้อย “จะบอกว่าอินทร์... รู้แต่แรกแล้ว...”

       เธอเดาะลิ้น พยักหน้าให้ด้วยรอยยิ้ม “อินทร์วิ่งเข้าหาคุณเอง มันไม่มีเรื่องบังเอิญแบบในนิยาย”

       กชอินทร์ต้องการอะไร...

       นั่นเป็นคำถามที่ผุดพรายขึ้นมาในความคิด ถ้ากชอินทร์เป็นคนวิ่งเข้าหาผมจริง ทำไมมันต้องทำตัวเหมือนพร้อมจะวิ่งหนีออกจากผมตลอดเวลา ถ้ามันวิ่งเข้าหาผมจริง ทำไมมันต้องเป็นฝ่ายหันหลังยามผมหันกลับไปเรียกชื่อมัน

       อินทร์กลัว

       นั่นเป็นคำตอบที่ผมคิดเข้าข้างตัวเอง ผมไม่รู้ว่ามันใช่หรือไม่ แต่ผมคิดว่าใช่...อินทร์กลัวและกังวล ปัญหาครอบครัวของมันไม่ใช่เรื่องน้อยๆ

       “คุณพริมา”

       “พริม” เธอแก้

       ผมบดริมฝีปากของตนเข้าหากัน ผ่อนลมหายใจออกมาอย่างแผ่วเบา “คุณรู้เรื่องของผมกับมันมากแค่ไหน?”

       คนตรงหน้าชะงักไปนิดหน่อย เจ้าหล่อนนิ่งไปชั่วครู่เหมือนกับจะเรียบเรียงความคิดก่อนที่จะตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงที่ยังคงเส้นคงวา

       “ก็ไม่รู้เหมือนกันค่ะ แต่คิดว่ารู้เยอะพอดู” ริมฝีปากเคลือบลิปสติกเค้นยิ้มออกมาให้เห็น

       ผมกลืนน้ำลาย คำถามต่อไปผุดขึ้นมาในหัวแต่ไม่กล้าที่จะเอ่ยถามออกไป ผมกลัวคำตอบพอๆ กับสายตาที่ดูเหมือนจะมองทุกอย่างออกอย่างทะลุปรุโปร่งของเธอ ผู้หญิงคนนี้น่ากลัวกว่าที่ผมคิดไว้นัก ไม่รู้ว่าเพราะแต่ละครั้งที่เจอกันเราได้คุยกันน้อยหรืออย่างไรผมเลยมองไม่ออก

       คิ้วของผมไม่คลายออกง่ายๆ เจ้าหล่อนยกกาแฟขึ้นจิบอีกครั้ง

       “แต่ฉันแค่อยากให้พี่พีทช่วยหน่อยน่ะค่ะ” เธอเอ่ยออกมาเสียงเรียบ “อินทร์ไม่มาทำงานสองวันแล้ว...”

       “ฮึ?” ผมส่งเสียงร้องด้วยความแปลกใจ

       “มันก็ไม่ได้แปลกอะไรขนาดนั้นหรอกค่ะ แต่เขามาบอกสาเหตุจริงๆ ที่ลาหยุดงานกับฉันน่ะ”

       ผมเอาลิ้นดุนดันที่กระพุ้งแก้มตอนที่เจ้าหล่อนนิ่งไปเล็กน้อยคล้ายกับลังเลใจที่จะบอก ‘สาเหตุ’ ที่เธอว่ากับผม ผมเกือบจะหลุดปากบอกให้พริมารีบพูดมันออกมาแล้วแต่เธอยอมขยับปากบอกผมก่อน

       “อินทร์ทะเลาะกับที่บ้าน”

       ผมเม้มริมฝีปากเข้าหากัน

       ...นั่นเป็นเรื่องที่ยากที่สุด เรื่องครอบครัวกับกชอินทร์ มันยากเกินไปจริงๆ

       ขณะที่ความคิดต่างๆ ว่าผมสามารถทำอะไรได้บ้างวิ่งแล่นเข้ามาในหัว พริมาก็พูดต่อ

       “รบกวนช่วยไปดูมันให้หน่อยได้ไหมคะ”

       ผมนิ่งไปชั่วครู่

       ไม่ใช่ว่าคิดจะปฏิเสธ ผมไม่มีทางทิ้งมัน...บอกแล้วว่าเราจะผ่านมันไปด้วยกัน เพียงแต่ผมกำลังคิดอยู่ว่ามันเป็นธุระอะไรของผู้หญิงคนนี้

       ถ้าหากเจ้าหล่อนมีสถานะคนรัก เหตุใดไม่ไปดูแลมันเองเสียล่ะ?

       “พริมา” เจ้าของชื่อแย้งอีกหน บอกให้ผมเรียกเธอด้วยชื่อเล่นเสียแต่ผมปล่อยมันผ่านไป “คุณเป็นอะไรกับอินทร์กันแน่?”

       คนตรงหน้าชะงักไปชั่วครู่ คิ้วของเจ้าหล่อนเลิกขึ้นเล็กน้อยก่อนที่จะตามมาด้วยเสียงหัวเราะในลำคอราวกับไม่รู้สึกแปลกใจที่ผมถามคำถามนี้

       “เป็นเพื่อนตอนเรียนมหา’ ลัย เป็นเพื่อนร่วมงาน เป็นลูกเพื่อนแม่...” เธอเว้นไปชั่วครู่ “แล้วก็ไม้กันหมาค่ะ”

       ผมไม่อยากจะถามเลยว่า ‘หมา’ ที่ว่าหมายถึงใคร

       เพียงแต่พอเจ้าหล่อนพูดแบบนี้กลับทำให้ผมรู้สึกหัวใจพองโต ความสิ้นหวังและความรู้สึกเหมือนกับมืดแปดด้านค่อยๆ จางหายไป แสงประกายริบหรี่ฉายให้เห็น แม้มันจะไม่ชัดเจนมากแต่ผมอยากจะเชื่อความรู้สึกตัวเอง ผมไม่อยากจะทิ้งเรื่องราวเหล่านั้นไปอีกแล้ว

       บางเรื่องมันง่ายแสนง่าย หากแต่เราเองที่ปิดทางออกของมัน

       ผมหวังว่าเรื่องของกชอินทร์กับน้องชายจะเป็นแบบนั้นเหมือนกัน

   

       ผมคิดว่าพริมาเกินคำว่าคาดไม่ถึงไปมากโขแล้วจริงๆ

       หลังจากเธอคุยกับผม บอกให้ผมสงบสติอารมณ์เธอก็บอกวิธีการไปคอนโดชื่อดังแห่งหนึ่งแถมยังยื่นกุญแจให้อีกหนึ่งดอกพร้อมกับบอกว่ากชอินทร์ไม่ได้อยู่บ้านตั้งแต่ขึ้นมหา’ ลัย ตอนแรกไปอยู่หอ พอเริ่มทำงานและสร้างตัวได้สักพักก็ซื้อคอนโดมาอยู่คนเดียว ผมไม่นึกแปลกใจ ตอนที่ไปส่งอินทร์ที่บ้านก็จำได้ว่าห้องของมันแทบจะไม่มีของอะไรที่บ่งบอกว่ามันอาศัยอยู่ที่นู่นเลยแม้แต่น้อย ส่วนสาเหตุ ผมคิดว่าก็คงไม่ไปไกลเกินกว่าเรื่องความเบาะแว้งระหว่างมันกับน้องชายนั่นแหละ

       เธอบอกผมว่าเธอไม่สะดวกที่จะพาผมไปส่ง เพราะฉะนั้นผมต้องไปเอง พร้อมกับกำชับอะไรที่เกี่ยวกับงานเขียนของผมในฐานะบรรณาธิการจนผมนึกหวาดหวั่น แต่เธอก็ยังใจดีพอที่จะบอกผมว่ารีบไปเคลียร์เรื่องนี้ให้เสร็จเสีย จะได้กลับมาทำงาน

       “ฉันคิดว่าอินทร์ต้องโกรธแน่ที่รู้ว่าฉันเป็นคนบอกคุณ”

       เธอพูดประโยคนั้นโดยที่ยังยิ้มด้วยซ้ำไป กลับกลายเป็นผมเองที่ต้องยิ้มเจื่อน “อินทร์เครียดมากเลยหรือ”

       เจ้าหล่อนพยักหน้า “ก็มากอยู่ แต่เวลาแบบนี้...อินทร์คงไม่ได้ต้องการเพื่อนหรอก” เธอแตะไหล่ของผมเล็กน้อย “ฝากมันด้วยนะคะ งานเหลืออีกเยอะเลยทีเดียว”

       ผมยิ้ม ไม่มั่นใจว่าเจ้าหล่อนเป็นห่วงอินทร์หรือห่วงงาน อันที่จริงก็ยังนึกข้องใจกับความสัมพันธ์ของทั้งสองอยู่แต่ก็ไม่ได้ถามออกไป ผมเก็บเรื่องเหล่านั้นไว้ คาดว่าหลังจากเคลียร์เรื่องทุกอย่างเสร็จคงจะต้องถามกับอินทร์

       เจ้าหล่อนบอกว่าจะนั่งที่ร้านอีกสักพัก ผมบอกไอ้เก้ว่าไม่ต้องคิดเงินเธอ ดูแลร้านไปก่อนอีกไม่นานจะกลับมา แล้วจึงได้ออกจากบ้าน

       คอนโดของกชอินทร์ห่างจากบ้านของผมค่อนข้างมาก อยู่กันคนละฝั่งของกรุงเทพฯ ด้วยซ้ำไป ผมขับรถด้วยความร้อนใจ ต้องขอบคุณที่รถโล่งกว่าปกติ อาจจะเป็นเพราะมันไม่ใช่ชั่วโมงเร่งด่วนผมเลยไปถึงที่นั่นเร็วกว่าที่ตนเองคิดไว้ ตอนแรกยามหน้าคอนโดทำเหมือนไม่ไว้วางใจผมนัก แต่พอผมบอกว่ามาหาเพื่อน ห้องไหน แถมยังมีกุญแจเข้ามาอีกเขาก็ปล่อยให้เข้ามาเพียงแต่ต้องแลกบัตรประชาชนไว้

       ผมขึ้นลิฟต์ไปที่ชั้นซึ่งพริมาบอกไว้ มือก็กดโทรศัพท์ไปด้วย กชอินทร์เป็นข้อยกเว้นของทุกอย่าง มันทำให้ผมคิดมากอย่างที่ไม่เคยคิด กังวลแบบที่ไม่เคยทำ ห่วงมันมากกว่าที่เคยทำกับทุกคน

       พอเจอห้องที่บอกไว้ผมก็กดกริ่ง ต่อให้รออยู่ก็ไม่มีคนมาเปิด ผมจึงถือวิสาสะใช้กุญแจที่ได้รับมาเสีย ตอนแรกผมก็นึกกังวลว่าพริมาคงไม่ทำอะไรแผลงๆ กับผมใช่หรือไม่ แต่เปล่า กุญแจนั้นเปิดได้จริงๆ

       ผมก้าวเข้าไปในห้องอย่างเงียบเชียบ สายตาสำรวจข้าวของที่วางข้างหน้าอย่างระเกะระกะผิดวิสัยคนเจ้าระเบียบอย่างมัน เดินเข้าไปก็เห็นโต๊ะกินข้าวเป็นอย่างแรก และสิ่งของบนโต๊ะนั่นทำให้ความหวาดกลัวเข้าเกาะกุมหัวใจผมทันที

       บนโต๊ะมีแต่เม็ดยากับแผงยาที่ว่างเปล่าใกล้ๆ

       “กชอินทร์!” ผมเรียกชื่อมันด้วยความร้อนใจ

       ผมกลัว... กลัวจนแทบตั้งสติไม่ถูก รีบเดินไปเปิดประตูบานใกล้ให้เร็วที่สุด ผมต้องเจอมัน ต้องหามัน นั่นคือสิ่งเดียวที่คิด

       เบื้องหลังประตูนั้นเป็นห้องนอน ผมสบถออกมาเสียงดังเมื่อเห็นว่าอินทร์นั่งหัวเปียกอยู่บนเตียงด้วยกางเกงตัวเดียว สีหน้าดูตกใจแต่กลับซีดเซียวจนผมต้องรีบสาวเท้าเข้าไปใกล้

       “ทำอะไรไปฮะ!” ผมตวาดอย่างเหลืออด “กินยาอะไรไปรึเปล่า!”

       คิ้วของมันขมวดเข้าหากัน “มาได้ยังไง?”

       “ถามว่ากินอะไรเข้าไปรึเปล่า! คิดสั้นรึยังไง!”

       ริมฝีปากของมันบดเข้าหากัน “เปล่า...” มันปฏิเสธเสียงแผ่ว “ทำไม่ลง...”

       “...อินทร์” ผมเรียกชื่อมันอย่างอ่อนใจ เอื้อมมือไปสัมผัสเส้นผมที่เปียกโชกกับเนื้อตัวที่ยังเย็นอยู่เล็กน้อยของมัน คิดว่าอินทร์คงเพิ่งจะอาบน้ำ อย่างไรก็แล้วแต่ นั่นไม่ใช่สิ่งที่ผมสนใจเลยแม้แต่น้อย ผมแนบใบหน้าลงกับแก้มเย็นๆ ของมัน โอบแขนรั้งร่างของมันไว้ “อย่าทำแบบนี้อีกนะ...”

       “...”

       “ขอร้องล่ะ” ผมพูดเสียงสั่น อินทร์เปราะบางเกินไป ไม่ได้พูดถึงแง่ของร่างกายแต่พูดถึงในแง่ของจิตใจ อินทร์เปราะบางเหลือเกิน เปราะบางจนผมไม่กล้าจะกอดมันไว้แน่นเพราะกลัวว่ามันจะแหลกสลายไปต่อหน้าต่อตา “รับปากได้ไหม”

       “อื้อ...” มันซุกใบหน้าลงบนไหล่ผม “แค่คิดว่าอาจจะไม่ได้มีชีวิตอยู่ต่อ...กูก็กลัว”

       “...”

       “ตอนนั้นเอ็กซ์กินยาไปได้ยังไงนะ” เสียงของมันแผ่วเบาคล้ายกระซิบพรอด “กูทำให้มันเจอเรื่องแบบนั้นได้ยังไง... กูเป็นพี่ที่แย่มากใช่ไหม ทำให้มันรู้สึกแย่จนคิดว่าตายไปดีกว่า...”

       “ไม่เป็นไร” ผมเอ่ยกับมันอย่างแผ่วเบาแต่หนักแน่น ย้ำคำเดิมให้มันฟังซ้ำไปซ้ำมา “ไม่เป็นไร”

       อินทร์แบกรับความรู้สึกไว้มากมายแค่ไหน ต้องยอมรับว่าผมเองก็ไม่รู้ ความจริงมันโหดร้ายและบิดเบี้ยวมากเกินไป คงจะยากที่จะคืนรูปร่างกลับมาเป็นความสัมพันธ์อันดีของมันกับน้องในเร็ววัน ผมเลือกที่จะยังไม่ถามอะไรแต่หย่อนกายนั่งข้างๆ มัน รั้งมันให้ทิ้งตัวลงบนร่างผม ทำให้มันพักพิงผมยามอ่อนแรง

       “ไม่เป็นไรนะอินทร์...” ผมกระซิบ “กูอยู่ตรงนี้นะ”

       ...ผมหวังว่าเราจะผ่านมันไปด้วยกัน


ออฟไลน์ B52

  • เป็ดZeus
  • *
  • กระทู้: 13215
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +420/-26
ลุ้นด้วยใจระทึก

ออฟไลน์ sirin_chadada

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4110
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +114/-8
เอาใจช่วยเป็นอย่างยิ่ง
เป็นกำลังใจให้คนเขียนจ๊ะ

ออฟไลน์ Vermouth

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 77
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +8/-0
นั่นแง่ะะะะะ พริมไม่ได้เป็นแฟนอินทร์ แถมยังเป็นเพื่อนที่ดูจะเข้าใจและคอยช่วยเหลืออินทร์ ดีมากกกก
แต่เรื่องครอบครัวเนี่ยล่ะ หนักจริง เฮ้อ เข้าใจทุกฝ่าย เข้าใจน้องเอ็กซ์ด้วย ถ้าจะไม่รับไม่ได้ก็ไม่แปลก ฮือออ
แต่ขอแค่อินทร์กับพีทเข้าใจกัน มันก็น่าจะต้องมีทางออกบ้างนะ

ออฟไลน์ ammchun

  • Don't Worry,Be Happy
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1389
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +54/-4
มันทั้งอึดอัดและหน่วงดีจริงๆ เราสงสารเอ็กซ์

ออฟไลน์ eye-lifestyle

  • พรุ่งนี้ไม่เคยมีจริง
  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 385
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +35/-0

ออฟไลน์ milkteabeige

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 336
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +16/-0
หน่วงสุดอะไรสุด แต่ก็วางไม่ลง อยากรู้อยากเห็น
ถึงกับถอนหายใจตอนที่อ่านถึงตอนล่าสุด ถึงยังไม่คลี่คลาย แต่ก็เบาใจลง

ขอมารอตอนต่อไปด้วยคนค่ะ

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ oaw_eang

  • Global Moderator
  • เป็ดHades
  • *
  • กระทู้: 8418
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2122/-586
โถ่ พ่อคุณ

ออฟไลน์ Celestia

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 833
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +16/-0
พริมมาเหนือมากค่ะ อึ้งไปเลยอะ 5555 เราว่าเธอคนนี้นี่ล่ะที่จะมาช่วยให้ทุกอย่างคลี่คลาย

ออฟไลน์ suck_love

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 780
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +34/-1
 :hao5: ขอให้เอ็กซ์เข้าใจอินทร์ด้วยนะ
ปรับความเข้าใจกันเถอะนะ

ออฟไลน์ EoBen

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3306
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +150/-6
อยากให้ประบความเข้าใจหะบเอ็กซ์ค่ะ ห่วงความรู้สึกทั้งสองคน

ออฟไลน์ kautumn

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 437
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +36/-0
สนุกดีคะ อย่างน้อยถ้าอินทร์ไปขอโทษเอ๊กซ์ทุกอย่างอาจจะดีขึ้นนะ คอยลุ้นต่อไปค่ะ

ออฟไลน์ badbadsumaru

  • ♡ caramel macchiato
  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2458
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +91/-2
อินทร์กับเอ็กซ์เคยคุยกันยังล่ะ
ลองเปิดใจคุยกันดูไหม เผื่อจะดีขึ้น

ออฟไลน์ pannuna

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 449
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +7/-0
หน่วงทุกตอนค่า เราว่าทุกอย่างมันอยู่ที่อินทร์เป็นคนแบบนี้นะ ไม่พูดไม่จา
รู้สึกดีที่พริมเป็นแค่ไม้กันหมา

ออฟไลน์ zombi

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1385
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +63/-5
พี่น้องไม่เข้าใจกัน ก็ต้องคุยกันนะ
ตัวเองก็รู้สึกผิดอยู่ตลอด จะปล่อยเวลาให้ผ่านไปอีกทำไม
มีกันแค่สองคน รักกันไว้เถอะ

ออฟไลน์ oaw_eang

  • Global Moderator
  • เป็ดHades
  • *
  • กระทู้: 8418
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2122/-586
หายไปหลายวันแล้วนะ

ออฟไลน์ NINEWNN

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 317
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +105/-4

CHAPTER 19

““When I touch you like this and I hold you like that
It's so hard to believe but it's all coming back to me”

(It's All Coming Back To Me Now - Celine Dion)



       รอบนี้อินทร์ไม่ได้ร้องไห้ฟูมฟาย มันแค่นั่งพิงไหล่ผมเงียบๆ และผมเองก็ปล่อยให้มันทำอย่างนั้นด้วยความสมัครใจ บางเวลาการที่เรานั่งข้างกันโดยไม่พูดอะไรอาจจะเป็นสิ่งที่ดีที่สุด ผมนึกตลกตัวเองที่เคยเกลียดความเงียบเวลาอยู่กับมัน แต่คิดไปคิดมาแล้ว ตอนนั้นกับตอนนี้มันต่างกันมากโข

       ความเงียบน่าอึดอัด...เมื่อมีคนอยากจะพูด

       เคยได้ยินคำพูดนี้มาบ่อย และผมมั่นใจแล้วว่ามันเป็นเรื่องจริง ตอนนั้นผมคิดว่ามันเองก็อยากพูด แต่พูดไม่ได้เพราะสาเหตุต่างๆ ที่ไม่เอื้ออำนวย ส่วนผมก็เฝ้ารอว่าเมื่อไหร่มันจะพูดเสียที ความเงียบระหว่างเราในตอนนั้นเลยน่าอึดอัดเสียเหลือเกิน

       เราไม่ได้พูดอะไรอยู่นานทีเดียว จนสุดท้ายแล้วกชอินทร์ก็เป็นคนเอ่ยปากขึ้นมาก่อน  “สรุปแล้วมานี่ได้ยังไง?”

       “พริมาบอก” ผมตอบไปตามจริง เกลี่ยผมของมันเล่นอย่างนึกสนุกมือ “ไปเป่าผมไหม เดี๋ยวทำให้” อีกฝ่ายขยับกายหนีด้วยสีหน้าปูเลี่ยน เห็นแล้วชวนนึกขันในใจ มันสบถออกมาเบาๆ คิดว่าน่าจะด่าทั้งผมทั้งพริมา “ถามได้ไหม? ทำไมต้องโกหกกันด้วย”

       พอผมถามแบบนี้มันก็ผงะไปนิดหน่อย อินทร์ทำท่าทีลำบากใจที่จะพูดจนผมต้องถอนหายใจ

       “ช่างเถอะ ไม่อยากพูดก็ได้” ผมลูบศีรษะมันเบาๆ

       “มัน...” คนตรงหน้าอึกอัก พูดเสียงเบาทั้งยังหลบสายตากัน “ตอนนั้น...ไม่รู้จะทำยังไงนี่นา...”

       ผมระบายยิ้ม บอกกับมันว่าไม่เป็นไรอีกครั้งก่อนที่จะเอ่ยปากถามถึงไดร์เป่าผม อินทร์บอกผมอย่างไม่อิดออด อันที่จริงมันไม่ต้องเป่าผมก็ได้ ผมของมันก็ไม่ได้ยาวเท่าไหร่ ขนาดผมบนหนังหัวของผมยาวกว่ามันตั้งเยอะยังไม่เป่าผมเลย ผมแค่หาเรื่องเบี่ยงเบนไม่ให้มันเศร้าใจก็เท่านั้น

       พอเดินไปหยิบไดร์เป่าผมมาเสียบปลั๊กและหันมามองมันดีๆ ก็เพิ่งจะตระหนักได้ ตอนนั้นกังวลใจจนไม่ได้ใส่ใจว่าตอนนี้กชอินทร์ใส่เพียงกางเกงขายาวตัวเดียว ซ้ำร้าย รอยกัดของผมบนต้นคอของมันยังเป็นรอยจางๆ ให้เห็นอีกต่างหาก

       ผมเผลอไล้ปลายนิ้วลงบนตำแหน่งนั้นเบาๆ กชอินทร์สะดุ้ง หันขวับมองผมก่อนที่จะเป็นฝ่ายหลบสายตาไปเอง

       “อย่ารุ่มร่ามได้ไหม” มันบ่นเสียงแผ่ว ใบหูเริ่มแดงขึ้นเรื่อยๆ ท่าทางน่ารักเหล่านั้นทำให้ผมกลั้นยิ้มไม่อยู่

       เหมือนอินทร์จะรู้ตัว มันลุกขึ้นจากเตียงนอนไปที่ตู้เสื้อผ้า หยิบเสื้อยืดแขนสั้นตัวเก่าตัวหนึ่งขึ้นมาสวม เห็นมันจับท้ายทอยอย่างไม่มั่นใจตอนเดินกลับมานั่งที่เดิม

       ผมแกล้งเย้าแหย่มันด้วยการทำเสียงราวกับเสียดายเต็มประดา (ต้องยอมรับว่าเสียดายจริงๆ...) เพียงเท่านั้นมันก็เม้มปากเข้าหากันแน่น

       “อย่าทำตัวแบบนี้ได้ไหมฮะ!”

       “โอเคๆ” ผมพยายามกลั้นหัวเราะ “ไม่เล่นแล้ว มานี่ เดี๋ยวเป่าผมให้” ผมตบตำแหน่งบนเตียงข้างๆ

       อินทร์ทำท่าหวาดระแวงแต่สุดท้ายก็เดินมาหย่อนกายนั่งแต่โดยดี มันผรุสวาทคำหยาบออกมาเป็นพักๆ ยามผมแกล้งเย้าแหย่ด้วยคำพูดและการกระทำ ผิวขาวซีดของมันเริ่มขึ้นสีบ้าง ผมไม่มั่นใจว่ามันคืออาการโกรธหรืออาย แต่ผมอยากตีความเข้าข้างตัวเองว่าเป็นแบบหลัง

       พอเสร็จแล้วอินทร์ก็ชวนผมเดินออกมาจากห้องนอน มันอาสาจะชงกาแฟให้ผม ส่วนผมใช้จังหวะนั้นในการสำรวจห้องของมันเสียมากกว่า

       อินทร์เป็นคนมีระเบียบมากก็จริงแต่ถึงกระนั้นก็ยังมีเนกไทสองสามเส้นวางพาดบนโซฟา โน๊คบุ๊ควางไว้บนโต๊ะกินข้าว หนังสือวางอย่างระเกะระกะไปหมด ส่วนใหญ่เป็นหนังสือของสำนักพิมพ์ที่มันทำงานอยู่นั่นแหละ แต่จังหวะนั้นเองที่สายตาผมเหลือบไปเห็นหนังสือเล่มคุ้นตา

       ชื่อของผมที่เขียนอยู่บนสันบอกว่าผมไม่ได้ดูผิดไป ผมวาดยิ้มออกมาเพียงเพราะจินตนาการว่ามันอ่านหนังสือของผม ถึงผมจะมาทำงานกับสำนักพิมพ์นี้เพียงหนึ่งปีแต่ผมก็มีหนังสือที่ได้ตีพิมพ์กับสำนักพิมพ์เล็กๆ มาก่อนสองสามเล่ม แถมเล่มที่เห็นนี่เป็นหนังสือเล่มแรก ผมจำได้ว่าตอนนั้นตัวเองดีใจแทบตาย แค่คิดว่ากชอินทร์มีโอกาสได้อ่านมันก็ทำให้ความสุขผมล้นปรี่

       “อย่าทำหน้าโรคจิตได้ไหม” เสียงของอีกฝ่ายดังขึ้นจากห้องครัว มันเดินมายื่นแก้วกาแฟใบหนึ่งให้ผม “ประสาทรึยังไงกัน”

       “เปล่า” ผมปฏิเสธ รับแก้วนั้นมาจิบเล็กน้อย ทันทีที่ปลายลิ้นรับรู้รสก็ได้แต่ยิ้มเจื่อน  กาแฟอะไรรสชาติอย่างกับน้ำเปล่า นี่มันคือกาแฟแน่หรือ...

       กชอินทร์ทำหน้าลังเลอยู่พักหนึ่ง สุดท้ายก็เอ่ยปากถามอ้อมแอ้ม “พริมบอกอะไรไปบ้างล่ะ” ว่าพลางหย่อนกายนั่งบนโซฟา

       “ก็มากอยู่” ผมเดินไปนั่งข้างๆ “สรุปเป็นอะไรกับคุณพริมากันแน่”

       “เพื่อน”

       “เพื่อนประเภทไหนคุยกันได้น่ารักขนาดนั้น” ผมอดไม่ได้ที่จะถาม ไม่คิดว่าคนเป็นเพื่อนจะคุยกันโดยการแทนตัวเองด้วยชื่อ ต่อให้อีกฝ่ายเป็นผู้หญิงก็เถอะ

       “เพื่อนแม่ไง” คิ้วของมันขมวดเข้าหากัน “ตอนแรกๆ เจอกันต่อหน้าแม่ จะให้เรียกไอ้อีกูมึงมันจะได้ที่ไหน” มันว่าเสียงเรียบ ตาเหลือบมองผมเล็กน้อยราวกับกังวล

       ผมพยักหน้า ไม่คาดคั้นอะไรอีกและขยับเข้าไปใกล้มันมากกว่าเดิม อินทร์ตัวเกร็งขึ้นมาในทันที ผมนึกสนุกยามที่มันเป็นแบบนี้ เข้าใกล้หน่อยก็ทำอะไรไม่ถูก สัมผัสหน่อยก็แดงไปทั้งตัว คุณกชอินทร์ที่ไม่เคยแสดงอาการคนนั้นหายไปไหนแล้วก็ไม่รู้

       ผมจับที่เอวของมัน รั้งร่างอีกฝ่ายให้ทิ้งลงบนตัวของผม มันตัวแข็งเหลือบตามองผมแล้วเม้มริมฝีปากแน่นจนผมนึกขัน

       “ปกติเป็นแบบนี้หรือ”

       “ใครกันแน่ที่ไม่ปกติน่ะ!” มันว่าพร้อมกับศอกที่พุงของผม กชอินทร์ใส่เต็มแรงแถมมันยังผอมจนข้อศอกค่อนข้างแหลม เล่นเอาเจ็บจริงไม่อิงนิยายกันเลยทีเดียว “เลิกเล่นได้แล้วน่า”

       “เปล่าเล่นสักหน่อย”

       ผมยื่นหน้าเข้าไปใกล้ มันผงะ ผมสัมผัสได้เลยว่าลมหายใจมันขาดช่วง อินทร์นิ่งไปพักหนึ่งก่อนที่จะผรุสวาทออกมายกใหญ่จนผมยอมแพ้เพราะมันง้างมือแล้ว ถ้าไม่ยอมอาจจะโดนประทุษร้ายได้

       พวกเราไม่ได้คุยอะไรกันอีก ผมสนุกกับการทำให้มันเบ้หน้า หูแดง ด่าผม ผมชอบยามมันแสดงอาการออกมาแบบนี้

       “ย้ายมาที่นี่ตั้งแต่เมื่อไหร่” ผมถามไปเรื่อย

       แต่คำถามนั้นกลับทำให้มันบดริมฝีปากเข้าหากัน “ตั้งแต่เริ่มทำงาน... กลับไปที่บ้านไม่ได้น่ะ” สีหน้าของมันดูแย่เล็กน้อย

       ผมเอ่ยขอโทษเสียงแผ่ว แต่มันกลับส่ายหน้าและพูดต่อ

       “กูกับน้องเข้าหน้ากันไม่ติดแล้ว” มันเอ่ยเสียงเรียบ รอยยิ้มบางๆ ถูกแต้มบนริมฝีปากแต่ผมคิดว่ามันทำเพื่อกลบเกลื่อนความรู้สึกที่อยู่ในใจ “เลยคิดว่าแยกกันอยู่น่าจะดีกว่า ถึงจะอยากไปหาแม่บ้างก็เถอะ”

       ผมพอจำได้ว่าอินทร์เป็นคนที่ติดแม่มาก อาจจะเป็นเพราะว่าพ่อของอินทร์ดุในขณะที่แม่ของอินทร์เป็นคนใจดี มันไม่แปลกหรอกหากมันจะรักคนที่โอ๋มันมากกว่า

       ผมไล้นิ้วมือ เกลี่ยผมของมันอย่างแผ่วเบาในขณะที่มันยิ้มเล็กน้อย

       “...ทำไมมันต้องเป็นแบบนี้นะ?”

       อินทร์พูดเสียงแผ่วเบา คล้ายจะถามกับอากาศมากกว่าผม มันพูดแค่นั้นและไม่ได้พูดอะไรอีก พนันได้เลยว่ามีความคิดต่างๆ แล่นอยู่ในหัวของมัน ไม่นานมันก็พูดต่อ

       “วันซืนที่ผ่านมาทะเลาะกับเอ็กซ์นิดหน่อย” ในที่สุดมันก็ยอมเล่า “ก็ทั่วไปแหละ เราทะเลาะกันบ่อยหลังจากตอนนั้น คุยกันดีๆ ไม่ค่อยได้ แต่พอย้ายออกมาก็ดีขึ้นบ้าง”

       “...”

       “แต่พอมันเจอมึงแล้วมันก็ทะเลาะกันง่ายขึ้น...”

       ผมรู้ว่าอินทร์ไม่ได้จะโทษผม แต่ผมคิดว่ามันก็เป็นเรื่องจริง ไม่แปลกเลยถ้าหากความสัมพันธ์ของพี่น้องจะถูกเวลาเยียวยา แต่แน่นอน เวลาแค่เยียวยา ไม่เคยทำให้ความจริงที่ว่าอินทร์กับน้องเคยมีปัญหากันหนักหายไป ถ้าเอ็กซ์เจอผมแล้วยิ่งทำให้เจ็บใจมันก็ไม่แปลกอะไรหรอก

       “มันบอกว่าไม่ยุติธรรม...” อินทร์พูดต่อ “บอกว่าทำไมคนที่เคยทำลายชีวิตมันถึงมีสิทธิ์มีความสุขได้ง่ายๆ”

       ผมก้มลง แนบริมฝีปากลงบนกระหม่อมมันอย่างรักใคร่ หวังให้อินทร์หยุดพูดเพราะคิดว่ามันไม่ได้อยากนึกถึงเรื่องเหล่านั้น

        “กูไม่ได้จะหนีนะ” มันพูดต่อ “แค่อยากจะขอเวลาทบทวนสักสองสามวันว่าจะเอายังไงต่อ”

       “อื้อ” ผมพยักหน้า ไม่กล้าว่าอะไรมันหรอก “...วันหลังอย่าเก็บไว้คนเดียวอีกนะ”

       อีกฝ่ายไม่รับปากจนผมต้องเลื่อนมือไปจับมือของมัน สุดท้ายมันก็พยักหน้า ตอบตกลงโดยไร้เสียงแทน “แล้วเราจะเอายังไงต่อล่ะ?”

       คำถามของมันทำให้ผมนิ่งเงียบ

       ผมเม้มริมฝีปากเข้าหากันแน่น ความคิดต่างๆ แล่นไปมาในหัว แม้ในใจจะมีสิ่งหนึ่งที่คิดว่ามันน่าจะเป็นหนทางการแก้ปัญหาที่ดีที่สุดอยู่แต่ผมก็ไม่กล้าพูดออกไป จนเห็นกชอินทร์มองกันด้วยสายตาเหมือนจะสิ้นหวัง ผมเลยอดคิดไม่ได้ว่าบางเรื่องมันก็ควรจะลองเสี่ยงดู

       “พากูไปที่บ้านมึงได้ไหม?”



       ผมเกร็งไปทั้งร่างตอนที่มองบ้านหลังใหญ่เต็มๆ ตา

       ครั้งแรกที่มาก็ตอนที่ยังสนิทกับมันอยู่ ครั้งที่สองก็ตอนที่มืด แต่จะครั้งไหนก็ไม่น่ากลัวเท่ากับครั้งนี้ รู้สึกเหมือนตัวเองแบกภาระไว้กับอก ไหล่มันหนักอึ้งเหลือเกิน

       แรกเริ่มตอนผมพูดว่าอยากไปที่บ้านมัน แน่นอนว่ากชอินทร์ไม่ยอม มันคัดค้านหัวชนฝาบอกว่าผมรั้งแต่จะทำให้เรื่องแย่ลง แต่พอผมพูดตามที่คิดกชอินทร์ก็ยอมอ่อนลง พยักหน้าอย่างจำใจ

       ‘กูไม่อยากปล่อยมึงผ่านไปโดยไม่ได้ทำอะไรอีกแล้ว’

       สิบปีที่ผ่านมาสอนผมมาเยอะ...ว่าผมไม่ควรอยู่เฉยๆ แล้วโทษชะตากรรม

       ถ้าหากเกิดอะไรขึ้นมาจริงๆ ผมจะได้ยอมรับได้ว่าอย่างน้อย ครั้งหนึ่ง ผมได้พยายามเต็มที่แล้ว

       คืนนั้นผมค้างที่คอนโดของอินทร์ เราใช้เวลาส่วนใหญ่กับการนิ่งเงียบแต่ไม่เฉยชา ผมกอดจูบ สัมผัส ปลอบประโลมมันด้วยมือที่กุมแน่นจนเราทั้งคู่หลับไป ตื่นเช้าพวกเราทานอาหารง่ายๆ ที่ผมตื่นมาทำ มันเป็นช่วงเวลาที่มีความสุขแต่พอเปิดประตูห้องออกเมื่ออินทร์ต้องไปทำงานช่วงเวลาที่แสนสุขเหล่านั้นก็ชะงักลง พวกเราต้องตระหนักถึงความเป็นจริงใหม่

       มันเป็นเรื่องตลกร้าย ราวกับว่าห้องของอินทร์ทำให้เวลาหยุดนิ่ง นั่นอาจจะเป็นสถานที่ซึ่งยืดเวลาแห่งความสุขของเราไว้ได้นานที่สุด

       ผมกับมันตกลงว่าจะไปที่บ้านอินทร์ช่วงวันเสาร์ มันบอกเป็นปกติที่มันจะไปหาแม่วันนั้น แต่อินทร์ก็ยังแสดงท่าทีกังวลใจให้เห็นราวกับว่ามันยังไม่มั่นใจว่าจะไปเจอหน้าน้องชายมันได้ ใช่... ผมมั่นใจว่ามันกังวลมาก

       เผลอแป๊บเดียวมันก็มาถึงวันที่เรานัดไว้ อินทร์มาหาผมที่ร้านและเลือกที่จะขับรถของมันไปที่บ้าน แม้จะอ้อมนิดหน่อยแต่คิดว่าแบบนี้คงจะดีกว่า พอมาถึงบ้านอินทร์กลับจอดรถไว้หน้าบ้านแล้วไม่ลงไปเสียที

       “เรากลับดีไหม” มันหันมาถามผม สีหน้าดูไม่ดีนัก “นี่มันไม่...”

       ผมตัดบทด้วยการเลื่อนมือไปกุมมืออีกฝ่าย อินทร์ชะงัก สูดลมหายใจลึก มองผมด้วยแววตาที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความกังวล “ไม่เป็นไรหรอก” ผมคิดออกแค่คำเดียว
   
       ริมฝีปากของมันบดเข้าหากัน ผมนึกอยากจะกดปากตัวเองลงบนนั้นแต่คิดว่าคงจะไม่ดี นี่ไม่ใช่เวลาทำอะไรเช่นนั้นเสียด้วย

       อินทร์นิ่งเงียบไปพักใหญ่จนผมเกือบจะถอดใจ สุดท้ายมันก็เงยหน้ามองผม พยักหน้าให้เล็กน้อยก่อนที่จะเปิดประตูลงไป ผมแทบจะกุลีกุจอลงตามมันไปด้วยซ้ำ อินทร์กระซิบบอกว่ากลัวตอนที่มันเปิดประตูบ้าน ผมเองก็ได้แต่ยิ้ม ผมเองก็กลัว กังวล ทุกอย่างปนเปกันไปหมด

       “คุณอินทร์ อุ๊ย... มีแขกหรือคะ” มีสาวใช้วัยราวสี่สิบเดินเข้ามาหาพวกมัน

       อินทร์พยักหน้า ฝ่ายสาวใช้เองก็แสดงทีท่าเกรงใจผมอย่างเห็นได้ชัด มันบอกกับเธอว่าไม่ต้องเตรียมการรับรองใดๆ จนผมตัวเกร็ง คิดว่ามันพูดเพราะกลัวว่าจะมีใครมาได้ยินมากกว่า

       ผมคิดทวนความคิดตัวเองแต่ความคิดนั้นหายไปทันทีตอนที่เดินตามอินทร์เข้ามาในบ้านและเห็นว่ามีใครนั่งอยู่ที่โซฟา

       เอ็กซ์ตอนแรกก็ยิ้มอยู่ดีๆ พอเงยหน้าขึ้นมาเจออินทร์สีหน้าก็เปลี่ยนไป และพอผมกับน้องสบตากัน แววตาของอีกฝ่ายยิ่งแข็งกร้าวมากขึ้น ที่น่ากลัวกว่านั้นคือการที่ข้างๆ กายน้องมีแม่ของกชอินทร์นั่งอยู่ด้วย

       ดูเหมือนอินทร์ก็ตกใจเหมือนกัน มันคงไม่คิดว่าเข้าบ้านมาแล้วจะเจอทั้งสองทันทีแบบนี้ มันหันกลับมามองผม คำว่ากังวลแปะอยู่บนหน้าผากจนผมต้องเลื่อนมือไปแตะปลายนิ้วมันเบาๆ

       “อ้าว พาเพื่อนมาด้วยหรือจ๊ะ” แม่ของอินทร์เป็นคนที่เอ่ยปากขึ้นมาคนแรก “ทานอะไรมารึยังลูก”

       “ทะ ทานแล้วครับ” กชอินทร์ตอบกลับ เสียงสั่นอย่างเห็นได้ชัด

       แม่ของมันพยักหน้า “งั้นเดี๋ยวแม่กับน้องกินข้าวก่อนแล้วกันนะ” ท่านว่าเช่นนั้นแล้วลุกขึ้น ไม่ลืมหันไปพูดกับลูกชายคนเล็ก “รอแม่ทำกับข้าวเดี๋ยวนะเอ็กซ์”

       “ครับ”

       ผมหายใจไม่ค่อยออกตอนท่านเดินออกจากห้อง และบรรยากาศมันหนักกว่านั้นเมื่อเหลือเพียงสามคน

       เอ็กซ์ลุกขึ้นจากโซฟา เดินตรงมาที่เราสองคนซึ่งขยับไปไหนไม่ได้ น้องตัวสูงแล้วยังแววตาเกรี้ยวกราด ดูโกรธมากพอที่ทำให้กชอินทร์ผงะถอยหลัง

       “คิดจะทำอะไร” เสียงเข้มเอ่ยออกมา “จะบ้าไปแล้วเหรอถึงพามาที่บ้าน!”

       “...” กชอินทร์ก้มหน้า ไม่เอ่ยปากเถียงใดๆ

       พอเป็นเช่นนั้นเอ็กซ์ก็หันมาทางผม “คุณก็เหมือนกัน คิดจะทำอะไรของคุณ มาที่นี่ทำไม!”

       ผมสูดลมหายใจลึก สบตากับคนอายุน้อยกว่าที่ดูเหมือนกำลังโกรธจัด ไม่สิ... ผมคิดว่าเขาโกรธจัดจริงๆ ถ้าหากผมพูดอะไรไม่ถูกใจแม้แต่นิดเดียวเราอาจจะมีเรื่องกันในทันที ทั้งที่คิดไว้แล้วความสัมพันธ์ระหว่างกชอินทร์กับน้องไม่ดีเท่าไหร่นัก แต่พอมาเจอจริงๆ ก็ทำเอาหายใจลำบากไม่ใช่น้อย

       แต่ถึงอย่างนั้น...

       ผมเลื่อนมือไปจับกุมมือที่สั่นไหวของกชอินทร์ อีกฝ่ายพยายามจะผละหนีแต่ผมไม่ยอมปล่อย

       สูดลมหายใจลึก ก่อนที่จะพูดออกมาเสียงหนักแน่น

       “ผมกับอินทร์...เราคบกันอยู่”

       “...!”

       “ช่วยยอมรับเรื่องของเราได้ไหม”





-----------------------------------------------------
ขอโทษที่มาช้านะคะ  :katai5:
ปล. ขอบคุณที่ไปแนะนำนิยายเรื่องนี้ในกระทู้แนะนำมาค่ะ แฮปปี้มาก TvT
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 28-05-2015 20:25:27 โดย NINEWNN »

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด