[24]-จบภาคเด็ก เสียงเรียกเข้าจากโทรศัพท์มือถือดังขึ้น ก่อนตามด้วยเสียงทุ้มๆของเจ้าของเครื่องที่กำลังขับรถอยู่หยิบขึ้นมากดรับ สรรพนามที่เรียกแทนตัวของอีกฝ่ายคือ ‘ป๊า’ เนื้อหาคงเป็นเรื่องงานที่ค่อนข้างสำคัญเพราะเห็นเอสตอบรับอยู่ตลอด แคปจึงยื่นมือไปเบาวอลุ่มจากเครื่องเสียงหน้ารถลงให้ เหลือบมองคนที่ยังคุยสายต่ออีกนิด นี่เป็นครั้งแรกเลยก็ว่าได้ที่แคปได้ยินเอสคุยสายกับคุณพ่อของเขาเรื่องงาน สีหน้าและน้ำเสียงที่เต็มเปี่ยมไปด้วยเสน่ห์แบบผู้ใหญ่นั้น เพิ่งจะเคยเห็นจริงๆจังๆเป็นครั้งแรก จินตนาการไม่ออกจริง ๆ ท่านรองประธานที่นั่งอยู่เบื้องหลังเก้าอี้ผู้บริหารตัวโตนั้นจะน่าดูชมขนาดไหน ทว่า...
เอี๊ยด!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!
รถเบรคลงอย่างแรงจนล้อยางเบียดพื้นถนนฝุ่นตลบไปหมด แคปนั่งตัวแข็งทื่อตาโตอยู่หลังสายเข็มขัดนิรภัยที่พาดรัด “มะ...มันจะตายไหมวะ” นั่นคือคำแรกหลังจากที่เขาตกใจจนหน้าซีด ขณะที่คนขับอย่างเอสนั่งนิ่งถึงกับทำโทรศัพท์มือถือร่วงตก เขาตกใจไม่แพ้คนข้าง ๆ จริงที่ว่าใช้โทรศัพท์ไปด้วยขับรถไปด้วยมันแย่มากและถือว่าผิดกฏหมาย ทุกครั้งเขาจะใช้ไวเลสอยู่แล้ว แต่วันนี้ถือว่าสะเพร่าใหญ่หลวง สมาธิถูกถ่ายเทมาที่บทสนทนา ความแม่นยำในการขับขี่จึงลดลง เพราะงั้นถ้ามองไม่ผิดไอ้ตัวกลมๆอ้วนๆที่มันวิ่งตัดหน้ารถไปเมื่อสักครู่ เป็นสิ่งมีชีวิตไม่ผิดแน่ เหยียบเบรคจนตัวโก่งไม่รู้ว่าป่านนี้นอนแอ้งแม๊งอยู่ใต้ท้องรถแล้วหรือเปล่า
“กูจะลงไปดูนิดนึงก่อน มึงอย่าเพิ่งเคลื่อนรถนะเผื่อมันจะยังอยู่ใต้ท้องรถเรา..” ทันทีที่แคปพูดถึงได้เรียกสติอีกคนให้กลับคืนมาเช่นกัน เอสพยักหน้าเบา ๆ แคปใจตุ๊มๆต่อมๆก้าวขาลงมามองหาไอ้เจ้าสิ่งที่มันจู่ ๆ ก็วิ่งตัดหน้ารถพวกเขา ถนนเส้นนี้รถราขวักไขว่ ถึงยามโพล้เพล้แบบนี้รถก็ยังถือว่าเยอะไม่น่าเชื่อว่าจะมีลูกหมาตัวอ้วนๆที่มาวิ่งเล่นบนท้องถนนไม่รู้จักกลัวอันตราย แคปก้มมองลงที่ใต้ท้องรถพอไม่เห็นอะไรก็โล่งใจขึ้นมา เขาบอกให้เอสเลื่อนรถเข้ามาจอดแอบตีไฟด้านข้างไว้ก่อน เพราะความรู้สึกที่ได้ยินเสียงตุ๊บไม่ผิดแน่ แต่มันคืออะไรกันเห็นไม่ชัดเพราะว่ารถที่ขับค่อนข้างเร็ว ในความโชคร้ายอาจจะยังพอมีโชคดีอยู่บ้างเพราะดูเหมือนเอสสามารถเหยียบเบรคลงได้ทันท่วงที ร่างสูงของคนขับก้าวลงมายืนอยู่ข้าง ๆ มองหน้าแคปถามหาสิ่งที่เขาคิดว่าน่าจะชนแต่แคปกลับส่ายหัวแล้วยักไหล่ คือว่าไม่เห็นอะไรทั้งนั้น ว่างเปล่ามาก
“แต่กูได้ยินเสียงนะ”
“นั่นสิ”
สองคนกำลังจะกลับขึ้นรถกันแล้วแต่ทว่าว่าเสียงเรียกแปลกๆที่ดังขึ้นอยู่ไม่ไกล สามารถดึงความสนใจของคนทั้งคู่ให้หันไปทางต้นเสียงได้พร้อม ๆ กัน
“งี๊ดๆๆๆ” ลูกหมาลาบราดอร์ขนสีครีมวัยน่าจะไม่เกินห้าหกเดือนยืนมองเขาสองคนตาละห้อย คิ้วที่ไม่มีอยู่แล้วของมันตกลู่ลงมา ใบหูเล็กปิดพับหลูบลงข้าง ๆ หน้าตาโง่ๆแต่ดูสัตย์ซื่อไม่เหมือนใครทำเอาแคปใจอ่อนยวบลงไปกอง
“มะ....มัน” พอพิจารณาดูดีๆแล้วสีและรูปร่างกลมๆอ้วนๆของมันน่าจะเป็นไอ้เจ้าสิ่งที่วิ่งตัดหน้ารถเมื่อตะกี้แน่นอน แคปรีบเดินเข้าไปดูใกล้ๆเพื่อตรวจสอบว่ามีบาดเจ็บตรงไหนบ้างหรือเปล่า เอสเองก็เดินตามไป ในตอนนั้นเองที่ตำรวจจราจรจอดแวะเข้ามาถาม เอสคุยกับนายตำรวจท่านนั้นนิดหน่อยพอรู้ว่าเป็นลูกสุนัขวิ่งตัดหน้ารถเขาก็ยิ้มสุภาพให้และบอกว่าเจ้าลูกหมาตัวนี้แม่มันเพิ่งถูกรถชนตายเมื่อวันก่อนอยู่ถนนฝั่งทางโน้น มันเป็นหมาลูกผสมระหว่างลาบราดอร์กับหมาไทยธรรมดา แต่ตัวนี้มันจะไปทางฝรั่งมากกว่าจึงดูน่ารักน่าชังและอ้วนกลม คนแถวนี้เลี้ยงมันอยู่ใต้ทางด่วนเอาอาหารมาให้บ้างน้ำบ้าง มีคนจะมาเอามันไปเลี้ยงหลายคนแล้วแต่มันจะวิ่งหนีไปแอบไม่ยอมไปด้วย ตอนกลางคืนก็จะไปนอนรอแม่มันอยู่ตรงที่แม่มันนอนตายนั่งจ้องอยู่แบบนั้นไม่ไปไหน ตำรวจท่านนั้นเห็นก็สงสารครั้นจะเอาไปเลี้ยงไว้เองก็ลำบากด้วยสถานที่และอะไรหลาย ๆ อย่าง ขณะที่พูดอยู่นั้นเจ้าหมาน้อยแทนที่จะเดินหนีไปมันกลับเดินเข้ามาหาแคปแล้วเงยหน้ามอง
“หมูอ้วนเจ็บไหม เมื่อกี้เราถูกรถพี่ชนรึเปล่าครับ โดนตรงไหนหรือเปล่า” แคปย่อตัวลงคุยกับมันพลางลูบหัวมันไปด้วย ทำท่าถามราวกับมันเป็นเด็กตัวเล็กๆ เอสที่ยืนอยู่ข้าง ๆ ได้ยินถึงกับหูกระตุกเลยทีเดียว ก็แคปมันเคยพูดจาน่ารักแบบนี้กับใครซะที่ไหน
“ดูเหมือนมันจะชอบพวกเธอมากนะ” นายตำรวจจราจรพูดขึ้นอีกครั้ง เขาก้มตัวลงไปลูบหลังมันด้วย “เธอชอบมันรึเปล่าล่ะ” เขาถาม
“ขอมือๆ เอ๊ะ ครับ?” แคปเงยหน้า ดูเหมือนเขาจะได้ยินคำถามอะไรสักอย่าง จากตอนแรกที่กำลังเล่นกับมันอยู่และดูท่าทางมันจะชอบเขามากๆ คุณตำรวจก็ก้มลงมาถามขึ้นอีก
“ถ้าชอบก็เอามันไปเลี้ยงเถอะนะ ดูๆไปแล้วมันน่าสงสารจริงๆ ถ้าพวกเธอไม่ได้ลำบากอะไรฉันก็อยากรบกวนขอให้ช่วย นึกเสียว่าทำบุญก็แล้วกัน มันวิ่งอยู่แถวนี้อันตรายมากไม่รู้จะเสี่ยงโดนรถมาชนเข้าวันไหน ปกติไม่เคยชอบคนที่จะมารับไปอยู่ด้วยเลยแท้ ๆ แต่กับพวกเธอเจ้าลูกหมานมสดนี่มันชอบใจเธอจริงๆ”
“มันชื่อนมสดเหรอครับ” คงเพราะสีขนแน่ ๆ แคปนึกไปพลางเงยหน้าถาม
“เปล่าไม่ใช่หรอก วันก่อนฉันได้ยินเด็กจรจัดแถวนี้เรียกมันว่าแบบนั้น เพราะว่าสีขนมันสวยเป็นสีครีมปนน้ำตาลอ่อนเหมือนนมสด แต่เด็กบางคนก็เรียกคุ๊กกี้โทบี้กรุ๊ฟฟี่นะ จริงๆแล้วมันเป็นหมาร้อยชื่อล่ะมั้ง”
“หมาร้อยชื่อ” เอสได้ยินถึงกับหัวเราะหึหึออกมา เขามองหน้าเจ้าลูกหมาอีกรอบ ความรู้สึกเอ็นดูจะเกิดอยู่แล้วเชียวถ้าหากว่ามันจะไม่กำลังตั้งอกตั้งใจเลียมือแคปอยู่ ดูดเอาดูดเอาอีกต่างหาก
“หมาโง่ต่างหาก” เอสสบถเบาๆในคอไม่อยากจะสน เขาสะกิดแคปบอกกลับกันได้แล้ว พอแคปพยักหน้าให้สายตาคมกริบเลื่อนไปมองไอ้เจ้าตูบอีกครั้ง มันทำหน้าโง่ๆเหมือนคนจะโดนทิ้งคราวนี้เสร็จเลยสิ แคปติดบ่วงมันเข้าจนได้ อ้อมแขนที่เขาหวงนักหวงหนาโอบอุ้มมันขึ้นมาแล้ว
“นี่อย่าบอกนะว่ามึง.....” เอสยังพูดไม่ทันจบ
“ถ้าอย่างนั้นผมก็ขอเอามันไปเลี้ยงเลยละกันนะครับ ถ้าคุณยืนยันว่าแม่ของมันไม่อยู่แล้วและมันเป็นหมาไม่มีเจ้าของจริงๆ”
“เอาเถอะถือว่าช่วยๆกัน อยู่แถวนี้ก็เสียดายชีวิตเปล่าๆ” นั่นคือคำพูดสุดท้ายก่อนที่สองคนกับอีกหนึ่งหมาจะขึ้นมานั่งยิ้มแป้นอยู่บนรถ
“ขอมือๆ ยื่นมือมาเร็วเข้า” แคปทำเสียงเล็กเสียงน้อย เขาจับมันนั่งตักกอดมันไว้แนบอกลูบไล้ขนนุ่มนิ่มของมันไปมา ไม่น่าเชื่อว่าจะเป็นหมาจรจัด เหมือนกับว่ามันชอบอาบน้ำทุกวันมากกว่า
“มึงจะเลี้ยงจริงเหรอเนี่ย” เอสหันมาถาม แต่พอเห็นว่ามันซุกหน้าอยู่ในอกแคปแล้วเขายิ่งขึ้น ปรี๊ดมากจริง ๆ แต่ก็อดทนไว้
“ที่คอนโดกูเลี้ยงได้เคยเห็นห้องชั้นล่างเขาเลี้ยงอยู่ จะปล่อยไว้ก็น่าสงสารนี่หว่า หรือว่ามึงจะเอาไปเลี้ยงล่ะ เอาไว้ห้องมึงดีไหม แล้วมึงก็กลับไปดูแลมันทุกวันจะได้ไม่ต้องว่ามาหากูไง”
“กูจะฆ่ามัน” เอสว่าหน้านิ่ง
“ไอ้คนใจร้าย” แคปสวนขึ้นทันที เขายิ่งกอดลูกหมาแนบชิด ทำท่าว่าหวงมากจนเอสไม่อยากจะสน แต่ทว่ามองแล้วก็ต้องมองอีกตาเขียว
“มันเป็นเพศอะไร” เอสหันมาถามเสียงดุๆ ลาบาดอร์ผสมอะไรมั่งวะทำไมถึงมีขนนุ่มนิ่มแล้วก็อ้วนจัดแบบนี้ พุงมันบดบังทุกอย่างไปหมด
“ตัวผู้” แคปพลิกดูจู๋มันแล้วบอก เอสหน้าหงิกขึ้นมาทันที
“กูเกลียดตัวผู้” เขาว่าเสียงขุ่นแคปรีบพาเจ้าตูบหันหนี ไม่อยากจะเสวนากับไอ้คนใจยักษ์
“อะไรเนี่ย มึงใจร้ายเรอะ”
“ใครสนล่ะ มึงต้องพามันไปฉีดยานะถ้าคิดจะเลี้ยง”
“เราต่างหาก เราต้องพามันไป..” แคปหันมาตอบหน้าตาเฉย สรุปว่าเย็นวันนั้นแทนที่จะได้ไปดินเนอร์หวานฉ่ำสวีทและด่ากันสองต่อสองกลับกลายเป็นว่าไปปรากฏตัวที่โรงพยายบาลสัตว์แทน รอให้ลูกหมาทำวัคซีนอาบน้ำเล็มขนทุกอย่างเรียบร้อยปาเข้าไปเกือบ ๆ สามทุ่ม เขาสองคนก็แค่นั่งกินข้าวแถว ๆ นั้น ร้านอาหารตามสั่งแบบง่าย ๆข้างทางทำเอาเอสหน้างอเป็นตะขอ
“ไว้วันหลังเดี๋ยวค่อยไปกินร้านที่มึงจะพาไปน่า วันนี้มันจำเป็นนี่ทำไงได้ล่ะ”
“..........”
“อย่าบอกว่างอนนะไอ้เอส”
“..........”
“มึงเป็นเด็กสามขวบเหรอวะ..” แคปย่นคิ้วถามหน้ายุ่ง ได้ยินแต่เสียงทุ้มแค่นเหอะอยู่ในลำคอ “ถ้ามึงเผลอเมื่อไหร่กูจะเอาเจ้าหมูตอนนั่นไปทิ้ง” แคปแทบสำลักน้ำ ตบหน้าอกตัวเองผั๊วะๆใช้สายตามองคนพูดอย่างเหยียดหยาม มันจะใจร้ายไส้ระกำไปแล้ว มันพูดจริงเหรอวะ แคปพลันนึกเรื่องดีๆบางอย่างออก
“แต่กูจะให้มึงเป็นตั้งชื่อน้อง”
“เรื่องสิ” เอสเถียงขึ้นมาทันที “กูจะเอามันไปทิ้งจะไปตั้งชื่อมันทำไมวะ” แคปกำลังจะพูดต่อแต่มีสายเรียกเข้าจากโรงพยาบาลบอกให้เขามารับเจ้าลูกหมาได้แล้ว สองคนออกจากร้านอาหารก็แค่เดินข้ามถนนมาอีกฝั่งทางเท่านั้น เอสยังไม่ยอมพูดจาอะไรต่อเลยจนกระทั่งไปรับเจ้าหมาร้อยชื่อออกจากร้าน มันแปลงโฉมแล้วน่ารักน่าหยิกตัวหอมฉุยขนฟูมากๆ พนักงานยังแซวว่ามันเป็นลาบาดอร์ที่น่ารักที่สุดตั้งแต่เคยเห็นหมาพันธุ์นี้มาเลย แคปเดินยิ้มร่าออกมาก่อนเร่งเอสให้กดเปิดรถเร็ว ๆ จากนั้นทั้งคนทั้งหมาก็เข้าไปนั่งเชิดหน้าอยู่บนรถเมอเซเดสคันโก้ แคปหันไปมองเสี้ยวหน้าคนขับตอนที่รถเคลื่อนตัวออกมาได้สักพักแล้ว
“มึงเป็นคนตั้งชื่อให้น้องนะ”
“ใครจะสน” เอสตอบหน้านิ่ง ในน้ำเสียงเจือไปด้วยความเย็นชา ไม่สนใจอย่างที่ปากว่าจริง ๆ แต่แคปไม่ยอมแพ้หรอก
“เอาเหอะน่า มึงตั้งชื่อเดี๋ยวกูเลี้ยงเองไง”
“กูไม่สนใจ กูไม่ตั้งชื่อและกูก็ไม่เลี้ยง กูจะเอามันไปทิ้ง” ถ้ามึงยังเอาแต่กอด สนใจแล้วก็อุ้มมันไว้ตลอดแบบนั้น เอสปรายสายตามองแคปอีกครั้ง คำพูดต่อท้ายนั่นคือสิ่งที่เขาคิดแต่ไม่ได้พูดออกมา
“มึงมันใจร้าย”แคปต่อว่าอีกครั้ง เอสส่ายหัว “ใครสนล่ะ”
“..........” แคปไม่อยากต่อปากด้วยแล้ว เขาก้มลงมองหน้าลูกหมาในอ้อมอก เพราะว่าไอ้เจ้าตัวเล็กเงยหน้ามองพวกเขาสองคนสลับไปมา แคปสอดมือเข้าลูบหลังมันเบา ๆ เมื่อมันซุกใบหน้าเหมือนหาที่พึ่งพิง เขาเองก็ไม่ได้ว่าจะรักจะชอบหมาอะไรมากนักหรอกแต่พอนึกว่าจิตใจของคนที่ขาดแม่และรอคอยมันว้าเหว่ขนาดไหนเขาก็นึกสงสารมันมากๆ แคปเอื้อมมือไปจับมือใหญ่ของเอสเข้ามาลูบหลังมันเบา ๆ ตอนแรกทางนั้นก็เล่นตัวนิดๆรั้งมือตัวเองไว้แต่สุดท้ายก็ต้องยอม แคปหันไปฉีกยิ้มให้เอสจึงผลักหัวเล็กนั้นเบาๆ ยอมแพ้เลยจริงๆ
“คูเปอร์” เสียงทุ้มพูดขึ้น แคปหันไปมองแววตาเต็มไปด้วยคำถาม “อะไร? นั่นชื่อมันเหรอ”
“ถ้ามึงชอบ”
“แน่นอนอยู่แล้วเนาะคูเปอร์เนาะ ขอบคุณครับพี่เอสก่อนเร็ว คูเปอร์ขอบคุณงับ!” แคปจับเอาอุ้งเท้าป้อมๆของลูกหมาขึ้นมาแตะใส่ฝ่ามือใหญ่ สายตาคมกริบเบนลงมามอง เขาปล่อยให้หนึ่งเมียกับหนึ่งหมาเล่นกับมือตัวเองจนพอใจ ไม่นานนักรถก็มาถึงที่หมาย น้ำลายเจ้าตูบเหนียวมือเป็นบ้า แคปดูเหมือนจะรู้รีบเอาเสื้อตัวเองมาเช็ดๆให้เป็นการใหญ่
“น้องสะอาดไม่เป็นไรหรอก”
“สะอาดนักล่ะ” คนฟังค่อนแคะ
“แล้วทำหน้าโหดทำไมวะเนี่ย น้องกลัวมึงจะแย่แล้ว” แคปต่อว่านิดๆตอนที่เข้าไปยืนกันอยู่ในลิฟต์
“ใครสน” เอสไม่รู้เขาพูดคำนี้กี่ครั้งแล้ว หันหน้าหนีไม่อยากเห็นภาพบาดตาหรอกว่าแคปมันโอ๋หมามากกว่าตัวเขา พอลิฟต์เปิดออกคนตัวโตเดินฉับๆไม่สนใจ
“เดี๋ยวๆ แล้วน้องจะนอนที่ไหน” ก่อนผลักบานประตูเข้าไปแคปรีบคว้าเอามืออีกคนไว้ ถามคำถามโง่ ๆ ที่ไม่รู้ว่าจะถามออกไปทำไม นี่มันห้องเขาเองแต่จำเป็นต้องขออนุญาตอีกคน ถ้าเข้าไปถามข้างในเดี๋ยวเกิดมีเรื่องด่ากันขึ้นมาอีก ก็สงสารเพื่อนอย่างไอ้ปอต้องทนนั่งฟัง
“ที่ไหนก็ได้ที่ไม่ใช่ห้องมึง”
“แต่ว่ากูอยากจะให้น้อง...”นี่คือจุดประสงค์หลักของเขาเลย
“ไม่มีแต่ คูเปอร์ต้องนอนนอกห้อง”
“แต่ว่า...” แคปหน้ายุ่งเหยิงยิ่งกว่าเก่า เอสก็แค่จ้องหน้าเขาแค่นั้น
“ถ้ามึงเอามันเข้ามานอนด้วย ตื่นมาหมาหายกูไม่รู้ด้วยนะ บอกไว้แล้วว่าจะเอามันไปทิ้ง คำพูดไหนของกูที่มึงไม่เข้าใจมั่งล่ะหื้อ”
“ไอ้เอส มึงแม่ง...”
“กูเกลียดหมาตัวผู้ บอกไปแล้ว”
“อะไร นี่ถ้าเป็นตัวเมียมึงจะชอบงั้นสิ”
“ตัวเมียยิ่งเกลียด”
“อะไรของมึงวะ”
“ตามนั้นแหละ” เสียงทุ้มตอบอย่างไม่ใส่ใจก่อนผลักบานประตูเปิดเข้าไป และคืนนั้นลูกหมาคูเปอร์ก็ต้องนอนเหงาแกร่วอยู่หน้าห้อง มันฉลาดมากรู้ว่าแคปกับเอสนอนที่ห้องไหนร้องเรียกงี๊ดๆอยู่ตลอดแคปก็ส่องออกมาดูมันตลอดเช่นกันจนเอสโมโหเขาจัดการส่งภาระนี้ให้กับปอบอกให้เป็นคนดูแล รายนั้นเอ๋อๆเบลอๆออกมาจากห้องไม่รู้เรื่อง พอเห็นคูเปอร์ก็ชมว่าน่ารัก แต่คูเปอร์ไม่ยอมจะเอาแคปท่าเดียว ปอเลยต้องนั่งเฝ้าจนมันหลับกว่าจะได้นอนปาเข้าไปตีสองกว่าๆซ้ำตอนเช้ายังต้องตื่นมาเก็บกวาดฉี่มันอีกด้วย
“ไอ้แคป! มึงมาเอาหมามึงออกไปจากห้องครัวเดี๋ยวนี้เลยมันกวนกูฉิบหายเนี่ยทั้งฉี่ทั้งอึ มึงต้องหาเชือกจูงมาพามันออกไปเดินเล่นสิวะ ฝึกขับถ่ายให้เรียบร้อยด้วยวู๊วกูเช็ดห้องจนจะเป็นลมแล้วเนี่ย ตื่นสักที!” เสียงปอโวยวายขึ้นมาแต่เช้า แคปงัวเงียหัวยุ่งปีนออกมาจากอ้อมกอดใหญ่ที่คุ้นเคยเดินออกมาดูเจ้าคูเปอร์
“งี๊ดๆ” เสียงคูเปอร์ดีใจวิ่งเข้ามาเลียเท้า มันกระดิกหางแล้วร้องงี๊ดๆต้อนรับ แคปก้มลงไปอุ้มมันขึ้นมาหอมเบาๆ
“หิวไหม...”
“มันคงตอบมึงได้หรอกไอ้แคป หาอะไรให้มันกินเลย อ้อแล้วก็ออกไปซื้อเชือกจูงมาด้วย”
“ไปตอนไหนเล่า เดี๋ยวก็ไปเรียนแล้วเนี่ย มึงก็ด้วยดิ”
“แล้วจะเอายังไง ตัวเองยังเอาตัวไม่รอดเสือกไปเอาหมามาเลี้ยง”
“เหอะน่า อย่าบ่นเป็นไอ้เอสสองนักเลยวะ” ปอหันมองเพื่อนตัวเองแล้วส่ายหัว มันก็แน่อยู่แล้วที่เอสจะบ่น เมื่อคืนเขาโดนเรียกให้มาโอ๋เจ้าคูเปอร์แทนแคปแล้วมองเพื่อนตัวเองถูกเอสลากเข้าห้อง เสียงตุ๊บตั๊บอื้ออ้าดังลอดออกมาก็รู้แล้วว่าแคปมันโดนทำโทษแน่ ๆ ปอหยิบเอานมจืดในตู้เย็นออกมาหนึ่งกล่องแล้วคว้าเอาถ้วยมาม่าพลาสติกที่ไม่ได้ใช้งานมาเทนมเย็นๆลงไป เจ้าคูเปอร์แค่ได้กลิ่นนมมันทำท่าดีใจแทบจะกระโจนลงไปกินหัวทิ่มถ้วย แคปจึงดุมันบอกให้ใจเย็นๆค่อยๆกิน สักพักเอสเดินหัวยุ่งออกมา หน้าตายังไม่ตื่นแท้ๆแต่คงลืมตาขึ้นมาแล้วไม่เห็นคนข้าง ๆ เขาจึงเดินออกมาดู
“เอาใจมันแบบนี้เสียนิสัยตาย” เสียงทุ้มประชดประชันมาจากโซฟาแล้วตัวคนก็เอนลงนอนยืดขาพาดยาวไปจนเต็มเบาะนุ่ม แคปจับเอากล่องกระดาษทิชชู่แถวนั้นปาไปใส่หัวเอสโดนเต็มๆเลย เจ้าตัวลุกขึ้นมานั่งกัดปากชี้หน้าแคปแล้วทำมือเชือดคอจากนั้นชี้ใส่ไอ้เจ้าลูกหมาคูเปอร์
“มึงไม่กล้าหรอกไอ้สัส ลองดิ” แคปด่าแบบไร้เสียง เอสก็แค่ทำหน้าโหดๆใส่ ปอสะกิดเรียกเพื่อนตัวเองให้หันมา “แล้วจะทำไงกับวันนี้ล่ะวะ มึงกับกูมีเรียนนะ บ่ายก็ยาวต่อเลยคงไม่บ้าพากูกลับห้องมาเอาข้างเอาน้ำให้มันหรอกใช่ไหม”
“กูไม่บ้าแบบนั้นหรอกน่า”
“ก็แล้วจะทำไงล่ะวะ มึงบอกแผนมาสิ”
แคปนิ่งไปพักนึงครุ่นคิด มือลูบหัวที่มีขนสีครีมของคูเปอร์ไปด้วย จากนั้นเขาจึงตอบคำถามปอโดยการมองไปที่เอสด้วยใบหน้าแสนเจ้าเล่ห์ ปอถึงกับผงะ “เดี๋ยวกูจัดการเอง”
ไม่กี่นาทีหลังจากนั้น แคปที่อาบน้ำจนเสร็จอยู่ในชุดเสื้อยืดสีขาวกางเกงยีนส์สีดำมองไปที่เตียง เอสมันเดินตามเข้ามาตั้งแต่ตอนที่เขาเข้ามาอาบน้ำแล้ว ตอนนี้ก็ยังนอนหลับสนิทอยู่ นิสัยชอบนอนคว่ำหน้าโชว์แผ่นหลังเป็นอะไรที่แคปมองเห็นจนชินชา
“กูจะไปเรียนแล้วนะมึง” แคปดึงเอาเสื้อช้อปออกมาพาดบ่าไว้ ก่อนเดินเข้าไปนั่งลงข้าง ๆ นึกๆดูแล้วแปลกใจอยู่นิดๆ เพราะปกติถึงไม่มีเรียนเวลาเดียวกันเอสมันกจะไม่พลาดไปส่ง น้อยครั้งจริงๆที่จะปล่อยให้เขาไปกับปอไม่ก็ขับรถไปเอง วันนี้มันไม่ยอมตื่นมาแต่งตัวแสดงว่าจะนอนยาวอยู่ห้องแน่ ๆ
“อืม” คนนอนงัวเงียตอบ ขยับตัวหันมาหาแล้วจับมือแคปมาจูบตามด้วยเล่นทะลึ่งๆโดยการเลียไปตามซอกนิ้วนิดๆ แคปฟาดผั๊วะไปที่ต้นแขนเอสถึงได้พออกพอใจ ยิ้มบางๆ
“มึงดูคูเปอร์นะ”แคปเข้าเรื่องทันที คนฟังถึงกับขมวดคิ้วทั้งที่ตายังหลับ “หือ?”
“เมื่อวานมึงบอกกูว่าคอร์สบ่ายถูกอาจารย์เลื่อนไปชดเชยวันอื่น แสดงว่าวันนี้มึงว่างทั้งวันถ้างั้นบ่ายพาคูเปอร์ไปซื้อสายจูงด้วย ถ้วยนมถ้วยน้ำแล้วก็อาหารเม็ด อ้อ มีนมกล่องรถจืดด้วย เอายี่ห้ออะไรก็ได้” จบคำสั่งร่ายยาวแคปลุกขึ้นทันที กะว่าจะไม่ให้คนฟังได้ทันตั้งตัวอะไรทั้งสิ้น ได้ยินแต่เสียงทุ้มแค่นหัวเราะ
“ไม่มีทาง”
“แต่มึงต้องทำ” แคปหันมากำชับใหม่ ขณะที่เอสก็แค่ส่ายหัว “กูไม่สน เดี่ยวจะเอามันไปทิ้งถังขยะแถวๆนี้แหละข้างล่างมีถังขยะใหญ่กูเห็น”
“ไอ้สัส กูรู้มึงไม่กล้าทำหรอก น้องน่ารัก คูเปอร์เป็นหมาของมึงนะ ตั้งชื่อให้มันแล้วจะใจร้ายเอามันไปทิ้งได้ไงวะ รีบตื่นด้วยล่ะหาข้าวให้มันกินด้วย นมสดกูให้แล้วเหลือแต่ต้องพามันออกไปฉี่อย่าลืมเรื่องสายจูง หรือมึงจะฝึกมันให้ฉีในห้องน้ำก็ได้ถ้ามึงสามารถพอ”
“บ้าฉิบแคป” เอสลุกขึ้นนั่งอย่างโมโห เขาพ่นคำด่าออกมาโดยที่ตัวแคปเดินออกจากห้องไปแล้วด้วยซ้ำ จริงๆก็รู้อยู่แล้วว่าวันนี้ต้องอยู่เป็นเพื่อนไอ้ลูกหมาหน้าโง่นั่น แต่ใครจะสนล่ะก็แค่ต่างคนต่างอยู่แล้วนี่อะไรแคปมันมาสั่งให้เขาพาคูเปอร์ไปซื้อนั่นซื้อนี่น่ะนะ บ้าเอ๊ย
“กูไปเรียนแล้วนะดูคูเปอร์ให้ดีด้วย” เสียงแคปดังลอดเข้ามาอีก ตามด้วยเสียงปิดประตูด้านนอกโครมใหญ่บอกให้รู้ว่าตอนนี้ไปกันหมดแล้วแน่ๆ เอสลุกขึ้นนั่งเสยผมอย่างหงุดหงิด ตอนที่กำลังจะเข้าไปอาบน้ำเสียงงี๊ดๆดันดังสะท้อนเข้ามาจากหน้าประตู
“โว๊ย!!!” เขากระชากผ้าเช็ดตัวแล้วเข้าห้องน้ำไม่อยากจะสน ใช้เวลาไม่นานก็ออกมาแต่งตัวในชุดเล่นสบายๆ เปิดผั๊วะประตูออกมาเกือบจะเหยียบไอ้ลูกหมาป้อมๆอ้วนๆที่นอนพิงอยู่หน้าบานประตูจนชิดติดกรอบเลย เอสกระโดดข้ามเกือบไม่ทัน
“นอนไม่เป็นที่เป็นทางนะมึง” เขาดุมัน คูเปอร์เงยหน้ามองพลางเอียงหัว หูลู่ไปด้านหลังด้วยความกลัวว่าอีกฝ่ายทำไมจึงโกรธ มันร้องขึ้นมา “งี๊ดๆ”
“น่ารำคาญ” เอสเห็นหน้ามันแล้วยิ่งหงุดหงิด เขาเดินไปที่ตู้เย็นคว้าเอาน้ำผลไม้เทใส่แก้วดื่ม คูเปอร์เดินส่ายตูดช้าๆตามมายืนมอง มันร้องงี๊ดๆอีกครั้งพอเอสไม่สนใจมันก็เห่าเรียกทำเสียงเล็กๆ
ดูเหมือนเป็นครั้งแรกที่มันเห่าตั้งแต่พามาอยู่ด้วย
“แค่วันเดียวเท่านั้น” เขาเดินเข้าไปชี้หน้าทำเสียงดุ แต่เจ้าลูกหมาทำหน้าตาราวกับจะเข้าใจ มันกระดิกหางอย่างดีใจ เดินเข้าไปดมขาคนที่เดินฉับๆไปคว้าเอาพวงกุญแจรถแล้วช้อนเอาตัวมันขึ้นมาอุ้ม ในตอนนั้นเองที่เอสต้องชะงักไปนิดๆ เพราะว่าตัวเขาใส่นาฬิกาเหล็กเรือนค่อนข้างใหญ่กลัวว่าจะไปขูดถูกท้องคูเปอร์เข้า เขาจึงถอดออกวางไว้ จากนั้นอุ้มมันขึ้นมาใหม่ทุลักทุเลนิดๆนี่เป็นครั้งแรกหลังจากที่เคยเลี้ยงหมาตัวแรกของที่บ้านพอมันตายเขาและครอบครัวไม่เลี้ยงตัวไหนอีกเลยเพราะเข็ดกับการสูญเสีย ดวงตาคมกริบจ้องมองลูกหมาที่อยู่ในมือ มันดูกลัวนิดๆตอนที่ต้องอยู่ในลิฟต์ เอสก็แค่ตบหัวมันบอกเป็นตัวผู้จะกลัวทำไมกะอิแค่ลิฟต์ คูเปอร์ร้องประท้วงงี๊ดๆเอสส่ายหัวไม่อยากจะสน
“ขอบคุณมากนะคะน้องน่ารักจังเลย” นี่คือเสียงจากพี่สาวที่ร้านขายอุปกรณ์เกี่ยวกับสุนัขทุกรูปแบบ เขาพามันมาหาของใช้ต่างๆที่นี่ ปล่อยให้เลือกเองลูกหมาอย่างคูเปอร์ก็ได้แต่นั่งจ๋องมองเจ้าของอยู่ที่ปลายเท้า เอสไล่ให้มันไปเลือกเอาของที่อยากได้เองแต่มันก็ไม่เข้าใจหรอก เขาจึงต้องเดินไปหยิบสุ่มๆออกมาลูกบอลบ้าง ขนมกระดูกเทียมบ้าง ท็อฟฟี่หมาแล้วก้อะไรอีกหลาย ๆ อย่าง อะไรบ้างนะที่แคปสั่งไว้เมื่อเช้า ลืมไปเกือบหมด แต่ก็หอบของได้เต็มตะกร้า
“คุณพ่อน่ารักจังเลยซื้อขนมให้หนูเยอะแยะเลยครับ” เสียงเสียดหูของพี่สาวเจ้าของร้านพูดขึ้นมาอีกครั้งเมื่อเห็นเอสถือตะกร้าของออกมาวางลงที่เคาน์เตอร์เพื่อเช้คบิล เรียกแทนตัวเขาว่าเป็นคุณพ่อของเจ้าตูบหน้าตาโง่ๆเนี่ยนะ
“น้องจะทานได้เหรอคะ ฟันน้ำนมยังไม่ขึ้นเลย” เธอหัวเราะเบาๆอย่างอารมณ์ดี เอสยิ่งอายไปใหญ่ ลืมนึกเรื่องนี้ไปเลยเขาจึงขอให้เธอไปเปลี่ยนมาให้ เธอจะพาคูเปอร์ไปเลือกด้วยแต่เจ้าลูกหมาไม่ยอมคูเปอร์เงยหน้าเรียกเอสงี๊ดๆ แต่เอสส่ายหัวบอกไม่สนแล้ว เจ้าของร้านหัวเราะอีกครั้งก่อนเดินไปเลือกของอร่อยๆนุ่มนิ่มอันใหม่มาให้