เช้าตรู่วันต่อมาแคปถูกแบงค์เคาะปลุกตั้งแต่ฟ้ายังไม่สาง เพราะว่างานด่วนที่สถานีวิทยุคนขับอย่างเขาจึงต้องออกจากบ้านแต่เช้ามืดขนาดนี้ หันมองคนข้าง ๆ ที่นั่งสัปหงกตั้งแต่ขึ้นรถก่อนเอื้อมไปดึงเสื้อคลุมที่แคปใส่อยู่ให้ชิดหน้าอกยิ่งขึ้นไปอีก
“นอนเลยก็ได้”
หลังแวะซื้อกาแฟที่ปั๊มใหญ่ ขึ้นรถมาก็เห็นคนที่นั่งมาเป็นเพื่อนผล็อยหลับไปแล้ว เขาปรับเบาะเอนลงให้แคปสะดุ้งตื่นแบงค์จึงผลักลงแล้วบอกให้นอนต่อเลย
“ถึงแล้วกูจะเรียก” ผ้าห่มผืนบางถูกเอามาคลุมห่มลงให้ก่อนที่รถยนต์คันสวยจะเลี้ยวออกมาจากปั๊ม ในรถเปิดเป็นเพลงเบา ๆ สลับกับข่าวภาคเช้า แคปตื่นขึ้นอีกทีเมื่อตอนเข้าถึงชานเมืองแล้วเรียบร้อย เขาหาวหวอดแล้วบอกแบงค์ว่าปวดฉี่ให้แวะปั๊มเดี๋ยวนี้เลย
“หึ ตื่นมาก็เรื่องมาก”
“ก็หมาตัวไหนล่ะลากกูขึ้นรถเช้าได้ขนาเนี๊ยะ” คนฟังก็แค่เหลือบมอง ตั้งหน้าตั้งตาขับรถต่อยิ่งจะเข้าในตัวเมืองเท่าไหร่การจราจรก็ยิ่งโหดขึ้นเท่านั้น รถติดจนน่ากลัวถนนเส้นนี้ไม่จำเป็นไม่อยากผ่านเลยให้ตาย
“นอนต่ออีกหน่อยก็ได้ ยังง่วงอยู่หรือเปล่า” แบงค์หันมาถามเมื่อเห็นอีกฝ่ายเงียบไป ไหนบอกว่าปวดฉี่นั่งตาปิดจะหลับต่ออีกแล้วต่างหาก
“ไม่อ่ะรีบหาห้องน้ำเหอะ”
“เห็นแล้ว เดี๋ยวแวะเลย”
“กาแฟ” เขายื่นกาฟส่งให้ตอนที่แคปออกมายืนสูบบุหรี่อยู่หน้าห้องน้ำ แคปเลยยื่นบุหรี่ที่เหลืออยู่ครึ่งมวนไปให้อีกคนสูบแทน
“มาเช้าแบบนี้ทีไรกูหลับตลอดมึงก็ยังพากูมานะไอ้แบงค์”
“ก็ดีกว่าไม่มีเพื่อนมาด้วยนี่” แบงค์สูบแค่ทีเดียวแล้วทิ้งลงถังทรายเลย แคปเหมือนจะรู้ว่าอากาศดีๆช่วงเช้าแบบนี้เขาไม่น่าจะสร้างมลพิษ ยกมือบอกโทษทีอีกฝ่ายจึงตบลงที่ไหล่เบา ๆ
“เดี๋ยวไปส่งกูที่ตึกแล้วมึงจะไปไหนป่ะวะ กลับห้องไปนอนรอไหม หรือจะไปเดินเที่ยว” แคปมีการ์ดสำรองห้องเขาอยู่อีกใบ ไม่ต้องถามว่าพามาบ่อยแค่ไหน
“ไปรอมึงที่ห้องดีกว่า กูอยากพักว่ะง่วงยังไม่หายเลยเนี่ย สงสัยเหนื่อยมาทั้งอาทิตย์กับลูกค้า”
สองคนเข้าสู่ใจกลางเมืองฝ่าฟันรถติดไม่นานเชฟฯคันสวยก็มาจอดลงที่ตึกไพร์ม มีเดียบิวท์ดิ้งที่ใหญ่เป็นอันดับต้นๆของเมืองไทย แคปเปลี่ยนมานั่งตำแหน่งคนขับแทน มองดูตึกที่เขาไม่ได้ขึ้นไปนานหลายปีแล้ว แต่ถ้าถามว่าแวะมาบ่อยไหมต้องบอกเลยว่าบ่อยมาก เกือบทุกสัปดาห์เขาจะมาส่งแบงค์เป็นประจำเพียงแต่ไม่ค่อยได้ขึ้นไปเท่านั้นเอง
กระจกรถถูกลดต่ำลง เพราะว่าแบงค์ก้มลงมาหายังไม่ยอมเดินขึ้นไป“ไม่ขึ้นไปแน่นะ พี่หนึ่งถามหามึงอยู่นะ พี่ดาพี่แอนพี่โมทย์พี่เติ้ลถามหามึงทุกคนอ่ะ ขึ้นไปด้วยกันสักหน่อยไหมวะ หรือจะค่อยขึ้นมาตอนมารับกูกลับ”
“ไว้ตอนมารับเดี๋ยวคิดดูก่อน”
“ขับรถดีๆ ถ้าจะไปไหนก็โทรมาบอกกูก่อนก็ได้”
“ต้องโทรรายงานมึงทุกเรื่องหรือไง”
“ไม่กล้าหรอกครับพี่แคป ผมแค่เป็นห่วง” แบงค์พูดหลังจากเอื้อมมือเข้ามาเสยเส้นผมที่ตกลงมาปรกหน้าบังสายตาของคนขับ
“ผมยาวแล้วนะไปซอยออกหน่อยดีไหม เดี๋ยวเจ็บตาอีกหรอก” แคปเบี่ยงหัวหลบก่อนส่ายหน้าบอกว่าไม่ คว้าเอาแว่นกันแดดอีกอันที่หน้ารถมาสวมใส่สายตาเขาปกติดีนะ ยังคงสั้นเหมือนเดิมเพียงแต่ช่วงนึงที่ผมค่อนข้างยาวทิ่มตาจนเจ็บไปหมด
“เล่นหัวผู้ใหญ่มึงจะบาปกูบอกให้รู้เลย” แคปทำเสียงคาดโทษใส่ แบงค์จึงไหวไหล่นิดๆ
“น่ากลัวจริงจริ๊ง” ผลักหัวคนที่โตกว่าตัวเองหนึ่งปีอย่างสนิทสนมก่อนโดนแคปฟาดผั๊วะเข้าให้จนแขนเขียว เขาจึงค่อยยืนเต็มความสูงแล้วเดินขึ้นตึกไปทำงานได้ จากนั้นแคปก็ขับรถตรงไปห้องเช่าของแบงค์ เป็นคอนโดเดิมของมันตั้งแต่สมัยเรียน
เขามาอยู่จนชินแล้ว แต่ล่ะครั้งที่มาก็รอเวลารับคุณชายกว่าจะจัดรายการเสร็จแล้วก็กลับระยองพร้อมกันเลยนั่นล่ะ....เป็นแบบนี้มาหลายปี
“ฮัลโหล”
หลังนอนหลับไปหนึ่งตื่นเต็ม ๆ ตา แคปปัดกวาดทำความสะอาดห้องรดน้ำต้นไม้ที่กระถามเหี่ยวๆริมระเบียง พอมานั่งแบ็บลงที่โต๊ะเสียงโทรศัพท์มือถือก็ดังขึ้นมา บ่ายสี่โมงเย็นเข้าไปแล้ว
“มึงอยู่ไหนแคป วันนี้เข้ากรุงเทพหรือเปล่า” เสียงปลายสายถามกลัมาแบบเรียบ ๆ แคปเอียงคอเอาโทรศัพท์มือถือแก้มแนบเดินหอบกองหนังสือแต่งรถกองใหญ่ของแบงค์กลับไปจัดเรียงไว้ให้ที่ชั้นเหมือนเดิม
“ถึงแล้ว อยู่ห้องไอ้เด็กเวรนี่แหละ มีอะไร”
“กูจะกลับด้วย อาทิตย์นี้กูหยุดยาว โทรบอกไอ้อาร์มันไว้แล้ว”
“แล้วยังไง” แคปเริ่มไม่แน่ใจว่าต้องเรียงหนังสือแต่งรถขึ้นมี่ชั้นไหน เพราะว่ามันมีหนังสือแต่งบ้านปนอยู่อีกกอง นึกก่นด่าไอ้เจ้าของห้องที่มันรื้อของเก่งนัก เขามาทีไรต้องคอยจัดให้มันอยู่แบบนี้
“มึงเข้ามารับกูได้ป่ะวะ”
“แล้วรถมึงล่ะ”
“รถเข้าศูนย์กูเอาไปเข้าไว้เมื่อเช้า นัดรับเย็นวันจันทร์กูเลยโทรถามไอ้อาร์มันบอกมึงจะกลับระยองคืนนี้ แวะมารับกูด้วยกลับพร้อมกันเดี๋ยววันจันทร์กูเอารถไอ้อาร์มาใช้”
“ที่ไหน” แคปถามไปเรียบ ๆ เขาเรียงเล่มสุดท้ายเสร็จพอดีลุกขึ้นมองดูเวลา
“มึงใกล้ที่ไหนล่ะ ที่ตึกรัชชาได้ไหม”
“................”
“วันนี้ไม่มีใครเข้าทำงานหรอก กูมานั่งเคลียร์งานอยู่คนเดียวเนี่ย มารับได้ป่ะวะ”
“มึงนั่งรถออกมาเองกูจะรออยู่ที่ร้านXXXฝั่งตรงข้าม” แคปพูดชื่อร้านไป มันก็ถัดจากตึกนั่นไม่กี่ร้อยเมตร ปอบอกโอเค แต่ทว่าขณะกำลังจะวางสายดูเหมือนมีสายเรียกเข้าซ้อนเข้ามาก่อนปอจึงบอกให้แคปรอ เขาพูดกับทางนั้นราว ๆ ไม่ถึงสองนาทีก็กลับมาบอกแคปว่า “มึงไม่ต้องมาที่ตึกแล้วเดี๋ยวกูต้องแวะไปทำธุระก่อน ไปรอรับกูที่สวนสุขภาพตรงซอย.....เลยได้ไหม”
“............”คนฟังมุ่นคิ้วทันที
“แคป? มึงได้ยินที่กูพูดไหมเนี่ย สวนสุขภาพตรงซอย......นะ ทางด้านหน้าสวนใหญ่สุดเลยน่ะ มึงรู้จักใช่ไหม”
“ทำไมต้องเป็นที่นั่นวะ”
“ก็เพราะกูจะไปธุระแถวนั้นไง”
“............”
“ห้องไอ้แบงค์ก็อยู่ถนนเส้นนั้นนะถ้ากูจำไม่ผิด มึงไม่ต้องเสียเวลาวกรถไปรอกูที่ตึกรัชชาแต่ไปนั่งรอกูอยู่ที่สวนสุขภาพเลยดีกว่าอีก เอาเป็นว่าอีกสักสองชั่วโมงเจอกัน โอเคนะเว้ย”
“............”
“รับปากกูมาก่อน”
“...........”
“แคป กูไม่ได้ให้มึงไปรับกูที่ทำงานสักหน่อย”
“แต่ที่นั่นมัน....” สวนสุขภาพแถวบ้านเจ้านายมึง แคปพูดไม่ออก ติดอยู่แค่นั้น
“ก็แล้วจะทำไม มึงคิดว่าคนอย่างเขาจะออกมาเดินเล่นง่ายๆหรือไงวะ เขาไม่อยู่หรอกคุณนาคินให้กูกลับไปเอางานที่บ้านใหญ่ ไม่อยู่หรอกกูรับประกันได้เพราะงั้นมึงมารอกูอย่างสบายใจเลย โซนที่มีรูปปั้นปลาโลมานะ มึงรออยู่แถวนั้น”
“............”
“แคป อีกสองชั่วโมงกูจะรอมึงอยู่ที่นั่นได้ยินใช่ไหม อย่าให้กูรอเก้อนะมึง”
สายถูกวางลงไปแล้ว แคปกำโทรศัพท์แน่นจนมือเจ็บถึงค่อยรู้สึกตัวขึ้นมา เขานั่งนิ่งอยู่แบบนั้นราวครึ่งชั่วโมงโดยที่แทบไม่รู้สึกตัว เปลือกตาร้อนผ่าวปิดลงช้า ๆ เหตุการณ์วันนั้น..ห้าปีที่ผ่านมาทำไมเขาถึงยังจำได้จนติดตาทั้งที่ควรจะลืมไปจนหมดแล้ว
ห้าปี...ผ่านไปห้าปี......ใครกันที่บอกไว้ว่าเวลาช่วยเยียวยาทุกอย่าง “เจ้านายกูตอบรับหมั้นคุณมินตรานะ” ปลายปีที่แล้ว ปอบอกกับเขาแบบนั้นขณะที่เขาแค่รับฟังแล้วทำตัวนิ่งไว้ ไม่มีอะไรมากกว่าการรับฟัง หมั้นแล้วจะทำไม ไม่หมั้นแล้วจะทำไม มันผ่านไปนานจนใจด้านชาไปหมดแล้ว ไม่มีใครมีสิทธิ์ในตัวใครอีก ทุกอย่างจบ เกมส์โอเวอร์ไปแล้ว ปุ่มรีเซ็ตไม่มีอยู่จริง ยังคิดว่าเขาจะพูดโต้ตอบอะไรออกไปได้ล่ะ จะให้พูดว่าดีใจคงไม่ใช่ความรู้สึกเขา แต่จะให้พูดว่าเสียใจร้องไห้ฟูมฟายเขามีสิทธิ์เหรอ ในเมื่อทางนั้นตั้งหลักได้แล้วเขาเองก็คงต้องตั้งหลักกับตัวเองเช่นกัน
อาฟี่กับเฮียโก้สร้างไร่นี้ขึ้นมาเป็นของขวัญให้เขากับเฮียเต้ ในวันที่เฮียเต้เรียนจบและตัวเขาต้องเข้ารับการฝึกงาน กรมอุทยานแห่งชาติของระยองมีแต่พันธ์ไม้สวยงาม อยู่ถัดจากไร่นี้ไม่กี่ร้อยเมตร แคปเห็นที่นี่ครั้งแรกก็ถูกใจเลยทันที เฮียโก้ให้ลาเต้เป็นคนออกแบบร้านกาแฟเล็กๆในสไตล์บ้านไร่บนดอยให้ ขณะที่อาฟี่เป็นคนออกแบบแปลนบ้านสวนหลังใหญ่ด้วยตัวเอง
หนึ่งปีหลังจากนั้นแคปเรียนจบโก้พากลับมาอยู่ที่ระยองทันที ครอบครัวของเขาไม่มีใครเอ่ยปากถึงเรื่องราวคราวนั้นอีกราวกับว่ามันไม่เคยเกิดขึ้น เฮียเต้ออกไซด์งานต่างจังหวัดเป็นว่าเล่นหากแต่พยายามกลับมาหาเขาทุกสัปดาห์ จนพักหลังเห็นว่าแบงค์มันสนิทกับครอบครัวเขามากขึ้นเฮียถึงขึ้นฝากฝังเขาไว้กับมัน
“ห่วงเกินไปแล้ว”
แคปเคยบอกพี่ชายแบบนั้น เต้ก็แค่ยักไหล่ “กูห่วงมึงน่ะถูกแล้ว”
“อยู่กับไอ้เด็กนรกยิ่งน่าห่วง” แคปหมายถึงแบงค์ ถึงตอนนี้เขาก็ยังเรียกมันว่าไอ้เด็กนรกอยู่ดี ช่วยไม่ได้มันอ่อนกว่าเขาปีนึงตลอดชีวิตนั่นแหละ
“ถ้าเป็นมันกูไม่ห่วง”
“เฮียเต้เอาอะไรมาวัดวะ” ดูไม่รู้หรือไงว่ามันเองก็ได้ทั้งหญิงทั้งชาย คำพูดคำจาชวนปวดหัว ป้อเขาต่อหน้าพี่ชายก็ยังเคย เขาไม่เชื่อหรอกว่าเฮียเต้จะไม่รู้
“เอาสายตาที่มันมองมึงไง”
“ยังไง”
“ลองหาโอกาสดูเอาเอง”
แคปเงียบกริบเลยสิ ให้ตายเหอะใครจะไปนั่งจ้องตามันกันล่ะ หลังจากนั้นเฮียก็กลับบ้านไม่ค่อยบ่อย ชีวิตเขาก็อยู่ที่ไร่บ้างเข้ากรุงบ้าง มีไอ้อาร์กับไอ้แบงค์เป็นเพื่อน ส่วนไอ้ปอเห็นแบบนั้นแต่กลับมาหาเขาเกือบทุกอาทิตย์ที่มันว่าง แต่อย่าคิดว่ามันจะเป็นคนพูดอะไรมาก ปอไม่เคยพูดเรื่องเจ้านายตัวเองกับเขาอีกเลยแม้แต่ครั้งเดียวหลังจากประโยคสุดท้ายนั่น
“ช้าจริงๆ”
แคปบ่นพลางขยับแว่นกันแดดที่สวมอยู่ เขาขับรถมาจอดที่สวนสุขภาพหน้าบริเวณทางเข้าหมู่บ้านขนาดใหญ่ ในซอยนี้มีแต่บ้านผู้ดีเศรษฐีทั้งนั้นเงินค่าบำรุงรักษาที่นี่ก็คงจะดีเว่อร์ เพราะสนามเด็กล่นของที่นี่ถึงได้เต็มไปด้วยไม้ประดับตัดพุ่มสวย กับสนามหญ้าเขียวชะอุ่มที่ถูกตัดแต่งไว้อย่างเป็นระเบียบเช่นกัน
แคปยกข้อมือดูเวลาอีกที ปอเลทไปห้านาทีแล้ว ที่จริงห้านาทีไม่ควรถือว่าเลทหากแต่เขาไม่ได้อยากจะอยู่แถวนี้นานนักหรอก ห้านาทีของแคปเลยดูเหมือนยาวนานเป็นชั่วโมง เขาตัดสินใจดับเครื่องยนต์ลงเมื่อมองซ้ายมองขวาแล้วคิดว่าจะลงไปนั่งรอที่ม้านั่งยาวริมทางเดินน่าจะดีกว่า ช่วงเวลาเย็นๆอากาศก็ดีเดี๋ยวคืนนี้ต้องนั่งรถทั้งคืนอีกแคปจึงออกไปยืนบิดขี้เกียจรออยู่แถวๆตัวรถ
เมื่อเห็นว่าห่างจากผู้คนพอสมควรเขาควักบุหรี่ขึ้นมาจุดแล้วหย่อนก้นนั่งลงที่ม้านั่งยาว ลมเย็นพัดมาหอบหนึ่งทั้งที่ไม่น่าจะมีแคปจึงหันไปมองด้านหลัง สระน้ำที่รายล้อมไปด้วยต้นหมากสีเขียวสดสลับกับต้นปาร์มสูงใหญ่ มีพรรณไม้โบราณส่งกลิ่นหอมหลายชนิดอยู่ฟากหนึ่งของสระสายลมโยกมาทีกิ่งใบก็พลิ้วลู่ลง กลิ่นหอมอ่อนๆไม่ต้องให้เอ่ยถึง
แคปพลันมองเห็นชายหญิงสูงวัยออกมาวิ่งเพื่อสุขภาพกันหลายต่อหลายคน มีจักรยานครอบครัวปั่นสวนมาด้วยรอยยิ้มมุมปากจึงถูกจุดออกมา นึกไปว่าเดี๋ยวกลับไร่ต้องชวนอาร์ไปหาซื้อจักรยานปั่นแข่งกันเสียแล้ว ไร่กว้างขึ้นมากยิ่งตอนนี้เฮียโก้ให้ลูกจ้างในไร่เทปูนทำเป็นทางเดินยาวไปจนสุดทาง ยิ่งเหมาะต่อการปั่น เขารีบดับบุหรี่ลงเมื่อเห็นบรรดาแม่บ้านจูงเด็กตัวเล็กๆออกมาป้อนข้าวป้อนขนม ไกลออกไปอีกนิดมีสนามเด็กเล่น ชิงช้าเล็กๆสี่ห้าตัวถูกเด็กหลายคนจับจอง วันหยุดพักผ่อนแบบนี้ได้ใช้เวลาอยู่บ้านกับครอบครัวคงเป็นความฝันของใครหลายคน
“โฮ่ง!”
ในตอนที่เขาทำโทรศัพท์มือถือไหลลงจากกางเกงตกลงที่พื้นหญ้า แคปก้มลงไปหยิบได้ยินเสียงหมาเห่าดังอยู่ไม่ไกล พอเงยหน้าขึ้นมาไอ้หมาลาบราดอร์สีครีมตัวใหญ่มากแทบจะกระโจนกินหัวเขาอยู่รอมร่อ ดีที่เจ้าของมันวิ่งเข้ามาดึงเชือกไว้ได้...หวุดหวิดสุดๆแคปมองเห็นแต่ขาเรียวขาวในรองเท้าผ้าใบสีฟ้าอ่อนยืนอยู่ตรงหน้า พอไล่สายตาขึ้นดูจึงเห็นว่าเธอกระตุกเชือกเจ้าหมายักษ์ไว้ได้อยู่ แคปค่อยระบายลมออกจากปากอย่างโล่งอก
“คูเปอร์ไม่เอานะ อย่าดื้อสิ ” เสียงเธอร้องบอกเจ้าหมาที่จูงอยู่ มันทำท่าไม่ยอมเชื่อฟังง่าย ๆ จะกระโจนเข้าหาแคปลูกเดียว เธอพยายามดึงเชือกมันไว้จนเซไปมา พูดขอโทษแคปไปสองสามรอบไม่ได้สังเกตเลยว่าคนยืนอยู่ตรงหน้าสมาธิทั้งหมดโฟกัสที่หมาสีครีมตัวโตเท่านั้น
“เอ่อขอโทษนะคะ ปกติคูเปอร์ไม่เป็นแบบนี้เลย เขาน่ารักเลี้ยงง่าย วันนี้แปลกจริงๆด้วย ฉันขอโทษนะคะคุณตกใจมากเหรอ” เธอดึงเชือกเจ้าสุนัขตัวโตจนมั่นใจว่ามั่นคงแน่นอนจึงค้อมศีรษะลงกล่าวขอโทษอีกครั้ง แต่คนฟังยังคงยืนนิ่งงันอยู่ สายตาจับจ้องสิ่งที่เธอจูงแทบไม่กระพริบขณะที่เจ้าคูเปอร์เห่าเรียกขึ้นมาอีก “โฮ่ง!” มันทำท่าเหมือนอยากจะกระโจนเข้าหา ลำคอถูกเหนี่ยวรั้งจากเชือกจนเธอเกือบจะปล่อยมันหลุดจากมือ
“คูเปอร์ห้ามดื้อ เดี๋ยวมินต์ตีนะ!” เธอใช้น้ำเสียงเฉียบขาดดุมัน คราวนี้แคปสะดุ้งขึ้นมาราวกับว่าเขาเพิ่งรู้สึกตัว
“โฮ่ง!” เสียงคูเปอร์เห่าขึ้นมาอีก มันหันไปมองหน้าเธอสลับกับมองมาที่แคปแล้วร้องคำรามในลำคอเสียงเล็กๆราวกับกำลังอ้อนวอน ทั้งแววตาแบบนั้นที่มองขึ้นมา...แววตาที่เหมือนกับตอนมันยังเด็ก หางใหญ่เป็นพุ่มที่ด้านหลังแกว่งซ้ายทีขวาทีขณะตะกุยขาหน้าพยายามจะก้าวเข้าหาหากแต่โดนรั้งลำคอไว้อีก แคปรู้ว่ามันกำลังดีใจ แคปรู้ดีเพราะว่าเขาเองก็ก้าวเข้าหามันแทบไม่รู้สึกตัวเช่นกัน มือคุ้นเคยที่ครั้งหนึ่งเมื่อนานมาแล้วเคยโอบอุ้มมันไว้แนบอกยื่นออกไปหวังจะลูบที่หัวแล้วถามมันดูสักคำ..
คูเปอร์จำพี่แคปได้ไหม?หากแต่...เสียงบีบแตรเบา ๆ ดังเรียกขึ้นมาจากรถยนต์สีดำคันสวยที่ชะลอจอดลงใกล้ ๆ แคปจึงค่อยชักฝ่ามือกลับในขณะที่คนขับเปิดประตูเดินลงมาหาเธอ คนมองค่อยยืนขึ้นช้าๆ....โลกทั้งโลกหยุดนิ่งไปแล้ว
“เอสคะ คูเปอร์ไม่เชื่อฟังมินต์เลย” เธอเดินเข้าไปหาเขาส่งเชือกจูงให้กับเจ้าของที่แท้จริง วงแขนใหญ่สอดเข้าโอบเอวคนรักทันที
“คูเปอร์มา--”
คำพูดถูกกลืนหายลงไป ในวินาทีที่เห็นว่าใครยืนอยู่ตรงหน้า...ราวกับเข็มนาฬิกาพลันหยุดนิ่ง เมื่อลมเย็นๆหอบหนึ่งพัดกลิ่นดอกราชาวดีสีขาวเข้ามาแตะที่ปลายจมูก กิ่งไม้อ่อนโอนเอนลู่ลมพาให้เส้นผมปลิวไสว แคปสะดุ้งขึ้นนิดๆเมื่อได้ยินเสียงคูเปอร์เห่าขึ้นอีกรอบ หากแต่ดวงตาคมกริบภายใต้แว่นกันแดดสีเข้มของคนที่เพิ่งเดินลงมายังคงจ้องจับตรึงแน่น ไม่มีใครทั้งนั้นที่สามารถมองเห็นรอยสั่นไหวหลังเลนส์สีดำสนิทนั่น ใบหน้าคมที่เรียบเฉยนิ่งงันจนมองดูแล้วน่ากลัว
แคปเป็นฝ่ายขยับตัวลดสายตาลงแล้วถอยหลังออกมาเอง คูเปอร์ร้องเรียกตะกายราวกับจะขาดใจ หากแต่มือแข็งแกร่งเหนี่ยวเชือกมันไว้แน่นจนสั่น
ในตอนนั้นแม้มีอากาศสดชื่นให้โกยสูดจนเต็มปอด หากแต่เขากลับหายใจไม่ออกเลยแม้แต่น้อย ท่อนขาหนักอึ้งราวกับถูกตอกตะปูแห่งพันธนาการตรึงติดไว้กับพื้นดิน เขารู้ตัวเองไม่มีสิทธิ์อะไรอีกแล้ว แม้แต่เงยหน้ามองสองคนตรงหน้ายังไม่คู่ควร กว่าแคปจะลากขาออกจากที่ตรงนั้นหนึ่งก้าวเขาใช้พลังงานแทบทั้งหมดที่มีในชีวิต
แคป...เสียงเรียกดังลั่นออกมาจากหัวใจใครบางคน หากคนตรงหน้าไม่มีทางได้ยินเด็ดขาด ความรู้สึกทุกอย่างถูกกักเก็บเข้าไปข้างใน ตอกลงไปจนสุดหมุด ตอกให้ลึก ย้ำลงไปว่าทุกอย่างระหว่างเรามันผ่านไปเนิ่นนานมาก ...แคปเดินออกมาจากตรงนั้นแล้ว คูเปอร์ทั้งดิ้นและตะเกียกตะกาย หากมันพูดได้คงตะโกนเรียกชื่อแคปไว้แทนเจ้านายของมัน
แต่ก่อนที่ทุกอย่างจะยิ่งแย่ไปกว่านี้ โชคดีที่ปอวิ่งหน้าตั้งเข้ามาจากที่ไหนสักแห่ง เขาทั้งตกใจทั้งใจหายตั้งแต่เห็นรถเจ้านายตัวเองจอดต่อก้นกับรถเพื่อนของเขา
“โทษที กูสายฉิบหายเลยใช่ไหมล่ะ” เสียงทุ้มพูดปนหอบพยายามทำลายความตึงเครียด บรรยากาศสุดแสนกดดันแผ่ออกมาจากร่างกายกายสูงใหญ่ที่ยืนนิ่งงันอยู่ ลมหายใจแทบไม่มีให้โกย พื้นที่กว้างขวางหากแต่แถวนี้ช่างอึดอัดนัก ยิ่งแคปไม่มองหน้าคนที่จ้องมาแบบนั้นสีหน้าเจ้านายเขาจากที่อ่านยากอยู่แล้วยิ่งดูน่ากลัวขึ้นไปอีกเป็นสิบๆเท่า ปอรีบยกมือลูบหลังแคปเบา ๆ เหมือนเรียกสติแล้วก้มหัวบอกลาเจ้านายตัวเองกับมินตราว่าที่คู่หมั้น
ในตอนนั้นเขาไม่สนใจแล้วว่าคุณเอสจะรู้สึกอะไรยังไงแบบไหน คนที่น่าห่วงที่สุดกลายเป็นคนที่นั่งเหม่ออยู่บนรถเชฟฯคันนี้ต่างหาก
“มึงมาด้วย?” แบงค์ถามขึ้นเมื่อตอนที่เขาลงมาแล้วพบว่าใครรออยู่ด้วยกันกับแคป ปอนั่งดูดกาแฟแก้วใหญ่ขณะที่แคปก้มลงอ่านนิตยสารอะไรสักอย่างในมือ แก้วชาเขียวตรงหน้าหมดเกลี้ยงไปก่อนแล้ว
“อืม เดี๋ยวกูขับให้ มึงเอาไอ้แคปไปนั่งด้านหลังกับมึงไป กูว่าท่าทางมันคงจะง่วง”
แคปถูกลากขึ้นเบาะหลังจริงอย่างที่ปอมันสั่ง บรรดาสัมภาระบางส่วนจึงถูกโยกไปไว้ที่เบาะหน้า
“เป็นอะไร” แบงค์หันไปพูดเสียงเบากับคนข้าง ๆ แคปหันมามองแล้วส่ายหน้า “ขยับมานี่มา” มือใหญ่ดึงคนตัวเล็กกว่าพิงซบลงมาที่บ่าแข็งแกร่งของเขา แคปที่ฝืนตัวไว้ในตอนแรกบัดนี้ทิ้งน้ำหนักตัวพิงลงไปแบบเต็ม ๆ เปลือกตาบางหลับลงอย่างแสนเหนื่อย เรื่องราวในหัวถูกลำดับขึ้นมาอีกอย่างช่วยไม่ได้...ทว่าสิ่งที่ชัดเจนเหลือเกินในความทรงจำกลับเป็นแววตาคู่นั้นของคูเปอร์ แววตาที่ฉายชัดออกมาว่ามันจดจำเขาได้ เวลาห้าปีไม่ได้พรากความรักของมันที่มีต่อเขาไปเลยแม้แต่นิด หากแต่สิ่งที่เขามองไม่เห็นเลยก็คือ แววตาหลังกรอบเลนส์สีดำของคนๆนั้น เวลาห้าปี...พรากความรู้สึกที่มีต่อกันไปจนหมดสิ้นแล้วหรือไม่
“อย่าให้มันไปรับมึงอีก ถ้าเป็นไปได้ก็ออกมาหาพวกกูเอง เข้าใจหรือเปล่า”
เสียงทุ้มดังขึ้นมาในตอนที่ปอเหยียบรถออกมาจากชานเมืองเรียบร้อยแล้ว ถนนสายหลักมืดมิดที่มีแต่แสงจากโคมไฟสาดส่องไปจนสุดลูกหูลูกตา
...เข็มของนาฬิกาไม่เคยบอกเวลา
นานแค่ไหน ก็เหมือนเดิมเสมอ
ตั้งแต่เราจากกัน จนในวันนี้ ก็มีเพียงเธอ
ยังเก็บรักนั้น อยู่ในหัวใจ
เธอจะรู้ไหม ฉันยังคงพร่ำเพ้อ
หลับตาทุกครั้ง ก็ยังเห็นเพียงแต่เธอ
ฉันยังคิดถึงเธอเสมอ
เหมือนเดิมไม่เคยเปลี่ยน...
.
.
หน้ามหาวิทยาลัยชื่อดังแห่งหนึ่งย่านใจกลางเมืองที่คลาคล่ำไปด้วยรถราและมีผู้คนพลุกพล่านที่สุดในระแวกนี้ รถยุโรปสีดำคันหรูชะลอตัวจอดปาดลงหน้ากลุ่มนักศึกษาสาวที่กำลังเดินเลียบฝั่งทางเท้าก่อนที่กระจกรถจะถูกลดต่ำลงเผยให้เห็นใบหน้าหล่อเหลาภายใต้แว่นกันแดดสีเข้ม
“คุณเอส!”
“ขึ้นมาสิ”
“ค...คือโบว์นึกว่าคุณเอสจะลืมนัดของเราไปแล้วน่ะค่ะก็เลยเดินออกมากับเพื่อน”
“โทษทีนะ ฉันติดประชุมเลยช้าไปหน่อย” ดอกกุหลาบสีแดงสดช่อใหญ่ที่วางอยู่เบาะหลังถูกยื่นส่งให้เธอ ริมฝีปากเขายกยิ้มขึ้นนิดๆเธอปริ่มใจจนแก้มแดงร้อนเห่อพูดตอบน้ำเสียงอิ่มเอมทว่าแผ่วเบาเหมือนเจียมเนื้อเจียมตัวอยู่ในที “ขอบคุณค่ะ แค่คุณจำนัดของเราได้โบว์ก็ดีใจแล้ว”
Tbc.
เป็นยังไงบ้างคะมาลงให้อ่านแล้วหายคิดถึงหรือยัง พล็อตภาคสองอยู่ในแนวคิดของใครมั่งไหมคะ ให้กลิ่นอายดราม่านิดๆแต่จะพยายามไม่ทำร้ายมาก>< มินคุยไม่ค่อยเก่ง อาจไม่เคยได้ตอบคอมเมนท์เลยสักครั้งเดียวแต่ว่ามินอ่านทุกเมนท์ของนักอ่านทุกท่านนะคะ ซาบซึ้งใจมาก รู้สึกขอบคุณเสมอ รู้ว่าคิดถึงกัน สำหรับภาคสองมันก็แนวๆนี้ล่ะค่ะ ไม่สปอยนะอ่านไปพร้อมกันเลย อ่านเรื่องนี้อาจใช้เวลานานหน่อยเพราะยัยนักเขียนไม่ค่อยว่างค่ะ อยากลงให้ใจจะขาดหากแต่มันยังมิได้เขียนก็เลยต้องรอกันอยู่แบบนี้แหละค่ะ
แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นคิดว่าคงไม่เป็นไร เพราะว่านักอ่านมิน....รอเก่งอยู่แล้ว ตอนหน้ารออีกนะคะ
ขอบคุณทุกกำลังใจที่ทิ้งไว้ให้กัน ช่วยเอ็นดูเอสแคปต่อไปด้วยค่ะ 