[27]
“โบว์ครับ”
เสียงทุ้มอ่อนโยนที่เรียกขึ้นจากด้านหลังทำให้เจ้าของชื่อหันขวับไปหา เธอยิ้มทั้งดวงตาให้กับคนรักของเธอ สองมือของเขาประคองเบาๆที่ต้นแขนเล็กนั่น
ไม่รู้ว่าจะมีใครสังเกตเห็นหรือเปล่า คนที่นั่งข้างเจ้าของวันเกิดตอนนี้ถึงกับเบิกตาโพลง แก้วเหล้าที่อยู่ในมือชะงักค้างจ่ออยู่ริมฝีปาก
“คุณเอสหายไปไหนมาคะ โบว์รอตั้งนานจวนถึงเวลาเป่าเค้กแล้ว” เธอพูดพลางลุกขึ้นขยับออกจากที่นั่งข้างแคปเลื่อนไปนั่งที่เดิมของเธออย่างแท้จริง
คนมาใหม่แทรกตัวเข้ามานั่งลงแทนที่ เขาวางโทรศัพท์มือถือที่เพิ่งถูกใช้งานลงบนโต๊ะ ใช้สายเย็นชาเหลือบมองคนข้างๆนิดหน่อยก่อนหยิบแก้วเครื่องดื่มที่แฟนสาวส่งให้ขึ้นสาดใส่ลำคอรวดเดียวจบ
“คืนนี้เธออยากได้อะไรฉันให้หมดทุกอย่าง”
โครม!!เสียงก้นแก้วกระแทกโต๊ะดังสนั่นราวฟ้าผ่าทำเอาคนนั่งอยู่มองกันเป็นตาเดียว เปล่า..ไม่ใช่จากเอสหากแต่เป็นของอีกคน
ปอสาบานได้ว่าแวปหนึ่งในเสี้ยวใบหน้าของเจ้านายเขามีรอยยิ้มผุดขึ้นเล็กๆและมันก็จางหายไปอย่างรวดเร็ว นั่นทำให้เขานึกได้ในทันทีว่าตัวเองควรจะทำอะไรต่อ
เขารีบดึงชายเสื้อเพื่อนตัวเองยิกๆ ไม่คิดว่าปฏิกิริยาแคปจะรุนแรงได้ขนาดนี้
ไม่ใช่ว่ามันเลิกกันนานห้าปีแล้วหรือวะ? กระแทกแก้วทำเพื่อ??
“โทษที” แคปว่าขึ้นหน้าตาบึ้งตึงขึงขังสุดๆ ในใจนี่เต้นรัวไม่ต่างกับกลองศึก ไม่สิ ที่จริงแคปพูดผิด เขาต้องใช้คำว่า ‘ลืมตัว’.....น่าจะเหมาะสมกว่าหากแต่แคปไม่คิดที่จะพูดอะไรแบบนั้นออกมาเพราะระลึกบางอย่างขึ้นมาได้ เขาจึงเอ่ยคำขอโทษที่เสียมารยาทให้กับเจ้าของงานคิดว่าน่าจะดีที่สุด
เสียงแค่นแค้นในคอดังขึ้นเบาๆจากคนข้าง ๆ เมื่อเหลือบไปมองดันเห็นรอยยิ้มลี้ลับจุดอยู่ที่มุมปากหยักแค่ชั่ววินาทีก่อนจะเลือนหายไป ทำเอาแคปยิ่งต้องขบริมฝีปากแล้วตีหน้าให้เรียบนิ่งเข้าไว้
ทำราวกับคนไม่เคยรู้จักกัน
“พี่แคปเป็นอะไรรึเปล่าคะ”
น้องโบว์ทำหน้าตื่น เธอกระวีกระวาดดึงกระดาษมาเช็ดให้ ปอจึงรีบขยับจึงไปรับเอามาแล้วบอกว่าเดี๋ยวเช็ดต่อเอง
“โทษทีครับโบว์” มือพี่ลั่น แคปย้ำอีกรอบ
“หึ...” เสียงแค่นคอดดังออกมาอีกครั้งหากแต่แคปไม่นึกอยากจะใส่ใจเพราะน้องโบว์กำลังถือโอกาสแนะนำเขากับอดีตคนคุ้นเคยให้รู้จักกัน
“พี่แคปคะนี่คุณเอสค่ะ เขาเป็นคนสำคัญของโบว์ คนที่โบว์เคยเล่าให้พี่แคปฟังไงคะ”
บรรยากาศที่กลืนไม่เข้าคายไม่ออกอยู่แล้วยิ่งกระอักกระอ่วนขึ้นอีกอย่างช่วยไม่ได้ แคปได้แต่เค้นรอยยิ้มแห้งแล้งออกมา
“แล้วก็คุณเอสคะ นี่พี่แคปค่ะ พี่แคปเป็นเพื่อนสนิทของพี่ชายโบว์เอง”
ปอแทบจะสำลักเหล้าในปากขณะที่ได้ยินน้องโบว์แนะนำทั้งสองคนให้รู้จักกัน ยิ่งไอ้ประโยคท้ายๆนั่น..เพื่อนสนิทพี่ชายเธองั้นหรือ? หึ เจ้านายเขาเห็นหน้านิ่งๆแบบนั้นป่านนี้ในใจคงนึกอยากลากคนบางคนที่ยังมาไม่ถึงลงมากระทืบให้จมฝ่าเท้าเสียล่ะ
เขารีบกลืนเหล้าลงคอให้เร็วที่สุด ก่อนจะได้พ่นออกมาจริงๆเมื่อได้ยินเจ้านายเขาเอ่ยประโยคถัดมา
“ทำไมโบว์ไม่บอกเขาไปล่ะครับ ว่าผมเป็นแฟนโบว์”
น้ำเสียงทุ้มเอ่ยยิ้มๆ ขณะที่น้องโบว์ตกใจกับสรรพนามนั่นจนหน้าขึ้นสียกกำปั้นเล็กทุบลงเบาๆอย่างเขินอายเมื่อเอสพูดจาอนุญาตเชิงอ่อนโยนแล้วยังคำแทนตัวแบบนั้น โบว์รีบเปลี่ยนคำพูดใหม่ทันที “พี่แคปคะ นี่คุณเอสแฟนโบว์เองค่ะ”
ธารน้ำตกใสเย็น ดอกไม้กลิ่นหอม รวมถึงกังหันน้ำที่เป็นเอกลักษณ์ความสวยงามของที่นี่ไม่ได้ทำให้ความรู้สึกหดหู่ในหัวใจจืดจางลงได้ แคปบอกความรู้สึกตัวเองไม่ถูกเลยจริงๆ เขาเพียงพยายามกลืนน้ำลายเหนียวหนืดลงคอ มันช่างยากลำบากจนต้องอาศัยน้ำขมๆของเหล้าเทกรอกลงไปเป็นตัวช่วย เขาคล้ายคนโดนของหนักๆโยนทับลงที่อกแบบตูมเดียวจอด พอวางแก้วลงแคปปั้นรอยยิ้มแสนฝืดส่งให้กับคนที่น้องโบว์แนะนำว่าเป็นแฟนของเธอทันทีพร้อมกับนึกในใจว่าเขาควรจะใช้คำพูดอะไรถึงจะดูเหมาะสม
แต่ทว่าในตอนนั้นเองที่เสียงทุ้มเย็นชา ชิงเอ่ยขึ้นก่อน “ยินดีที่ได้รู้จัก”
อ่าา..
คำพูดแรกหลังจากที่ห่างเหินกันไปนานถึงห้าปี แคปมองลึกเข้าไปในดวงตาคมกริบคู่นั้น ไม่นึกไม่ฝันว่าจะต้องมาได้ยินอะไรแบบนี้ เขายังเพียรพยายามปั้นรอยยิ้มให้คงไว้ขณะที่คนพูดอย่างเอสดูเหมือนหางตาจะกระตุกยิบๆ ที่มุมปากประดับรอยยิ้มเหยียดมองหน้าคนที่นั่งจ้องตาเขาอยู่จนแคปต้องกล้ำกลืนก้อนแข็งๆในคอลงไปอีกครั้งก่อนเอ่ยคำพูดเสียดสีทว่าแฝงซึ่งความเป็นจริงขึ้นมา
“ยินดีที่ได้รู้จัก..เช่นกันครับ
แฟน-น้อง-โบว์”
นับตั้งแต่วินาทีนั้น สงครามเย็นก่อตัวขึ้นรอบๆทั้งสองคนที่นั่งใกล้กันแค่ชั่วฝ่ามือเดียว โบว์ถูกเพื่อนๆแซวไม่หยุด เธอแก้มแดงคุยจ้ออย่างร่าเริง คงมีเพียงแต่ปอที่รู้ว่าเอสกับแคปเคยอยู่ในฐานะอะไรกันมาก่อนและสองคนจะมีความกระอักกระอ่วนแค่ไหน
คนนึงเพื่อนสนิท อีกคนเจ้านายเหนือหัว เขาทำได้แค่เพียงนั่งมองอยู่เงียบๆ มองดูคนทั้งคู่ตีสีหน้าแน่นิ่งได้แนบเนียนเกินกว่าที่น้องโบว์หรือใครคนอื่นจะรู้ฐานะ...ที่เคยเป็น
“มึงโอเคนะ?”
ปอขยับเข้ามาถามเสียงเบาใส่ แคปหันไปมองหากแต่ไม่ได้พูดอะไรตอบ ไอร้อนผ่าวแผ่ออกมาจากร่างกายของคนที่นั่งไหล่เกือบจะชิดติดกันกับเขา เมื่อเหลือบไปมองสายตาสองคู่ประสานกันอยู่ชั่วเศษเสี้ยววินาทีก่อนที่เอสหันไปคุยอะไรสักอย่างกับน้องโบว์ ในขณะนั้นเองที่แคปขยับสายตาลงต่ำในหัวคิดปะติดปะต่อเรื่องราวระหว่างคนรักเก่าของเขากับน้องสาวคนเดียวของแบงค์
แคปไม่อยากจะเข้าข้างตัวเองนัก แต่ไม่ว่าคิดสักเท่าไหร่เขาคิดไม่ออก มีเหตุผลอะไรที่เอสต้องเลือกเข้าหาน้องโบว์แบบนี้ ทั้งที่ตัวเองมีคู่หมั้นคู่หมายเป็นตัวเป็นตนอยู่แล้ว
เป็นเรื่องบังเอิญ? เขาไม่ได้โง่ขนาดนั้น
เป็นน้องสาวแบงค์?
เป็นน้องสาวคนสนิทของเขา?
คำพูดในวันเก่าๆของเอสลอยเข้ามาในหัว.....
“เป็นไปไม่ได้..” แคปเผลอพึมพำออกมาอย่างลืมตัว เพียงแค่หวังว่าจะไม่มีใครได้ยินหากแต่เสี้ยวหน้าของคนข้าง ๆ ที่ดูเหมือนกำลังแสยะยิ้มขึ้นเหลือบมองมาที่เขาเพียงครู่ ในมือแกร่งถือแก้วเหล้าเอาไว้แล้วเขย่ามันเบา ๆ ทำให้เขาไม่แน่ใจนักเพราะดวงตาคมคู่นั้นไม่ได้หันมามองที่เขาอีก
“เปลี่ยนที่กับกูไหมมึง” ปอเห็นสีหน้าแคปไม่ค่อยเข้าท่าเขาจึงขยับเข้าไปถามด้วยความเป็นห่วง หากแต่คนถูกถามยังไม่ทันได้ตอบอะไรทั้งนั้น สายตาคมกริบจากเจ้านายของเขากลับตวัดสาดใส่แทบจะทันที ปอรีบล่าถอยออกมาแทบไม่ทัน เอสถึงค่อยเบนสายตาคมออกไปได้แล้วยกแก้วขึ้นจิบต่อแบบสบายๆ ในตอนนั้นเองมีเพื่อนน้องโบว์มาสะกิดเรียกเอสให้ลุกออกไปทำอะไรสักอย่าง
แคปถึงกับถอนหายใจเฮือกใหญ่ “ไงล่ะ หายใจไม่ออกเรอะ” ปอเหล่ถามยิ้มๆ “กูว่าอากาศดีอยู่นะ กลิ่นดินกลิ่นหญ้าก็หอมสะอาดชื่นใจ”
“เดี๋ยวเหอะมึง” แคปหันมาทำตาดุใส่ ปอจึงค่อยยกมือขึ้นทำท่ายอมแพ้ เขายิ้มแห้งๆบอกแซวเล่น แคปจึงชี้หน้ามันไป ก่อนจะล้วงเอาโทรศัพท์มือถือที่กำลังสั่นเรียกเสียงค่อนข้างดังขึ้นมาคุยอะไรสักอย่างกับปลายสายส่งเสียงอือๆออๆ พอกดวางก็บอกปอว่าแบงค์มันจวนจะเสร็จงานแล้ว ปิดเบรคสุดท้ายคงจะหนีออกมาที่นี่เลย
“มันจะมาจริงดิ”
“อืม ก็งานน้องสาวมันนี่หว่า แล้วเดี๋ยวกูมีเรื่องจะคุยกับมึงด้วยนะ งานจบแล้วคุยยาวแน่” ปอฟังแล้วผงะไปนิด เขารีบยกมือยกไม้
“ถ้าเป็นเรื่องน้องโบว์ กูไม่รู้เรื่องนะเว้ย”
เพิ่งรู้เมื่อวานนี้จริง ๆ สาบาน
“เดี๋ยวกูจะเค้นจากมึงนี่แหละ” แคปย้ำชัดๆอีกรอบ ปอถึงกับทำหน้าบึ้ง “ก็บอกแล้วว่าไม่รู้เรื่อง”
แคปนิ่ง หากแต่ใช้สายตาต่อว่าใส่ไอ้ปอเพื่อนรักแทน รายนั้นต้องรีบหลบก่อนแสร้งมองไปที่อื่นอย่างหวาดๆ กำลังจะพูดอะไรขึ้นมาอีกสักอย่างไฟบริเวณนั้นพลันดับมืดลง เสียงเพลงแฮปปี้เบิร์ดเดย์ดังขึ้นจากบนเวที ดนตรีสดวงเล็กบรรเลงเพลงพร้อมบรรดาเพื่อนๆของเจ้าของงานวันเกิด น้องโบว์ลุกขึ้นหันไปสบตากับคนรักของเธอที่ถือเค้กซึ่งถูกจุดเทียนแฟนซีเอาไว้อย่างสวยงามวางลงให้ มีการบันทึกภาพจากเพื่อนฝูงของเธออย่างเป็นกันเอง หลายช็อตต่อเนื่องโดยมีน้องโบว์เจ้าของงานนั่งแย้มยิ้มอยู่ในวงแขนของแฟนหนุ่มรูปหล่อ ใบหน้าเล็กน่ารักภายใต้แสงเทียนสีส้มจากเค้กทั้งสองแบบส่องสว่างดูแล้วงดงามสมวัย
หากแต่แคปไม่อยากมองดูภาพตรงหน้าสักนิด เจ็บแสบเหมือนโดนสะกิดแผลตกสะเก็ดที่กำลังจะแห้งสนิทกลับมาให้ช้ำเลือดช้ำหนองได้อีกครั้ง เขาเลือกที่จะมองไปทางเวทีแทน ต้นไม้ใบหญ้าก้อนกรวดแม่งอะไรก็น่าดูกว่าทั้งนั้นตอนนี้ กว่าทุกอย่างจะผ่านพ้นไปกินเวลาไปชั่วอึดใจ แสงของโคมไฟก็ถูกจุดขึ้นมาเช่นเดิม เพื่อนสนิทของเธอช่วยกันตักเค้กแจก
“นี่ของพี่แคปค่ะ” แคปปั้นหน้ายิ้มรับมาอย่างขอบคุณ จะรู้สึกดีกว่านี้ถ้ามันจะไม่ใช่ชิ้นที่ได้รองจากไอ้คนข้าง ๆ
แน่นอนว่าเธอให้เอสคนแรก
เสียงค่อนแคะในลำคอดังขึ้นมาอีก ไม่ต้องหันดูก็รู้ว่าเป็นใคร แคปโคตรอยากจะเดินออกจากงานนี้ให้ไวเป็นที่สุด
“ขอบคุณครับ” เขารับเค้กชิ้นเล็กมา
“ชิ้นนี้ของพี่ปอค่ะ พี่ปอต้องทานเยอะๆนะคะ แล้วก็ห้ามกลับก่อนด้วย ต้องพาพี่แคปรอพี่แบงค์ก่อนนะ”
ปอยิ้มแห้งรับขนมเค้กจากเธอ บรรยากาศกระอักกระอ่วนยังคงระอุอยู่รอบกายอย่างช่วยไม่ได้ โชคดีที่เสียงโทรศัพท์ของแคปดังและสั่นขึ้นทำลายรังสีถมึงทึงที่เจ้านายเขาเป็นคนแผ่ขยายออกมา ปอเงยหน้าถามเมื่อแคปลุกขึ้นจะเดินออกจากโต๊ะไป
เขาเห็นเอสแอบมองมาด้วย
“รับโทรศัพท์แปป เดี๋ยวกูมา” แคปเดินเลี่ยงออกมายืนคุยอยู่แถวๆกังหันน้ำขนาดใหญ่ของร้านที่หมุนอย่างต่อเนื่อง ซึ่งเป็นโซนทางด้านข้างของร้านที่คนไม่พุกพล่านมากนัก เป็นเจ้าอาร์มันว่างหนักไม่มีอะไรทำเลยโทรมากวน
“ถ้าว่างมากก็นอน แต่ถ้าไม่ง่วงนอนก็ไปหากระดูกมาแทะ” แคปรับปุ๊ปก็โปรยถ้อยคำอันศักดิ์สิทธิ์ปั๊ป
(กูเป็นหมาเรอะไอ้แคป ไปอารมณ์เสียมาจากไหนวะ กูคิดถึงมึงนี่โทรไปไม่ได้อ่อ)
“ได้ยินเสียงมึงแล้วกูยิ่งปวดหัว อยากกระทืบคนอีกด้วย”
(อะไรเนี่ยแคป มึงแม่งกูร้องไห้ดีกว่า) เสียงเจ้าอาร์ง้องแง๊งขึ้นมาแคปถึงยิ้มขึ้นได้สักที “เดี๋ยวกลับไปจะทำให้ร้องไห้เลยจริงๆ”
(ไอ้คนใจร้าย)
“โทรมาไร้สาระ กูจะวางแล้ว”
(เฮ้ยเดี๋ยว!)
“มีอะไรอีก”
(เปล่า ก็แค่ได้ข่าวว่ามึงเจอมันที่งานด้วยเรอะ มึงยังสบายดีอยู่ป่ะวะ) เพราะกลัวแคปจะวางสายไปจริงๆ อาร์รัวคำถามเด็ดออกมาอย่างเร็วเลย
“สวะอาร์ ข่าวเร็วแบบนี้กูควรให้รางวัลใครดี ไอ้หมาปอหรือว่ามึง แล้วไอ้คำถามของมึงหมายความว่ายังไง)
(โถ....แคป เทคโนโลยีมันก้าวไปถึงไหนแล้ว)
“พวกมึงสองตัวแม่ง” กวนสัส
(อย่าทำหน้าบึ้งดิ)
ฟายยย “กูเกลียดพวกมึงจริงๆ” อย่ามาทำเป็นรู้ทันหน่อยเลย มึงจะเห็นหน้ากูได้ยังไง รู้เรอะว่ากูทำหน้าแบบไหนอยู่
(เอาน่า ไอ้ปอมันไม่รู้เรื่องนะเว้ย มันส่งข้อความมาบอกกูเมื่อกี้เอง มึงต้องเห็นใจมันสิวะ ว่าแต่..มึงโอเคใช่ไหม)
“เหอะ...” แคปนึกอยากจะจับไอ้ตัวดีขี้ฟ้องมาบีบคอให้ตายไปสักยก
(ไอ้คาปู พรุ่งนี้เจอกัน มึงโอเคใช่ไหมลองแสดงพลังของมึงให้กูรู้หน่อยซิ นี่กูเป็นห่วงนะ) ทุกครั้งที่อาร์เรียกเขาว่าคาปูนั่นคือต้องการดึงสติ แคปรู้แต่แกล้งเงียบ
“...........”
(แคป ไม่เอาดิวะ)
“...........”
(กูนับถึงสาม มึงด่าออกมา) มึงจะได้สบายใจ
“...........”
(แคป)
“เดี่ยวกูจะกลับไปจัดการมึง ไอ้อ่อนนนน! กล้วยยยยย!!!” ประโยคหลังแคปตะโกนใส่อย่างดัง ทำเอาอาร์หัวเราะพอใจที่แคปด่าออกมาได้
(ว๊าวพี่แคปด่าออกมาได้ขนาดนี้ผมนี่เตรียมถุงยางเลยครับ)
“ถุงยางนั่นเด็กๆฮะ อย่างมึงกูแจกสดเลยฮะน้องอาร์ฮะ อยากได้บัลลังก์ทองไหมน้อง”
เสียงเจ้าอาร์หัวเราะลั่นออกมาจากปลายสาย หลังจากโดนด่าต่อไปอีกนิดรายนั้นก็บอกอยากจะวางแล้วหูชาบลาๆๆ แคปจึงกดตัดสายวางไปอย่างหงุดหงิดแกมหัวเสีย เขาถอนหายใจก่อนมองดูเวลาพลางนึกไปว่าเดี๋ยวเจ้าแบงค์มาคงต้องขอตัวกลับกันเลย
อยู่นานนักหายใจไม่ค่อยออกอย่างที่ปอมันถามจริงอย่างว่า
พลั่ก!!!พอหันกลับมาตัวทั้งตัวกระแทกเข้ากับแผงอกของใครสักคนแรงจนเขาเซแถ่ดๆ “ระวังหน่อย” เสียงทุ้มของเจ้าของมือใหญ่ที่คว้าต้นแขนเขาเอาไว้เอ่ยขึ้นเรียบๆ แคปกำลังจะเอ่ยปากขอบคุณพอเห็นว่าเป็นใครแค่นั้นแหละ ทุกอย่างกลับหยุดชะงักไว้แค่ตรงนั้น
เมื่อสายตาสองคู่ประสานกันเพียงชั่วแวปเดียว แคปสาบานได้ว่าเขามองเห็นความรู้สึกน้อยอกน้อยใจประทุอยู่ในสายตาคู่นั้น
แต่นั่นก็แค่แวปเดียว
เพราะหลังจากนั้นมันก็ถูกเกลื่อนไว้ด้วยนัยน์ตาที่เย็นชาราวกับหุบเหวดำมืด ลึกจนเกินจะหยั่งเช่นเดิม ฝ่ามือใหญ่ปล่อยแขนเขาออกแล้วและเอสไม่ได้พูดอะไรต่อ ร่างสูงใหญ่เพียงแค่เบี่ยงตัวออกจากตรงจุดนั้น กำลังจะเดินมุ่งไปที่ทางเดินแคบๆก่อนถึงห้องน้ำ เรื่องทุกอย่างคงจะจบอยู่แค่นั้นหากว่าไม่ใช่เป็นเขาเองที่กลับทำเรื่องไม่คาดฝันเมื่อแคปก้าวยาวๆเพียวแค่สองก้าวแล้วฉุดรั้งเอาแขนอีกคนดึงกลับมา “เดี๋ยว!”
แม้แต่ตัวเองยังตกใจ...
“มีอะไร”
คนถูกดึงหันมาถามด้วยน้ำเสียงเย็นชาไร้ความรู้สึก ใบหน้าคมเข้มเรียบนิ่งราวกับว่ามันก็แค่หันมาถามใครสักคน คนที่บังเอิญรู้จัก ไม่ก็คนที่เคยเห็นหน้ากันห่าง ๆ อะไรเทือกนั้น ซึ่งทำให้หัวใจคนรั้งกระตุกวูบ จุกจนเจ็บทว่าแคปสังเกต..ในแววตาคมคู่นั้นนิ่งสนิท ราวกับว่าความรู้สึกน้อยอกน้อยใจที่เขาเห็นเมื่อสักครู่เพียงแวปเดียวนั้น ทุกอย่างเป็นภาพลวงตา
“ถ้าไม่มีอะไรแล้วคุณจับผมทำไม” คนพูดไล่สายตาลงมองมือของแคปที่ยังรั้งท่อนแขนเขาเอาไว้ ใช้สายตาบอกให้รู้กลายๆว่าให้ปล่อย
สรรพนามที่ห่างเหินทำเอาแคปถึงกับชะงักไปชั่วครู่ รีบปล่อยมือออกแทบไม่ทัน เขาชั่งใจอยู่ชั่วขณะแต่ในที่สุดก็ตัดสินใจพูดบางอย่างออกมา “ผมมีเรื่องอยากจะถาม ขอรบกวนเวลาสักครู่” เราสองคนห่างกันเกินจะเรียกความสนิทอย่างวันเก่าๆคืนมาได้อีกต่อไปแล้ว พูดแบบนี้คิดว่าน่าจะเหมาะสม
“ถามใคร? ผมเหรอ”
“ใช่ ถามคุณ” คนตอบไม่รู้ด้วยซ้ำว่าน้ำเสียงตัวเองแผ่วจางลงแค่ไหน ทว่าเขาก็กลับมาเกลื่อนความรู้สึกของตัวเองได้ดี เมื่อคู่สนทนายังทำสีหน้าเรียบเฉยได้
“ว่ามาสิ”
แคปจ้องมองคนที่พูดกลับมาแบบห้วนๆ น้ำเสียงไร้เยื่อใยประหนึ่งคนไม่เคยรู้จักกันมาเลย เขามองดูอีกฝ่ายให้เต็มตาหลังจากที่ไม่เคยได้พบใกล้ๆอย่างนี้เลยแม้สักครั้งในรอบห้าปีเต็มที่ผ่านมา
รู้ว่าเป็นตัวเองทั้งนั้นที่ปล่อยมือ รู้ว่าเป็นตัวเองทั้งนั้นที่เลือกทอดทิ้งความรักเมื่อวันวาน เขาเองที่ปล่อยมือจากคนๆนี้เพื่อเลือกยืนเคียงข้างครอบครัว ในตอนนั้นเขายังเด็กนัก อ่อนแอและไม่มีความกล้าหาญที่จะต่อสู้เพื่อรัก เขาจึงต้องสูญเสียคนตรงหน้าไป
ทว่าวันนี้ไม่เหมือนเมื่อครั้งวันวาน ความกล้าหาญของเขาเติบโตขึ้นถึงขั้นแอบคิดไปว่าถ้าหากเราสองคนได้กลับมารักกันอีกสักครั้ง เขาจะยอมแลกทุกสิ่งทุกอย่างที่มีเพื่อให้ความรักของเรานั้นคงอยู่ตลอดไปหรือไม่ แต่ก็อย่างว่า...ทุกอย่างต้องเปลี่ยนแปลงไปตามกาลเวลา หัวใจของคนเราก็เช่นกัน โดยเฉพาะหัวใจของคนตรงหน้าที่แสดงให้เห็นแล้วว่ามันเปลี่ยนไปหมดแล้วจริงๆ
แคปแค่นยิ้มสมเพชให้กับตัวเอง คนโง่ที่สมควรแล้วกับการต้องเสียใจและเจ็บเจียนตายเมื่อเห็นเขามีใครคนใหม่ที่กลายเป็นเจ้าของหัวใจดวงนั้น ผ่านมาจนถึงตอนนี้คำว่าเสียใจ...ก็คงไม่เพียงพอให้ใครบางคนหวนกลับคืน
“ผมอยากคุยกับคุณเรื่องของโบว์” แคปถอนหายใจก่อนพูดออกมา คนตรงหน้าเบนสายตาเย็นชามอง “ทำไมล่ะ”
“คุณรักชอบน้องสาวผมจริงหรือ?” ถามเองก็ยังรู้สึกเสียดๆ แอบหวังว่าจะเห็นคำตอบบางอย่างจากดวงตาคมคู่นั้นบ้าง หากแต่มันก็ยังเย็นชาราวกับคนไร้ความรู้สึกอยู่เช่นเดิม
“ผมรู้มาว่าคุณมีว่าที่คู่หมั้นอยู่แล้ว”
“แล้วยังไง” เคยสนใจด้วยเหรอ
“ถ้าคุณไม่คิดจะจริงจังกับน้องผม ก็รบกวนทำเรื่องราวต่างๆให้ชัดเจนด้วย”
“นายมีน้องสาวตั้งแต่เมื่อไหร่?” เสียงทุ้มสวนวูบขึ้นเมื่อดวงตาคมกริบหรี่ลงแล้วล็อคนัยตาอีกคนไว้ราวกับมีพลังดึงดูดมหาศาล ความรู้สึกน้อยใจท่วมท้นขึ้นมาจนจุก เมื่อเขาได้ยินแคปเรียกเต็มปากว่าน้องสาวแบบนั้น คงสนิทกับพี่ชายเธอมากน่าดู
“เท่าที่รู้ เธอไม่ได้ใช้นามสกุลเดียวกับนายนี่”
“คุณรู้อยู่แล้วว่าโบว์เป็นใคร ผมแค่อยากจะบอกคุณไว้ว่าถ้าหากคุณรักชอบเธอจริงๆก็รบกวนทำทุกอย่างให้มันชัดเจน”
“แล้วมันไม่ชัดเจนยังไง? นี่ผมก็อนุญาตให้เธอใช้สถานะแฟนแล้วยังจะเอาแบบไหนอีก”