“กินอะไรกันดี มึงหิวหรือเปล่ากินอะไรมาหรือยังวะ” แคปนั่งลงแล้วถาม แบงค์มองที่บ่อปลาเห็นปลาคาร์ฟสีส้มคู่ใหม่ที่แคปมันเพิ่งจะโทรไปอวดว่ามีลูกค้าเอาเข้ามาฝากเฮียโก้เมื่อวันก่อน น่าจะเป็นสองตัวนี้แน่ ๆเพราะว่ามันยังตัวเล็ก
“กินแล้วเมื่อกี้ เฮียโก้ทำแซนวิชให้”
“อ้อ มิน่าล่ะ”
“มิน่าอะไร”
“ก็มิน่าล่ะทุกทีมึงจะเข้าไปหากูเลยนี่หว่า มันแปลกไม่ใช่หรือไงวันนี้มึงเข้ามาช่วยที่ร้านเนี่ย”
“กูไม่ได้เห็นแก่กินเหอะ”
“หึหึ กูเชื่อมึงหรอก”
“เชื่อได้นะ เชื่อกูได้”
แบงค์ชี้ให้แคปดูปลาแล้วถามว่าใช่ตัวใหม่หรือเปล่า แคปพยักหน้าพร้อมกับเอาอาหารปลามาตักโปรยให้ สองคนนั่งหัวเราะกัน ในตอนนั้นโก้เดินถือฮันนี่โทสกับกาแฟเย็นแบบกระติกออกมาเสิร์ฟให้ แบงค์รีบลุกขึ้นรับเอาแล้วกล่าวขอบคุณขณะที่แคปโวยวายใหญ่บอกว่าทำไมวันนี้เฮียโก้ถึงใช้ลูกแบล็คเบอรี่แทนผลเชอรี่สีดำที่แคปชอบกิน
“มากเรื่องจริงนะเรา ลูกน้องอาฟี่เขาอุตส่าห์เอามาฝากจากเชียงราย ของหายากแบบนี้พ่อตั้งใจทำให้เรากับแบงค์กินกันห้ามบ่น”
“แล้วของเจ้าอาร์ล่ะครับพ่อ” แคปยังนึกไปถึงอาร์ แบงค์เหลือบมองแกล้วก็อดชื่นชมไม่ได้ รักเพื่อนจริงๆจังๆ
“แบ่งไว้เรียบร้อยแล้ว ก็ลองไม่เก็บไว้ให้สิ คุณผู้จัดการเขาโวยพ่อแน่ ๆ ล่ะ” แคปยิ้มตักไอติมวนิลาที่ติดน้ำผึ้งเหนียวๆและผลแบล็คเบอรี่สีเข้มขึ้นมาเข้าปาก จากนั้นทำหน้าหยี บอกแต่เปรี้ยวๆๆๆ โก้จึงตีแขนไปเบา ๆ แคปรีบประท้วงไปทางแบงค์
“ไม่เห็นอร่อยเลย เปรี้ยวจี๊ดกูว่ามึงไม่ต้องกินหรอกแบงค์เดี๋ยวกูกินคนเดียวเอง”
“เรื่องอะไรกูเองก็อยากกินนะ วางช้อนลงสิ ถือทำไมตั้งสองคัน”
เด็กไม่รู้จักโตสองคนนั่งต่อล้อต่อเถียงกันโก้อมยิ้มแล้วจึงส่ายหัว แคปมันก็คือแคปชอบแกล้งแบงค์กับอาร์แต่ไหนแต่ไร นี่ถ้าเจ้าปออยู่ด้วยอีกคนมิวายโดนมันแกล้ง สรุปกว่าแบงค์จะได้กินเห็นทีลูกชายเขาคงจะซัดลูกแบล็คเบอรี่ไปจนเกือบหมดแหง ๆ
“ทานกันไปนะเดี๋ยวพ่อเข้าไปดูในครัวหน่อย อ้อ..แล้ววันนี้ทั้งสองคนต้องลองเมนูใหม่ให้พ่อด้วย กำลังทดลองอบเค้กข้าวกล้องอยู่ ไม่รู้ว่าจะหวานไปหรือเปล่าพอดีว่าพี่พายเขาได้ข้าวกล้องหอมมะลิสดใหม่มา พ่อเลยลองเอามาดัดแปลงเป็นเมนูใหม่ของร้านเรา”
“เค้กข้าวกล้อง?” แคปที่ตักไอติมเข้าปากคำใหญ่มาก ๆ เงยหน้าถาม โก้พยักหน้าบอกใช่
“ฤดูข้าวใหม่ ข้าวจะหอมมากเป็นพิเศษ ถ้าเราเอามาทำเป็นขนมอบพ่อคิดว่ามันคงจะอร่อย”
“เดี๋ยวผมจะลองชิมครับ” ปกติแคปกับเฮียเต้จะเป็นตัวทดลองสำหรับเมนูใหม่ๆของโก้เสมอ แต่เดี๋ยวนี้เฮียเต้ไม่ค่อยได้กลับบ้าน หน้าที่นั้นจึงเปลี่ยนมือมาเป็นของแคปอาร์และแบงค์สามคนแทน
โก้เดินเข้าไปในร้านแล้ว แคปกับแบงค์นั่งกินของหวานไปเรื่อย ๆ ก่อนจะคว้าเอากระติกกาแฟที่เสียบหลอดดูดสองหลอดขึ้นมาพร้อมกัน
“กูก่อน” แคปทำหน้าไม่ยอม แบงค์อยากแกล้งจึงไม่ยอมปล่อยมือแล้วกดเสียงให้ต่ำๆบ้าง “กูสิก่อน”
“.............” กูโกรธ
“มึงขี้โกงว่ะแคป” ในที่สุดแบงค์ยอมปล่อยมือ เขาก็แค่แกล้งแต่เจ้าแคปมันทำหน้าโกรธเสียสมจริงไม่รู่จะทำยังไงแพ้มันทุกที เลยต้องยอมให้แคปมันกินไปก่อน
เล่นกันแบบเด็กๆอยู่นานสองนาน แบงค์จึงถามขึ้นมาเรื่องของสัปดาห์ก่อนที่แคปเข้ากรุงเทพพร้อมกับอาฟี่ ขากลับแทนที่จะได้กลับมาด้วยกันที่ไหนได้พอโทรหาแคปกำลังนั่งรถกลับพร้อมอาฟี่พอดิบพอดี ระหว่างนั้นแบงค์จึงไม่รู้ว่าแคปเข้ากรุงไปเพื่อทำอะไร
“กูถามได้ไหมล่ะ” เกริ่นๆไว้แล้ว คิดว่าน่าจะถามสิ่งที่คาใจอยู่ แบงค์ตักไอติมไว้ที่ช้อนอีกครั้ง ก่อนเหลือบมอง แคปส่งกาแฟให้
“เข้าไปหาไอ้ปอไง”
“ที่รัชชาน่ะเหรอ”
“ใช่ ตึกรัชชานั่นแหละ”
“ทำไมถึงไปที่ตึกนั่น ห้าปีมานี้มึงไม่เคยคิดจะเหยียบไปที่นั่นเลยใช่ไหมล่ะ”
“............”
“ไปหาแค่เพื่อนมึงจริงหรือ”แบงค์ตักขนมปังขึ้นมา เขาเงยหน้ามองแคป
“ไอ้แบงค์ บางทีนะหลายๆอย่างมันก็โตขึ้นว่ะ รวมถึงความเข้มแข็งของใจกูด้วย”
“กำลังจะบอกกูว่าอะไร”
“กูไปหาไอ้ปอจริง แต่ที่สำคัญกว่านั้นคือไปหาเจ้านายมันด้วย” พริบตานั้นแบงค์นึกเรื่องน้องสาวตัวเองขึ้นมา นั่นเป็นสิ่งที่เขาไม่อยากให้เกิดขึ้นที่สุด คือแคปไปขอนัดเจอเอส
“บางที กูคิดว่ามีหลายสิ่งหลายอย่างที่ต้องคุยกับมัน”
“หรือว่ามึงไปคุย...เรื่องน้องโบว์” แบงค์วางช้อนลง
“เรื่องนั้นก็ด้วย” แคปตอบรับเสียงอ่อน ความเป็นจริงเริ่มจากเรื่องนั้นก็ถูก
“ทำไมวะ เรื่องของน้องกูก็ให้กูจัดการเองสิ”
“กูคุยให้ กูคิดว่ากูควรจะเป็นคนคุยให้” ต้นเหตุมันมาจากกู คิดว่านะ..
“ใครบอกล่ะว่ามึงควรจะเป็นคนคุยให้ ไม่ใช่ว่ารู้สึกไปเอง คิดไปเอง อยากจะไปคุยกับมันเองแบบนั้นหรือเปล่า”
“ก็ถ้าใช่แบบนั้นแล้วกูผิด?” แคปสวนขึ้น เสียงแข็งขึ้นนิดๆด้วย
“จะคืนดีกันแล้ว?”
“เลิกพูดเถอะว่ะแบงค์” แคปส่ายหัวแล้วลุกขึ้นทันที ขณะที่แบงค์เองก็เร็วไม่แพ้กันคว้าหมับเอามือเล็กไว้แล้วบีบจนอีกคนรู้สึก
“เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับมึงหรอก ปล่อยกูได้แล้ว”
“ไม่เกี่ยวได้ยังไง ไหนว่าไปคุยกับมันเรื่องน้องสาวกู แล้วทีแบบนี้บอกกูไม่เกี่ยว?”
“แบงค์ปล่อยมือ กูเจ็บ”
“ไปหามันมากี่อาทิตย์แล้ว”
“กูไปหาไอ้ปอ ปล่อยมือกูก่อนไม่งั้นไม่คุย” คราวนี้แคปถึงกับใช้น้ำเสียงเด็ดขาด จ้องหน้าแบงค์จนนัยน์ตาสั่น คนที่นั่งมองโต้ตอบกันแววตาอ่อนยวบลง
สุดท้ายยอมปล่อยมือออก แต่ดวงตาคมยังตรึงอยู่กับใบหน้าเล็กของแคป คนถูกจ้องถอนหายใจเฮือกใหญ่ “กูเคยพูดหลายรอบแล้วใช่ไหมแบงค์”
“...................”
“มึงต้องทำใจสิวะ กูเคยบอกมึงไปแล้วนี่”
“แล้วอาทิตย์นี้จะไปอีกไหม”
“จะให้กูตอบเหรอ”
“ถ้าจะเข้าไปก็นั่งรถไปกับกู กลับวันไหนเราก็กลับด้วยกัน”
“แต่กูจะไปหาไอ้ปอนะ” ไปหาเจ้านายมัน
“กูรู้หรอก สิ่งที่มึงกำลังทำ” ไม่ใช่แค่ไปหาปอแน่นอยู่แล้ว ถึงอย่างนั้นแบงค์ก็ยังอยากให้แคปนั่งไปด้วยกันเหมือนเดิม
“กูจะเข้าไปวันพฤหัสแล้วจะกลับวันเสาร์ ปกติมึงจะทำงานเสร็จคืนวันศุกร์ จะรอกลับพร้อมกูแบบนั้นเหรอ ค้างคืนเพิ่มอีกวันนะ”
“กูรอได้” ห้าปีกูก็รอมาแล้ว
“แบงค์...มันไม่จำเป็นเลยว่ะ ถ้ามึง...”
แคปพูดไม่ออก จริง ๆ แล้วประโยคที่อยากจะพูดเต็มๆก็คือ มันไม่จำเป็นเลย ถ้ามึงอยากจะไปจะมาตอนไหนมึงทำได้ทั้งนั้น
แต่แคปก็เลือกที่จะไม่พูดให้ครบถ้วนทั้งประโยค
“วันนั้นมึงค้างที่ไหน”
“ค้างห้องอาฟี่”
“แล้วครั้งนี้ล่ะ”
“กะจะค้างห้องไอ้ปอ”
“ถามครั้งสุดท้าย...”
“ถามว่า..”
“ที่มึงจำเป็นต้องคุยกับมัน เพราะเรื่องน้องโบว์อย่างเดียวใช่ไหม”
“ส่วนนึง”
แล้วส่วนที่เหลือ??
“.............” แบงค์ไม่ได้ถามต่อ เขาก็แค่เงียบไป สำนึกในใจบางอย่างเริ่มทำงาน
“..............”
กาแฟพร่องลงไปแล้ว
ขณะที่ไอศรีมในฮันนี่โทสละลายเยิ้มลงมาจากภูเขาขนมปัง
แคปจิ้มกล้วยหอมที่ถูกหั่นเป็นชิ้นๆขึ้นมากิน เขาส่งให้แบงค์ด้วย
“มึงเป็นทั้งเพื่อน เป็นทั้งน้อง กูเคยบอกตัวเองหลายทีอยู่นะ ว่าโชคดีจริงๆที่เราสองคนได้มารู้จักกันเจอกัน ถึงแม้ตอนแรกจะรู้จักกันแบบแปลกๆก็เถอะ”
กว่าแบงค์จะยื่นมือออกไปรับกล้วยชิ้นนั้นมาก็น่าจะใช้เวลาไปพอสมควร ทว่าแคปเองก็อดทน สองคนไม่ได้พูดจาอะไรกันกระทั่งเสียงจอแจดังขึ้นที่ด้านหน้า อาร์ออกไปส่งลูกทัวร์คณะเล็กๆขึ้นรถเสร็จภาระกิจแล้วจึงวิ่งขึ้นมาหาแคป คนที่ไม่รู้เรื่องอะไรคว้ากระติกกาแฟขึ้นมาดูดก่อนเอาช้อนส้อมในมือแคปตักขนมปังฉ่ำไปด้วยน้ำผึ้งกินคำใหญ่
“คุยเหี้ยไรกันวะหน้าตาซีเรียสเชียว”
“เสร็จแล้วเหรอ” แคปเงยหน้าถาม อาร์เคี้ยวขนมเต็มปากส่ายหน้าบอกยังไม่เสร็จ
“เดี๋ยวกูจะเข้าไปดูคณะใหญ่ต่อ ถ้ามึงว่างก็ค่อยตามเข้าไปละกัน อยู่ที่จุดอาหารนะแคป มึงด้วยไอ้แบงค์ ถ้าไม่ได้ทำอะไรก็ตามกูเข้าไปซะ ช่วยๆกันหน่อยวันนี้ลูกค้าเข้าเยอะว่ะ”
พูดจบก็วิ่งหน้าตั้งไปจับเอารถกอล์ฟขับหายเข้าสวนไป แคปหันไปหาแบงค์แล้วชี้ที่มือนั้น แคปยังจับส้อมคันเล็กๆที่จิ้มกล้วยหอมค้างอยู่เลย
“กินดิวะ เฮียโก้อุตส่าห์ทำให้อร่อยนะมึง”
แบงค์นั่งจ้องหน้าคนพูดยู่สักพักในที่สุดกินมันลงไปแล้ววางส้อมลง
“แดกเหล้ากันไหมวะแคป แดกที่ไหนก็ได้ มึงกับกู”
“...............” แคปจ้องหน้าไอ้คนชวน นัยน์ดวงตากลมเหมือนกับว่ากำลังค้นหาความหมายอะไรสักอย่างในคำชวนนั่น
บริสุทธิ์ใจ
หรือไม่บริสุทธ์ใจ
ความหมายแฝงที่เขาตั้งใจจะบอกไม่รู้ว่าจนถึงตอนนี้แบงค์จะเข้าใจเขาหรือเปล่า
ทว่าแบงค์ก็แค่ส่ายหน้า...เป็นเชิงว่าอย่าคิดอะไรมาก
“เป็นแค่เพื่อน ก็ชวนแดกเหล้าสิวะ จะชวนมึงแดกอะไรได้ล่ะ”
“หึ...” แคปพ่นลมหายใจก่อนเบือนหน้าไปอีกทาง
คำพูดปลดแอก
คำพูดที่ปลดภาระบนบ่าที่แสนจะหนักอึ้ง
ถ้าหัวใจยิ้มให้กับมิตรภาพได้ ณ ตอนนี้ หัวใจเขากำลังอมยิ้มอยู่แน่
“แดกไหมมึงอ่ะ”
“จัดติ๊ล่ะ กูพร้อมเสมอ อ่อนโยนได้แต่ไม่อ่อนแอนะครับเคยบอกมึงหลายครั้งแล้วใช่ไหม”
“หึหึ..” แบงค์ส่งเสียงหนักอึ้งในลำคอ ก่อนส่งยิ้มเหือดแห้งมองมาที่แคป
ความรู้สึกผิดหวังที่แคปรู้จักและเข้าใจดี
บางครั้งบางทีคนหนึ่งคนก็จำเป็นต้องเผชิญ
โชคชะตาที่นำพาให้มารู้จักและใกล้ชิดกัน สุดท้ายแล้วคงเปลี่ยนแปลงอะไรไม่ได้
เพื่อนอย่างไรเสียก็คือเพื่อน
รุ้นน้องจะอย่างไรก็คือรุ่นน้อง
หากหัวใจไม่เคยคิดเป็นอื่น
ไม่ว่าฟ้าถล่มดินทลายอย่างไร
ทุกอย่างในหัวใจ ยังมั่นคงไม่เปลี่ยนแปลง
คนที่เขารัก...มีแค่คนเดียว
ในชีวิตของปอ เขาคิดว่าคำว่ามิตรภาพนั้นสำคัญยิ่งกว่าความรัก ถ้าหากต้องให้เลือกระหว่างความรักหรือมิตรภาพแน่นอนว่าเขาเลือกอย่างหลังแบบไม่ต้องสงสัย เพราะอย่างนั้นคนแบบเขาจึงไม่เคยคบผู้หญิงคนไหนได้นาน และเขาเองก็รู้ว่าไม่เหมาะที่จะคบกับใครหน้าไหนทั้งนั้น ความรักที่ทุ่มเทเพื่อเธอไม่ได้ ซ้ำยังยึดติดกับเพื่อนฝูงที่ใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันมานาน ทำให้เขานึกทึ่งและศรัทธาในตัวเจ้านายของเขาเป็นอย่างมาก ผู้ชายที่เลือกความรักมาเป็นที่หนึ่ง ผู้ชายที่เลือกคนที่รักเป็นคนสำคัญ เป็นเป้าหมาย เป็นทุกๆอย่าง ทุ่มเทเพื่อคนที่รัก อดทนเพื่อรอให้มีวันนั้นด้วยกัน และทำทุกอย่างเงียบๆเพื่อปูทางให้ได้คนรักของตัวเองกลับคืนมา...
ห่างออกไปจากสายตาราวสิบเมตร เป็นรั้วรอบขอบชิดของบ้านสวยภายในซอยใหญ่ ยี่สิบนาทีก่อนหน้านี้เจ้านายของเขาหอบช่อดอกไม้ขนาดใหญ่เดินเคียงคู่กับนายหญิงแห่งรัชชาเข้าไปขอพบคุณหญิงคนงามเจ้าของบ้าน ฝ่ายนั้นถึงกับกุลีกุจอออกมาต้อนรับ แต่ทว่าจากสีหน้าที่เห็นคิดว่าคงจะรู้อยู่ก่อนหน้าแล้วว่าเจ้านายสองท่านของเขามาขอพบด้วยสาเหตุอันใด
ร่างสูงสง่าค้อมศีรษะลงให้อย่างสุภาพเป็นครั้งที่สอง คุณหญิงยื่นมือออกไปกุมมือคุณมินตราไว้แล้วคุยอะไรกันบางอย่างฝ่ายนั้นส่งยิ้มอ่อนบางหากแต่เต็มไปด้วยร่องรอยแห่งความผิดหวัง สุดท้ายแล้วเธอเดินตามออกมาส่งเจ้านายสองคนของเขาถึงที่รถ ใบหน้าสวยที่ดูดีอยู่เสมอดูเซียวลงอย่างเห็นได้ชัด ปอเปิดประตูรถให้คุณหญิงขณะที่เอสหันไปมองหน้าเธออีกครั้งพร้อมกับจับศีรษะเล็กโยกเบาๆอย่างโอนโยนในแบบที่ไม่เคยทำกับเธอมาก่อนเลยแม้แต่ครั้งเดียว
“เป็นเด็กดีนะ ดูแลตัวเองดีๆ”
น้ำตาทะลักทะลายออกมา มินตราร้องไห้โฮอย่างห้ามไม่อยู่ เสียงเล็กๆกลั้นสะอื้นอย่างเจ็บปวดเมื่อคนที่เธอรักที่สุดเข้ามาขอยกเลิกการหมั้น ถึงแม้จะไม่ใช่การหมั้นหมายอย่างเป็นทางการ ทว่าหัวใจของเธอ ณ เวลานั้นจนถึงทุกวันนี้มีความสุขสุดแสน เขาไม่เหมือนกับผู้ชายคนอื่น อ่อนโยนทว่าเย็นชา ทุกอย่างในตัวเขาล้วนมีเสน่ห์ดึงดูดจนไม่อาจละสายตาได้ คำโจษจันมากมายปรามาศเธอไว้ว่าไม่มีทางจะกลายเป็นผู้หญิงคนสุดท้ายของเขาได้ ความเป็นจริงที่เธอรับรู้ตั้งแต่วันแรกที่ได้พบกับเขา ทั้งหัวใจและในดวงตาของเขามีใครอีกคนจับจองอยู่ก่อนแล้วแต่เธอไม่เคยรู้เลยว่าคนในดวงตาของเขาคือใคร
ไม่มีใครอยากเห็นภาพน่าเศร้าใจแบบนั้น คุณหญิงแห่งรัชชาถึงขนาดเบือนใบหน้าไปอีกทางแล้วซับหยาดน้ำตาที่ไหลซึม
รถแล่นออกมาจากตรงนั้นแล้ว ปอมองภาพของเธอที่ไกลขึ้นเรื่อยๆผ่านกระจกมองหลัง มินตราเป็นผู้หญิงที่ยิ้มสวยอยู่เสมอ สดใสร่าเริง ไม่เคยสร้างความหนักใจให้กับใคร มองโลกในแง่ดีไม่เย่อหยิ่งและเข้าใจอะไรได้ง่าย ๆ เขาคิดว่าถ้าหากไม่ใช่เพื่อนของเขาที่เป็นคนกุมหัวใจเจ้านายเขาอยู่หมัด ผู้หญิงคนนี้อาจจะเป็นคนที่เหมาะสมที่สุดแล้วก็ได้
ในวันพฤหัสบดีที่แดดร้อนจัดยามบ่าย เข้ากรุงคราวนี้แบงค์ขับรถมาส่งแคปถึงหน้าอาคารกระจกสูงใหญ่ของรัชชา
“แล้วตอนเย็นเอาไง” คนขับมองตึกสูงชันที่ตั้งตระหง่านอยู่ต่อหน้าผ่านแว่นกันแดดสีเข้ม ก่อนที่เขาจะหันมาถามคนที่มาด้วยกัน แคปคว้าเอากระเป๋าสะพายใบใหญ่สีดำคาดบ่า
“คงไปหาอะไรกินกับไอ้ปอ”
“แล้วคืนนี้....”
“เหมือนเดิมเว้ย เดี๋ยวกูโทรหา ถ้าไม่โทรก็แปลว่ากูออกไปเมากับมัน อาจจะค้างเลยมึงไม่ต้องเป็นห่วงหรอก”
“ถ้าเมาโทรมาก็ได้ เดี๋ยวออกไปรับ”
“เออน่าไม่ต้องห่วงกูหรอก” แคปพยักหน้าบอกไม่ต้องเป็นห่วงเขามองทางแล้วเปิดประตูจะลงแต่แบงค์คว้าเอาท่อนแขนเล็กไว้ “บอกกูก่อน ถ้าเมาจะโทรมา”
“นี่กูพี่มึงนะไอ้เหี้ยแบงค์ อะไรจะมาเคี่ยวเข็ญกูขนาดนี้วะเนี่ย” แคปดึงข้อมือออกพร้อม ๆ กับตบหน้าผากไอ้คนทำหน้าโคตรห่วงไปเบา ๆ หนึ่งที แบงค์กัดปากหน้านิ่ง หน้าตาทำเอาแคปใจอ่อนลง “กูรู้แล้วน่า ถ้าเมาจะโทรหามึงละกัน”
“ทุกเวลานะ”
“ครับๆทุกเวลาครับพี่แบงค์ครับ แบบนี้ไหมพอใจมึงยัง” แคปประชด เลิกคิ้วทำหน้ากวนๆใส่ แบงค์จึงค่อยยกยิ้มบางออกมาได้
“ก็คนมันห่วงนี่หว่า”
“กูพี่มึงแบงค์ ที่สำคัญกูดูแลตัวเองได้”
“ก็นั่นแหละ ยังไงก็ห่วงเหมือนเดิมอ่ะ”
“เออๆๆช่างเหอะขอบใจที่ห่วง กูลงแล้วนะเว้ย ดึกๆค่อยเจอกันตั้งใจทำงานนะมึง”
“รู้แล้ว..”
แบงค์ตอบรับเสียงเบาแคปรีบหันหน้าหนีไม่อยากจะมองคนที่หน้าหงอยลง เขากึ่งเดินกึ่งวิ่งขึ้นบันไดก่อนจะผ่านประตูกระจกหมุนอัตโนมัติ ยื่นบัตรแล้วตรงไปที่ลิฟต์แก้วแฝดซึ่งตั้งอยู่กลางทางเดินโอ่อ่าที่ทอดยาว
มนุษย์เงินเดือนในวันทำงานเดินสวนกันขวักไขว่ ที่อกเสื้อของทุกคนบ้างแขวนป้ายชื่อสีเงินพร้อมตำแหน่งไว้ บ้างหนีบป้ายสีทองติดไว้กับปกเสื้อนอก แคปยืนรอลิฟต์ไปก็มองนั่นมองนี่ไป แต่สิ่งที่กระแทกสายตาค่อนข้างแรงคือยัยป้าแว่นจอมเฮี้ยบที่เดินเลี้ยวออกมาจากมุมหนึ่งของตึกฝั่งขวา ไม่ห่างจากจุดที่เขายืนอยู่สักเท่าใดนัก เธอในชุดพนักงานออฟฟิศสาวโทนสีน้ำตาลทั้งตัวแต่วันนี้เพิ่มพร็อพผ้าพันคอคงเป็นเพราะอากาศที่เริ่มหนาวขึ้นมานิดๆ จะว่าไปเธอก็ไม่ได้ดูแก่มากมายอะไรนี่หว่าตอนแรกเขาเคยทายอายุไว้น่าจะสักประมาณสี่สิบต้นๆแต่ดูดีๆวันนี้ในตอนเผลอ เขากลับคิดว่าความจริงเธอน่าจะสักสามสิบเท่านั้น แคปเห็นเธอเรียกพนักงานสาวหน้าฟร้อนท์คนหนึ่งเข้ามาอบรมอะไรสักอย่าง คนถูกเรียกหน้าซีดหน้าเหลือง แคปไม่อยากเห็นภาพแบบนั้นเขารีบหันหน้าหนีพลางสบถพึมพำ
“คนอะไรยังไม่แก่สักหน่อย ทำตัวรีบแก่ไปถึงไหน โหดเป็นบ้ายัยป้านี่”
“สวัสดีค่ะ วันนี้คุณก็มาพบท่านประธานหรือคะ”
!!!แคปสะดุ้งโหยงหันขวับกลับมาแทบไม่ทัน อะไรกันวะเมื่อกี้ยังยืนด่าคนอยู่ไกลๆโน่นเลย ทำไมเดินมาถึงตัวเขาได้ไวขนาดนี้!! โอยยย ยัยป้ามหาภัยน่ากลัวเป็นบ้า แน่ะๆ มีขยับแว่นที่ร้อยด้วยลูกปัดเชยๆยืนยันความเป็นมนุษย์ป้าของตัวเองอีกต่างหาก
“คะ...ครับ ใช่ครับ”
อย่ามองแบบนั้นครับโผม ผมแค่มาหาแฟนผมเฉยๆไม่ได้มาหลอกขายประกันใครน๊าาา
“ยินดีต้อนรับนะคะ และดิฉันต้องขอโทษคุณอีกครั้งสำหรับเรื่องวันนั้น ลิฟต์มาแล้วล่ะค่ะเชิญเลย” เธอยิ้มกว้างกล่าวเวลคัมกับแคป ซ้ำยังพูดเรื่องผิดพลาดของเธอในวันเก่าก่อน จากนั้นตบท้ายด้วยการผายมือเล็กเชื้อเชิญแคปให้ก้าวเข้าไปด้านใน ท่าทีเฮี้ยบๆที่เปลี่ยนไปเป็นอ่อนโยน?? ทำเอาแคปงงเป็นไก่ตาแตก จะก้าวเข้าไม่เข้าดีขาเลยขัดกันจนเกือบล้มคะมำอยู่ที่ประตูหน้าลิฟต์
“ระวังหน่อยค่ะ”
โอยยยยยเสียฟอร์มเป็นบ้า ยัยป้านี่ต้องมาหิ้วปีกเขาประคองเอาไว้ ก็เพราะหล่อนไม่ใช่เรอะมายืนพูดเรื่องแปลกๆแบบนี้ คนก็เลยทำอะไรไปไม่ถูกน่ะสิ กำลังก่นด่าในใจอยู่แท้ ๆ ใครจะคิดว่าจะมาพูดดีด้วยล่ะวะ
“ขอบคุณครับ”
ติ๊ง~แคปไม่รอช้ากล่าวขอบคุณแล้วรีบผลุนผลันเข้าไปในลิฟต์โดยเร็ว จากนั้นบานประตูปิดลง ภาวนาเกือบตายกลัวป้าขึ้นมาส่งเขาถึงที่ได้ตายห่าเพราะหายใจไม่ออกอยู่ในลิฟต์แคบๆแน่
ผู้หญิงอะไรดูใกล้ ๆ น่ารักดีหรอกอายุยังไม่เยอะด้วยซ้ำ แต่ทำท่าทางการแต่งตัว.....โคตรแก่ บรม
“ว่าผู้หญิงบาปนะมึง”
พอขึ้นมาเจอหน้าไอ้ปอแคปอดรนทนไม่ไหว บ่นออดแอดๆไปนิดหน่อยเจอมันด่าสวนอีก ทำอย่างกับเขาผิดมหันต์ไปซะงั้น
“เออกูก็แค่บ่นเหอะ ก็รู้อยู่หรอกว่าเธอคงจำเป็นต้องเฮี้ยบไม่งั้นอาจจะปกครองลูกน้องเป็นสิบเป็นร้อยไม่ได้”
แต่คนอื่นไม่เห็นต้องวางตัวแบบนั้นแต่งตัวแบบนั้นก็ปกครองได้ป่ะวะ แคปค้านเองเสร็จสรรพอยู่ในใจ แล้วไม่ใช่ปอมันไม่รู้นะ แค่มองตาก็รู้แล้วว่าเพื่อนตัวเองคิดยังไง มือใหญ่ ๆ เลยผลักหัวแคปไปหนึ่งทีเล่นเอาถึงกับเงิบ
สองคนนั่งคุยกันอยู่ที่โต๊ะทำงานของปอ แคปถามเรื่องของน้องโบว์ขึ้นมา
“ช่วงนี้กูว่าห่างๆ”
“จริง?”
“อืม หมดช่วงโปรมั้งนะกูว่า” ช่อดอกไม้ก็ค่อนข้างห่าง โทรศัพท์จากเธอบางทีเขาก็ถูกเรียกให้เข้าไปรับสายแทน ยิ่งเรื่องไปรับที่มหาลัยเท่าที่รู้พักหลังแทบจะไม่ได้ไปหาเลยจนเธอต้องโทรตาม
“เออแต่วันก่อนเธอแวะมานะ มาที่นี่”
“วันก่อน?”
“ใช่ แต่คุณเอสไม่ให้เธอเข้าห้องพาลงไปทานข้าวอยู่ชั้นล่างแทน จากนั้นก็ให้กูไปส่ง”
“ส่งที่ไหน มหาลัย?”
“ใช่ มาทั้งชุดนักศึกษาเลย มาแต่เช้าเจ้านายกูอารมณ์เสียทั้งวันเลย”
แคปพยักหน้ารับรู้เบา ๆ แล้วคิดตาม ปอคุยรายละเอียดเรื่องโบว์ต่ออีกนิดหน่อยแคปค่อยยกข้อมือดูเวลา
“ว่าแต่เจ้านายมึงจะคุยกับแขกผู้มีเกียรติอีกนานป่ะวะเนี่ย”
“กูจะรู้ไหมล่ะ”
“มึงเป็นเลขามึงต้องรู้ดิ”
“แขกวีไอพีส่วนตัวแบบรายนี้ถึงเป็นกูก็ไม่รู้ด้วยหรอก”
“วีไอพี?”
ปอยักคิ้วตอบว่าใช่ แคปเองเหล่ๆมองบานประตูไม้ขนาดใหญ่โตที่อยู่ใกล้ ๆ ปิดเงียบนิ่งสนิท นึกสงสัยแขกสำคัญทำไมไอ้หมาปอไม่เข้าไปนั่งจดบันทึกเรื่องสำคัญอะไรด้วย ตอนที่เขาขึ้นมามันกำลังง่วนอยู่กับการเขียนรายงานอะไรสักอย่าง จากนั้นบอกเขาว่าให้รออยู่ที่นี่กับมันก่อนยังเข้าไปไม่ได้เพราะว่าเจ้านายมันน่ะ...มีแขก
แต่ทำไมตอนนี้ถึงพูดว่าแขกวีไอพีส่วนตัววะ??
“ดูทำหน้าเข้า เสียดายจริงๆกูไม่พกกระจกไม่งั้นเอาขึ้นมาส่องให้มึงดูหน้าตัวเองแล้ว”
“ยุ่งน่ากูกำลังกลุ้ม” แคปปัดมือปอที่เริ่มเข้ามาวุ่นวายอยู่แถว ๆ ใบหน้าเขาออก
“กลุ้มเหี้ยไร” ปอถามเสียงเบา อันที่จริงก็คุยกันเบา ๆ อยู่แล้ว ที่ทำงานจะพูดหยาบคายมันก็นะ ต้องรู้กาลเทศะธรรมดา
“ก็กลุ้มกับแขกวีไอพีที่มึงว่าไง เข้าไปตั้งนานแล้วใช่ป่ะ แล้วมึงเองก็บอกว่าเป็นผู้หญิง”
“อืม ก็ผู้หญิงจริงอ่ะ” ปอพูดออกมาอย่างไม่ค่อยใส่ใจ เขาทำงานกับหน้าจอไปด้วยคุยกับแคปได้วยเพราะงั้นก็ฟังมันมั่งไม่ฟังมั่ง ปล่อยๆมันพูดไปรู้อยู่แล้วต่อจากนี้ทุกวันพฤหัสกับวันศุกร์จะต้องมีไอ้ตัวกวนขึ้นมาหาเขาที่ทำงานแบบนี้ ไม่เงียบเหงาดีเหมือนกัน
“เออจริงสิ กูก็ลืมถามมึงไป กี่คนวะที่อยู่ในนั้นน่ะ มีกี่คน”
“กี่คน? คนเดียว เพื่อนเก่าคุณเอส เห็นว่าเพิ่งกลับมาจากอเมริกา”
จริงดิ?
“แล้วสวยป่ะ” แคปยื่นหน้าเข้าไปถามใกล้ยิ่งขึ้นไปอีก ปอละสายตาออกจากจอมอง เขากำลังจะอ้าปากตอบทว่าแคปเลื่อนๆเก้าอี้จากหน้าโต๊ะขยับเข้ามา มันถึงกับเบียดๆๆเพื่อให้ตัวเองเข้ามานั่งอยู่ข้างกันกับเขาได้ เลยกลายเป็นว่าตอนนี้แคปมันจับจองโต๊ะเขาไปกว่าหกสิบเจ็ดสิบเปอร์เซ็นต์
“ว่าไงล่ะ กูถามว่าเธอสวยหรือเปล่า”
“สวยสิ” สวยมาก
“แล้วขาวป่ะ”
“เออขาว ผิวดี”
“แล้วอ้วนล่ะ อ้วนด้วยป่ะ”
“ไม่อ้วนเว้ย หุ่นออกจะดี” ปอได้ทีขยับเข้าไปกระซิบแคปใกล้ ๆ สุมไฟให้คุกรุ่นขึ้นไปอีก บางทีเขาเองก็อยากแกล้งมันเหมือนกัน “เอ็กซ์แตกเลยมึง สวย เซ็กซี่ ดีกรีนักเรียนนอก ฉลาดด้วยนะท่าทางไม่ได้โง่”
แคปห่อเหี่ยวลงราวกับคนกระดูกหด ทำหน้าทำตาหน้าเป็นหมาหงอย ปอเห็นแล้วถึงกับเอามือขึ้นมาปิดปากขำ นี่ถ้าบอกมันว่าในห้องนั้นลึกเข้าไปอีกมีห้องนอนด้วยมันคงนั่งร้องไห้น้ำตาไหลเป็นสายน้ำตก
“นี่มึงโกหกกูอ่อ”
“เปล๊า โกหกที่ไหนเดี๋ยวตอนออกมามึงก็ดูเอาเองดิ มาหาคุณเอสก่อนหน้านี้แล้วครั้งนึง” แล้ววันนี้ก็มาอีก
“กูเกลียดคนสวยว่ะ” แคปนิ่งไปสักพักก่อนเอ่ยคำพูดพึมพำอะไรของมันออกมาหน้ายุ่ง คงคิดว่าปอไม่ได้ยินแต่ทว่าเสียใจเหอะเพราะเขาได้ยินมันพูดหมดทุกอย่าง ไอ้คนขี้หึงทำหน้าหน้าแกล้งยังไม่รู้ตัว ขนาดเขาที่เป็นแค่เพื่อนมันยังอยากแกล้ง นับประสาอะไรคนอย่างเจ้านายของเขา คนแบบนั้นน่ะพนันกันได้เลยว่ายิ่งเห็นมันตาแดงๆเหมือนจะร้องไห้ก็ยิ่งชอบใจแน่ ๆ
หึหึ
ปอนึกย้อนไปถึงเรื่องเมื่อหลายวันก่อนของอดีตว่าที่คู่หมั้นเจ้านายเขาอย่างคุณมินตรา เขายังไม่ได้เล่าให้แคปฟังเลยว่าเอสยกเลิกเรื่องหมั้นหมายไปแล้ว ความจริงคิดจะโทรบอกมันตั้งแต่เย็นวันนั้น แต่ก็เหมือนนกรู้ ยั้งสติไว้ได้ทันรอถามให้ชัดเจนก่อนน่าจะดีกว่า สุดท้ายเช้าวันต่อมาเขาโดนเรียกเข้าไปกำชับว่ายังไม่ให้บอกมัน เจ้านายเขาจะเก็บเรื่องนี้ไว้บอกด้วยตัวเอง
เพราะงั้นเขาซึ่งเป็นเลขาที่ดีก็ควรจะทำตามคำสั่งเจ้านาย
“กินไรมายังมึงอ่ะ”
ดีเนาะมาถามกันตอนนี้ “มึงไม่ถามกูสักบ่ายสี่โมงเลยล่ะห๊ะ” แคปเสยผมขึ้นอย่างหงุดหงิด ยกข้อมือดูเวลาแล้วประชดกลาย ๆ ปอใช้ไหล่ดันๆๆให้มันขยับไปอีกที่ไหนได้ไอ้แคปแม่งเล่นแรงมันกระแทกไหล่เขากลับมาทีเดียวปอกระเด็นหลุดจากโต๊ะไปเลยสิ คนทำเพื่อนนั่งหัวเราะขำจนต้องฟุบหน้าลงที่โต๊ะ ในตอนนั้นเสียงโทรศัพท์ภายในเรียกเข้ามาพอดี ปอรีบกดรับแล้วขยับจัดๆเสื้อผ้าก่อนใช้สายตาบอกแคปว่าให้นั่งดี ๆ เดี๋ยวเขาจะเข้าไปด้านในเพราะคุณเอสเรียกออกมาแล้ว