“เฮ้อร้อน ร้อนจริงๆร้อนจังๆ” กว่ารถจะมาจอดลงใต้ตึกใหญ่ของรัชชาได้ แคปก็พาเจ้านายแสนงามที่นั่งหน้าหงิกอ้อมไปจนเกือบจะแตะเสี้ยวหนึ่งของสวนจตุจักร เสียงคนข้างหลังข่มกรามกรอดๆจนคนขับรู้สึกเสียววาบๆต้องรีบเลี้ยวเปลี่ยนเส้นทางอย่างไว แกล้งมากๆเดี๋ยวจะพาลจีบไม่ติดเสียอีกเขาก็ดั๊นลืมข้อนี้ไป ลงจากรถมารับอากาศร้อนอบอ้าวที่ด้านนอกไม่รู้เลยนะเนี่ยว่าตอนนี้เป็นฤดูหนาวของไทย
“ได้ใช้เวลาอยู่ด้วยกันบนรถนานหน่อยก็ดีเหมือนกันนะ มึงว่าไหม” แคปเปรยพลางเหล่มองสายตาเขียวปั๊ดของคนที่ก้าวเข้าไปในลิฟต์ทำเอาคนมองใจสั่น หมู่นี้ไม่รู้เป็นไรได้จีบคนด้วยวิธีการเย้าแหย่ให้โกรธนี่มันรู้สึกดีเป็นบ้าเลย เขาก้าวเข้ามายืนอยู่มุมหนึ่งของลิฟต์คิดแล้วนึกขำ พอลอบมองไปที่อีกฝ่ายก็เห็นสายตาดุๆจ้องเขาอยู่อีกแล้วแคปรีบหันมองโน่นนี่นั่งไปทางอื่น ทั้งๆที่ในลิฟต์เล็กๆนี่ก็นะ มันเป็นลิฟต์ส่วนตัวสำหรับผู้บริหารของห้องนี้เท่านั้นแหละเพราะงั้นมันจึงมีขนาดเล็กว่าลิฟต์ที่ด้านนอก ทั้งๆอย่างนั้นแคปก็ยังเลี่ยงที่จะมองผนังของมันซึ่งทำด้วยกระจกเงแล้วเผลอไปสบตาเข้ากับไอ้คนที่ยืนจ้องเขาเขม็งผ่านกระจกบานนั้น
โหดไปไอซิส
“อะ...อะไรเล่า” แคปเริ่มหน้าจ๋อย นึกหวาดกลัวขึ้นมาด้วยความคับแคป ซ้ำตึกนี่ยังสูงมาก สูงลิ่วจนยอดเสียดฟ้า ซ้ำลิฟต์บ้าก็วิ่งตั้งนานยังไม่ยอมจอด “มึงมองกูทำไมอ่ะ” แคปถามหลบสายตา ถึงกระนั้นยังแอบๆเหล่มองอยู่
“ไม่-ได้-มอง” เอสตอบเสียงแข็ง หน้าตึงเปรี๊ยะ
“ไม่ได้มองได้ไง ก็เห็นอยู่”
“นั่นแสดงว่ามึงก็มองกู”
“กะ...ก็แล้วทำไมอ่ะ” กูมองไม่ได้หรือไง ไม่เข้าใจมันเลยให้ตาย ตาเขียวมาตั้งแต่นั่งอยู่บนรถแล้ว ลงมานึกว่าจะอารมณ์ดี แค้นฝังหุ่นเรื่องโดนเขาก่อกวนขับรถอ้อมหรือไง ไหนว่าวันนี้เข้างานสายได้แค่อยากใช้เวลาอยู่ด้วยกันให้มากหน่อยไม่เข้าใจกันเลยแย่จริงๆ
“กูก็แค่มองคนที่มองกูอยู่ แล้วมึงจะมีปัญหาอะไร”
“หา?”
“ไม่ต้องมาหลงตัวเอง ไม่มีใครเขาอยากมองมึง”
“ไม่อยากมองจริงดิ”
“ไม่อยู่ในสายตา”
“ใจร้าย”
ติ๊ง~“ใครสน”
เอสพูดอย่างไม่แคร์ในตอนที่บานประตูลิฟต์เปิดออก เขาก้าวออกมาขณะที่แคปเดินตามหลัง ห้องทำงานหรูหราโอ่อ่าถูกเตรียมบรรยากาศให้พร้อมสำหรับการทำงานรออยู่แล้ว เอสเอาเสื้อนอกโยนแบบลวกๆไว้ที่โซฟารับแขกก่อนที่เขาจะเดินไปนั่งลงที่โต๊ะทำงานกดอินเตอร์โฟนเรียกเลขาส่วนตัวเป็นสัญญาณบอกให้รู้ว่าเขาเข้าห้องเรียบร้อย
“จะไปไหน” แคปที่กำลังจะเปิดประตูออกไปชะงักนิดหน่อย หันกลับมามองคนที่นั่งจ้องหน้าเขาอยู่ ในมือมันถือปากกาด้ามสีทองไว้
“ไปหาคุณปรเมทครับ” แคปทำเสียงแสนสุภาพใส่ ดวงตาคมกริบหลังโต๊ะทำงานเขียวขึ้นนิดๆ เขาจึงยักไหล่แล้วทำหน้าน่าสงสารประมาณขอความเห็นใจแบบอ้อนๆ “ได้ไหม~”
คำตอบแบบไร้เสียงมาพร้อมกับเจ้าของห้องที่นั่งก้มหน้าลงไปอ่านงานต่อ แคปค่อยเดินออกมาได้เห็นปอกำลังง่วนอยู่กับการพิมพ์เอกสารอะไรของมันสักอย่าง
“ไงวะ” ทักทายพลางกดโทรศัพท์มือถือของตัวเองเพื่อเปิดเครื่องเช็คข้อความ เขาปิดมันเอาไว้ตั้งแต่เมื่อคืน จะเปิดตอนเช้าก็อยู่บนรถกับคุณชาย หาโอกาสเหมาะๆไม่ได้สักที เอาเป็นว่าเวลานี้น่าจะโอเคและปลอดภัยที่สุด
“แดกอะไรมาหรือยังมึงน่ะ”
“ยังเลยว่ะหิวฉิบหาย มีแต่กาแฟกับขนมปังเล็กๆชิ้นเดียว” คาบออกไปกินตอนจะไปเล่นกับเจ้าคูเปอร์นั่นแหละ ดีหน่อยแม่บ้านตระกูลนั้นเตรียมอาหารได้เช้ามาก อร่อยเหาะ
“อืม เดี๋ยวกูสั่งให้” ปอว่าแล้วกดโทรศัพท์สายภายในคุยอะไรของมันพอเสร็จก็บอกเขาว่าให้นั่งรอเงียบ ๆ วันนี้มีงานต้องเคลียร์ห้ามกวน แคปก้มหน้าเช็คข้อความทั้งหลายแหล่ที่ส่งเข้ามา สิบกว่าสายจากไอ้แบงค์สามครั้งจากไอ้อาร์และอีกหนึ่งครั้งจากใครสักคนที่ไม่รู้จัก ที่เหลือทั้งไลน์ทั้งวอทแอพห่าอะไรเยอะแยะไปหมด แคปเลือกที่จะไม่เปิดดู กำลังจะโทรออกหาแบงค์โทรศัพท์ในมือสั่นครืดๆขึ้นมาเขาตกใจจนเกือบทำหล่น
“ไอ้สัสกูตกใจ”
เสียงจากปลายสายหัวเราะร่วน ก็แคปเล่นทักไปแรงขนาดนั้น
(โทรหาไม่ติดนะครับ ปิดเครื่องทำไม แล้วเมื่อคืนนอนไหนเนี่ย)
“จะให้กูตอบข้อไหนก่อนล่ะครับหื้อ แน่ใจว่าอยากฟัง”
(อย่ากวนน่าแคป ถ้าคิดว่ามันไม่โอเคสำหรับกูอย่าตอบออกมาเลยนะ)
“ซีเรียสแต่เช้า โทรมามีไร”
(เปล่าหรอก เมื่อคืนเสร็จงานเลยโทร จะถามว่าไปเมาที่ไหนไหมจะได้ไปรับ มึงโอเคป่ะเนี่ย อยู่กับเพื่อนมึงเหรอ)
“อืม”
(กินข้าวหรือยัง)
“ยัง กำลัง ถ้าไม่มีไรแล้วกูวางเลยะ คืนนี้เจอกันเดี๋ยวจะกลับไร่เลย”
(ไหนว่าจะกลับพรุ่งนี้ไง)
“นึกขึ้นได้ว่าพรุ่งนี้นัดส่งผลไม้เข้าโรงงานใหม่ล็อตแรก ทางผู้ผลิตเขาจะมาเจรจาด้วยตัวเองกูคงต้องกลับไปช่วยเฮียโก้ดูเรื่องเอกสาร มึงโอเคไหมล่ะ จะไปไหนรึเปล่างานเสร็จจะกลับพร้อมกับกูเลยไหม”
(กลับพร้อมดิ ที่จะรอเนี่ยเพราะคิดว่ามึงจะกลับพรุ่งนี้ไง ถ้ากลับคืนนี้ก็โอเคเลย เหมือนเดิมของพวกเรา)
“เออ แล้วเจอกัน”
(เดี๋ยว แล้วจะเจอกันที่ไหน กูไปรับมึงไหมหรือไง)
“รออยู่ที่ตึกไพร์มนั่นล่ะ เดี๋ยวกูเข้าไปหา”
แคปพูดจบไว้ที่แค่นั้น เขากดวางสายไปก่อนจะหันมองหาอาหารเช้าที่ปอสั่งขึ้นมาให้แล้ว แต่ทำไมไม่เห็นถาด
“อ้าวเมื่อกี้ กูเห็นแม่บ้านขึ้นมาแล้วนี่” รถเข็นอาหารผ่านหน้าเขาไปตอนที่กำลังคุย
“ใช่ ขึ้นมาแล้ว”
“แล้วอาหารกูล่ะ”
“สองที่นะ ทานกับเจ้านายกู สำรับเตรียมไว้ข้างในเรียบร้อยแล้ว”
“อ้อ..” แคปงงไปนิดหน่อยที่ไอ้หมาปอมันช่างตระเตรียมอะไรเพื่อเขาและนายมันได้ซะขนาดนั้น เหล่มองมันด้วยสายตาวาววับคาดโทษนิดๆพลางลุกขึ้นยัดมือถือเข้ากระเป๋ากางเกง แคปกำลังจะเดินเข้าไป ปอรีบดึงแขนเพื่อนตัวเองไว้
“มึงรู้ไหมคุณเอสไม่เคยให้ผู้หญิงคนไหนนั่งทานข้าวพร้อมกันในห้องนี้เลยนะเว้ย”
“แล้วไง”
“ก็มึงโชคดีไง มึงเป็นคนแรก เป็นคนพิเศษ” เป็นคนที่เจ้านายกูรัก
“กูไม่ดีใจหรอกนะถึงมึงจะพูดแบบนั้นก็เถอะ”
“ไม่ดีใจแล้วยิ้มทำไมล่ะว๊า”
“เดี๋ยวๆ เดี๋ยวมึงกลับไปที่ไร่เมื่อไหร่กูจะบอกให้ไอ้อาร์จัดการมึง”
“โหยไอ้เตี้ยนั่นกูกลัวมันหรอก ตัวเล็กจิ๊ดเดียว”
“หึหึหึ เดี๋ยวนี้หัดเรียกมันว่าเตี้ยกะจิ๊ดริด มึงมันทำความผิดมหันต์แล้วไอ้ปอ มึงเจอไอ้อาร์จัดการแน่ ๆ”
“แคปแม่ง” ปอที่ตอนแรกแซวเพื่อนซะดิบดี พอโดนสวนกลับตัวเองหน้าจ๋อยลงเอง แคปยื่นมือเข้าไปตบบ่าหนักๆสองทีก่อนยิ้มแย้มอย่างสะใจแล้วเดินหายลับเข้าห้องไป ทิ้งให้ปอนั่งหน้าอึนอยู่ไม่รู้จะไปลงกับใครอย่างไร
บรั๊นช์แสนอร่อยจากครัวของรัชชาถูกปากแคปที่รวบมื้ออาหารทั้งเช้าทั้งเที่ยงจนอยากจะเดินออกไปบอกปอว่าขออีกจานจะได้หรือไม่ทว่าพอยกน้ำขึ้นดื่มทุกอย่างในท้องก็ฟูลแบบพอดิบพอดี เขายกมือลูบท้องแอบมองคนที่เมื่อสักครู่มานั่งทานข้าง ๆ กันแต่กลับทานเสร็จก่อน กินแบบไม่พูดไม่จา แคปวางแตงกวาในจานส่งไปให้ก็แค่โดนจ้องแต่ไม่ยอมด่าอะไรกลับมาสักคำ ถึงอย่างนั้นก็ยังนั่งกินด้วยกันจนหมดจานแล้วเอสก็เดินกลับไปนั่งทำงานของตัวเอง
“โฮ้ย อิ่ม” แคปลุกขึ้นเดินไปเดินมาหาเรื่องให้อาหารย่อย ลูบพุงโตๆของเขาไปด้วย เดินไปวนหน้าโต๊ะทำงานของเอส อีกฝ่ายเงยหน้ามอง
“เป็นอะไร ปวดท้องหรือไง”
“อิ่มว่ะ” อิ่มมากๆ อาหารที่นี่อร่อยจริงๆ
“หึ..”
“หัวเราะกูทำไมล่ะ”
“ไหนใครบอกว่าจะผอม พูดแต่ปาก แดกตลอด”
“นี่มึงว่ากูเหรอ”
“อ้วนเอ้ย”
“หา?”
“กูบอกว่าอืม หูมึงนี่เพี้ยนบ่อยจริงๆไปหยอดยาไป”
หนอยยยย แคปกัดฟันกรอดเม้มปากนิ่ง หน้าตายุ่งจนหัวคิ้วพันกันไปหมด อย่าคิดว่าเขาไม่ได้ยินเชียว รู้หมดแหละเพียงแต่ไม่อยากจะต่อปากต่อคำ เห็นแก่อาหารอร่อยๆของที่นี่ทำให้เขาอารมณ์ดีไม่ชวนมันทะเลาะเด็ดขาด เอสเลิกคิ้วมองหน้าอีกฝ่าย แคปก็แค่เดินกระแทกเท้าไปนั่งลงที่โซฟาอย่างเดิม สักพักเดียวปอเอายาแก้ท้องอืดกับน้ำเข้ามาให้แคปถึงกับอึ้งไปเลย
“กินซะมึงน่ะ”
“กูไม่ได้เป็นอะไร มึงเอาเข้ามาให้ทำไมเนี่ย” แคปกระซิบด่าเพื่อนสุดที่รักแทบจะไร้เสียง ปอก็แค่มองไปทางเจ้านายตัวเองที่ก้มหน้าก้มตาอ่านรายงานไม่สนใจมองมา แคปถึงกับต้องเอื้อมมือไปหยิกนมมันแรงๆหนึ่งที โทษฐานทำตามคำสั่งประหลาดของเจ้านายดีนัก
“กูไม่กิน เอาออกไปเลยไป”
“ไม่กินไม่ได้ ทนๆกินเข้าไปเร็ว”
“นี่มันยานะ มึงจะบ้าหรือไงกูไม่ได้เป็นไรจะให้กูกิน”
“เอาเหอะน่า”
“ไม่กิน”
“แคป..”
“กูบอกว่ามะ...
“หรืออยากจะให้กูยัดให้ เอาแบบนั้นไหม” เสียงทุ้มดุ ดังแทรกเข้ามา สองคนที่กำลังกระซิบทุ่มเถียงกันอยู่หันไปมองเป็นตาเดียว เอสจ้องหน้าแคปนิ่งสายตาคมปลาบเหมือนจะบังคับแบบกลายๆ
“แต่กูไม่ได้...
“กินเข้าไปจะได้สบายท้อง”
ในที่สุดแคปก็ยอมจำนนหลับตาซดๆอึกๆๆๆยัดยาลงท้องไป เขาคิดว่าไอ้ยาแก้ท้องอืดยิ่งกินยิ่งอืดล่ะสิไม่ว่า หลังจากนั้นปอก็ขอตัวออกไปทำงาน ก่อนไปยังมีสะกิดแคปถามว่าลงไปกินเที่ยงด้วยกันอีกไหม ห้องอาหารที่ชั้นล่างมีของน่ากินเยอะมากๆถ้าจะไปเขาจะรอ แคปยักคิ้วหน้าระรื่นขึ้นมาทันทีกำลังจะลุกขึ้นเสียงปากกากระแทกโต๊ะอย่างดัง สองคนชะงักขา ปอหน้าเจื่อนโดนไล่ให้ออกไปทำงานได้แล้วอย่าอู้ สุดท้ายแคปจึงนั่งแกร่วอยู่ที่เดิม
ช่วงบ่ายมีแขกเข้าพบเอสสามสี่คน แทบทุกคนมองมาที่แคปด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยคำถาม กระทั่งหมาปอมันยังส่งข้อความเข้ามาว่าทุกคนที่เดินออกไปต้องถามมันว่าแคปเป็นใคร ทำไมถึงมีสิทธิมานั่งฟังเรื่องงานภายในของบริษัท คุยไปคุยมายังไม่รู้แน่ชัดด้วยซ้ำว่าปอมันตอบทุกคนที่ถามว่าอะไร
แคปถอนหายใจหนักหน่วงว่างมากถึงขนาดพอแขกออกไปหมดเขาก็ลุกขึ้นเดินสำรวจไปรอบๆ ยืนเกาะบานกระจกผ่านมูลี่ขนาดใหญ่แล้วสอดนิ้วเข้าไปแหวกช่องหรี่ตาฝ่าแสงแดดยามบ่ายมองไปที่ทิวทัศน์ด้านนอก
“กูว่าแบบนี้ไม่ค่อยดี”
เอสเงยหน้ามองคนที่ยืนอยู่ใกล้ ๆ แคปหันมาจ้องหน้าเขา
“มึงทำงานแต่กูไม่มีอะไรจะทำ มานั่งติดแหงกอยู่แบบนี้กูรู้สึกไม่ค่อยดี แล้วอีกอย่างแขกที่เข้ามาขอพบมึงคงมีคำถามแน่ ๆ ว่ากูเป็นใครทำไมถึงได้มานั่งร่วมห้องฟังพวกมึงคุยกัน”
“แล้วยังไง”
“ก็ถ้าต่อไปมีแขกขอเข้าพบมึงอีก กูไม่อยากอยู่ฟังด้วยหรอกนะ”
“งั้นก็เข้าไปนอนรอในห้อง ทีวีก็มีคอมก็มีเครื่องดื่มเย็นๆก็มี ไปนอนรอข้างในก็ได้ไป”
“ไม่เอาทำไมกูต้องทำแบบนั้นศักดิ์ศรีกูมี มึงจ่ายงานให้กูสิ”
“งานของมึงทำแค่ตอนเช้ากับตอนเย็นแคป” เสียงทุ้มแข็งขึ้นมา เจ้าของเสียงเอนหลังพิงพนักในท่าทีอยากจะผ่อนคลายหากแต่ยังคุยกับอีกคนไม่รู้เรื่อง
“รู้..” แคปตอบเบาๆ เม้มปากเป็นเส้นตรง
“เวลานอกเหนือจากนั้นมึงไม่จำเป็นต้องทำอะไร”
...ดีจริงๆมีแฟนรวยนี่มันดีจริงๆ...
แต่กูไม่ชอบโว๊ยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยย
“ออกไปเล่นกับไอ้ปอก็ได้ถ้ามึงเบื่อที่จะนั่งอยู่ในห้องนี้ กับ-กู”
“เปล่า ไม่ใช่แบบนั้น” ตายล่ะหวา น้ำเสียงประชดประชันมาแบบเต็ม ๆแคปรีบแก้ตัวพัลวัลหน้าเจื่อนไปหมด ขณะที่เอสพูดจบแล้วก้มลงไปอ่านงานที่โต๊ะต่อไม่สนใจรับฟังคำแก้ตัวใดๆของแคปทั้งสิ้น แคปมองริมฝีปากที่เชิดขึ้นอย่างงอนๆแบบนั้นแล้วนึกอยากจะกระชากมันเข้ามากัดทำโทษที่ปากดีช่างประชดสักทีแต่เขาก็แค่ยืนจ้องหน้ามันอยู่เฉย ๆ สุดท้ายแคปคิดจนต้องกุมขมับ เดินไปเดินมาวนอยู่รอบๆโต๊ะมันนั่นแหละ คนไฮเปอร์อย่างเขาทนได้นานซะที่ไหน ไม่มีอะไรทำจึงฟุ้งซ่านขึ้นอีก
“เอางี้ กูขอลงไปข้างล่างได้ไหมล่ะ”
“จะไปทำไม”
เห็นนั่งเฉย ๆ นึกว่าไม่สนกันแล้ว ที่ไหนได้พอแคปพูดขึ้นมาปุ๊ปเอสละสายตาขึ้นจากงานทันที
“ไปดูต้นไม้”
คิ้วคมของคนฟังกดลึก เขาเอนตัวพิงเก้าอี้แล้วถอนหายใจยาวหนึ่งที ก่อนทวนถามย้ำ “ไปดูต้นไม้?”
“ใช่ เห็นที่ป้ายทางเข้าด้านหน้ามีสวนหย่อมเล็กๆอยู่ กูอยากไปเดินดูแถวนั้น มึงก็รู้กูชอบอะไร”
เอสเบนสายตาผ่านมูลี่สองชั้นสีครีมเพื่อตรวจดูแสงแดดด้านนอกแวบหนึ่งก่อนหันมามองหน้าคนที่ยืนรอฟังคำตอบจากเขาอยู่ และแคปเองก็ดูเหมือนจะรู้เรื่องที่เขากำลังนึกกังวล
“กูชอบแดด ไม่ร้อนมากหรอก จะอยู่แต่ในร่มก็ได้ถ้ามึงอยากจะให้สัญญา”
คนฟังส่ายหัวอย่างเอือมใจก่อนก่อนคว้าปากกาบนโต๊ะขึ้นมาถือไว้อีกรอบ
“ตามใจ แต่มึงต้องขึ้นมาก่อนบ่ายสามโมงตรง”
“โหบ่ายสาม?” แคปร้องประท้วงขึ้นมาเมื่อยกข้อมือดูเวลา “อีกแค่สามสิบนาทีเองเหอะ”
“ใช่ อีกแค่สามสิบนาทีแบบนั้นแล้วยังจะลงไปอีกไหม”
“ไปสิไป กูไปครับไป” ผลุนผลันออกจากห้องปิดโครมแทบไม่ทัน วิ่งสิครับต้องใช้ลิฟต์ตัวนอกอีกต่างหาก โต๊ะไอ้หมาปอว่างเปล่ามันคงจะเดินไปที่ไหนของมันสักแห่ง แต่ตอนนี้ช่างมันก่อนแคปมุ่งลงไปที่ชั้นล่างเดินเล่นอยู่แถวสวนหย่อมที่เล็กราวกับแมวดิ้นตาย
“อะไรวะตึกใหญ่เท่าที่อยู่ยักษ์ สวนหย่อมเล็กจิ๊ดเดียวแบบนี้จะสูดอากาศดีๆได้ที่ไหนกั๊น” เขาเดินไปแค่ไม่กี่ก้าวบนพื้นหญ้าก็เจอกับปูน แคปถึงกับส่ายหัวแล้วนั่งแกร่วอยู่กับพื้น คุณพี่รปภ.คนเก่าที่เคยเจอเดินเข้ามาโค้งทักทาย พอรู้ว่าแคปกำลังเซ็งเรื่องดินเรื่องหญ้าเขาก็แนะนำว่าให้เดินไปฝั่งด้านหลังมีสวนหย่อมขนาดใหญ่อยู่ตรงนั้น
“มีจริงเหรอพี่”
“จริงครับ เพิ่งสร้างขึ้นมาเมื่อตอนคุณเอสเธอร์เข้ามารับตำแหน่งเมื่อห้าปีก่อน มีคำสั่งลงมาว่าพื้นที่ว่างด้านหลังตึกให้จัดเป็นสวนหย่อมทั้งหมด เน้นปลูกบรรดาไม้ประดับ พวกผมยังรู้สึกขอบคุณมากๆเลยครับอยู่ในเมืองกรุงแบบนี้หาดินหาหญ้ายากมาก มีต้นไม้ไว้พักผ่อนสายตากับผลิตอากาศบริสุทธ์ดีมากๆเลย”
แคปขอบคุณแล้วเดินลัดเลาะผ่านเข้าไปไม่นานก็ปรากฏสวนหย่อมขนาดปานกลาง มีคนสวนกำลังดูแลรดน้ำต้นไม้พืชพรรณ แคปขออนุญาตก่อนจะเดินเข้าไปลุงใจดียิ้มให้ จากนั้นไม่นานสองคนก็คุยกันถูกคอ แคปขอต้นไม้ต้นเล็กๆที่เลี้ยงไว้กับละอองน้ำติดมือขึ้นไป ดูเวลาบ่ายสามโมงเป๊ะเขายังยืนกดลิฟต์อยู่เฉยเลย รีบปรับนาฬิกาถอยหลังไปสักสิบห้านาทีก่อนเป็นอย่างแรก
“ไปไหนมาวะมึง” พอเดินผ่านโต๊ะปอนี่คือคำแรกที่มันเงยหน้ามาถาม แคปยกต้นไม้ในมือให้ดู ก่อนโบ้ยบอกว่าจะรีบเข้าไปข้างใน ปอพยักหน้าแล้วโบกมือไล่ให้เข้าไปไวๆเลย
“อ่ะ เอามาฝาก” พอเปิดเข้ามาแคปก็ถลาตรงมาที่โต๊ะ เอสไม่แม้แต่จะเงยหน้ามอง แคปเริ่มนึกอิจฉาแผ่นกระดาษที่อัดแน่นไปด้วยตัวอักษรนั่นเสียแล้ว เขาโน้มใบหน้าเข้าใกล้ยิ่งขึ้นไปอีก “กูกลับมาแล้ว”
คนฟังเงยหน้ามองนิ่ง ๆ จากนั้นเบนสายตาไปที่นาฬิกาไม้โบราณเรือนเล็กที่ตั้งอยู่มุมโต๊ะ จับมาวางผั๊วะลงต่อหน้าแคป เอาให้เห็นจะๆกันไปว่าตอนนี้เข็มยาวมันชี้อยู่ตรงเลขอะไร
“อ้าวตายจริง กูกะนึกว่าเพิ่งจะสามโมง ดูนี่สินาฬิกากูเหลืออีกตั้งสองนาทีแหนะกว่าจะสามโมงตรง” แคปโกหกหน้าตาย ครั้งใหญ่ที่สุดในชีวิตจริง ๆ ช่วยไม่ได้มันไม่ทันนี่หว่ามัวแต่ดึงไอ้ต้นไม้แปลกๆนี่แหละ
“จริงๆมึงดูสิ นาฬิกากูยังไม่บ่ายสามเลยเห็นไหมเนี่ย” ยื่นข้อมือเข้าไปให้อีกคนดูเวลา เอสตวัดสายตาเหลือบขึ้นมามองเขียวปั๊ด และก่อนที่แคปจะได้แก้ตัวว่าอะไรคนตัวโตกว่าก็ยืนขึ้นเต็มความสูงที่เกินเขาขึ้นไปเกือบๆจะคืบ
“กูไม่ได้โง่แคป”
“กะ....กะ.....กะ......” ก็ไม่ได้ว่ามึงโง่สักหน่อย แคปชูต้นไม้ในมือให้ดูแล้วบอกกับเอสว่าจะเอาเสียบไว้ที่โถปากกานี้ได้ไหม เจ้าของโต๊ะใช้สายตาดุคมถามขึ้นมาในที เพราะบนโต๊ะเขามันไม่มีโถปากกา
“ก็โถนี้อ่ะ” แคปชี้
“นี่ไม่ใช่โถปากกาแคป นี่มันคือแท่นเสียบปากกา เสียบได้แค่ด้ามเดียว”
“อืมๆก็นั่นแหละ” แคปมองปากกาสีทองหรูหราเรือนหมื่นเจ้าของที่ทาง เขาค่อยๆเอาก้านต้นไม้ที่เด็ดมาด้วยเสียบแซมลงไป มันทุกลักทุเลนิดหน่อยเอียงกะเท่เร่แต่ก็ดูแล้วแคปคิดว่ามันน่ารักดี พอทำเสร็จก็มองเจ้าของโต๊ะ
เอสมองตามแล้วส่ายหัวสุดจะมึนกับพฤติกรรม
“เข้าไปล้างหน้าล้างตาไป เนื้อตัวมอมตากแดดจนหัวเปียกโชก หน้าดำไปหมดแล้ว”
“โหไม่ได้ร้ายแรงขนาดนั้นหรอกมึงก็พูดไป” หน้ากูสีชมพูขาวบลิ๊งหล่อวิ๊งวับตามสไตล์ลูกทุ่งชาวสวนชวนฝันเหมือนเดิมเหอะ
เมื่อเจ้าของห้องใช้ความเงียบไล่ให้เข้าไปจัดการตัวเอง แคปจึงป่วยการจะพูดต่อเขาใช้การ์ดสีดำของตัวเองทาบติ๊ดแล้วบานประตูห้องชั้นในก็ค่อยๆเปิดออก รีบทำธุระตัวเองให้เสร็จๆ ห้องหรูๆใครจะอยากอยู่นาน กลิ่นที่หอมเกินไป บรรยากาศแสงไฟที่น่านอนจนน่ากลัว ล้างหน้าล้างตัวเช็ดหัวแล้วเสยผมขึ้นเปิดหน้าผากใสเหน่งเอาให้เอสมันมองแล้วตกใจไปเลย พอนึกได้แบบนั้นเขาค่อยๆเปิดบานประตูออกมา สายตาที่หันมาเหลือบมองแวบนึงแต่แคปกลับเห็นว่ามันชะงักไปชั่วขณะน่าจะเป็นเพราะผมที่เปิดหน้าผากโชว์เหม่งของเขานันเอง
หล่อล่ะสิ
“ของานให้กูหน่อยดิ”แคปเดินเข้าไปหา ย่อตัวนั่งลงเกาะขอบโต๊ะไว้
“เดี๋ยวจะเย็นแล้ว”
“นั่นแหละ ของานหน่อย” แคปแบมือหากแต่อีกฝ่ายไม่ได้สนใจ “ไว้ก่อนแคป”
“แต่ว่า...”
“คืนนี้จะนอนที่ไหน”
“ห๊ะ?” เลิกคิ้วนิดๆ ขณะที่คนถามๆออกมาแล้วก็หยิบใบงานอะไรสักอย่างขึ้นมากวาดตาดู ทำท่าไม่อินังขังขอบกับข้อความที่เขาจะตอบออกมาสักนิด แคปจึงยกมุมปากขึ้นอย่างย่ามใจเมื่อนึกเรื่องอะไรดีๆออก
เขาโกหกคำโต
“นอนห้องไอ้แบงค์ไง”
กึกกนั่นไงกูว่าแล้ว ในใจแคปนี่ยิ้มร่าขณะที่ต้องบังคับหน้าตาให้เรียบและนิ่งเฉย เอสยังคงเงียบอยู่แต่ทว่าสายตาคมกริบที่คมยิ่งกว่าหอกหลาวกลับทะยานพุ่งลงมาที่เขาแบบแทบจะเอาให้ตายไปไม่รู้กี่สิบรอบ แคปกลอกตาหยิกตัวเองบอกตัวเองว่าให้ใจเย็นๆ
“กูให้โอกาสมึงตอบอีกรอบ ตอบใหม่คืนนี้จะนอนที่ไหน”
“ก็นอนห้องไอ้แบงค์นั่นแหละ”
“เออดีงั้นเดี๋ยวกูไปรับน้องโบว์มาค้างด้วยคืนนี้เลยก็ดี รู้สึกคิดถึงขึ้นมาแล้ว”
ฉึกกกคราวนี้แคปโดนไปแบบเต็มๆ อยากไปยั่วเขาดีนักพอเขาใส่กลับมาล่ะพูดไม่ออก มีเสียใจกันเลยทีเดียว และใบหน้ามอมแมมที่เปื้อนดินเปื้อนฝุ่นนั่นคงจะแสดงออกแจ่มชัดเกินไป หน้าผากเหม่ง ๆ ที่มีคิ้วคมเข้มเรียงตัวสวยขมวดกันจนแทบจะเป็นปม ทำเอาคนมองอย่างเอสต้องเบือนหน้าไปอีกทางเพราะกลัวว่าตัวเองจะใจอ่อน
เขาแสร้างก้มลงอ่านเอกสารในมือต่อพลันริมฝีปากก็ถามขึ้นมาอีกครั้ง
“ตอบมาดีๆว่าคืนนี้มึงจะนอนที่ไหน”
“ไม่ได้นอนที่ไหนหรอกน่า คืนนี้จะกลับ กลับระยอง”
“กลับกับใคร”
แหนะ คำถามมีมากจริง ๆ นี่แคปรู้สึกไปแล้วว่ากำลังถูกคุณภรรยาจับผิดอย่างไรอย่างนั้น จะเถียงก็ไม่กล้าจะด่าก็ยิ่งไม่กล้าเข้าไปใหญ่ บ่นก็ไม่ได้ วู๊วววทำอะไรก็กลัวคุณเธอไม่พอใจ แบบนี้มันภรรยาชัดๆเลย ภรรยาหลวงมีจู๋ มันกลายร่างเป็นเมียหลวงไปตั้งแต่เมื่อไหร่กันว๊ะ!!
“ก็กลับกับไอ้แบงค์นั่นแหละ” คราวนี้เป็นเรื่องจริงที่คนถามแทบไม่อยากจะได้ยิน สองคนจ้องหน้ากันนิ่ง ปากกาในมือเอสไม่ขยับ ความเงียบแผ่ขยายออกเป็นวงกว้าง บรรยากาศโดยรอบอึมครึมขึ้นมาจนน่ากลัว แคปที่รู้สึกแบบนั้นจะยกมือขึ้นมาบีบจมูกโด่งๆนั่นหยอกเย้าสักหนึ่งทีหากแต่เอสไม่เล่นด้วย เขาที่เร็วกว่าฉวยคว้าเอาข้อมือเล็กไว้แล้วบีบ
ใช้สายตาแสดงออกแทนคำพูดทุกอย่าง...สายตาที่เจ็บปวด
ทำเอาคนมองถึงกับใจหาย
“กูไม่ได้มีอะไรกับมัน เราสองคนยังคงเป็นแค่เพื่อนรุ่นพี่รุ่นน้องเหมือนเดิม”
มือใหญ่ไม่ได้ผ่อนแรงลงเลย แคปเบ้หน้าแล้วชี้บอกว่าให้ปล่อยออกก่อนเพราะเขารู้สึกเจ็บ
แต่ใครกันล่ะจะสน
“ถ้ากูจะมีอะไรกับมันนะกูมีมาหลายปีแล้ว ไม่รอจนถึงวันนี้ค่อยมีหรอกมึงอย่าบ้าปล่อยมือกูได้แล้ว”
“.................”
“มันเจ็บ มึงเข้าใจไหม”
นั่นแหละเอสถึงได้ปล่อยมือเล็กออก ผิวรอบข้อแขนขึ้นรอยแดงเร็วมาก แคปรีบเอามืออีกข้างนวดๆแล้วบังไว้แต่นั่นไม่รอดพ้นจากสายตาคนทำได้หรอก แคปก้มหน้าเหมือนคิดอะไรสักอย่างพอเงยหน้าขึ้นมาอีกคนที่มองอยู่ก็รีบหลบ
“มึงหึงกูเหรอ?”
เอสถึงกับพ่นลมหายใจใส่ในตอนที่ได้ยินคำถาม มุมปากแสยะรอยยิ้มแล้วเอนหลังพิงพนักเก้าอี้บุนวมตัวสูงทั้งๆที่สายตายังมองที่ข้อมือแดงๆของแคปไม่ยอมห่าง “มึงเอาอะไรคิดว่ากูหึง”
“ก็หึงอยู่ชัดๆ”
“ไม่ได้เป็นอะไรกันกูจะหึงมึงทำไม”
“อ้อเหรอ แล้วเมื่อคืนใครกันที่บอกรักกู ใครที่นอนกอดกู แล้วก็ใครที่เกือบจะเผลอไผลจูบกูด้วยซ้ำ”
คนฟังถึงกับหรี่ตาหัวคิ้วกระตุก ความเงียบลอยอวลขึ้นในอากาศนานพอสมควร สองคนสู้กันด้วยสายตาคมกริบที่ไม่มีใครยอมใครก่อน จนสุดท้ายแล้วเอสจึงเป็นฝ่ายทำลายห้วงเวลานั้นให้แตกกระจุยด้วยการเบือนใบหน้าออกไปอีกทางแล้วขยับยกมุมปากพูดคำที่แคปนี่แทบจะแยกเขี้ยวใส่แล้วกระโจนคว้ามันมาฉีกอกกินให้สาสมกับความตอแหล
“เหรอ...ก็แค่-จะ-อ่ะนะ แต่กูไม่ได้จูบมึงแน่นอน ”
เสียงทุ้มน่าหมั่นไส้มาพร้อมกับรอยยิ้มที่มันคงคิดว่าเจ้าเสน่ห์เสียเต็มประดา ดวงตาเจ้าเล่ห์แพรวพราวขนาดนั้น แคปกัดฟันกรอดๆข่มความโกรธ ขณะที่อีกคนยังมุ่งมั่นเติมเชื้อไฟราดรดลงบนกองเพลิง
“เพราะจูบน่ะต้องทำกับคนที่รักไง ไม่รักยังไงก็จูบไม่ลงหรอกแคป กูรักมึงขึ้นมาเมื่อไหร่ก็คงจะเป็นฝ่ายเริ่มจูบจริงๆนั่นแหละ แต่เสียใจนะที่ตอนนี้ยังไม่ใช่” ...ตึกสูงเสียดฟ้าหากได้ลองปีนป่ายขึ้นมาแล้วต้องเหน็บหนาวฉันใด ใฝ่รักกับคนต่างฐานะเจ้าทิฐิก็วุ่นวายหัวใจเจ็บปวดมิรู้คลายฉันนั้น..แคปฟังคำตอบนั่นแล้วเหงาเลย หัวใจพลันแห้งห่อเหี่ยวเหมือนกับผักสวนครัวที่ขาดน้ำสักสองอาทิตย์ กำลังว่าจะลุกขึ้นเดินไหล่ตกกลับไปนั่งที่อยู่แล้วหากแต่ดวงตากลมเบิกโพลงขึ้นมาเมื่อนึกบางอย่างขึ้นมาได้ เขาขยับตัวเองยื่นหน้าเข้าไปใกล้ เกาะโต๊ะมันแน่นๆแล้วส่งรอยยิ้มเจ้าเล่ห์
แคปซะอย่างไม่มียอมแพ้หรอกเว้ย
“มันก็ใช่ที่ว่าจูบต้องทำกับคนที่รัก แล้วรอยดูดแดงๆที่หลังคอกูสองสามรอยนี่อย่าบอกนะว่าคนที่ไม่รักมึงก็ยอมดูดให้เขาได้”
กึกกกคราวนี้คนฟังชะงักไปชั่วขณะ ชั่วขณะที่ความเงียบโฉบเข้ามาพร้อมกับแววตาที่เต็มไปด้วยลูกเล่นแพรวพราวนั่น ใบหน้าหล่อเหลาจึงปั้นเสียงหัวเราะสู้ “หึหึ จำไม่เห็นได้ว่ะ สงสัยกูเมา”
หนอยยยย “กูนี่คนสิเมา มึงจะไปเมาได้ไงล่ะห๊ะ!” แคปสวนใส่อย่างเร็วด้วยความลืมตัว เอสหน้าผิดสีไปหน่อยหากแต่เขาเกลื่อนมันลงได้รวดเร็วมาก เมื่อสู้ไม่ได้แล้ว เขาจะทำอย่างไรนอกจากลุกพรวดขึ้นยืนเต็มส่วนสูงแล้วดึงคนที่นั่งยองๆเกาะขอบโต๊ะทำหน้าตาไร้เดียงสาขึ้นมาเผชิญหน้ากัน
คำสั่งเฉียบขาดไม่มีทีท่าต่อปากต่อคำล้อเล่นกันอย่างเมื่อสักครู่อีกแล้ว
“ต่อไปให้มานอนค้างที่นี่ กูไม่อนุญาตให้มึงไปค้างคืนกับใครหน้าไหนอีกแล้ว”
“นอนที่นี่?” แคปทวนคำ
“ใช่ มีปัญหาอะไรล่ะ”
“แล้วทำไมต้องมานอนที่นี่”
“เพราะกูจะมาค้างที่นี่และมึงก็ต้องมาแต่งตัวให้กู ทุกวัน!”
“มึงเป็นเด็กหรือไงทำไมต้องให้คนแต่งตัวให้ ทำตัวยิ่งกว่าเด็ก ปัญญาอ่อนจริงๆ”
“ว่าใคร”
ว่ามึงนั่นแหละ “เปล่า”
“งั้นก็ทำตามง่ายๆ อย่ามีปัญหา”
แคปจิ๊ปากขัดอกขัดใจ วางคางลงที่โต๊ะตรงขอบที่ตัวเองใช้มือเกาะไว้ เขามองหน้าคนที่สั่งจบแล้วไล่สายตาอ่านเอกสารบางอย่างต่อ
จ้องอยู่แบบนั้นจนกระทั่ง...
เพี๊ยะ!“โอ๊ย!”
เอสมองรอยแดงๆที่ขึ้นไวนักจากการที่เขาเอาปากกาเคาะลงที่หน้าผากโหนกอย่างนึกหมั่นเขี้ยวแกมสะใจ ขณะที่คนถูกทำยกมือขึ้นลูบรอยนั้นไปพลางบ่นขมุบขมิบไปพลาง
“ไปนั่งที่เลยไป ถ้าเบื่อก็เปิดการ์ตูนดู”
“มึงทำร้ายร่างกายกู คนใจร้าย”