“คุยแบบนี้...”
ริมฝีปากที่แนบเข้ามาทำเอาแคปเหมือนเด็กไม่ประสา เขาหลับตาลงพลางปัดป่ายมือขยุ้มเอาเสื้อย้วยของอีกฝ่ายไว้แน่น เสียงหัวเราะทุ้มต่ำพอใจดังลอดออกมาทั้งๆที่ริมฝีปากแค่เม้มๆย้ำๆไม่ได้ใช้ปลายลิ้นสอดเข้าไปเกาะเกี่ยวแม้แต่น้อย
จูบแบบเด็กๆหากแต่คนโดนจูบหลับหูหลับตาปี๋
น่ารักว่ะ
เอสคิดได้แค่นั้นจริงๆก่อนถอนริมฝีปากออกมา
“มึงยิ้มทำไม” แคปถามหน้าร้อนยิ่งกว่าโดนไฟลวก ซุกหน้าจนแทบจะชิดอกถ้าไม่โดนอีกคนเชยคางขึ้นมาก่อน
“ใครจะคิด ว่ากูจะมีเมียขี้เหร่ได้ขนาดนี้หื้อ?”
“ไอ้สัส กูยังเป็นผู้ชายอยู่ ไม่ได้ขี้เหร่แต่เรียกว่าหล่อมากต่างหาก หน้าตาแบบนี้คือหล่อแต่หน้าตาแบบมึงแถวบ้านกูเรียกโคตรของความขี้เหร่”
คนฟังหัวเราะสุดจะเอ็นดู แคปฟาดผั๊วะๆหลายๆทีปากก็บอก “กูเกลียดมึงที่สุด!”
“ครับๆๆกูขี้เหร่แต่มึงหล่อและที่สำคัญมึงยังเป็นผู้ชายเพราะแค่มึงยังมีเจ้านี่กูก็รู้แล้วล่ะว่ามึงเป็นผู้ชายของแท้แน่นอน” เสียงทุ้มไม่พูดเปล่ายังแกล้งเอามือลงไปเฉียดลูกชายแคปที่ตอนนี้แข็งค้างเติ่งอยู่กลางลำตัว คนโดนจับถลึงตาทำหน้าโหดๆ แต่เอสหรือจะสน
“หนาวว่ะขอซุกหน่อยสิ” ว่าจบไม่รอคำตอบ มือใหญ่ซุกลงไปในที่อุ่นร้อนนั่น แคปหน้าร้อนฉ่าขณะที่เอสยิ้มแพรวพราว
“ถ้ามึงหนาวก็มาซุกไข่กูได้นะเปลี่ยนกัน”
“เรื่องสิ ใครจะไปซุกวะกูไม่ได้บ้านี่หว่า เอามือมึงออกไปเลยไอ้สัส”
“ปากร้ายไม่เคยเปลี่ยน”
หัวใจกูก็ไม่เปลี่ยนเว้ย “เรื่องของกู”
แก้มป่องๆโดนบีบจนปากจู๋ ริมฝีปากที่แนบลงมาอีกครั้งทำเอาซ่านไปทั้งหัวใจ
คืนนั้นกว่าเจ้าอาร์จะได้เข้าห้อง อาบน้ำเสร็จต้องนั่งหาวหวอดๆหนาวหงึกๆรออยู่หน้าห้องริมระเบียงที่เต็มไปด้วยไม้กระถางแขวนประดับมากมายนั่นแหละ ดีหน่อยคืนนี้ยุงไม่เยอะ ทั้งพระจันทร์ทั้งหมู่ดาวเปล่งแสงทอประกาย ดอกลั่นทมสีขาวสวยปลิดปลิวลงจากขั้วร่วงหล่น
สายลมหวีดหวิวควบคู่ไปกับเสียงหรีดหริ่งเรไรขับขาน...
“พ่อครับ ไข่เจียวกุ้งของผมทำไมไม่ใส่ต้นหอมเลยอ่ะ”
“คาปูอย่าโวยวาย จานนั้นของเอสเขารายนั้นไม่กินต้นหอม พ่อจำได้นะ”
“โหของคาปูไม่มีแล้ว คิดถึงต้นหอมในจานไข่เจียวจริงๆเลย” แคปดีใจอยู่นิดๆที่เฮียโก้จดจำบางอย่างเกี่ยวกับเอสได้หากแต่เขาปั้นหน้าทำหน้าเสียทำเสียงออดอ้อน ก็เมื่อคืนเขาออเดอร์ไข่เจียวกุ้งไว้กับพี่พายพ่อครัวใจดี ไหงพอเช้าตื่นมาในครัวกำลังวุ่นเรื่องอาหารแต่บนโต๊ะที่เต็มไปด้วยกับข้าวมากมายไม่เห็นจะมีไข่เจียวกุ้งใส่ต้นหอมมิกซ์กับมะเขือเทศของแคปเลย
“โทรเรียกอาร์เร็วเข้า บอกให้พาเอสมาที่นี่ได้แล้ว ตื่นกันหรือยังล่ะเนี่ย”
“ตื่นแล้วครับ ผมปั่นจักรยานไปแอบดูมาแล้วเมื่อเช้ายังพาแวะไปดูโรงปลูกสตอเบอรี่เลยท่าทางดีใจใหญ่”
“อ้าวแล้วทำไมออกมากันช้าล่ะ”
แคปกดโทรออก ยังไม่ทันได้รอสายเกินสองครั้งรถกอล์ฟคันเล็กสีขาวก็มาจอดลงหน้าบ้าน เอสในชุดเรียบร้อยเดินเข้ามา
“ไงเอส ได้ยินว่าไปดูสเตอเบอรี่มาเหรอ ชอบไหม นั่นน่ะคาปูกับอาร์เขาช่วยกันดูแลอยู่เลยนะ”
“ครับสวยมาก” เอสตอบพลางกวาดตามองอาหารบนโต๊ะ โก้ถือจานปลาสลิดทอดเดินเข้ามา ชี้บอกแคปว่าให้รีบไปล้างมือตักข้าวได้เลย
“เอสกับอาร์ก็ไปล้างมือเร็วเข้า มาทานข้าวพร้อมกันเดี๋ยวพ่อต้องรีบไปเปิดร้าน จวนจะแปดโมงแล้ว”
“พ่อครับแล้วอาฟี่จะมาตอนไหนอ่ะ” แคปตักแกงส้มมะรุมใส่จานให้เอส เจ้าอาร์เตะขาเขาอยู่ใต้โต๊ะบอกตักให้กันมั่ง แคปถลึงตาใส่แล้วแยกเขี้ยว วันนี้แคปนั่งข้างเอสส่วนอาร์นั่งข้าง ๆ โก้ พี่พายเดินเข้ามาหยิบน้ำในตู้เย็นโก้จึงเรียกให้มานั่งทานด้วยกัน
“คุณโก้ตามสบายเลยครับ ผมเรียบร้อยแล้วเดี๋ยวออกไปเปิดร้านรอ”
“ฝากด้วยนะพาย”
โก้ร้องบอกออกไปพายยกมือให้สัญญาณว่าโอเคไม่ต้องห่วง จากนั้นคุณพ่อหนุ่มแว่นจึงหันกลับมามองที่แคป
“อาฟี่จะเข้ามาช่วงเย็น ลาเต้ก็เพิ่งโทรมาเห็นบอกว่าจะถึงตอนเย็นๆเหมือนกัน”
ตลอดช่วงเช้าของวันนั้นเอสตามแคปเข้าไร่สุดท้ายช่วงบ่ายไปกินข้าวกันที่ครัวของร้านกาแฟ จากนั้นเขาก็อยู่ช่วยงานยาวที่นั่น
“งานที่บริษัทยุ่งมากหรือเปล่าเอส” โก้เพิ่งมองส่งลูกค้ารายหลังสุดออกไปจากร้าน เขาหันมาถามเอสที่กำลังช่วยคัดเมล็ดกาแฟช่วยอยู่ด้านในเคาน์เตอร์
“ครับ ยุ่งนิดหน่อย”
“แล้วมาที่ไร่แบบนี้ไม่เป็นอะไรหรือ”
“ไม่ครับ สัปดาห์นี้ไม่มีงานประชุมวาระสำคัญ” ความจริงมี แต่ให้ปอเข้าแทนกับน้องอุ้ม ไม่งั้นเลขาอย่างเจ้าปอหรือจะพลาดมาที่ไร่นี่
“เอ๊ะเอสทำงานหน้าที่อะไรนะลูก ทำที่ตึกรัชชาใช่ไหม ที่เดียวกับเจ้าปอใช่หรือเปล่า”
“ครับใช่”
“แล้วทำแผนกอะไรล่ะ เอสทำเกี่ยวกับส่วนไหนของรัชชาหรือ”
“...................”
โก้ไม่คิดเลยว่าตัวเองจะได้รับคำตอบเป็นจุดไข่ปลา เขาโคลงศีรษะแล้วกลอกตาพลางบ่นอุบกับตัวเองว่ากูไม่น่าถามออกไปเลย สงสัยว่าตำแหน่งงานจะสูงเกินไม่ก็ต่ำเรี่ยจนไม่กล้าพูด เดินเข้าไปตบไหล่หนาเบา ๆ แล้วบอกให้ออกไปนั่งพักหน่อยก็ได้ เอสช่วยคัดเมล็ดกาแฟจนเสร็จ
“ผมออกไปหาแคปนะครับ”
“ไปสิ น่าจะออกมากันแล้วล่ะ ส่งลูกทัวร์กรุ๊ปสุดท้ายแล้ว”
เอสถอดผ้ากันเปื้อนสีดำที่คล้ายกับชุดบาริสต้าออก เขาผลักประตูกระจกก้าวออกไป ลมเย็นๆปะทะใบหน้าคม แคปกวักมือเรียกจากที่ไกลๆ เอสมองซ้ายมองขวาเป็นโก้ที่เปิดประตูออกมายื่นกุญแจรถกอล์ฟส่งให้
“เข้าไปชมไร่ดีๆใหม่สักรอบ แล้วเดี๋ยวออกมาทานข้าวเย็นพร้อมกัน ลาเต้ใกล้จะมาถึงแล้วล่ะ”
“ครับ”
หลังจากนั้นแคปก็ทำหน้าที่พาคุณชายแห่งรัชชาชมสวน รถกอล์ฟคันเล็กเคลื่อนตัวไปเรื่อยๆตามถนนที่ตัดเป็นเส้นเล็กๆผ่านต้นผลไม้ชนิดต่าง ๆ วกไปวนมาหากเจออันไหนที่น่าสนใจแคปจะจอดลงแล้วบอกให้เอสลงไปเด็ดมากินบนรถได้เลย
“ถ้ามึงมาช่วงหน้าร้อน จะเห็นเงาะสีแดงๆออกลูกเต็มไปหมดเลยล่ะ ทั้งมังคุด ทั้งมะม่วง ทุเรียนก็เยอะนะ นั่นไงต้นนั้นน่ะต้นทุเรียน ส่วนต้นโน้นโซนโน้นทั้งหมดเป็นมังคุด เฮ้ยแล้วก็นั่นอย่ามัวแต่มองฝั่งนี้ ฝั่งนั้นเป็นซุ้มองุ่นทั้งหมดเลยแต่ว่าตอนนี้ไม่ใช่ฤดูกาลของมันเพราะงั้นเลยเห็นแต่ต้นมันแบบนี้แหละ ใบเบยอะไรก็ไม่ค่อยจะมี เขาถึงว่าเที่ยวสวนผลไม้ต้องเที่ยวหน้าร้อนไงหน้าหนาวแห้งแล้งปลูกอะไรก็ไม่ค่อยจะติดหรอก อ่ะนั่นเดี๋ยวกูจะจอดให้มึงลงไปเด็ดขึ้นมากินได้นะ พุทราแอปเปิ้ลเยอะมากๆเลยใช่ไหมล่ะ”
แคปจอดรถเอสก้าวลงไปแล้ววิ่งไปเด็ดมาสองลูกเช็ดกับเสื้อของแคปแล้วเขาก็เอาขึ้นมากัดกิน
“เออลืมถาม กินได้เลยป่ะเนี่ย ต้องไปล้างไหม”
แคปส่ายหัว “กินได้แบบไม่ต้องล้าง ผลไม้ที่ไร่กูปลอดสารพิษทุกต้นไม่งั้นจะมีลูกค้าเข้ามาเก็บกินสดๆกันทุกวันหรอกหรือ แค่เช็ดให้สะอาดก็พอ”
เอสยิ้ม แคปเองก็ยิ้ม คนนั่งป้อนคนขับจากนั้นพวกเขาก็หัวเราะกัน
“แวะสเตอรี่อีกหน่อยได้หรือเปล่า”
“ได้ดิ มึงอยากเข้าไปดูอีกเหรอ”
“อืม” เอสพยักหน้าบอกอือๆ แคปจอดรถลงแล้วเดินทักทายคนงานก่อนตามเอสที่ดิ่งเข้าไปก่อนแล้ว มีนายโชนที่ตอนนี้ได้รับหน้าที่ให้ดูแลโรงเพาะปลูกนี้วิ่งเข้ามาทำความเคารพเอสอย่างนอบน้อม
“อะไรเนี่ยนายโชน รู้จักเพื่อนผมด้วยหรือไงเห็นทำท่าสนิทสนมกันตั้งแต่เมื่อเช้าแล้วนะ” โชนยิ้มแห้งหน้าจืดไปนิดๆ ขณะที่เอสก็แค่ขำๆ พยักหน้าบอกโชนว่าให้ไปทำงานต่อไม่ต้องมาเทคแคร์เขาหรอก จากนั้นดึงแคปชวนไปดูอะไรบางอย่างที่เตะตาตั้งแต่เดินเข้ามา เขาใช้มือช้อนลูกสเตอเบอรี่สีแดงสดขึ้นมาจากกระถาง จากนั้นหันมาใช้สายตาถามแคปว่าเด็ดมากินได้ไหม หากแต่เจ้าของไร่ถลึงตาใส่แล้วตีมือใหญ่เสียงดังเพี๊ยะ!
“ยังกินไม่ได้! นี่กูยังต้องทดลองต่ออีกหน่อย ลูกเนี๊ยะลุ้นกันกับไอ้อาร์กว่าจะโต เจ้านี่มันเป็นพรีเซ็นเตอร์ของไร่เชียวนะมึง ลูกค้าบางคนมาเพราะอยากดูมันนี่แหละ ผลสวยใบงามลูกสาวกูเองมึงจะมาเด็ดกินฟรีๆได้ไงวะ”
“เสียเงินกูก็จะจ่ายนี่ ไม่กินฟรีหรอก”
“มันไม่ใช่แบบนั้นเว้ยมึงก็”
“น้อยใจเหอะ”
“อย่ามาทำงอนเป็นสาวนะเว้ยกูไม่ง้อบอกไว้ก่อน”
“ชิ”
“ไปหัดมาจากไหนเนี่ยไอ้นิสัยแบบนี้น่ะ เดี๋ยวเถอะๆ”
สองคนเถียงกันไปเดินต่อปากต่อคำกันไป คนหนึ่งก็ช่างแกล้งช่างแหย่อีกคนก็ขึ้นง่ายหน้าตาโมโหด่าแว๊ดๆอยู่ตลอด โชนมองเจ้านายสองคนของเขาแล้วยิ้มออกมา
เจ้านายสองคนของเขายิ้มกว้างขนาดนี้ได้สักที
“เอ๊ะอย่ามือบอนสิวะมึงนี่” แคปตีมือเอสเป็นรอบที่สิบ คนถูกปรามหันมาทำหน้างอนหน่อย ๆ แคปชี้บอกว่าไม่ให้เด็ด
“เดี๋ยวต้องรอให้มันโตกว่านี้ก่อน มาคราวหน้าเดี๋ยวกูจะเด็ดให้มึงกิน”
เอสหยุดยืนแล้วอมยิ้ม “กูมาอีกได้จริงเหรอ”
“มาไม่ได้เว้ย ไม่ให้มาแล้ว!” ประชดล้วนๆ คำพูดจากใจจริงก็คือ ทุกเมื่อที่มึงต้องการ เอสเองก็เข้าใจนะ เขาผลักหัวแคปเบา ๆ แล้วเดินเลี่ยงไปดูกระถางอื่นต่อจนสักพัก
“ออกไปกันเถอะว่ะ เดี๋ยวเฮ้ยเต้คงจะมาถึงแล้ว”
“กูมาอีกได้จริงๆใช่ไหมล่ะ”
คนถูกถามนิ่งไปชั่วครู่ก่อนย่นจมูกแล้วพยักหน้าหงึกๆ “เออ ตลอดเวลา”
คำตอบที่ทำเอาหัวใจคนฟังพองโต เอสคว้าหมับมือเล็กมาจับจูงไว้ สองคนเดินออกมาขึ้นรถกอล์ฟขับออกไปด้วยกัน
“มึงเตรียมตัวให้พร้อมหน่อยก็แล้วกันนะ” แคปจับเอาหมวกคาวบอยที่วางอยู่หน้ารถสวมเข้าที่หัวทุยๆผมตั้งๆของคนข้าง ๆ จะว่าไปเอสมันไปซอยผมมาใหม่เหรอวะ สั้นไปอีกนะสัส
“เตรียมตัวทำไม”
“กูว่าเฮียเต้มาถึงแล้วน่ะสิ”
“ฮัดเช่ย!!”เต้ก้าวลงจากรถก็จามออกมาทันที เขาถอดแว่นกันแดดเหน็บเข้าที่หน้าอกเดินฉับๆขึ้นเนินร้านกาแฟไปหาเฮียโก้
“พ่อครับ” เต้ยกมือขึ้นไหว้ โก้ยิ้มกว้างรับลูกชายคนโต ไม่เห็นกันนานหนึ่งเดือนเต้ดูคล้ำแดดขึ้นผมสั้นลงและดูเหมือนจะผอมลงอีกสักสองโลได้
“มาแล้วเหรอเต้” เปิดตู้เย็นคว้าแก้วคาปูชิโน่เย็นๆออกมายื่นส่งให้ แซนวิชทูน่าของโปรดถูกเตรีมไว้ให้อย่างเรียบร้อยสวยงาม
“น้องล่ะครับพ่อ อยู่กับเจ้าอาร์?”
“อยู่ในไร่แหนะ เต้เข้าไปตามสิลูก เรียกออกมาทานข้าวพร้อมกันเลยนะ เดี๋ยววันนี้ปิดร้านเร็วหน่อย”
เต้พยักหน้ารับคำ เดินไปหยิบเอากุญแจรถกอล์ฟคันเล็กที่แขวนอยู่จากนั้นออกจากร้านลงบันไดหินเล็กๆที่ทำไล่ระดับไว้ข้างต้นลีลาวดีขนาดใหญ่ จับเอารถกอล์ฟขับช้าๆเข้าไร่ไป
ระหว่างทางเจอคนงานหลายคนเรียกทักทายกัน เต้จึงบอกให้แวะเข้าไปเอาของฝากที่บ้านใหญ่ก่อนกลับด้วย
“ขอบคุณครับคุณเต้”
“ลุงกล้าเห็นเจ้าแคปไหมครับ”
“คุณแคปอยู่โรงปลูกสตอเบอรี่น่ะครับ เห็นเข้าไปพักนึงแล้ว”
เต้พยักหน้ารับ ยกมือบอกขอบคุณก่อนเคลื่อนรถขับออกไปแบบเรื่อย ๆไม่รีบ
“โตแล้วเหรอเนี่ย” มะละกอพันธุ์ฮอลแลนด์ที่เขาเป็นคนลงเอาไว้สิบกว่าต้นเมื่อปีที่แล้ว ในตอนนี้ออกลูกเต็มไปหมด สีเหลืองสีเขียวปะปน เขาก้าวลงจากรถเดินไปเอื้อมเด็ดมาหนึ่งลูกวางไว้ที่เบาะข้างคนขับ ยกข้อมือดูเวลาอีกทีเมื่อเห็นว่าจะเย็นย่ำมากแล้วจึงรีบบึ่งรถไปที่โรงเพาะเลี้ยงผลไม้จุดหมาย สุดท้ายไม่เจอใครเลยสักคนมีแต่นายโชนที่กำลังจัดการเรื่องท่อส่งน้ำเลี้ยงพันธุ์พืช
“คุณแคปกลับออกไปแล้วครับ”
ไหนๆก็เข้ามาแล้วเต้จึงเดินเข้าไปดูผลงานของแคปกับอาร์นิดหน่อย เขาได้ยินแคปมันโม้ทางโทรศัพท์เรื่องโรงเลี้ยงที่ภูมิอกภูมิใจนักหนาหลายทีแล้ว พอมาเห็นว่าสำเร็จได้แบบนี้ก็อดปลื้มใจแทนน้องชายไม่ได้ เดินดูสักพักจึงค่อยขับรถกลับออกไปอีกฝั่งทางของไร่
“เฮ้ย!! รถเฮียเต้นี่หว่า”
แคปแทบจะกระโดดลงจากรถกอล์ฟทันทีที่เอสขับออกมาจอดลงที่หน้าบ้าน รถเฮียเต้เข้าซองแล้วเรียบร้อยข้างกันกับปาเจโร่สีดำคันงามของเอสเลย เขารีบวิ่งพรวดพราดขึ้นไปแอบมองอยู่ที่กระจกหน้าร้านกาแฟ โก้เห็นจึงบอกว่าเต้เข้าไร่ไปตามหาแคป
“เฮ้อค่อยยังชั่ว” แคปหายใจทั่วท้องรีบวิ่งกลับมาหาเอสที่ตอนนี้เดินไปนั่งเล่นรออยู่ที่แคร่ไม้ไผ่ใต้ต้นมังคุด
“มึงเข้าบ้านก่อนเร็ว เฮียเต้มาแล้วเดี๋ยวกูต้องเข้าไปตรวจดูห้องเฮียให้เรียบร้อยอีกทีก่อน” ว่ายังไม่ทันจบดึงมือเอสฉุดให้ลุกขึ้นทั้งเดินทั้งวิ่งเข้าบ้าน แคปเริ่มลนลานนึกขึ้นได้ว่าห้องพี่ชายเขายังทำอะไรบางอย่างไม่เสร็จ มองหาไอ้อาร์ก็ไม่รู้มันหายหัวไปอยู่ที่ไหน มองไม่เห็นใครจำใจช้อนตามองเอสแล้วลากขึ้นไปด้วยกัน
“กูไม่เข้าไปหรอกนะ เดี๋ยวรออยู่ตรงนี้” เอสว่าพลางพิงราวบันได
“เฮ้ย เข้าไปปูที่นอนช่วยแปปเดียวดิ มันหนักเหมือนกันนะที่นอนเฮียน่ะ”
เอสส่ายหัวบอกไม่ลูกเดียว แคปจึงตัดใจรีบเข้าไปปูผ้าปูที่นอนผืนใหม่เอี่ยม เอาให้เรียบและตึงเปรี๊ยะ พอเสร็จเขาเดินออกมาไม่เห็นเอสแล้วจึงรีบตามลงมาที่ด้านล่าง ร่างสูงใหญ่สมส่วนยืนทอดสายตามองออกไปที่นอกหน้าต่าง
อากาศเย็นลงแล้ว
ท้องฟ้าเองก็เริ่มมืด
เมื่อค่ำคืนโรยตัวลงมา
อีกไม่นานเฮียโก้คงจะปิดร้านตามเข้ามาแล้ว
แคปหอบหมอนผ้าห่มและหมอนข้างที่เอามาตากผึ่งลมไว้หลังบ้านมาจัดการใส่ปลอกสวมเรียบร้อยก่อนยัดทุกอย่างใส่อกเอส คนถูกยัดไม่รู้ตัวได้แต่เลิกคิ้วงงมองของในอกพะรุงพะรังที่รับเอาไว้แบบจำใจนั่น
“เอาขึ้นไปวางไว้ที่เตียงพี่กูที ห้องเมื่อกี้นั่นแหละมึงรู้ใช่ไหม”
“แล้วทำไมไม่เอาขึ้นไปเองวะแคป”
“เอาเถอะน่า”
แคปไม่ตอบคำถามนั้นเขาเพียงแค่ใช้สายตาส่งแล้วดันคนตัวสูงให้เดินขึ้นบันได ขณะที่ตัวเองยืนรออยู่ด้านล่าง
เอสค่อยๆก้าวขึ้นมาลังเลชั่วขณะก่อนที่เขาจะบิดลูกบิดประตูแล้วเปิดเข้าไป ลมเย็นๆหอบหนึ่งพัดผ่านบานหน้าต่างเข้ามากระทบใบหน้าคม เงาสีดำของต้นไม้นอกชานพาดทับม่านหน้าต่างวูบไหว กลิ่นหอมอ่อนๆของลั่นทมกำจาย ทันทีที่เขากดเปิดสวิทไฟ ร่างทั้งร่างพลันสั่นเทิ้มขึ้นมา
เอสก้าวเข้าไปราวต้องมนต์สะกด วางสิ่งที่ถืออยู่ทั้งหมดลงที่เตียงใหญ่ทั้งที่สายตายังไม่สามารถละออกจากผนังห้องทั้งสี่ด้านได้เลย
...รูปของแคปกับพี่ชาย...รูปถ่ายที่อัดแน่นไปด้วยความทรงจำหลากหลายตั้งแต่เด็กจนโต
ข้อความที่จดบันทึกด้วยลายมือของพี่รหัสที่เขาจดจำได้เป็นอย่างดี
ทั้งเป็นระเบียบ....งดงาม และบรรจงราวกับในตอนที่เขียนนั้นใช้ทั้งหัวใจทั้งร่างกายถ่ายทอดออกมา
แต่ละภาพ...
เรื่องราวที่กระตุกหัวใจเขาให้ไหลวูบ
.
.
.
.
“คาปู เฮียเต้มารับแล้ว”
เจ้าหนูตัวผอมผิวขาวสะพายเป้ใบใหญ่ยู่ปากแดงๆใส่พี่ชาย ทั้งที่ตัวเองกำลังขี่ชิงช้าโต้ลมจนเส้นผมสีอ่อนปลิวว่อน “คาปูยังอยากเล่นต่ออีกหน่อยครับ”
“เดี๋ยวพ่อกับอาฟี่จะรอนานนะ วันนี้เฮียเต้มารับเอง คาปูรอนานรึเปล่าเฮียขอโทษนะ วันนี้ทำเวรมารับช้าเลย”
“คาปูรอได้ครับ คาปูเล่นรอ ถึงจะรอน้านนานคาปูก็จะรอ คาปูรอเก่ง”
“กลับบ้านกันเถอะ ส่งมือมาให้เฮียเร็วๆจับกันไว้เดี๋ยวพาข้ามถนน”
“เฮียเต้ถือกระเป๋าให้คาปูไหมล่ะ”
“ส่งมานี่เลย”
.
.
.
.
“เฮียเต้..”
“หือ?”
“คุณแม่ของเราหน้าตาเป็นยังไงเหรอ”
“คุณแม่เป็นผู้หญิงที่สวยที่สุดในโลกเลยล่ะ”
“คาปูอยากเห็นหน้าคุณแม่ อยากให้คุณแม่ไปรับที่โรงเรียน อยากให้คุณแม่กอดแล้วก็เล่านิทานให้ฟัง”
“คาปูหน้าเหมือนคุณแม่มากเลยนะรู้ไหม”
“เฮียเต้เคยเห็นคุณแม่ของพวกเราไหมฮะ”
“เกือบจะลืมหน้าไปแล้ว”
“งั้นคาปูรีบนอนดีกว่าเผื่อคืนนี้จะฝันว่าคุณแม่มานอนกอด”
“อืมนอนเถอะ เฮียจะกล่อมนะ” วงแขนใหญ่รั้งคนตัวเล็กเข้ามาซุกอยู่ในอก ริมฝีปากขยับเอื้อนเอ่ยเพลงช้าเบาๆขับกล่อมให้น้องชายอุ่นใจแล้วหลับตาลง ไม่ว่าคืนนั้นน้องชายจะมีคุณแม่อยู่ในความฝันหรือไม่หากแต่ตื่นนอนตอนเช้าวงแขนของคุณพ่อกับคุณอาของเขาจะโอบกอดสองพี่น้องไว้ตลอดทุกคืนวัน
.
.
.
.
“คาปูเป็นอะไร ร้องไห้ทำไมใครทำ”
“ฮึกก เฮียเต้ครับ เพื่อนล้อคาปูว่าเป็นเจ้าหัวเห็ด คาปูไม่เข้าใจทำไมพ่อถึงตัดผมทรงนี้ให้คาปู”
“หัวเห็ดแล้วยังไง หัวเห็ดแล้วน่ารักจะตาย มานี่มาเฮียจะหวีผมให้นะ ผมคาปูนิ่มจัง”
“แต่คาปูอยากจะหล่อเหมือนเฮียเต้”
คนฟังหัวเราะ ปาดคราบน้ำตาให้น้องชาย “เอาไว้โตก่อนคาปูค่อยหล่อ ตอนนี้เฮียให้ใช้คำว่าน่ารักไปก่อนก็แล้วกัน”
.
.
.
.
.
“เฮียเต้ คุณแม่ของเราอยู่บนดวงจันทร์หรือเปล่าฮะ”
“ไม่รู้สิ อาจจะใช่มั้ง”
“งั้นเฮียเต้อุ้มคาปูหน่อย เฮียเต้อุ้มๆ คาปูคิดถึงคุณแม่ คาปูจะเอื้อมมือไปถึงดวงจันทร์แล้วดึงคุณแม่ลงมาให้นะ เฮียเต้อุ้มๆ” เด็กน้อยเบะปากร้องไห้โยเย ชูสองมือจะเอื้อมคว้าดวงจันทร์ พี่ชายรีบโผเข้าไปหา
“คาปูโตแล้วไม่งอแง”
“คาปูตัวเล็กๆ เฮียเต้อุ้มหน่อย กอดกัน กอดๆ” มือเล็กชูขึ้นเงยหน้าช้อนสายตามองพี่ชายที่รักยิ่ง
“ไม่อุ้มหรอก ทำแบบนี้ดีกว่าเนอะ ฮึ๊บ สูงดีไหม คาปูตัวสูงกว่าเฮียอีกนะเนี่ย ให้ขี่คอเลย” พี่ชายอุ้มเจ้าตัวดีขึ้นมาใส่คอแล้วทำท่าโยกเยกชูมือขึ้นบนท้องฟ้า จากร้องไห้กลายเป็นยิ้มร่าพยายามจะเอื้อมเอาพระจันทร์ดวงโต
“คาปูจะเอาพระจันทร์ได้ไหมฮะ”
“ไหนลองคว้าลงมาซิ คาปูคว้าลงมาได้ไหมล่ะ”
“เฮียเต้เขย่งอีกหน่อยสิ คาปูจวนจะจับถึงแล้ว ฮึ๊บๆ”
.
.
.
.
.
“เฮียเต้ทำการบ้านเสร็จหรือยังครับ คาปูรออยู่” เจ้าหนูถือหุ่นยนต์วิ่งเข้ามาหาพี่ชายที่นั่งทำการบ้านอยู่ เขาละมือมาจับแก้มกลมของน้อง
“แล้วคาปูทำการบ้านหรือยัง เราต้องอ่านหนังสือทุกวันก่อนนอนนะ ถ้าไม่ทำระวังอาฟี่จะดุ”
“ทำไมเราต้องอ่านหนังสือด้วยล่ะฮะ”
“อืม อันนี้ก็ไม่รู้แฮะ เอาเป็นว่าต้องอ่านแหละ เฮียก็อ่านคาปูเห็นไหม อ่ะ คาปูอ่านเล่มนี้ก็ได้ มาอ่านด้วยกัน”
“แต่คาปูยังอ่านไม่ออก คาปูง่วงแล้ว” พี่ชายมองคนตัวเล็กขยี้ตา เขาวางมือลงบนหัวเล็กๆนั่น รู้ว่าน้องรอ
“คาปูง่วงแล้วเหรอ” เด็กน้อยปีนขึ้นเตียงใหญ่ เต้ตามเข้าไปนั่งลงข้าง ๆ
“ครับ เฮียเต้เล่านิทานให้คาปูฟังหน่อยนะ คืนนี้เอาเรื่องอะไรดี”
“คืนนี้จะเล่าแจ็คผู้ฆ่ายักษ์ล่ะ”
“โหหหห” เจ้าหนูน้อยทำตาโตสักพักเอียงหัวเหมือนคิดบางอย่างออก “แต่เรื่องนั้นเบื่อแล้ว คืนนี้อยากฟังพินอคคิโอนี่นา”
“โอ๊ยเรื่องนั้นก็เล่าจบไปนานแล้วเล่ายี่สิบกว่ารอบ คืนนี้เอาเรื่องเจ้าชายน้อยดีไหมหรือว่าลูกหมูสามตัวดี” พี่ชายเชยคางเล็กขณะที่น้องชายฉีกยิ้มแก้มแดงพยักหน้าหงึกๆ บอกอะไรก็ได้ ก่อนจะลุกขึ้นไปเขย่งปลายเท้าจนสุดเพื่อกดสวิทดับไฟ พอห้องมืดก็ส่งเสียงกรี๊ดๆแล้ววิ่งเข้ามาซุกตัวในผ้าห่มของพี่ชาย ปีนป่ายนอนซบอยู่บนพุงอุ่นๆของพี่ สุดท้ายเด็กตัวเล็กก็หลับคาอ้อมอกของเขาทั้งที่นิทานยังไม่จบเลย มือใหญ่ลูบศีรษะเล็ก
.
.
.
.
.
“เฮียเต้ครับ สอนการบ้านคาปูหน่อย”
“อย่าวิ่งดิเดี๋ยวลืนหรอก ไหนดูซิหน้าไหน”
“หน้านี้ๆ คาปูยังไม่เก่ง คาปูทำไมเป็นแต่คุณครูบอกว่าคาปูเป็นเด็กฉลาด”
“คาปูต้องบวกตรงนี้ก่อน เลขสองกับเลขห้าเราเรียกว่าหลักหน่วยนะ ห้ามบวกข้ามหลักรู้ไหม ลองทำดูเดี๋ยวเฮียตรวจให้”
“ครับ คาปูจะพยายาม”
“คนเก่งของเฮีย”
.
.
.
.
.
“คาปูอยากกินอะไร ข้าวผัดไหมหรือว่าไข่เจียวเดี๋ยวเฮียจะพาข้ามถนนไปซื้อนะ มามะ มาจูงมือกัน”
“ไม่เอาๆ” เด็กน้อยส่ายหน้าจนปากสั่น มือเล็กดึงมือพี่ชายบอกให้นั่งลง “คาปูอยากให้เฮียเต้ทำให้กิน ทำข้าวผัดราดซอสมะเขือเทศ”
“หือ เอาแบบนั้นเหรอ” เจ้าเด็กขี้อ้อนซบใบหน้าซุกลงที่คอพี่ เต้ลูบหัวลูบหลังแล้วสัญญาว่าจะทำให้กิน น้องตัวเล็กฉีกยิ้มกว้าง
“คาปูรักเฮียเต้ที่ฉุดเลย...”“เฮียเต้ก็รักคาปูที่สุดเหมือนกัน...”คนที่ยืนมองภาพถ่ายแห่งความทรงจำตกอยู่ในห้วงแห่งภวังค์ ครั้นมือที่ยกขึ้นสัมผัสบรรดารูปภาพและข้อความมากมายต้องชะงักเพราะว่าเสียงทุ้มน่ากลัวที่ดังมาจากด้านหลัง
“คาปูคือหัวใจของกู”ราวกับทุกอย่างพลันหยุดนิ่ง เอสค่อยๆหันกลับมาเผชิญหน้ากับเจ้าของห้องตัวจริง
“ถ้ามึงทำน้องกูเสียใจแม้แต่ครั้งเดียว กูจะฆ่ามึงให้ตายคาตีนกูเลย” วงแขนใหญ่ล็อคเอาคออดีตน้องรหัสเข้าหาตัว กดลงแรง ๆเพื่อชนเข้ากับศีรษะของตัวเองก่อนที่น้ำตาลูกผู้ชายจะร่วงหล่นลงข้างกาย
“เฮียเต้..”
แคปเสียงเครือก้าวเข้ามา เต้ดึงเอาตัวน้องชายมากอดไว้อีกข้าง ม่านน้ำตาแตกกระจายเมื่อแคปจับมือใหญ่ของคนที่เขารักทั้งสองคนมาวางไว้ด้วยกัน เอสตาแดงก่ำขณะที่เต้บีบมือน้องรหัสตัวเองเสียจนแน่น
ในตอนนั้นเองที่แคปวางฝ่ามือเล็กของตัวเองทาบทับลงไปแล้วร้องไห้โฮออกมา
ไม่ว่าใครที่มีอดีตร่วมกันมามองเห็นภาพตรงหน้าต่างก็กลั้นน้ำตาไว้ไม่อยู่
เต้ข่มกรามแน่นก่อนพยักหน้าเบา ๆ ขณะที่เอสเองก็กัดริมฝีปากจนสั่นไปทั้งตัว ทว่าไม่มีอะไรจะดีไปกว่าการที่จู่ๆเต้ก็ดึงทั้งสองคนเข้ามากอดไว้จนแทบจะจมลงที่อก ข้างหนึ่งคือน้องชายที่รักยิ่งอีกข้างคือน้องรหัสคนรักของน้องชายเขา เสียงสะอื้นไห้และขอบคุณครั้งแล้วครั้งเล่าดังลอดออกมาจากบ่าใหญ่ที่เปียกปอนไปด้วยหยาดหยดน้ำตานั่น
...ใครว่าผู้ชายร้องไห้ไม่เป็น...กระเป๋าสตางค์ใบเก่าถูกหยิบขึ้นมา ก่อนที่เต้จะล้วงของชิ้นเล็กๆบางอย่างที่นอนแน่นิ่งอยู่ในนั้นยาวนานถึงห้าปีออกมา
..เกียร์..“ครั้งที่หนึ่งกูมอบให้มึงในฐานะของพี่รหัส แต่ครั้งที่สองนี้กูมอบคืนให้มึงในฐานะของ....
พี่ชาย” ความหมายของเขาคือคนในครอบครัว เอสจ้องมองสิ่งที่วางลงบนฝ่ามือเขาแน่นิ่ง ตื้นตันจนไม่รู้จะอธิบายออกมาอย่างไร เขาค่อยเงยหน้ามอง
“ไม่มีครั้งที่สามอีกแล้ว” เต้วางของสำคัญที่ครั้งหนึ่งเขาเคยกระชากออกจากลำคอขอน้องชายลงบนฝ่ามือสั่นเทิ้ม เจ้าของที่แท้จริง
น้ำตาหนึ่งหยดไหลตกลงมา ม่านน้ำตาไม่สามารถกางกั้นทุกความรู้สึกของคนทั้งคู่ได้ เอสเอ่ยถ้อยคำที่กลั่นออกมาจากข้างใน ปลายเสียงสั่นเทิ้ม
“หัวใจของผมถูกสลักลึกไว้ด้วยชื่อของน้องชายเฮียนานแล้ว....ขอบคุณมากครับ” “เฮียเต้.. ผมขอโทษ ขอโทษครับ..” แคปที่ยืนมองอยู่ตลอดก้าวเข้าหาซุกหน้าลงที่พี่ พร่ำคำขอโทษ ขอโทษที่ทำให้ผิดหวัง หากแต่เต้กลับส่ายหน้าช้า ๆวางมือใหญ่ลงที่ศีรษะเล็ก “ไม่ต้องขอโทษ มึงไม่ได้ทำอะไรผิดคาปู ตั้งแต่เล็กจนโตมึงคือความภาคภูมิใจที่สุดของเฮีย มึงโตขึ้นมากจริง ๆ สายตาที่มั่นคง แข็งแกร่งแบบนี้สิถึงค่อยสมกับเป็นน้องชายเฮีย ทำปัจจุบันของมึงให้มีความสุขที่สุดก็พอแล้วคาปู ความรักไม่มีแบ่งเพศ พวกมึงสองคนใช้เวลาพิสูจน์กันมามากเพียงพอแล้ว”
แคปสะอื้นไห้ ดวงตาแดงก่ำไม่ต่างกันกับเอส มือใหญ่ของเต้ขยี้ลงที่หัวเล็กอีกครั้งก่อนกอดล็อคเอาไว้แน่น อกกว้างที่อุ่นเสมอของพี่ชาย แคปเสียงสั่นพร่า “ขอบคุณครับเฮียเต้”
แคปคว้าจับมือของเอสเข้ามากอดเอาไว้ก่อนที่เต้จะล็อคเอาตัวอดีตน้องรหัสเข้ามากอดอีกหน
สามคนกอดคอกันร้องไห้
ไม่รู้ทำไมเอสถึงรู้สึกราวกับได้ยินคำขอโทษที่ถ่ายทอดมาจากหัวใจแข็งแกร่งของเฮียเต้
แคปสะอื้นจนตัวโยนเงยหน้ามองทั้งสองคนก่อนยิ้มออกมาทั้งน้ำตานองหน้า
กลิ่นลั่นทมหอมลอยเอื่อยเข้ามาอีกแล้ว สายลมอ่อนๆพัดผ่านจนเส้นผมทั้งสามคนปลิวไสว ดอกไม้โบราณยามราตรีส่งกลิ่นหอมกำจายไกล
หากมีใครอีกคนที่ยืนดูดบุหรี่พิงราวบันไดมองอยู่หน้าห้อง
ม่านควันสีเทาหม่นเผยให้เห็นสายตาคมกริบที่อ่านให้ตายอย่างไร ก็อ่านได้ไม่เคยออก
อาฟี่...เมฆดูสวยงาม เมื่อยามมองฟ้า ฟ้าดูกว้างใหญ่เหมือนเก่า
เมื่อยังเล็กแหงนดูมือไขว่คว้าเอา สูงจังอยากตัวโตสูง
จ้องมองแสนนาน พี่ชายคงเห็นยิ้มเดินมาใกล้แล้วอุ้ม
ขี่คอจนเกือบสูงทัน จ้องมองบนฟ้านั่น
เอื้อมมือถึงจันทร์ จะเอาเป็นของเรา
...ครั้นโดนเขารังแก ร้องงอแงร้องไห้
พี่คนนี้ยังคอยคุ้มครองคุ้มภัย น้องเอยอย่ากลัวใครเขา
สองพี่น้องเดินไป น้องตามพี่ชาย
จับมือจูงน้องไปมองฟ้าอันกว้างใหญ่ ฟ้าคงไกลไป ขี่คอพี่สูงเอง...
(Cr.เพลงพี่ชายที่แสนดี)
Tbc.