“ยิ้มอะไรวะมึง ทำไมถึงทำท่าชิลกันฉิบหาย เรื่องอาฟี่ว่ายังไงไหนว่าซีเรียส ซีเรียสโคตรๆ กูว่าอาฟี่ปล่อยมึงแล้วเหอะ ไม่งั้นจะพาพวกเราทุกคนออกมาแฮงค์เอาท์กันแบบนี้หรือไง มึงสบายใจได้แล้วดิ”
แคปยักไหล่ขึ้นมานิดๆ อาฟี่เป็นคนดูยาก ยิ่งเรื่องที่คุณอาเขาไม่พูดออกมาจากปากอย่าคิดว่าเขาจะเดาทางออกได้
“ไม่รู้ว่ะ แต่กูว่ามันแปลกๆยังไงไม่รู้สิ อาฟี่ควรจะพูดอะไรมั่งแต่ก็เปล่าเลย นั่นล่ะที่ทำให้กูกลัว”
“เอาน่าอย่าไปคิดมาก บางทีกลับไปอามึงเขาอาจจะค่อยเรียกพวกมึงสองคนเข้าไปคุยก็ได้นี่”
“ก็ขอให้เป็นงั้น และก็ขอให้อาฟี่เข้าใจพวกกูด้วยยิ่งดีใหญ่”
“เออ กูจะภาวนาให้มึงก็แล้วกันว่ะ”
“ใจเว้ย....โอ๊ะ!!”
โครม!!แคปเหมือนถูกใครสักคนดักขาแล้วผลักจนตัวเขาเซเข้าไปชนโครมลงที่โต๊ะซึ่งนั่งเต็มไปด้วยบรรดาชายหนุ่มหัวเกรียนหน้าโหดสี่คน ทั้งหมดลุกฮือขึ้นในตอนที่แคปพยุงตัวไม่ให้ล้มลงแล้วปัดเอาขวดเหล้าแก้วเหล้าแตกกระจายลงกับพื้น เหตุการณ์ฉุกละหุกเกิดขึ้นโดยที่แคปมันเดือดขึ้นตามสัญชาตญาณกระโดดใส่ไอ้คนที่มันมั่นใจแน่ ๆ ว่ายื่นขาออกมาดัก
ผั๊วะ!!!“ไอ้สัส! มึงตั้งใจหาเรื่องกูเหรอห๊ะ!!”
ผั๊วะ!!!หมัดที่สองของแคปปล่อยเข้าที่ใบหน้าชายหนุ่มหน้าโหดอีกคนที่ตัวใหญ่ไม่แพ้คนที่โดนคนแรก เหตุตะลุมบอลขนาดย่อมๆเกิดขึ้นในโซนโต๊ะริมสุดติดทางเดิน มันอาจจะมืดมิดมากๆเพราะแสงไฟที่สาดเข้ามาไม่ค่อยจะถึง
มีต้นไม้และของประดับอะไรหลายๆอย่างวางเอาไว้ แต่อยากจะบอกเหลือเกินว่า สิ่งที่เกิดขึ้นกับแคปและอาร์ในตอนนี้ไม่หลุดพ้นจากสายตาของเหล่าพรรคพวกที่มาด้วยกันได้เลยสักนิด เอส เต้ โก้และปอลุกพรวดขึ้นในทันทีที่แคปเซลงที่พื้น และคนที่ไวที่สุดอย่างเอสวิ่งนำเข้าไปแล้ว ลาเต้ที่กำลังจะก้าวออกไปช่วยน้องชายกลับถูกมือของฟี่กระชากเอาไว้อย่างแรง เช่นเดียวกันกับปอเองก็ถูกโก้ดึงเอาไว้เช่นกัน
“คาปูถูกชก ผมจะเข้าไปช่วยน้อง!” เต้หันมาตะคอกอย่างลืมตัว เจอฟี่กดบ่าบอกให้นั่งลง ในตอนนั้นสายตาดุและคมของคุณอาเขาไม่ได้ละออกมาจากจุดโฟกัสที่แคปเลยแม้สักนิดหากแต่ก็ยังไม่ได้ก้าวออกไปช่วย ไม่ต่างกันกับโก้เองก็ดึงแขนปอไว้แล้วบีบแน่น ดวงตาหลังเลนส์บางใสจ้องมองลูกชายคนเล็กพร้อมกับกัดฟันกรอด เต้ที่ร้อนใจไม่ต่างกับปอสบตากันและรู้อะไรบางอย่างในทันทีที่เห็นว่าคนอย่างอาฟี่ค่อยๆนั่งลงแล้วจุดบุหรี่ขึ้นอย่างช้า ๆ ดวงตาที่อยู่หลังม่านควันสีขุ่นดูแข็งกร้าวและน่ากลัวอย่างที่เต้ไม่เคยพบเห็นมาก่อนเลยในชีวิต
หรือนี่จะเป็นบททดสอบของอาฟี่?
ในขณะเดียวกัน
กลุ่มคนที่ชกต่อยกันอย่างอุตลุต ร่างของแคปที่เพิ่งกระทืบใส่ไอ้คนตัวขนาดกลางจมลงไปกองอยู่ที่พื้น โดนกระชากผมจนหน้าแหงนแล้วซัดเข้าใส่ที่ใบหน้าเต็มๆหนึ่งหมัด อาร์หลบตีนไอ้ตัวใหญ่อีกคนเข้ามาช่วยหากแต่ไม่ทันโดนเหวี่ยงออกนอกวงไปชนโครมเข้ากับตุ๊กตาปูนปั้นจนจุกกองฮวบลงที่พื้น ในสายตาของเขาดูเหมือนว่าพวกเด็กหนุ่มที่เหลืออีกสามคนมีเป้าหมายอยู่ที่แคปทั้งสิ้น อาร์ไม่มีเวลาจะมาคิดถึงลำดับเหตุผลอยู่ ขณะกำลังจะพยายามลุกไปช่วยเพื่อน เขามองเห็นเอสที่วิ่งเข้ามากระโดดถีบใส่ไอ้คนที่มันฟาดหน้าแข้งใส่แคปไปเมื่อตะกี้โครมใหญ่ มือหนากระชากทีเดียวพร้อมกันสองคนถูกเหวี่ยงออกไปชนเข้ากับขอบเวทีและแท่นลำโพง
ไม่มีพนักงานเข้ามาดูแล ไม่มีการ์ดเข้ามาห้ามปราม ผู้คนแตกกระเจิงออกไปเมื่อเอสจิกหัวอีกคนมารับเข่าหนักหน่วงแล้วเหวี่ยงร่างไปติดแหงกชนกับโต๊ะแรกสุดหน้าเวที แคปที่กำลังจะลุกขึ้นเจอไอ้คนตัวใหญ่ที่เขาจัดการไปรอบแรกดึงแขนไว้ได้อีกครั้ง สองคนที่เหลือลุกขึ้นมาล็อคคอกะจะทำให้เขากลายเป็นเป้านิ่ง เอสหันขวับมาทันที ตาขวางคว้าเอาขวดเหล้าที่วางอยู่เดินหน้าเข้าหา ก่อนที่ทั้งหมดจะมองหน้ากันอย่างแตกตื่น เมื่อเอสคว้าไอ้คนที่เป็นตัวการดักขาแคปในตอนแรกมาไว้ได้แล้วลากมันออกไปกระทืบอยู่ที่ข้างทางเดิน
อึ่ก!!ผั๊วะ!!ไม่ใช่แค่ตีน ในตอนนี้หมัดหนักๆประเคนเข้าที่ใบหน้าเขียวช้ำเลือดไหลรินออกมาอย่าน่าหวาดกลัว หาแต่คนชกยังไม่ยอมหยุด
ผั๊วะ!!.....ผั๊วะ!!.....ผั๊วะ!!.....ผั๊วะ!!.....ผั๊วะ!!.....แคปที่ยืนมองจนตาค้างเมื่อเห็นว่าเอสฟิวส์ขาดแล้วน่ากลัวมากแค่ไหน
ไม่ต่างกันกับทั้งหมดทุกคนที่เหลือ เต้ โก้ ปอ และอาร์ที่ตอนนี้เข้ามายืนอยู่ข้างแคปเรียบร้อยแล้ว แคปสะดุ้งเฮือกเมื่อได้ยินเสียงกรีดร้องของใครสักคน เขานึกขึ้นได้ว่าจะต้องเข้าไปห้ามก่อนที่ไอ้เด็กคนนั้นจะตายไปกับมือของเอส
ทว่า...ฟี่กลับดึงเขาเอาไว้
ร่างสูงใหญ่ก้าวเข้ามาประชิดตัวพร้อมกับเสียงทุ้มต่ำที่กระซิบชิดอยู่ที่ริมกกหู “เห็นตัวจริงแบบนี้ของมันแล้วมึงยังจะรับได้อยู่หรือเปล่า”
ผั๊วะ!!.....ผั๊วะ!!.....ผั๊วะ!!.....ผั๊วะ!!.....ผั๊วะ!!.....หน้าตาที่แตกยับเยินของคนที่กำลังโดนเอสชกไม่หยุดมือ เลือดสีแดงฉานหลั่งไหลไม่ยอมหยุด เอสเหวี่ยงมันลงก่อนลุกขึ้นมาลากอีกสามคนที่เหลือเข้าไปจัดการแบบเรียงตัวจนเลือดโชกกันไปหมด แคปโดนฟี่ล็อคต้นคอไว้แล้วบังคับให้เปิดตามองดูให้ดี
“นี่คือผู้ชายคนที่มึงจะยอมให้เข้ามามีส่วนในชีวิตของมึงนับจากวันนี้ มึงรับได้ไหมมึงตอบกูมาแค่คำเดียวคาปู!! ยอมรับได้ไหมกับคนแบบนี้!!!”
ฟี่ตะโกนใส่ในท่อนสุดท้ายที่เขาพูดกับแคป หลานชายหันมาจ้องคุณอาของเขาด้วยแววตาที่วาวโรจน์ไร้ความเกรงกลัว ดูไปไม่เหมือนคาปูคนเดิมอีกต่อไปแล้ว เขาสะบัดมือของฟี่ออกได้แล้วหันมาตะคอกกลับแรงๆเช่นกัน
“ผมเหี้ยได้ยิ่งกว่านี้ถ้าเป็นคนที่ผมรักโดนทำร้าย และผมก็เชื่อว่าถ้าเฮียโก้โดนทำร้ายอาฟี่จะไม่ปล่อยเอาไว้เหมือนกัน!!”
แคปพูดจบวิ่งถลาเข้าไปกระชากเอสออกมาจากจุดนั้นแล้วกอดเขาเอาไว้ทั้งตัวไว้ น้ำตารื้นออกมาเมื่อเห็นใบหน้าคมที่อาบเต็มไปด้วยเลือด คงจะแตกยับไม่ต่างกัน
เอสก้าวถอยออกมาแล้ว เขาหอบหายใจไม่หยุดพอรู้ตัวเข่าแทบทรุดฮวบลง
บางทีสติเพิ่งอาจจะกลับคืนมา พอนึกขึ้นได้ก็ประคองฝ่ามือบนใบหน้าเล็กๆของแคปที่ตอนนี้เขียวช้ำขึ้นมาหลายรอย นึกโมโหขึ้นมาอีกรอบจะเข้าไปจัดการไอ้พวกนั้นอีกหนแต่ทว่าคราวนี้การ์ดของทางร้านพร้อมกับพนักงานบางส่วนมาช่วยกันคนถูกทำร้ายออกไปกันแล้ว
ผู้จัดการเดินมาคุยบางอย่างกับอาฟี่ ก่อนที่โก้จะพาเด็กๆไปล้างหน้าล้างตาแล้วเช็ครอยแผลเคลียร์ค่าเสียหายจากนั้นให้ไปรออยู่ที่รถเพื่อกลับไร่
ฟี่เดินออกมาพร้อมกับผู้จัดการร้านชายหญิงคนเดิมที่เข้ามาต้อนรับในครั้งแรก น่าแปลกที่เจ้าของสถานที่ทั้งสองคนยิ้มแย้มแจ่มใส ดูไม่เหมือนคนที่โกรธเคืองเพราะไปสร้างความยุ่งยากและปัญหา
“เราต้องไปโรงพักไหมวะฟี่ เด็กพวกนั้นเป็นไงบ้าง” โก้หมายถึงเด็กหนุ่มหัวเกรียนๆที่สวมกางเกงทหารสี่คนนั่น โดนเอสจัดเต็มไปขนาดนั้น ป่านนี้คงนอนทำแผลกันอยู่ไม่โรงพยาบาลใดก็โรงพยาบาลหนึ่ง
“ไม่เป็นไรเรื่องนั้นเคลียร์จบไปแล้ว”
“จบแล้ว!” ไม่ใช่เสียงเฮียโก้ หากแต่เป็นเจ้าอาร์ที่ครางขึ้นมาตาโต
“จบแล้วหมายความว่ายังไง เด็กพวกนั้นเจ็บมากเลยนะ เราทิ้งมาแบบนี้มันไม่ดีเลยนะฟี่ กูว่า...”
“ไม่เป็นไรหรอกน่าโก้ เด็กพวกนั้นมันทหารทรหด ลูกน้องกูเอง ส่งตรงไปโรงพยาบาลแล้ว”
“ห๊ะ!!!” นี่คือเจ้าอาร์ห๊ะขึ้นมาอย่างดัง แคปกับปอและเต้เองก็แอบห๊ะอยู่ในใจ ต่างกันกับเอสที่มีมันสมองอันชาญฉลาดทำงานเร็วกว่าคนอื่นๆมากนัก
ไร้สาระเป็นบ้า จัดฉากทำไมเขาคิดอยู่แค่นั้นจริงๆ
“นี่ แล้วตกลงว่ามึงนัดแนะลูกน้องมึงให้มาหาเรื่องคาปูจริงดิ”
เสียงทุ้มของเฮียโก้ดังขึ้นไม่มีปี่มีขลุ่ย ฟี่ที่กำลังขับรถอยู่ถึงกับต้องหันไปมอง
“อะไร กูจะไปรู้ได้ไงว่าเด็กพวกนั้นมันจะมาเที่ยววันไหน ก็เห็นแล้วจำได้ตอนที่ลงมาพร้อมมึงนั่นแหละ”
ฟี่ตอบไปแบบเรียบ ๆ หากแต่ทั้งรถใครจะไปเชื่อ โก้ส่ายหัวยอมใจ สุดท้ายก่อนรถจะเลี้ยวเข้าไร่ โก้จึงถามขึ้นมาอีกประโยคหนึ่ง
“ถ้ากูโดนรังแกแบบคาปู มึงจะทำยังไง”
“กูจะฆ่าให้มันตาย เอาให้มันตายลงตรงนั้นคาตีนกูเลยไง”โหดเหี้ยๆ
ถึงอย่างนั้นยังเลือกไปถามแคปมันอีกว่าจะรับได้ไหมกับคนโหดร้ายแบบเอส
โถฟี่ ไม่มองตัวเองเลยจริงๆ
โก้นึกแล้วส่ายหัวเบา ๆ อีกครั้ง รถจอดลงหน้าบ้านใหญ่ มองดูพวกเด็กๆนั่งหลับหัวชนกัน ปากแคปมีรอยฟกช้ำ ใต้ตาก็เขียวเป็นเบ้า ขณะที่เอสเองตอนแรกเขาตกใจมากนึกว่าเลือดออกเยอะที่ไหนได้พอล้างหน้าล้างตาเสร็จกลับกลายเป็นเขียวไปแค่หน่อยเดียวเท่านั้นเลือดพวกนั้นเป็นเลือดคนอื่น เจ้าอาร์เองก็ใช่ย่อยเขียวไปใต้ตาสองจุดและมุมปากสองแห่งเนื้อตัวอีกคนหลายที่อยู่เหมือนกัน
“เฮ้อ..”
โก้ถอนหายใจลึก มองน้องชายที่เดินเข้ามายืนอยู่ข้างกัน
“ทีหลังไม่เล่นแบบนี้แล้วนะเว้ย สงสารลูกจะลองใจอะไรอย่าให้มันโหดเกินไปสิวะ”
ฟี่ก็แค่ฟังแล้วเดินทำหน้านิ่งๆเดินเข้าบ้าน เขามองดูรถของปอที่เลี้ยวตามเข้ามาพอดี นายโชนเป็นคนเข้ามาเปิดปิดรั้วให้ก่อนโก้จะปลุกทุกๆคนให้ตื่นแล้วแยกย้ายกันไปนอน
“ใครจะไปนอนที่ไหนก็ตามใจกันเลยละกัน พรุ่งนี้อาหารเช้ารออยู่ที่นี่แปดโมง อย่าให้พ่อต้องเดินไปปลุกไม่งั้นเจอดี”
“คร้าบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบ”
หลังจากนั้นรถกอล์ฟสองคันก็บรรทุกบรรดาหนุ่มๆไปเทลำไว้ที่บ้านหลังเล็กกลางไร่ของเจ้าอาร์
โชนที่ขับตามเข้ามาด้วยแวะถามว่าจะให้เขาช่วยจัดการเรื่องที่นอนหมอนมุ้งให้หรือไม่ อาร์โบกมือบอกไม่เป็นไรพวกเขาจัดการกันได้เอง
อาร์เดินขึ้นมาบนบ้าน ที่ชานระบียงส่วนที่ยื่นออกมาตอนนี้กลับกองเต็มไปด้วยไอ้บรรดาชายหนุ่มขี้เมา ไอ้ปอนอนหนุนตักเฮียเต้ ขณะที่เอสกับแคปแม่งนอนกลับหัวกลับหางอยู่ข้างกัน แต่ละคนถึงจะไม่ได้เมามากมายแต่ก็นอนหลับตาดูท่าจะหลับลึกลงไปจริง ๆ ยิ่งแคปกับไอ้ปอมันกรนแข่งกันกลบเสียงจิ้งหรีดจั๊กจั่นเรไรไปแล้ว
“เฮ้ยๆๆๆๆๆๆๆ ตื่นๆๆๆๆๆๆๆ ไปอาบน้ำเดี๋ยวนี้เลยทุกคนลุกให้หมด!”
เจ้าของบ้านอย่างอาร์ยืนเท้าเอวเรียกบรรดาแขกผู้มีเกียรติให้แหกตาแล้วลุกขึ้นตื่น น้ำท่ายังไม่ได้อาบ ที่นอนยังไม่ได้ปู อากาศแม่งก็หนาว จะมานอนเรียงตัวกันอยู่แบบนี้เดี๋ยวเกิดไม่สบายกันหมดมีหวังเขานี่แหละจะโดนเฮียโก้ด่าแน่ ๆ
อาร์ดึงแขนเฮียเต้ให้ลุกขึ้นเป็นคนแรก เอาขาเขี่ยๆไอ้ปอบอกให้ตื่น จากนั้นไปดึงแขนเอสและขาของแคปที่สลับหัวท้ายกันอยู่ให้ลุกขึ้น แต่ละคนส่งเสียงงัวเงีย จนอาร์ตัดสินใจเดินเข้าบ้านแล้วหยิบเอาผ้าขาวม้าผ้าขนหนูออกมาโยนใส่หน้าไปคนล่ะผืน
“ถ้าพวกมึงไม่ยอมตื่น คราวนี้กูจะเอาน้ำเย็นๆมาสาดใส่ทั้งกะละมังเลยเอาดิ”
แค่นั้นแหละสี่คนที่พื้นลุกพรวดขึ้นนั่งแบบไม่ต้องนับให้พร้อมเพรียง เต้กับปอลุกขึ้นก่อน จากนั้นเอสกับแคปลุกตาม ต่างคนเดินหลับตาโซเซลงไปใต้ถุนบ้าน
น้ำเย็นๆในโอ่งดินที่มีเพียงหนึ่งเดียวคือเป้าหมายของทุกคน
“บ้าฉิบหายทำไมถึงมีขันแค่อันเดียวล่ะวะ” แคปว่าปากสั่น เสียงไอ้ปอผู้ที่แย่งชิงขันไปได้ในลำดับที่สามอาบน้ำจากโอ่งเสียงดังตูมๆๆๆ
“กูอาบมั่งสิ เร็วหน่อยยยยย กึกๆๆๆ” แคปแย่งขันมาได้ คราวนี้ตักอาบไม่สนใจใครหน้าไหน เอสกับเต้ยืนปากสั่นเนื้อตัวสั่นด้วยความหนาวเหมือนกัน ขณะที่เจ้าของบ้านอย่างอาร์วิ่งเข้าห้องส้วมไปเอาขันเก่าๆในนั้นมาอาบแทน
ไม่มีใครสนใจเหี้ยไรใครทั้งสิ้น ต่างคนต่างจ้วงน้ำในโอ่งอาบแข่งกัน ขันหนึ่งใบถูกแย่งเปลี่ยนมือกันไปมา ขณะที่ขันของอาร์ไม่มีใครอยากจะสนใจเพราะว่ามันออกมาจากห้องน้ำนั่นเอง
“ไม่ต้องถูสบู่หรอก รีบอาบให้มันเสร็จๆ” เฮียเต้พูดพร้อมดึงขันมาจากไอ้เอสแล้วตักน้ำบ้วนปาก ก่อนจะคว้าเอาผ้าเช็ดตัวมาพันท่อนล่างแล้วถอดกางเกงในของพี่แกมาบิดๆแล้วตากเลย จากนั้นวิ่งหายขึ้นไปด้านบน หมาอาร์เองก็ทำแบบเดียวกัน เจ้าปอไม่น้อยหน้าตากกางเกงในส่วนตัวเสร็จหายลับขึ้นบันไดไปเช่นกัน แคปเร่งเอสยิกๆบอกเขาหนาวแล้วรีบเสร็จเสียที
ไม่ใช่อะไรนะ คุณชายมันบ้าเดินไปเอาครีมอาบน้ำของไอ้อาร์มากดถู แล้วดึกๆแบบนี้ โคตรหนาวแบบนี้ เอสมันยังหันมาคว้าคอแคปให้ขยับเข้ามาถูด้วยกันอีก
ผั๊วะ!แคปเอาขันฟาดหลังมันไปหนึ่งทีก่อนที่ทุกๆอย่างจะจบลงเพราะแคปหนาวจนปากที่เขียวเพราะโดนฤทธิ์ของหมัดเขียวขึ้นมาอีกเพราะความหนาวคูณ
หลังจากนั้นทุกคนขึ้นมานั่งอัดกันอยู่ที่ห้องนอนของอาร์ ต่อคิวใส่ยาและทำแผลเพราะว่าเฮียโก้ขับรถกอล์ฟเข้ามาพร้อมกล่องปฐมพยาบาล
“โอ๊ย! พ่อครับแคปเจ็บๆๆ” เจ้าแคปทำเสียงสำออยกว่าใครเพื่อน เบ้หน้าร้องขึ้นมาที เอสที่นั่งอยู่ก็สะดุ้งที โก้นี่ถึงกับแอบขำ เขาเรียกเอสเข้ามาแตะยาเข้าที่มุมปากสองจุด สำรวจส่วนอื่นๆปลอดภัยไม่มีร่องรอยจึงเงยหน้ามองอาร์
“คิวสุดท้ายเจ้าอาร์เข้ามาเร็ว ๆ อารู้นะแผลที่หน้าไม่ค่อยมีแต่มีแผลที่ท้องใช่ไหม”
อาร์ทำสีหน้ายอมจำนนยิ้มแหยๆเข้าไปเปิดพุงเขียวๆให้โก้ทายาให้
“อ่ะเสร็จเรียบร้อยทีนี้ก็นอนกันได้แล้ว อากางมุ้งไว้ให้ที่ริมระเบียงเรียบร้อยใครจะนอนในห้องใครจะนอนที่ระเบียงตกลงกันเอาเอง
พอพูดเสร็จโก้ก็เดินลงจากบ้านไป ปอกับอาร์เดินออกไปส่งพวกเขาถึงกับตกใจในตอนแรกที่คิดว่าเฮียโก้มาคนเดียวที่ไหนได้อาฟี่นั่งคอยตาเขียวอยู่บนรถ
“โห อาฟี่ก็มาด้วยว่ะ”
“โหดไม่เปลี่ยน” ปอยักไหล่ อาร์จึงพยักหน้าเห็นด้วย “กูชินแระ แบบนี้แหละอาฟี่ตัวจริง”
“อืม”
ในที่สุดเขาสองคนขึ้นมาบนบ้านกัน เอสแคปและเฮียเต้สามคนนอนเรียงเบียดกันอยู่ที่หน้าเตียง ปอนอนลงไม่ได้แน่ๆครั้นจะขึ้นไปนอนกับเจ้าอาร์ก็คงจะไม่ได้อีกเพราะว่าเตียงอาร์เองก็เล็ก คือบ้านน็อคดาวน์ห้องเดียวแล้วเล็กมากๆ
สำหรับคนเดียวน่ะพอดีแต่ถ้าหากผู้ชายห้าคนมานอนเรียงกันแบบนี้ไม่พอแน่นอน
“กูอึดอัดว่ะแม่ง แคบโคตรเลย”
เต้ลุกขึ้นมาโวยวายขยี้หัวจนฟู ก่อนดึงแขนแคปให้ลุกขึ้นลากออกไปนอนนอกระเบียงด้วยกัน
“เฮียเต้ผมหนาวอ่ะ นอนที่นี่แหละ”
“มึงลุกออกไปนอนกับกูเหอะให้กูกอด ที่ระเบียงกว้างกว่าพื้นที่ตรงนี้ตั้งเยอะ เฮียโก้กางมุ้งปูที่นอนไว้ให้แล้วลุกเร็วเข้า ไอ้เอสมึงเอามืออกจากน้องกูสิวะแม่ง”
ว่าจบไม่รอช้าแคปคลานๆๆออกไปตามพี่ชายด้วยแรงดึงมหาศาลเรียบร้อย เอสเองพอได้ยินว่าเต้จะเอาแคปไปนอนกอดเขาก็รีบคว้าเอาหมอนเอาผ้าห่มตามออกไปด้วย มุดเข้ามุ้งแล้วแทรกตัวนอนลงระหว่างแคปกับพี่ชาย
“เฮียนอนข้างผมนี่แหละให้แคปมันนอนข้าง.....เอ่อ...ข้างไอ้ปอ”
ดูเหมือนเอสยังไวมากที่คิดคำแก้ตัวได้ทันเพราะมองเห็นเลขาผู้ซื่อสัตย์นั่งคุยอยู่กับเจ้าอาร์ที่ปลายเตียงเขากวักมือเรียกบอกให้ปอมันตามเข้ามานอนด้วยกันให้ไวๆเลย สุดท้ายทั้งปอทั้งอาร์ก็ออกมานอนเรียงกันอยู่ด้านนอก
หน้ากระดานเรียงไปด้วยห้าชาย เริ่มจากเต้ เอส แคป ปอ และอาร์
คืนนั้น...มองเผินๆมันช่างเป็นภาพที่น่ารักมาก ผ้าห่มสามผืนกับผู้ชายห้าคนถูกดึงกันไปดึงกันมาด้วยสภาพอากาศที่หนาวเหน็บขึ้นเรื่อย ๆ เต้ขยับตัวยุกยิก คงเป็นเพราะเขานอนริมสุดเกือบๆเลยชายคาออกไปแล้ว หมอกลงจัดละอองน้ำค้างก็ลงหนัก
“กูหนาวว่ะ มึงเถิบไปดิ๊เปลี่ยนให้แคปมานอนข้างกูสิวะ กูพี่มันนะ”
เอสหลับตาทำท่าไม่ได้ยิน หากแต่เต้ยังเขย่าตัวเขาต่อ คนถูกกวนทำเสียงฮึดฮัดขัดใจ “เฮียกอดผมแทนเหอะถ้าหนาวมากจนทนแทบไม่ไหวน่ะ” พูดจบตะแคงกอดหมับเอาแคปที่หลับไม่รู้เรื่องแน่นยิ่งขึ้นไปอีก ได้ยินแต่เสียงเต้งึมงำบ่นอยู่ด้านหลัง ไม่นานก็หลับไปกันทั้งหมด
สายลมยามดึกพัดเอากลีบดอกไม้ปลิดปลิวเป็นสายงดงาม
อีกไม่กี่ชั่วโมงพระอาทิตย์ยามเช้าจะส่องแสงเข้ามาถึง....
หนึ่งสัปดาห์หลังจากวันนั้น รถมอเตอร์ไซด์คันเก่าของไร่แห่งรักค่อยเคลื่อนตัวเข้ามาจอดลงที่บ้านสวนริมทะเล บ้านเรือนไทยซึ่งรายล้อมไปด้วยสวนผลไม้อร่อยๆมากมายหลากหลายชนิด
“สวัสดีครับคุณป้า” แคปยกมือไหว้ก่อนส่งเถาปิ่นโตซึ่งบรรจุไว้ด้วยอาหารเพื่อสุขภาพมากมายที่เฮียโก้ทำขึ้นมาสำหรับฝากป้ารจนาคุณแม่ของแบงค์
“ไหว้พระเถอะลูก ฝากขอบใจพ่อเขาด้วยนะทำอาหารอร่อยมาฝากกันอยู่เรื่อยเลย มา เข้ามาก่อนเจ้าแบงค์อยู่บนบ้านแหนะ น้องโบว์ก็อยู่นะกลับมาเมื่อวานนี้เองแต่ตอนนี้น่าจะยังไม่ตื่นแคปขึ้นไปปลุกแบงค์เลยนะลูก”
แคปตอบรับอย่างนอบน้อมก่อนที่จะเดินตามหลังเจ้าของบ้านแสนใจดีเข้าไป อันที่จริงเขาโทรหาแบงค์แล้วเรียบร้อย สัปดาห์ที่ผ่านไม่ค่อยได้เจอกับมันก็เพราะว่างานวีเจนอกสถานที่ของเจ้าแบงค์มีอัดเข้ามาสองรายการ เห็นว่าเพิ่งเคลียร์เสร็จเมื่อวันก่อน แคปไม่รู้ด้วยซ้ำเพียงแค่คาดเดาว่ามันน่าจะกลับมาแล้ว
เพราะว่าเป็นเพื่อนที่หายหัวไปนานเขาจึงแวะเข้ามาดู
“ไงมึง กลับมาถึงมื่อไหร่วะ”
ห้องของแบงค์ไม่ใช่ว่าจะไม่เคยมานอนค้าง แคปเดินเข้าไปปลุกเจ้าของห้องดึงขามันบอกให้ลุก ก่อนจัดการรวบม่านหน้าต่างเปิดให้แสงแดดส่องเข้ามาถึงได้ เสียงทุ้มงัวเงียอยู่บนเตียงพยายามดึงผ้าห่มขึ้นมาคลุมใบหน้าไว้อย่างเดิมแต่แคปที่ยืนกอดอกจ้องอยู่เดินเข้าไปดึงออกพร้อมลงมะเหงกใส่แรงๆหนึ่งที
“โอ๊ย!”
“จะลุกไม่ลุกล่ะ”
“ลุกแล้วๆ กูกลับมาเมื่อคืน แล้วมึงมาทำไมเนี่ย” แบงค์ลุกขึ้นนั่งถ่างตา ฝืนเต็มทน
“กูมาไม่ได้ไง?”
“เปล่า”
“ไปอาบน้ำไป เฮียโก้ทำแซนวิชปูอัดของโปรดมึงฝากมาให้ด้วย ลุกแล้วตามลงมาข้างล่างด้วยล่ะกูจะลงไปรอนะ” เขาว่าจบจะเดินสวนออกไปแบงค์คว้าหมับเอาไว้แคปจึงหันมาเลิกคิ้วถามว่ามีอะไรอีก
“เปล่า เดี๋ยวกูตามลงไป”
แคปตบเข้าที่ไหล่หนาเบาๆบอกเป็นเชิงว่าให้ตามลงไปเร็วๆอย่าให้เขาต้องรอนาน จากนั้นตัวเองก็เดินลงไปนั่งรอแถวๆแคร่ไม้ไผ่หน้าบ้าน
“พี่แคป”
เสียงใสน่ารักสมกับตัวตนและหน้าตา แคปจำได้ก่อนจะหันไปมองเธอด้วยซ้ำ
“ว่าไงครับโบว์ กลับมาเมื่อวานใช่ไหมเมื่อกี้คุณป้าบอกพี่แล้วนะ”
“พี่แคปมาหาพี่แบงค์เหรอคะ”
แคปขยับให้เธอเข้ามานั่งด้วยกัน น้องโบว์ผอมลงเล็กน้อย ผมสั้นลงและหน้าตาดูหม่นไปมากไม่ค่อยสดใสเหมือนเมื่อก่อน
เขาไม่อยากจะคิดหรอกว่าส่วนหนึ่งเป็นเพราะเรื่องวันนั้นหรือไม่ วันที่เธอถูกเอสบอกเลิกจนต้องสาดน้ำใส่หน้ากันและช่อดอกไม้สีขาวเพื่อล่ำลานั่นอีก
เห็นหน้าเธอแล้วความรู้สึกผิดมันเอ่อล้นขึ้นมาจุกจนถึงอกจริงๆ
“อืมใช่พี่มาหาแบงค์น่ะ ดีใจนะที่วันนี้เจอเราด้วย เรื่องเรียนเป็นไงมั่ง พอไปไหวหรือเปล่า”
“ไหวค่ะ โบว์ไหวอยู่แล้วพี่แคปไม่ต้องห่วง เรื่องเรียนบนโบว์ไม่ทิ้ง โบว์ไม่เกเรพี่”
“ดีแล้วล่ะ” เขายิ้มบางก่อนยกมือขึ้นมาลูบลงที่ศีรษะเธอเบา ๆ โบว์ตาแดงๆทำท่าคล้ายคนจะร้องไห้ ในตอนนั้นแคปเริ่มทำอะไรไม่ถูก น้องโบว์น้ำตารื้นขึ้นมาจนแคปเกรงว่ามันจะร่วงตกลงมาจริง ๆ หากแต่เธอยังทำท่าเป็นคนเข้มแข็ง จ้องหน้าแคปแล้วเอ่ยถ้อยคำบางคำออกมาจากริมฝีปากสวย
“พี่แคป โบว์เลิกกับคุณเอสแล้วนะคะ”
คนฟังราวกับถูกหมุดทั้งคมทั้งหนักตอกลึกลงมากลางหัวใจ ต้นเหตุเพราะใครถ้าไม่ใช่ตัวเขาเอง หึ มีอะไรที่จะทำได้ถ้าไม่ใช่นั่งนิ่ง ๆ สงบปากเก็บคำพูดทุกอย่างเอาไว้ในอก
“โบว์คงไม่เหมาะสมกับเขาเรื่องถึงได้ลงเอยแบบนี้” คนพูดพยักหน้าเบา ๆ ราวกับพยายามทำความเข้าใจ เธอยิ้มบาง ราวกับแค่นยิ้มให้ตัวเอง
“ความจริงโบว์ว่าโบว์โชคดีอ่ะพี่ โบว์ก็รู้อยู่แล้วล่ะว่าคุณเอสเขาเหมือนคนที่มีใครสักคนอยู่ในหัวใจอยู่แล้ว แต่ถึงอย่างนั้นโบว์ก็ยังจะดึงดัน บางทีโบว์ไม่เข้าใจนะพี่ เขามาทำดีกับโบว์ พูดดีด้วย ส่งของให้ ให้ความหวังทำให้โบว์คิด แต่เขากลับไม่เคยล่วงเกินโบว์เลยแม้แต่ครั้งเดียว พูดไปบางทีอาจไม่มีใครเชื่อแต่โบว์อยากจะบอกว่า ถึงรักครั้งนี้ของโบว์จะจบลงโบว์ไม่เสียใจหรอก ก็แค่ปล่อยคนที่ไม่เคยรักเราให้เขาไปมันก็เท่านั้นไม่มีอะไรน่าเสียดาย โบว์จะคิดแบบนั้นค่ะพี่แคป”
แคปได้ยินคำพูดให้กำลังใจตัวเองของเธอที่ท้ายประโยคนั่นทำให้เขารู้สึกใจชื้นขึ้นมาด้วย เขาลูบหัวเธออีกครั้งแล้วบอกให้เธอตั้งใจเรียน น้องโบว์เห็นแบงค์เดินออกมาจากด้านในเธอจึงขอตัวบอกจะไปช่วยคุณแม่ทำอาหารแล้วให้แคปอยู่ทานข้าวเช้าด้วยกัน
“พี่แคปรอนะคะพี่”
“ครับพี่จะรอ โบว์ทำสุดฝีมือเลยนะ”
“ค่า”
พอเธอวิ่งหายลับไป แบงค์ก็ก้าวเข้ามายืนกอดอกมอง “มองแล้วยิ้มทำไมวะ อ่ะเอาไปกิน” แคปลุกขึ้นผลักหัวทุยๆที่ยืนจ้องหน้ากวนเขาอยู่ก่อนหยิบขนมที่เฮียโก้ฝากมายื่นส่งให้ แบงค์รับไปกินแบบง่าย ๆสองคนไปเดินเล่นกันริมชายทะเล
เช้านี้อากาศดี สายลมอ่อนๆโชยพัดเข้ามาเป็นระรอก เรือประมงลอยลำสามสี่ลำห่างออกไปไม่ไกล
แคปนั่งลงที่ชิงช้าใต้ต้นมะพร้าวสูงใหญ่ แบงค์เองก็เดินมานั่งลงอีกตัวข้างๆ
ในเวลานั้นต่างคนเงียบกันไป แบงค์มองคนที่นั่งบนชิงช้าที่แกว่งไกวไปมาเบา ๆ ลมพัดเข้ามาทำเอาเส้นผมสีอ่อนของแคปปลิวไสวระใบหน้าดูยุ่งเหยิงและขบขัน
แบงค์ยกยิ้มอ่อนๆ เขานึกอยากจะเอื้อมมือไปเกลี่ยเส้นผมนุ่มแล้วช่วยเหน็บทัดใบหูให้ใจแทบขาด
หากแต่...รู้ว่ามันไม่สมควร“มึง...
“กูกลับไปคบกับเอสมันแล้วนะ”
ในที่สุด.......ถ้อยคำที่เขาไม่อยากจะได้ยินเลยแม้แต่น้อยก็หลุดออกมา แบงค์สูดลมหายใจลึก “รู้อยู่แล้วล่ะ”
ไม่มีเรื่องอะไรของมึงที่กูไม่รู้หรอกแคป “ดีใจด้วยนะ หน้าตามึงสดใสขึ้นเยอะเลยนี่”
น้ำเสียงสมเพชตัวเอง ทั้งน้อยเนื้อต่ำใจ และดวงตาเศร้าสร้อยดวงนั้น แคปฟังแล้วใจวูบโหวงขึ้นมา รู้ว่าอีกคนคิดอย่างไรมาตลอด เฝ้าบอกให้มันตัดใจไม่รู้กี่รอบต่อกี่รอบแบงค์มันก็ยังจะมั่นคงห่าอะไรของมันเขาเองก็สุดที่จะเอ่ยห้ามแล้ว
มันคนดีนะ
มันคนดีมากจริงๆ
เพียงแต่ว่า...การเป็นคนดี คนมั่นคงก็ไม่ใช่ว่าเขาจะต้องตอบรับความรักของมันเสียเมื่อไหร่
“มึงเป็นเพื่อนที่ดีที่สุดคนนึงของกู ยังคงเป็นรุ่นน้องที่กูรักมาก เป็นยิ่งกว่าญาติ มึงอยู่ในฐานะเดียวกันกับไอ้อาร์และไอ้ปอ รู้ใช่ไหมว่าสองคนนั้นสำคัญกับกูมาก ในตอนนี้มึงเองก็ก้าวเข้ามากลายเป็นคนสำคัญของกูเช่นเดียวกันนะเว้ยแบงค์”
คำพูดดีๆที่ผู้ฟังต้องขยับยิ้มแห้งแล้งออกมา แบงค์มองหน้าแคปนิ่งๆอยู่นานพอสมควร
“กูขอจัดการความรู้สึกตัวเองสักพัก คราวนี้ถ้าต้องเจอกันกูจะต้องแนะนำแฟนกูให้มึงรู้จักแน่ๆว่ะแคป”
“กูจะรอรู้จักคนๆนั้นของมึง”
เหอะ คงจะมีเร็วๆนี้หรอก แบงค์แค่นยิ้มสมเพชตัวเองอีกครั้ง “อืม ต้องน่ารักกว่ามึงแน่นอนอยู่แล้วสิวะ”
“หาให้สวยนะเว้ย ขี้เหร่กว่าป้ารจนาน้องโบว์ไม่ให้เข้าบ้านแน่ๆ และกูคนนี้ก็จะไม่ให้เข้าไร่ด้วยเหอะ”
สองคนหัวเราะและยิ้มไปด้วยกัน ด้วยความรู้สึกที่แตกต่าง ถึงอย่างนั้นแคปก็อยากจะตรงไปตรงมาและให้แบงค์ทำใจ มือใหญ่แกล้งยื่นเข้าไปผลักชิงช้าของแคปให้แกว่งแรงขึ้นจนคนถูกแกล้งร้องจ้าโวยวาย สักพักน้องโบว์วิ่งออกมาตามให้เขาทั้งคู่เข้าไปทานข้าวทานปลาด้วยกัน
“มึงจะมาหากูอีกเหมือนเดิมใช่ไหม”
“อืม เหมือนเดิมแหละ แต่ต้องเป็นหลังจากนี้อีกสักหน่อย มึงทำใจให้ได้ไวๆเหอะเราสองคนจะได้กลับมาเล่นกันเหมือนเดิมไง”
“แล้วเรื่องเข้ากรุงเทพล่ะ มึงต้องไปหาเขาบ่อยๆใช่ไหมล่ะ”
“ก็ไม่บ่อยขนาดนั้นหรอก กูเองก็มีหน้าที่การงานที่ต้องรับผิดชอบเหมือนกัน แต่ว่าต่อไป..” แคปเว้นจังหวะหน่อยนึง ความจริงเรื่องนี้เป็นจุดประสงค์หลักของการมาที่นี่วันนี้เลยก็ว่าได้ “ต่อไปกูจะขับรถเข้าไปเอง ไม่ติดรถมึงเข้าไปอีกแล้ว” แคปจ้องเข้าไปในดวงตาคมกริบนั่น แววตาที่ยังมองเขาเต็มเปี่ยมไปด้วยความรักและเอ็นดู แววตาที่เหมือนเดิมตลอดมาไม่เคยเปลี่ยน
ถ้าวันหนึ่ง...แววตาที่มองมาที่เขาเปลี่ยนเป็นแค่พี่กับน้อง เปลี่ยนเป็นแค่เพื่อนกันเช่นเดิม วันนั้นเขาจะยอมนั่งรถไปกับมันอีกครั้ง
“กูเข้าใจ” แบงค์พยักหน้าเบา ๆ อย่างที่ต้องพยายามเข้าใจ หัวใจแม้จะหนักอึ้งหากแต่ทุกอย่างมันก็เหมาะสมแล้ว
ถึงเวลาที่เขาต้องยิ้ม
ดีใจไปคนที่ตัวเองรัก
ดีใจเมื่อเห็นคนที่ตนรักมีความสุข
แบงค์คว้าเอามือแคปแล้วดึงให้ออกวิ่ง สองคนวิ่งแข่งกันไปตามชายหาดเพื่อเข้าไปในตัวบ้าน
กูรักมึง! จำเอาไว้ด้วย “กูยอมไอ้เอสนั่นแค่คนเดียวเท่านั้น มึงจำคำกูไว้ด้วยแคป”
“เรียกกูว่าพี่ได้แล้วไอ้หมาแบงค์ ฮ่าๆๆๆ”
เสียงหัวเราะของแคป คือเสียงที่ทำให้เขายิ้มออกมาได้เสมอ..