ความสัมพันธ์ระหว่างคุณกรณ์กับหลงดีขึ้นและแทบจะกลับมาเป็นเหมือนเดิม รวมถึงชีวิตนิสิตในมหาวิทยาลัยของเขากำลังเข้าสู่ภาวะปกติและคล้ายคลึงกับนิสิตคนอื่น
ระยะนี้เริ่มเริ่มใกล้ช่วงสอบปลายภาคกันแล้ว ใบหน้าอ่อนเยาว์ของใครหลายคนถูกแต่งเติมด้วยความเคร่งเครียด ใต้ตาดำคล้ำ ร่องรอยบริเวณหัวคิ้วกระชากความสดใสไปชั่วระยะหนึ่ง หลายๆ คนวุ่นวายกับการหาเอกสารเพื่ออ่านสำหรับสอบปลายภาค บางคนวิ่งวุ่นกับการหาเฉลยข้อสอบเก่า ๆ หรือบางคนก็วุ่นวายกับการจัดตารางเรียนเรียนในเทอมหน้า สำหรับเขาน่าจะจัดอยู่ในพวกแรกมากกว่า
เด็กหนุ่มออกจากบ้านตั้งแต่เช้า เขามาถึงมหาวิทยาลัยเกือบแปดโมงตรง นิสิตหลาย ๆ คนทยอยมารอบริเวณทางเข้าลิฟต์ แม้จะมีถึงสามตัว แต่ผู้คนยังติดแน่นบริเวณทางเข้า ปลายแถวยาวเลยม้านั่งใต้อาคารและสิ้นสุดบริเวณทางเดินขึ้นบันไดขนาดกว้าง
อากาศช่วงนี้ไม่ค่อยร้อน แต่ก็ไม่ได้สบายตัวจนไม่มีเหงื่อ ขณะที่เขายืนอยู่ ประตูลิฟต์ค่อย ๆ เปิดออก ภายในโล่งสนิทก่อนทั้งนิสิตและอาจารย์จะเดินเข้าไปอัดกันจนแน่น ขณะที่ประตูเปิดอ้าไว้ ความทรงจำบางอย่างผุดขึ้นมาเมื่อใบหน้าของใครบางคนเข้ามาในความทรงจำ เมื่อครั้งแรกที่ใกล้ชิดกัน พวกเขาไม่มีความรู้สึกดี ๆ หลงเหลืออยู่ แต่ตอนนี้ความร้อนแผ่นกระจายทั่วฝ่ามือ
“เข้ามาอีกได้ครับ”
ปลายนิ้วของเด็กหนุ่มชื้นไปด้วยเหงื่อ เมื่อเสียงรองเท้าเสียดถอยกับพื้นลิฟต์ มันดังคล้ายสัญญาณเตือนว่าคนข้างในเริ่มจะหมดความอดทนกับความแออัดนี้
“เชิญครับ” พฤทธิ์พูดสั้น ๆ ขณะก้าวถอยหลัง
หลงเม้มปาก เขาไม่กล้ารอช้า เมื่อสัมผัสถึงสายตาไม่พอใจหลายคู่ทั้งข้างหน้าและข้างหลัง “ขอบคุณครับ”
อาคารเรียนนี้เป็นอาคารเรียนหลังกลางเก่ากลางใหม่ มีขนาดใหญ่ เป็นอาคารที่มีความหลากหลายของนิสิตหลายคณะ ลิฟต์อีกตัวจอดชั้นคู่ ลิฟต์อีกตัวจอดชั้นคี่ และที่สำคัญมีลิฟต์เพียงสองตัวเท่านั้นที่เปิดใช้งาน ด้านในมีบริเวณพื้นที่ที่เล็ก จุนิสิตและบุคลากรได้เพียงไม่กี่สิบคน และไม่รู้จะใช้เวลาเท่าไหร่จึงระบายคนที่ยืนรอบริเวณโถงบันไดหมด
คนด้านในขยับขยายพื้นที่เพื่อให้คนด้านนอกเข้ามาอีก กระทั่งเสียงสัญญาณเตือนภายในลิฟต์ดังขึ้น ประตูโลหะจึงปิดลง ด้านในกลายเป็นพื้นที่ปิดสนิท มีเพียงเสียงขยับเล็ก ๆ น้อย ๆ เท่านั้นที่หลงได้ยิน
เด็กหนุ่มยืนอยู่ตรงหน้าประตู เมื่อลิฟต์เคลื่อนที่ เขาค่อย ๆ ขยับตัวประชิดประตู แต่เพราะพื้นที่ที่มีจำกัด หลงจึงขยับได้ไม่มาก กระนั้นก็ยังไม่สามารถหลุดพ้นจากแผ่นอกที่อยู่ด้านหลัง แม้ไม่ถึงกับชิดติดตัว แต่ความอบอุ่นจากผิวเนื้อและกลิ่นหอมอ่อน ๆ กลับโอบล้อมจนหลงรู้สึกหน้ามืดขึ้นมาดื้อ ๆ
อาจจะเพราะตอนเช้ากินอาหารน้อย หรือเพราะที่แห่งนี้มีอากาศไม่เพียงพอ เขาก็ไม่สามารถตอบตัวเองได้ว่าเพราะเหตุใดจึงเกิดความรู้สึกอึดอัดนี้ขึ้นทั้งที่มันหายไปร่วมเดือนแล้ว
ตัวเลขบอกชั้นแปรเปลี่ยนทีละเล็กทีละน้อย เมื่อประตูเปิดออก แขนของอาจารย์พฤทธิ์ก็ยื่นมากั้นประตูให้นิสิตเดินออก เฉียดฉิวผิวเนื้อหลงเพียงนิด แม้ผ่านด้วยเสื้อเชิ้ตเนื้อดี หลงก็ยังรู้สึกวางตัวไม่ถูก
เมื่อคนในลิฟต์น้อยลง เขาจึงมีพื้นที่ได้หายใจและขยับตัวมากขึ้น หลงเดินเบี่ยงไปอีกฟาก ก่อนมองตัวเลขที่เคลื่อนขยับราวเข็มสั้นของนาฬิกา
กว่าจะถึงชั้นที่เขาเรียน หลงก็รู้สึกราวกับอยู่ในกล่องสี่เหลี่ยมนานชั่วกัปชั่วกัลป์ ปลายเท้าขยับไปข้างหน้า ผ่านนิสิตบางคนที่ยืนวุ่นวายกับกระเป๋า ไปยังประตูที่เปิดออกโดยมีฝ่ามือของใครบางคนเปิดไว้ให้ ขณะหนึ่งที่เขาจะเดินออกไป ปลายหางตากลับสอดส่องไปทางคน ๆ นั้น อีกฝ่ายสวมเสื้อเชิ้ตสีอ่อนพอดีตัวกับกางเกงสีดำเหมือนอย่างเคย ร่องรอยความสะอาดปรากฎทั่วระเบียดนิ้วของอีกฝ่าย
“จะได้เวลาเรียนแล้วนะครับ”
นานร่วมหลายวินาทีเขาจึงได้สติและจ้ำอ้าวออกไปยังห้องเรียนที่อยู่สุดทาง
รอยยิ้มจาง ๆ ปรากฏที่ใบหน้าเพียงชั่วระยะหนึ่งก่อนหายไปราวกับไม่เคยเกิดขึ้น
วิชาที่หลงลงทะเบียนเรียนเริ่มเข้าสู่ช่วงท้ายกันหมดแล้ว บางวิชาจัดสอบเอง เมื่อสอบเสร็จก็ไม่จำเป็นต้องเข้าเรียนอีก ดังนั้นเวลาอ่านหนังสือของหลงจึงเพิ่มมากขึ้นเป็นเท่าตัว แต่บางวิชาก็ยังสอนอยู่ อย่างเช่นวิชาของอาจารย์พฤทธิ์ที่นิสิตยังเข้าเรียนเต็มที่นั่งเสมอ
“วันนี้เป็นครั้งสุดท้ายที่แล้วที่ผมจะสอน เพราะฉะนั้นตั้งใจเรียนกันนะครับ”
เด็กหนุ่มไพล่คิดไปถึงตั้งแต่ต้นเทอมจนปลายเทอมก็หานิยามของคำว่าไม่ตั้งใจเรียนในวิชานี้ไม่เจอ นอกจากทั้งนิสิตชายและนิสิตหญิงจะตั้งใจจนข้อความรู้อย่างตั้งอกตั้งใจแล้ว ยังตั้งใจตั้งคำถามไม่จบไม่สิ้นสักที แม้กระทั่งครั้งสุดท้ายที่เข้าเรียนก็ยังสรรหาคำถามมาถามได้
“ผมจะสอนไม่มาก แต่จะให้พวกคุณตั้งคำถามที่เกี่ยวข้องกับบทเรียน” อาจารย์พฤทธิ์เงียบสักพักก่อนกวาดสายตาไปทั่วบริเวณห้องและพูดต่อ “สอบปลายภาคครั้งนี้ไม่ยากนะครับ แต่อย่าตอบยาว ขอให้นิสิตตอบตรงประเด็นตามที่เราเรียนกันมาทั้งเทอม”
เมื่ออาจารย์พฤทธิ์บรรยาย ‘ครั้งสุดท้าย’ บรรยากาศในห้องก็ดูหงอยเหงาขึ้นมาถนัดตา สำหรับหลงแล้วเขาจัดอยู่ในอีกประเภทหนึ่งที่รู้สึกดีเกินกว่าจะนั่งเรียนท่ามกลางสายตาที่ชวนอึดอัดอยู่บ่อยครั้ง
อีกฝ่ายยังคงบรรยายหน้าฟังเหมือนเดิม ไม่เพียงแต่เป็นผู้พูดที่ดี แต่ยังเป็นผู้ฟังที่ดี ไม่ว่าใครจะเสนอความคิดเห็นอย่างไรก็พยักหน้ารับฟังราวกับเป็นเรื่องน่าสนใจ จนกระทั่งโปรแกรมนำเสนอหน้าสุดท้ายสิ้นสุดลง บนหน้าจอขนาดใหญ่เป็นสีดำและปิดไปในที่สุด
เสียงปากกาวางบนพื้นโต๊ะ เสียงขยับตัวดังขึ้น ก่อนจะเงียบลงอีกครั้งเมื่อเจ้าของวิชาถามขึ้น
“มีคำถามอะไรเพิ่มเติมไหมครับ เหลืออีกประมาณครึ่งชั่วโมง”
อาจารย์พฤทธิ์ดูผ่อนคลายไม่เหมือนทุกวัน เสื้อเชิ้ตสีน้ำเงินเข้มที่ใส่กับกางเกงสีดำสนิทยังคงดูดีเหมือนเคย แม้อีกฝ่ายจะไม่ได้วางท่าทางอะไร แต่กลับน่ามองจนหลงละสายตาไม่ได้ ชั่วขณะหนึ่งที่เด็กหนุ่มเผลอสบตา เขาก็สะดุ้งวาบราวกับมีกระแสไฟฟ้าอ่อน ๆ ไหลผ่าน
สมุดพกตกกระทบพื้นเสียงดัง ตามด้วยเสียงกล่องดินสอ มันกระจัดกระจายบนพื้น ดินสอ ปากกา ยางลบ แม้กระทั่งปากกาลบคำผิดยังสามารถเรียกสายตาหลายคู่ให้มองมาอย่างตำหนิ
ดวงตาสีเข้มเบิกกว้าง เขาเม้มปาก เสียงของมันดังเมื่อเสียงในห้องบรรยายเงียบ
“ขอโทษครับ” หลงก้มหน้า ก่อนลุกจากที่นั่ง ก้มหยิบอุปกรณ์ทุกอย่างใส่กล่องดินสออย่างรีบร้อนโดยมีคนในห้องช่วยกันเก็บ
เขานึกอยากโทษกล่องดินสอเจ้ากรรมที่ตกไม่ดูเวลา ยิ่งหลงนั่งริมทางเดิน มันยิ่งกลิ้งลงจากบันไดไปสู่พื้นเบื้องล่างที่ใครบางคนกำลังยืนอยู่ด้วยท่าทางสบาย ๆ โดยไม่พูดอะไรสักคำ
ความกดดันก่อนตัวขึ้น เมื่อเจ้าของวิชายังเงียบ ราวกับรอให้เขาจัดการธุระเสร็จ และเริ่มพูดต่อ กระนั้นอุปกรณ์การเรียนเจ้ากรรมก็ยังไม่ครบ ปากการาคาแพงที่คุณกรณ์ให้เป็นของขวัญเมื่อหลายเดือนก่อนกลิ้งยังพื้นด้านล่าง
หลงไม่อาจหาญลุกไปเก็บ เมื่อมันอยู่ไม่ไกลจากอาจารย์พฤทธิ์ ห่างจากรองเท้าสีดำขัดมันไม่ถึงหนึ่งเมตร แม้เขาจะเป็นห่วงปากกาแท่งนั้นแทบขาดใจ หากเป็นสิ่งอื่นที่อยู่ในกระเป๋า เขาคงไม่ลังเลจะทิ้งมันอย่างเด็ดขาด
อาจารย์พฤทธิ์พูดต่อไม่กี่ประโยค ความสนใจของนิสิตในห้องก็พุ่งไปยังคำถามจากคนที่ยกมือ ขณะเดียวกันอีกฝ่ายก็ก้มเก็บปากกาขึ้นมาวางใกล้ ๆ สมุดบันทึกของตัวเองบนโต๊ะไม้
“อาจารย์สอนวิชาอะไรอีกไหมคะ”
“ถือว่าเกี่ยวกับเนื้อหาที่เรียนก็แล้วกัน” เสียงหัวเราะเบา ๆ ดังขึ้น “สอนครับ แต่เป็นวิชาภาคแล้ว”
“นิสิตคณะอื่นลงได้ไหมคะ”
พฤทธิ์ยิ้มจาง ๆ อันที่จริงเขาพอจะมีเปิดรายวิชาศึกษาทั่วไปอยู่บ้าง แต่คงไม่รับนิสิตขนาดร้อยคนแบบนี้ “ได้ครับ แต่ผมแนะนำว่าภาควิชาของผมมีวิชาที่น่าเรียนอีกเยอะ”
“ข้อสอบจะออกแนวไหนครับ”
“ตามที่เรียนครับ มีห้าข้อใหญ่ ให้เลือกตอบสามข้อเท่านั้นครับ”
อาจารย์พฤทธิ์ยังตอบคำถามเรื่อย ๆ บางครั้งก็ให้นิสิตที่รู้ตอบแทน จนกระทั่งห้านาทีสุดท้าย สายตาของหลงก็ยังไม่ละไปจากของขวัญจากคุณกรณ์ที่วางอยู่ข้าง ๆ สมุดพกของอีกฝ่าย
“นิสิตคนไหนมีคำถามสามารถส่งอีเมลมาถามผมได้นะครับ ถ้าผมว่างผมจะรีบตอบกลับทันที”
ปากกาด้ามน้อยอยู่บนโต๊ะไม่ไกล แต่เมื่อใครบางคนเอื้อมมือมาหยิบมัน ก็คล้ายกับตัดโอกาสของหลงทันที
ของสำคัญชิ้นนั้นอยู่กับใครหลงรู้ดี ระยะเวลาสามวันมานี้..อย่างไรเขาก็ทำเป็นไม่เคยมีมันไม่ได้อยู่ดี
เด็กหนุ่มกระวนกระวาย นึกอยากขึ้นไปห้องพักอาจารย์เดี๋ยวนั้น แต่เกรงว่าจะเจอกับคนที่ไม่อยากเจอมากที่สุด
“เป็นอะไรหรือหลง ดูไม่สบายใจเลย”
“เราทำปากกาหาย” เด็กหนุ่มพูดด้วยน้ำเสียงกระวนกระวาย
“หายที่ไหน ตอนนั้นในห้องหรือ”
“ใช่ ในห้องนั่นแหละ”
“มีคนเก็บไว้หรือเปล่า”
“อาจารย์พฤทธิ์เป็นคนเก็บไว้” หลงเม้มปาก “เราไม่กล้าไปเอา”
“ให้เราไปเอาให้ไหม” ภัทรถามอย่างกระตือรือร้น พอไม่ได้เรียนวิชาของอาจารย์พฤทธิ์ก็อดหาเรื่องเข้าไปหาไม่ได้
“จริงหรือ! ขอบใจนะภัทร”
ภัทรวิ่งขึ้นไปบนห้องพักอาจารย์ร่วมสิบห้านาทีก็เดินหน้าหงอยลงมา “เราขึ้นไปแล้ว ห้องอาจารย์ไม่มีใครอยู่เลย”
“จริงหรือ”
“อาจารย์ห้องข้าง ๆ บอกว่าอาจารย์พฤทธิ์เข้าประชุมเลยไม่อยู่ในห้อง”
“เดี๋ยวเราขึ้นไปดูเองก็ได้” ในเมื่อเข้าประชุม อาจารย์พฤทธิ์คงยังไม่เลิกเร็ว ๆ นี้
“แต่อาจารย์ไม่อยู่นะ”
“ไม่เป็นอะไรหรอก”
ไม่อยู่นั่นแหละดี หลงจะได้หาปากกาตัวเองง่าย ๆ โดยไม่ต้องเจอหน้าอาจารย์พฤทธิ์ให้ยุ่งยากใจ
เด็กหนุ่มฝากข้าวของไว้กับภัทรด้านล่างก่อนวิ่งขึ้นไปห้องพักอาจารย์อีกครั้ง ด้านหน้าเป็นประตูขนาดใหญ่ เมื่อเปิดเข้าไปเป็นทางเดินที่ทอดยาวไปจนถึงหน้าต่างที่เปิดรับลมอ่อน ๆ ตามทางเป็นห้องพักอาจารย์ที่จัดเป็นสัดส่วนตามภาควิชาและแบ่งห้องพักให้อาจารย์เป็นรายบุคคลเพื่อความเป็นส่วนตัวและสะดวกสบาย
ห้องพักของอาจารย์พฤทธิ์อยู่ไม่ไกลจากประตูใหญ่ เดินไปเพียงไม่กี่สิบเมตรก็ถึง บานประตูปิดสนิท หน้าต่างที่ประตูปิดทับด้วยม่านสีเข้ม เขามองซ้ายมองขวา แล้วเคาะประตูเบา ๆ เมื่อไม่มีเสียงคนตอบจึงบิดลูกบิดที่อยู่ข้างหน้า มันไม่ได้ล็อคไว้อย่างที่ควรจะเป็น อีกทำเครื่องปรับอากาศยังคงทำหน้าที่ของมันอยู่
ความไม่สบายใจผุดขึ้นมาชั่วขณะ แต่ปากกาด้ามนั้นก็นับได้ว่าเป็นของขวัญชิ้นสำคัญที่ได้จากคนอื่น
หลงสอดสายตาไปทั่วบริเวณห้อง มันเต็มไปด้วยกองเอกสารทั้งของอาจารย์พฤทธิ์และของนิสิต บนโต๊ะทำงานมีคอมพิวเตอร์ขนาดใหญ่ตั้งไว้ตรงมุม ข้าง ๆ เป็นกล่องใส่เอกสารที่จัดไว้อย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย
เขาไม่กล้าขยับตัวไปไหนมากเพราะเกรงว่าอาจารย์คนอื่นจะเข้าใจผิดเรื่องการทุจริตข้อสอบ ดังนั้นหลงจึงเอาแต่ยืนมองโดยขยับเพียงสายตาเท่านั้น เด็กหนุ่มเพ่งมองซ้ำแล้วซ้ำเล่าก็ยังไม่พบปากกาที่อีกฝ่ายเก็บไว้ ขณะที่ปลายนิ้วขยับหมายจะยกกองเอกสารขึ้น เสียงเปิดประตูก็ดังขึ้นพร้อมใครบางคนที่ยืนปิดกันทั้งออก
“นิสิตมาทำอะไรตรงนี้ครับ” อาจารย์พฤทธิ์พูดด้วยน้ำเสียงธรรมดา แต่ความผิดของหลงก็ชวนให้เด็กหนุ่มกดดันจนแทบหายใจไม่ออก “ว่าอย่างไรครับ มีธุระอะไรกับผมหรือเปล่า”
หลงไม่อยากคิดว่าน้ำเสียงที่พฤทธิ์ใช้เป็นการเย้ยหยัน ทว่าทันที่จะเงยหน้าเตรียมอ้าปากตอบ เขาก็เหลือบเห็นปากการเจ้ากรรมที่เสียงอยู่ตรงกระเป๋าเสื้อ มันเป็นสีดำเงาแกะสลักชื่อหลงเล็ก ๆ
“ผม..”
พฤทธิ์ยืนนิ่งรอคำตอบจากเด็กตรงหน้าโดยที่ไม่ขยับไปไหน “หรือไม่เข้าใจบทเรียนก็ส่งอีเมลมาถามผมได้ ผมยินดีจะตอบ”
“ปากกา”
“ครับ” พฤทธิ์ถือแก้วกาแฟ กลิ่นของมันหอยฉุย
“อาจารย์เก็บปากกาของผมไปครับ”
“อ้อ..” เขาหลุบมองนาฬิกาที่อยู่ในกระเป๋าเสื้อ มันเป็นสีดำและเงา ไม่มีร่องรอยการใช้งาน บ่งบอกว่าเจ้าของดูแลมันเป็นอย่างดี
“ผมขอปากกาคืนได้ไหมครับ”
“ครับ” มืออีกข้างที่ว่างอยู่หยิบปากกาส่งให้เด็กหนุ่มอย่างใจเย็น ขณะเดียวก็ทอดมองใบหน้าน่าเอ็นดูด้วยความรู้สึกล้ำลึก
“ขอบคุณครับ” หลงยกมือไหว้ ก่อนหยิบปากกาเจ้ากรรมที่อยู่เพียงปลายนิ้ว
คนสูงกว่ายังยืนปิดทางเข้า มีเพียงช่องว่างเล็ก ๆ ที่เด็กหนุ่มไม่มีทางแทรกตัวออกไปได้
เครื่องปรับอากาศเป่าลมเย็นผ่านแผ่นหลัง มันเย็นจับใจ ในขณะที่มือของหลงชื้นไปด้วยเหงื่อ เขาไม่ได้อยากเจอหน้า แค่อยากได้ปากกาคืนเท่านั้นเอง “อาจารย์ครับ”
“ครับ”
“ผมขอทาง..”
อาจารย์พฤทธิ์ยังเอาแต่เงียบ ก่อนเปิดทางให้เด็กหนุ่มเดินออกไปอย่างสะดวก
“เชิญครับ”
ควันของถ้วยกาแฟเริ่มจางลงแล้ว..
ขอโทษนักอ่านทุกคนที่มาช้าค่ะ ค่อย ๆ ปั่นทีละเล็กทีละน้อย วันละบรรทัดสองบรรทัด แต่อาทิตย์นี้ตั้งใจเขียน ตั้งใจปั่น นอกจากจะเป็นการสิ้นสุดการทำงานพิเศษของเทอมนี้แล้ว เดือนนี้ยังไม่ได้เรียนพิเศษใด ๆ ต่อ และไม่รู้ว่าเดือนหน้ายังจะเรียนและทำให้ขี้เกียจเขียนนิยายต่อหรือเปล่า ขอบพระคุณทุก ๆ คอมเมนต์และนักอ่านที่ยังรออ่านอยู่นะคะ เขียนดีบ้าง ไม่ดีบ้าง แล้วแต่อารมณ์จริง ๆ ค่ะ
เรื่องนี้เขียนมาเข้าเป็นปีที่สาม ภาษาช่วงแรก ๆ ที่ดิฉันเขียนตลกมาก ๆ และคิดว่าต้องนำกลับไปเขียนใหม่เพื่อให้เป็นภาษาในปัจจุบัน (นึกแล้วไม่อยากอ่านงานเขียนเก่า ๆ สงสัยจะตลกน่าดู) ดังนั้นถ้าแต่ละตอนมันเปลี่ยนแปลงไปก็หมายถึงมันเปลี่ยนตามอายุของดิฉันนะคะ
เจอกันตอนที่ ๑๖ (อาจจะ) เร็ว ๆ นี้
Page:
https://www.facebook.com/AUTHOR.ELLETTE/