Because of ซน ตอนที่ 9 ปอมเมอเรเนียน
ความรู้สึกผมตอนนี้แม่งวิ่งชนกันวุ่นวายไปหมด ทั้งอยากให้มันทำมากกว่านี้ทั้งอยากจะลุกขึ้นมาด่า แต่สุดท้ายตัวเองก็เสือกนอนนิ่งๆให้ไอ้น่านมันทำแต่ตามความต้องการของมันเฉย
ผมนอนนิ่งรอคอยสัมผัสของมันนานอยู่พอสมควร จากตอนแรกที่ริมฝีปากเย็นกำลังไล่คืบคลานจากบนลงล่าง
แต่
ทำไม
แทนที่มันจะทำต่อจู่ๆมันกลับหยุดไปเสียดื้อๆ
พอผมลองหรี่ตาขึ้นมองภาพที่เห็นคือมันกำลังคร่อมผมอยู่ “มึงตื่นแล้วสินะ”
พอมันพูดจบเท่านั้นแหละ ผมนี่รีบหลับตาปี๋ก่อนจะแกล้งพึมพำทำเสียงเหมือนคนยังไม่ตื่นขยับผลักมันให้ลงจากตัวผมแต่พอยิ่งผลักไอ้ตัวควายๆที่อยู่ตรงหน้าก็ไม่ขยับสักที แถมดันเข่ามาเสียดสีตรงแถวๆน้องชายผมด้วย
“อ๊ะ..”
“ไม่ต้องมาแกล้งหลับเลย” เสียงกระเส่าเว้าวอนตีนกระซิบข้างหูไม่พอเลียหูกูด้วย
ผมขยับตัวอีกครั้ง กะว่าคราวนี้จะนอนหันข้างให้แม่งเลย แต่พอขยับหันข้างขาผมแม่งดันไปเกี่ยวขาไอ้น่านให้ล้มลงไปกลับผมด้วย สุดท้ายกลายเป็นว่าตอนนี้เหมือนมันกับผมนอนหันข้างเขาหากันพร้อมกับเข่าไอ้น่านที่ยังทำหน้าที่อย่างดีเสียดสีไปมาจนผมขนลุกไปหมด
“จังไรเหรอมึง” สุดท้ายเพราะความอดทนที่ยังเสียดสีหนักขึ้นเรื่อยๆผมเลยลืมตาโพล่งขึ้นมองมัน น่านฟ้ายิ้มมุมปากนิดๆทำอย่างกะว่าตัวมันแม่งเป็นผู้ชนะยังไงยังงั้น “คิดจะลักหลับกูรึไง พออออ..เอาเข่าออก” พอลืมตาตื่นมองหน้าคมๆของมันความหื่นที่มีอยู่เกินร้อยก็ลดระดับลงเหลือศูนย์ทันที
“ลักหลับเนี่ยนะ ยังกล้าพูดเนอะ ยังงี้เขาเรียกสมยอมไม่ใช่หรือไง กูรู้นะว่ามึงตื่นตั้งนานแล้วอ่ะ” มึงผิดแล้วน่านฟ้ากูไม่ได้ตื่นตั้งนานแล้วแต่กูไม่ได้หลับตั้งหาก “ไม่ต้องมาทำปากยู่ กูจะเอายามาให้มึงกินเนี่ย แม่ให้เอามาให้”
“วางๆไว้บนหัวเตียงนั่นแหละ ตอนนี้กูยังไม่อยากกินว่ะ ขมคอ ง่วงด้วย”
“กูว่าจะพูดกับมึงเรื่องนี้หลายครั้งและ” จู่ๆน่านฟ้ามันก็พูดขึ้นมาอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย มันขยับตัวนั่งพิงหัวเตียงแล้วก้มหน้ามองผม
“เรื่อง”
“เรื่องที่มึงพูดกูๆมึงๆกับกูเนี่ย”
“อ่าวแล้วทีมึงยังพูดกูๆมึงๆกับกูเลยกูไม่เห็นเอามาเป็นประเด็นสักนิด...โอ้ยยย” แม่งมันตีปากผมอ่ะ นิสัยเสียว่ะ พวกป่าเถื่อน ชอบใช้กำลัง ผมกำลังจะยื่นมือไปตีปากมันคืนแต่น่านมันจับมือผมไว้ได้ก่อน
“แต่กูเป็นพี่มึงนะ”
“เกิดก่อนกูไม่กี่ปีเอง”
“แต่อย่างน้อยมึงก็ควรเคารพกูบ้าง”
“ให้เคารพยังไง กราบไหว้มึงเช้าเย็นสักการบูชาเหมือนเทพพระเจ้าเลยไหมล่ะ”
“จะทำแบบนั้นก็ได้”
“เหอะ...ไม่เรียกอ่ะ เรียกแบบนี้แหละ” ไอ้น่านส่ายหัวนิดๆเหมือนปลงในความดื้อของผม ไม่ใช่ว่าผมไม่อยากเรียกอะไรแบบนั้นหรอกนะครับ แต่ไงดีอ่ะ มันกระดากปากมากกว่าไม่ได้เรียกมาตั้งแต่แรกพอจะมาเรียกมันก็ดูตลกๆยังไงไม่รู้ ถึงก่อนหน้านี้จะมีเรียกบ้างแต่มันก็ไม่บ่อย แล้วเรียกแบบนี้มันติดปากไปแล้วด้วย
“แล้วเรื่องเรียนอ่ะกูคุยกับม๊ามึงแล้วนะ เขาบอกว่าให้มึงมาติวที่บ้านกูตั้งแต่เย็นวันศุกร์ถึงวันอาทิตย์”
“โหววววว ทำไมบังคับกันอย่างนี้วะ”
“หรือมึงไม่อยากเรียนก็ได้นะ”
“ตลกแหละ ได้กูแล้วคิดจะไม่รับผิดชอบเหรอ” เดี๋ยวกูเอาลำโพงฟาดให้
“ก็มึงหาว่ากูบังคับ ซึ่งถ้าพูดให้ถูกคือม๊ามึงตั้งหาก เอาเป็นว่าศุกร์หน้ากูไปรับมึงที่วิทยาลัยล่ะกัน วันนี้กูว่าจะกลับแล้ว” ผมพยักหน้าหงึกๆให้มันก่อนจะดึงผ้าห่มขึ้นคลุมหน้าจนเกือบครึ่ง “แต่มีอย่างหนึ่งที่อยากลองก่อนไป” หน้าตาเจ้าเล่ห์แบบนี้ผมไม่อยากจะเดาทางแม่งเลยให้ตาย
“อะไรอีก”
“กูไม่เคย...กับคนที่ใส่เหล็กสักที”
“แล้ว...”ผมเอาผ้าห่มปิดปากตัวเองแน่นกว่าเดิม
“เขาบอกว่ามันเสียว...ก็แค่อยากลองว่ะ” ไอ้ที่บอกว่าเสียวอ่ะหมายถึงเรื่องอะไรวะถ้าจะให้กูใช้ปากกับมึงล่ะก็น่านฟ้า มึงฝันเอาเหอะ
“ตลกและกูไม่ทำให้มึงหรอกนะ”
“มึงคิดอะไรอยู่ครับเตี้ย กูหมายถึงจูบก่อน” มีคำว่าก่อนแสดงว่าหลังจากที่มึงคิดว่าล่อลวงกูได้มึงจะให้กูใช้เหล็กที่อยู่ในปากกูทำอะไรกับมึงงั้นดิ “ไม่เห็นต้องทำหน้าหมางงแบบนั้น แค่จูบเอง”
น่านฟ้าขยับคร่อมตัวผมอีกครั้ง มันใช้นิ้วโป้งเกลี่ยเบาๆที่หน้าผากก่อนจะจูบลงมาที่ปากผมทั้งๆที่มีผ้าห่มกั้นอยู่ แต่คนอย่างมันต่อให้ผ้าห่มกั้นก็สามารถดึงออกได้ในไม่ช้าอยู่ดี
“ตื่นเต้นดีว่ะ”ผมหรี่ตาเล็กมองอาการคนตรงหน้า แม่งจะตื่นเต้นทำไมก็ไม่รู้ ทั้งๆที่เมื่อคืนผมกับมันทำมากกว่าจูบอีก = =;;
“สักทีเหอะน่าน กูง่วงแล้วเนี่ย เหนื่อยก็เหนื่อย เป็นไข้ดะ..อื้มม” ก่อนที่ผมจะพูดคำสุดท้ายจบน่านฟ้าก็ก้มลงมาประกบปากผมทันที ลิ้นมันเย็นดีจัง ต่างจากลิ้นผมที่รู้สึกว่าร้อนสุดขั้ว ยิ่งเวลาที่มันใช้ลิ้นเลาะไปตามไรฟันที่มีรีเทรนเนอร์เกาะอยู่ผมรู้สึกดีอย่างบอกไม่ถูก แต่ถึงดีมากแค่ไหนแต่มันก็ยังรู้สึกขัดๆอยู่ดีเพราะกำลังคิดว่าถ้าจูบแบบไม่มีรีเทรนเนอร์มันดีกว่านี้มากๆ
ผมเอื้อมมือไปทุบไหล่มันทีเพราะตอนนี้เหมือนจะหายใจไม่ออก มันปล่อยผมเป็นอิสระแว่บนึงแล้วกดปากตัวเองลงมาต่อ ท่าทางแม่งจะชอบจริงๆนั่นแหละ เพราะเลาะรีเทรนเนอร์กูอยู่นั่น เอาไปใส่เองเลยไหมห้ะ
“แฮ่ก..แฮ่ก...พอยัง” พอมันปล่อยปากผมอีกรอบน่านฟ้าขยับริมฝีปากไปที่คอแทน ความรู้สึกจี๊ดที่ผิวเนื้อแต่ไม่ได้เจ็บมากเท่ากับความเสียวที่ก่อขึ้น ผมเอียงคอให้น่านฟ้าดูดผิวเนื้อผมได้สะดวกมากขึ้น แต่สิ่งที่ได้รับกลับมากลายเป็นว่ามันชะงักไปนิดนึงก่อนจะวางศีรษะลงกับบ่าผมพร้อมทิ้งทั้งตัวทับผมทันที
“มึงแม่ง...” มันบ่นพึมพำอะไรสักอย่างกับซอกคอผม
“อะไรอีก...หนักเว้ย”
“มึงอ่ะ”
“อะไรของมึงเนี่ยน่าน หนัก ลุกเร็ว” ผมใช้มือทุบไหล่เจ้าตัวไม่อีกรอบ น่านฟ้าไม่ตอบอะไรกลับมาอีกแค่จูบซอกคอผมอีกที ผมไม่ได้ท้วงอะไร อยากทำอะไรก็ทำไปดิ มึงได้ประโยชน์ ผมเองก็ไม่ใช่ว่าจะเสียประโยชน์อะไรด้วย แต่ถ้ามากกว่านี้ น้องชายผมลุกขึ้นมาอีก คนที่รับผิดชอบทำให้มันสงบก็คงมีแค่มัน
“กูว่ากูกลับดีกว่า” มันลุกขึ้นพรวดพราดออกจากตัวผมแล้วสูดหายใจลึกๆเข้าปอด
“อาหะ กลับดีๆล่ะ” ผมยกมือข้างนึงเหมือนบอกลามัน น่านฟ้าพยักหน้าแล้วเดินออกจากห้องไปเงียบๆ แปลกดีว่ะทำตัวงงๆเหมือนคนไม่เข้าใจตัวเองยังไงไม่รู้
Rrrrrrrrrrrrrrrrrrrrrrrr
เสียงโทรศัพท์ดังขึ้นพอมองชื่อที่โทรเข้ามาผมก็อดยิ้มออกมาไม่ได้ สายนี้แม่งไม่รับไม่ได้ด้วยสิ
“ยังไงครับยังไง หายหน้าหายตาไปหลายวันสีหน้าดูอิดโรยไปนะเพื่อนฝูง” ผมเหล่ตามองไอ้เล็กนิดหน่อยแล้วขยับนั่งลงข้างๆมัน สองสามวันที่ผ่านผมไข้ขึ้นแต่ก็ไม่เท่าความขี้เกียจที่มีอยู่มากจนสำออยบอกม๊าว่ายังไม่หายไข้เลยได้หยุดเรียนไปฟรีๆอีกสองวันถ้วน
“ก็แค่ไม่สบายแหละมึง”
“แต่หน้าตาอิดโรยไหนเลยจะสู้ผิวที่ดูเปล่งปลั่งขึ้นเหมือนคนได้ปล่อยน้ำ ยังไงวะเจอน้องเอยเหรอ” น้องเอยที่ไอ้เล็กพูดถึงก็แฟนผมนั่นแหละครับ น้องเขาเรียนเตรียมอุดมอยู่ใกล้ๆกับวิทยาลับผมนี่แหละ อยู่ม.หกแล้วช่วงปีที่ผ่านมาผมกับน้องเอย เราไม่ค่อยได้เจอกันบ่อยเท่าไหร่เพราะน้องต้องอ่านหนังสือ เห็นบอกว่าจะสอบเข้าคณะแพทย์อะไรแนวๆนั้น แต่ก็ยังติดต่อพูดคุยกันตลอดแหละครับ ส่วนใหญ่เป็นผมที่ไลน์ไปถามทิ้งไว้ถ้าน้องว่างก็จะไลน์กลับมาหรือไม่ก็โทรมาเลย เป็นไงเห็นหน้าหล่อๆแบบนี้ก็ไม่ได้หมายความว่าผมจะเจ้าชู้นะครับ ก็อย่างที่บอกไปว่าผมรักแฟนมากกกก
“เปล่าไม่ได้เจอ”
“แต่รอยดูดที่คอนี่ไม่ใช่เรื่องที่ปกปิดได้หรอกนะครับเพื่อนครับ” เออ ให้แม่งเข้าใจแบบที่มันเข้าใจไปแหละครับ เพราะถ้าเกิดบอกไปว่ารอยที่คอไม่ใช่น้องที่ทำแต่เป็นไอ้ผู้ชายมันคงหงายเงิบแหงๆ
“แล้วนี่มึงเลือกที่ฝึกงานยัง” ผมเปลี่ยนเรื่องแล้วหยิบชีทวิชาที่กำลังจะเรียนขึ้นมาวางบนโต๊ะ หลังจากนี้อีกเดือนพวกผมต้องเร่งหาที่ฝึกงานแล้ว ทำอะไรก็ได้ขอให้เรียกว่าฝึกงานเป็นพอ ไอ้ผมก็มองๆดูอยู่ว่าจะทำอะไรดี อาจจะฝึกกับพวกรุ่นพี่ตามโรงงานแถวฝั่งธน แต่ไม่รู้วะคงต้องหาๆดูก่อน
“เลือกแล้ว กูว่าจะไปฝึกที่ชลบุรีแล้วก็ทำงานที่นั่นเลยว่ะ”
“มึงไม่เรียนต่อมหาลัยจริงๆเหรอวะ”
“มึงก็รู้...”ไอ้เล็กทำหน้าเศร้าๆ ผมก็พอจะรู้นะว่าบ้านมันไม่ได้ร่ำรวยอะไร แต่ก็อยากให้มันลองคิดทบทวนอีกที
“เออกูรู้แล้ว เอาที่มึงสบายใจนั่นแหละ” ผมไม่ค่อยชอบเรื่องดราม่าเท่าไหร่ เลยเลือกที่จะปล่อยผ่านแล้วมองข้ามเรื่องพวกนี้ให้มากที่สุด
เย็นวันศุกร์หวนกลับมาอย่างรวดเร็ว เมื่อคืนไอ้เชี่ยน่านโทรมาย้ำแล้วย้ำอีกว่าให้ผมเตรียมของใช้ส่วนตัวไปด้วย ของที่ผมจะเตรียมมันก็แค่แปรงสีฟันและบ๊อกเซอร์เพราะที่เหลือผมก็กะว่าจะใช้ของมันนั่นแหละครับ ถ้าเกิดว่ามันไม่ใช้งั้นเหรอ แล้วไงอ่ะด้านได้อายอดเว้ย
น่านฟ้าบอกว่าจะแวะไปซื้อหนังสือที่ห้างก่อนแล้วค่อยขับรถไปเอากระเป๋าเสื้อผ้ากับอิแสนดี(ที่เน้นย้ำเหลือเกินว่าห้ามลืมบอกม๊า แน่นอนว่าม๊าอนุญาตส่วนไอ้ซูเจ้าของที่แท้จริงก็ได้แต่เออออตามอำนาจมืดของม๊า ช่วยไม่ได้ม๊าสั่งนี่หว่า) พอเรียนเสร็จล่ำลาเพื่อนฝูงที่เอาแต่ทำหน้างงว่าผมจะไปไหน ผมนี่ตอบออกไปอย่างมั่นใจเลยครับว่าติวหนังสือ หน้าตาอย่างกูนี่แหละใฝ่เรียนรู้คู่คุณธรรมเว้ยไม่เหมือนพวกมึงหรอกเรียนเสร็จก็นัดดอทเอกันตลอด หัดเอากูเป็นตัวอย่างซะมั้ง พอบอกไปแบบนั้นพวกแม่งแต่ล่ะตัวไม่ลืมที่จะโบกหัวผมคนล่ะที
ผมกับน่านฟ้านัดกันตอน 4 โมงเย็น เพราะมัวแต่คุยกับพวกไอ้เล็กอยู่เลยให้ผมลืมเวลานัด ก้มมองนาฬิกาอีกทีก็เกือบๆจะ 5 โมงแล้วด้วยซ้ำ สุดท้ายเลยได้แต่วิ่งตีนผีมาที่หน้าวิทยาลัยอย่างที่เห็น พอวิ่งมาถึงไม่ทันหายเหนื่อยก็เห็นรถยี่ห้อคุ้นตาจอดอยู่ตรงหน้าพอดี
“มาช้าว่ะ กูนั่งรอมึงมาชาติกว่าแล้วเนี่ย แฮ่ก แฮ่ก เลี้ยงข้าวกูเลยนะ..ร้อน” ผมบ่นพึมพำแล้วหันไปเร่งแอร์บนรถไอ้น่าน
“รถติด”
“ข้ออ้างชัดๆ หัดดูบ้างดิวะ เวลาคนนัดอ่ะมาให้มันตรงเวลาบ้าง มึงไม่ต้องแก้ตัวอะไรทั้งนั้นอ่ะน่าน คนผิดก็คือคนผิด เลี้ยงข้าวกูเลยนะวันนี้” ผมสั่งเสร็จสรรพแล้วหันไปวางกระเป๋าไว้หลังรถ “โอ้ยยยย เจ็บนะ”
“มาถึงแม่งก็สั่งเอาสั่งเอา มึงเห็นกูเป็นอะไรเนี่ย”
“คนรับใช้ไง มึงบอกเองนะน่าน คิดจะยกเลิกสัญญารึไง ได้กูแล้วนะ ได้กูแล้ว” ผมหันไปหยิกแก้มแล้วย้ำสิ่งที่มันเคยสัญญาไว้กับผม
“เออกูรู้แล้ว ย้ำกูจังเว้ย เดี๋ยวคืนนี้ย้ำอีกรอบดีไหม”
“เฮ้ยยยยยยยยยย ไม่เอากูยังไม่พร้อม” โคตรของโคตรไม่พร้อมด้วย “ไม่เตรียมตัวเตรียมใจอะไรมาสักอย่าง ถุงยางก็ไม่มีจะมาทำสดโดยไม่มีตัวช่วยกูไม่เล่นด้วยหรอกนะ”
“เรื่องนั้นมึงไม่ต้องห่วง” น่านฟ้ายิ้มมุมปากแล้วหันไปขับรถต่อ อย่าบอกนะว่ามันเตรียมตัวมาอย่างดี นี่มึงคิดจะเอากูมากกว่าจะติวกูใช่ไหมน่าน มึงมันคนจังไร มึงมันนิสัยเสียยยยย
น่านฟ้าพาผมไปกินราเมงในห้างแถวๆวิทยาลัยผมระหว่างที่นั่งไปกินไปมันก็ชวนผมคุยไปเรื่อยส่วนใหญ่ก็เป็นพวกเอกที่จะเรียน ผมกะว่าจะเลือกวิศวะคอมพิวเตอร์เพราะผมคิดว่าถ้าผมมาด้านนี้น่าจะเวิร์คกว่า
“แน่ใจเหรอ” มันเงยหน้ามองผมตอนที่ผมบอกว่าจะเลือกเอกนี้
“ทำไมวะ มันยากเหรอ แต่ก็คงไม่เท่าไหร่มั้ง เพราะไงกูก็เรียนเอกนี้มา”
“แต่สมองระดับมึง...กูว่าโยธายังยากเลย”อ้ออออ ที่พูดค้านขึ้นมานี่ต้องการจะหาเรื่องสมองกูงั้นสิ ผมยู่หน้าใส่มันไปทีแล้วหันไปเขี่ยบะหมี่ในชามต่อ ไม่อยากคุยกับแม่งแล้วครับชอบหาว่าผมโง่บ้าง สมองน้อยบ้าง หรือไม่ก็ชอบด่าผมเรื่องความสูง กูผิดมากไหมน่านที่ตอนเด็กกูไม่กินนมอ่ะแม่ง
“งอน??”
“งอนอะไรล่ะ คำนั้นเอาไว้ใช้กับผู้หญิง”
“แล้วที่มึงทำหน้าไม่พอใจ แล้วเขี่ยของกินเล่นแบบนั้นเขาเรียกว่าอะไร”
“อิ่มไงสัส อิ่ม ไม่อยากแดกต่อแล้ว อยากไปหาความรู้ใส่สมองโง่ๆของตัวเอง” ผมเลื่อนชามบะหมี่ผลักไปจนชนกับชามไอ้น่านที่อยู่ฝั่งตรงข้าม หงุดหงิดนะครับเวลาเห็นคนย้ำคำพูดเดิมๆกับตัวเอง ผมเองก็พอรู้ตัวอยู่ว่าตัวเองไม่ได้เก่ง ฉลาดอะไรนักหรอก แต่พอมาคิดดูอีกทีไอ้เรื่องที่อยากเข้าวิศวะคอมมันอาจจะยากเกินความสามารถผมจริงๆก็ได้มั้ง
หรือว่าผมควรจะเลือกสาขาอื่นดีวะ
“โกรธกูงั้นดิ”
“....” ไม่อยากพูดกับแม่งเลยครับ ปวดหัว เหมือนสมองจะระเบิด ผมกับมันเหมือนเส้นสองเส้นที่ไม่สามารถเอามาผสมให้เข้ากันได้
“เลิกงอนเถอะวะเดี๋ยวพาไปเลี้ยงหนม” คิดว่าคนแบบกูเอาของกินมาล้อแล้วจะหายโกรธงั้นดิ เหอะ
“อัฟเตอร์ยูนะ”
“ตามนั้น” เยี่ยม เพิ่งจะเห็นความดีความชอบมันก็ตอนนี้ หลังจากที่สวาปามอัฟเตอร์ยูเสร็จมันพาผมมาเลือกซื้อหนังสือที่ผมต้องใช้สอบก่อนจะพาขับรถกลับไปที่บ้านรับอิแสนดีที่ตอนนี้แทบจะลืมไปแล้วว่าเจ้านายที่แท้จริงขอมันคือผมที่ยืนอยู่ตรงนี้ เห็นแล้วแม่งอดไม่ได้ที่ยื่นมือไปเขกกะโหลกอีกที เห็นแล้วหมั่นไส้จริงๆนะครับ ทำไมคนที่เป็นทาสแมวถึงชอบมันขนาดนี้ทั้งๆที่แมวเป็นสิ่งมีชีวิตที่โคตรหยิ่งอ่ะ
“กูถามจริงมึงอิจฉาแมวตัวเองหรือเปล่า”
“สักนิดก็ไม่เคยเลยเถอะ ส่งมันมาเดี๋ยวกูอุ้มเอง”
“รู้แล้ว” มันส่ายหัวแล้วส่งแสนดีมาให้ผม
“ม๊ามึงน่ารัก”
“จะฝากตัวเป็นลูกเลยไหมล่ะ” รู้จักกันแค่สองครั้งนี่แทบจะเรียกลูกอย่างนั้นอย่างนี้ กับลูกชายแท้ๆของตัวเองนี่ไม่เคยหรอก จิกหัวใช้เยี่ยงทาส (พูดเว่อร์ไปงั้น) เห็นผมออกไปกับผู้ชายนี่ไม่มีการห้ามหรอกครับเห็น ส่งเสริมกันดีจริงๆบ้านนี้ แถมตอนท้ายมีพูดหยอกด้วยว่าถ้าได้ไอ้น่านมาเป็นลูกเขยคงดี ม๊าต้องเมาน้ำยาล้างจานแน่ๆ ลูกบ้านนี้มีแต่ตัวผู้ชัดๆ
“ก็อยากอยู่ แต่กลัวคนแถวนี้จะนอยด์ หาว่ารักลูกใหม่อย่างกูมากกว่า”
“มึงมโนเหรอน่าน เขายังไม่รับมึงเป็นลูกเลย เลิกมโนแล้วมองถนน”
Rrrrrrrrrrrrrrrrrrrrr
เสียงโทรศัพท์น่านฟ้าดังขึ้น มันหยิบขึ้นมาดูเบอร์แล้วส่งมาให้ผม
“ทำไม??”
“รับให้หน่อย เปิดลำโพงด้วย”
“เรื่องไรล่ะ กูไม่ชอบเสือกเรื่องชาวบ้าน รับเองดิวะ”
“กูขับรถอยู่ ไอ้นุ่นเพื่อนที่มหาลัยกูเองบอกมันว่ากูขับรถ เร็ว!!” อะไรของมันวะกูไม่ใช่คนขายอาหารตามสั่งนะโว้ย
“เออรู้แล้วกำลังจะรับให้นี่ไง” ผมเลื่อนหน้าจอไอหกเครื่องสีทองอร่ามของมันเสร็จก็เปิดลำโพงให้มันฟังด้วย(ไม่รู้เครื่องที่ใช้อยู่แม่งของจีนแดงหรือเปล่า สีดูเพี้ยนๆไงไม่รู้ ไม่เคยเห็นของจริงหรอกครับเคยเห็นแต่ในรูป)
“หวัดดีครับ”
“โหววว พูดเพราะเชียวนะคะอิน่าน กูเองค่ะ” คนที่ตอบกลับมาคือผู้หญิงเสียงน่ารักแต่พอพูดแบบนี้ความน่ารักลดลงแทบจะติดลบ ผมไม่รู้นะครับว่าคนอื่นคิดแบบไหน แต่สำหรับผู้หญิงที่พูดจาเพราะๆน่ารักๆใสๆแบบน้องเอยคือผู้หญิงที่มีเสน่ห์ แต่กับพี่คนนี้ไม่รู้ดิผมยังไม่รู้จักเขา
“พี่น่านติดขับรถอยู่ครับพี่นุ่น”
“เอ๋ แล้วนั่นใครคะ เมียน่านเหรอ”
“บอกมันไปดิว่าใช่ เออนุ่นเมียกูเอง” เชี่ยน่านตะโกนเสียงดัง ใช่ที่ไหนกันได้กูครั้งเดียวอย่ามาโมเมดิวะ ผมเอามือไปขูดหน้าไอ้น่านทีนึงแล้วรีบตอบกลับคนในโทรศัพท์ทันที
“ไม่ใช่ครับพี่นุ่นผมเป็นรุ่นน้องพี่น่านอ่ะ ชื่อซนครับ”
“รุ่นน้องไอ้น่านแล้วไม่ใช่รุ่นน้องฉันเหรอ ฉันเรียนคณะเดียวกับมันไม่เห็นเคยได้ยินชื่อซนสักที”
“เปล่าครับพี่นุ่น ผมเป็นรุ่นน้องที่เรียนที่อื่น ยังไงดีวะน่านกูเป็นรุ่นน้องที่เรียนที่อื่นหมายความว่าไงอ่ะ” พูดเองผมยังงงเองเลย คือผมไม่ได้เป็นรุ่นน้องมันด้วยนี่ดิเป็นเพื่อนรุ่นน้องที่รู้จักมันงี้เหรอ ไอ้น่านส่ายหัวอย่างปลงๆใส่ผม
"เอาโทรศัพท์มาเดี๋ยวกูคุยเอง"
"อ่ะเอาไปคุยเองตั้งแต่แรกก็จบ" ผมยื่นโทรศัพท์ให้มันไอ้น่านเอามือข้างนึงปล่อยพวงมาลัยแล้วยื่นมาตบหัวผมเฉยเลย
"อะไรอีกวะ"
"กูหมายถึงกูคุยแต่มึงจับโทรศัพท์ให้กูเหมือนเดิม" แล้วทำไมไม่บอกตั้งแต่แรก มึงเห็นกูเป็นพระอรหันต์โสดาบันตรัสรู้เรื่องที่มึงคิดเหรอน่าน หมั่นไส้มากนักเดี๋ยวเอาโทรศัพท์เขวี้ยงออกนอกรถแม่งเลย ผมเอาโทรศัพท์ไปจ่อใกล้ๆปากไอ้น่าน
“นุ่นมีไรวะ กูขับรถอยู่ไม่สะดวกคุย”
“แหมมม กับเพื่อนกับฝูงก็หัดสะดวกบ้างเถอะค่ะ กูจะโทรมาบอกมึงว่ากูมีลูกหมาพันธุ์ปอมที่บ้านสี่ตัวแล้วบ้านกูเขาให้เลี้ยงได้แค่สองมึงจะเอามันไปเลี้ยงสักสองตัวไหม กูเห็นมึงเคยบอกว่าอยากได้”
“ก็อยากได้อยู่...แต่แม่กูแพ้ขนสัตว์ว่
“แม่มึงกว่าจะกลับบ้านก็ชาติกว่า นี่กูอุตส่าห์ใจดีโทรหามึงคนแรกเลยนะน่านถ้าไม่ตอบตกลงภายใน 5 วินาทีกูจะให้คนอื่นแทน 5 4.....” ไอ้น่านดูลังเลทำสีหน้าเหมือนจะไม่เอาแต่ใจผมนี่ดิอยากได้อ่ะ
“เอาครับพี่ผมเอา...” ก่อนที่มันจะตอบปฏิเสธผมก็ดึงโทรศัพท์ไอ้น่านมาจ่อที่ปากตัวเองแล้วพูดเองทันที ไอ้น่านหันมามองแบบงงๆ มึงจะงงทำไมเขาให้ฟรี พันธุ์ปอมเลยนะเว้ย ปอมอ่ะมึงรู้จักไหมเนี่ย
“เยี่ยมมากค่า ยังไงน้องบอกมันมาดูก่อนก็ได้แล้วจะเอาไปเลี้ยงวันไหนก็แล้วแต่ที่มันสะดวก”
“ครับพี่” พอวางสายไอ้น่านส่งสายตาแบบงงสุดขีดกลับมาให้ผม เอาความจริงไหมครับผมชอบหมามากกว่าแมว เคยพยายามที่จะเลี้ยงหลายครั้งแล้วแต่ม๊าห่วงความปลอดภัยของแสนดีมากกว่าสุดท้ายข้อเสนอที่จะเลี้ยงหมาก็ตกไปตลอดแล้วนี่ดูดิมีของดีๆมาเสนอมตรงหน้าไม่เอาได้ไง ผมหันไปยิ้มให้ไอ้คนข้างๆที่ยังขับรถอยู่ มันเงียบไปตั้งแต่ที่ผมวางสายสักพักมันก็หันมามองผมด้วยสายตาที่ผมเองก็เดาไม่ถูก “อย่ามองงั้นดิ มึงมีปอมสองตัวมึงจะได้ไม่ต้องไปยืมแมวไอ้ซูแล้วไง หรือว่ามึงเกลียดหมา”
“เปล่าเกลียด”
“งั้นเลี้ยงดิ”
“มันไม่ได้ง่ายขนาดนั้นหรอกนะมึง อย่างที่กูเคยบอกว่าแม่กูแพ้ขนสัตว์ แล้วนี่มึงเล่นไม่ปรึกษากูสักคำ กูยังไม่ได้คิดอะไรมึงก็ตัดสินใจแทนกูไปแล้ว หมาสองตัวนะเว้ย แล้วรับปากไอ้นุ่นไปแล้วคืนคำไม่ได้ด้วย แล้วคนที่เลี้ยงก็บ้านกูใช่ไหมเพราะกูเชื่อแน่ๆว่าบ้านมึงเลี้ยงไม่ได้ เพราะถ้าจะเลี้ยงก็คงเลี้ยงตั้งนานแล้ว”
“กูผิดงั้นดิ”
“อ่าวพูดงี้หรือกูผิดวะซน”
“เออกูผิดเองแหละ เดี๋ยวกูเลี้ยงมันเองก็ได้ ม๊าคงไม่ว่าอะไรหรอกมั้งรับปากเขามาแล้ว” ผมถอนหายใจแล้วกดโทรศัพท์หาม๊า แกล้งสมมติถ้าเลี้ยงหมาสักสองตัวม๊าจะว่าไง แล้วคำตอบมันก็เดิมๆคือไม่ได้ ยังไงก็ห้าม ม๊ามีความเชื่อแปลกๆว่าหมาแมวจะทะเลาะกัน ซึ่งผมว่าปอมมันน่ารักแบบนั้นคนที่จะหาเรื่องก็คงมีแต่อิแสนดีชัวร์ พอไกล่เกลี่ยเท่าไหร่ม๊าก็มีแต่ไม่ยอมลูกเดียวสุดท้ายผมเลยต้องวางแล้วหันมามองหน้าคนข้างๆแทน
“ม๊าว่าไง”
“ม๊าไม่ให้เลี้ยง แล้วทำไงดีอ่ะ”
“ไม่รู้...มึงคนสร้างแก้เองดิ” ผมแม่งหาทางออกไม่ได้จริงๆนะครับ ตันไปหมดถ้าจะไปให้ไอ้เล็กก็ไม่ได้ บ้านมันแค่ลำพังเลี้ยงคนในครอบครัวยังยาก ไอ้วีก็ไม่ค่อยชอบหมาเท่าไหร่เพราะเคยโดนกัดตอนเด็กๆ พวกเพื่อนไอ้น่านก็ไม่ได้รู้จักมักจี่ขนาดนั้นด้วย
“น่าน...มึงเลี้ยงไม่ได้เหรอ”
“......”
“สัญญาว่ากูจะมาดูมันทุกวัน ถ้าวันไหนแม่มึงกลับมาเดี๋ยวกูเอามันมาแอบไว้ที่ห้องกูก็ได้...”
“........”
“ไม่ได้จริงเหรอวะ”
“.......”
“น่าน”
“เฮ้อออ...กูแม่งเชื่อมึงจริงๆเลยว่ะซน” มันพูดเสร็จก็ตบไฟเลี้ยวหักรถเข้าข้างทางก่อนจะหันมาช้อนปลายคางผมแล้วจูบผมแบบไม่ให้สัญญาณอะไรสักนิด จูบที่ดูจะเอาแต่ใจเรียกร้องแล้วก็อ่อนหวานในตอนท้ายก่อนจะจูบซับที่ริมฝีปากอีกรอบแล้วค่อยถอนออก “อยากเลี้ยงก็เลี้ยง”
TBC
น่านนี่ยังไงรู้จักเขาไม่กี่วันทำไมตามใจดีขนาดนี้เนอะ

ขอบคุณสำหรับคำผิดนะคะ ช่วงนี้อึนๆยังไงไม่รู้ต้องไปตามหาแรงบันดาลใจก่อนแต่งนิยายบ้างล่ะT^T
