Because of you ซน ตอนจบ
ปีกว่าแล้วที่ผมกับน่านฟ้าไม่ได้ติดต่อกันเลย ไม่ใช่ว่าผมไม่อยากติดต่อไปหาเขาหรอกนะครับ แต่ก็อย่างที่บอกช่วงเวลาที่ผ่านมา ผมเหนื่อย เหนื่อยมากจนรู้สึกว่าพอแล้วดีไหม อยากพัก อยากอยู่กับตัวเองโดยไม่มีเรื่องอะไรมาคิดให้ปวดหัว และหลังจากที่ได้อยู่กับตัวเองมาสักพักผมยอมรับว่ามันสงบขึ้น
มีบ้างเวลาที่อยู่คนเดียวแล้วคิดถึงน่านฟ้า มันเป็นเรื่องปกติที่เวลาเหงาๆจะคิดถึงมันเป็นคนแรก คิดถึงมุขห่วยๆของมัน คิดถึงมันเวลาที่อ้อนเหมือนหมาตัวใหญ่ แล้วก็คิดถึงเวลาที่ผมเอาแต่ใจและมันก็ชอบตามใจ ปฏิเสธไม่ได้ว่าผมรักมันมากกว่าที่ตัวเองคิด
หลังจากที่เรียนจบภาคเรียนที่หนึ่งผมตัดสินใจย้ายมาอยู่ที่วิทยาเขตชุมพร นักศึกษาที่อาสามาอยู่ที่นี้มีไม่ถึง 20 คนด้วยซ้ำแน่นอนว่าคนในเมืองอย่างไอ้จันโบกมือลาก่อนใครเพื่อน มันให้เหตุผลว่าชีวิตติดหรูของมันไม่สามารถอยู่ห่างไกลจากรถไฟฟ้าได้ ซึ่งมหาลัยพวกเราแม่งก็ไม่ได้ติดรถไฟฟ้าเลยเถอะ สุดท้ายมันเลยตัดสินใจไม่มาอยู่ที่ชุมพรกับผม แต่ผมก็ไม่ได้ซีเรียสอะไรหรอกนะครับ เพราะอยู่ที่นี้ผมก็ได้รู้จักเพื่อนใหม่เยอะแยะรวมทั้งไอ้หมวยที่ตอนนี้ก็แทบจะกลายเป็นเพื่อนสนิทผมไปอีกคน ตอนนี้ผมอยู่ปี 4 แล้วรู้สึกตัวเองโตขึ้น ความคิดถึงต่อคนๆนึงก็มีมากขึ้นเรื่อยๆด้วย
ทั้งๆที่ความคิดถึงผมมีมากมายขนาดนี้ แต่ผมก็ยังแปลกใจตัวเองว่าทำไมถึงไม่กล้าติดต่อไปหาไอ้น่าน ส่วนหนึ่งอาจจะเป็นเพราะว่าข่าวต่างๆที่ได้ยินมาด้วยล่ะมั้งถึงไม่กล้าติดต่อกลับไป ผมได้ยินข่าวของน่านฟ้ากับกลุ่มเพื่อนๆมันผ่านไอ้จัน มันเล่าว่าพี่ๆคนอื่นสบายดี แต่ที่จะดูแปลกในสายตามันหน่อยก็คงจะมีแต่พี่แอลที่หลังจากเรียนจบก็บินไปเรียนต่อโทที่ต่างประเทศทันที มันบอกว่าพี่เขาเหมือนพี่เขาไม่คิดจะอยู่รอรับปริญญาด้วยซ้ำ ซึ่งเพื่อนคนอื่นรวมทั้งไอ้จันไม่มีใครทราบเหตุผลว่าทำไม มีแค่ผมกับไอ้น่านเท่านั้นล่ะมั้งที่รู้ว่าพี่แอลตัดสินใจแบบนั้นเพราะอะไร
ส่วนน่านฟ้าเขาเองก็กำลังไปได้ดีกับบริษัทใหญ่ระดับประเทศ เห็นบอกว่าหลังจากฝึกเสร็จด้วยโปรไฟล์และบุคลิกทำให้มันได้งานที่นั่นเลยโดยไม่ต้องสัมภาษณ์อีก ก็ดีนะครับบริษัทระดับประเทศได้เจอคนหลากหลาย เห็นจันมันบอกว่าอยู่ที่บริษัทนั้นไอ้น่านฮอตยิ่งกว่าอะไร จนไอ้จันมันก็หลุดปากออกมาแหละครับว่าน่านมันอาจจะได้ผู้หญิงดีๆที่บริษัทนั้นสักคน
เวลา...มันทำให้หลายๆคนลืมไปแล้วว่าผมกับน่านฟ้าเรายังคบกัน รวมทั้งเจ้าตัวที่เคยพูดว่าจะรอ บางทีมันเองก็อาจจะลืมไปแล้วก็ได้ ว่ามันเคยสัญญาอะไรไว้ แต่จะโทษมันก็ไม่ได้หรอกนะครับ โทษที่ตัวผมเองนี่แหละที่คิดทบทวนช้า รู้ตัวอีกทีตอนนี้ก็คงจะสายไปแล้ว ปีกว่าแล้วนะครับคนทุกคนก็คงเดินไปข้างหน้า ผมเองก็เหมือนกันถึงแม้หัวใจมันจะยังอยู่ที่เดิมก็เถอะ
“ซน..วันนี้เข้าชมรมไหม” คนที่เดินเข้ามาทักผมคือไอ้บอย มันเรียนศิลปศาสตร์สาขาพวกออกแบบไรสักอย่าง ผมรู้จักกับบอยเพราะเขาเป็นเพื่อนสมัยมัธยมกับหมวย และบอยก็เป็นคนพาผมเข้าชมรมถ่ายรูป ซึ่งวิทยาเขตชุมพรเป็นวิทยาเขตที่อยู่นอกตัวเมืองมีพื้นที่ติดกับทะเล เวลาถ่ายรูปจากบนอาคารมันเลยได้ภาพและมุมที่ดีมากๆ กล้องที่ใช้อยู่ตอนนี้เป็นสิ่งของเพียงสิ่งเดียวที่เป็นของน่านฟ้าแล้วติดมือผมมาด้วย ผมเคยฝากไอ้จันไปคืนเขาแล้วนะครับตั้งแต่ก่อนมาชุมพร แต่น่านมันไม่เอา มันบอกว่ากล้องอันนี้มันซื้อผม และด้วยสันดานแบบผมพอได้ของฟรีมามันก็เป็นเรื่องปกติที่จะเห็นผิดเป็นชอบ เห็นความไม่ถูกต้องเป็นสิ่งที่ถูกต้องอยู่แล้ว ก็ในเมื่อมันบอกเองว่าซื้อให้ผม เพราะงั้นกล้องที่ผมใช้อยู่ตอนนี้ก็เป็นสมบัติของผมอยู่แล้ว
“คงไม่ได้เข้าอ่ะ วันนี้ว่าจะเข้าเมือง” เวลาจะไปซื้อของแต่ล่ะทีผมจะขับมอไซค์เข้าเมือง ใช้เวลาขับจากมหาลัยเข้าไปในเมืองก็เกือบๆ 10 กิโล แรกๆก็มีบ่นบ้างแต่ช่วงหลังมาก็เริ่มชิน ยังดีที่ม๊าอนุญาตให้เอาฟีโน่มาไว้ที่นี้ เพราะถ้าไม่มีรถผมก็คงทำอะไรไม่ได้ วิทยาเขตที่นี้ถ้าไม่มีมอไซค์หรือรถยนต์คือตายอย่างเดียว
“อ่าว มึงจะเข้าเมืองเหรอ” หมวยเดินมานั่งที่โต๊ะพร้อมกับของกิน “กูไปด้วยดิวะ ว่าจะไปซื้อของ”
“แต่กูขับมอไซค์ไปนะหมวย”
“โอ้ยย ร้อนอ่ะ”
“แล้วจะให้ทำไง”
“เอางี้มึงอย่าคิดมาก บอยก็จะเข้าเมืองอยู่แล้วใช่ป่ะ ใช่ป่ะบอย ไปนะๆ ไปส่งซนซื้อของในเมืองหน่อยสิ” ผมว่าพฤติกรรมช่วงนี้ของหมวยมันแปลกๆ หลังจากที่มันรู้ว่าผมกับน่านฟ้าไม่ได้คุยกันมันก็ชอบจับคู่ผมกับเพื่อนมันตลอด
“ได้สิ เราก็ว่างอยู่แล้ว”
“โหยยย บอยน่ารักอ่ะ งั้นเลี้ยงเซเว่นเซ่นด้วยนะซนมันอยากกิน เห็นบ่นตั้งหลายวันแล้ว”
“แน่ใจว่าคนที่อยากเป็นกู??” ผมเลิกคิ้วถามมันส่วนไอ้คนอยากกินตัวจริงก็ได้แต่หัวเราะชอบใจ หมวยมันเป็นคนน่ารักถึงจะปากหมาไปหน่อยแต่โดยรวมก็ถือว่าโอเค ใครๆก็ชอบมัน ถ้าไม่ติดว่าที่ผ่านมาผมชอบคนอื่นอยู่ก่อน ผมก็คงชอบมันไปแล้วมั้ง
“งั้นไปกันเลยนะซน เราจะได้ไปเอารถ” ผมพยักหน้าให้เจ้าของรถก่อนจะกระตือรือร้นดันหลังไอ้หมวยที่หัวเราะคิกคักให้เดินไปรอไอ้บอยที่หน้าคณะ
“มันชอบมึงแน่ๆเลยซน”
“แต่กูไม่ใช่...”
“ไม่ใช่ได้ไงตามใจมึงขนาดนี้”
“ถึงมันชอบกูจริงๆแต่กูคงไม่ได้ชอบมันกลับหรอกหมวย...มึงก็รู้แก่ใจว่าทำไม”
“รู้..แต่นี้มันเป็นปีแล้วนะซน ถ้าเขารอมึงจริงๆเขาก็คงส่งสัญญาญมาบอกมึงแล้วว่ารอ แค่มึงไม่ติดต่อกลับไปเขาก็ต้องบอกดิว่ายังไงแล้ว แต่นี่เล่นหายเงียบทั้งคู่ แถมมาได้ยินข่าวจากไอ้จันอีกว่าเขาโซฮอทขนาดนั้น ป่านนี้มีเมียมีลูกไปแล้วมั้ง” ผมเข้าใจความหมายของหมวยนะครับ แต่ผมไม่ได้อยากมีคนใหม่ ผมไม่รู้หรอกว่าน่านฟ้ามันยังรออยู่ไหม แต่ผมก็ตัดสินใจมาสักพักแล้วว่ารับปริญญาของไอ้น่านคราวนี้ผมจะติดต่อกลับไปหามัน ถ้ามันยังรออยู่ก็เป็นสิ่งที่ผมคาดไม่ถึง แต่ถ้าไม่ได้รอก็เป็นสิ่งที่ผมสมควรจะยอมรับ...เท่านั้น
พวกเราขับรถมาถึงในเมืองเกือบๆบ่าย แต่ล่ะคนก็ยังไม่ได้กินอะไรกันมา หมวยเลยออกความคิดเห็นกึ่งๆบังคับให้เราสามคนกินฟูจิกันก่อนจะไปทำธุระที่อื่น
“บอยนั่งข้างซนเลย” และนี่ก็เป็นอีกครั้งที่มันทำตามใจตัวเอง
“อะไรของมึงเนี่ยหมวยผู้ชายสองคนนั่งเบียดกัน อึดอัดจะตาย แทนที่จะให้กูหรือไม่ก็บอยไปนั่งข้างมึงคนนึง” พูดแล้วยังมาทำหน้ามึนใส่อีก
“นั่งๆไปเถอะน่า เนอะบอยเนอะ” บอยเองก็พยักหน้าพร้อมกับยิ้มอย่างที่มันชอบทำ ผมรู้สึกว่าบอยมันไม่เคยปฏิเสธหมวยได้เลยสักครั้ง แถมยังตามใจคนตรงหน้าผมอย่างกะอะไรดี จนผมอดคิดไม่ได้ว่าจริงๆแล้วคนที่บอยชอบอาจจะเป็นหมวยก็ได้
“ซน..”
“ห้ะ”
“เมื่อกี้กูว่ากู...” หมวยทำเสียงอึกอักก่อนจะโน้มหน้ามากระซิบที่ข้างหูผม “เห็นพี่น่านเดินผ่านหน้าเราไปว่ะ”
พอมันพูดจบเท่านั้นแหละผมรีบลุกขึ้นแล้วมองออกไปนอกร้านทันที พยายามมองอยู่หลายรอบแต่ก็ไม่เห็นคนที่ท่าทางเหมือนไอ้น่านสักนิด เพราะถ้าเป็นมันน่าจะมีออร่าอะไรบางอย่างให้จับต้องได้อยู่แล้ว
“มึงอย่าเพิ่งเว่อร์อะไรขนาดนั้นซน เพราะกูไม่แน่ใจว่าใช่พี่น่านหรือเปล่า แม่งปกติพี่น่านหล่อใสสะอาดจะตายแต่เมื่อกี้ที่กูเห็นยังกะโจรใต้ ไว้หนวดไว้เครา ถึงจะดูหล่อแบบเถื่อนๆแต่มันไม่ใช่พี่น่านที่กูรู้จักแน่ๆ บางทีกูอาจจะดูผิดมั้ง” ก็คงจะเป็นแบบนั้น ผมพยักหน้าบอกหมวยแล้วก้มหน้าก้มตาเล่นโทรศัพท์ต่อ ผมจำได้ว่าผมเคยด่าน่านฟ้าไปหลายครั้งเรื่องหนวดเพราะเวลาที่มันมานัวเนียผมหนวดมันจะทิ่มจนผิวผมแดงไปหมด พอด่ามันไปน่านฟ้าก็ไม่เคยไม่โกนหนวดเลยสักครั้ง และครั้งนี้ก็คงไม่ใช่หรอก
“กูว่ามึงคงจะ....ดูผิด” ผมงับปากตัวเองทันทีที่มองไปยังทางเข้าร้าน หัวใจที่เต้นรัวราวกับกลองกลับมาเต้นแรงอีกครั้ง ถึงแม้หน้าตาคนที่เห็นมันจะไม่เหมือนเดิมเท่าไหร่เพราะหนวดเคราที่แม่งไว้อย่างโจรนั่นแหละ แต่สิ่งเหล่านั้นก็ไม่ได้ทำให้ความหล่อของมันจางหายไปเลยสักนิด ออกจะดูดีในลุคเถื่อนๆที่หลายคนอาจจะชอบ
“ซนเป็นอะไรวะ มองอะไร” หมวยหันหน้าไปมองตามผม “คนนั้นไงๆเหมือนพี่น่านไหมมึงว่า เฮ้ยยย ไม่ใช่ดิ นั่นพี่น่านเลยใช่ป่ะวะ พี่น่าน!!!!! พี่น่าน!!!!” ผมยั้งปากเรียกไม่ทันไอ้หมวย มันตะโกนเรียกไอ้น่านก่อน ไม่ใช่ว่าไม่อยากเจอมันใกล้ๆหรือพูดคุยกับมันหรอกนะครับแต่ว่า...ผมตื่นเต้นและก็กลัวมากตั้งหาก
“เป็นไรวะซนหน้าดูซีดๆ” บอยเป็นคนทักผมเพราะไอ้หมวยมัวแต่โบกไม้โบกมือเรียกไอ้น่าน
“เปล่า...” ผมตอบมันเสียงเบา แต่มือที่ชุ่มเหงื่ออยู่ใต้โต๊ะไม่ได้บ่งบอกว่าผมสบายดีเลยสักนิด
“เปล่าก็เปล่า” บอยพูดพร้อมกับเอื้อมมือมาขยี้ที่หัวผม มันเป็นจังหวะเดียวกับที่น่านฟ้าเดินมาถึงโต๊ะ ผมรู้เพราะผมเงยหน้ายิ้มรับกำลังใจจากไอ้บอย แต่สายก็ดันไปประทะกับน่านฟ้าเสียก่อน ผมว่ามันก็คงตกใจเหมือนกันที่เห็นผมอยู่ตรงนี้
“พี่น่านนั่งทานด้วยกันสิ” ไอ้หมวยพูดพลางดันหลังน่านฟ้าให้เข้าไปนั่งด้านในฝั่งตรงข้ามกับผม แต่ไอ้น่านก็ปฏิเสธก่อน
“ไม่เป็นไรหรอกครับน้องหมวย เดี๋ยวพี่รอคิวดีกว่า”
“ทำไมล่ะคะพี่น่านมาคนเดียวนี่นา ก็นั่งทานด้วยกันนี่แหละค่ะ คนเยอะจะตายกว่าจะได้กินรากงอกก่อน” น่านหันมามองผมเหมือนขออนุญาต มันคงกำลังนึกถึงคำบอกลาล่าสุดที่มันบอกผมว่าจะไม่เข้ามายุ่งกับผมจนกว่าผมจะเป็นคนเดินไปหามันเอง
“ไปรอต่อคิว กว่าจะได้ก็นาน” มันเป็นประโยคแรกในรอบปีที่ผมรู้สึกว่ามันทั้งสั่นแล้วก็ตื่นเต้น “นั่งกินด้วยกันนี่แหละ”
น่านฟ้าพยักหน้ารับรู้ก่อนจะขยับเข้าไปนั่งด้านในฝั่งตรงข้ามกับผม ไอ้หมวยเรียกหาพนักงานเพื่อขอเมนู ความอึดอันแทรกกลางพวกเราทั้งสี่จนเป็นบอยที่เอ่ยปากขึ้นมาก่อน
“สวัสดีครับพี่น่าน ผมชื่อบอยครับ” หลังจากที่ไอ้บอยยกมือไหว้ไอ้น่าน “ผมเป็นเพื่อนหมวยแล้วก็ซน เรียนศิลปศาสตร์สาขาออกแบบ”
บอยกับไอ้หมวยชวนน่านฟ้าคุยเรื่องสัพเพเหระ บ่อยครั้งที่ผมกับมันเผลอสบตากันและก็เป็นผมที่หลบตามันก่อนทุกครั้ง สุดท้ายตลอดทั้งมื้อนั้นผมกับน่านฟ้าก็ไม่ได้คุยอะไรกันเลย มีแค่มันที่แสดงออกทางกายให้ผมเห็นว่ายังใส่ใจผมอยู่ก็คือการเลื่อนจานอาหารที่ผมชอบมาไว้ใกล้ๆมือ
“แล้วนี่พี่น่านมาทำอะไรที่ชุมพรคะเนี่ย แล้วดูไว้หนวดไว้เคราอย่างกะโจรใต้ หมวยเกือบจำไม่ได้”
“พี่มาเทรนงานที่สาขาชุมพรน่ะ มาอยู่แค่อาทิตย์เดียวก็กลับไปอยู่สาขาใหญ่เหมือนเดิม ส่วนไอ้หนวดเคราก็ไม่มีเวลาโกนเลยออกมาแบบนี้”
“แต่ลุคนี้ดูดีเหมือนกันนะพี่น่าน หล่อแบบเถื่อนๆ อินดี้ๆ เนอะซนเนอะ” หมวยหันมาขอความเห็นผม ซึ่งผมไม่ชอบหนวดมันอยู่แล้ว
“กูไม่ชอบ”
“อ่าวทำไมวะ เท่ดีออก”
“ก็มันทิ่ม...” ผมกำลังจะหลุดปากเผลอพูดอะไรบางอย่างออกไปแต่ยังดีที่นึกได้ก่อน
“ทิ่ม???”
“เปล่า...ไม่ชอบก็ไม่ชอบดิวะ จะถามอะไรนักหนาวะหมวย แล้วมึงจะหัวเราะทำไมน่าน ตลกมากหรือไงเล่า” ถึงมันจะเป็นการหัวเราะในเรื่องน่าอายที่รู้แค่ผมกับไอ้น่านแต่มันก็ทำให้ผมรู้สึกยินดีอยู่ในใจลึกๆ ไม่รู้เหมือนกันนะครับว่าเพราะอะไร ทั้งๆที่มันเป็นเรื่องน่าอายแต่ผมก็ยังยินดีกับมัน
“เปล่าครับเปล่า” และก็คำพูดปฏิเสธเพราะๆที่น่านฟ้าชอบพูดทุกครั้งเวลาที่มันล้อผม
ทำไงดีครับ...ผม...คิดถึงมันจริงๆนะ
“ขอบคุณมากๆเลยนะคะพี่น่าน อุตส่าห์เลี้ยงน้อง” ไอ้หมวยยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ที่มื้อนี้กินฟรีเพราะมันจัดหนักมาก แต่คนอย่างไอ้น่านราคาไม่กี่พันแบบนี้ขนหน้าแข้งไม่ร่วงอยู่แล้ว
“ไม่เป็นไรเอาไว้วันหลังหมวยจะได้เลี้ยงน้อง”
“โห เกลียดวิถีโซตัสก็แบบนี้แหละ แล้วนี่พี่น่านกลับเลยเหรอคะ”
“อื้อ” มันพยักหน้าแล้วหันมามองผมก่อนจะหันไปตอบหมวยอีกรอบ “ก็คงกลับเลยแหละ”
“อ่าฮะ” ไอ้หมวยก็พยักหน้าแล้วหันมามองผม มันหรี่ตาบุ้ยปากบอกทำนองว่าให้ผมรั้งไอ้น่านไว้ ทีอย่างงี้ล่ะเชียร์ผมกับไอ้น่านก่อนหน้ายังพูดอยู่เลยว่าให้ผมตัดใจ
“งั้น...พี่กลับเลยล่ะกัน ไม่อยู่กวนพวกเราแล้ว”
“เอางั้นเหรอพี่น่าน....”
“อื้ม...” เสียงครางรับในลำคอดังขึ้นพร้อมกับความอบอุ่นที่คุ้นเคยบนศรีษะผม น่านฟ้ากำลังขยี้หัวผมอยู่ “กู...กลับแล้วนะ”
พอน่านฟ้าพูดจบมันก็เดินหันหลังออกไปเลย ผมยังมัวแต่ยืนอึ้งอยู่จนหมวยนั่นแหละที่สะกิดเรียก “หมวย...”
“ว่า....”
“กู...คิดถึงมันว่ะ...” ผมสั่นไปหมด น้ำตาแม่งก็จะไหล เมื่อกี้ตอนที่น่านมันลูบหัวรับรู้ถึงความอ่อนโยนที่ได้รับจากมันชัดเจนมาก “กูคิดถึงมัน...”
“กูไม่กล้าว่ะหมวย กูไม่รู้ว่ากูจะพูดอะไรกับมันดี มันตั้งปีนึงแล้วนะมึง กูรับไม่ได้แน่ๆถ้าคำตอบที่มันตอบมาคือการบอกว่ามันไม่ได้รักกูแล้วล่ะ”
“ถ้ามันเป็นแบบนั้นมึงก็ต้องทำใจยอมรับ” หมวยวางมือลงบนบ่าผม “กูจะอยู่ข้างๆมึงเอง ไปหาพี่เขาซะ....คำตอบเป็นยังไงส่งข่าวมาบอกกูด้วย”
ผมพยักหน้าก่อนจะบอกบอกลาเพื่อนสองคนแล้วเดินตามหาไอ้น่าน ไม่รู้แม่งเดินเร็วไปไหน พอวิ่งตามมันออกมาก็ไม่เห็นหัวมันแล้ว ผมไม่อยากพลาดโอกาสปล่อยมันไปอีกแล้ว เพราะผมไม่รู้ว่าคราวนี้ผมจะได้มันกลับมาไหม
ผมเดินวนดูแถวๆที่มันจะไปก่อนจะเดินย้อนกลับมาอยู่ที่เดิม เดินวนไปวนมาอยู่เกือบ 3-4 รอบก็ยังไม่เห็น จนสุดท้ายผมตัดสินใจลองเดินมาที่ลานจอดรถ เห็นรถไอ้น่านกำลังทำท่าจะออกจากห้าง ผมเลยตัดสินใจวิ่งตามพร้อมกับตะโกนเรียกมันทันที
“น่าน!!!!! น่านฟ้า!!!” ผมทั้งตะโกนเรียกทั้งวิ่งตาม แต่ไม่รู้ว่าจะทันไหม แล้วนี้มันก็ชีวิตจริงไม่ใช่ละครนะครับที่จะมีใครมาบังเอิญมองกระจกหลังเห็นพระเอกอย่างผมวิ่งตามมาแล้วหยุดรถให้อ่ะ ยิ่งคนแบบไอ้น่านด้วยแล้วไม่มีทางสนใจอะไรมากไปกว่าถนนตรงหน้าแน่ๆ
ตุบ!!!!!
แล้วคิดดูสิครับผมล่ะไม่อยากจะเชื่อว่าคนอย่างผมจะสะดุดเท้าตัวเองล้มจนแทบลุกไม่ไหว แม่งก็รู้นะว่ามันน้ำเน่าแต่ไม่คิดว่ามันจะเกิดขึ้นกับผม และชีวิตน้ำเน่าแบบผมไอ้น่านก็ไม่มีทางเห็นแน่ๆถ้าผมไม่บอกให้มันรู้ สุดท้ายผมเลยตัดสินใจคว้าหมวกกันน็อคของใครไม่รู้ปาใส่รถมันเต็มแรง เสียงเสียดสีของล้อรถบอกเป็นนัยว่าน่านฟ้ามันโกรธมากที่ลูกรักมันโดนหมวกกันน็อคที่ไหนไม่รู้ขว้างใส่
“ใครวะ!!!!” ว่าแล้วมันต้องโกรธ ก็แม่งรถมันทั้งคัน แถมผมปาหมวกกันน็อคใส่หลังรถมันเต็มๆดีนะไม่โดนกระจกแตก แค่กระโปรงหลังยุบไปนิดนึง
“กูเอง”
“ซน?? มึงปาทำไม แล้วไปนั่งทำอะไรตรงนั้น”
“ก็...ล้มอ่ะ เมื่อกี้ตะโกนเรียกมึงแล้วแต่มึงไม่ได้ยิน พอวิ่งตามมา มันไม่ทันเลยล้มเมื่อกี้”
“มึงคิดว่าตัวเองเป็นนางเอกละครหรือไง โทรศัพท์ก็มีทำไมไม่โทร” ก็ใครมันจะไปนึกได้วะ จังหวะนั้นคิดได้อย่างเดียวคือวิ่งตามไหมล่ะ
ผมยู่ปากมองหน้าไอ้น่านที่ตอนนี้นั่งยองๆมองหน้าผม
“ว่าไงครับ??กระโปรงรถกูบุบแบบนั้นใครจะรับผิดชอบเหรอ” ผมมองเลยตามนิ้วไอ้น่านไปที่กระโปรงรถมัน ก่อนจะเม้มปากแน่นมองดูมือที่มีรอยแผลถลอก
“เจ็บ...”ขอสำออยปิดบังความผิดได้ไหม “น่าน...เจ็บอ่ะ...”
“เหรออออ”
“น่าน...”
“โอเคๆเจ็บก็เจ็บแล้วจะให้ทำไง...”
“ไปส่งที่หอหน่อย...”
“...........”
“นะ” ผมอ้อนมัน อ้อนแบบที่ไม่เคยอ้อนมันมาก่อนในชีวิต ท้ายที่สุดคนเจ็บแบบผมก็เป็นฝ่ายชนะ น่านฟ้ายอมขับรถไปส่งผมที่หอพัก ตลอดทางที่ขับรถกลับผมนั่งหันหน้าไปหาไอ้น่านจนมันหันมาเลิกคิ้วถามผมหลายรอบ ผมก็ได้แต่ส่ายหน้าบอกมัน แต่ครั้งนี้ผมแม่งทนไม่ไหวจริงๆครับ มองอยู่นานมาก เกลียดมากที่สุดก็หนวดมันนี่แหละ “ทำไมมึงไม่โกนหนวด”
ถามจนได้
“ไม่มีเวลา”
“ข้ออ้าง...แค่โกนออกมันไม่ได้เสียเวลาขนาดนั้นสักหน่อย....เห็นแล้วจั๊กจี้” ผมยกมือเกาคอตัวเองอย่างลืมตัวในหัวก็เอาแต่คิดถึงเวลาที่น่านฟ้าไม่ยอมโกนหนวดแล้วนัวเนียผม
“มึงจะมาจั๊กจี้แทนกูทำไมซน กูไม่ได้เอาหนวดไปจิ้มมึงสักหน่อย” ก็ใช่...ผมลืมตัวได้ยังไงว่าตอนนี้ผมกับมันอยู่ในช่วงห่างกันสักพัก หลังจากประโยคนั้นของไอ้น่านผมก็ไม่ได้พูดได้ถามอะไรมันอีก “ตึกนั่นใช่หอมึงไหม”
ผมหันไปมองแล้วก็พยักหน้าบอกมัน น่านฟ้าขับรถมาจอดหน้าตึก มันไม่ได้ไล่ผมลงจากรถแต่ตัวมันเองก็ไม่ได้เอ่ยปากว่าจะขึ้นไปบนห้อง สิ่งที่น่านฟ้ากำลังทำอยู่มันทำให้ผมรู้สึกอึดอัด ผมควรจะเดินออกไปเลยตอนนี้ดีไหมครับให้มันจบลงตรงนี้ น่านเองก็ไม่เห็นจะมีท่าทีแสดงออกให้ผมเห็นสักนิดว่ามันกำลังรอผม
“น่าน” แต่สุดท้ายผมก็ตัดสินใจจะพูดออกมันมาแม้ว่าคำตอบของมันอาจจะทำให้ผมเสียใจก็ตาม “ถ้ากูกลับไปหามึงตอนนี้...มันยังมีที่ว่าง...ให้กูอยู่ไหมวะ”
“..........”
“ไม่ได้งั้นสินะ....” ผมเข้าใจแล้วว่าบางทีผมอาจจะปล่อยเวลาให้นานเกินไป มันตั้งปีนึงเลยนี่เนอะ อะไรๆมันก็คงเปลี่ยนแปลงไปไม่น้อยแหละ คนเรามีขีดจำกัดของตัว น่านฟ้าเองก็คงเหมือนกันผม
“ถ้างั้น...ขอกอดมึงเป็นครั้งสุดท้ายได้ไหมน่าน...”
“ทำไมต้องกอดเป็นครั้งสุดท้ายด้วย...”
“ฮึก....กู...ถ้างั้น...ไม่เป็นไรก็ได้...ขอบใจนะเว้ยที่มาส่ง...”
“ทำไมต้องกอดเป็นครั้งสุดท้ายด้วยวะในเมื่อกอดของกูมีให้มึงได้ตลอดซน...” ความอบอุ่นจากแรงกอดของมันทำให้ผมรู้ว่ามันยังรอผมอยู่ “ที่ข้างๆสำหรับกูมีไว้ให้มึงตลอดแหละซน”
“ฮึก...น่าน...ขอบคุณนะ...ขอบคุณจริงๆ” ผมกับน่านเราสองคนไม่ได้เอ่ยคำว่ารักต่อกันเพราะเราทั้งคู่รับรู้มันได้ดีที่สุดแม้ไม่ต้องพูด เรื่องราวที่ผ่านมาหลายๆอย่างสอนให้ผมเรียนรู้ ผมไม่รู้ว่าอนาคตข้างหน้าของผมกับมันยังจะรักกันอยู่ไหม ผมไม่รู้ว่ามันจะมีอุปสรรคเข้ามาอีกหรือเปล่า
แต่สิ่งที่เราสองคนได้เรียนรู้จากอดีตคือเพียงเราจับมือกันให้แน่นพอ ไม่ว่าอุปสรรคอะไรที่เข้ามามันก็จะแค่ผ่านไป
>>>>>>>TBC<<<<<<<<<
จบแล้ววววว ติดตามข่าวอื่นๆได้ในเพจนะคะ
ส่วนตอนพิเศษ อีก 2 อาทิตย์จะมาอัพนะ ดูเหมือนยังไม่จบดีใช่ป่ะนั่นแหละรอตอนพิเศษนะคะ
ขอบคุณคนอ่านที่ติดตามมาตลอดนะคะ ขอบคุณคอมเม้น (อ่านทุกเม้น อินทุกเม้นเหมือนกัน)
อาจจะไม่ตรงใจใครไปบ้างหรือบางคนอาจจะรู้สึกว่ามันไม่สุด แต่นี่แต่งได้แค่นี้จริงๆ ต่อจากนี้จะพยายามพัฒนาตัวเองให้ดีกว่าเดิมค่ะ
ขอบคุณมากๆนะคะ