ทัณฑ์กามเทพ -- Ver. Rewrite (บทที่ 1-39: updated 8/11/58 -- เวลา 15.55 น.)
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: ทัณฑ์กามเทพ -- Ver. Rewrite (บทที่ 1-39: updated 8/11/58 -- เวลา 15.55 น.)  (อ่าน 69188 ครั้ง)

ออฟไลน์ Aislin

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 196
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +27/-1
คำโปรย

   ‘ฉันรู้ว่านายรังเกียจฉันมาก รู้ว่านายไม่ใช่คนที่ชอบเพศเดียวกันแบบฉัน รู้ว่านายคงเบื่อและอึดอัดที่ต้องมารับมือกับนิสัยร้ายกาจที่ฉันชอบแสดงใส่นายอยู่เสมอ แต่ฉันก็ไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกัน ฉันชอบนายมาตลอดตั้งแต่ม.หนึ่ง แม้จะผ่านมาห้าปีแล้วแต่ฉันก็ยังคงชอบนาย ได้ยินไหมนภัทร... ฉันชอบนาย’


   ทุกครั้งที่ วิศรุต นึกย้อนไปถึงเหตุการณ์เมื่อแปดปีก่อน ภาพแผ่นหลังเหยียดตรงของเด็กหนุ่มคนนั้นที่ค่อยๆเดินห่างออกไปมันทำให้หัวใจของเขาเจ็บปวดเสมอยามนึกถึง หากแต่ไม่เคยหมดรักสักวินาทีเดียว...

คนอย่างวิศรุต ทัดเทวา ทายาทมหาเศรษฐีเจ้าของธุรกิจพันล้าน อะไรที่เขาอยากได้ เขาก็ต้องได้มันมา แต่สิ่งเดียวที่ปรารถนา ทว่าไม่เคยได้สมหวังก็คือหัวใจที่แสนเย็นชาของผู้ชายคนนั้น...


   โลกที่เคยสงบสุขของนายแพทย์นภัทร อิสรีย์ ต้องพังทลายลงเมื่อใครบางคนหวนกลับเข้ามาในชีวิตของเขาอีกครั้ง วิศรุตคือพี่ชายแท้ๆของคนไข้ที่เขารับหน้าที่ดูแลอยู่ แถมเขายังต้องจับพลัดจับผลูเข้าไปพัวพันกับการแก่งแย่งชิงดีชิงเด่นในตระกูล ‘ทัดเทวา’

เมื่อความใกล้ชิดแปรเปลี่ยนเป็นความรู้สึกลึกซึ้ง เขาเองก็ไม่รู้เช่นกันว่าจะแสร้งทำเป็นไม่รู้จักกับฝ่ายนั้นได้นานแค่ไหน หัวใจข้างในร่ำร้องบอกว่ารัก แต่เขาก็ไม่กล้าพอจะเผยความรู้สึกออกไปในเมื่อกฎเกณฑ์ทางสังคมทั้งหลายมันตีตราว่าเราไม่ควรคู่กัน!


‘ความรักไม่เลือกเพศหรอก แต่มันจะเลือกคน... กระทั่งคนที่เราไม่คาดคิดมาก่อนว่าจะรัก’
(Cr. สำนักพิมพ์สะพาน วรรณกรรมสีรุ้ง)

โปรดติดตาม

************************************************



1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด
การสนใจและชื่นชอบนิยายและเรื่องเล่าของคนในเรื่องควรมีขอบเขตที่จะไม่สร้างความเดือดร้อนให้เจ้าของเรื่อง เช่นเดียวกับเป็ดที่ตอนนี้ถูกรังควานตามหาตัวจากคนด้านต่างๆ จนตัดสินใจไม่เล่าเรื่องต่อ.........เนื่องจากบางเรื่องเป็นเรื่องเล่า.....................บางคนไม่ได้เปิดเผยตัวตน  เขาพอใจจะมีความสุขในที่เล็กๆแห่งนี้โดยไม่ได้ตั้งใจให้คนภายนอกได้รับรู้เรื่องราวแล้วนำไปพูดต่อ   เพราะปฎิเสธไม่ได้ว่าสังคมไม่ได้ยอมรับพวกเราสักเท่าไหร่

2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรุปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ, หมิ่นประมาท,
หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง
หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย,ห้ามโพสกระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้ง  ในเรื่อง การเมือง ศาสนา พระมหากษัตริย์
และสถาบันต่าง ๆ  รวมถึงกระทู้ที่จะสร้างความแตกแยก  ชวนวิวาท ของสมาชิกภายในเวปบอร์ด
การกระทำเช่นนั้นอาจทำให้คุณแบนทันที และถาวร . หมายเลข IP ของทุกโพสต์จะถูกบันทึกเพื่อใช้เป็นหลักฐาน
ในความเป็นจริงเป็นไปได้ยากมากที่จะให้แต่ละคนมีความคิดเห็นตรงกันทั้งหมด   คนเรามากมายต่างความคิดต่างความเห็น เติบโตมาภายใต้ภาวะแวดล้อมต่างกันการแสดงความคิดเห็นที่แตกต่าง   จึงควรทำเพื่อให้เกิดความเข้าใจกัน แบ่งปันประสบการณ์และมิตรภาพเพื่ออาจเป็นประโยชน์ในการใช้ชีวิต  และไม่ว่าจะอย่างไรก็ควรเคารพในความคิดเห็นที่แตกต่างของบุคคลอื่นช่วยกันสร้างให้บอร์ดนี้มีแต่ความรักนะครับ   

เรื่องบางเรื่องอาจจะเป็นทั้งเรื่องแต่งหรือเรื่องเล่าใดๆก็ขอให้ระลึกเสมอว่า  อ่านเพื่อความบันเทิงและเก็บประสบการณ์ชีวิตที่คุณไม่ต้องไปเจอความเจ็บปวดเล่านั้นเองเพื่อเป็นข้อเตือนใจ สอนใจในการตัดสินใจใช้ชีวิต   จึงไม่ต้องพยายามสืบหาว่าเรื่องจริงหรือเรื่องแต่งส่วนการพูดคุยนั้น   ก็ประมาณอย่าทำให้กระทุ้กลายพันธุ์ห้ามเอาเรื่องส่วนตัวมาปรึกษาพูดคุยกันโดยที่ไม่เกี่ยวพันกับเรื่องในกระทู้นิยาย  ถ้าจะวิจารณ์หรือแสดงความคิดเห็นทุกคนมีสิทธิแต่ขอให้ไปตั้งกระทู้ที่บอร์ดอื่นที่ไม่ใช่ที่นี่นะครับ

3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพส หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อเจ้าของเรื่องเท่าที่จะทำได้หรือแจ้งมายังบอร์ดนี้ก่อนนะครับ  เนื่องจากเจ้าของเรื่องบางครั้งไม่ต้องการให้คนที่ไม่ได้ชื่นชอบนิยายชายรักชายเข้ามารับรู้  ลิขสิทธิ์ทั้งหมดเป็นของเจ้าของคนที่ทำขึ้นและเวปแห่งนี้นะครับ

4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล บอกเมล แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าของไม่ยินยอมให้ส่งหรือติดต่อกันทางพีเอ็มจะปลอดภัยกว่าแล้วเมื่อมีการติดต่อสื่อสารกันให้พึงระวังถึงความปลอดภัย ความไม่น่าไว้ใจของผุ้คนทุกคนแม้จะมีชื่อเสียงในบอร์ดเป็นเรื่องส่วนตัวของแต่ละคนไป เพื่อลดความขัดแย้งภายในเล้า จึงไม่สนับสนุนให้มีการจีบกันในบอร์ดนะครับ

5.ห้ามจั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียวให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตาม
เพราะแม้จะเป็นเรื่องที่เขียนจากเรื่องจริง เมื่อนำมาพิมพ์เป็นเรื่องผ่านตัวอักษร ย่อมเลี่ยงไม่ได้ที่จะมีการเพิ่มเติมเพื่อให้เกิดสีสันในเนื้อเรื่อง ทางเล้าถือว่านั่นคือการเพิ่มเติมเนื้อเรื่อง จึงไม่อนุญาตให้จั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” แต่สามารถแจ้งว่าเป็น “นิยายที่อ้างอิงมาจากชีวิตจริง” ได้  มีคนมากกมายทะเลาะเสียความรู้สึกเพราะเรื่องนี้มามากแล้ว

6.การพูดคุยโต้ตอบระหว่างคนเขียนและคนอ่านนอกเรื่องนิยาย  ทำได้  แต่อย่าให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสนิยายหนึ่งตอน ก็ควรตอบเพียงคอมเม้นต์เดียวก็พอแล้ว  โดยสามารถใช้ปุ่ม Insearch qoute  ได้    ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และลงลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน

7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
      7.1 นิยาย 1 ตอน  จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
      7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
      7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
            - 1 Reply ที่เกินมานั้น โมทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ

8.Administrator และ moderator ของ forum นี้ มีสิทธิ์อ่าน, ลบ หรือแก้ไขทุกข้อความ. และ administrator, moderator หรือ webmaster ไม่สามารถรับผิดชอบต่อข้อความที่คุณได้แสดงความคิดเห็น (ยกเว้นว่าพวกเขาจะเป็นผู้โพสต์เอง).

9.คุณยินยอมให้ข้อมูลทุกอย่างของคุณถูกเก็บไว้ในฐานข้อมูล. ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะไม่ถูกเปิดเผยต่อผู้อื่นโดยไม่ได้รับการยินยอมจากคุณ .Webmaster, administrator และ moderator ไม่สามารถรับผิดชอบต่อการถูกเจาะข้อมูล แล้วนำไปสร้างความเดือดร้อนต่างๆ

10.ห้ามลงประกาศลิงค์โปรโมทเวป  โฆษณา หรือโปรโมทในเชิงธุรกิจใดๆ ทุกชนิด ลงได้เฉพาะในห้องซื้อขาย ในเมื่อแนะนำเวปอื่นที่บอร์ดเรา ก็ช่วยแนะนำบอร์ดเราโดยลงลิงค์บอร์ดเรา เวป http://www.thaiboyslove.com  ในบอร์ดที่ท่านแนะนำมาให้เราด้วย  เมื่อจำเป็นต้องแนะนำลิงค์ให้ส่งลิงค์กันทาง personal message หรือพีเอ็มแทนนะครับจะสะดวกกว่า ส่วนในกรณีอยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนๆได้อ่านจริงๆนั้นพยายามลงให้ห้องซื้อขายซะ หรือถ้าม๊อดเดอเรเตอร์จะพิจารณาเป็นกรณีๆไป ถ้ารู้สึกว่าไม่ได้โปรโมทเวป แต่อยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนด้วยใจจริงจะให้กระทู้นั้นคงอยู่ต่อไป

11.บอร์ดนิยายที่โพสจนจบแล้วมีไว้สำหรับนิยายที่โพสในบอร์ด boy's love จนจบแล้วเท่านั้น จึงจะถูกย้ายมาเก็บไว้ที่นี่ หาอ่านนิยายที่จบแล้ว หรือคนเขียนไม่ได้เขียนต่อ แต่โดยนัยแล้วถือว่าพล็อตเรื่องโดยรวมสมควรแก่การจบแล้ว หากนักเขียนท่านใดได้พิมพ์เล่มกับสำนักพิมพ์ ต้องการลบเรือ่งบางส่วนออก โดยเฉพาะไคลแม๊ก หรือตอนจบที่สำคัญ ให้แจ้ง moderator ย้ายนิยายของท่านสู่ห้องนิยายไม่จบ เพื่อที่หากระยะเวลาเกินหกเดือนแล้ว เราจะได้ทำการลบทิ้ง หรือท่านจะลบนิยายดังกล่าวทิ้งเสียก็ได้ เนื่องจากบอร์ดนี้เก็บเฉพาะนิยายที่จบแล้ว

บอร์ดนิยายที่ยังไม่มาต่อจนจบไว้สำหรับ
นิยายที่คนเขียนไม่ได้มาต่อนาน หายไปโดยไม่มีเหตุผลสมควร ไม่ได้แจ้งไว้หรือแจ้งแล้วก็ไม่มาต่อ 3 เดือน จะย้ายมาเก็บในนี้เมื่อครบหกเดือนจะทำการลบทิ้ง ส่วนเรื่องไหนที่จะต่อก็ต่อในนี้จนกว่าจะจบ แล้วถึงจะทำการย้ายไปสู่บอร์ดนิยายจบแล้วต่อไป

12.ห้ามนำเรื่องพิพาทต่างๆมาเคลียร์กันในบอร์ด

13.ผู้โพสนิยาย และเขียนนิยายกรุณาโพสให้จบ ตรวจสอบคำผิดก่อนนำมาลงด้วยครับ

14.ส่วนคนอ่านทุกท่าน เวลาอ่านนิยาย เรื่องที่คนเขียนเขียน  ก็ไม่ต้องไปอินมากนะครับ ให้เก็บเอาสิ่งดีๆ ประสบการณ์ ข้อคิดดีๆไปนะครับ

15. การนำรูปภาพ บทความ ฯลฯ มาลงในเวปบอร์ด  ควรจะให้เครดิตกับ... 
(1) ผู้ที่เป็นต้นตอเจ้าของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ
(2) เวปไซต์ต้นตอที่อ้างอิงถึง
....ในกรณีที่เป็นบทความที่ถูกอ้างอิงต่อมาจากเวปไซต์อื่นๆ
- ถ้ามีแหล่งต้นตอของเจ้าของบทความ  ให้โพสชื่อเจ้าของต้นตอของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ  พร้อมทั้งเวปไซต์ที่อ้างอิง 
  (กรณีนี้จะโพสอ้างอิงชื่อผู้โพสหรือเวปไซต์ที่เรานำมาหรือไม่ก็ได้ แต่ควรมั่นใจว่าชื่อต้นตอของที่มาถูกต้อง)
- ถ้าไม่สามารถหาชื่อต้นตอของรูปภาพหรือเวปไซต์ที่นำมาได้ ควรอ้างอิงชื่อผู้โพสและเวปไซต์จากแหล่งที่เรานำมาเสมอ
- ควรขออนุญาติเจ้าของภาพหรือเจ้าของบทความก่อนนำมาโพสค่ะ(ถ้าเป็นไปได้) ยกเว้นพวกเวปไซต์สาธารณะ เช่น  หนังสือพิมพ์ออนไลน์ ฯลฯ ที่เปิดให้คนทั่วไปได้อ่านเป็นสาธารณะ ก็นำมาโพสได้ แต่ให้อ้างอิงเจ้าของชื่อและแหล่งที่มาค่ะ
- ไม่ควรดัดแปลงหรือแก้ไขเครดิตที่ติดมากับรูปหรือบทความก่อนนำมาโพส
- ถ้าเป็น FW mail  ก็บอกไปเลยว่าเอามาจาก FW mail

16.นิยายเรื่องไหนที่คิดว่าเมื่อมีการรวมเล่มขายแล้วจะลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออก กรุณาอย่าเอามาลงที่นี่ หรือสำหรับผู้ที่ขอนิยายจากนักเขียนอื่นมาลง ต้องมั่นใจว่าเรื่องนั้นจะไม่มีการลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออกเมื่อมีการรวมเล่มขาย อนึ่ง เล้าไม่ได้ห้ามให้มีการรวมเล่มแต่อย่างใด สามารถรวมเล่มขายกันได้ แต่อยากให้เคารพกฎของเล้าด้วย เล้าเปิดโอกาสให้ทุกคน จะทำมาหากิน หรืออะไรก็ตามแต่ขอความร่วมมือด้วย เผื่อที่ทุกคนจะได้อยู่อย่างมีความสุข

17.ห้ามแจ้งที่หัวกระทู้เกี่ยวกับการจองหรือจัดพิมพ์หนังสือ แต่อนุโลมให้ขึ้นหัวกระทู้ว่า “แจ้งข่าวหน้า...” และลงลิงค์ที่ได้ตั้งเอาไว้ในแล้วในห้องซื้อขายลงในกระทู้นิยายแทน  ถ้านักเขียนต้องการประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับการจอง หรือจัดพิมพ์หนังสือของตนเองผ่านกระทู้นิยายของตนเอง  นิยายเรื่องดังกล่าวจะต้องลงเนื้อหาจนจบก่อน (ไม่รวมตอนพิเศษ) จึงจะทำการประชาสัมพันธ์ในกระทู้นิยายได้ (ศึกษากฏการซื้อขายของเล้่าก่อน ด้วยนะคะ)
ว่าด้วยเรื่องการจะรวมเล่มนิยายขายในเล้า จะต้องมี ID ซื้อขายก่อน ถึงจะสามารถประกาศ ..แจ้งข่าว.. ที่บนหัวกระทู้ของนิยายได้ ในกรณีที่ รวมเล่มกับ สนพ. ที่มี  ID ซื้อขายของเล้าแล้ว นักเขียนก็สามารถใช้ หมายเลข  ID ของ สนพ. ลงแจ้งในหน้าที่มีเนื้อหารายละเอียดการสั่งจองนิยายได้

18.ใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดเรื่องสั้น ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที  ส่วนเรื่องสั้นที่จบแล้วให้แก้ไขโพสแรก และต่อท้ายว่าจบแล้วจะได้ไม่ถูกลบทิ้งและจะเก็บไว้ที่บอร์ดเรื่องสั้นไม่ย้ายไปไหน   เช่นเดียวกับนิยายทุกเรื่องเมื่อจบให้แก้ไขโพสแรก และต่อท้ายว่าจบแล้ว จะได้ย้ายเข้าสู่บอร์ดนิยายจบแล้ว ไม่เช่นนั้นม๊อดอาจเข้าใจว่าไม่มาต่อนิยายนานเกินจะโดนลบทิ้งครับ

************************************************

สวัสดีค่ะ

ขอต้อนรับนักอ่านทุกท่านเข้าสู่นิยายเรื่อง “ทัณฑ์กามเทพ” นะคะ นิยายเรื่องนี้เป็นนิยาย Yaoi/Boy’s Love เรื่องแรกของ Aislin ค่ะ เป็นเรื่องที่เราภูมิใจและรักมากที่สุดเรื่องนี้ นี่ก็ผ่านไป 5 ปีแล้ว Aislin เลยตั้งใจจะหยิบนิยายเรื่องนี้ขึ้นมาปัดฝุ่นอีกครั้ง เพราะด้วยวัยที่โตขึ้นทำให้เมื่อกลับมาอ่านทวนต้นฉบับอีกรอบก็เลยรู้สึกว่า เออเนอะ... ตอนนั้นทำไมภาษามันแปร่งๆขนาดนั้นเนี่ย ดังนั้นเวอร์ชั่น Rewrite เลยเกิดขึ้นเพราะต้องการแก้ไขจุดบกพร่องในอดีต

   อย่างไรก็ตาม เวอร์ชั่นนี้จะมีแค่การปรับภาษาและรูปประโยคให้สมบูรณ์ขึ้นเท่านั้น แต่เนื้อหาและการดำเนินเรื่องทั้งหมดจะอิงกับเวอร์ชั่นเดิม ดังนั้นนักอ่านที่เคยอ่านนิยายเรื่องนี้ (หรือซื้อหารูปเล่มสะสม) ไม่ต้องกังวลนะคะว่าสาระสำคัญจะเปลี่ยนแปลง
   ในส่วนของการอัพนิยาย Aislin จะพยายามมาอัพให้อ่านอย่างสม่ำเสมอ ไม่มีปัญหาหัวตันหรือคิดต้นฉบับไม่ออกแน่นอน เพราะนิยายแต่งจบไปเรียบร้อยแล้ว แต่ถ้าหากมาอัพช้าเป็นบางครั้งคราว ต้องขออภัยนะคะเพราะบางทีงานก็ยุ่งมากจริงๆ

   ทั้งนี้ โดยส่วนตัวแล้ว Aislin วางแพลนเอาไว้ว่าจะเปิดรวมเล่มนิยายเรื่องนี้อีกครั้ง สำหรับนักอ่านที่สนใจ โดยครั้งนี้จะนำตอนพิเศษที่จะไม่โพสลงเว็บเข้ามารวมอยู่ในเล่มด้วย (ไม่ได้แยกเป็น Special Booklet เช่นในอดีต) ถ้าหากท่านใดสนใจ เดี๋ยวรอติดตามรายละเอียดนะคะ จะพยายามอัพเดทเรื่อยๆ โดยสามารถไปกด Like เพื่อติดตามข่าวสารนิยายได้ที่ www.facebook.com/Aislin.Napoon  ได้เลยค่ะ

ปล. 4 ตอนแรกของเรื่องจะเป็นเรื่องราวสมัยเรียนมัธยมของพระ-นาย ตั้งแต่ตอนที่ 5 เป็นต้นไป จะเป็นเรื่องราวในวัยทำงาน รับประกันความสนุกค่ะ มีครบและจัดเต็มทุกอารมณ์แน่นอน ^-^    

ถ้าพร้อมแล้ว ไปอ่านตอนต่อไปได้เลยค่ะ

Share This Topic To FaceBook
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 08-11-2015 15:49:02 โดย Aislin »

ออฟไลน์ Aislin

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 196
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +27/-1
ทัณฑ์กามเทพ -- Ver. Rewrite (บทที่ 1)
«ตอบ #1 เมื่อ01-02-2015 12:23:25 »


   ภาพเด็กหนุ่มร่างสูงที่กำลังขะมักเขม้นอยู่กับการตั้งใจเรียนในสิ่งที่อาจารย์สอนอยู่หน้าห้องเป็นภาพคุ้นตาที่วิศรุต เห็นอยู่บ่อยๆ แม้ว่าเขาจะนั่งอยู่เกือบหลังห้องแต่ทว่าก็สามารถมองเห็นคนๆนั้นได้อย่างชัดเจน อาจเป็นเพราะนภัทรอยู่ในสายตาของเขามาตลอดก็เป็นได้ ห้าปีเต็มที่เขาแอบเฝ้ามองฝ่ายนั้นอยู่เงียบๆ บางครั้งเขาก็เคยนึกสงสัยว่าตัวเองจะต้องแอบมองแบบนี้ไปจนถึงเมื่อไหร่และนภัทรจะเคยเห็นเขาอยู่ในสายตาบ้างไหมนะ
   
นภัทรและเขาแตกต่างกันในเกือบทุกด้าน จะมีความเหมือนกันเพียงอย่างเดียว นั่นคือทั้งคู่เรียนห้องเดียวกันมาตั้งแต่มัธยมปีที่หนึ่ง แต่มันก็ไม่ได้ช่วยทำให้เขาและนภัทรสนิทสนมกันเลย ด้วยเพราะบุคลิกที่ต่างกันจนเกินไปนั่นเอง

    ถ้าจะพูดกันตามตรง นภัทรเรียกได้ว่าเป็นนักเรียนตัวอย่างเลยทีเดียว ฝ่ายนั้นดีเด่นทั้งเรื่องการเรียน กีฬาและความประพฤติ อีกทั้งยังได้รับเลือกให้เป็นกรรมการนักเรียนอีกด้วย ต่างจากเขาที่ถ้าไม่นับเรื่องฐานะที่เข้าขั้นเหลือกินเหลือใช้ของตระกูลทัดเทวาและใบหน้าหล่อเหลาที่จัดเข้าขั้นดูดีชนิดดึงดูดทั้งเพศเดียวกันและเพศตรงข้ามแล้ว แทบเรียกได้ว่าเขาไม่มีทางสู้อีกฝ่ายได้เลยจริงๆ

   “เหม่ออะไรวะไอ้วิน” ภาณุถามเพื่อนสนิทที่นั่งอยู่ข้างๆด้วยเสียงเบาจนเกือบกระซิบ พลางเหล่ตามองไปหน้าห้องเพื่อดูว่าอาจารย์ป้ามหาโหดกำลังมองมาที่เขาสองคนหรือเปล่า โชคดีที่อาจารย์ป้ากำลังง่วนอยู่กับการอธิบายโมเดลทางชีววิทยาอยู่ เลยไม่ได้สนใจมาจับผิดนักเรียนที่ชอบแอบคุยในห้องเรียนอย่างเขา

   ภาณุมองตามสายตาของวิศรุตจึงได้พบกับคำตอบ เป็นอย่างที่คิดเอาไว้จริงๆ ห้าปีผ่านมาแล้ว แต่เพื่อนของเขาก็ยังไม่คิดตัดใจจากนภัทรเสียที ตอนรู้จักกันแรกๆเขาเคยสงสัยว่าทำไมวิศรุตถึงชอบแอบมองนภัทรบ่อยๆ พอเขาคาดคั้นถามก็ได้คำตอบว่าเพื่อนของตนแอบหลงรักฝ่ายนั้นอยู่ และนั่นก็ทำให้เขาได้รู้ว่าวิศรุตไม่ได้ชอบผู้หญิง แต่ภาณุเองก็ไม่ได้คิดรังเกียจในข้อนี้เพราะถึงอย่างไรแล้ววิศรุตก็ยังคงเป็นเพื่อนที่เขารักมากอยู่ดี

   “ตัดใจเหอะ มันไม่ได้เป็นเกย์ เอ่อ... ไม่ได้ชอบผู้ชาย” ท้ายประโยคถูกแก้อย่างรวดเร็วเพราะไม่อยากให้วิศรุตรู้สึกไม่ดี

   “รู้ได้ยังไง” วิศรุตหมายถึงเรื่องที่ว่านภัทรไม่ได้ชอบผู้ชาย

   “ก็สืบมาจากไอ้พงศธร เพื่อนสนิทมันนั่นแหล่ะ เห็นว่าเคยคบผู้หญิงตอนอยู่ม.ต้นด้วย แต่ตอนนี้เลิกกันไปแล้ว” คำตอบของภาณุทำให้วิศรุตเม้มปากน้อยๆ แต่ไม่ได้แสดงความรู้สึกออกมาทางสีหน้านั้น นอกจากแววตาที่หมองไปจนคนที่นั่งข้างๆรู้สึกได้ ภาณุถอนหายใจเฮือกก่อนเอื้อมมือมาตบไหล่เพื่อนสนิทเบาๆ

   “กำลังคุยอะไรกันอยู่จ้ะ ภาณุ วิศรุต” เสียงสวรรค์ที่ดังมาจากด้านหน้าห้องทำให้ภาณุสะดุ้งสุดตัว เขาส่งยิ้มแห้งๆให้อาจารย์ป้าที่กำลังย่างก้าวถมึงทึงมาหาเขาและวิศรุต ตอนนี้ทั้งคู่ได้กลายเป็นจุดสนใจของเพื่อนทั้งห้องไปเรียบร้อยแล้ว

วิศรุตแอบถอนหายใจอย่างเบื่อหน่ายกับอาการชอบจับผิดนักเรียนของอาจารย์ป้าก่อนจะบังเอิญสบดวงตาสีถ่านของนภัทรที่เหลือบมองมาทางด้านหลังตรงที่เขานั่งพอดี สายตาที่เสมือนว่าเขาและภาณุเป็นตัวปัญหาที่มาขัดจังหวะการเรียนวิชาที่ฝ่ายนั้นชื่นชอบอย่างชีววิทยา

   “ดูท่าทางกำลังคุยอย่างออกรสออกชาติเลยทีเดียว ช่วยบอกให้อาจารย์รู้เรื่องด้วยคนสิ” อาจารย์ป้าใช้มือเหี่ยวย่นขยับแว่นตากรอบทองตามประสาคนเจ้าระเบียบก่อนเพ่งสายตามองมายังภาณุที่กำลังกลืนน้ำลายเหนียวๆลงคอ เขายังไม่ อยากโดนลงโทษให้อยู่ทำความสะอาดห้องแล็ปในเย็นวันนี้เพราะตัวเองมีนัดกับแฟนสาวอยู่ก่อนแล้ว

   “คือว่าผมไม่ค่อยเข้าใจเรื่องการหายใจระดับเซลล์น่ะครับอาจารย์ ภาณุก็เลยช่วยอธิบายให้ฟัง” วิศรุตหาทางรอดให้ตัวเองและเพื่อนสนิทด้วยการเอ่ยปดขึ้นมาเสียงเรียบ ใบหน้าหล่อเหลาพยายามปั้นแต่งให้ถึงที่สุดเพื่อให้ดูว่าตนกำลังสงสัยในบทเรียนอันแสนน่าเบื่อของวิชานี้จริงๆ ช่วยไม่ได้ เขาเองก็ไม่ได้จะอยากโดนทำโทษเหมือนกับภาณุนั่นแหล่ะ

   ภาณุลอบมองเพื่อนตัวเองด้วยความทึ่ง เมื่อครู่วิศรุตยังเศร้าอยู่เลย แต่ทำไมตอนนี้กลับเปลี่ยนอารมณ์มาโกหกหน้าตายราวกับสั่งได้เช่นนี้ อาจารย์ป้าเพ่งมองทั้งคู่อย่างจับผิดอีกครั้งก่อนจะยอมเลิกราไป ทำให้ทั้งคู่รอดตัวจากการถูกทำโทษไปได้อย่างหวุดหวิด หลังจากนั้นห้องเรียนก็กลับเข้าสู่บรรยากาศอันแสนน่าเบื่อในวิชาชีววิทยาอีกครั้งหนึ่ง



“ไอ้กานต์ แกจะกลับบ้านเลยหรือเปล่า” เสียงพงศธรตะโกนถามนภัทรจากประตูหน้าห้องทำให้วิศรุตชะงักมือที่กำลังเก็บกระเป๋านักเรียนอยู่ทันที

   “ยังหรอก เดี๋ยวจะไปห้องสมุดก่อน จะไปหาข้อมูลรายงานด้วยน่ะ” รายงานที่ว่าคงเป็นรายงานชีววิทยาที่อาจารย์ป้าเพิ่งจะสั่งเมื่อตอนคาบบ่ายนี้เอง ขยันสมกับเป็นนักเรียนตัวอย่างเสียจริง วิศรุตคิดในใจ เขามองดูฝ่ายนั้นเก็บกระเป๋าเงียบๆก่อนเสียงหนึ่งจะดังขึ้นเบื้องหน้า

   “เอ่อ  พี่วินครับ คือเพื่อนผมเค้าฝากไอ้นี่มาให้พี่” จดหมายฉบับหนึ่งถูกยื่นมาตรงหน้า เขาจึงต้องรับเอาไว้อย่างเสียไม่ได้ ไม่ต้องบอกก็พอจะรู้ว่ามันเป็นจดหมายอะไร อันที่จริงเขาเคยได้รับจดหมายแบบนี้มาจนแทบนับไม่ถ้วน ไม่ว่าจะจากรุ่นน้องที่แอบคลั่งไคล้เขา หรือแม้แต่รุ่นพี่บางคนที่หวังจะสานสัมพันธ์ด้วยก็ตามที บางทีเขาก็เล่นด้วย ซึ่งกับแต่ละคนก็จะตอบสนองให้ไม่เท่ากัน มีตั้งแต่ร่วมรักกันแบบครั้งเดียวจบ หรือถ้าเขาถูกใจเพิ่มขึ้นมาหน่อยก็อาจจะถึงขั้นสานต่อคบเอาไว้เพื่อแก้เบื่อ หรืออย่างสุดๆก็คู่นอนแก้เหงายามที่เขาเกิดอารมณ์ต้องการความสุขทางกาย แต่ไม่มีใครที่เขาคบได้เกินหนึ่งเดือนสักคนเดียว และตัวเขาเองก็ไม่ได้คิดจริงจังอะไรมากนัก ใครก็ตามที่คนอย่างวิศรุต ทัดเทวาเลือกมาเป็นคู่นอนด้วยย่อมถือว่าคนๆนั้นได้รับเกียรติมากเกินพอแล้ว เพราะพอเมื่อเขาเบื่อ คนพวกนี้ก็จะถูกเขาเขี่ยทิ้งราวกับเศษขยะก็ไม่ปาน มีบ้างบางคนที่ไม่ยอมจบความสัมพันธ์แบบนี้ คนพวกนั้นเรียกร้องต้องการจะเป็นเจ้าของหัวใจของเขา แต่ในที่สุดอำนาจเงินของตระกูลทัดเทวาก็บันดาลให้เรื่องจบลงได้ด้วยดีตลอดทุกครั้งไป 

วิศรุตรู้ดีว่าอะไรคือสิ่งที่ตนต้องการอย่างแท้จริง... เขาต้องการผู้ชายที่ชื่อ นภัทร อิสรีย์ เพียงคนเดียวเท่านั้น!

   เมื่อรู้สึกว่าตัวเองกำลังถูกจ้องอยู่ วิศรุตจึงหันไปมองฝ่ายนั้น นภัทรกำลังมองมาที่เขา พูดให้ถูกก็คือกำลังจ้องเขาด้วยสายตาเย็นชาดุจน้ำแข็ง สายตาสีดำสนิทราวถ่านคู่นั้นฉายแววที่วิศรุตอ่านความหมายได้ไม่ยาก  มันเป็นสายตาที่แสดงถึง ความสมเพช รังเกียจหรืออะไรซักอย่างที่เขาไม่ชอบเลย วิศรุตคิดในใจพลางสบตาฝ่ายนั้นด้วยแววตาท้าทาย ใบหน้าหล่อเหลาเชิดขึ้นเล็กน้อยก่อนจะหันมาพูดกับรุ่นน้องตรงหน้า

   “ไปบอกเจ้าของจดหมายนี้ว่าตอนสี่โมงเย็นให้ไปเจอฉันที่ห้องสมุด” วิศรุตมองรุ่นน้องคนนั้นวิ่งออกไปบอกข่าวกับกลุ่มเพื่อนที่รออยู่ด้านนอกห้องเรียนด้วยความยินดีก่อนที่เขาจะลงมือเก็บกระเป๋าต่อ พอหันไปมองที่โต๊ะของนภัทร อีกฝ่ายก็ไม่อยู่แล้ว
ยิ่งนายรังเกียจฉันมากเท่าไหร่  ฉันก็ยิ่งรักนายมากขึ้นเท่านั้น



ห้องสมุดในเวลานี้ไม่ค่อยมีนักเรียนมาใช้บริการเท่าใดนักเพราะตอนนี้ไม่ใช่ช่วงเทศกาลสอบ พวกนักเรียนที่มายึด โต๊ะอ่านหนังสือในตอนนี้ก็คงจะมีแต่พวกเด็กเรียนเท่านั้น วิศรุตกวาดตามองไปรอบตัว เขาไม่ได้มองหารุ่นน้องที่หาญกล้าส่งจดหมายรักนัดเขามาเจอ แต่เขามองหานภัทรต่างหาก หวังว่าฝ่ายนั้นคงจะยังอยู่ที่ห้องสมุดนี้ และเขาก็คาดการณ์ถูกจริงๆเมื่อสายตาเหลือบไปเจอคนที่เขาต้องการหากำลังก้มๆเงยๆอยู่แถวชั้นวางหนังสือหมวดวิชาชีววิทยาซึ่งไม่ไกลไปจากตรงที่เขากำลังยืนอยู่นัก

   “เอ่อ พี่วินครับ พี่นัดผม...” น้ำเสียงเจืออาการประหม่าที่ดังขึ้นด้านหลังบอกให้วิศรุตรู้ตัวว่ารุ่นน้องคนนั้นมาถึงแล้ว แววตาของวิศรุตฉายแววเจ้าเล่ห์ก่อนจะดึงต้นแขนฝ่ายนั้นให้เดินตามเขาไป ซึ่งฝ่ายที่ถูกชักนำก็เดินตามอย่างว่าง่าย

วิศรุตดันรุ่นน้องที่เขาคาดว่าน่าจะอ่อนกว่าเขาประมาณปีหรือสองปีเข้าไปในซอกหลืบของห้องสมุด ใกล้ๆกับบริเวณชั้นวางหนังสือหมวดชีววิทยา ก่อนจะเพิ่งได้มีโอกาสมองเค้าหน้าของอีกฝ่ายอย่างเต็มตา หน้าตาดีใช้ได้เลยทีเดียว แบบนี้กระตุ้นอารมณ์ทางเพศเขาได้พอตัว วิศรุตคิดในใจก่อนจะแนบจูบไปที่กลีบปากบางของอีกฝ่ายอย่างรุนแรงไม่ให้คนถูกรุกรานได้ทันตั้งตัว ด้วยประสบการณ์ ความชำนาญและชั้นเชิงอันยอดเยี่ยมของวิศรุตก็ทำให้ฝ่ายนั้นเคลิ้มได้ไม่ยากเย็นจนเผลอหลุดปากครางเสียงแผ่วหวิว วิศรุตไซร้ซอกคอไล่ไปจนถึงแผ่นอกที่เกือบเปลือยเปล่าเพราะเสื้อนักเรียนถูกเขาปลดออกก่อนจะถอนจูบเสียอีก เขาตั้งใจเน้นเสียงเวลาทำรอยบนตัวของรุ่นน้องตรงหน้าเพื่อต้องการให้คนที่กำลังยืนค้นหนังสืออยู่ไม่ไกลนักได้ยิน ก่อนจะหยุดแล้วกระซิบถามคนที่กำลังอยู่ในอ้อมแขนเขา

   “ใช้ปากเป็นหรือเปล่า” อีกฝ่ายพยักหน้ารับอย่างอายๆแต่ก็ยอมทำให้อย่างโดยดีเมื่อวิศรุตปลดเข็มขัดปล่อยให้กางเกงและชั้นในหลุดลงไปกองกับพื้น

   “อา...” เสียงครางที่จงใจให้ดังเป็นพิเศษของวิศรุตทำให้มือที่กำลังหอบตำราเล่มหนาหลายเล่มชะงักทันที เสียงแปลกๆที่ดังมาจากอีกฝั่งของชั้นหนังสือใกล้ๆกันทำให้เขานึกสงสัย นภัทรจึงหอบกองตำราแล้วสาวเท้าเดินเข้าไปมองดูใกล้ๆด้วยความอยากรู้

   ปัง!

เสียงหนังสือเล่มหนาสามสี่เล่มตกกระทบพื้นเรียกสติของนภัทรให้กลับมาพร้อมๆกับอาการตกใจของคนที่กำลังใช้ ลิ้นบรรจงสร้างความสุขให้กับรุ่นพี่คนที่ตนแอบหลงรักอยู่ แต่วิศรุตกลับไม่ได้มีท่าทางตกใจมากนัก แววตาคู่นั้นฉายแววสมใจที่ตัวเองสามารถแกล้งนภัทรได้สำเร็จ อยากรังเกียจดีนัก วันนี้เขาก็เลยจัดให้ดูเต็มๆตาเลยเป็นไง

   ภาพตรงหน้าทำให้นภัทรตัวแข็งทื่อ ภาพเด็กหนุ่มสองคนกำลังกึ่งร่วมรักกันทางปากทำให้ลำคอเขาตีบตันไปชั่วขณะ คนหนึ่งที่กำลังใช้ลิ้นเลียน้ำรักสีขาวขุ่นเข้าปากราวกลับมันเป็นของเอร็ดอร่อยนั้น เขาเองก็ไม่รู้ว่าเป็นใครกัน แต่อีกคนหนึ่งที่ กำลังสำเร็จความใคร่ให้ตัวเองด้วยมืออีกรอบนั้น เขาย่อมรู้จักแน่เพราะเป็นเพื่อนร่วมห้องกันมาตั้งแต่ม.หนึ่ง คนที่โด่งดังในทุกด้านที่เป็นด้านแย่ๆและป๊อปปูลาห์อย่างมากในหมู่พวกนิยมไม้ป่าเดียวกันในโรงเรียนชายล้วนแห่งนี้ วิศรุต ทัดเทวา

   “อ้าว นายนั่นเองนภัทร ฉันก็นึกว่าใคร” วิศรุตจัดการหยิบเสื้อนักเรียนของรุ่นน้องคนนั้นที่ถอดทิ้งอยู่บนพื้นมาเช็ดคราบน้ำขาวขุ่นที่เลอะเต็มหว่างขาของเขาในขณะที่ปากก็พูดกับนภัทรไปด้วย

   “ทุเรศ” นี่คือคำแรกที่ออกมาจากปากคนที่วิศรุตแอบรักมาห้าปีเต็ม “นายนี่มันทุเรศจริงๆวิศรุต ที่นี่ห้องสมุดนะ ไม่ใช่โรงแรมม่านรูดที่นายกับ... เอ้อ คนของนายจะมาทำอะไรลามกได้อย่างหน้าไม่อายแบบนี้”

   “มันเป็นเรื่องของฉัน ฉันไม่ได้เชิญให้นายมาดู ‘การร่วมรัก’ ของฉันนี่นา นายมาของนายเอง” วิศรุตเถียงไปอย่างข้างๆคูๆ เขาเองก็รู้ดีว่ามันไม่สมควรจะมาทำอะไรแบบนี้ในห้องสมุดตามที่อีกฝ่ายบอกจริงๆ แต่คนอย่างนายวิศรุต ทัดเทวา ถ้าคิดจะทำอะไร ต่อให้จะผิดหรือถูกยังไงเขาก็ไม่สนเด็ดขาด

   “วิศรุต” คู่สนทนาเรียกชื่อเขาด้วยอารมณ์ที่เริ่มขุ่นมัวมากขึ้น นภัทรไม่ถนัดไอ้เรื่องโต้คารมแบบนี้เลยให้ตายเถอะ ยิ่งคู่ต่อสู้เป็นคนตรงหน้าด้วยแล้ว

   วิศรุตมองนภัทรด้วยสีหน้าแกมสะใจลึกๆ อีกใจหนึ่งก็นึกดีใจเงียบๆที่ตัวเองสามารถทำให้นภัทรเผยสีหน้าโกรธจน เริ่มคุมอารมณ์ไม่อยู่ออกมาได้ ไม่ใช่มัวแต่ปั้นหน้าเย็นชาใส่เขาอย่างที่ชอบทำเป็นประจำทุกครั้งเวลาที่เผชิญหน้ากัน หากว่าคนตรงหน้ารู้ว่าเขาแอบมีใจให้ ก็คงต้องยิ่งรังเกียจเขาแน่ๆ บางทีเขาก็นึกขำตัวเอง คนอย่างวิศรุต ทัดเทวากล้าในเกือบจะทุกเรื่อง ยกเว้นอย่างเดียวคือเรื่องบอกรักคนที่แอบชอบเนี่ยแหล่ะ

   “ไม่พอใจฉันเหรอนภัทร ถึงจะไม่พอใจแต่นายจะทำอะไรได้นอกจากยืนหัวฟัดหัวเหวี่ยงอยู่ตรงนี้ หรือว่า... นายเองก็อยากจะลองมีอะไรกับฉันเหมือนกัน” ท้ายประโยคของวิศรุตทำเอานภัทรถึงกับหน้าแดงก่ำ ฝ่ายที่พูดยียวนหัวเราะในลำคอ พร้อมกับจัดแจงเสื้อผ้าให้เข้าที่ดังเดิม

   “นายคงลืมไปว่าฉันเป็นกรรมการนักเรียน ฉันมีสิทธิ์สั่งลงโทษและบันทึกความประพฤตินายได้นะ ยิ่งเป็นพฤติกรรมที่ไม่สมควรทำแบบนี้แล้วล่ะก็...”

   “ก็เอาสิ นายเองก็คงลืมไปแล้วเหมือนกันว่าฉันนามสกุลทัดเทวา”

   “ไม่ว่านายจะใหญ่มาจากไหนฉันไม่สน กฎก็ต้องเป็นกฎ ยิ่งเป็นความผิดที่เห็นกับตาแบบนี้แล้วฉันก็ยิ่งปล่อยไปไม่ได้” นภัทรขบกรามแน่น เขาไม่ยอมให้อีกฝ่ายอ้างนามสกุลของตระกูลดังที่รวยล้นฟ้าอย่างทัดเทวามาอยู่เหนือกฎของโรงเรียนได้อย่างเด็ดขาด

   “ถึงเรื่องนี้นายไม่สน นายก็ควรสนใจอนาคตตัวเองบ้างนะนภัทร ไม่แน่พรุ่งนี้นายอาจจะต้องเปลี่ยนโรงเรียนใหม่ก็ได้ใครจะรู้ เปลี่ยนโรงเรียนกลางคันตอนม.ห้า ปีหน้าก็ต้องสอบเข้ามหาวิทยาลัย แบบนี้มันก็คงไม่ใช่เรื่องที่ดีเท่าไหร่นัก” วิศรุตตอกกลับเสียงเย็นทันที แผนเรื่องที่เขาต้องการจะแกล้งนภัทรให้มาเห็นตอนเขามีอะไรกับรุ่นน้องเริ่มจะไปกันใหญ่แล้ว
   ตอนนี้นภัทรโกรธจนหน้าเปลี่ยนสี  ผิวของเด็กหนุ่มจัดว่าขาวทีเดียว พอตัดกับใบหน้าที่ฉายแววหล่อคมที่ตอนนี้กำลังเปลี่ยนเป็นสีแดงก่ำก็ชวนมองไม่น้อยในสายตาของวิศรุต

   “พรุ่งนี้ตอนเที่ยงหลังจากกินข้าวเสร็จมาพบฉันที่ห้องกรรมการนักเรียน เรามีเรื่องต้องคุยกันยาว” พูดจบนภัทรก็ก้มลงเก็บหนังสือที่หล่นกระจายอยู่บนพื้นก่อนจะเดินลิ่วออกไปเลย ปล่อยให้วิศรุตมองไล่หลังด้วยสายตาท้าทายไม่ยอมแพ้เช่นกัน

   “กลับไปได้แล้ว วันนี้ฉันหมดสนุกแล้ว” ลับหลังนภัทร วิศรุตก็ไล่คู่ขาที่เมื่อกี้เพิ่งจะสำเร็จความใคร่ให้เขาอย่างไม่ไยดี ไม่แม้แต่จะถามชื่อด้วยซ้ำเพราะเขาคิดว่าไม่จำเป็นต้องเอามาใส่ใจนัก ก็แค่รุ่นน้องที่แอบปลื้มคนหน้าตาดีอย่างเขา แค่ยอมให้ ฝ่ายนั้นได้มีโอกาสสัมผัสร่างกายอันสวยงามราวกับเทพเจ้าบรรจงสรรสร้างของเขาแค่นั้นก็เกินพอแล้ว มันก็เป็นเพียงแค่ความสัมพันธ์แบบครั้งเดียวจบเท่านั้นเอง

   วิศรุตขี้เกียจมองดูรุ่นน้องคนนั้นบีบน้ำตาขอความเห็นใจก็เลยเลือกที่จะเดินห่างออกมาเอง ในใจก็พานนึกไปถึงคำพูดของนภัทร ให้ฉันไปพบงั้นเหรอ ฉันเองก็ชักอยากจะรู้เหมือนกันว่านายจะมีปัญญาทำอะไรฉันได้พ่อกรรมการนักเรียนคนเก่ง
มีคนเคยบอกว่าคนเราจะจำกันได้เพราะผูกพันกันด้วยความรู้สึกสองอย่าง คือถ้าไม่รักก็เกลียดชัง ความรู้สึกระหว่างเราคงเป็นแบบหลังสินะ...

ถ้านายรักฉันไม่ได้ ก็เกลียดฉันเถอะ ยิ่งเกลียดฉันมากเท่าไหร่ก็ยิ่งดี ฉันจะได้อยู่ในความทรงจำของนายตลอดไป...


Aislin: หวังว่านิยายเรื่องนี้จะมอบความสนุกสนานให้นักอ่านไม่มากก็น้อยนะคะ ฝากติดตามต่อในตอนหน้าด้วยค่ะ อย่างที่บอกไปว่านิยายเรื่องนี้มีหลากหลายอารมณ์ จะเป็นยังไงต้องรอพิสูจน์เอาเน้อ ตอน 1-4 เป็นเรื่องราวสมัยมัธยม หลังจากนั้นขอบอกว่าจัดเต็มแน่นอนค่ะ รับประกันความสนุก อิอิ

ปล. ก่อนจะปิดหน้านี้ลงไป รบกวนคอมเม้นท์ให้จะขอบคุณมากมายเลยจ้ะ มามะๆ มาคุยกันเถอะ อย่าให้ Aislin ต้องพูดเองเออเองอยู่ฝ่ายเดียว
 



ออฟไลน์ Freja

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2394
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +145/-4
Re: ทัณฑ์กามเทพ -- Ver. Rewrite (บทที่ 1: 1/2/58)
«ตอบ #2 เมื่อ01-02-2015 13:37:23 »

ตามอ่านนะคะ

อย่าลืมลงกฏของเล้าก่อนเลยนะคะ

ออฟไลน์ sirin_chadada

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4110
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +114/-8
Re: ทัณฑ์กามเทพ -- Ver. Rewrite (บทที่ 1: 1/2/58)
«ตอบ #3 เมื่อ01-02-2015 15:29:25 »

เป็นกำลังใจให้คนเขียนจ๊ะ

ออฟไลน์ tsuyu

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 472
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +36/-2
Re: ทัณฑ์กามเทพ -- Ver. Rewrite (บทที่ 1: 1/2/58)
«ตอบ #4 เมื่อ01-02-2015 15:59:02 »

 เป็นกำลังใจให้ และจะรอติดตามตอนต่อไป

ออฟไลน์ mukmaoY

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 3956
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +145/-7
Re: ทัณฑ์กามเทพ -- Ver. Rewrite (บทที่ 1: 1/2/58)
«ตอบ #5 เมื่อ01-02-2015 17:38:19 »

 :impress2:
รอตอนโตแทบไม่ไหว

ออฟไลน์ Aislin

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 196
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +27/-1
ทัณฑ์กามเทพ -- Ver. Rewrite (บทที่ 2: 2/2/58)
«ตอบ #6 เมื่อ02-02-2015 21:00:15 »


เช้าวันต่อมา วิศรุตกับนภัทรก็ยังคงต้องเจอหน้ากันในห้องเรียนเช่นเดิมเหมือนทุกวัน แต่วิศรุตรู้สึกได้ว่านภัทรไม่ยอมมองหน้าเขาเลย  คงเป็นเพราะเรื่องเมื่อวานที่เขาไปกวนโทสะอีกฝ่ายจนโกรธหน้าดำหน้าแดงเสียขนาดนั้น จนถึงขนาดจะเรียกเขาไปคาดโทษในห้องกรรมการนักเรียนเลยทีเดียว

ชั่วโมงพักกลางวันของวันนี้มาเร็วเหลือเกินในความคิดของวิศรุต เมื่อเสียงออดหมดเวลาเลิกเรียนคาบเช้าดังขึ้น  เพื่อนในห้องต่างพากันกระวีกระวาดรีบลุกจากโต๊ะเพื่อรีบออกไปต่อแถวซื้อข้าวกลางวันที่โรงอาหารเพราะรู้ดีว่าถ้าไปช้าจะต้องรอคิวยาวอย่างแน่นอน วิศรุตมองไปทางนภัทรและเห็นว่าฝ่ายนั้นกำลังเดินตรงมายังโต๊ะที่เขานั่งอยู่พอดี เขาจึงบอกภาณุให้ไปก่อนได้เลยและฝากซื้ออาหารกลางวันเผื่อด้วย

   “กินข้าวเสร็จหวังว่าคงเห็นนายอยู่ที่ห้องกรรมการนักเรียนนะ” นภัทรพูดเสียงค่อยจนเกือบกระซิบใกล้ใบหูของเขา วิศรุตรับรู้ได้ถึงกลิ่นกายอันเปี่ยมไปด้วยความเป็นบุรุษเพศของนภัทรและนั่นทำให้เขาอยากเข้าใกล้ฝ่ายนั้นยิ่งขึ้นไปอีก

   “แล้วถ้าฉันไม่ไปล่ะ” เขาย้อนถาม แต่คู่สนทนาก็ไม่ยอมตอบอะไรแต่เดินตามเพื่อนคนอื่นๆออกไปยังโรงอาหารทันที



   หลังจากกินข้าวเสร็จก็เป็นเวลาเกือบบ่ายโมงแล้ว วิศรุตมองนาฬิกาเรือนหรูที่ข้อมือตน เหลือเวลาอีกครึ่งชั่วโมงกว่าก่อนที่ออดจะดังเพื่อเริ่มการเรียนคาบบ่าย เขาบอกภาณุว่าตัวเองจะไปห้องกรรมการนักเรียนซึ่งเพื่อนรักก็สงสัยว่าจะไปที่นั่นทำไมกัน เขาจึงต้องยอมอธิบายเรื่องเมื่อวานนี้ให้ภาณุฟังคร่าวๆ ขณะที่คนฟังมีสีหน้าระอากับพฤติกรรมของเพื่อนรัก
   แยกจากภาณุมาได้สักพัก วิศรุตก็เดินตรงไปยังสภากรรมการนักเรียนที่อยู่อีกตึกหนึ่งที่ค่อนข้างห่างจากโรงอาหารพอสมควร  ห้องประชุมงานของกรรมการนักเรียนอยู่ชั้นเจ็ดที่ค่อนข้างปลอดคนและไม่อนุญาตให้นักเรียนทั่วไปเข้ามาได้นอกจากจะได้รับอนุญาตจากอาจารย์หรือกรรมการนักเรียนเท่านั้น 

ชั้นเจ็ดของตึกนี้แบ่งเป็นหลายห้อง ทั้งห้องประชุมรวม ห้องพักผ่อนและห้องทำงานส่วนตัวของกรรมการนักเรียนแต่ละคน เป็นครั้งแรกที่วิศรุตรู้สึกว่าบางทีการเป็นกรรมการนักเรียนก็ได้สิทธิพิเศษแบบนี้นี่เอง เขาเดินตามโถงทางเดินไปเรื่อยๆก่อนจะมาหยุดที่หน้าห้องๆหนึ่งที่มีป้ายแขวนไว้ว่า นภัทร อิสรีย์

   วิศรุตมองผ่านกระจกเข้าไปด้านในจึงเห็นว่าเจ้าของห้องกำลังนั่งพิงเก้าอี้นวมตัวใหญ่หันหลังให้เขาอยู่ เขายกยิ้มที่มุมปากน้อยๆก่อนจะผลักประตูเข้าไปโดยไม่เคาะให้เสียเวลา ส่งผลให้ได้รับสายตาตำหนิว่าไม่มีมารยาทจากนภัทรแทนคำทักทายยามบ่ายเช่นนี้

   “ฉันกำลังรอนายอยู่พอดี”

   “มั่นใจจริงนะว่าฉันจะมา”

   “แล้วนายก็มาไม่ใช่เหรอ” อีกฝ่ายย้อนกลับ วิศรุตยิ้มนิดๆแต่ดวงตาไม่บ่งบอกอารมณ์ใดๆ เขาเองก็อยากจะรู้เหมือนกันว่าอีกฝ่ายจะทำอะไรเขาได้

   สมุดบันทึกความประพฤติเล่มบางกับปากกาถูกโยนมาตรงหน้าเขา วิศรุตไล่อ่านข้อความกล่าวโทษในสมุดเล่มนั้นที่เขียนไว้ว่า นายวิศรุต ทัดเทวาประพฤติตัวไม่เหมาะสมด้วยการแต่งกายไม่เรียบร้อยภายในห้องสมุดซึ่งเป็นสถานที่ราชการ

   “เซ็นชื่อซะ” นภัทรสั่งแต่วิศรุตกลับหัวเราะเสียงดังด้วยความขันกับข้อความที่ตนเพิ่งอ่านจบ แต่งกายไม่เรียบร้อยอย่างนั้นเหรอ

“นายขำอะไรวิศรุต”

   “ก็ขำไอ้นี่ไง” เขาชี้ไปที่สมุดนั้น “ทำไมนายไม่บันทึกลงไปตรงๆเลยล่ะว่าฉันทำผิดอะไร ฉันไม่ได้แค่แต่งตัวไม่เรียบร้อยอย่างเดียวนะ ฉันกับรุ่นน้องคนนั้นยัง...”

   “วิศรุต”

   “เมกเลิฟกันต่อหน้านาย” วิศรุตพูดต่อจนจบ แววตาโศกสีน้ำตาลชวนมองจ้องไปที่ใบหน้าเจ้าของห้องอย่างท้าทาย

   ปัง!

เสียงตบโต๊ะดังขึ้นตัดกับความเงียบของห้องเมื่อวิศรุตพูดจบ นภัทรลุกจากเก้าอี้มาจ้องหน้าคนปากดีไม่มียางอายอย่างวิศรุต ทัดเทวาด้วยความโมโหที่เริ่มจะเกินขีดจำกัดของความอดทนแล้ว ที่เขาไม่บันทึกตามเรื่องจริงแบบที่วิศรุตบอกก็เพราะเห็นแก่หน้าของอีกฝ่ายเพราะถึงยังไงก็เป็นเพื่อนร่วมห้องกันมาถึงห้าปี แต่เมื่ออีกฝ่ายท้าทายแบบนี้ก็ช่วยไม่ได้

   “รู้สึกว่านายจะชอบประจานความไร้ยางอายของตัวเองให้คนอื่นรู้จริงนะ” น้ำเสียงเหยียดของนภัทรทำให้วิศรุตสะอึก ทว่าก็แกล้งทำไม่สนใจแล้วยืดตัวลุกจากที่นั่งมาประจันหน้ากับอีกฝ่ายบ้าง

   “อันที่จริงฉันก็เป็นคนที่กล้าทำกล้ารับนะ ชอบผู้ชายก็แสดงออกตรงๆว่าชอบ มีเซ็กส์ก็บอกว่ามีเซ็กส์” คราวนี้มือของวิศรุตไม่อยู่นิ่ง ฝ่ามือเนียนแบบลูกคนมีเงินไล้ไปตามแผงอกกว้างของนภัทร แม้จะมีเสื้อนักเรียนขวางกั้นแต่วิศรุตก็สัมผัสได้ถึงจังหวะหัวใจที่เต้นรัวผิดปกติของอีกฝ่าย เขาลอบหัวเราะในลำคอก่อนจะไล้มือลงต่ำจนถึงขอบกางเกงนักเรียน สัมผัสที่เริ่ม หยาบโลนช่วยปลุกให้สติของนภัทรกลับคืนมาหลังจากที่อึ้งไปกับความหาญกล้าของคนตรงหน้า

“จะทำอะไร” นภัทรยึดข้อมือของวิศรุตเอาไว้ก่อนที่มันจะเลื่อนลงต่ำไปมากกว่านี้

   “หวั่นไหวเหรอ” คำถามสั้นๆทำให้คนถูกถามหน้าตึงเพราะเข้าใจดีว่าอีกฝ่ายหมายความว่าอะไร “ตรงนี้ของนายมันบอก” มืออีกข้างของวิศรุตที่ไม่ได้ถูกเกาะกุมเลื่อนไปวางที่ตำแหน่งตรงหน้าอกด้านซ้าย

   นภัทรปัดมือทิ้งก่อนจะเปลี่ยนมายึดกุมข้อมือสองข้างของวิศรุตแน่นแล้วใช้ไหล่กว้างของตนดันเบียดให้แผ่นหลังของอีกฝ่ายปะทะเข้ากับผนังห้องทำงานอย่างแรง จากนั้นก็ใช้ท่อนแขนหนาแข็งแรงอย่างนักกีฬาคร่อมเอาไว้เพื่อกันไม่ให้วิศรุตหนีไปไหน

   “คราวนี้คงเป็นทีของฉันที่จะต้องถามว่านายจะทำอะไร” ไม่มีท่าทีหวาดกลัวหรือตกใจในอาการที่เปลี่ยนไปของนภัทร ลึกๆเขาออกจะพอใจด้วยซ้ำที่ได้อยู่ในอ้อมแขนของนภัทรแบบนี้ แม้ว่าเจ้าตัวจะอยู่ในอารมณ์โกรธเกรี้ยวก็ตามที

   “ฉันไม่ทำอะไรแบบที่นายคิดก็แล้วกัน เพราะว่าฉันไม่ได้วิปริตผิดเพศอย่างนาย” คำพูดของนภัทรทำให้วิศรุตกัดฟันแน่น คำก็รังเกียจ สองคำก็วิปริตผิดธรรมชาติ เขาอยากรู้จริงๆว่าถ้าวันใดวันหนึ่งนภัทรเกิดหลงรักเขาขึ้นมา คนตรงหน้าจะยังพูดกับเขาแบบนี้อีกไหม วิศรุตยิ้มขื่นให้กับความคิดที่ไม่มีวันเป็นจริงได้ของตัวเอง

   “นายยังไม่เคยลองกับผู้ชาย อยากลองดูไหมล่ะ เผื่อจะเปลี่ยนความคิด” วิศรุตเบียดกายแนบชิดเข้าหาคนตรงหน้าจนแผ่นอกของทั้งคู่สัมผัสกัน นภัทรตัวสูงและไหล่กว้างกว่าเขาเล็กน้อย วิศรุตใช้สองมือโอบรอบคออีกฝ่ายก่อนแกล้งเป่าลมหายใจร้อนๆใส่บริเวณกกหูของนภัทร อาการกลืนน้ำลายของคนตรงหน้าทำให้เขารู้ได้ไม่ยากเลยว่าอีกฝ่ายยังไม่เคยกับ ประสบการณ์ในเรื่องเพศแบบนี้ แต่นั่นไม่ใช่ปัญหาเพราะวันนี้เขาจะช่วยสอนให้เอง วิศรุตเบียดร่างกายท่อนล่างเข้าหาอีกฝ่าย ให้นภัทรได้รับรู้ว่าตอนนี้สัดส่วนความเป็นบุรุษเพศของเขามันร้อนรุ่มและกำลังขยายตัวจากปกติ

   นภัทรตาปรือก่อนใช้สองมือลูบคลำสะโพกเนียนแล้วกดมันให้แนบชิดกับร่างกายของเขายิ่งกว่าเดิม การตอบสนอง จากนภัทรทำให้วิศรุตตื่นเต้น นี่อีกฝ่ายก็มีอารมณ์ร่วมไปกับเขาอย่างนั้นเหรอ? นภัทรเลื่อนมือหนาขึ้นมาไล้ไปตามใบหน้าหล่อเหลาของวิศรุต ใบหน้างดงามนี้เย้ายวนใจไม่ว่าจะเพศเดียวกันหรือเพศตรงข้าม เขาเป็นผู้ชายเหมือนกับอีกฝ่ายก็ยังอดยอมรับไม่ได้ว่าวิศรุตเป็นผู้ชายที่แทบจะเรียกว่าหล่อโดยสมบูรณ์แบบจริงๆ

   พลันความอ่อนโยนจากการสัมผัสที่ใบหน้าของวิศรุตก็หายไปในแทบจะทันที ดวงตาสีถ่านเปลี่ยนจากปรือปรอยเป็นเจิดจ้าและคมกริบ มือที่สัมผัสบนใบหน้าของวิศรุตเปรียบเหมือนคีมเหล็กที่แทบจะบีบใบหน้าของเขาให้บิดเบี้ยวก็ไม่ปาน  นภัทรมองคนตรงหน้าก่อนจะคลี่ยิ้มเย็น วิศรุตไม่ได้รู้สึกเจ็บที่นภัทรใช้สองมือบีบใบหน้าของเขาให้เหยเก แต่สิ่งที่เขาเจ็บคือคำพูดเชือดเฉือนของอีกฝ่ายต่างหาก

   “ถ้านายร่านและต้องการเซ็กส์ถึงขนาดนี้ ฉันคงช่วยนายไม่ได้หรอก เพราะอย่างที่บอกไปว่าฉันไม่ได้ชอบผู้ชาย และยิ่งผู้ชายแบบนายด้วยละก็” นภัทรเว้นระยะห่างครู่หนึ่งก่อนเอ่ยออกมาช้าๆแต่ว่าบาดใจคนฟังเหลือเกิน “ฉันยิ่งเกลียดเข้าไปใหญ่” พูดจบก็คลายมือออก ดวงตาสีดำสนิทสบกับดวงตาโศกคู่นั้นอย่างเย็นชา นภัทรหันกลับไปหยิบหนังสือเรียนบนโต๊ะก่อนจะเอี้ยวหน้ามาบอกวิศรุตที่ตอนนี้กำลังยืนนิ่งเม้มปากแน่น

   “เรื่องสมุดความประพฤตินายก็จัดการเองก็แล้วกัน อยากจะบรรยายว่าตัวเองเป็นยังไงก็เชิญตามสบาย” พอนภัทรออกจากห้องไปแล้ว วิศรุตก็รู้สึกว่าตัวเองหมดแรงขึ้นมาทันที เขาทรุดลงไปกองกับพื้นตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้ รู้ตัวอีกทีน้ำตาหยด แรกก็ร่วงลงมากระทบข้างแก้มเสียแล้ว



   นภัทรกลับมาที่ห้องเรียนอีกครั้งทันเวลาคาบบ่ายพอดี เขามองไปยังที่นั่งประจำของวิศรุต พอดีเจอกับสายตาที่จ้องมาที่ตัวเองของภาณุ เขาทำเป็นไม่สนใจสายตานั้นก่อนจะนั่งลงที่โต๊ะแล้วเปิดหนังสือเริ่มเรียนต่อ เขาเรียนในชั่วโมงชีววิทยาวันนี้ไม่เข้าใจเลยเหมือนกับว่าฟังเท่าไหร่ก็ไม่เข้าหัว ทั้งๆที่วิชานี้เป็นวิชาโปรดของเขา ตลอดคาบเรียนเขาชอบพานนึกไปถึงวิศรุต นภัทรเองก็หาคำตอบไม่ได้เช่นกันว่าทำไมตัวเองถึงต้องเกลียดวิศรุตด้วย จริงอยู่ว่าเขาไม่ชอบพวกรักร่วมเพศแต่ก็ไม่ได้ถึงกับเกลียดอะไรนักหนา คงเป็นเพราะนิสัยส่วนตัวของฝ่ายนั้นกระมังที่ทำให้เขาไม่ชอบใจ

ตอนอยู่ม.ต้น เขาก็ไม่ได้รู้สึกอคติกับวิศรุตเท่าใดนักเพราะถึงอย่างไรก็ยังถือว่าอีกฝ่ายเป็นเพื่อนอยู่ดี แม้ว่าลึกๆแล้วตัวเองจะไม่ค่อยอยากไปยุ่งเกี่ยวกับพวกชอบไม้ป่าเดียวกันก็ตาม ตอนขึ้นม.ปลายเขานึกว่าจะไม่ต้องมาอยู่ห้องเดียวกัน ไม่ต้องทนเจอหน้าฝ่ายนั้นทุกวันอีกแล้ว แต่เหมือนโชคชะตาที่เล่นตลกเหลือเกินจึงทำให้ทั้งเขาและวิศรุตต้องมาอยู่ห้องเดียวกันอีกครั้งจนได้ ทั้งที่ตอนม.ต้น เขาค่อนข้างมั่นใจว่าคะแนนและความสามารถด้านการเรียนแบบวิศรุตคงไม่มีทางสอบเข้าเรียนในสายวิทย์-คณิตได้แน่นอน แต่ฝ่ายนั้นก็ทำได้ ซึ่งเป็นเรื่องที่อยู่เหนือการคาดหมายของเขาค่อนข้างมาก

   การกระทำของวิศรุตเมื่อตอนอยู่ในห้องกรรมการนักเรียนทำให้เขาอดรู้สึกสะอิดสะเอียนไม่ได้ สัมผัสหยาบโลนของอีกฝ่ายทำให้เขารู้สึกขยะแขยงและรังเกียจอย่างบอกไม่ถูก แม้จะรู้ดีว่าถ้อยคำบางคำที่เขาพูดออกไปมันทำให้อีกฝ่ายรู้สึกแย่เพียงใดแต่เขาไม่มีทางเลือก ถ้าหากไม่พูดออกไปตรงๆว่ารังเกียจฝ่ายนั้น วิศรุตอาจจะยังคอยตามตอแยเขาอยู่ก็ได้ พูดไปซึ่งๆหน้าแบบนี้เขายังรู้สึกสบายใจมากกว่าการที่จะต้องมาคอยปะทะคารมแบบไม่จบไม่สิ้น แม้ว่าครั้งนี้อาจจะทำให้เขาต้องเสียเพื่อนที่ชื่อวิศรุต ทัดเทวาไปก็ตาม

   “ไอ้วินไปไหน มันบอกฉันว่าจะไปหานายที่ห้องกรรมการนักเรียน” ภาณุเดินมาถามเขาหลังจากหมดคาบเรียน คงจะสงสัยว่าทำไมเพื่อนสนิทตัวเองถึงไม่เข้าเรียนวิชานี้

   “ไม่รู้สิ ฉันไม่ได้ออกมาพร้อมกับเพื่อนของนาย ฉันออกมาก่อน” นภัทรพูดเรียบๆก่อนจะจัดของเตรียมย้ายไปเรียนยังอีกตึกหนึ่งเพราะยังเหลือวิชาสุดท้ายก่อนที่การเรียนวันนี้จะสิ้นสุดลง

   ภาณุมองหน้านภัทรอย่างสงสัยก่อนนิ่งคิดอะไรบางอย่าง เด็กหนุ่มรีบวิ่งออกไปจากห้องทันที มุ่งหน้าไปยังห้องกรรมการนักเรียนโดยหวังว่าเพื่อนของเขาคงจะยังอยู่ที่นั่น ดูจากสีหน้าของนภัทร เขาคิดว่าคงต้องมีเรื่องอะไรเกิดขึ้นแน่ๆ และคนที่เจ็บปวดก็คงหนีไม่พ้นวิศรุตอย่างแน่นอน

   เมื่อไม่เจอวิศรุตที่ห้องกรรมการนักเรียน ภาณุก็ยิ่งร้อนใจ เขาตามหาวิศรุตไปทั่ว ทั้งตามตึกเรียนต่างๆ ห้องแล็ป โรงยิม โรงอาหาร จนมาถึงที่สุดท้ายก็คือดาดฟ้าของโรงเรียน เพื่อนของเขาอยู่ที่นั่นจริงๆ ภาพวิศรุตที่กำลังนอนแผ่หราปล่อยให้แสงอาทิตย์ยามบ่ายอาบไล้ทั่วร่างกายอย่างไม่กลัวผิวเสียทำให้ภาณุอดถอนหายใจแรงไม่ได้ เด็กหนุ่มสาวเท้าเข้าไปใกล้ ใจก็อยากจะถามว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่แต่วิศรุตชิงยิงคำถามขึ้นมาเสียก่อน

   “แกว่าฉันโง่ไหมวะ” วิศรุตถามโดยไม่หันหน้ามามอง ภาณุเลยไม่เห็นสีหน้าของอีกฝ่าย ถึงแม้ว่าเขาจะเป็นเพื่อนกับวิศรุตมานานแต่บางครั้งเขาก็ไม่อาจคาดเดาอารมณ์ของเพื่อนรักได้เลย

   “แกเนี่ยนะโง่ แกฉลาดเป็นกรดจะตาย” คนถูกถามพูดติดตลก แต่อีกฝ่ายไม่ขำด้วย

   “วันนี้ฉันทำเรื่องโง่ๆอีกแล้ว”

   “แกทำเรื่องโง่อะไรล่ะ ไหนลองเล่าให้ฉันฟังซิ” ภาณุนอนราบไปกับพื้นข้างวิศรุต เขาเข้าใจความรู้สึกของเพื่อนรักดี เขาก็แค่อยากจะช่วยแบ่งปันความทุกข์ของเพื่อนคนนี้บ้างเท่านั้นเอง

   วิศรุตเล่าเรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้นที่ห้องกรรมการนักเรียนให้ภาณุฟังรวมถึงที่นภัทรบอกว่าเกลียดเขาด้วย วิศรุตหัวเราะขื่นๆอย่างสมเพชตัวเองที่ถึงขนาดนี้แล้วก็ยังไม่ยอมตัดใจจากนภัทรเสียที เขาคงกลายเป็นคนโง่เพราะเรื่องบ้าๆแบบนี้แหล่ะแถมยังโง่มากๆเลยด้วย

   หลังจากฟังเรื่องทั้งหมดจนจบ ภาณุทั้งโกรธและสงสารวิศรุตในคราวเดียวกัน เขาไม่คิดว่าเพื่อนรักจะไปยั่วนภัทรถึงขนาดนี้เพราะวิศรุตก็รู้ดีว่านภัทรไม่ได้ชอบผู้ชาย ถ้าเขาเป็นฝ่ายนั้นก็คงจะต้องโกรธมากเป็นธรรมดา แต่อีกใจก็สงสารวิศรุตเพราะเด็กหนุ่มรู้ดีว่าคนตรงหน้าคงจะเจ็บปวดไม่น้อยกับข้อความเลือดเย็นชนิดตัดบัวไม่เหลือใยที่ได้รับจากนภัทรเป็นสิ่งตอบแทนความรักที่เพื่อนเขามีให้ตลอดเวลาห้าปีเต็ม

   “เศร้าแบบนี้ไม่สมเป็นแกเลยนะเว้ย ถ้าใครเค้ารู้ว่าวิศรุต ทัดเทวา เพลย์บอยตัวพ่อต้องมาเสียน้ำตาเพราะคนธรรมดาๆอย่างนภัทรแล้วล่ะก็ นายสิ้นชื่อก็คราวนี้แหล่ะไอ้วิน”

“นั่นสินะ ทำไมคนอย่างฉันต้องมาเสียน้ำตาเพราะคนไม่มีหัวใจแบบนั้นด้วย” คำพูดของวิศรุตทำให้ภาณุแปลกใจ ถ้าเพื่อนของเขาคิดจะตัดใจจากนภัทรก็คงดีไม่น้อย การมีชีวิตที่จมอยู่กับความรักที่หาทางออกไม่ได้มันเป็นเรื่องที่ทรมานจนเกินไปจริงๆ คนอย่างวิศรุต ทัดเทวามีทางเลือกตั้งมากมาย เพื่อนของเขาไม่สมควรจะเป็นตัวเลือก แต่สมควรที่จะเป็นผู้เลือกต่างหาก

“ฉันดีใจนะที่แกคิดจะตัดใจจากนภัทรเสียที แกจะได้เลิกเสียใจแบบนี้อีกไง”

“ฉันจะไม่ตัดใจ จะไม่ยอมแพ้และจะไม่มีวันเลิกชอบนภัทรเป็นอันขาด ต่อให้เขาเกลียดฉันแค่ไหนก็ตาม แกคอยดูเถอะ สักวันนึงฉันจะต้องทำให้ผู้ชายที่ชื่อนภัทร อิสรีย์หันมารักฉันให้ได้ ไม่ว่าจะต้องใช้วิธีไหนหรือต้องแลกกับอะไรก็ตาม” เสียงเยียบเย็นของวิศรุตลอยกระทบโสตประสาทของภาณุ เขารู้ว่าถ้าวิศรุตลั่นปากออกมาแล้วก็คงจะตั้งใจทำแบบนั้นจริงๆ เพื่อนคนนี้ของเขาเป็นคนหัวแข็งและไม่มีทางยอมเปลี่ยนความคิดง่ายๆแน่

ทั้งคู่นอนเคียงข้างมองฟ้ายามบ่ายแก่ๆด้วยกันจนตะวันลาลับขอบฟ้าไป ต่างคนก็ต่างจมอยู่กับความคิดของตัวเอง ภาณุเคยสงสัยมานานแล้วว่าสำหรับผู้ชายที่หน้าตาหล่อเหลา เพียบพร้อมไปทั้งรูปสมบัติและทรัพย์สมบัติ คนที่เป็นที่หมายปองของทั้งเพศเดียวกันและเพศตรงข้ามอย่างวิศรุต นิยามความรักของคนตรงหน้าคืออะไรกันแน่ วันนี้เขาเข้าใจอย่างชัดเจนแล้ว



วิศรุตกลับถึงบ้านทัดเทวาตอนหัวค่ำ เขาเดินลิ่วเข้าบ้านเพื่อจะตรงดิ่งไปยังห้องนอนของตน วันนี้เขาเหนื่อยมามากเกินพอแล้ว แต่ระหว่างที่เดินผ่านห้องรับแขกกลับถูกน้องสาวตัวดีเรียกเอาไว้เสียก่อน เธอบอกว่ามีเรื่องอยากจะคุยด้วย เขาเลยต้องหยุดฟังทั้งที่ใจอยากจะเดินหนีไปเต็มแก่เพราะรู้ดีว่าคงพูดดีด้วยกันได้ไม่เกินห้านาทีอย่างแน่นอน

เขากับศรารัตน์ผู้เป็นน้องสาวชอบมีเรื่องทะเลาะและขัดใจกันตั้งแต่เด็ก ความเพราะอายุที่ไล่เลี่ยกันทำให้ต่างฝ่ายต่างไม่มีใครยอมใครทั้งสิ้น บางทีศรารัตน์ก็นิสัยเหมือนเขาเสียจนน่ากลัว โดยเฉพาะนิสัยที่ว่าอยากได้อะไรก็ต้องได้ ทั้งคู่ถูกเลี้ยงดูมาแบบลูกคุณหนู ถูกตามใจจนเสียนิสัย และด้วยความที่อายุห่างกันแค่เพียงปีเดียวทำให้วิศรุตไม่ค่อยมีความรู้สึกหวงแหนและเอ็นดูศรารัตน์ในแบบที่พี่ชายควรมีมากนักและก็ไม่ได้ทำให้ศรารัตน์รักและเคารพวิศรุตในแบบที่น้องสาวควรจะปฎิบัติต่อพี่ชายเหมือนอย่างพี่น้องในครอบครัวอื่นๆเลย ตรงกันข้ามทั้งคู่กลับเป็นไม้เบื่อไม้เมากันตลอดเวลา ขนาดตัวเขายังไม่อยากจะเชื่อเลยว่าตัวเองกับน้องสาวจะเป็นพี่น้องร่วมสายเลือดเดียวกันจริงๆ

“วันนี้ฉันเหนื่อยมาก มีอะไรก็รีบๆพูดมา” วิศรุตโยนกระเป๋านักเรียนหนังแท้ราคาแพงของตนไปบนโซฟาอย่างไม่คิดถนอมก่อนจะทรุดตัวนั่งไขว่ห้างที่โซฟาอีกฝั่งหนึ่งเพื่อประจันหน้ากับน้องสาว
ศรารัตน์ปิดนิตยสารแฟชั่นที่อ่านค้างไว้ก่อนจะวางมันลงบนโต๊ะกระจกที่เข้าชุดกับโซฟารับแขกสีครีมแล้วก็เริ่มเอ่ยเข้าเรื่องทันที เธอก็ไม่อยากเสียเวลาอ้อมค้อมเช่นกัน

“เมื่อตอนเย็นคุณพ่อกับคุณแม่โทรศัพท์มา” พ่อกับแม่ของเขาตอนนี้ไปทำธุรกิจอยู่ที่เมืองนอก ไปครั้งหนึ่งก็จะไปหลายนานเดือน ซึ่งปกติท่านก็จะโทรศัพท์กลับมาที่บ้านเป็นประจำอยู่แล้ว แต่วันนี้คงมีเรื่องบางอย่าง ไม่อย่างนั้นศรารัตน์คงไม่มานั่งรอเขากลับบ้านเพื่อบอกเรื่องนี้เป็นกรณีพิเศษหรอก

“เห็นคุณพ่อกับคุณแม่บอกว่าตอนนี้กิจการที่นั่นกำลังไปได้สวยแล้วก็เริ่มจะเป็นรูปเป็นร่างมากขึ้น อีกอย่างธุรกิจที่ไทยก็ไม่มีอะไรน่าห่วงแล้ว ทุกอย่างก็ลงตัวดีเพราะมีญาติๆช่วยกันบริหาร คุณพ่อคุณแม่ท่านก็เลยอยากจะไปจับงานที่เมืองนอกอย่างเต็มตัว ก็เลยอยากให้เราสองคนย้ายไปเรียนต่อที่นั่นด้วยเลย” คำพูดของศรารัตน์ทำให้วิศรุตตัวชาวาบ ปุบปับมาบอกให้เขาย้ายไปเรียนต่อเมืองนอกเขาเองก็ทำอะไรไม่ถูก ถ้าเขาต้องย้ายไปจริงๆแล้วเรื่องทางนี้ล่ะ เรื่องของนภัทรเขาจะทำอย่างไรดี

“เมื่อไหร่ ฉันหมายถึงเราต้องย้ายไปเมื่อไหร่”

“นี่ก็ช่วงใกล้สอบไล่แล้ว ฉันคิดว่าคุณพ่อกับคุณแม่คงจะรอให้สอบไล่จนเสร็จนั่นแหล่ะถึงค่อยให้ย้ายที่เรียน”

เหลืออีกสองอาทิตย์เท่านั้นก่อนที่การสอบไล่จะเสร็จสิ้น สองอาทิตย์เท่านั้นที่เขาจะได้มีโอกาสเจอหน้านภัทรก่อนที่เขาจะต้องเดินทางไปใช้ชีวิตและเรียนต่อยังอีกซีกโลกหนึ่งที่ห่างไกลจากเมืองไทยเหลือเกิน
ถ้าฉันไปแล้ว เวลาที่เราพบกันอีกครั้งนายจะยังจำฉันได้หรือเปล่านะ...

Aislin: มาอัพให้อย่างรวดเร็วค่ะสำหรับนิยายเรื่องนี้ บอกแล้วว่าจะมาอัพให้อย่างต่อเนื่อง ฮาๆๆ  ถ้าอ่านแล้วสนุกหรือไม่สนุกยังไง คอมเม้นท์บอกกันบ้างนะคะ รับรองว่า Aislin ได้อ่านทุกคอมเม้นท์แน่นอนค่ะ ^-^
   เดี๋ยวตอนหน้าแอบแง้มๆว่าพระ-นายจะมีโมเม้นท์อยู่ด้วยกัน แต่จะเป็นยังไงและอยู่ในสถานการณ์แบบไหน รอติดตามเน้อ แล้วเจอกันค่ะ


ออฟไลน์ mukmaoY

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 3956
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +145/-7
จริงๆยังดูไม่ออกว่าใครเป็นเมะเคะ55
เมะชนเมะใช่ป่าวคะ

ออฟไลน์ Aislin

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 196
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +27/-1
ทัณฑ์กามเทพ -- Ver. Rewrite (บทที่ 3: 2/2/58)
«ตอบ #8 เมื่อ04-02-2015 22:52:56 »


เมื่อวิศรุตเอาเรื่องนี้มาบอกกับภาณุ ฝ่ายนั้นมีท่าทีตะลึงงันเพราะคิดไม่ถึงว่าวิศรุตจะต้องไปเมืองนอกปุบปับเช่นนี้ วิศรุตจะออกเดินทางทันทีที่การสอบวิชาสุดท้ายเสร็จสิ้นลง การไปเรียนต่อเมืองนอกของวิศรุตก็หมายความว่าเขาคงไม่มีโอกาสได้เจออีกฝ่ายเป็นเวลานานทีเดียว สำหรับมิตรภาพระหว่างเขาและวิศรุตที่คบหาเป็นเพื่อนกันมานานหลายปีก็อดไม่ได้ ที่ภาณุจะรู้สึกใจหายเป็นธรรมดา

“ทำไมต้องรีบไปขนาดนั้นด้วยล่ะ” ภาณุถามวิศรุตที่กำลังเอาหน้าฟุบลงกับโต๊ะเรียนของตัวเอง

“ไม่รู้เหมือนกัน เห็นว่าพ่อกับแม่ฉันเค้าทำเรื่องเรียนต่อเอาไว้ให้เรียบร้อยแล้ว”

     “แล้วเรื่องคนๆนั้นล่ะ” คนๆนั้นในความหมายของภาณุก็คือนภัทร วิศรุตเงยหน้าขึ้นมามองคนที่กำลังถูกพูดถึงอยู่ ก่อนจะพบภาพเดิมๆที่เห็นจนชินตา นภัทรกำลังจมอยู่กับตำราเล่มหนาของตัวเองจนเขาคิดว่าฝ่ายนั้นคงจะอ่านท่องจำได้ขึ้นใจแล้วกระมัง

   “แกว่าฉันควรจะทำยังไงดีล่ะ” วิศรุตหาคำตอบให้กับตัวเองไม่ได้เลย ใจหนึ่งเขาก็ไม่อยากจะทิ้งและปล่อยเรื่องนภัทรเอาไว้แบบนี้ เขาไม่อยากจากไปท่ามกลางความรู้สึกที่ยังค้างคาในใจ แต่อีกใจหนึ่งเขาก็ไม่กล้า ถ้านภัทรรู้ว่าคนที่ตัวเองแสนเกลียดนักหนา คนที่ตัวเองชอบแสดงสีหน้าเย็นชาใส่ กลับเป็นคนที่หลงรักตัวเองมานานถึงห้าปีเต็ม ฝ่ายนั้นจะรู้สึกยังไงนะ จะยิ่งเกลียดเขามากกว่าเดิมหรือเปล่า

   “ฉันว่าควรจะบอกความรู้สึกของแกให้มันรู้ว่ะ อย่างน้อยแกก็จะได้โล่งใจแล้วก็เลิกอัดอั้นจะเป็นจะตายกับเรื่องนี้เสีย ทีเพราะอีกไม่นานแกก็ต้องไปแล้ว ปีหน้ามันก็คงจะต้องสอบเข้าเรียนต่อมหาวิทยาลัยที่นี่ อีกเมื่อไหร่ก็ไม่รู้กว่าจะได้มีโอกาสมาเจอกัน หรือไม่แน่มันอาจจะไม่วันนั้นอีกเลยก็ได้” คำพูดของภาณุทำให้วิศรุตที่กำลังลังเลอยู่ตัดสินใจได้เสียที มันคงจะเป็นอย่างที่เพื่อนของเขาว่า จะได้ไม่ต้องมีอะไรค้างคากันอีก ถึงแม้ว่าเขาจะรู้ดีว่าคำตอบของเรื่องนี้คืออะไรก็ตาม
เหลือเวลาอีกแค่สองอาทิตย์เท่านั้น…



   เวลาผ่านไปเร็วเหลือเกินในความคิดของวิศรุต การเรียนการสอนวันสุดท้ายจบลงแล้ว ช่วงอาทิตย์ที่ผ่านมานี้เขาดำเนินชีวิตไปตามปกติทุกอย่าง เรียนบ้างโดดบ้าง มีเซ็กส์เล่นๆกับพวกรุ่นน้องบ้างตามประสาเพลย์บอยเจ้าเสน่ห์  บางคืนก็ดื่มเหล้าเที่ยวผับไปเรื่อย ตัวเขาเองก็เบื่อชีวิตแบบนี้แต่สุดท้ายแล้วก็ไม่คิดจะเปลี่ยนแปลงมันให้ดีขึ้นอยู่ดี เพราะอยู่แบบนี้ก็มีความสุขไม่ได้ลำบากอะไร อีกอย่างก็ไม่รู้จะต้องเปลี่ยนทำไมและเปลี่ยนไปเพื่อใคร

   วันนี้วิศรุตกลับบ้านช้ากว่าปกติเพราะถูกเรียกไปอบรมที่ห้องฝ่ายปกครองฐานทำความผิดแอบสูบบุหรี่ในห้องน้ำชาย และบังเอิญอาจารย์พละมาพบเข้าพอดี แต่เนื่องจากคำว่าทัดเทวาที่ต่อท้ายชื่อของเขาอยู่ทำให้ถึงแม้เป็นอาจารย์ฝ่ายปกครองก็ไม่กล้าทำอะไรเขามากนัก ทำได้ก็แค่กักบริเวณตอนเย็นเท่านั้นเองเพราะถึงอย่างไรพ่อของเขาก็เป็นคนบริจาคเงินสร้างอาคารเรียนหลังใหม่ให้กับโรงเรียนแห่งนี้

   หลังออกจากห้องฝ่ายปกครอง วิศรุตเดินไปยังอาคารจอดรถที่อยู่ไม่ไกลจากประตูโรงเรียนนักเพื่อขับรถกลับบ้าน นักเรียนไม่ได้รับอนุญาตให้ขับรถยนต์มาที่โรงเรียน ถึงเขาไม่เคยสนใจกฎพวกนี้อยู่แล้ว แต่ก็ยังมีความเกรงใจอยู่บ้างก็เลยเลือกที่จะจอดเอาไว้ที่อาคารจอดรถสาธารณะโดยจ่ายค่าเช่าเป็นรายวันแทน แม้ว่าตัวเองจะอายุไม่ถึงวัยที่จะทำใบขับขี่ได้ตามกฎหมายก็ตามที
   ตอนนี้เป็นเวลาประมาณหกโมงเย็นกว่าๆ ชั้นประจำที่เขาเลือกจอดรถเป็นชั้นที่ค่อนข้างเป็นส่วนตัวเพราะเกือบจะถึงชั้นดาดฟ้าของอาคาร ไม่ค่อยมีใครเอารถมาจอดในชั้นนี้เพราะมันอยู่สูงซึ่งวิศรุตก็พอใจให้มันเป็นแบบนั้นเพราะในบางอารมณ์เขาก็อยากจะทำในสิ่งที่คนทั่วไปเขาไม่ค่อยทำกันเท่าใดนัก

ลานจอดรถเวลานี้เหลือรถที่จอดอยู่เพียงไม่กี่คันเท่านั้นเพราะใกล้จะถึงเวลาที่อาคารแห่งนี้จะปิดให้บริการแล้ว วิศรุตล้วงกุญแจออกมาจากกระเป๋ากางเกงก่อนสายตาจะเหลือบไปเห็นกลุ่มคนประมาณสี่ถึงห้าคนกำลังยืนล้อมคนๆหนึ่งอยู่กลางวง คนพวกนั้นอยู่ห่างจากเขาพอสมควร เขาจึงเห็นไม่ค่อยชัดว่าพวกนั้นกำลังจะทำอะไร แต่สมองก็เดาได้ไม่ยากว่ายกพวกมาแบบนี้คงจะเตรียมตัวมาเพื่อจัดการกับไอ้คนที่โชคร้ายยืนอยู่กลางวงแน่ๆ

ตอนแรกวิศรุตไม่คิดจะสนใจเพราะป่วยการที่จะต้องไปยุ่งเรื่องที่ไม่ใช่ของตัวเอง แต่เหยื่อที่โชคร้ายคนนั้นรูปร่างคุ้นตาเขาอย่างไรพิกล เขาจึงเดินเข้าไปใกล้อีกนิดก่อนจะเพ่งตามองจึงได้รู้ว่าที่รู้สึกคุ้นก็เพราะว่าฝ่ายนั้นเป็นเพื่อนร่วมห้องของเขานี่เอง แถมยังเป็นเพื่อนสนิทของนภัทรอีกด้วย

   “เงินที่ขอยืมไป ตกลงจะเบี้ยวไม่จ่ายใช่ไหม” คนที่ดูเหมือนจะเป็นหัวหน้ากลุ่มนักเลงพูดขึ้น

   “ผมขอผลัดไปก่อนได้ไหมพี่ ตอนนี้ผมไม่มีเงินจริงๆ ไม่เชื่อพี่ลองค้นตัวผมดูก็ได้” พงศธรพยายามคุมเสียงไม่ให้สั่น แม้ในใจจะรู้สึกกลัวแค่ไหนก็ตาม เขาไม่น่าคิดผิดไปกู้เงินนอกระบบจากพวกนี้เลย แต่จะทำอย่างไรได้ในเมื่อเขามีทางเลือกไม่มากนัก

   “มึงผลัดมาหลายรอบแล้ว ถ้าวันนี้ไม่มีเงินมาจ่ายก็เตรียมตัวไปนอนหยอดน้ำข้าวต้มในโรงพยาบาลได้เลย”

   “ผมขอเถอะพี่ ครั้งนี้ครั้งสุดท้ายจริงๆ แล้วผมจะรีบหาเงินมาคืนให้” พงศธรพนมมือคุกเข่าตรงหน้านักเลงพวกนั้น ก่อนจะอาศัยทีเผลอผลักนักเลงคนที่อยู่ใกล้สุดอย่างแรงแล้วใช้เท้ายันนักเลงอีกคนหนึ่งที่เข้ามาใกล้ ก่อนตัดสินใจวิ่งหนีแต่ก็ไม่รอดถูกฝ่ายนั้นล็อคแขนเอาไว้ได้ ด้วยจำนวนคนที่มากกว่าประกอบกับพงศธรเป็นพวกเด็กเรียนอยู่แล้วทำให้พงศธรไม่ใช่คู่ต่อสู้ของอีกฝ่ายเลย สองแขนของเด็กหนุ่มถูกล็อคเอาไว้ก่อนหมัดหนักๆจะสวนมาที่ท้องอย่างแรงจนเจ้าตัวจุกจนแทบลงไปกองกับพื้น

   “ทำเก่งจริงนะมึง จะหนีก็ต้องหนีให้รอดสิ ถ้าไม่รอดก็ต้องเจอดีแบบนี้” หัวหน้านักเลงชักมีดพับออกมาจากเอว พงศธรมองคมมีดนั้นด้วยสีหน้าซีดเผือด เด็กหนุ่มยังไม่อยากตายที่นี่ในสภาพแบบนี้

   จังหวะที่นักเลงคนนั้นกำลังจะแทงมีดเข้าใส่ร่างที่ถูกซ้อมจนยับเยินของพงศธร วิศรุตก็เข้ามาจัดการกับนักเลงคนนั้น ปลายมีดที่อยู่ในมือของนักเลงแฉลบไปจากร่างของพงศธรเล็กน้อยเพราะเจ้าของมีดถูกวิศรุตกระโดดถีบจนเสียหลัก หลังจากนั้นการต่อสู้ก็เริ่มขึ้นอีกครั้ง คราวนี้พวกที่เสียเปรียบกลับเป็นฝ่ายพวกนักเลงกระจอกแทน เพราะการต่อสู้มือเปล่ากับคนสี่ถึงห้าคนไม่ใช่เรื่องที่ยากเย็นเลยสำหรับวิศรุตที่เคยผ่านการเรียนต่อสู้มาหลายแขนงและยังมีประวัติการทะเลาะวิวาทในโรงเรียนอย่างโชกโชน โชคดีที่อีกฝ่ายไม่มีปืน ไม่อย่างนั้นเขาก็อาจจะมีสภาพเดียวกับพงศธรก็ได้

   ภายในเวลาไม่นานนัก นักเลงพวกนั้นก็ถูกวิศรุตเล่นงานจนหมอบ เขาเดินเข้าไปกลางวงเพื่อช่วยพยุงเพื่อนร่วมห้อง สภาพของพงศธรตอนนี้ไม่ถือว่าเลวร้ายเท่าใดนัก มีแค่แผลฟกช้ำไปทั่วตัวโดยเฉพาะบริเวณท้อง เด็กหนุ่มยังมีสติดีอยู่

   “วิศรุต นาย... มาได้ยังไง” พงศธรมองอีกฝ่ายด้วยสีหน้างุนงงเพราะไม่คิดว่าจะเจอกับวิศรุตที่นี่

   “อย่าเพิ่งพูดอะไรเลย นายลุกไหวหรือเปล่า” เมื่อเห็นว่าพงศธรยืนเองไม่ไหว วิศรุตก็เลยเข้าไปช่วยประคองคิดว่าจะพาอีกฝ่ายไปที่รถของเขา แต่ทันใดนั้นนักเลงคนหนึ่งที่รอจังหวะวิศรุตเผลอก็จะลอบเอามีดที่ตกอยู่มาแทงข้างหลังโทษฐานที่อวดดียุ่งไม่เข้าเรื่อง แต่พงศธรที่เห็นและร้องเตือนเสียก่อนจึงทำให้วิศรุตรอดไปได้อย่างหวุดหวิด ก่อนที่วิศรุตจะจัดการฝ่ายนั้นอีกครั้งจนคราวนี้ถึงขั้นลุกไม่ขึ้นเลยทีเดียว วิศรุตเก็บมีดพับเล่มบางมาไว้กับตัวก่อนจะเอ่ยด้วยเสียงที่เกือบเป็นการตะคอกใส่กลุ่มนักเลงคู่กรณี

   “เพื่อนฉันติดเงินพวกแกอยู่เท่าไหร่” นักเลงต่างมองหน้ากันเพราะไม่รู้ว่าเด็กหนุ่มตรงหน้าจะเอายังไงกันแน่ “ฉันถามว่าเพื่อนของฉันติดเงินอยู่เท่าไหร่”

   “แสนห้า” แม้จะตกใจเล็กน้อยกับจำนวนเงินที่อีกฝ่ายบอก แต่วิศรุตก็ควักกระเป๋าสตางค์ราคาแพงของตนออกมาก่อนจะนับหยิบแบงค์พันประมาณสิบใบส่งให้พวกนักเลง หรือเรียกให้ถูกคือปากับพื้นไปกองอยู่ตรงหน้านักเลงพวกนั้น

วิศรุตไม่ได้พกเงินสดมากมายนัก เขามักใช้บัตรเครดิตมากกว่า เงินสดทั้งหมดตอนนี้ของเขาก็มีอยู่ประมาณหมื่นกว่าบาทเท่านั้น ยังไงก็ไม่พอใช้หนี้ให้กับพงศธรได้อยู่ดี แต่หากเขาไม่ยื่นมือเข้าช่วย น้ำหน้าอย่างพงศธรก็คงจะไม่มีวันไปหาเงินมาใช้หนี้พวกนี้ได้หรอก วิศรุตถอนหายใจเฮือกก่อนจะยอมถอดนาฬิกาข้อมือเรือนแสนที่ซื้อมาจากเมืองนอกให้พวกนักเลงเป็นเครื่องไถ่หนี้แทนเงินสด

   “นาฬิกานี้เป็นแบรนด์ของแท้ ถ้าเอาไปขายคงได้ประมาณแสนกว่าๆ ก็ถือว่าเพื่อนของฉันหมดหนี้กับพวกแกแล้ว” วิศรุตเข้ามาช่วยประคองพงศธรไปที่รถของตัวเองก่อนจะสตาร์ตเครื่องขับออกจากตรงนั้นไปอย่างรวดเร็ว

   “ลูกพี่ ให้ตามไปไหม” ลูกน้องคนหนึ่งรีบถามเพราะไม่มั่นใจว่านาฬิกาในมือลูกพี่ของตนจะเป็นของแท้หรือไม่ ถ้าโดนหลอกมีหวังเจ้านายของตนเอาตายแน่

   “ไม่ต้องตามหรอก ลองไอ้หมอนี่กล้าจ่ายเงินหมื่นอย่างไม่คิดเสียดาย แสดงว่าบ้านมันคงมีเงินถุงเงินถังให้ถลุงมากพอดู นาฬิกานี้คงไม่ใช่ของปลอมหรอก” หัวหน้านักเลงพูดพลางมองนาฬิกาโรเล็กซ์ราคาเหยียบแสนในมือของตนเองด้วยความมั่นใจเต็มเปี่ยม



   “ขอบคุณมากนะที่นายมาช่วยฉัน แต่ว่าอันที่จริงนายไม่ต้องลำบากมาจ่ายหนี้แทนฉันก็ได้” พงศธรเอ่ยทำลายความเงียบหลังจากที่รถของวิศรุตแล่นออกมาจากอาคารจอดรถแล้ว วิศรุตแค่นเสียงหึในลำคอก่อนจะเอ่ยออกมาเรียบๆ

   “ถ้านายมีปัญญาหาเงินมาจ่ายเองได้ก็คงไม่ต้องมาเป็นกระสอบทรายให้พวกนั้นซ้อมหรอก” พงศธรหลุบตาลง มันเป็นอย่างที่วิศรุตพูดจริงๆนั่นแหล่ะ ถ้าเขาหาเงินมาใช้หนี้ได้ป่านนี้ก็คงไม่ต้องมาเจ็บตัวแบบนี้แล้ว “ว่าแต่ทำไมไปติดหนี้พวกนั้นเยอะขนาดนั้นล่ะ นักเรียนดีเด่นที่อยู่แต่ในกรอบอย่างนายมีเรื่องลำบากอะไรถึงต้องใช้เงินมากขนาดนั้นด้วย” วิศรุตอดถามไม่ได้เพราะเขาก็พอรู้มาบ้างว่าพงศธรก็เป็นนักเรียนเรียนดีเหมือนกับนภัทร แถมพงศธรยังได้ทุนเรียนดีเด่นจากทางโรงเรียนเกือบทุกปีเพราะเป็นนักเรียนที่ค่อนข้างขาดแคลนทุนทรัพย์ ถ้าหากหักค่าเทอมแล้วก็ยังมีเงินเหลือพอตัวที่จะให้ใช้จ่ายได้อย่างไม่ลำบาก ไม่น่าต้องถึงขนาดไปกู้เงินนอกระบบมาแบบนี้

   “ช่วงนั้นฉันจำเป็นต้องใช้เงินด่วนน่ะ แม่ของฉันป่วยต้องรับการผ่าตัดด่วน จะรอไม่ได้อีกแล้ว พ่อของฉันก็มีโรคประจำตัวที่จะต้องรักษาอย่างต่อเนื่อง พอไปทำเรื่องกู้กับแบงก์เขาก็ไม่อนุมัติเพราะไม่มีหลักประกันอะไรเลย ตอนนั้นฉันคิดอะไรไม่ออกก็เลยต้องไปยืมเงินพวกนั้น แล้วก็เป็นอย่างที่นายเห็นนั่นแหล่ะ”

   วิศรุตไม่พูดอะไรอีกตลอดทางที่ขับรถมาส่งพงศธรที่บ้าน เบื้องหน้าเขาคือทาวเฮาส์ที่ทั้งเล็ก ทั้งเก่าและโทรมสุดๆจนแทบเรียกได้ไม่เต็มปากว่าบ้าน เปรียบเทียบกับคฤหาสน์ทัดเทวาแล้ว ที่นี่ยังเล็กกว่าโรงจอดรถบ้านเขาเสียด้วยซ้ำ ตอนนี้วิศรุตเริ่มเข้าใจแล้วว่าทำไมพงศธรถึงต้องไปกู้เงินพวกนั้นมา ทำไมพงศธรถึงต้องพยายามเรียนให้ดีเด่นเพื่อจะได้ถูกเสนอชื่อเข้ารับทุนเรียนดีแต่ขาดแคลนทุนทรัพย์  ชีวิตของเขากับคนข้างๆช่างแตกต่างราวฟ้ากับดิน

   “ตอนนี้ถือว่านายเป็นเจ้าหนี้ของฉันแล้ว ฉันจะพยายามทำงานพิเศษหาเงินมาใช้นายให้ได้ แต่อาจจะต้องใช้เวลาหน่อย แต่ฉันมั่นใจว่าจะคืนให้แบบครบทุกบาททุกสตางค์อย่างแน่นอน” พงศธรพูดหนักแน่นจนเขาหลุดขำ เงินแค่นี้สำหรับเขาไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรเลย ไปเที่ยวเมืองนอกแต่ละครั้งเขายังใช้เงินมากกว่านี้เสียด้วยซ้ำ แต่เขาก็เลือกที่จะตัดปัญหาให้จบๆไปด้วยการพยักหน้าเป็นทำนองว่ารับรู้

   “สักวันหนึ่งนายคงได้ใช้หนี้ฉันแน่พงศธร”



   เขาเจอพงศธรในเช้าวันต่อมาซึ่งเป็นวันสอบวันแรก ฝ่ายนั้นมาในสภาพที่ดีกว่าเมื่อวานมากเพราะทำแผลมาเรียบร้อยแล้ว แม้ว่าตามใบหน้าจะมีรอยช้ำหลงเหลืออยู่หลายแห่งก็ตาม พงศธรเดินมาขอบคุณเขาเพราะนึกได้ว่าเมื่อวานตัวเองลืมเรื่องนี้ไปเสียสนิท วิศรุตเองก็ไม่ได้ติดใจอะไรเพราะถึงอย่างไรพงศธรก็ถือเป็นเพื่อนร่วมห้องของเขาและเป็นเพื่อนที่สนิทที่สุดของใครบางคน เขาก้มหน้าก้มตาอ่านทวนวิชาเคมีตรงหน้าแต่มันก็ไม่ได้ทำให้เขาจำได้ขึ้นมาบ้างเลยเพราะใจมัวแต่นึกถึงแต่ว่าเหลือเวลาแค่เพียงอีกสามวันเท่านั้นก่อนที่การสอบจะเสร็จสิ้น... สามวันสุดท้ายก่อนที่เขาจะต้องไปเรียนและใช้ชีวิตอยู่ที่ประเทศอังกฤษและก็คงจะไม่ได้เจอคนที่อยากเจออีก

   การสอบในวันนี้ผ่านไปเหมือนเช่นปกติในทุกๆครั้งที่มีการสอบ ความสามารถในการเรียนและศักยภาพในการทำข้อสอบของเขาก็ยังคงเท่าเดิม เคมี ฟิสิกส์ ชีววิทยายังคงเป็นวิชาที่ตามหลอกหลอนเขาอยู่ถ้าไม่นับวิชาอื่นที่เขาพอถูไถไปได้ ปกติถ้าทำไม่ได้เขาก็จะลอกภาณุที่นั่งสอบอยู่เลขที่ใกล้ๆกัน แต่คราวนี้เขาไม่มีอารมณ์จะทำแบบนั้น แค่คิดว่าเวลามันกำลังเดินถอยหลังเรื่อยๆเหมือนนาฬิกาทราย เขาก็ไม่มีกระจิตกระใจจะทำอะไรอีกแล้ว คงได้แต่ปล่อยให้มันเป็นแบบนี้ต่อไปเรื่อยๆจนกว่าเขาจะทำใจได้เอง


   วิศรุตนึกโมโหตัวเองที่ดันลืมแผ่นดิสก์ข้อมูลรายงานไว้ที่โรงเรียน ทั้งที่เขากลับไปถึงบ้านตั้งนานแล้ว แต่พอนึกได้ว่าลืมของเอาไว้ก็ต้องตีรถวกกลับมาอีกรอบ ถ้าไม่ใช่เพราะต้องแก้รายงานวิชาชีววิทยาของอาจารย์ป้ามหาโหดและต้องส่งภายในพรุ่งนี้แล้วล่ะก็ เขาไม่มีทางตีรถย้อนกลับเพื่อมาเอาแผ่นดิสก์แค่แผ่นเดียวเด็ดขาด เป็นความสะเพร่าของเขาเองที่ลืมเซฟข้อมูลลงเครื่องคอมพิวเตอร์ที่บ้านกันสำรองเอาไว้ด้วย ถ้ารายงานแก้เสร็จไม่ทันพรุ่งนี้ อาจารย์ป้าขู่ว่าจะไม่ให้เขาจบม.ห้าเด็ดขาด

   เมื่อนึกได้ว่าวางซีดีเอาไว้ตรงที่วางของใต้โต๊ะเรียนของตัวเอง วิศรุตก็รีบวิ่งขึ้นไปยังห้องเรียนที่อยู่ชั้นสี่ของตึกทันที ตอนนี้เป็นเวลาประมาณเกือบสองทุ่ม นักเรียนต่างก็กลับบ้านกันจนหมดแล้ว ถ้ายามจับได้ว่าเขาแอบปีนประตูรั้วโรงเรียนเข้ามาล่ะก็ งานนี้คงเป็นเรื่องใหญ่แน่ วิศรุตมองไปรอบตัวที่เริ่มมืดสนิทมีเพียงแสงไฟสลัวที่ลอดผ่านบานหน้าต่างบางบานที่ปิดไม่สนิทเท่านั้น เขารีบเข้าไปหยิบของที่ลืมเอาไว้ก่อนจะสะดุ้งเฮือกเมื่อหันกลับหลังมาพบกับนภัทรที่ยืนอยู่

   “นายมาทำอะไรน่ะ” นภัทรถามขึ้นมาก่อน เด็กหนุ่มมองวิศรุตที่กำลังถอนใจเฮือกใหญ่เพราะนึกว่าใครที่มาลับๆล่อๆอยู่ด้านหลังตน ที่แท้ก็นภัทรนี่เอง วิศรุตชูแผ่นดิสก์ให้อีกฝ่ายดูแล้วบอกว่าลืมทิ้งไว้ก็เลยกลับมาเอา ก่อนจะย้อนถามบ้างว่า นภัทรเองก็ลืมของเหมือนกันเหรอ

   “เปล่าหรอก พอดีว่าฉันอ่านหนังสืออยู่ที่โต๊ะหินริมสนามแล้วบังเอิญเห็นบางคนกำลังแอบปีนประตูหลังโรงเรียนเข้ามาน่ะสิ ฉันก็เลยตามมาดูก็เท่านั้น”

   “ทำตัวได้สมกับเป็นกรรมการนักเรียนจริงๆ” นภัทรวางหน้าเฉยกับคำค่อนขอดของวิศรุตก่อนจะเก็บหนังสือเรียนแล้วเดินนำออกไปจากห้อง วิศรุตเองก็รีบยัดแผ่นดิสก์เข้ากระเป๋าทันทีก่อนจะรีบตามออกไปเพราะไม่อยากถูกทิ้งให้อยู่คนเดียวในที่แบบนี้

   

ออฟไลน์ Aislin

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 196
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +27/-1
วิศรุตวิ่งตามนภัทรลงมายังชั้นหนึ่งก่อนจะพบว่าอีกฝ่ายกำลังยืนคิ้วขมวดอยู่ตรงบานประตูหน้าตึก ดูจากท่าทางของนภัทรเขาก็รู้แล้วว่าเกิดอะไรขึ้น เขากับนภัทรโดนขังอยู่ภายในตึกเรียนเสียแล้ว ยามคงคิดว่าไม่มีใครอยู่บนตึกแล้วก็เลยมาล็อคอาคารเรียนเพื่อกันขโมย แต่เขาและนภัทรกลับโชคร้ายที่ถูกขังแบบไม่รู้ตัวเช่นนี้ 

ตอนนี้วิศรุตอยากจะบ้าตายขึ้นมาจริงๆ  ถ้าไม่ติดเรื่องรายงานที่ต้องส่งพรุ่งนี้เขาคงจะนึกดีใจไม่น้อยที่ตัวเองได้ใกล้ชิดแบบสองต่อสองอย่างนี้กับนภัทร เขาลองใช้สองมือดันประตูกระจกอย่างแรงแต่ว่ามันถูกล็อคเอาไว้ สุดท้ายทำอะไรไม่ได้ก็เลยลงเอยด้วยการทุบกระจกระบายอารมณ์แทน

   “ต่อให้นายทุบจนกระจกแตก เราก็ออกไปไม่ได้อยู่ดีนั่นแหล่ะ ไม่เห็นเหรอว่าเขาล็อคประตูเหล็กด้านนอกทับอีกชั้นหนึ่ง” วิศรุตหยุดทุบกระจกแล้วหันมาพูดกับนภัทรที่ไม่มีท่าทีเดือดร้อนให้เห็น

   “นายก็ทำอะไรบ้างสิ ฉันไม่อยากโดนขังที่ตึกนี่จนถึงเช้าหรอกนะ ฉันยังต้องรีบกลับไปแก้รายงานให้เสร็จทันพรุ่งนี้”

   “พรุ่งนี้ก็ยังต้องสอบอีก ฉันก็อยากกลับบ้านไปอ่านหนังสือเหมือนกัน ไม่ได้นึกพิศวาสอยากจะโดนขังรวมกับนายหรอกนะ” คำพูดของนภัทรทำให้วิศรุตเบ้ปากอย่างหมันไส้ก่อนที่อีกฝ่ายจะนึกขึ้นได้ว่าควรจะโทรหาให้ยามเอากุญแจมาเปิดตึกให้ “นายเอามือถือมาหรือเปล่า จะได้โทรตามยามให้มาเปิดประตูให้เรา” นภัทรถามคนข้างๆเพราะมือถือของตนเองลืมทิ้งเอาไว้ในกระเป๋าเป้ ตอนตามวิศรุตขึ้นมาที่ตึกเรียนเขาไม่ได้เอาเป้ติดมาด้วย

   เมื่อเห็นทางรอดรำไร วิศรุตก็รีบล้วงเจ้าเครื่องมือสื่อสารออกมาจากกระเป๋ากางเกง พอกดเบอร์ยามจะโทรออก มือถือเจ้ากรรมกลับดับเพราะแบตฯหมดไปเสียอย่างนั้น

   “บ้าชิบ!”วิศรุตสบถออกมาอย่างขัดใจก่อนจะหย่อนมือถือที่ใช้การอะไรไม่ได้แล้วตอนนี้ลงกระเป๋ากางเกงตามเดิม นภัทรเองก็ถอนหายใจด้วยความผิดหวัง เด็กหนุ่มมองนาฬิกาที่ติดอยู่ริมผนัง เวลาเลยมาถึงเกือบสามทุ่มแล้ว ยิ่งเวลาผ่านไปเท่าใดก็ย่อมหมายถึงเวลาในการอ่านหนังสือเตรียมตัวสอบในวันพรุ่งนี้ของเขาสั้นลงเท่านั้น นภัทรหันมองวิศรุต ฝ่ายนั้นคงเริ่มเหนี่อยจากการทุบกระจกเป็นเวลานานก็เลยทรุดตัวลงนั่งที่ริมขอบประตูนั่นเอง ส่วนเขาเองก็ไม่ได้ทำอะไรได้ดีกว่าวิศรุตนัก สุดท้ายแล้วก็ต้องมานั่งพิงประตูด้วยความเซ็งเหมือนกับอีกฝ่าย

   “นายอยากสอบเข้าเรียนต่อที่ไหน” จู่ๆวิศรุตก็เอ่ยทำลายความเงียบขึ้นมาก่อน ไหนๆก็ต้องติดอยู่ที่นี่ไปไหนไม่ได้อีกแล้ว คงจะดีหน่อยถ้าไม่ต้องทนนั่งเงียบวังเวงกันอยู่แบบนี้ คนถูกถามลังเลเล็กน้อยก่อนจะยอมบอก

   “ศิริราช”

   “หมอเหรอ ทำไมถึงอยากเป็นล่ะ” อันที่จริงวิศรุตไม่ค่อยแปลกใจที่นภัทรคิดจะเลือกคณะนี้ เขารู้ว่าอีกฝ่ายมีผลการเรียนดีเยี่ยมมาตลอดและยิ่งเก่งมากในวิชาทางสายวิทย์โดยเฉพาะชีววิทยา ซึ่งต่างจากเขาโดยสิ้นเชิง ถ้าหากนภัทรคิดจะเรียนต่อทางสายนี้จริงๆก็คงจะไม่ยากเกินความสามารถของคนตรงหน้านัก อนาคตคงได้เห็นคุณหมอคนเก่งที่ชื่อนภัทร อิสรีย์ แต่สิ่งที่เขาอยากรู้มากกว่านั้นก็คือสาเหตุที่ทำให้อีกฝ่ายอยากเรียนหมอต่างหาก

   คำถามของวิศรุตทำให้ดวงตาสีถ่านไหววูบเล็กน้อย ก่อนที่เจ้าตัวจะเลี่ยงไม่ตอบคำถามนั้นเสียดื้อๆด้วยการย้อนถามวิศรุตด้วยคำถามเดียวกันกับที่อีกฝ่ายถามเขา วิศรุตมองหน้าคู่สนทนาก่อนตัดสินใจบอกเรื่องที่ตนต้องไปเรียนต่อที่เมืองนอกให้นภัทรรู้

   “ฉันจะไปเรียนต่อที่อังกฤษ”

   “อ้อ ลืมไปว่าบ้านนายรวย ลูกเศรษฐีอย่างนายก็คงหนีไม่พ้นการไปเรียนต่อเมืองนอกสินะ” วิศรุตสะอึกกับคำพูดของนภัทร ถ้าเลือกได้เขาเองก็ไม่อยากไปนักหรอก “ทำไมนายไม่เรียนป.ตรีที่ไทยก่อนล่ะ แล้วไปต่อป.โทก็ได้นี่นา” นภัทรก็ไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกันว่าทำไมต้องไปยุ่งเรื่องส่วนตัวของวิศรุตด้วยทั้งที่เขาออกจะไม่ชอบหน้าอีกฝ่ายแท้ๆ การที่ฝ่ายนั้นไปให้ไกลจากเขาเสียได้ก็สมควรเป็นเรื่องที่น่ายินดีถึงจะถูก แต่คำพูดถัดมาของวิศรุตก็ทำให้นภัทรถึงกับอึ้งไป

   “ฉันไม่ได้ไปตอนจบม.หกหรอก ฉันจะต้องไปในวันมะรืนนี้แล้ว ทันทีที่สอบวิชาสุดท้ายเสร็จ ฉันก็จะบินไปอังกฤษเลย” วิศรุตมองไม่เห็นสีหน้าของนภัทรตอนนี้เพราะว่ามันสลัวไปหมด เขาจึงไม่รู้ว่าอีกฝ่ายแสดงออกทางสีหน้าเช่นไร คงจะนึกยินดีที่เขาไปเสียได้กระมัง

   “ทำไมถึงเร็วแบบนี้” นภัทรเสียงเบาราวกับกระซิบ ทว่าคนฟังก็ยังได้ยินชัดเจน แต่กลับไม่เข้าใจความหมายที่อีกฝ่ายต้องการจะสื่อเลย นภัทรพูดเหมือนว่าไม่อยากให้เขาไป

   “นายคงคิดถึงฉันแย่เลย ไม่มีคนมาคอยกวนประสาทนายแล้ว ต่อจากนี้ไปนายก็คงเหงาน่าดูเลยล่ะ” ในใจของวิศรุตแอบภาวนาให้นภัทรตอบว่าใช่หรือว่าพูดอะไรก็ตามที่แสดงว่าอีกฝ่ายไม่อยากให้เขาไป แต่จนแล้วจนรอดนภัทรก็ยังคงเงียบเช่นเดิม คาดเดาไม่ได้เลยว่าฝ่ายนั้นกำลังคิดอะไรอยู่ ถ้าเขาบอกชอบนภัทรในตอนนี้ อีกฝ่ายจะว่าอย่างไรบ้างนะ ตอนนี้มีเพียงแค่เขากับนภัทรเท่านั้น ถ้าเกิดฝ่ายนั้นให้คำตอบที่เขากลัวมาตลอดแล้วเขาจะยังสู้หน้าอีกฝ่ายได้อีกเหรอ วิศรุตได้แต่ถามตัวเองในใจอยู่อย่างนั้น

   “ฉันมีเรื่องอยากจะบอกนาย” ปากของวิศรุตไวกว่าความคิดเสียอีก เมื่อสติรู้ตัวว่าตัวเองพูดอะไรออกมา มือของเขาก็เย็นเฉียบด้วยความตื่นเต้น ตั้งแต่เกิดมาเขายังไม่เคยบอกรักใคร นอกจากคนในครอบครัวแล้ว นภัทรก็ถือเป็นคนแรก ทั้งที่ปกติเขาจะเป็นฝ่ายถูกบอกรักจากคนอื่นเสมอ

   สีหน้านภัทรตอนนี้คงเต็มไปด้วยเครื่องหมายคำถาม อีกฝ่ายหยุดฟังในสิ่งที่เขากำลังจะพูด วิศรุตบอกกับตัวเองว่าไม่มีอะไรที่เขาจะต้องลังเลอีกต่อไปแล้ว

   “ฉัน... เอ้อ ฉันชอ...”

   “ฉันนึกออกแล้ว” จู่ๆนภัทรก็พูดขัดขึ้นมา สีหน้าฝ่ายนั้นกำลังยินดีเหมือนกับว่าคิดอะไรออก วิศรุตมารู้สึกตัวอีกทีก็ถูกลากให้ออกวิ่งตามฝ่ายนั้นไปชั้นสองเสียแล้ว

   “เดี๋ยวก่อน นายจะทำอะไรน่ะ” เขาหอบเล็กน้อยเมื่อวิ่งตามนภัทรขึ้นมาถึงชั้นสองของตึก คนที่ถูกถามไม่ยอมตอบแต่กลับรีบวิ่งเข้าไปในห้องเรียนที่อยู่ใกล้ที่สุดแล้วผลักหน้าต่างที่ปิดสนิทไว้ให้เปิดออก วิศรุตก็เลยพอจะเดาได้ว่าอีกฝ่ายจะทำอะไร “อย่าบอกนะว่าจะให้โดดลงไปน่ะ”

   “ใช่ กระโดดจากชั้นสองไม่ตายหรอก อีกอย่างห้องนี้ก็อยู่ติดกับสนามหญ้าพอดี รับรองว่านายได้ไปอังกฤษอย่างอาการครบสามสิบสองแน่” วิศรุตก้มมองจากหน้าต่างลงไปเบื้องล่าง แม้ว่าห้องนี้จะอยู่ชั้นสองแต่ก็สูงไม่ใช่เล่น เขาไม่มั่นใจอย่างที่อีกฝ่ายพูดเลยว่ากระโดดลงไปแล้วจะปลอดภัยหายห่วงแม้ว่าจะมีพื้นหญ้านุ่มๆช่วยรองรับกันกระแทกก็ตาม เมื่อเห็นวิศรุตเกิดอาการลังเล นภัทรก็รีบพูดดักคอเสียก่อน

“กับการแค่โดดจากชั้นสองก็ไม่กล้า แล้วทำไมถึงกล้าไปจัดการกับพวกนักเลงตั้งเยอะล่ะ” วิศรุตหันมามองอีกฝ่ายทันทีแล้วก็คิดว่าคงเป็นพงศธรที่เล่าเรื่องนี้ให้นภัทรฟัง เขากลืนน้ำลายเล็กน้อยก่อนปากแข็งไปว่าไม่ได้กลัวเสียหน่อย

   “ถ้าอย่างนั้นฉันโดดลงไปก่อนแล้วกัน” นภัทรปีนกรอบหน้าต่างแล้วกระโดดลงไปทันที ฝ่ายนั้นเป็นนักกีฬาอยู่แล้วก็ย่อมรู้จักวิธีกระโดดแบบผ่อนแรงให้สมดุล ดังนั้นการกระโดดจากชั้นสองจึงไม่ใช่เรื่องที่ยากนักสำหรับคนอย่างนภัทร และเมื่อยืนบนพื้นได้อย่างมั่นคงแล้ว นภัทรก็ให้สัญญาณกับวิศรุตให้กระโดดลงมาได้เลย ฝ่ายวิศรุตก็ลังเลเล็กน้อยแต่เมื่อนึกถึงรายงานที่ยังไม่เสร็จก็ตัดสินใจยอมใช้วิธีของนภัทร

   จังหวะที่กระโดดลงมา วิศรุตลงมาผิดท่า จากปกติที่ต้องเอาขาลง เด็กหนุ่มกลับเอาหน้าท้องลงปะทะพื้น นภัทรที่มองอยู่ก็ตกใจ ด้วยสัญชาตญาณจึงรีบถลาเข้าไปหาวิศรุตทันทีก่อนที่ร่างของอีกฝ่ายจะถึงพื้นเพียงนิดเดียว แรงจากการเข้าไปช่วยรับร่างของอีกฝ่ายทำให้นภัทรตัวเซก่อนจะล้มลงไปนอนกับพื้นหญ้าพร้อมคนในอ้อมแขนในท่าที่เขาถูกวิศรุตนอนทาบทับอยู่ด้านบน

   วิศรุตเองก็ตกใจไม่น้อยที่นภัทรเอาตัวเองมาช่วยรับเขาไว้ เขามองสบตานภัทร พอดีกับอีกฝ่ายก็มองมาด้วยแววตาสับสนยากจะอ่านได้ นี่เป็นครั้งที่สองที่เขาได้ใกล้ชิดกับนภัทรชนิดถึงเนื้อถึงตัวแบบนี้ โครงหน้าของนภัทรมีเค้าของความหล่อแบบคมคายแฝงอยู่ คิ้วเข้มสีดำสนิทรับกับดวงตาสีถ่านช่วยเพิ่มความโดดเด่นให้กับคนตรงหน้ายิ่งขึ้นไปอีก แค่คิดถึงตอนนี้วิศรุตก็รู้สึกว่าเขาเริ่มควบคุมตัวเองไม่ได้อีกแล้ว

   “นภัทร ฉันชอบนาย” คนถูกบอกชอบอึ้งไปนานหลายวินาทีก่อนจะผลักร่างของวิศรุตที่คร่อมตัวเองออกอย่างแรงแล้วก็ลุกขึ้นยืนทันที เขามองหน้าวิศรุตเหมือนกับว่าไม่เคยรู้จักฝ่ายนั้นมาก่อนในชีวิต คนตรงหน้าเขาต้องบ้าไปแล้วแน่ๆที่พูดอะไรออกมาแบบนี้ นภัทรได้แต่ยืนลูบหน้าแบบทำอะไรไม่ถูก เขาไม่เคยคิดมาก่อนในชีวิตว่าจะถูกบอกรักในสถานการณ์แบบนี้และยิ่งคำบอกรักนั้นออกมาจากปากคนที่เขาไม่เคยให้ความรู้สึกที่ดีด้วยเลยอย่างวิศรุต ทัดเทวา ที่สำคัญฝ่ายนั้นยังเป็นผู้ชายเหมือนกับเขาอีกด้วย
   นภัทรเดินตัวชาไปหยิบกระเป๋าเป้ที่ทิ้งไว้ที่โต๊ะหินริมสนาม สมองของเขากำลังตื้อไปหมดและคิดอะไรไม่ออกแล้วในตอนนี้ เด็กหนุ่มรู้แต่เพียงว่าเขาอยากหนีไปให้พ้นจากที่นี่ให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ สองเท้าของเขาก้าวยาวๆเพื่อต้องการจะไปให้พ้นจากสายตาคนตรงหน้า แต่วิศรุตก็ยังรั้งเขาไว้ด้วยคำพูดที่พรั่งพรูออกมาราวสายน้ำ

   “ฉันรู้ว่านายรังเกียจฉันมาก รู้ว่านายไม่ใช่คนที่ชอบเพศเดียวกันแบบฉัน รู้ว่านายคงเบื่อและอึดอัดที่ต้องมารับมือกับนิสัยร้ายกาจที่ฉันชอบแสดงใส่นายอยู่เสมอ แต่ฉันก็ไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกัน ฉันชอบนายมาตลอดตั้งแต่ม.หนึ่ง แม้จะผ่านมาห้าปีแล้วแต่ฉันก็ยังคงชอบนาย ได้ยินไหมนภัทร... ฉันชอบนาย” ท้ายประโยควิศรุตตะโกนจนเสียงสั่นพร้อมกับน้ำตาที่ไหลริน จากดวงตาโศกสีน้ำตาล อีกครั้งแล้วที่เขาต้องมาร้องไห้เพราะคนอย่างนภัทร แต่ฝ่ายนั้นก็ยังคงไม่หันมาอยู่ดี วิศรุตจึงได้แต่มองตามแผ่นหลังเหยียดตรงของนภัทรค่อยๆเดินห่างไปเรื่อยๆจนลับสายตาด้วยแววตาที่ฉ่ำน้ำ


คืนนี้นภัทรไม่มีสมาธิอ่านหนังสือเลย ใจของเขาวนเวียนคิดถึงแต่เรื่องที่วิศรุตพูด จะเป็นไปได้เหรอที่ฝ่ายนั้นจะพูดเรื่องจริง คนอย่างวิศรุต ทัดเทวาจะหาสักกี่คนมาเป็นคู่ควงก็ย่อมได้ แต่ทำไมฝ่ายนั้นถึงมาชอบเขาล่ะ แถมชอบมานานถึงห้าปี เขาเองไม่ได้มีอะไรที่น่าจะเป็นที่ถูกใจของวิศรุตเลย และที่สำคัญคือเขาไม่ได้ชอบผู้ชายด้วย

เรื่องวันนี้รบกวนใจของนภัทรจนทำให้เด็กหนุ่มไม่สามารถทนอ่านหนังสือต่อได้อีกแล้วแม้ว่าพรุ่งนี้จะต้องสอบก็ตาม นภัทรมองรูปถ่ายที่ใส่กรอบอยู่บนโต๊ะอ่านหนังสือของเขา มันเป็นรูปที่เขาเคยถ่ายคู่กับน้ำหวาน แฟนคนแรกตอนสมัยยังเรียนอยู่ม.ต้น แม้ว่าเรื่องของเขากับน้ำหวานจะผ่านมาหลายปีแล้ว แต่เขาก็ยังลืมเธอไม่ได้อยู่ดี นภัทรไล้ปลายนิ้วไปตามรูปถ่ายของน้ำหวานด้วยความรู้สึกที่อัดแน่นในใจจนพูดไม่ออก

   “ฉันควรจะทำอย่างไรดี” นภัทรพึมพำกับตัวเองเบาๆสักพัก ก่อนจะตัดสินใจปิดโคมไฟบนโต๊ะอ่านหนังสือแล้วล้มตัวลงนอนบนเตียง เรื่องของเขากับวิศรุตมันไม่มีทางเป็นจริงได้เพราะเขาไม่ได้รู้สึกพิเศษกับฝ่ายนั้นเลย แม้ว่าตอนนี้เขาจะไม่ถึงขั้นเกลียดฝ่ายนั้นแบบเมื่อก่อนแล้วก็ตามเพราะได้รับรู้ว่าวิศรุตก็มีด้านดีๆบ้างจากคำบอกเล่าของพงศธรที่อีกฝ่ายยื่นมือเข้าช่วยเพื่อนของเขาเอาไว้ไม่ให้ถูกพวกนักเลงทวงหนี้ทำร้าย แต่ก็ไม่รู้ว่าพรุ่งนี้เวลาเจอหน้าวิศรุต เขาควรจะทำหน้าอย่างไรดี ควรจะมองฝ่ายนั้นด้วยสายตาแบบไหน เขาไม่ใช่คนที่ชอบทำร้ายความรู้สึกของคนอื่นนักถ้าไม่จำเป็นจริงๆ แต่เรื่องของวิศรุตเขาไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากจะต้องทำแบบนี้ อีกสองวันวิศรุตก็ต้องไปเมืองนอกแล้ว ปล่อยให้เรื่องนี้จบไปแบบเงียบๆดีกว่า อันที่จริงเขาคิดว่ามันไม่สมควรจะเริ่มตั้งแต่แรกเสียด้วยซ้ำ


Aislin: สวัสดีค่ะ วันนี้มาอัพให้แล้วเน้อ ไม่ปล่อยให้ต้องรอนาน หวังว่าคงจะยาวแบบจุใจนะคะ ตอนนี้เป็นยังไงกันบ้างเอ่ย อ่านจบแล้วมาคอมเม้นท์ให้ฟังกันบ้างเน้อ ในที่สุดวินก็สารภาพรักกับกานต์แล้ว แต่ขอบอกว่านี่แค่เริ่มต้นเท่านั้น รับรองว่าเดี๋ยวหลังจากนี้เป็นต้นไป เนื้อหาและความเข้มข้นมาแบบจัดเต็มแน่นอน
   นักอ่านบางท่านถามว่าเรื่องนี้เป็นเมะชนเมะหรือเปล่า อันนี้ Aislin ก็ไม่แน่ใจว่าจะเรียกแบบนี้ถูกไหม แต่เอาเป็นว่าพระ-นายไม่ตุ้งติ้ง บอบบางค่ะ เรื่องนี้เน้นความเรียลพอสมควรเลย ยังไงฝากติดตามและเป็นกำลังใจให้ด้วยนะคะ ^-^


[/left]

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ Aislin

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 196
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +27/-1
ทัณฑ์กามเทพ -- Ver. Rewrite (บทที่ 4: 4/2/58)
«ตอบ #10 เมื่อ05-02-2015 23:15:45 »

   วันสอบวันที่สองก็ผ่านไปแบบไม่มีอะไรเกิดขึ้น วิศรุตสังเกตว่านภัทรเอาแต่หลบหน้าเขาตลอด ฝ่ายนั้นพยายามเลี่ยงเขาในทุกครั้งที่ต้องเผชิญหน้ากัน ตั้งแต่เขาบอกชอบฝ่ายนั้นไปเมื่อคืนวานทั้งคู่ก็ไม่ได้คุยกันอีกเลย ก่อนจะต้องไปพรุ่งนี้ เขาอยากมีโอกาสพูดคุยกับนภัทรอีกซักครั้ง แค่ครั้งเดียวก็ยังดี แต่ดูเหมือนว่านภัทรจะไม่ให้โอกาสเขาเลย

   และแล้ววันสอบวันสุดท้ายก็มาถึง วิศรุตทานอาหารเช้าด้วยอาการเหม่อลอยเฉยชาจนศรารัตน์ค่อนขอดว่าเขาทำหน้าอย่างกับผีตายซาก วันนี้วิศรุตไม่มีอารมณ์ทะเลาะกับผู้เป็นน้องสาวนักจึงหลีกเลี่ยงการต่อปากต่อคำกับอีกฝ่าย ข้าวของและเอกสารสำคัญของทั้งเขาและศรารัตน์ถูกส่งไปที่อังกฤษตั้งแต่เมื่ออาทิตย์ก่อน วันนี้ตอนออกเดินทางจึงไม่ต้องเตรียมอะไรมากนักเพราะว่าแม่ของเขาจัดการไว้หมดแล้ว ศรารัตน์มีท่าทางดีใจที่จะได้ไปเรียนต่อและใช้ชีวิตอยู่เมืองนอกต่างกับเขาที่ไม่ได้อยากจะไปเลยสักนิด แม้ว่าการไปคราวนี้อาจจะช่วยทำให้เขาลืมใครบางคนได้ก็ตาม

   วิศรุตมาถึงโรงเรียนก่อนเวลาเข้าสอบนิดเดียว เขาเห็นนภัทรกำลังเดินเข้าห้องสอบไปพร้อมกับพงศธร เขาเหม่ออยู่อย่างนั้นจนภาณุมาตบหลังบอกว่าได้เวลาเข้าห้องแล้ว เขาจึงได้รู้สึกตัว

เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็วจนกระทั่งมาถึงการสอบวิชาสุดท้ายของวันและเป็นการสอบวิชาสุดท้ายก่อนที่เขาและเพื่อนๆจะเลื่อนขั้นเป็นนักเรียนชั้นม.หกด้วย วิชาที่สอบคือภาษาอังกฤษซึ่งเป็นวิชาที่เขาถนัดที่สุด แต่วันนี้เขากลับทำอย่างเลื่อนลอยแบบขอผ่านไปที สายตาของเขามักจะมองไปยังนภัทรซึ่งนั่งสอบอยู่ไกลจากที่นั่งของเขาหลายแถว วิศรุตอยากจะนั่งมองอย่างนั้นต่อไปเรื่อยๆแม้ว่านภัทรจะไม่เคยหันมาก็ตาม เขายกนาฬิกาข้อมือขึ้นมาดู เหลืออีกครึ่งชั่วโมงก่อนจะหมดเวลาสอบ แต่เขาตัดสินใจที่จะส่งข้อสอบก่อนเป็นคนแรกของห้อง หลังจากส่งเสร็จแล้วอาจารย์ก็อนุญาตให้ออกจากห้องสอบได้ วิศรุตรู้สึกว่าตัวเองก้าวขาเหมือนกับคนไม่มีแรง เขาเดินผ่านนภัทรที่กำลังนั่งทำข้อสอบอยู่ ฝ่ายนั้นไม่สบตาเขาแต่กลับก้มหน้านิ่งเหมือนจะเพ่งมองให้กระดาษข้อสอบภาษาอังกฤษมันทะลุเสียอย่างนั้น วิศรุตเม้มปากแน่นก่อนเอ่ยเสียงเบาจนแทบไม่ได้ยิน

   “ลาก่อน”


   วิศรุตเดินไปตามทางเดินของตึกที่เงียบสนิทเพราะยังไม่หมดเวลาสอบ เขาอยากให้ทางเดินนี้ทอดยาวแบบไม่มีวันสิ้นสุด จะได้ไม่ต้องหยุดเดินเมื่อมาจนสุดทาง เขาเดินลงบันไดมายังชั้นหนึ่งซึ่งเป็นบริเวณสำหรับวางกระเป๋านักเรียนเพราะอาจารย์ไม่อนุญาตให้นักเรียนนำกระเป๋าเข้าไปในห้องสอบได้เหมือนอย่างคาบเรียนปกติ เด็กหนุ่มหยิบกระเป๋าของตัวเองขึ้นมาถือไว้ก่อนตัดสินใจทำอะไรบางอย่าง

   วิศรุตควานหาเศษกระดาษเปล่าภายในกระเป๋า แต่ก็คิดได้ว่าวันนี้เขาไม่ได้พกอะไรมาเลยนอกจากเครื่องเขียนและหนังสือเรียนภาษาอังกฤษ วิศรุตจึงตัดสินใจฉีกหนังสือเรียนออกมาหน้าหนึ่งก่อนจะใช้ปากกาเมจิกเขียนบางอย่างลงไปในกระดาษแผ่นนั้นแล้วเอาไปใส่ไว้ในเป้ของนภัทร อีกฝ่ายคงเห็นมันตอนที่เขาอยู่บนเครื่องบินแล้ว

   “ไอ้วิน... ไอ้วิน” เสียงภาณุที่ร้องเรียกจากด้านหลังทำให้วิศรุตหลุดออกจากภวังค์ เพื่อนสนิทของเขาวิ่งหน้าตื่นมาหา เหงื่อบนใบหน้าบ่งบอกว่าอีกฝ่ายคงต้องรีบวิ่งมาอย่างแน่นอน “ใจคอแกจะไม่รอฉันเลยเหรอวะ แกจะไปเงียบๆแบบไม่ร่ำลาฉันเลยเหรอไง” ภาณุอดน้อยใจไม่ได้ ตอนที่เขาเห็นวิศรุตลุกไปส่งข้อสอบกับอาจารย์ เขายังเหลืออีกหลายข้อที่ยังไม่ได้ทำจึงรีบเร่งมือให้เสร็จเร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ ทำถูกบ้างผิดบ้างก็ช่างปะไร เพราะสอบตกก็แค่มาสอบซ่อมก็เท่านั้น แต่เขาอยากจะมาส่งวิศรุตให้ทันมากกว่า “แกต้องไปเมื่อไหร่ แล้วจะไปยังไง” ภาณุถามแบบไม่รู้ว่าจะพูดอะไรดี เมื่อคืนเขาเตรียมคำพูดซึ้งๆไว้มากมายแต่พอมาตอนนี้กลับนึกไม่ออกซักอย่างเดียว

   “ฉันโทรบอกให้รถที่บ้านมารับแล้ว อีกไม่นานก็คงมาถึง” วิศรุตเองก็ไม่รู้จะพูดอะไรต่อดี ภาณุเป็นเพื่อนสนิทที่สุดของเขา เป็นคนที่รับตัวตนแท้จริงของเขาได้ เป็นคนที่คอยอยู่ข้างๆเวลาที่เขาเสียใจ เป็นคนที่ยิ้มดีใจไปกับเขาเวลาที่มีความสุข และที่สำคัญภาณุเป็นที่ปรึกษาและรับรู้เรื่องราวทุกอย่างระหว่างเขากับนภัทร




   ที่จริงนภัทรทำข้อสอบเสร็จตั้งนานแล้ว เสร็จพอดีที่วิศรุตเดินผ่านหน้าเขาไป แต่เขาเลือกที่จะนั่งอยู่อย่างนั้นไม่ยอมส่งข้อสอบเสียที เขาไม่กล้าออกไปเผชิญหน้ากับฝ่ายนั้นจึงเลือกที่จะรอให้เวลาผ่านไปเรื่อยๆจนกระทั่งหมดเวลาสอบ นภัทรลงมาที่ชั้นหนึ่งพร้อมกับพงศธร หูของเขาไม่ได้ฟังเรื่องที่เพื่อนสนิทพูดเลย พงศธรคงกำลังถามเขาและเทียบคำตอบในข้อสอบที่ตอบไปว่าตรงกับเขาบ้างไหม นภัทรรู้สึกว่าสมองเขาในตอนนี้มึนตื้อไปหมด คำบอกลาสั้นๆของวิศรุตทำให้หัวใจเขากระตุกขึ้นมา แค่คำเพียงสองพยางค์กลับมีอิทธิพลต่อความรู้สึกของเขาอย่างมากมาย ลึกๆแล้วใจของเขาคงอาจจะกำลังอาวรณ์กับการจากไปของวิศรุตตามประสาคนเคยอยู่ห้องเดียวกันมาตั้งห้าปีก็เป็นได้

   นภัทรเก็บเครื่องเขียนใส่กระเป๋าเป้ก่อนสายตาจะพลันเห็นของบางอย่างในนั้น มันเป็นกระดาษแผ่นไม่ใหญ่มากนักที่ถูกพับสองทบแล้วสอดเอาไว้ในหนังสือของเขา ถ้าปลายกระดาษไม่แฉลบออกมาเล็กน้อยจากปกหนังสือเขาก็คงจะไม่ทันสังเกตเห็น นภัทรดึงกระดาษแผ่นนั้นออกมาแล้วคลี่ออกดู ในกระดาษมีข้อความสั้นๆที่ถูกเขียนด้วยเมจิกสีดำว่า ‘ขอโทษ’ เพียงคำเดียวเท่านั้น นภัทรรู้ได้ทันทีว่าใครเป็นคนเอามายัดใส่ในเป้ของเขา... วิศรุต

   รู้ตัวอีกทีนภัทรก็พบว่าสองขาของตัวเองกำลังวิ่งออกจากตึกเรียน เขาวิ่งไปทั่วโรงเรียนอย่างคนบ้า นภัทรเองก็ไม่รู้ว่าทำไมตัวเองถึงเป็นแบบนี้ได้ทั้งที่ปกติเขาจะเป็นคนที่ควบคุมอารมณ์ได้เก่ง แต่ตอนนี้เขาอยากเจอวิศรุตเหลือเกิน คำขอโทษสั้นๆที่อีกฝ่ายเขียนใส่กระดาษให้เขามันอัดแน่นไปด้วยความรู้สึกของคนเขียนจนเขารู้สึกได้ ทำไมเขาจะไม่รู้ว่าวิศรุตต้องการจะสื่ออะไร ถ้าเดาไม่ผิดฝ่ายนั้นคงต้องการขอโทษในทุกเรื่องที่เคยทำไว้กับเขา ทั้งยั่วโมโหที่ห้องสมุด เรื่องน่าอับอายที่ห้องกรรมการนักเรียน รวมถึงเรื่องที่สนามหญ้าคืนนั้นด้วย ยิ่งคิดนภัทรก็ยิ่งเร่งฝีเท้า เขานอนคิดทั้งคืนในเรื่องที่เกิดขึ้นกับตนเองและวิศรุต ถึงแม้ว่าเขาจะไม่สามารถตอบสนองความรู้สึกแบบเดียวกันคืนกลับให้วิศรุตได้ แต่เขาก็ไม่อยากปล่อยให้ทุกอย่างมันค้างคาแบบหาทางออกไม่ได้เช่นนี้ เรื่องของเขากับฝ่ายนั้นควรจะกลายเป็นเศษเสี้ยวความทรงจำที่มีค่าในช่วงชีวิตม.ปลายของทั้งเขาและวิศรุต เขาไม่อยากต้องมาเสียใจทีหลังเหมือนกับเรื่องของน้ำหวานอีกแล้ว

   “ไอ้กานต์ แกจะรีบไปไหนวะ” พงศธรวิ่งตามมาดึงแขนเพื่อนสนิทเอาไว้ สีหน้าอีกฝ่ายเหนื่อยหอบเพราะเร่งฝีเท้าวิ่งตามเขามาติดๆ “เป็นบ้าอะไรวะเนี่ย”

   “ไอ้พงษ์ แกเห็นวิศรุตหรือเปล่า” นภัทรถามออกไปแม้ว่าจะรู้คำตอบอยู่แล้ว พงศธรจะเห็นวิศรุตได้อย่างไรในเมื่อคนตรงหน้าอยู่กับเขาตลอดเวลา และแล้วคำตอบก็เป็นอย่างที่คิดไว้ นภัทรเริ่มหมดหวังเพราะไม่รู้ว่าจะไปหาวิศรุตได้ที่ไหนดี ใจหนึ่งก็กลัวว่าฝ่ายนั้นจะเดินทางไปสนามบินแล้ว

“เอ้อ วิศรุตอาจจะอยู่ที่อาคารจอดรถใกล้ๆนี้ก็ได้ หมอนั่นชอบจอดรถไว้ที่นั่นประจำ” พงศธรคาดเดาเพราะนึกขึ้นได้ว่าวิศรุตเคยบังเอิญช่วยตนเอาไว้ตอนที่ถูกพวกนักเลงมาตามทวงหนี้ที่ลานจอดรถ แต่ตอนนี้นภัทรวิ่งไปแล้ว พงศธรเองก็ได้แต่งงว่าทำไมเพื่อนของตนต้องรีบร้อนขนาดนั้นด้วย เด็กหนุ่มส่ายหัวอย่างไม่เข้าใจอาการของเพื่อนสนิทก่อนจะหันหลังเดินกลับไปเอาของที่ทิ้งเอาไว้ตอนวิ่งไล่ตามนภัทรมา

ตอนเดินผ่านประตูโรงเรียนพงศธรก็บังเอิญเห็นภาณุกำลังพูดอะไรบางอย่างกับอีกคนอยู่ พอดีภาณุยืนบังอีกฝ่ายเอาไว้พงศธรก็เลยไม่เห็นว่าภาณุกำลังพูดอยู่กับใคร แต่เขาก็ค่อนข้างมั่นใจว่าน่าจะเป็นวิศรุตเพราะจำเจ้ารถยุโรปราคาแพงของเพื่อนร่วมห้องคนนี้ได้แม่นเลยทีเดียว

“นี่มันเรื่องอะไรกันวะเนี่ย” พงศธรบ่นในลำคอเพราะตัวเองเพิ่งบอกนภัทรไปว่าวิศรุตน่าจะอยู่ที่อาคารจอดรถ แต่ทำไมฝ่ายนั้นกลับมาอยู่ตรงหน้าเขาได้ล่ะเนี่ย

   เมื่อนึกได้ว่านภัทรมีท่าทางรีบร้อนต้องการหาวิศรุตอาจจะมีเรื่องสำคัญบางอย่างก็ได้ พงศธรจึงรีบโทรศัพท์ไปหาเพื่อนสนิททันทีเพราะดูท่าทางวิศรุตใกล้จะขึ้นรถที่มารอรับหน้าประตูโรงเรียนเต็มทีแล้ว



   “ฉันไปก่อนนะเว้ย” วิศรุตบอกลาภาณุเป็นครั้งสุดท้าย เขาไม่อยากยื้อเวลาอีกแล้วเพราะถึงอย่างไรก็ต้องไปอยู่ดีเพียงแต่ว่าจะช้าหรือเร็วเท่านั้น

   “เดินทางดีๆนะ นายกลับมาเมืองไทยเมื่อไหร่ก็มาเยี่ยมกันบ้าง” ภาณุกอดลาเพื่อนสนิทพร้อมตบหลังอีกฝ่ายเบาๆอย่างให้กำลังใจในทุกเรื่องเหมือนอย่างที่เขาชอบทำประจำ ฝ่ายวิศรุตเองก็กอดตอบอีกฝ่ายแนบแน่น ในใจรู้สึกขอบคุณและสัมผัสได้ถึงมิตรภาพที่เพื่อนคนนี้มีให้เขาเสมอมา

วิศรุตผละจากอ้อมแขนของเพื่อนรักก่อนมองไปยังเบื้องหน้าเป็นครั้งสุดท้าย เขาไม่ได้รู้สึกผูกพันกับโรงเรียนนี้มากนักแต่ที่เขารู้สึกอาลัยอาวรณ์ก็คือคนที่อยู่ในโรงเรียนนี้ต่างหาก ไม่มีใครรู้เรื่องที่เขาจะไปเรียนเมืองนอกมากนักยกเว้นอาจารย์ประจำชั้น ภาณุ แล้วก็นภัทร เขาไปเงียบๆแบบนี้แหล่ะดีแล้ว

   วิศรุตลาภาณุอีกสองสามคำก่อนจะก้าวขึ้นไปนั่งยังเบาะหลังของรถ เขาไม่อยากหันไปมองภาณุอีกเพราะกลัวว่าตัวเองจะกลั้นน้ำตาไว้ไม่ไหว เขาเกลียดบรรยากาศการจากลาเป็นที่สุด ยิ่งเป็นการจากคนที่รัก เขายิ่งรู้สึกเกลียด วิศรุตอดไม่ได้ ที่จะเหลียวหน้าไปมองกระจกหลังรถ หวังจะเห็นคนบางคนเป็นครั้งสุดท้ายแต่ก็คงได้แค่หวังเท่านั้นเพราะความหวังของเขามักสวนทางกับความเป็นจริงเสมอ เขาถอนใจบางๆก่อนจะสั่งให้คนขับออกรถได้เลย

   รถคันหรูค่อยๆแล่นออกไปช้าๆและเริ่มเร็วขึ้นเป็นลำดับ ภาณุคงกำลังโบกมือให้แต่วิศรุตไม่กล้าหันกลับไปอีกแล้ว

“ฉันรู้ว่านายรังเกียจฉันมาก รู้ว่านายไม่ใช่คนที่ชอบเพศเดียวกันแบบฉัน รู้ว่านายคงเบื่อและอึดอัดที่ต้องมารับมือกับนิสัยร้ายกาจที่ฉันชอบแสดงใส่นายอยู่เสมอ แต่ฉันก็ไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกัน ฉันชอบนายมาตลอดตั้งแต่ม.หนึ่ง แม้จะผ่านมาห้าปีแล้วแต่ฉันก็ยังคงชอบนาย ได้ยินไหมนภัทร... ฉันชอบนาย”

ฉันไม่รู้ว่าตัวเองจะชอบนายไปได้อีกนานแค่ไหน ฉันไม่รู้เลยจริงๆ



   นภัทรวิ่งกลับมาที่หน้าประตูโรงเรียนทันทีที่พงศธรโทรไปบอกเขา ในใจได้แต่ภาวนาขอให้มาทันเวลา แต่ในที่สุดเขาก็มาไม่ทัน ตอนที่เขาวิ่งมาถึงหน้าประตูโรงเรียน รถของวิศรุตก็แล่นออกไปออกไปจากซอยโรงเรียนพอดี เขามองด้านหลังของรถคันนั้นด้วยความรู้สึกที่บรรยายไม่ถูก กระดาษที่วิศรุตเอาไปยัดใส่ไว้ในกระเป๋าเป้ ตอนนี้มันถูกมือของเขากำเอาไว้จนยับยู่ยี่ ถ้าเขาคิดได้เร็วกว่านี้ก็คงจะดี คงจะได้มีโอกาสบอกก่อนที่ฝ่ายนั้นจะไป ฉันยกโทษให้แล้วนะ คำพูดนี้ดังซ้ำไปซ้ำมาในหัวของเขาแต่วิศรุตกลับไม่มีโอกาสได้ยินมัน


Aislin : สวัสดีค่ะ มาอัพให้อย่างว่องไวเช่นเดิม ขอบคุณนักอ่านทุกท่านนะคะที่ติดตามกันมาถึงบทที่ 4 แล้ว ถ้ายังไงก็ขอให้สนุกกับการอ่านเน้อ ถ้าคอมเม้นท์ให้สักหน่อยจะดีมากๆเลยค่ะ ฮาๆๆ ที่สำคัญอย่าลืมแวะไปพูดคุยกันได้ที่แฟนเพจ www.facebook.com/aislin.napoon นะคะ ในแฟนเพจจะมีอัพเดทข่าวคราวนิยายของ Aislin ทุกเรื่องเลยค่ะ แล้วเจอกันเน้อ (^-^)

ออฟไลน์ Aislin

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 196
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +27/-1

8ปีต่อมา

   แสงอาทิตย์ที่ส่องลอดเข้ามาในห้องผ่านทางผ้าม่านที่ถูกปิดอย่างไม่สนิทนักทำให้ร่างที่อยู่บนเตียงผู้ป่วยกระตุกเปลือกตาบางเล็กน้อยก่อนค่อยๆลืมตาตื่นขึ้นมาจากห้วงนิทราอันยาวนาน ดวงตาคู่สวยมองเห็นเพดานสีขาวเป็นอันดับแรกก่อนเจ้าตัวจะค่อยๆกลอกตาไปรอบตัว

จากภาพตรงหน้าทำให้ศรารัตน์รู้ว่าตัวเองคงกำลังอยู่ที่โรงพยาบาล หญิงสาวจำได้เลือนลางว่าวันนั้นฝนตกหนักมากขณะเธอที่กำลังขับรถกลับจากการดูงานที่ต่างจังหวัด รถของเธอเบรกไม่อยู่และชนกับต้นไม้ใหญ่ข้างทางจนทำให้เธอหมดสติไป มารู้สึกตัวอีกทีเธอก็มานอนอยู่ที่นี่แล้ว

   “คุณรู้สึกตัวแล้วเหรอคะ” ศรารัตน์หันไปมองพยาบาลสาวที่เปิดประตูห้องเข้ามาพอดี “คุณประสบอุบัติเหตุรถชนอาการสาหัสพอสมควร โชคดีที่มาถึงโรงพยาบาลทันเวลาพอดี คุณหมอก็เลยช่วยชีวิตเอาไว้ได้ทัน คุณรู้ไหมคะว่าคุณน่ะสลบไปถึงห้าวันเต็มๆเลย” ศรารัตน์พยายามพยุงตัวขึ้นจากเตียง ทว่าพอขยับตัวเพียงเล็กน้อยก็รู้สึกเหมือนเจ็บระบมไปทั้งตัวโดยเฉพาะตรงซี่โครงซึ่งน่าจะเป็นผลมาจากการกระแทกอย่างรุนแรง

   “โอ๊ย” ศรารัตน์อุทานออกมาด้วยความเจ็บปวดก่อนที่นางพยาบาลคนนั้นจะรีบละมือจากการเปิดม่านมาช่วยประคองหญิงสาวให้นอนราบลงไปกับเตียงเหมือนเดิม

   “แผลคุณยังไม่หายดี ช่วงนี้อาจจะเจ็บแผลหน่อย ต้องพักผ่อนเยอะๆนะคะ”

   “มีคนมาหาฉันบ้างหรือเปล่าคะ”ศรารัตน์ถามถึงบรรดาญาติและเพื่อนๆของเธอ ป่านนี้พวกเขาคงจะรู้แล้วว่าเธอประสบอุบัติเหตุ ตั้งแต่ลืมตาตื่นขึ้นมา เธอยังไม่เห็นใครเลยนอกจากนางพยาบาลช่างเจรจาคนนี้

   “ญาติของคุณเพิ่งจะกลับไปไม่นานนี้เองค่ะ จะให้ดิฉันโทรบอกให้ไหมคะว่าคุณรู้สึกตัวแล้ว เอ้อ เขาฝากช่อดอกไม้เอาไว้ด้วยนะคะ” ศรารัตน์มองตามสายตาคนพูดไปก็พบว่ามีช่อดอกไม้ช่อโตวางเอาไว้อยู่ที่โต๊ะข้างหัวเตียงจริงๆ หญิงสาวขอให้อีกฝ่ายช่วยหยิบการ์ดที่แนบมากับช่อดอกไม้มาให้เธอก่อนจะเปิดออกอ่าน ในนั้นมีข้อความว่าขอให้หายไวๆ ด้วยรักและเป็นห่วง ลงชื่อ ‘ภาคิน’

   ศรารัตน์วางการ์ดเอาไว้ที่เดิมก่อนจะปฎิเสธว่าไม่ต้องโทรบอกญาติของเธอว่าเธอฟื้นแล้วเพราะตอนนี้เธออยากพักผ่อนเงียบๆไม่อยากให้ใครมารบกวน ก่อนที่หญิงสาวจะเริ่มตาปรือและเข้าสู่ห้วงของนิทราอีกครั้ง ตอนนี้ศรารัตน์ต้องการการพักผ่อนเพื่อพักฟื้นร่างกายเพียงอย่างเดียวเท่านั้น หญิงสาวยังไม่อยากพบหน้าใคร ไม่ว่าจะเป็นวิศรุตผู้เป็นพี่ชายและพ่วงตำแหน่งคู่กัดตลอดกาลของเธอ หรือแม้แต่ภาคิน ญาติผู้พี่ที่เธอรู้ดีว่าเขาต้องการจะเป็นเจ้าของทั้งตัวเธอและทรัพย์สมบัติมหาศาลของตระกูลทัดเทวา



“แกหายหัวไปไหนมาตั้งแต่เช้า” วันชัยละสายตาจากหนังสือพิมพ์ธุรกิจตรงหน้าแล้วเอ่ยถามลูกชายที่กำลังเดินเข้ามาในห้องรับแขก ภาคินไม่ตอบในทันทีแต่หันไปสั่งกาแฟหนึ่งแก้วจากแม่บ้านก่อนที่จะทรุดลงนั่งเอกเขนกยังโซฟาตัวกว้างกลางห้อง

   “ก็แวะไปทำหน้าที่ของญาติผู้พี่ที่ดีไงครับพ่อ” ภาคินหยิบหนังสือพิมพ์บนโต๊ะขึ้นมาเปิดอ่านระหว่างที่รอแม่บ้านยกกาแฟมาให้

   “ยัยเด็กนั่นฟื้นหรือยัง” วันชัยหมายถึงศรารัตน์ หลานสาวของตนซึ่งเป็นลูกสาวของคุณวรุต ทัดเทวา นักธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ผู้ร่ำรวย ผู้ซึ่งเป็นพี่ชายแท้ๆของตนที่ตอนนี้ประสบอุบัติเหตุทางรถยนต์จนเสียชีวิตพร้อมกับภรรยาเมื่อสองปีก่อนที่ประเทศอังกฤษ

   “ตอนผมไปเธอยังไม่ฟื้นครับ งานนี้ก็เลยไปเก้อเสียเวลาเปล่าเลย”

   “น่าเสียดายที่มันดวงแข็ง ทั้งที่ดูแล้วไม่น่าจะรอดแท้ๆ” วันชัยพูดเสียงต่ำ คำพูดนั้นทำให้ภาคินวางหนังสือพิมพ์ใน
มือลงแล้วหันมองผู้เป็นพ่อทันที

   “อย่าบอกนะครับว่าเรื่องอุบัติเหตุที่เกิดขึ้นกับศราเป็นฝีมือของพ่อ” ผู้เป็นพ่อไม่ตอบแต่ภาคินเดาจากรอยยิ้มเหี้ยมเกรียมนั้นได้ ชายหนุ่มรู้ว่าวันชัยพ่อของเขาต้องการจะยึดทุกสิ่งทุกอย่างที่เป็นของตระกูลทัดเทวาต่อจากคุณลุงวรุต แต่ติดอยู่ที่หลานแท้ๆอย่างวิศรุตและศรารัตน์เท่านั้น หลังจากที่กำจัดศรารัตน์ได้ วิศรุตก็คงเป็นรายต่อไป

ภาคินแอบดีใจลึกๆที่ศรารัตน์ยังไม่ตาย ถ้าหากว่าผู้หญิงที่ทั้งสวยและรวยอย่างศรารัตน์ต้องมาด่วนตายไปจริงๆ เขาคงจะเสียใจไม่น้อยเพราะตัวเองยังไม่ได้หาประโยชน์จากหญิงสาวอย่างเต็มที่เลย อย่างน้อยก็ให้เขาได้มีความสุขกับร่างกายอันสวยงามของเจ้าหล่อนเสียก่อน

   “เด็กในบ้านทัดเทวาบอกมาว่าวิศรุตจะกลับมาเมืองไทยเร็วๆนี้” ด้วยความที่วันชัยแอบจ้างเด็กรับใช้บ้านทัดเทวาให้คอยรายงานเรื่องราวในบ้านให้เขาฟัง ทำให้เขารู้ถึงความเคลื่อนไหวของคนในบ้านนั้น และข่าวใหม่ที่รู้มาก็คือวิศรุต หลานชายเขากำลังจะกลับมาจากอังกฤษในอีกไม่ช้า

   “หึ ก็คงมาเยี่ยมน้องสาวมันล่ะมั๊ง นอนเจ็บเจียนตายแบบนั้นไม่มาเยี่ยมมันก็เกินไปหน่อยเแล้ว” ภาคินพูดแบบนี้เพราะรู้ดีว่าสองพี่น้องคู่นี้ไม่ค่อยจะลงรอยกันนัก แต่การที่ศรารัตน์เจ็บหนักแบบนี้ เขาไม่เชื่อว่าวิศรุตจะไม่มาดูดำดูดีน้องสาวแท้ๆของตัวเองเลย

   “ฉันก็ว่าอย่างนั้น แต่ไม่แน่ใจว่ากลับมาครั้งนี้มันจะแค่มาเยี่ยมน้องสาวแล้วก็บินกลับอังกฤษหรือเปล่า หรือไม่แน่ว่าอาจจะย้ายกลับมาอยู่เมืองไทยอย่างถาวรเลย” จุดประสงค์แท้จริงที่วันชัยห่วงก็คือเขากลัวว่าวิศรุตจะมาขัดมือขัดเท้าเขาในการทำงานที่บริษัทซึ่งตระกูลทัดเทวาเป็นเจ้าของ ที่ซึ่งเขาได้เข้ามานั่งตำแหน่งรองประธานตั้งแต่เมื่อแปดปีก่อน
นับตั้งแต่วรุตเสียชีวิตไป ตำแหน่งประธานกรรมการก็ตกเป็นของวิศรุต ทัดเทวาตามพินัยกรรมของวรุตที่ต้องการจะยกสิทธิ์ในการดูแลบริษัทและหุ้นจำนวนมหาศาลให้กับลูกชายคนเดียวของตน ถึงแม้ว่าศรารัตน์ ผู้เป็นลูกสาวจะได้ส่วนแบ่งในหุ้นบ้างก็ตาม แต่ก็ไม่มากเท่ากับที่วิศรุตได้

   “ถ้าพ่อเป็นห่วงว่ามันจะเข้ามายุ่งวุ่นวายในบริษัท ผมว่าพ่อเลิกห่วงเรื่องนี้ดีกว่า พ่อเองก็รู้ไม่ใช่เหรอครับว่าคนอย่างไอ้วินมันเคยสนใจเรื่องอื่นที่ไหนกันนอกจากเรื่องผลาญเงินเที่ยวสนุกไปวันๆ ตราบใดที่เงินมันยังไม่ขาดมือ มันไม่เสนอหน้ามากวนใจพ่อที่บริษัทหรอก” ภาคินรู้ว่าญาติผู้น้องของตนคนนี้ไม่เคยสนใจเรื่องธุรกิจใดๆของทัดเทวาอยู่แล้ว อีกไม่นานก็คงโดนบรรดาผู้บริหารเข้าชื่อกันถอดถอนออกจากตำแหน่งประธานกรรมการเพราะว่าวิศรุตไม่มีผลงานใดๆเลย เป็นเพียงแค่เจ้าของบริษัทแต่ในนามเท่านั้น ที่บริษัทในเครือทัดเทวาเจริญรุ่งเรืองอย่างทุกวันนี้ได้ส่วนหนึ่งก็เพราะวันชัยพ่อของเขาและก็ตัวเขาเองที่เข้ามาทุ่มเทแรงกายแรงใจทำงานเพื่อบริษัท ไม่ใช่ใช้ชีวิตเสเพลอยู่เมืองนอกผลาญเงินเล่นไปวันๆอย่างวิศรุต

   คำพูดของภาคินทำให้วันชัยคลายกังวลลงไปบ้าง ที่จริงเขาก็ไม่ได้อยากใจร้ายกับหลานทั้งคู่อย่างศรารัตน์และวิศรุตเท่าไหร่นัก แต่ถ้าหากวิศรุตเข้ามายุ่งย่ามในเรื่องบางเรื่องจนเกินไป เขาก็คงต้องลงมือทำอะไรบางอย่างเหมือนที่เคยจัดการกับศรารัตน์ โทษฐานที่หลานสาวของเขาช่างขุดคุ้ยบัญชีรายรับรายจ่ายของบริษัทเสียเหลือเกิน บางทีคราวนี้วิศรุตอาจจะไม่โชคดีเหมือนอย่างผู้เป็นน้องสาวก็ได้



   ชายหนุ่มร่างสูงในชุดหนังสีดำที่ถอดแบบออกมาจากนิตยสารแฟชั่นต่างประเทศกำลังเดินออกมาจากช่องทางออกของอาคารผู้โดยสารขาเข้า ด้วยบุคลิกที่โดดเด่นจับตาทำให้เขากลายเป็นจุดสนใจของผู้โดยสารหลายๆคนแถวนั้น ชายหนุ่มกวาดสายตาไปรอบตัวก่อนจะมาหยุดที่ชายสูงวัยที่ยืนเยื้องห่างจากเขาไปไม่ไกล วิศรุตถอดแว่นกันแดดสีชาออกเพื่อให้มองได้ชัด เขาจำได้ว่าคนตรงหน้าคือลุงมั่น ข้ารับใช้เก่าแก่ของบ้านทัดเทวานั่นเอง

   “คุณหนู... คุณหนูใหญ่ของลุงมั่นจริงๆด้วย” ลุงมั่นรีบกึ่งเดินกึ่งวิ่งเข้ามาหาวิศรุตด้วยความยินดี คุณหนูคนโตของตระกูลทัดเทวาเปลี่ยนไปจากเมื่อแปดปีก่อนมากจนถ้าหากเขาไม่สังเกตดีๆก็อาจจำอีกฝ่ายไม่ได้

วิศรุตยิ้มกว้างให้ผู้สูงวัยกว่า เขาเองก็คิดถึงลุงมั่นเช่นกันเพราะอีกฝ่ายเป็นเสมือนพี่เลี้ยงที่คอยดูแลเขามาตั้งแต่เกิด เกือบสิบปีที่ไม่ได้เจอกัน แต่ลุงมั่นก็ยังคงไม่เปลี่ยนเลยสักนิด

“ในที่สุดคุณหนูก็กลับมา ผมนึกว่าชาตินี้ก่อนตายจะไม่ได้เห็นหน้าคุณหนูใหญ่ของผมเสียแล้ว” วิศรุตเย้าว่าอีกฝ่ายก็พูดเกินไป ก่อนจะตัดบทบอกว่าตนอยากกลับบ้านเต็มแก่แล้ว ลุงมั่นจึงรีบกระวีกระวาดสั่งเด็กรับใช้อีกคนที่มาด้วยกันให้เข้าไปช่วยวิศรุตจัดการกับกระเป๋าใบโตก่อนที่ตนจะเดินนำนายน้อยของตระกูลทัดเทวาไปยังรถที่จอดรอรับอยู่ด้านนอกอาคาร



   วิศรุตมาถึงบ้านในเวลาไม่นานนัก เขามองบ้านหลังใหญ่โตราวกับคฤหาสน์ของตระกูลทัดเทวาอย่างคิดถึง แปดปีเต็มที่เขาไม่เคยกลับมาเหยียบที่นี่อีกเลยนับตั้งแต่เดินทางไปเรียนต่อและใช้ชีวิตอยู่ที่ประเทศอังกฤษ มันทำให้เมื่อเขาได้กลับมาที่นี่อีกครั้ง ในใจของเขาจึงอัดแน่นไปด้วยความรู้สึกที่หลากหลายปะปนกันจนแยกไม่ออก

   “น้องสาวตัวดีของฉันเป็นยังไงบ้าง” วิศรุตถามลุงมั่นหลังจากที่พ่อบ้านชราเข้ามาบอกเขาว่าเตรียมห้องให้เรียบร้อยแล้ว
เพราะเรื่องที่ลุงมั่นโทรไปบอกว่าศรารัตน์ประสบอุบัติเหตุทำให้เขาต้องรีบบินกลับมาจากอังกฤษ แม้ว่าเขาและศรารัตน์จะเป็นคู่กัดกันมาตั้งแต่เด็ก แต่ลึกๆในใจวิศรุตก็อดไม่ได้ที่จะเป็นห่วงศรารัตน์ผู้เป็นน้องสาวคนเดียวของเขา แม้ว่าอีกฝ่ายจะไม่ค่อยอยากนับเขาเป็นพี่ชายนักก็ตาม

   “คุณหนูเล็กปลอดภัยแล้วครับ ทางโรงพยาบาลโทรมาแจ้งเมื่อตอนสายว่าเธอฟื้นแล้ว คุณหนูจะไปเยี่ยมคุณหนูเล็กตอนนี้เลยหรือเปล่าครับ ผมจะได้บอกให้เด็กเอารถออก” วิศรุตนิ่งคิดเล็กน้อยก่อนจะส่ายหน้าปฎิเสธ ถ้าโรงพยาบาลโทรมาบอกว่าศรารัตน์ฟื้นแล้วเธอก็คงไม่มีอะไรน่าเป็นห่วงแล้วล่ะ ขืนเขาทะเล่อทะล่าเข้าไปให้คนป่วยเห็นหน้าตอนนี้มีหวังต้องปะทะฝีปากกันจนอาจทำให้อาการของน้องสาวเขากำเริบก็ได้ ซึ่งลุงมั่นเองก็พยักหน้ารับรู้ก่อนจะเอ่ยขอตัวไปทำงานของตนต่อ

   “เดี๋ยวครับลุงมั่น” วิศรุตเรียกเอาไว้เพราะยังมีเรื่องอยากจะถามอีกฝ่ายเกี่ยวกับความเป็นไปของบรรดาญาติๆที่ห่างหายกันไปนาน โดยเฉพาะคุณวันชัยผู้เป็นอาแท้ๆและภาคิน ญาติผู้พี่ที่เขาไม่ค่อยอยากจะยอมรับนับเป็นญาติเท่าใดนัก

   “คุณวันชัยมาที่นี่บ่อยขึ้นครับนับตั้งแต่คุณท่านทั้งสองจากไปเมื่อสองปีก่อน ส่วนเรื่องที่บริษัท คนแก่อย่างผมก็ไม่ค่อยรู้เรื่องอะไรเท่าไหร่นัก แต่ก็พอทราบมาว่าตอนนี้คุณภาคินได้เข้าไปช่วยบริหารงานที่บริษัทในเครือทัดเทวามาได้สักพักแล้วครับ”

วิศรุตส่งเสียงเป็นเชิงรับรู้ก่อนจะบอกให้ลุงมั่นไปทำงานต่อได้ สิ่งที่สองพ่อลูกนั่นคิดมีเหรอที่เขาจะไม่รู้ นอกจากอยากจะฮุบกิจการทั้งหมดของทัดเทวาแล้ว บ้านนี้ก็คงเป็นอีกหนึ่งอย่างที่คุณอาของเขาหมายตาไว้ด้วยเพราะมันเป็นคฤหาสน์ที่ตกทอดมาหลายชั่วอายุคนจนกระทั่งถึงรุ่นของพ่อเขา และมันก็จะตกทอดผ่านทางบุตรชายคนโตของตระกูลทัดเทวาเท่านั้น อาวันชัยคงจะนึกแค้นใจไม่น้อยที่พี่ชายตัวเองได้รับสมบัติตกทอดมากมายในแบบที่ตัวเองไม่เคยได้จากคุณปู่ของเขา ถ้าไม่เป็นเพราะสองพ่อลูกนั่นช่วยกันบริหารงานที่บริษัทจนมีกำไรมหาศาลทุกปี เขาก็คงไม่มีเงินถลุงเล่นราวกับเบี้ยอย่างทุกวันนี้เป็นแน่ แค่นอนตีพุงสบายๆอยู่เมืองนอกก็ได้ส่วนแบ่งเงินปันผลจากหุ้นจำนวนมหาศาลที่พ่อของเขาทิ้งไว้ให้ก่อนตาย ที่สำคัญคือเขาไม่ต้องลงทุนลงแรงอะไรเลย ถ้าไม่นึกถึงประโยชน์ที่ได้รับจากสองพ่อลูกนั่น คนอย่างวิศรุต ทัดเทวาไม่มีทางยอมให้ใครหน้าไหนเข้ามายุ่งวุ่นวายกับบ้านทัดเทวาที่พ่อกับแม่เขารักอย่างเด็ดขาด แม้ว่าคนๆนั้นจะเป็นญาติสนิทอย่างคุณอาวันชัยก็ตาม

   วิศรุตหยุดความคิดเรื่องวันชัยกับภาคินเอาไว้เท่านั้นก่อนจะหยิบโทรศัพท์มือถือมากดเบอร์ที่คุ้นเคย พอปลายสายรับก็กรอกเสียงลงไป

   “แกเหรอไอ้โอม ฉันเองวิศรุต ตอนนี้ฉันกลับถึงเมืองไทยแล้ว”



Aislin: มาอัพต่อแล้วค่ะ หวังว่าคงรอไม่นานเนอะ แต่ถ้าหากรอนาน ไปทวงได้เลยนะคะ ยินดีๆ ^-^ ตอนนี้เปิดเรื่องมาด้วยศรา... น้องสาวของวินรถคว่ำต้องนอนพักรักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาล อยากบอกว่าศรารัตน์นี่เป็นตัวแปรสำคัญของเรื่องเลย จะสนุกสนานและเข้มข้นขนาดไหน อย่าพลาดเด็ดขาดนะคะ ช่วงแรกๆอาจจะเน้นปูเรื่องและความสัมพันธ์ของตัวละคร แต่ผ่านไปเรื่อยๆรับประกันความสนุกจ้า ^0^ และเดี๋ยวพบกันใหม่ตอนหน้าเน้อ
ปล. คอมเม้นท์หน่อยน้า นักเขียนอยากรู้ฟีดแบ็ค ใครคอมเม้นท์ขอให้หล่อ ขอให้สวย คนโสดขอใหได้เจอเนื้อคู่เลยเอ้า!

ออฟไลน์ sirin_chadada

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4110
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +114/-8
วิศรุตไม่เอาไหนจริงๆเหรอ งั้นก็น่าห่วงอนาคตอยู่หรอกนะ
เป็นกำลังใจให้คนเขียนจ้า

ออฟไลน์ Aislin

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 196
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +27/-1
วิศรุตไม่เอาไหนจริงๆเหรอ งั้นก็น่าห่วงอนาคตอยู่หรอกนะ
เป็นกำลังใจให้คนเขียนจ้า

จริงๆเรื่องนี้ต้องดูยาวๆค่ะ ไม่อยากเฉลยเนื้อหา เดี๋ยวไม่สนุก ฮาๆๆ ขอบคุณสำหรับกำลังใจนะคะ ^0^

ออฟไลน์ Celestia

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 833
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +16/-0
เข้มข้น น่าติดตามมากเลยค่ะ

ส่วนตัวคิดว่าวิศรุตน่าจะเก่งนะ แค่เอาความเสเพลบังหน้า

ออฟไลน์ blanchet

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 515
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +25/-2
จะรีไรท์เก๊าก็จะตามมาอ่านอีกก ชอบเรื่องนี้นะคะ
วิศรุตสู้ๆๆ

ออฟไลน์ Maytbb

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1763
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +54/-4
ขอให้ได้เจอกันไวๆนะ วิศรุตกับนภัทร   :mew2:

ออฟไลน์ Tsubamae

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 258
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +25/-0
จิ้มจึ้ก ปักธง เห็นชื่อเรื่องปั้บรีบพุ่งหลาวเข้ามาทันใด
 เคยอ่านเมื่อนานมาแล้ว อยากอ่านอีก
จำเนื้อเรื่องได้แม่นเพราะชอบ เลยอ่านหลายรอบมากๆๆ
มาขอรอต่อคิวอ่านฉบับรีไรท์ด้วยคนนะคะ

ออฟไลน์ ammchun

  • Don't Worry,Be Happy
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1394
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +54/-4
สนุกดีค่ะ สงสารวิศรุตเลยตอนไปเมืองนอก แต่ก็เข้าใจณภัทรน่ะนะคนมันไม่ชอบ?จะทำไงได้  รอตอนต่อไปค่ะ :mew1:

ออฟไลน์ Aislin

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 196
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +27/-1

ภาณุเดินเข้ามาในผับหรูหราที่ตกแต่งอย่างมีระดับย่านใจกลางเมือง ชายหนุ่มปฎิเสธบริกรที่จะนำเขาไปที่โต๊ะโดยบอกว่าตนเองนัดเพื่อนเอาไว้แล้ว ผับแห่งนี้มีนักท่องราตรีเข้ามาใช้บริการไม่มากนักเพราะค่าบริการที่แพงลิบลิ่ว โดยจงใจจำกัดกลุ่มลูกค้าเฉพาะผู้มีอันจะกินเท่านั้น  ภาณุเดินผ่านฟลอร์เต้นรำไปยังโซนบาร์เหล้า ความมืดสลัวตัดกับแสงสปอร์ตไลท์หลากสีทำให้เขาตาพร่าไปเล็กน้อยก่อนจะต้องเพ่งสายตามองหาคนคุ้นเคยอย่างวิศรุต เพื่อนสนิทที่ห่างหายไปนานถึงแปดปีเต็ม

   “ไอ้โอม” น้ำเสียงที่คุ้นเคยเรียกชื่อเขาจากทางด้านหลัง ชายหนุ่มหันกลับไปมองก่อนจะพบว่าคนที่เรียกคือวิศรุตนั่นเอง

   “เฮ้ย ไอ้วิน”ภาณุยิ้มกว้างก่อนจะรีบเดินเข้าไปกอดไหล่อีกฝ่ายด้วยความคิดถึง วิศรุตดูตัวสูงกว่าแต่ก่อนเล็กน้อย ใบหน้าที่เคยหล่อเหลาอยู่แล้วยิ่งโดดเด่นขับเน้นเสน่ห์บุรุษเพศวัยยี่สิบห้าปีเพิ่มขึ้นไปจากแต่ก่อนมาก ถ้าใครไม่ได้สังเกตให้ดีอาจจะคิดว่าวิศรุตเป็นดาราหนุ่มหล่อที่มาเที่ยวกลางคืนในสถานบันเทิงแห่งนี้ก็เป็นได้

   ฝ่ายวิศรุตเองก็กอดตอบเพื่อนรักด้วยความรู้สึกแบบเดียวกัน เขาไม่ได้เจอภาณุมานานหลายปี เมื่อมีโอกาสได้เจอกันอีกครั้งก็ย่อมต้องดีใจเป็นธรรมดา วิศรุตดึงภาณุให้นั่งลงที่โซฟาข้างๆตัวเองก่อนเรียกบริกรมาเพื่อสั่งเครื่องดื่มอีกแก้วสำหรับผู้มาใหม่

   “แกเป็นยังไงบ้าง สบายดีหรือเปล่าวะ” วิศรุตถามหลังจากที่ภาณุสั่งเครื่องดื่มเรียบร้อยแล้ว ซึ่งคนที่ถูกถามก็ตอบว่าสบายดีแล้วย้อนถามเจ้าตัวกลับด้วยคำถามเดิม วิศรุตยักไหล่แทนคำตอบแล้วบอกว่าเขาเองแม้จะอยู่เมืองนอกแต่ก็ยังใช้ชีวิตแบบเดิมๆนั่นแหล่ะ ไม่มีอะไรแปลกใหม่เลยซักนิด คำตอบนี้ทำเอาภาณุส่ายหัวตะหงิดๆที่เพื่อนรักยังไม่ยอมเปลี่ยนนิสัยเดิมสมัยวัยรุ่นเสียทีทั้งที่ตัวเองก็อายุครบเบญจเพสปีนี้แล้ว

   “แล้วนี่แกทำงานอะไรอยู่วะไอ้โอม เป็นสถาปนิกแบบที่แกเคยฝันเอาไว้ตั้งแต่สมัยเรียน หรือว่าเปลี่ยนความฝันใหม่แล้ว”

   “ไอ้สถาปนิกน่ะเลิกฝันไปตั้งนานแล้วเว้ย ตอนสอบเข้ามหาวิทยาลัยก็เลยเบนสายไปเรียนทางด้านบริหารแทน ตอนนี้ก็ช่วยๆงานที่บริษัทอยู่” วิศรุตพยักหน้ารับรู้ ครอบครัวของภาณุมีกิจการส่วนตัวเกี่ยวกับบริษัทออกแบบและจัดทำเครื่องประดับ การที่อีกฝ่ายเปลี่ยนมาเรียนด้านบริหารก็คงจะช่วยงานธุรกิจของทางบ้านได้มากทีเดียว

   “แล้วแกล่ะจบอะไรมา จบจากคณะวิทยาศาสตร์มาหรือเปล่า” คำพูดที่ตั้งใจจะแซวของภาณุในท้ายประโยคทำให้เขาต้องเบ้หน้า อย่างเขาเนี่ยนะจะไปเรียนต่อทางสายวิทยาศาตร์ แค่พวกเคมี ฟิสิกส์ ชีวะที่เรียนสมัยม.ปลาย เขายังเอาตัวไม่ค่อยจะรอดเลย วิศรุตถอนใจเฮือกก่อนจะยอมบอกว่าตนจบทางด้านเศรษฐศาสตร์มา

   “งั้นกลับมาคราวนี้แกคงตั้งใจจะมาช่วยดูแลธุรกิจของทัดเทวาล่ะสิ”

   “เปล่า ที่บริษัทมีญาติฉันช่วยดูแลให้อยู่แล้วแถมดูแลอย่างดีเสียด้วย ก็เลยไม่ต้องเป็นห่วงน่ะ”

   “อย่าบอกนะว่าแกจะทำตัวเป็นพ่อพวงมาลัยเที่ยวลอยชายไปมาแบบนี้น่ะไอ้วิน”

   “ก็เออน่ะสิ ครั้งนี้ฉันไม่ได้กะว่าจะมาอยู่ถาวรเสียหน่อย พอจัดการเรื่องอาการป่วยของยัยน้องสาวคนเก่งเรียบร้อยแล้ว ฉันก็คงกลับอังกฤษเลย” ภาณุอดไม่ได้ที่จะบ่นเสียดาย เพิ่งจะได้เจอกันแต่อีกไม่นานอีกฝ่ายก็ต้องกลับอังกฤษแล้ว ไม่รู้ว่าวิศรุตตั้งใจจะย้ายไปตั้งรกรากที่นั่นตลอดชีวิตเลยหรือเปล่า

   “เอ้อ ว่าแต่เพื่อนเก่าๆเป็นยังไงกันบ้าง ฉันไปอยู่ที่โน่นไม่ได้ติดต่อใครเลย โชคดีนะเนี่ยที่กลับมาเมืองไทยแล้วยังติดต่อกับแกได้ ดีนะที่แกยังไม่เปลี่ยนเบอร์มือถือ”

   “ฉันรู้ว่าสักวันหนึ่งแกต้องโทรมาไง ก็เลยยังใช้เบอร์เดิมอยู่” ภาณุเย้ากลับเล่นๆก่อนจะบอกเล่าถึงข่าวคราวของเพื่อนเก่าๆสมัยเรียนให้วิศรุตฟัง

   “ไอ้ทัดที่แกชอบบอกว่าหน้าเหมือนนักเลงน่ะ ตอนนี้กลายเป็นเสี่ยใหญ่เจ้าของบ่อนแถวปอยเปตแล้วนะเว้ย ส่วนไอ้เอกที่บ้านมันทำเฟอร์นิเจอร์ขาย ตอนนี้ก็แต่งงานมีลูกเรียบร้อยโรงเรียนจีนไปแล้ว ได้ข่าวว่าเมียมันโครตสวยเลย แล้วก็ไอ้ปิงที่แกชอบไปล้อมันว่าไอ้หน้าปลิงดูดเลือดน่ะ เห็นบอกว่าพ่อมันที่เป็นสส.จะส่งมันลงสมัครนักการเมืองท้องถิ่นแถวบ้านนี่แหล่ะ ฉันล่ะคิดหน้ามันไม่ออกเลยว่าเวลาหาเสียงจะทำหน้าแบบปลิงดูดเลือดอีกหรือเปล่า”

วิศรุตหลุดขำคำพูดของภาณุ เขาเป็นคนให้ฉายาปลิงดูดเลือดนี้เองเพราะฝ่ายนั้นชอบทำเป็นหมุนเงินไม่ทันแล้วชอบมาหยิบยืมเงินจากเพื่อนในห้องบ่อยๆ ทั้งที่ความจริงแล้วต้องการเอาเงินไปแทงโต๊ะบอลนั่นเอง

   “เอ้อ ส่วนไอ้พงศธรป่านนี้ก็คงกลายเป็นวิศวกรหนุ่มไฟแรงอนาคตไกลไปแล้วมั๊ง พวกไอ้ยศที่เรียนมหาวิทยาลัยเดียวกับมันบอกว่าไอ้นี่เรียนเก่งขั้นเทพ เกือบจะ 4.00 ทุกเทอม เห็นว่าได้ทุนไปเรียนต่อเมืองนอกด้วย นี่ก็คงจะกลับมาเมืองไทยเร็วๆนี้แล้วล่ะ”
 ภาณุพูดถึงพงศธรทำให้วิศรุตพานนึกไปถึงอีกคน จากกันไปนานไม่รู้ว่าฝ่ายนั้นจะเป็นยังไงบ้าง เขาไม่เคยรับรู้ความเป็นไปของนภัทรอีกเลยนับตั้งแต่ไปเรียนต่อที่อังกฤษ เรียกให้ถูกก็คือไม่คิดอยากจะรับรู้มากกว่า เขากลัวว่าตัวเองจะย้อนไปคิดถึงเรื่องเก่าๆอีก ทั้งที่มันก็ผ่านมานานแล้ว

   “แล้วนภัทรล่ะ เป็นยังไงบ้าง” ปากเจ้ากรรมอดไม่ได้ที่จะถามออกมาในที่สุด ถึงจะปฎิเสธเสียงแข็งว่าไม่อยากรับรู้เพียงใด แต่ลึกๆในใจเขาก็อดยอมรับไม่ได้ว่าทุกอย่างที่เกี่ยวข้องกับผู้ชายที่ชื่อ นภัทร อิสรีย์ ยังคงมีอิทธิพลต่อความรู้สึกของเขาอย่างมาก ภาณุมองลึกไปในตาสีน้ำตาลโศกของเพื่อนรัก วิศรุตยังไม่ได้ตัดใจจากนภัทรอย่างที่เขาคิดเอาไว้จริงๆด้วย

   “หมอนั่นไม่เคยกลับมาเยี่ยมที่โรงเรียนอีกเลยหลังจากที่จบม.หก เห็นไอ้พงศธรเคยพูดว่านภัทรสอบได้ทุนไปเรียนด้านอะไรสักอย่างเนี่ยแหล่ะที่อังกฤษ แต่เจ้าตัวขอสละสิทธิ์แล้วก็เลือกที่จะสอบเข้าแพทย์แทน เห็นว่าได้ที่ศิริราชด้วย นี่ก็ผ่านไปแปดปีแล้ว ป่านนี้ก็คงกลายเป็นหมอเต็มตัวแล้วล่ะ”

ในที่สุดนภัทรก็สอบเข้าศิริราชและได้เป็นหมอสมใจเจ้าตัวแล้ว วิศรุตถอนหายใจบางๆแล้วคิดไปถึงคืนนั้นที่เขาและ นภัทรติดอยู่ในตึกด้วยกัน และวิศรุตคงจะจมอยู่กับความทรงจำในอดีตอยู่อย่างนั้นถ้าหากไม่ได้รู้สึกถึงความอบอุ่นที่ถ่ายทอดจากมือของภาณุที่เอื้อมมาแตะไหล่เขาอย่างเข้าใจความรู้สึกเป็นอย่างดี

“นายยังชอบนภัทรอยู่ใช่ไหม”

   “ฉันพยายามจะลืม แต่ทำยังไงก็ไม่สำเร็จสักที” คำพูดของวิศรุตทำให้ตอนนี้ภาณุรู้คำตอบในใจของอีกฝ่ายแล้ว



   เช้าวันนี้ภาคินมาทำงานที่บริษัททัดเทวาด้วยอารมณ์ที่แจ่มใสกว่าปกติ วันนี้จะมีการประชุมบอร์ดผู้บริหารครั้งใหญ่ เขาเชื่อว่าท่านประธานบริษัทที่เป็นแต่เพียงในนามอย่างวิศรุต ทัดเทวาคงจะไม่เข้ามาร่วมประชุมแน่ คราวนี้จึงเป็นโอกาสดีที่บรรดาผู้บริหารระดับสูงจะเห็นถึงความไม่เอาถ่านของเพลย์บอยอย่างวิศรุต แล้วเปลี่ยนใจมาสนับสนุนวันชัยพ่อของเขาผู้ซึ่งเป็นน้องชายแท้ๆของผู้ก่อตั้งบริษัทแห่งนี้ขึ้นเป็นประธานกรรมการแทน

   ภาคินเปิดประตูห้องทำงานที่ติดป้ายเอาไว้หน้าห้องว่า ‘ผู้จัดการฝ่ายการเงิน’ เข้าไปด้านในโดยไม่ได้สนใจเลขาฯสาวหน้าห้องที่มีท่าทางอึกอักราวกับต้องการจะบอกอะไรบางอย่างกับเจ้านาย

   “มาทำงานเช้าดีนี่ภาคิน” เจ้าของห้องตกใจเล็กน้อยที่มีแขกไม่ได้รับเชิญมานั่งอยู่ในห้องทำงานส่วนตัวของตนเอง แถมอีกฝ่ายยังถือวิสาสะเหยียดขามาพาดไขว้กันวางไว้บนโต๊ะทำงานอีกต่างหาก ภาคินซ่อนสีหน้าไม่พอใจเอาไว้ก่อนจะปั้นหน้ายิ้มแย้มทักทายอีกฝ่าย

   “ได้ข่าวว่านายเพิ่งกลับจากอังกฤษเมื่อวาน พอดีว่าฉันงานยุ่งมากก็เลยไม่ได้ไปเยี่ยมที่บ้าน ไม่ได้เจอกันนานเลยนะ”

   “นั่นน่ะสิ เจอกันครั้งสุดท้ายก็คงจะตอนที่นายมางานเลี้ยงวันเกิดยัยศราที่บ้านฉันเมื่อแปดปีก่อน แต่เห็นลุงมั่นบอกว่าหลังจากที่ฉันกับศราไปเมืองนอกแล้ว นายกับพ่อก็ยังคงแวะเวียนมาที่บ้านทัดเทวาบ่อยๆ ไม่รู้ว่าติดใจอะไรนักหนา” วิศรุตหันเก้าอี้กลับมาสบตาภาคินอย่างแฝงด้วยความหมายในคำพูดนั้น เขาไม่ได้โง่ถึงขนาดจะดูไม่ออกว่าพ่อลูกคู่นี้กำลังมีจุดประสงค์อะไร บางทีอุบัติเหตุที่เกิดขึ้นกับศรารัตน์อาจจะไม่ใช่ความบังเอิญก็ได้

   “ฉันกับพ่อก็แค่เข้าไปช่วยดูแลบ้านนั้นให้ระหว่างที่นายกับศราไม่อยู่ก็เท่านั้นเอง เราเองก็เป็นญาติกัน ไม่ใช่คนอื่นคนไกลเสียหน่อย”

   “ญาติที่ฉันไม่คิดอยากจะดองด้วยน่ะสิ นายคงจะใช้ชีวิตสุขสบายบนกองเงินกองทองของตระกูลทัดเทวามานานหลายปีจนคงจะลืมไปแล้วว่าตัวเองไม่ได้มีสายเลือดของทัดเทวาเลยแม้แต่หยดเดียว” คำพูดจี้ใจดำของวิศรุตสะกิดปมด้อยที่อยู่ภายในใจของภาคิน ความจริงที่ว่าชายหนุ่มเป็นเพียงแค่เด็กชายที่คุณวันชัยและคุณพจนีย์ ทัดเทวาขอมาเลี้ยงจากบ้านเด็กกำพร้าเป็นสิ่งที่เขาหนีไม่พ้นแม้ว่าบัดนี้เขาจะอยู่ในฐานะลูกบุญธรรมของทั้งคู่ก็ตาม ภาคินจ้องหน้าอีกฝ่ายด้วยแววตาที่แปรเปลี่ยนเป็นดุดันก่อนเค้นเสียงกร้าว

   “นายไม่ควรพูดแบบนี้นะวิศรุต”

   “นายเองก็รู้ดีว่าตัวเองเป็นใครแล้วฉันน่ะเป็นใคร ทำไมล่ะ รับความจริงไม่ได้เหรอว่าตัวเองไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับทัดเทวาแม้แต่นิดเดียว” วิศรุตลุกขึ้นยืนจากเก้าอี้นวมตัวใหญ่ก่อนจะเดินวนรอบตัวภาคิน พร้อมกับพูดจาถากถางอีกฝ่ายไปด้วย สำหรับเขาแล้วภาคินไม่ได้เป็นญาติผู้พี่ แต่เป็นตัวอะไรสักอย่างที่เขาเอาไว้คอยรองมือรองเท้าต่างหาก “การที่นายได้รับโอกาสมากมายอย่างทุกวันนี้ ได้ทำงานเป็นถึงผู้จัดการฝ่ายการเงิน ได้ใช้ชีวิตสุขสบายอยู่บ้านหลังใหญ่โต มันก็เพียงพอแล้วสำหรับเด็กกำพร้าที่พ่อแม้ทิ้งอย่างนาย ดังนั้นอย่าได้หวังสูงไปมากกว่านี้อีกเลย อย่านึกว่าฉันไม่รู้ทันนายสองพ่อลูกนะ” ประโยคสุดท้ายวิศรุตกระซิบข้างหูของภาคินก่อนจะเดินออกจากห้องไปด้วยรอยยิ้มเย็น ไม่สนใจอีกฝ่ายที่กำมือแน่นด้วยความโกรธกับฐานะของตนที่ถูกกดให้ต่ำต้อยในสายตาของวิศรุต



   หลังจากแวะไปทักทายญาติผู้พี่ในเวลาเข้างานแบบนี้แล้ว วิศรุตก็ขึ้นลิฟต์ไปยังห้องทำงานของประธานบริษัทที่อยู่ชั้นสูงสุดของอาคารทัดเทวาทันที แต่เดิมห้องทำงานนี้เป็นของคุณพ่อเขา แต่เมื่อท่านสิ้นบุญไป ห้องนี้ก็กลายเป็นห้องทำงานของเขาที่เข้ามารับตำแหน่งใหญ่นี้ต่อจากผู้เป็นพ่อ

 วิศรุตสั่งอิงอร เลขาฯหน้าห้องให้ช่วยค้นข้อมูลเอกสารทั้งหมดเกี่ยวกับงานด้านต่างๆของบริษัทในรอบสิบปีนี้มาให้เขาอย่างละเอียดที่สุด เขาจำเป็นต้องศึกษามันก่อนเข้าประชุมบอร์ดผู้บริหารในบ่ายนี้ แต่คำตอบที่ได้จากอิงอรทำให้เขาต้องขมวดคิ้ว

   “เอกสารสำคัญๆทั้งหมด คุณวันชัยได้ให้คนมาเอาไปตั้งแต่หลังจากท่านประธานใหญ่เสียแล้วค่ะ”

นี่มันเรื่องอะไรกัน เอกสารสำคัญสมควรจะอยู่ที่ห้องทำงานของประธานกรรมการถึงจะถูก ทำไมคุณอาวันชัยต้องให้คนมาเอาไปเก็บไว้เองด้วย หรือฝ่ายนั้นจงใจจะปิดบังอะไรเขากันแน่ ยิ่งคิดวิศรุตก็ยิ่งสงสัย ชายหนุ่มจึงบอกอิงอรว่าตอนนี้ให้เธอไปหามาเท่าที่ทำได้ก่อน ส่วนเอกสารที่เหลือเขาจะไปถามเอาจากวันชัยเอง



   วันชัยเงยหน้าจากแฟ้มเอกสารกองโตเมื่อเลขาฯหน้าห้องอินเตอร์โฟนเข้ามาบอกว่าวิศรุตต้องการจะขอพบเขาในตอนนี้ วันชัยนิ่งคิดนิดหนึ่งก่อนจะบอกให้เชิญเข้ามาได้ ถ้าเดาไม่ผิด ฝ่ายนั้นคงจะรู้เรื่องที่เขาเอาเอกสารบริษัทมาเก็บเอาไว้กับตัวจากเลขาฯหน้าห้องแล้ว หลานชายตัวดีถึงได้มาหาเขาถึงห้องทำงานแบบนี้

   “สวัสดีครับคุณอา” วิศรุตยกมือไหว้ผู้ที่สูงวัยกว่าซึ่งมีศักดิ์เป็นอาแท้ๆของตนตามมารยาท เจ้าของห้องเองก็รับไหว้แล้วเชื้อเชิญให้ผู้มาใหม่นั่งลงที่โซฟารับแขกตรงมุมห้องด้านหนึ่ง

   “หลานโตขึ้นเยอะจนอาเกือบจะจำไม่ได้เลยนะเนี่ย วันนี้ดูท่าทางฝนจะตกเพราะเป็นครั้งแรกที่อาเห็นหลานเข้าบริษัท” วิศรุตยิ้มให้ถ้อยคำกระแนะกระแหนนั้นก่อนจะออกปากว่าวันนี้เป็นวันประชุมใหญ่ของบอร์ดผู้บริหารทั้งที เขาซึ่งเป็นประธานบริษัทจะไม่มาได้อย่างไร “เห็นหลานเอาการเอางานแบบนี้อาก็ดีใจ จะได้มีคนมาช่วยแบ่งเบางานที่บริษัทเสียที” วันชัยแสร้งถอนหายใจยาวก่อนจะยกถ้วยกาแฟร้อนที่เลขาฯเพิ่งเอามาเสริ์ฟเมื่อครู่ขึ้นจิบเล็กน้อย

   “เห็นเลขาฯหน้าห้องของผมบอกว่าคุณอาเป็นคนให้เด็กมาเอาพวกเอกสารสำคัญมาเก็บเอาไว้เอง ผมก็เลยอยากจะมาขอคืนจากคุณอาน่ะครับ” วิศรุตเริ่มเข้าเรื่องทันที เขาไม่ค่อยชอบพูดจาอ้อมค้อมนัก อีกอย่างคือเขาอยากดูปฎิกิริยาตอบกลับของวันชัยว่าถ้าหากเขาขอคืนตรงๆ ฝ่ายนั้นจะว่าอย่างไร

   “เรื่องเอกสารที่อาต้องเอามาเก็บไว้เองก็เพื่อความปลอดภัย ไม่รู้ว่าเลขาฯหน้าห้องวินจะเป็นพวกที่บริษัทคู่แข่งเราส่งมาหรือเปล่า ยิ่งพี่วรุตมาด่วนจากไปแบบนี้ยิ่งไม่มีใครมาคอยจับตามองแม่เลขาฯนั่นเข้าไปใหญ่ อาเป็นห่วงเรื่องความลับของบริษัทก็เลยต้องทำแบบนี้”

ได้รับคำตอบมาแบบนี้ วิศรุตเองก็ไม่รู้ว่าควรจะเชื่อหรือไม่เชื่อดี แต่ในเมื่อเขาเข้ามารับตำแหน่งนี้แล้ว เอกสารทั้งหมดเขาก็ควรจะเป็นผู้ดูแลเอง ไม่ใช่ท่านรองประธาน

   “แล้วถ้าผมจะขอคืนล่ะครับคุณอา” วันชัยหน้าตึงขึ้นมาทันที

   “วินไม่ไว้ใจอาเหรอ”

   “เปล่าครับ พอดีว่าผมอยากจะศึกษาเอกสารพวกนี้ดูคร่าวๆก่อนที่จะเข้าประชุมในตอนบ่าย คุณอาก็ทราบนี่ครับว่าผมไม่มีความรู้อะไรเกี่ยวกับบริษัททัดเทวาในตอนนี้เลย ถ้าขืนเข้าไปประชุมแบบสมองกลวงแบบนี้ พวกผู้บริหารคนอื่นได้หัวเราะเยาะหลานคุณอากลางที่ประชุมแน่ๆ” ชายหนุ่มเอาน้ำเย็นเข้าลูบก่อนจะเห็นว่าผู้สูงวัยกว่าคลายสีหน้าลงแล้ว เมื่อเห็นว่าวันชัยเริ่มคล้อยตามคำพูดของตน วิศรุตก็รีบหยอดคำพูดต่อทันที “ผมน่ะเหรอครับจะไม่ไว้ใจคุณอา คุณอาเป็นน้องแท้ๆของคุณพ่อ บริษัทนี้คุณอาก็เปรียบเสมือนเจ้าของคนหนึ่งเสียด้วยซ้ำ ถ้าไม่มีคุณอาสักคน บริษัททัดเทวาก็คงไม่เติบโตอย่างมั่นคง เช่นทุกวันนี้อย่างแน่นอน”

   “เอาเถอะหลานไม่ต้องมาพูดยออามากหรอก เอาเป็นว่าเดี๋ยวอาจะให้เลขาฯเอาเอกสารไปให้ที่ห้องทำงานของหลานก็แล้วกัน” วิศรุตขอบคุณอีกฝ่ายพร้อมรอยยิ้มกว้างก่อนจะขอตัวไปศึกษางานต่อที่ห้องทำงานที่อยู่ชั้นบน

วันชัยมองตามหลานชายจนกระทั่งฝ่ายนั้นปิดประตูห้องลงแล้ว ท่านรองประธานจึงมีสีหน้าที่เปลี่ยนไปจากเดิมลิบลับ รอยยิ้มจากการได้ฟังคำยกยอเมื่อครู่เลือนหายไปจากใบหน้า แต่แทนที่ไว้ด้วยความเย็นชา ผ่านไปครู่ใหญ่วันชัยจึงเรียกให้เลขาฯของตนเข้ามาขนกองเอกสารที่วิศรุตอยากได้ขึ้นไปให้เจ้าตัว

   “ท่านคะ จะให้ดิฉันขนกองเอกสารพวกนี้ไปให้ท่านประธานจริงๆเหรอคะ” มาลิกาถามด้วยความไม่แน่ใจเพราะเธอทำงานกับวันชัยมานานจนพอจะรู้ว่าเอกสารพวกนี้เป็นข้อมูลสำคัญมาก ถ้าหากวิศรุตรู้ระแคะระคายเรื่องความผิดปกติของข้อมูลพวกนี้แล้วล่ะก็ ทั้งเจ้านายรวมถึงตัวเธอเองด้วยก็จะต้องเดือดร้อนอย่างแน่นอน

   “วิศรุตก็แค่ไอ้เด็กเมื่อวานซืน มันไม่เคยเข้ามาสนใจการงานที่บริษัทเลย มันจะไปรู้อะไร อีกอย่างเอกสารพวกนี้ ถึงมันจะจับผิดให้ตายก็ไม่เจอพิรุธอะไรหรอกเพราะว่าเอกสารตัวจริงยังอยู่ที่ฉัน” วันชัยพูดด้วยน้ำเสียงไม่ยี่หระ เขาไม่โง่ถึงขนาดเอาเอกสารตัวจริงคืนให้วิศรุตหรอก ที่ฝ่ายนั้นได้ไปก็เป็นเพียงแค่ของตบตาที่เขาให้คนมาตกแต่งบัญชีให้แนบเนียนชนิดมืออาชีพยังแยกแยะไม่ได้เลยว่าเอกสารชุดไหนจริงชุดไหนปลอม

   “แกมันกระดูกคนละเบอร์กับฉัน ไอ้หลานรัก”


Aislin: สวัสดีค่ะ เปิดมาเห็นนักอ่านหลายๆท่าน (โดยเฉพาะในเล้าเป็ด) คอมเม้นท์ให้แล้วดีใจมากๆเลย ^-^ หลายท่านบอกว่าเคยอ่านเรื่องนี้มาแล้วตอนที่โพสแรก ชอบเลยกลับมาตามอ่านอีกครั้ง ในฐานะนักเขียนก็เลยปลาบปลื้มสุดๆ อยากจะกรี๊ดให้ดังไปสามบ้านเจ็ดบ้าน ฮาๆๆ
   ตอนนี้สองพ่อลูก วันชัยกับภาคินเริ่มออกลายชั่วแล้ว แต่เชื่อเถอะค่ะว่าเดี๋ยวต่อจากนี้ไปเรื่องราวจะต้องเข้มข้นเพิ่มขึ้นแน่นอน ใครชอบแนวนี้ฝากติดตามด้วยนะคะ
   และเนื่องจากเรื่องนี้กำลังจะฉลองครบรอบ 5 ปี ดังนั้นจะมีการตีพิมพ์รวมเล่มให้กับนักอ่านที่สนใจซื้อหาสะสมด้วยนะคะ โดยในเล่มจะมีตอนพิเศษแถมให้แบบจุใจ 3 ตอน (เป็นตอนพิเศษที่จะไม่โพสลงเว็บใดๆ) ถือเป็นการขอบคุณที่สนับสนุนผลงานของ Aislin ค่ะ ตอนนี้ต้นฉบับใกล้จะเสร็จแล้ว หนามาก ราว 410 หน้าโดยประมาณ ปกก็กำลังออกแบบเช่นกัน เดี๋ยวจะค่อยๆแจ้งรายละเอียดอีกทีนะคะ เพราะต้องส่งขอประเมินราคาจากโรงพิมพ์ก่อน แล้วจึงค่อยเอาราคามาแจ้ง ถ้าหากท่านใดสนใจ เตรียมเงินได้เลยยยยย... แล้วก็อย่าลืมเข้าไปกด LIKE และติดตามข่าวนิยายได้ที่แฟนเพจนะคะ www.facebook.com/Aislin.Napoon

ปล. หากมีข้อสงสัยเกี่ยวกับนิยายรวมเล่ม สอบถามได้เลยค่ะ หรือจะสอบถามมาทางแฟนเพจก็ได้เน้อ (ตอบเร็วกว่า) เดี๋ยวมาตอบให้แน่นอนจ้ะ
ปล.2 อ่านจบอย่าลืมทิ้งคอมเม้นท์ไว้หน่อยน้า ^0^


CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ Aislin

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 196
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +27/-1
เข้มข้น น่าติดตามมากเลยค่ะ

ส่วนตัวคิดว่าวิศรุตน่าจะเก่งนะ แค่เอาความเสเพลบังหน้า

ขอบคุณสำหรับการติดตามนะคะ เรื่องเก่งไม่เก่ง เดี๋ยวมีพัฒนาการให้เห็นแน่นอน ฮาๆๆๆ ^0^

ออฟไลน์ Aislin

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 196
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +27/-1
จะรีไรท์เก๊าก็จะตามมาอ่านอีกก ชอบเรื่องนี้นะคะ
วิศรุตสู้ๆๆ

จำคุณ blanchet ได้ค่ะ ขอบคุณที่กดเข้ามาอ่านอีกครั้งนะคะ ดีใจมากๆเลย ^0^

ออฟไลน์ Aislin

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 196
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +27/-1
ขอให้ได้เจอกันไวๆนะ วิศรุตกับนภัทร   :mew2:

ไม่ต้องห่วงค่ะ เดี๋ยวอีกไม่นานก็จะได้เจอกันแล้ว แต่ปฏิกริยาตอนเจอหน้ากันอีกครั้งนี่สิจะเป็นยังไงน้าาา... ไปร่วมลุ้นพร้อมๆกันนะคะ ^0^

ออฟไลน์ Aislin

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 196
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +27/-1
จิ้มจึ้ก ปักธง เห็นชื่อเรื่องปั้บรีบพุ่งหลาวเข้ามาทันใด
 เคยอ่านเมื่อนานมาแล้ว อยากอ่านอีก
จำเนื้อเรื่องได้แม่นเพราะชอบ เลยอ่านหลายรอบมากๆๆ
มาขอรอต่อคิวอ่านฉบับรีไรท์ด้วยคนนะคะ

ด้วยความยินดีค่ะ ปลาบปลื้มมากๆเลยที่ยังมีนักอ่านจำได้ อยู่ด้วยกันไปนานๆนะคะ ฝากติดตามผลงานอื่นๆด้วยเน้อ ^0^ 

ออฟไลน์ Aislin

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 196
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +27/-1
สนุกดีค่ะ สงสารวิศรุตเลยตอนไปเมืองนอก แต่ก็เข้าใจณภัทรน่ะนะคนมันไม่ชอบ?จะทำไงได้  รอตอนต่อไปค่ะ :mew1:

ยังมีให้น่าสงสารกว่านี้อีกค่ะ เดี๋ยวรอติดตามนะคะ โดยเฉพาะประเด็นที่ว่านภัทรจะหันหลับมาชอบวิศรุตได้ยังไง บอกเลยว่าเข้มข้นมากๆๆ อิอิ

ออฟไลน์ Maytbb

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1763
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +54/-4
คุณลุงมั่นใจเหลือเกินนะคะ   o18

ออฟไลน์ Celestia

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 833
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +16/-0
ตบแต่งบัญชีนี่ผิดกฎหมายนะครัชลุง อย่าให้วิศรุตจับได้นะลุง ตายหยังเขียดแน่

แต่เราเข้าใจนะถ้าภาคินจะแค้นอะ เป็นใครโดนพูดแบบนี้ใส่ก็โกรธอะ

ออฟไลน์ ДηοηγМ

  • 出会えて、よかった
  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 517
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +39/-1
น่าติดตามมากค่ะ
ภาษาไหลลื่น บรรยายเห็นภาพดีค่ะ

ออฟไลน์ Aislin

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 196
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +27/-1
            “ตื่นเช้าจังเลยนะคะ” ศรารัตน์ยิ้มให้ต้นอ้อ พยาบาลสาวอัธยาศัยดีที่หญิงสาวเพิ่งจะมีโอกาสได้ถามชื่อตอนที่ฝ่ายนั้นมาเช็ดตัวเปลี่ยนเสื้อผ้าให้กับเธอ “ท่าทางคุณดูสดชื่นแบบนี้ พักฟื้นอีกไม่นานต้องหายเป็นปกติแน่นอนค่ะ” คนป่วยเอ่ยขอบคุณเบาๆก่อนถามขึ้น

 
           “แล้วฉันต้องอยู่โรงพยาบาลอีกนานเท่าไหร่คะ ได้แต่นอนอยู่แบบนี้ ฉันเบื่อจะแย่อยู่แล้ว”


            “อันนี้คงต้องรอถามคุณหมอเองแล้วล่ะค่ะ ตอนนี้คุณหมอติดตรวจอาการคนไข้อีกรายอยู่ อีกสักพักก็คงมาเช็กร่างกายให้คุณค่ะ” ศรารัตน์แอบเบ้หน้า คุณหมอสมชายเจ้าของไข้เป็นอีกคนหนึ่งที่เธอไม่อยากเจอหน้าเอาเสียเลย ด้วยเพราะฝ่ายนั้นชอบทำหน้าบึ้งตึงอยู่ตลอดเวลาราวกับมีเรื่องที่ต้องคิดให้เครียดสมองมากมาย มันทำให้เมื่อเธอมองหน้าคุณหมอสมชายทีไรก็อดรู้สึกหงุดหงิดไม่ได้ อีกอย่างหนึ่งคือฝ่ายนั้นเป็นคุณหมออายุอานามก็ปาเข้าไปหกสิบกว่าๆแล้ว ขืนเธอต้องทนเจอหน้าคุณหมอสมชายทุกวัน มีหวังคงได้เฉาตายกันพอดี


            “ที่ฉันเบื่อเนี่ย ส่วนหนึ่งก็เบื่อคุณหมอเจ้าของไข้ของตัวเองนี่แหล่ะค่ะ” ต้นอ้อยิ้มให้ศรารัตน์ที่ทำหน้ามุ่ยก่อนจะเฉลยให้อีกฝ่ายฟัง


            “งั้นอีกหน่อยคุณก็คงไม่ต้องทนเบื่อแล้วล่ะค่ะ เพราะว่าคุณหมอสมชายจำเป็นต้องบินด่วนไปศึกษางานวิจัยที่เมืองนอก คุณหมอท่านก็เลยโอนเคสของคุณให้คุณหมออีกท่านรับดูแลต่อ รับรองว่าคราวนี้คุณคงหายเบื่อแน่ๆ เพราะอ้อไม่เห็นว่าพวกพยาบาลที่วอร์ดนี้เค้าจะบ่นกันเลยสักครั้ง” ศรารัตน์นึกขอบคุณในใจที่คุณหมอสมชายติดงานวิจัยที่เมืองนอก หวังว่าคุณหมอคนใหม่คงจะไม่แย่ยิ่งกว่าคนเดิมนะ เพราะถ้าเป็นแบบนั้นก็ไปตามคุณหมอสมชายกลับมาเสียดีกว่า


            “มาค่ะ เดี๋ยวฉันปรับเตียงให้ คุณจะได้เอนหลังได้สะดวก เอ้อ คุณหมอมาพอดีเลย” เสียงเปิดประตูห้องทำให้ศรารัตน์หันไปมอง


             ผู้มาใหม่เป็นชายหนุ่มร่างสูง ผิวขาวที่ดูแล้วอายุน่าจะมากกว่าเธอไม่เท่าไหร่นัก ดวงตาสีดำขลับคู่นั้นอยู่ภายใต้แว่นตาเลนส์บางไร้กรอบตามสมัยนิยม ใบหน้าได้รูปที่รับกับจมูกที่โด่งเป็นสันยิ่งทำให้คนตรงหน้าชวนมองยิ่งขึ้นไปอีก ถ้าไม่ใช่เสื้อกาวน์ตัวยาวที่อีกฝ่ายกำลังสวมอยู่ ศรารัตน์คงไม่รู้เลยว่านี่คือคุณหมอคนใหม่ที่จะมาดูแลเคสของเธอแทนคุณหมอสมชาย และหญิงสาวคงจะเสียมารยาทจ้องหน้าอีกฝ่ายต่อไปเรื่อยๆหากว่าต้นอ้อไม่เข้ามาสะกิดเธอให้รู้สึกตัวเสียก่อน


            “สวัสดีครับ หมอชื่อนภัทร จะมารับหน้าที่เป็นหมอเจ้าของไข้ของคุณแทนคุณหมอสมชาย คิดว่าพยาบาลคงจะแจ้งให้คุณทราบแล้ว”


             ศรารัตน์รับคำยิ้มๆแล้วบอกว่าเธอเพิ่งจะรู้เมื่อสักครู่นี้เอง ใครจะไปนึกว่าคุณหมอนภัทรคนนี้จะแตกต่างกับคุณหมอสมชายราวฟ้ากับดินแบบนี้ล่ะ ดวงตายาวรีของหญิงสาวอดไม่ได้ที่จะลอบมองคุณหมอสุดหล่ออยู่ตลอดเวลาในขณะที่ฝ่ายนั้นตรวจเช็คร่างกายของเธอ ใบหน้าหล่อคมของหมอนภัทรเหมือนมีรอยยิ้มประดับไว้อยู่ตลอด ทำให้คนที่แอบชำเลืองตามองอยู่แทบละสายตาไปไม่ได้เลยทีเดียว


            “ช่วงนี้มีอาการเจ็บหรือว่าปวดตรงไหนบ้างหรือเปล่าครับ” นภัทรถามคนไข้ของเขาพร้อมรอยยิ้มขำ เขานึกรู้ว่าอีกฝ่ายแอบมองเขามาตั้งแต่ที่เริ่มตรวจแล้ว แถมบางครั้งยังเผลอจ้องเหมือนกับว่าเขามีอะไรติดอยู่บนหน้าอย่างนั้นแหล่ะ


            “ก็ยังปวดซี่โครงตรงจุดเดิม แล้วบางครั้งก็จะรู้สึกปวดขาแบบเจ็บแปลบๆ บางทีฉันก็รู้สึกว่าบังคับขาตัวเองไม่ได้เลยค่ะ” นภัทรพยักหน้ารับรู้ก่อนจะวิเคราะห์อาการจากคำบอกเล่าของศรารัตน์


            “เรื่องซี่โครง ถ้าดูจากฟิล์มเอกซเรย์แล้วก็ไม่น่าห่วงเท่าไหร่นัก ถ้าได้พักฟื้นสักพักอาการปวดก็จะดีขึ้นเอง ส่วนเรื่องที่คุณรู้สึกว่าปวดขา หมอคิดว่าคงจะเกี่ยวกับผลข้างเคียงของการผ่าตัดซึ่งเรื่องนี้คงจะต้องอาศัยการทำกายภาพบำบัดเข้าช่วยนะครับ”


            “แล้วฉันจะกลับบ้านได้เมื่อไหร่คะ”


            “ช่วงนี้ต้องรอดูอาการก่อนนะครับ หมอเองก็ยังบอกแน่นอนไม่ได้เพราะอุบัติเหตุที่เกิดขึ้นกับคุณไม่ใช่อุบัติเหตุเล็กๆน้อยๆที่เมื่อทำแผลแล้วก็กลับบ้านได้ ผมอ่านจากรายงานของหมอสมชายแล้ว ที่คุณสามารถรอดชีวิตมาได้แถมยังโชคดีไม่พิการอีก เท่านี้ก็น่าทึ่งมากแล้วล่ะครับ” ศรารัตน์อดหัวเราะออกมาไม่ได้ หมอนภัทรพูดเสียจนน่ากลัวเชียว


            “ถ้าอย่างนั้นคงต้องยกความดีให้คุณหมอสมชายแล้วล่ะค่ะ เพราะถ้าไม่ได้คุณหมอท่านช่วยเอาไว้ได้ทัน ฉันก็อาจจะตายไปแล้วหรือไม่ก็คงพิการแบบที่คุณหมอบอกจริงๆ” นภัทรยิ้มให้ผู้ป่วยสาวสวยตรงหน้าแทนคำตอบ เขาหยิบแฟ้มรายงานประจำตัวของคนไข้มาเปิดก่อนจะเขียนบันทึกอาการจากคำบอกเล่าของศรารัตน์ลงไปแล้วสรุปปิดท้ายสำหรับการตรวจในวันนี้


            “ยังไงก็พักผ่อนมากๆนะครับ ช่วงนี้หมออยากให้งดอาหารหนักๆไว้ก่อนเพราะร่างกายคุณยังไม่ฟื้นตัวดี ถ้างั้นเดี๋ยวฝากจัดการด้วยนะครับคุณพยาบาล” ประโยคสุดท้ายหมอนภัทรหันไปสั่งพยาบาลสาวทำนองว่าอย่าลืมเอาป้ายงดอาหารหนักมาแขวนไว้หน้าห้องผู้ป่วยด้วย ซึ่งอีกฝ่ายก็รับคำอย่างรู้หน้าที่ของตนเป็นอย่างดี


            หลังจากตรวจอาการศรารัตน์เสร็จเรียบร้อย นภัทรจึงขอตัวไปตรวจคนไข้ห้องอื่นต่อซึ่งหญิงสาวก็ไม่ได้ขัดข้องอะไรแม้ว่าในใจอยากจะให้คุณหมอนภัทรใช้เวลาตรวจอาการของเธอให้นานกว่านี้ก็ตามที


            “คราวนี้ยังเบื่ออีกหรือเปล่าคะ” พยาบาลต้นอ้อกระเซ้าถามยิ้มๆ เธอสังเกตเห็นตอนที่ศรารัตน์เห็นหน้าหมอนภัทร ครั้งแรก หญิงสาวถึงกลับเคลิ้มไปเลย คราวนี้คงได้ยาดีแล้วกระมัง


            “ว่าแต่คุณหมอนภัทรอายุประมาณเท่าไหร่เหรอคะ เหมือนคุณหมอเพิ่งจบใหม่ๆเลย” ที่ศรารัตน์ถามแบบนี้ก็เพราะว่าหน้าตาของนภัทรดูไม่น่าจะเกินอายุสามสิบเลยสักนิด โรงพยาบาลที่เธอรักษาตัวอยู่นี้เป็นโรงพยาบาลชื่อดัง คงจะไม่มีทางยอมรับหมอที่เพิ่งจบใหม่แล้วก็ยังไม่มีประสบการณ์เข้าร่วมเป็นทีมแพทย์ของโรงพยาบาลแน่ ด้วยเพราะกลัวจะเสียชื่อเสียงด้านคุณภาพในการรักษาพยาบาล


            “คุณหมอนภัทรเป็นคุณหมอหนุ่มไฟแรง เพิ่งเรียนจบจริงๆอย่างที่คุณว่านั่นแหล่ะ คุณหมอถือเป็นลูกศิษย์คนโปรดของคุณหมอสมชายเลยล่ะค่ะ เห็นพวกพยาบาลคนอื่นเค้าเคยคุยกันว่าคุณหมอนภัทรเนี่ยเก่งมากถึงขนาดคุณหมอสมชายไว้ใจให้ดูแลเคสใหญ่ๆตั้งหลายต่อหลายครั้ง” คำตอบของพยาบาลสาวตอบคำถามที่คาใจของศรารัตน์ได้อย่างดี ทั้งเก่งมีความสามารถ แถมยังรูปหล่อแบบนี้ มิน่าล่ะถึงได้มาเป็นแพทย์ในโรงพยาบาลชั้นนำแบบนี้ได้ ศรารัตน์อมยิ้มกับความคิดของตัวเอง เธอชักจะสนใจคุณหมอนภัทรคนนี้ขึ้นมาเสียแล้ว

 



            วิศรุตเดินออกจากห้องประชุมด้วยสีหน้าที่แสดงชัดว่ากำลังไม่สบอารมณ์เต็มที่ ประสบการณ์การเข้าร่วมประชุมผู้บริหารของบริษัทในวันแรกเป็นสิ่งที่ไม่ได้สร้างความประทับใจให้เขานัก ตลอดการประชุมเกือบสามชั่วโมงที่ผ่านมา เขาต้องคอยตอบคำถามโน่นนี่ของบรรดาผู้บริหารทั้งหลายถึงเรื่องที่ว่าทำอย่างไรจึงจะสร้างความเติบโตให้กับกิจการภายใต้การนำของเขาได้ ต้องฟังเสียงคำวิพากษ์วิจารณ์ติเตียนถึงเรื่องที่เขาไม่เคยเข้ามาบริหารงานในบริษัทเลยทั้งๆที่ตัวเองเป็นถึงประธานบริษัท และที่หนักที่สุดก็คงเป็นเรื่องที่คุณมงคล กรรมการผู้ถือหุ้นท่านหนึ่งลุกขึ้นมาพูดจาสบประมาทถึงความไม่มีน้ำยาในการ ทำงานของเขาอย่างไม่ไว้หน้า วิศรุตจึงอดสงสัยไม่ได้ว่านี่มันงานประชุมผู้บริหารหรืองานพิพากษาโทษของเขากันแน่


            “เดี๋ยวก่อนคุณวิศรุต” น้ำเสียงที่เรียกชื่อเขาด้านหลัง ทำให้วิศรุตหันกลับไปมอง ตาแก่มงคลตัวแสบนั่นเอง


            “มีอะไรจะชี้แนะผมอีกเหรอครับคุณมงคล” วิศรุตถามด้วยเสียงยียวน ในใจยังคุกรุ่นเพราะเรื่องในห้องประชุมอยู่


            “ผมแค่อยากจะเตือนคุณว่าในฐานะประธานบริษัทที่ถือว่าเป็นหน้าเป็นตาของที่นี่ จะคิดหรือจะทำอะไรก็ขอให้พิจารณาเอาไว้ให้มากๆ กริยาเมื่อครู่ที่คุณลุกเดินออกมาจากห้องทั้งที่การประชุมผู้บริหารยังไม่เสร็จสิ้นมันไม่ใช่สิ่งที่ประธานบริษัทอย่างคุณควรกระทำ ถ้าคิดจะเป็นผู้บริหารก็จะต้องรู้จักรับฟังความคิดเห็นของคนอื่นด้วย” ผู้สูงวัยกว่าเอ่ยเตือนด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำแต่วิศรุตก็ตอกกลับด้วยแววตาแข็งกร้าวแบบไม่ยอมเช่นกัน


            “จะให้ผมนั่งปั้นหน้าทำเป็นไม่ทุกข์ร้อนฟังคนอื่นรุมด่าผมทีละคนหรือยังไงครับคุณลุง”


            “คุณควรจะมีความอดทนอดกลั้นให้มากกว่านี้”


            “ขอบคุณครับที่เตือน แต่ขีดจำกัดความอดทนของผมมีน้อยจริงๆ และผมเองก็จะไม่ทนอะไรที่ไม่อยากทนเช่นกัน”วิศรุตพูดจบก็หันไปสั่งอิงอรให้บอกคนรถเตรียมเอารถออกให้เขาด้วย ก่อนเจ้าตัวจะเดินลิ่วลงลิฟต์ไปยังชั้นล่างเพื่อรอรถทันทีโดยที่มงคลได้แต่มองตามแล้วส่ายหัวในนิสัยดื้อรั้นของบุตรชายคุณวรุต ทัดเทวา ประธานบริษัทคนก่อนที่ผู้ถือหุ้นทุกคนให้การยอมรับในความสามารถแบบไม่มีข้อสงสัย


            “เค้าก็ดื้อรั้นอย่างนั้นเป็นประจำแหล่ะครับคุณมงคล วิศรุตเคยยอมฟังใครเสียที่ไหนล่ะ” วันชัยและภาคินเดินเข้ามาสมทบกับมงคลหลังจากที่วิศรุตลงลิฟต์ไปแล้ว


               “คุณลุงมงคลก็อย่าถือสาวิศรุตเลยนะครับ เขาอาจจะยังเป็นมือใหม่ คงยังไม่คุ้นกับการบริหารงานคนหมู่มากแบบนี้ เราคงต้องให้เวลาเขาได้พิสูจน์ฝีมือบ้าง” ภาคินช่วยเสริมคำพูดของพ่อ ยิ่งวิศรุตไม่ลงรอยกับบรรดาผู้ถือหุ้นเพียงใด เขากับพ่อก็จะยิ่งได้ประโยชน์เท่านั้น


            “ผมก็หวังว่าจะเป็นอย่างที่คุณภาคินพูด แล้วก็หวังว่าคุณวิศรุต ทัดเทวาจะได้พิสูจน์ตัวเองเสียทีว่าตนเหมาะสมกับตำแหน่งสูงสุดนี้หรือเปล่า” สีหน้าที่แสดงออกถึงความไม่ค่อยพอใจวิศรุตนัก ทำให้ภาคินต้องแอบเบือนหน้าไปยิ้มร้ายกับวันชัยด้วยความสะใจ อีกไม่นานวิศรุตคงต้องถูกบีบให้ลงจากตำแหน่งอย่างแน่นอน

 



            วิศรุตขับรถตั้งใจว่าจะกลับบ้านเลย วันนี้ทั้งวันเขาคงไม่มีอารมณ์จะทำอะไรแล้ว แต่ในที่สุดก็เปลี่ยนใจจึงกลับรถเปลี่ยนเส้นทางเพื่อไปเยี่ยมศรารัตน์ที่โรงพยาบาลแทน เขากลับมาเมืองไทยได้สองวันแล้วแต่ก็ยังไม่ได้ไปเยี่ยมน้องสาวเสียที ตอนนี้ยิ่งอารมณ์เซ็งๆอยู่พอดี บางทีการได้ทะเลาะกับฝ่ายนั้นคงจะทำให้เขาอารมณ์ดีขึ้นมาบ้าง


            ชายหนุ่มสอบถามห้องพักของศรารัตน์จากเคาเตอร์ประชาสัมพันธ์ ก่อนจะขึ้นลิฟต์ไปยังห้องผู้ป่วยที่อยู่ชั้นสามของตึกเดียวกัน ในที่สุดเขาก็มาถึงห้องที่ว่า วิศรุตมองป้ายชื่อเล็กๆหน้าห้องก่อนจะพบว่าน้องสาวเขาพักฟื้นอยู่ห้องนี้ไม่ผิดแน่ ชายหนุ่มเคาะประตูสองสามทีก่อนเปิดเข้าไปเลยโดยไม่รอให้คนในห้องอนุญาต


            “นิสัยยังเหมือนเดิมไม่เปลี่ยนเลยนะ เคยไร้มารยาทยังไงก็ยังเป็นอยู่อย่างนั้นไม่ผิด” ศรารัตน์ที่นอนอยู่บนเตียงหันหน้าไปทางผู้มาใหม่ ถึงแม้ไม่ได้เจอกันเกือบปีเพราะว่าเธอกลับมาเมืองไทยก่อนวิศรุต แต่ศรารัตน์ก็ไม่ค่อยรู้สึกยินดียินร้ายหรือว่าคิดถึงวิศรุตเท่าใดนัก ไม่เหมือนพี่น้องที่ไม่ได้เจอกันนานเกือบปีเลยซักนิด


            “ฉันเคาะประตูแล้ว หรือว่าเธอไม่ได้ยิน สงสัยคราวหน้าคงต้องเคาะให้ดังกว่านี้” วิศรุตแก้ตัวแบบน้ำขุ่นๆ


            “ฉันได้ยิน แต่นายก็ควรจะรอให้ฉันอนุญาตเสียก่อน ทะเล่อทะล่าเข้ามาแบบนี้มันเสียมารยาท ขืนฉันกำลังเช็ดตัวเปลี่ยนเสื้อผ้าอยู่จะว่ายังไง” ศรารัตน์อดส่งเสียงแหวใส่ผู้เป็นพี่ชายไม่ได้ที่ทำอะไรไม่ค่อยคิดหน้าคิดหลังเลย


            “ถึงจะเห็นตอนเธอเปลี่ยนเสื้อผ้าก็ไม่เห็นเป็นไรเลย ทีตอนเด็กๆล่ะไม่รู้จักอาย ชอบเดินแก้ผ้าโทงๆไปทั่วบ้าน” ศรารัตน์หน้าแดงก่ำที่ถูกอีกฝ่ายเอาเรื่องเก่ามาประจาน หญิงสาวคว้าหมอนที่หนุนอยู่ปาไปที่คนปากเสียทันที วิศรุตมาไม่ทันไรก็ ทำเธอของขึ้นอีกแล้ว ฝ่ายนั้นต้องการมายั่วโมโหกันชัดๆ


              ส่วนวิศรุตก็รับหมอนที่ปามาได้ทันก่อนที่จะโดนหน้าตัวเองเข้าไปเต็มๆ ชายหนุ่มหัวเราะร่าก่อนจะเอาหมอนไปวางไว้ที่เดิมแล้วพูดขึ้น “ป่วยแบบนี้ยังจะมีแรงมาอาละวาดอีก เอ้อ ลืมไปว่าผู้หญิงอย่างนางสาวศรารัตน์ ทัดเทวาทั้งทนและ... ถึก” ทันทีที่พูดจบตระกร้าผลไม้ก็ลอยไปหาวิศรุตทันที ฝ่ายนั้นเตรียมพร้อมไว้ก่อนอยู่แล้วจึงใช้มือรับไว้ได้ทันอีกครั้ง


            “ที่มาเนี่ยจะมายั่วโมโหฉันใช่ไหม”


            “ก็แค่จะมาดูว่าอาการเธอเป็นไงบ้าง พิกลพิการส่วนไหนหรือเปล่า ถ้าถึงขั้นเสียโฉมล่ะแย่เลยเพราะหนุ่มๆคงหายหมด อาจต้องลงประกาศหาคู่ในหนังสือพิมพ์แบบในมาลัยไทยรัฐ ประมาณว่ารับสมัครผู้ชายเสียสติเข้าคัดเลือกเป็นคู่ครองของทายาทเศรษฐีตระกูลดังที่เสียโฉมจากอุบัติเหตุรถคว่ำอย่างนางสาว ศรารัตน์ ทัดเทวา”


            “วิศรุต” สีหน้าแดงก่ำของคู่สนทนาบอกให้เขารู้ว่าน้องสาวตนคงกำลังโมโหอย่างถึงที่สุด ถ้าไม่ติดว่ากำลังป่วยอยู่ล่ะ ก็ เธอคงลุกขึ้นมาวิ่งไล่ทุบหลังเขาจนกระอักไปแล้วเหมือนอย่างที่เคยทำตอนเด็กๆ


             วิศรุตหัวเราะร่วน ความเครียดจากเรื่องที่บริษัทได้ถูกระบายไปกับศรารัตน์แล้วส่วนหนึ่ง แต่เมื่อน้องสาวเขาเปิดประเด็นเรื่องการประชุมเมื่อบ่ายขึ้นมาก็ทำให้วิศรุตอดที่จะหงุดหงิดอีกรอบไม่ได้


            “คุณอิงอรเพิ่งโทรบอกฉันว่าตอนบ่ายนายถูกพวกกรรมการบริหารเฉ่งเละเสียจนไม่มีดีกลางห้องประชุมเลย เป็นยังไงล่ะขายขี้หน้าเขาไหม ลูกชายคนเดียวของคุณวรุต ทัดเทวากลับไม่เอาอ่าวเรื่องการเรื่องงานเลยสักนิด ดีแต่ใช้เงินมือเติบไปวันๆ” ได้ทีศรารัตน์ก็สวนกลับบ้าง พี่ชายคนนี้มีดีให้น้องสาวอย่างเธอชมเชยเสียเมื่อไหร่ จะดีก็ตรงเรียนจบเกียรตินิยมจากเมืองนอกเนี่ยแหล่ะ ส่วนเรื่องอื่นก็มักจะทำให้วงศ์ตระกูลต้องขายหน้าอยู่ร่ำไป โดยเฉพาะเรื่องความเสเพลนี่แก้ไม่หายเอาไม่อยู่จริงๆ


            “ที่ฉันเข้าบริษัทเนี่ยไม่ได้กะว่าจะเข้ามาทำงานอย่างเต็มตัวเสียหน่อย วันนี้ที่เข้าไปก็แค่เห็นว่ามีประชุมใหญ่ผู้บริหารพอดี ก็เลยต้องเข้าประชุมตามหน้าที่ประธานบริษัทที่ดีก็เท่านั้นแหล่ะ”


            “เห็นว่าท่านประธานถึงกับทนไม่ได้ลุกออกจากที่ประชุมเลยนี่นา ทำแบบนี้แล้วผู้บริหารคนอื่นเค้าจะคิดยังไงกันเนี่ย”


            “ก็บอกแล้วไงว่าฉันไม่ได้กะจะมาทำงานจริงๆจังๆในตอนนี้ ฉันก็แค่แวะมาช่วยดูบริษัทตอนที่เธอกำลังนอนพะงาบๆอยู่ที่โรงพยาบาลนั่นแหล่ะ พอเธอหายดีกลับมาทำงานได้แล้ว ฉันก็จะได้กลับอังกฤษเสียที”


            “นี่ยังคิดจะกลับไปใช้ชีวิตเสเพลที่อังกฤษอีกเหรอเนี่ย เรียนก็เรียนจบแล้ว งานการที่นี่มีก็ไม่รู้จักทำ ถามจริงเหอะคนอย่างนาย ชีวิตนี้จะรู้จักการทำงานหาเงินบ้างไหม หรือว่ารู้จักแต่การใช้เงินอย่างเดียว” วิศรุตชักสีหน้าใส่แม่น้องสาวตัวดีที่ทำหน้าที่เทศนาเขาเสียจนหูยาน ไม่รู้ว่าใครเป็นพี่ใครเป็นน้องกันแน่


            ‘ก๊อกๆ’


             เสียงเคาะประตูห้องดังขึ้นส่งผลให้สงครามน้ำลายหยุดอยู่แค่นั้น วิศรุตเม้มปากแน่น คงจะไม่ดีนักถ้าจะมาทะเลาะกับคนป่วยต่อหน้านางพยาบาลแบบนี้ วิศรุตหันหลังยืนกอดอกทันที ขณะที่ศรารัตน์ส่งเสียงเป็นเชิงอนุญาตให้เข้ามาได้


            “อ้าว คุณหมอนั่นเอง ยังไม่ออกเวรเหรอคะ” พอรู้ว่าเป็นหมอไม่ใช่นางพยาบาลที่เข้ามาในห้อง วิศรุตก็หันหลังกลับมาเผชิญหน้าอีกฝ่ายทันที เขาอยากจะถามหมออยู่พอดีเลยว่าศรารัตน์จะออกจากโรงพยาบาลได้เมื่อไหร่ เพราะยิ่งน้องสาวเขากลับไปทำงานได้ไวเท่าไหร่ เขาก็ยิ่งเป็นอิสระเร็วขึ้นเท่านั้น ทว่าคนที่ยืนอยู่เบื้องหน้าทำให้เขาตะลึงจนหัวใจแทบหยุดเต้น ซึ่งอีกฝ่ายพอมองเห็นหน้าเขาก็ชะงักไปเช่นกัน วิศรุตบังคับสายตาให้เบนไปจากดวงตาสีถ่านที่คุ้นเคยก่อนจะไล้สายตาลงไปเรื่อยๆจนกระทั่งหยุดที่ป้ายชื่อกลัดหน้าอกที่เสื้อกาวน์ของฝ่ายนั้น ชายหนุ่มกลืนน้ำลายเหนียวๆลงคอ เป็นอย่างที่คิดไว้ไม่ผิด คนตรงหน้าเขาในตอนนี้คือ... นายแพทย์ นภัทร อิสรีย์

 

Aislin: สวัสดีค่ะ ขออภัยที่หายหน้าไปหลายวันเลยนะคะ พอดีว่าช่วงนี้งานยุ่งมากๆทั้งงานราษฏร์และงานหลวง เลยไม่ค่อยได้เข้ามาอัพนิยายเท่าไหร่ แต่วันนี้มาอัพให้แล้ว ก็ขอให้สนุกกับการอ่านเน้อ ถ้าหากมีคอมเม้นท์ติ/ชมก็ยินดีเลยค่ะ ชอบอยู่แล้วไอ้ระบบการฟีดแบ็กจากนักอ่านเนี่ย ^-^

            มาแจ้งเรื่องรูปเล่มนิดนึง พอดีว่าตอนนี้เกดกำลังปรู๊บ Artwork อยู่ค่ะ (ยังทำไม่ถึงไหนเลย แหะๆ) แต่หนังสือคงหนาราว 410 หน้า (นิยาย+ตอนพิเศษอีก 3 ตอนที่จะไม่ลงเว็บ) กะราคาคร่าวๆ ไม่เกินเล่มละ 400 บาทค่ะ ถ้าหากใครสนใจ ติดต่อมาได้เลยนะคะที่อีเมล์ Aislinnovelsอย่าแสดงเมลบนบอร์ด.com หรือ www.facebook.com/Aislin.Napoon

ส่วนปกนิยายตอนนี้กำลังจ้างออกแบบอยู่ค่ะ แต่คิดว่าใกล้จะได้ยลกันแล้ว ถ้าหากได้เรื่องยังไง จะรีบเอาข่าวมาแจ้งอย่างว่องไวนะคะ // ฝากอุดหนุนกันด้วยเน้อ ^-^
[/color]

ออฟไลน์ Aislin

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 196
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +27/-1
คุณลุงมั่นใจเหลือเกินนะคะ   o18

เดี๋ยวก็รู้ค่ะว่าไผเป็นไผ ฮาๆๆๆ ขอบคุณที่ติดตามนะคะ ^0^

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด