ตอนที่ 19 ครึ่งหลัง
หลังจากที่ทั้งคู่แลกช่องทางการติดต่อกันแล้ว ทั้งคู่ก็พากันเดินคุยกันไปยังห้องน้ำ ซึ่งทั้งคู่ก็เข้ากันได้เป็นอย่างดี และมีอะไรที่ชอบทำเหมือนๆ กันอีก กระทั่งออกจากห้องน้ำ ทั้งคู่ก็ยังคุยกันไม่หยุด
“ฉันชอบมากๆ เลยล่ะเรื่องตกแต่งบ้านอะไรพวกนี้ ก็อยู่บ้านเดียวกับคุณพัฒน์มาตั้งแต่เด็กๆ ทำอะไรก็ทำด้วยกัน แต่ก่อนน่ะเป็นเพื่อน แต่เดี๋ยวนี้เป็นลูกน้อง”
“ฉันก็ชอบนะ ที่บ้านฉันก็ชอบเอาเงินพ่อกับแม่ออกไปซื้อของมาตกแต่งประจำจนโดนด่าบ้างล่ะ” ธีร์เล่ายิ้มๆ คิดถึงมันแล้วก็มีความสุข
“ว้าแย่จัง ฉันต้องไปทำงานน่ะ คุณพุฒิรอนานแล้ว ขอตัวก่อนนะ เดี๋ยวโดนด่า” เจโรมีทำหน้าเสียดาย เนื่องจากทั้งคู่คุยกันลูกคอและสนุกกันมากๆ
ธีร์เองก็เสียดายไม่น้อย เนื่องจากเขากับอินทัชเพื่อนสนิทก็ไม่ค่อยได้เจอกันมากนัก มันก็ไม่มีเพื่อนที่จะคุยกันได้ กับพัฒน์นี่ไม่ทะเลาะกันก็เงียบลูกเดียว
กว่าจะได้เจอเจโรมีอีก ก็คงนาน...
“เดี๋ยวไลน์คุยกันก็ได้ ฉันก็ต้องไปหาไอ้พัฒน์เหมือนกัน ไม่โทรตามนี่รอลงโทษที่ห้องแน่ๆ” ธีร์บอก ทั้งคู่ยิ้มให้กันก่อนจะลากันอย่างหงอยๆ เจโรมีเดินเข้าไปคุยอะไรสักอย่างกับเลขาหน้าของของพุฒิก่อนจะเข้าไป ส่วนเขาก็กลับไปยังห้องของพัฒน์ซึ่งมีเลขาหน้าห้องส่งยิ้มให้เขาแบบยั่วยวนสุดๆ
ธีร์เปิดประตูเข้าไปในห้องทำงานของพัฒน์ก่อนจะได้ยินเสียงตะโกนอย่างเกรี้ยวกราดของเจ้าของห้องดังขึ้นจนร่างโปร่งถึงกับสะดุ้งด้วยความตกใจ
“ออกไป!!!”
อะไรวะเนี่ย...
“เกิดอะไรขึ้นวะ”
หลังจากที่ร่างโปร่งยืนนิ่งกับที่เพื่อมองดูว่าคนตัวสูงไล่ใครหรือกำลังโมโหใครให้แน่ชัดเสียก่อน แต่เสียงคุยกันที่บ่งบอกว่าพัฒน์ไม่ได้อยู่คนเดียวก็ทำให้ธีร์ก้าวเท้าเดิน
“หวังว่า มันคงไม่ได้อาละวาดใครอยู่หรอกนะ”
ธีร์ค่อยๆ เดินไปหาพัฒน์ที่กำลังยืนกอดอกมองใครอีกคนที่นั่งไขว่ห้างอยู่บนโซฟาที่พอเขาเข้าไปยืนข้างร่างสูงแล้วก็พบว่าเป็นผู้ชายคนหนึ่งน่าจะอายุมากกว่าพัฒน์กำลังนั่งพาดแขนทั้งสองข้างบนโซฟาด้วยท่าทางสบายๆ ทำราวกับว่าตัวเองเป็นเจ้าของห้องนี้
“พัฒน์” ธีร์ค่อยๆ เรียกร่างสูงอย่างกล้าๆ กลัวๆ
“ไปไหนมา” ถามดุๆ
“เข้าห้องน้ำ”
“ช่างมันเถอะ เดี๋ยวค่อยคุยกัน ส่วนแกออกไปจากห้องฉันได้แล้ว” พัฒน์หันไปไล่
“ใครวะ” แต่เหมือนคนๆ นั้นจะไม่สนใจถามขึ้นด้วยความสงสัยว่าธีร์คือใคร
“เรื่องของแกหรือไงเปรม”
“พูดอย่างนี้กับพี่ชายได้ยังไง” คนที่ธีร์ไม่รู้จักถามพัฒน์ด้วยรอยยิ้มเจ้าเล่ห์
พี่ชาย...
หน้าเหี้ยไปไหม เหมือนไม่ใช่คนในครอบครัวเดียวกันเลย
“ฉันมีพี่ชายแค่คนเดียว พี่น้องฝั่งสามีใหม่ของป้าฉันไม่นับ แล้วแกก็ไม่มีสายเลือดของรัตนมณีโชติด้วย รีบออกไปซะ ก่อนที่ฉัน
จะหมดความอดทนเอาความชั่วของแกไปบอกพ่อแก”
เป็นอย่างนี้นี่เอง มิน่าล่ะ หน้าตาต่างกับพัฒน์ราวกับฟ้าและเหว...ธีร์คิด
“คิดว่าพ่อฉันจะเชื่อหรือไง”
“หึหึ รู้จักฉันน้อยไปนะไอ้เปรม” พัฒน์หัวเราะเสียงเย็น “ที่ฉันยังปล่อยให้แกลอยนวลอยู่ทุกวันนี้เพราะแกยังไม่สร้างความเสีย
หายมากเท่าไหร่ แต่ถ้าคนของฉันจับได้ พร้อมหลักฐาน แกดิ้นไปหลุดแน่ๆ” พัฒน์ขู่ ทำเอาเปรมถึงกับกำหมัดแน่นโดยความ
โกรธแค้น
“แกไปจากที่นี่แล้วทำไมแกไม่ปล่อยหุ้นให้คนอื่นวะ จะเอาเว็บไว้ทำไม งานก็ไม่ทำ รอรับเงินปันผลสบายๆ เลยนะ อยากรวยคน
เดียวหรือไง” เถียงกลับมาอย่างอิจฉา
“แล้วทำไมต้องพูดเหมือนกับว่าอยากจะได้หุ้นของไอ้พัฒน์จนตัวสั่น แล้วที่ว่ามันไม่ทำงานน่ะ รู้เหรอว่ามันไม่ได้ทำงาน ถ้าไม่
ทำงานจะมาที่บริษัทเอาเอกสารทำพระแสงอะไรไม่ทราบ พูดน่ะใช้สมองบ้างก็ดี ไม่ใช่สักแต่ว่าพูด!!” ทั้งพัฒน์ทั้งเปรมต่างก็มอง
หน้าคนพูดอย่างพัฒน์ด้วยความตะลึง พัฒน์ยกยิ้มอย่างพอใจ ส่วนเปรมก็มองอย่างหาเรื่อง
“แกว่าฉันเหรอห๊ะ!! ไอ้เด็กเมื่อวานซืน” เปรมทำท่าจะเข้ามาทำร้ายธีร์ แต่พัฒน์ก็เอาตัวขวางไว้ก่อน เพราะยังไงนี่มันก็เรื่องของ
เขา
“ก็แล้วจะทำไม แกพูดเอาแต่ได้เองนี่หว่า เคยรู้บ้างไหมว่าไอ้พัฒน์มันทำงานหนักแค่ไหน ทั้งที่ DINZ Chattel ไหนจะที่นี่อีก
อย่างแกวันๆ ทำอะไรบ้าง อยากแต่จะได้ของคนอื่นเขา ครอบครัวก็ไม่ใช่” ธีร์ยังคงต่อว่าเปรม แค่ฟังทั้งสองคนพูดกันไม่กี่
ประโยค ธีร์ก็จับใจความได้แล้วว่า พัฒน์กับคนๆ นี้มีปัญหาอะไรกัน
ในหนัง ละครก็มีเยอะแยะอ่ะแบบนี้
“นี่แกไป DINZ เลยหรือวะ” ถามอย่างตกใจ
“ก็แล้วจะทำไม” ประโยคนี้พัฒน์ก็ไม่ได้เป็นคนตอบอีก ได้แต่ยืนเฉยๆ ปล่อยให้ร่างบางเดินมายืนเทียบเท่าเขาแล้วแผลงฤทธิ์ต่อ
ไป ส่วนตัวเองก็ยืนกอดอกยิ้มๆ
“ทำไมบริษัทที่เข้ายากๆ แบบนั้น แกถึงได้เข้าได้ง่ายๆ”
“โวยวายบ้าอะไร”
“แกนั่นแหละ วุ่นวายอะไรกับเรื่องของคนอื่น” เปรมว่าธีร์ ซึ่งร่างโปร่งก็ได้แต่เชิดหน้าไม่รู้ไม่ชี้
“ถ้าฉันคนอื่น แกก็คนอื่น”
“ปากดีนะแก”
“หยุด!!” เสียงเข้มของพัฒน์ดังขึ้นเมื่อเห็นว่าเปรมเงื้อหมัดเตรียมกระแทกใบหน้าขาวของธีร์ “อย่าลืมนะว่านี่เป็นบริษัทของฉัน
แค่ฉันพูดนิดเดียว แกก็มีสิทธิกระเด็นออกจากที่นี่”
“แกขู่ฉันหรือวะไอ้พัฒน์”
“คนอย่างฉันเอาจริงเสมอ อย่าหวังสูงให้มันมาก อยู่ฝ่ายบัญชีก็ไม่มีสิทธิขึ้นมาถึงที่นี่ กลับไปทำงานของตัวเองให้ดีก่อนเถอะถึง
คิดอยากจะได้ตำแหน่งใหญ่”
“ฝากไว้ก่อนเถอะ แกด้วย...มีโอกาสฉันจะเล่นงานแก” เปรมชี้หน้าธีร์อย่างเคียดแค้น ก่อนจะเดินปึงปังไปจากห้องนี้ พัฒน์หันมา
สบตาร่างเล็กกว่าทันที
“มองทำไม”
“ใช่เรื่องของมึงไหมเนี่ย” พัฒน์ถามดุๆ
อะไรวะ! คนเค้าอุตส่าห์ช่วย ไม่ขอบคุณก็ยังจะมาดุกันอีก
“ก็กูโมโหอ่ะ แล้วมึงแม่งก็ยืนนิ่งให้มันว่าอยู่ฝ่ายเดียว” ธีร์ตอบ
“ใครว่าล่ะ กูกำลังจะด่ามันเลย”
“เหรอ”
“เห็นไหมล่ะ มึงสร้างศรัตรูอีกแล้ว ยุ่งยากจริงๆ”
“ขอโทษด้วยก็แล้วกัน แล้วนี่เสร็จธุระยัง กูอยากกลับแล้ว แต่ถ้ายังไม่เสร็จก็เชิญทำงานต่อก็ได้ กูกลับเท็กซี่เองได้” ร่างโปร่งพูด
แบบประชดประชันร่างสูงก่อนจะเดินออกมาจากห้องด้วยความโมโห เลขาสาวทักก็ไม่สนใจ ตรงไปที่ลิฟต์ทันที ร่างสูงมองตามก็
ส่ายหน้ายิ้มๆ ก่อนจะรีบเดินตามไป คว้าข้อมือเล็กกว่าเอาไว้ได้ทัน เป็นการบอกกลายๆ ว่าให้รอด้วย ก่อนที่ลิฟต์ที่เปิดออกพัฒน์
ก็ดึงธีร์ให้เข้ามาด้วยสีหน้ายิ้มๆ
ยิ้มได้ ทั้งๆ ที่เพิ่งผ่านเหตุการณ์เครียดๆ มา
“พระเจ้า! บุญตาของฉันจริงๆ เมื่อกี้คุณพัฒน์ยิ้มใช่หรือเปล่า” เลขาสาวได้แต่พึมพำเบาๆ อย่างไม่เข้าใจ เพราะเขาไม่เคยเห็น
เจ้านายของตนยิ้มเลยสักครั้ง
แต่ทำไมคุณธีร์ เพื่อนของเจ้านายคนนั้นถึงได้ทำให้เจ้านายของเธอยิ้มได้ ที่สำคัญเมื่อกี้นี้ มันเหมือนว่าคุณธีร์จะงอนแล้วคุณ
พัฒน์ก็เดินตามง้อ
“ฉันเข้าใจถูกหรือเปล่า โอยตาย...ประชากรผู้ชายหล่อๆ ลดลงอีกแล้วหรือเนี่ย” เธอพึมพำด้วยความเสียดาย แต่ช่างเถอะ ผู้ชาย
สำหรับหล่อนหาตอนไหนก็ได้ แต่งานบริษัทใหญ่ ตำแหน่งดีๆ แบบนี้หาได้ยาก
เลิกคิดจะจับคนในบริษัทก็ได้ คุณพัฒน์น่ากลัวเกินไป
“มีเรื่องเม้าท์อีกแล้วฉัน”
...
…
…
ขณะนี้เป็นเวลาเกือบ 4 ทุ่มแล้ว ธีร์นั่งอ่านเอกสารต่างที่นำกลับมาตรวจสอบเพื่อที่จะได้จัดการแก้ไขในวันพรุ่งนี้ได้ทันเวลา แต่
โทรศัพท์เครื่องหรูของตนก็มีคนโทรเข้ามา ธีร์เห็นชื่อแล้วก็อดยิ้มไม่ได้
“ว่าไง”
(คิดถึงว่ะ เจอกันหน่อยไหม)
“คิดถึงบ้าอะไรเจ็ม พึ่งจะเจอกันเมื่อตอนบ่ายเองนะเว้ย” ธีร์พูดด้วยน้ำเสียงกลั้วหัวเราะ
(ก็ยังคุยกันไม่หมดเลยนี่นา คุยกับนายแล้วมันสบายใจ เหมือนเจอเพื่อนคอเดียวกัน)
“เวอร์ไปแล้ว” เขาว่าอีกคนไป ทั้งๆ ที่ตัวเองก็รู้สึกไม่ต่างกันเท่าไหร่นัก
(ไปนอนด้วยได้มั้ย คุณพุฒิไม่อยู่ ทางสะดวกมาก)
“พี่ชายไอ้พัฒน์ไปไหน” ธีร์นี่ก็แปลก พุฒิมีชื่อสั้นๆ ก็ไม่เรียกดันชอบเรียกอะไรยาวๆ
(ไปต่างจังหวัด กลับเช้าพรุ่งนี้)
“ไปไวจัง ตอนไปบริษัทก็ยังอยู่ไม่ใช่หรือ” ธีร์ถามอย่างแลกใจ
(อยุธยาน่ะ ไปดูโรงงาน เห็นว่ามีปัญหา)
“แล้วทำไมนายไม่ไปด้วย”
(มันใช่หน้าที่ฉันที่ไหนล่ะ ฉันควบคุมโรงงานที่อังกฤษกับฝรั่งเศสเว้ย ที่ไทยฉันดูแค่งานของคุณพัฒน์เท่านั้น แต่ก็ไม่ได้ทำมาก
เท่าไหร่ เพราะส่วนใหญ่คุณพัฒน์ก็จัดการเอง) เจโรมีเล่าบอก ทำเอาธีร์ขมวดคิ้วแน่น ครุ่นคิดคำพูดที่คุยกับพัฒน์เมื่อตอนกลาง
วัน
‘แต่งานกูไม่เยอะเท่าไหร่ เพราะมีเจ็มคอยช่วย’
มันโกหกเขา แต่ว่าโกหกเพื่ออะไรล่ะ...
“งานมันเยอะมากไหม”
(ถ้าไม่รวมของที่ DINZ ก็เยอะแค่ช่วงสิ้นเดือนน่ะแหละ เพราะนอกนั้นคุณพุฒิจัดการให้หมด แล้วจะถามอีกนานไหม สรุปว่าไง
ไปนอนด้วยได้รึเปล่า) เจโรมีรีบถาม เพราะกลัวว่าธีร์จะพานอกเรื่องไปมากกว่านี้
“จะมาก็มา รู้จักหรือไงว่าคอนโดฉันอยู่ไหน”
(ระดับเจโรมีแล้ว เรื่องแค่นี้จิ๊บๆ แล้วเจอกัน รอเปิดประตูได้เลย) อีกคนพูดอวดๆ แล้วตัดสายไป ธีร์หัวเราะน้อยมองโทรศัพท์แล้ว
พึมพำ
“ไม่ต้องโทรถามทางเลยนะ”
เกือบ 1 ชั่วโมง เจโรมีก็มาถึงห้องของธีร์ โดยที่มีกระเป๋าใบพอดีๆ มาด้วย คาดว่าในนั้นคงเป็นเสื้อผ้ากับของใช้ส่วนตัว มีถุงร้าน
สะดวกซื้อมาด้วย
“เอาอะไรมาด้วยเนี่ย” ธีร์ถาม
“เบียร์ไง สักกระป๋องก่อนนอนรับรองฝันดี” เจโรมีตอบยิ้มๆ ส่วนธีร์ก็ได้แต่ส่ายหน้าไปมา ไม่ใช่ว่าเอือมระอาหรืออะไร แต่ส่าย
ด้วยความแปลกใจที่อีกคนก็รู้ใจเขาเหลือเกิน
“ดีเหมือนกัน ว่าแต่อาบน้ำหรือยังเนี่ย” ธีร์ถาม
“อาบแล้ว แต่นอนไม่หลับไง เลยโทรหา” เจโรมีตอบพลางเอาของไปวางไว้ที่โต๊ะเตี้ยของชุดโซฟาตรงมุมทีวีและชุดเครื่องเสียง
ที่ธีร์ชอบมากๆ
“ห้องนี้ไม่ค่อยแต่งเลยนะ” ถามพลางกวาดสายตามองไปรอบๆ ห้อง
“ไม่ค่อยมีเวลาหรอก งานเยอะจะตายไป พรุ่งนี้ก็ต้องเข้าบริษัท 10 โมงอีก ดีหน่อยไม่ต้องเข้าเช้าเหมือนวันอื่นๆ”
“ห้องน่าอยู่อ้า...อยากมาอยู่ด้วยจัง ติดแต่คุณพุฒิไม่ยอมแน่ๆ” เจโรมีบ่นพลางทิ้งตัวนั่งที่โซฟานุ่ม ก่อนที่ธีร์จะนั่งลงอีกตัวหนึ่ง
เวลาคุยกันจะได้คุยมองหน้ากัน
“อะไรๆ ก็คุณพุฒิ ถามจริงเถอะ นายกับพี่ชายไอ้พัฒน์เป็นอะไรกันแน่...แหนะ ไม่ตอบ แต่หน้าแดงนี่หมายความว่ายังไง คงไม่
ได้เป็นอย่างที่ฉันคิดใช่ไหม” ธีร์มองหน้าอีกคนอย่างต้องการคำตอบ เพราะสังเกตมานานแล้ว
ไม่ว่าจะพูดเรื่องอะไร เจโรมีก็มักจะพูดถึงพุฒิเสมอ
เขาก็ไม่ได้โง่ขนาดที่ไม่รู้ว่ามันเป็นยังไง แต่ก็อยากได้ยินมันจากหูตัวเอง
“ไม่มีอะไรหรอก ดื่มกันเถอะ” เจโรมีเปลี่ยนเรื่อง เปิดกระป๋องเบียร์แล้วยื่นให้ธีร์กระป๋องหนึ่ง ของตัวเองกระป๋องหนึ่ง
“ถ้าอยากเป็นเพื่อนกัน ก็ต้องไม่มีความลับ” ธีร์เอ่ยเสียงจริงจัง
“ก่ะ ก็...อย่างที่นายคิดนั่นแหละ รับได้ไหมล่ะ”
“ทำไมคิดว่าฉันจะรับไม่ได้ อินเพื่อนรักของฉันมันก็เป็นเสือไบ เอาได้ทั้งหญิงทั้งชายฉันยังรับได้เลย นายดีหน่อยที่มีเป็นตัวเป็น
ตน ไอ้อินนี่กลัวเอดส์จะแดกเอาสักวันเหมือนกัน” ธีร์บอกยิ้มๆ มันทำให้เจโรมีสบายใจขึ้นเยอะ
“อยากรู้จักคนชื่ออินจังเลย จะเหมือนกับนายไหม”
“ไอ้คุณชายอินน่ะเหรอ ขี้เก๊ก วางมาด คิดว่าหล่อ มาดแมน แต่ความเป็นจริงที่ไม่มีใครกล้าพูดกับมันคือหน้ามันสวย ไว้ผมยาวนี่
ผู้หญิงเลย ตัวพอๆ กับเรานี่แหละ ผอมๆ ตัวสูงกว่าฉันหน่อยประมาณนายได้แหละเจ็ม หาดูหน้ามันได้จากหนังสือพิมพ์ ไอ้เสือนี่
มันดัง หึหึ จะว่าไป นายเนี่ยก็สวยนะเจ็ม มิน่าล่ะ พี่ชายไอ้พัฒน์ถึงชอบ” หลังจากที่นินทาเพื่อนอย่างเมามันแล้ว ก็อดแซวคนตรง
หน้าไม่ได้
ก็เจโรมีหน้าหวานจริงๆ แต่ก็มีกล้ามเยอะกว่าเขาหน่อยเพราะยังไงก็ลูกครึ่งล่ะนะ
“หน้าฉันได้แม่น่ะ แม่เป็นคนอิตาลี สวยอย่างนี้เลย” เชิดอกอย่างภูมิใจ
“นี่ชมว่าสวยนะ ไม่โกรธหรือไง” ถามไปพลางคิดในใจว่าเจโรมีนี่ก็แปลกคนเหมือนกันนะ
“จะโกรธทำไม สวยก็สวยไปดิ ส่วนสูง รูปร่าง ฉันก็มาตรฐานผู้ชายนะเว้ย เรื่องหน้ามันเป็นสิ่งที่กำหนดมาแล้ว”
“คิดบวกดี ใครที่เคยชมฉันว่าสวยตอนนี้ยังไม่ออกจากโรงพยาบาลมั้ง” ธีร์พูดทีเล่นทีจริง เจโรมีได้ยินแบบนั้นก็ขนลุกด้วยความ
กลัว
“โหด มิน่าล่ะถึงถูกใจคุณพัฒน์” ประโยคหลังเจโรมีพึมพำเบาๆ
“อะไรนะ” ถามเสียงสูง เพราะไม่ได้ยิน
“เปล่าหรอก เอ้า! ชนกันดีกว่า” เจโรมียกกระป๋องเบียร์ไปข้างหน้า ธีร์เองก็ยิ้มน้อยๆ ก่อนจะยกของตัวเองไปชนกับของเจโรมี ทั้ง
คู่ค่อยๆ จิบไปสบายๆ แล้วก็คุยกันไปด้วย ธีร์ที่มีเรื่องอยากจะรู้ แต่ไม่กล้าถามพัฒน์ ก็เลยลองถามกับเจโรมีดู เผื่อจะรู้อะไรขึ้นมา
บ้าง
“นายรู้จักคนชื่อเปรมไหม”
“แค่ก แค่ก” สำลักเบียร์ทันทีที่ได้ยินคำถาม
“เฮ้ย...ใจเย็นๆ”
“รู้จักมันได้ไง” เจโรมีถาม เปลี่ยนจากร่าเริงๆ เป็นบึ้งตึงทันทีที่ได้ยินชื่อของคนๆ นั้น
“วันนี้ฉันได้ด่ามันด้วย ที่ห้องทำงานของไอ้พัฒน์น่ะ เหมือนจะขึ้นไปก่อกวน”
“มันเป็นลูกของคุณปรินท์ สามีใหม่ของคุณจินดา คุณป้าของคุณพัฒน์น่ะครับ คนพ่อน่ะไม่เท่าไหร่ เพราะรู้จักเจียมตัว ช่วยงาน
ทุกอย่างอย่างจริงใจ แต่ไอ้คนลูกนี่เลวร้ายที่สุด อยากได้ของคนอื่นแบบไม่รู้จักพอ มันพยายามโจมตีคุณพัฒน์เพื่อให้มอบหุ้นให้
กับมัน เพื่อบริหารรัตนมณีโชติน่ะ” เจโรมีเล่าแบบไม่มีปิด
คิดไว้ไม่มีผิด มันเป็นแบบที่คิดไว้จริงๆ
“ฉันด่ามันไปอย่างเยอะอ่ะวันนี้ โมโห คนบ้าอะไร พูดแบบหน้าไม่อายเลย เรื่องสมบัติของคนอื่นเนี่ย ทั้งๆ ที่มันก็คนนอกแท้ๆ”
“ฮ่าๆ ยังไงก็ระวังตัวให้ดี แม้ว่ามันจะไม่มีเงินมากขนาดมีลูกน้อง แต่เงินเดือนจากบริษัทก็ทำให้มันทำอะไรได้บ้างล่ะนะ ไปด่ามัน
ขนาดนั้นมันว่าอะไรนายหรือเปล่า”
“ก็พูดระวังไว้เถอะ ที่จริงมันกะต่อย แต่ไอ้พัฒน์มันห้ามไว้น่ะ” ธีร์เล่าพลางทำหน้าเสียดาย
“ยังไงก็ระวังๆ เอาไว้หน่อยก็ดี คนโลภมากแบบนั้น อยากได้อะไร ทำได้ทุกอย่างอยู่แล้ว เหมือนไอ้ยงยุทธ์ไง” เจโรมีเตือน
“เออ...จะว่าไปยงยุทธ์มันเป็นยังไงบ้าง ได้ข่าวว่าส่งตำรวจ”
“อยู่ห้องขังได้วันเดียวก็มีคนมาประกัน นี่ก็อีก ระวังตัวหน่อยนะ มันกลับมาเอาคืนแน่ๆ” เจโรมีเตือนอีก
“โอเคๆ จะรังวังตัวให้มากๆ เรื่องมันชักจะวุ่นวายขึ้นทุกทีสิน่า แล้วนี่เรื่องนี้นายเองก็ต้องเข้ามาช่วยด้วยสินะ เห็นไอ้พัฒน์มันบอก
ว่าให้นายคอยสืบเรื่องพวกมัน” ธีร์เตือนกลับ
“โอเคครับคุณเพื่อน พอๆ เลิกพูดเรื่องเครียดๆ ดื่มกันต่อเถอะ จะได้ไปนอนกัน”
“เอาสิ” ธีร์รับคำยิ้มๆ
จากนั้นทั้งคู่ก็นั่งดื่มนั่งคุยเรื่องตกแต่งห้อง ตกแต่งบ้าน หรือแม้กระทั่งเรื่องในครอบครัวของตัวเองที่สลับกันเล่า จนทั้งคู่ง่วงนั่น
แหละถึงได้พากันไปนอนที่ห้องนอนของธีร์
100%

อีกครึ่งค่ะ เอาสบายๆ เบาๆ ไปก่อนนะคะ ยูกิจะพยายามแต่งออกมาให้สนุกและดีกว่านี้ค่ะ ขอบคุณทุกกำลังใจนะคะ อ่านตอนนี้เสร็จก็ให้กำลังใจต่อนะคะ ^_^ มีอะไร สอบถาม พูดคุย ทวงนิยาย ได้ที่แฟนเพจเลยนะคะ
https://www.facebook.com/sawachiyuki