เสพติดอันตราย...รักผู้ชายพันธุ์โหด
ตอนที่ 27
คืนวันอาทิตย์ ธีร์เตรียมเสื้อผ้าใส่กระเป๋าสำหรับไปต่างจังหวัด 6 วัน ซึ่งธีร์ก็จัดไป ยิ้มไป ฮัมเพลงไปอย่างมีความสุข เพราะอย่างน้อยเขาก็จะไม่เจอพัฒน์ถึง 6 วัน
“ท่าทางมึงจะมีความสุขนะ” พัฒน์แขวะ
“แน่นอน”
“ว่าแต่งมึงพักโรงแรมไหนวะ” พัฒน์หลอกถาม
“ก็โรงแรมของบริษัทอ่ะ”
“จังหวัดไหน”
“เชียงรายกับเชียงใหม่” ธีร์ตอบโดยไม่คิดอะไร
“อืม...”
“มึงถามทำไม อิจฉากูหรือไง” ยักคิ้วถามกวนๆ
“ดีใจอย่างกับมึงไปเที่ยว” ธีร์หุบยิ้มไปเมื่อพัฒน์พูดออดมาแบบนั้น
ก็จริงของอีกคน เขาไม่ได้ไปเที่ยว แต่ไปทำงานที่ไม่ได้พักแน่นอน แต่มันก็เหมือนได้เปิดหูเปิดตานั่นแหละ ดีกว่าทำงานแต่ที่
เดิมๆ ทุกวัน
“เรื่องของกูน่า”
“หึหึ แล้วนี่มึงจะนอนได้หรือยัง เดินทางกี่โมง”
“8 โมงน่ะ เดี๋ยวกูก็ไปนอนแล้ว มึงจะรอกูทำไมล่ะ” ธีร์หันมาพูดกับพัฒน์ที่ยืนพิงประตูทางเข้าห้องแต่งตัว
“ก็รอลูบหลังให้หมาไง” พัฒน์ตอบ
“ไอ้บ้า!! ด่ากู”
“กูด่าที่ไหนล่ะ เร็วๆ ล่ะ ถ้ากูหลับก่อน มึงก็นอนเองนะ” พัฒน์บอกอีกคนก่อนจะเดินกลับไปห้องนอน ครองพื้นที่บนเตียงเป็นคน
แรก และไม่ถึง 1 นาที ธีร์ก็เดินตามมา ปิดไฟห้องแล้วขึ้นเตียงหันหลังให้กับพัฒน์อย่างรู้หน้าที่
ร่างแกร่งส่ายหน้าน้อยๆ ก่อนจะปิดไฟที่หัวเตียง ขยับกายเข้าไปใกล้อีกนิดก่อนจะลูบเบาๆ ที่แผ่นหลังของธีร์ ซึ่งร่างโปร่งก็นอน
หลับตาไปอย่างสบาย
“แล้วกู๊ดไนท์คิสกูล่ะ” พัฒน์ทวงเบาๆ รู้ว่าธีร์ไม่ได้หลับในทันทีหรอก แต่แกล้งหลับมากกว่า
เอาเถอะ...เปลี่ยนเป็นมอร์นิ่งคิสแทนก็แล้วกัน ปล่อยให้นอนไปเถอะ ยังไงเมื่อวานก็ได้มาเยอะแล้ว ให้รางวัลธีร์ไปหน่อยก็แล้ว
กัน
...
...
ธีร์ถูกปลุกตอนเช้าตรู่ เพราะต้องเตรียมตัวและต้องใช้เวลาในการเดินทางไปสนามบิน ร่างโปร่งลุกขึ้นด้วยท่าทางที่กำลังงัวเงีย พัฒน์ที่นั่งมองอยู่ก็คว้าคออีกคนเข้ามาประกบจูบ
“อื้อ” ร่างบางร้องขัดขืนด้วยความตกใจที่จู่ๆ พัฒน์ก็คว้าตนไปจูบ แถมยังเป็นจูบที่เร่าร้อนแต่เช้าอีกด้วย
ปลายลิ้นกระหวัดกับลิ้นของธีร์ หยอกเย้า เร้าให้ตอบสนอง ซึ่งธีร์ก็ตอบสนองสัมผัสหวานยามเช้ากลับไปอย่างเคลิบเคลิ้ม จากที่
ง่วงๆ ตอนนี้ตาสว่าง หายง่วงไปทันที ก่อนที่พัฒน์จะผละจูบออกมาแล้วบอกกับธีร์ยิ้มๆ
“มอร์นิ่งคิส แทนกู๊ดไนท์คิสเมื่อคืน”
“ชิ!!” ธีร์รีบลุกจากที่นอนเพื่อไปอาบน้ำแต่งตัวทันที
ส่วนร่างแกร่งก็ทิ้งตัวนอนเหมือนเดิม รอคิวเข้าอาบน้ำ เขามีประชุมตอนเช้า ตอนบ่ายเข้าสัมมนาเรื่องรถรุ่นใหม่ หลับตาไปสักพัก
ก็ได้กลิ่นน้ำหอมของธีร์ลอยมาเตะจมูก แสดงว่าอีกคนอาบน้ำแต่งตัวเสร็จแล้ว ซึ่งมันก็จริง เพราะคนตัวเล็กกว่าเขาเดินลาก
กระเป๋าเดินทางใบใหญ่ที่มีเสื้อผ้า ข้าวของเครื่องใช้ต่างๆ สำหรับ 6 วันอยู่ในนั้น พัฒน์แหงนมองนาฬิกาก็พบว่าหกโมงกว่าๆ
แล้ว
“จะไปเลยหรือไง”
“เออ สุวรรณภูมิอย่างไกล” ธีร์ตอบ พร้อมกับเดินมาที่ประตูห้องนอน
“รถคงไม่ติดหรอก ยังเช้าอยู่เลย” พัฒน์ว่า
“มึงอย่าดูถูกการจราจรที่กรุงเทพฯ นะเว้ย”
“กูไม่ได้ดูถูก”
“ช่างมันเถอะ กูไปก่อนก็แล้วกัน แล้วจะซื้อของมาฝาก อยากได้อะไรไหมวะ” ธีร์ถาม
“ไม่มีหรอก ไม่ต้องซื้อมา รกห้อง” พัฒน์ตอบกลับ
ได้ยินแบบนั้นธีร์ก็ยิ้มอย่างสนุก ในเมื่อเขาต้องอยู่ในห้องนี้กับพัฒน์ ทำไมเขาจะไม่มีสิทธิ์ตกแต่งห้องตามอำเภอใจได้ล่ะ
พัฒน์ที่มองหน้าธีร์อยู่ก็รู้ทันทีว่าอีกคนคิดอะไร
“อย่าได้หาอะไรที่มันแต๋วๆ เข้าห้องกูอีก” พัฒน์สั่งห้ามเด็ดขาด
“ไม่เว้ย!! ถ้ามึงไม่ให้กูทำ มึงก็ต้องให้กูกลับห้อง” ธีร์ต่อรอง
“มึงกล้าต่อรองกูหรือ” พัฒน์ถามเสียงเข้ม ธีร์ที่ได้ยินแบบนั้นก็แอบสะดุ้งเล็กน้อย แต่ก็ใจกล้าอยู่เหมือนกันเพราะยังไงเขาก็มี
สิทธิ์
“ทำไม ยังไงก็ควรมีสิทธิ์ให้กูบ้าง”
“จะทำอะไรก็ทำ จงภูมิใจไว้เลยไอ้ธีร์ มึงเป็นคนแรกที่ก้าวก่ายชีวิตกูมากขนาดนี้ โดยที่ยังมีชีวิตต่อไปได้” เป็นประโยคที่น่ากลัว
จริงๆ แต่มันก็ทะแม่งๆ เหมือนกัน
มึงเองไม่ใช่หรือไง ที่เปิดประตูให้กูเข้ามาก้าวก่ายน่ะ
“เออออ...กูภูมิใจ สุดๆ” ธีร์เอ่ยอย่างประชดประชัน “กูไปแล้ว เบื่อขี้หน้ามึง ดีใจมากๆ เลยนะเนี่ยไม่ต้องนอนกับมึงตั้งหลายคืน”
ธีร์ยิ้มอย่างดีใจ
“หึหึ นอนไม่หลับไม่ต้องโทรหากูก็แล้วกัน” พัฒน์ว่า
“ไม่มีทาง เชิญมึงนอนหลับให้สบายนะ ไปแล้ว ไม่ต้องคิดถึงกูนะ ฮ่าๆ” ธีร์พูดจบก็โบกมือให้กับพัฒน์น้อยๆ ไม่ใช่เป็นการลา
หรอก แค่ทำใส่ด้วยความหมั่นไส้ก็เท่านั้น
ร่างสูงมองตามอีกคนก่อนจะยิ้มน้อยๆ
“กูจะคอยดู ว่าใครที่จะคิดถึงใครก่อน” พัฒน์พึมพำ
บางทีการที่ธีร์ออกห่างไปจากเขาแบบนี้ มันอาจจะทำให้เขาพบกับคำตอบอะไรบางอย่างที่มันพยายามที่จะเข้าใจหลายครั้ง แต่
สุดท้ายก็หายไปกับความมืดมิด
แต่ในความมืดนั้น ธีร์คือแสงสว่างหนึ่งเดียวที่นำทางเขาอยู่ แล้วมันผิดหรือไง ที่เขาพยายามรั้งแสงสว่างของเขาเอาไว้อย่างสุด
ความสามารถ รั้งเอาไว้กับตน และไม่มีทางแบ่งให้กับใคร จนกว่าเขาจะไม่ต้องการมันแล้ว เขาถึงจะทิ้งมันไปเอง เมื่อหมดความ
หมาย
“ทิ้งงั้นหรือ...หึหึ กูไม่เห็นจะมีความรู้นี้สักที”
ยิ่งคิดว่าจะทิ้ง ก็ยิ่งรู้สึกใจหาย...
“กูคงไม่...รู้สึกอะไรกับมึงหรอกใช่ไหม”
เป็นไปไม่ได้หรอก...คนอย่างเขา ไม่มีทางกลืนน้ำลายตัวเองเด็ดขาด...
ธีร์เดินทางไปเชียงรายด้วยเครื่องบินจากกรุงเทพสู่ท่าอากาศยานแม่ฟ้าหลวง จังหวัดเชียงราย ใช้เวลาเพียงแค่ 1 ชั่วโมงครึ่ง
เท่านั้น ธีร์กับเอมิกาลงจากเครื่องก็นั่งรถที่โรงแรมมารับอีกต่อหนึ่งเพื่อจะไปที่พักก่อนแล้วค่อยนั่งรถไปตรวจงานที่อีกอำเภอหนึ่ง
“คุณธีร์ขึ้นไปที่ห้องก่อนก็ได้ค่ะ” เอมิกาบอก ขณะยืนรอสถานการณ์เช็คอินอยู่ หากแต่ก็ไม่ได้มีปัญหาอะไรมาก เพราะธีร์เป็นเจ้า
นายของพนักงานโรงแรมนี้เหมือนกัน เนื่องจากเป็นโรงแรมของบริษัทในเครือที่ธีร์ดูแลอยู่
“งั้นตอน 10 โมงตรงเจอกันตรงนี้นะครับ” ธีร์บอก ก่อนที่ตัวเองจะเดินตามพนักงานที่ถือกระเป๋าของเขาอยู่ไป ปล่อยให้เอมิกากับ
ผู้ติดตามเขาอีก 2 คน จัดการเรื่องห้องพักไป
ตลอดทางเดินธีร์ก็สังเกตการณ์ตกแต่งโรงแรมไปด้วย ก่อนจะเดินมาถึงห้องของตัวเองที่ถูกจัดขึ้นเป็นพิเศษสำหรับแขกวีไอพี
ซึ่งธีร์ก็เป็นหนึ่งในนั้น
“มีปัญหาอะไร ท่านสามารถโทรตามได้ตลอดนะครับ”
“ครับ ขอบคุณมาก” ธีร์เอ่ยไป
“ด้วยความยินดีอย่างยิ่ง”
พนักงานดังกล่าวออกไปแล้ว ธีร์ก็ลากกระเป๋าเข้ามาในห้อง ก่อนจะทิ้งมันไปในมุมหนึ่งของห้องพักที่ใหญ่เกือบเท่าคอนโดนที่
เขาอยู่
“มันกว้างไปหรือเปล่านะ” ธีร์พึมพำ เดินไปรอบๆ ห้อง “จะนอนหลับไหมวะเนี่ย”
ไม่รู้ด้วยความเคยชินหรือว่าเคยตัวกันแน่ที่เห็นแค่ห้องก็ดูเหงาแล้ว
“ช่างมันเถอะ”
ธีร์ได้แต่ส่ายหน้าไปมา ก่อนจะไปเปลี่ยนชุดลงพื้นที่เป็นอีกชุดหนึ่งที่กึ่งทางการ เพราะต้องลงหน้างานก่อสร้างที่แดดร้อนเหลือ
เกิน
ฤดูร้อนของประเทศไทย อย่าได้ดูถูกมันเชียว...
...
...
พัฒน์ไปทำเข้าประชุมในตอนเช้าทันเวลา และทำงานต่อไม่มีหยุดพัก ที่ควรจะโทรหาธีร์ก็ลืมไปทันทีเพราะงานที่เข้ามากระทัน
หัน เลยจับโทรศัพท์โทรกวนธีร์ไม่ได้เลย และตอนนี้เขาต้องเข้าพบลูกค้ารายใหญ่ที่จะสั่งซื้อสินค้าล็อตใหญ่ของบริษัท
“สวัสดีครับคุณปฐพี คุณพัฒน์” ลูกค้าคนสำคัญของบริษัทเอ่ยทัก ซึ่งปฐพีกับพัฒน์ก็โค้งรับน้อยๆ
“ครับ”
“ผมขออนุญาตพาลูกสาวมาคุยงานด้วยนะครับ จะฝึกงานให้น่ะครับ เพราะเดี๋ยวก็ต้องมารับช่วงต่อของบริษัท” ลูกค้าคนดังกล่าว
พูด ซึ่งลูกสาวของเธอที่ยืนอยู่ข้างๆ ก็โค้งทักทายยิ้มๆ สายตามองแต่พัฒน์จนเจ้าตัวรู้สึกได้
“เมนีค่ะ”
เธอแนะนำตัวเองยิ้มๆ ก่อนจะส่งยิ้มหวานให้กับพัฒน์
เอาอีกแล้ว...น่าเบื่อชะมัด
“ได้ครับ เชิญนั่งเลยครับ” ปฐพีตอบไป ก่อนจะผายมือเป็นเชิงให้ทั้งคู่นั่งก่อนที่เขากับพัฒน์จะนั่งลงฝั่งตรงข้ามตาม
“ทานข้าวมาหรือยังครับ” ลูกค้ายังคงเป็นฝ่ายถาม
“ผมกับคุณดินทานมาแล้วครับ คุณไกรสรล่ะครับ” พัฒน์ตอบแล้วถามกลับไปนิ่งๆ ตามมารยาท
“เช่นกันครับ”
“งั้นเข้าเรื่องเลยดีกว่าครับ” พัฒน์ว่า ก่อนจะพูดในสิ่งที่ต้องพูดอธิบายลูกค้าไปทั้งหมด ทั้งเรื่องสัญญาซื้อขาย ทั้งการวางมัดจำ
หรือการขนส่ง ทั้งสามคนคุยกันเป็นงานเป็นการโดยมีเมนีลูกสาวของไกรสรนั่งมองและฟังเงียบๆ สายตาก็จับจ้องคนที่นั่งฝั่งตรง
ข้ามไปด้วย
เธอชอบพัฒน์ตั้งแต่แรกเห็นเลย ผู้ชายอะไรก็ไม่รู้ ดูดีตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า แม้ว่าหน้าจะนิ่งตลอดเวลาแต่ก็ดูดีมีเสน่ห์ กอปร
กับรูปร่างที่สูงแกร่งและหน้าตาที่หล่อเข้มของพัฒน์ มันทำให้เธอรู้สึกตื่นเต้นอยู่ลึกๆ โดยไม่รู้ว่าแสดงมาทางสีหน้ามากไปไหม
“ทั้งหมดก็ตามนี้เลยนะครับคุณไกรสร” พัฒน์ถาม
“ครับ ตามนี้เลย” ไกรสรตกลงอย่างไม่มีปัญหาอะไร เพราะเจ้าตัวก็ทำธุรกิจกับปฐพีมาได้เกือบปีแล้ว และไม่อยากจะมีปัญหา
ด้วยเท่าไหร่
ถึงเขาจะเป็นลูกค้า แต่ก็ต้องพึ่งบริษัทของปฐพีอยู่ดี ข้อนี้ ลูกสาวของเขาไม่รู้...รู้เพียงแต่ว่าบริษัทของพ่อเธอเป็นลูกค้ารายใหญ่
เท่านั้น
“แค่ก่อนจะเซ็นสัญญาซื้อขาย คุณพัฒน์ช่วยไปทานข้าวกับเมนีสักมื้อหนึ่งได้หรือเปล่าคะ” เธอพูดออกมาตามที่ตัวเองคิด ซึ่ง
พัฒน์ ปฐพี ก็หันมามองนิดๆ ก่อนจะหันไปมองผู้เป็นพ่อของเธออย่างไกรสรอย่างตำหนินิดๆ ซึ่งไกรสรก็รีบก้มหัวให้เป็นเชิง
ขอโทษ
“เมนี ลูกพูดอะไรออกไป” ถามอย่างร้อนรน แต่ดูเหมือนว่าเธอจะไม่สังเกตอาการของผู้เป็นพ่อเท่าไหร่นัก
“ทำไมล่ะคะ ถ้าอยากจะทำธุรกิจกับเรา เขาก็ต้องยอมสิคะพ่อ หนูขอแค่ได้ทานข้าวกับคุณพัฒน์สักมื้อก็ยังดี” เธอไม่หันไปมอง
ไกรสรสักนิด แต่มองหน้าพัฒน์ด้วยสายตาที่เชิญชวนสุดๆ
“เอาเป็นว่า การตกลงครั้งนี้ผมขอไปคิดดูอีกทีดีกว่า บางที คุณไกรสรอาจจะยากหาคู่ค้าที่ดีกว่านี้ก็ได้” ปฐพีพูดขึ้นเสียงเข้ม
แม้ว่ามันจะไม่ได้เกิดขึ้นกับเขาเอง แต่พัฒน์ก็เป็นผู้ถือหุ้นคนหนึ่ง การกระทำของลูกค้าที่หวังอย่างอื่นด้วย เขาไม่มีวันที่จะทำ
ธุรกิจด้วยแน่นอน
“เอ่อ...ไม่เลยครับ ผมยินดีที่จะทำธุรกิจกับคุณปฐพีต่อนะครับ ลูกสาวของผมคงอาจจะไม่รู้เรื่องของบริษัทมากเท่าไหร่นัก
ขอโทษที่ลูกสาวผมเสียมารยาทนะครับ” ไกรสรรีบลุกขึ้นขอโทษ ซึ่งเมนีก็มองแบบแปลกใจที่พ่อของเธอเหมือนจะง้ออีกคนทั้งๆ
ที่เราเป็นลูกค้า
“พ่อคะ”
“ลูกน่ะเงียบไปเลย” หันมาตลาดลูกสาวเล็กน้อย
“เอาเป็นว่า ผมจะคิดว่าเมื่อกี้ไม่ได้ยินอะไรก็แล้วกันนะครับ” พัฒน์ว่าเสียงเรียบ ซึ่งไกรสรก็ถอนหายใจโล่งอก
“ขอโทษคุณพัฒน์ซะ” หันมาสั่งลูกสาว
“ทำไมล่ะคะ? คุณพ่อทำเหมือนเราต้องง้อเขา เขาต้องง้อเราสิคะถึงจะถูก” เธอพูดอย่างมั่นใจ
“ผมไม่ถือสาก็แล้วกันนะครับ เพราะลูกสาวคุณไม่รู้เรื่องเกี่ยวกับเราเท่าไหร่” ปฐพีพูดเสียงเย็น “ถ้าคนของผมไม่เต็มใจหรือไม่
พอใจ คุณก็อาจจะไม่ได้ทำธุรกิจกับเราอีก เพราะพัฒน์ก็เป็นอีกคนที่ถือหุ้นบริษัทอยู่” เจ้านายอย่างเขาพูดออกไปอีก
หญิงสาวรู้สึกร้อนใจที่ทุกอย่างไม่เป็นไปตามที่เธอคิดเลยสักนิด
“ผมกับคุณดินขอตัวก่อนนะครับคุณไกรสร” พัฒน์ลุกขึ้นยืน โค้งลาไกรสรน้อยๆ ก่อนจะเดินตามปฐพีไป โดยไม่สนใจที่จะมอง
หญิงสาวเลยสักนิด
เมนีมองชายหนุ่มทั้งสองสุดเท่ห์เดินออกไป ที่สำคัญคนที่เธอหมายปองกลับไม่ชายตามองเธอเลย แม้แต่หางตา พัฒน์ก็ไม่คิด
สนใจเธอ
“พ่อคะ มันหมายความว่ายังไง เขาควรที่จะง้อเราสิคะ”
“แต่บริษัทเราต้องอาศัยชื่อเสียงและความไว้ใจของคุณปฐพีนะ ที่สำคัญคุณพัฒน์ไม่ใช่แคนคนของคุณปฐพีธรรมดาๆ เขาเป็นถึง
ผู้ถือหุ้น และคนสำคัญในการบริหารบริษัทเลยนะเมนี และการที่พ่อได้พบกับคุณปฐพีกับคุณพัฒน์วันนี้ก็เป็นครั้งแรก เพราะส่วน
ใหญ่ หุ้นส่วนของเราจะมาแทน ลูกทำเสียมารยาทมากเลยรู้หรือเปล่า” สิ้นคำพูดของไกรสร เมนีก็รู้ได้ทันทีว่าตัวเองทำพลาดไป
มาก
“ดีนะที่คุณๆ เขาไม่เอาเรื่องเรา ถ้าอย่างนั้นเราจบเห่เลยนะเมนี” พ่อของเธอนั่งลงด้วยความโล่งอก เหมือนกับเหตุการณ์เมื่อกี้
เป็นตัวชี้เป็นชี้ตายของบริษัทเลยทีเดียว
เพราะมีหลายอย่างที่เสืออย่างพัฒน์ไม่ชอบ หนึ่งในนั้นก็คือ...ผู้หญิงน่ารำคาญ
...
...
...
ธีร์ขึ้นมาที่ห้องตอน 4 ทุ่มกว่าๆ หลังจากออกไปเดินเล่นในสวนของโรงแรม มือก็มองโทรศัพท์ไปด้วย ทั้งวันเขาติดงานยุ่งมาก
เลยไม่ค่อยสนใจโทรศัพท์เท่าไหร่ แต่พอนึกขึ้นได้ว่าพัฒน์ไม่โทรหาเขาเลยก็เป็นเวลาเกือบทุ่มไปแล้ว แต่ไม่มีเวลาสนใจนัก
เพราะต้องเลี้ยงอาหารหัวหน้าวิศวกรและผู้ร่วมโครงการต่างๆ ในแต่ละฝ่าย ทานเสร็จก็ปาไป 3 ทุ่มครึ่งแล้ว ก็ขอตัวออกไปเดิน
เล่นรอโทรศัพท์อีกคน
เวลาก็ผ่านมาจนถึง 4 ทุ่ม ธีร์เลยตัดสินใจกลับขึ้นนอน
ฟุบ!!
ทิ้งตัวลงนอนท่ามกลางความมืดที่มีแสงจันทร์สาดส่องเข้ามา ห้องของเขาอยู่ในจุดที่สามารถมองพระจันทร์ได้อย่างชัดเจน
“เฮ้อ...สุดท้าย ก็มีแค่กูคนเดียวที่เป็นบ้าอยู่แบบนี้” ธีร์บ่นพึมพำ พร้อมกับมองดวงจันทร์ที่เต็มดวงด้วยความรู้สึกเดียวดาย
จากที่ตัวเองพยายามที่จะไม่รู้สึกอะไรกับพัฒน์ แต่อีกคนก็กลับทำให้หวั่นไหวอยู่เรื่อย
จากที่คิดเดือนถอยห่าง กลับใกล้ชิดยิ่งกว่าเดิม...
จากที่ปฏิเสธความรู้สึกทั้งหมดของตัวเอง ก็ยิ่งเหนื่อยที่ต้องคิดค้านกับหัวใจ...
ยิ่งบอกว่าไม่รู้สึกมากเท่าไหร่...
คำว่ารัก มันก็เริ่มก่อตัวและเพิ่มพูนมากเท่านั้น...
นอนไม่หลับ!
นี่คืออาการของพัฒน์ในตอนนี้ เวลาเที่ยงคืนกว่าๆ แล้ว แต่พัฒน์กลับนอนไม่หลับเอาเสียเลย ร่างแกร่งต้องพยายามหักห้ามใจ
มากแค่ไหนที่ไม่ให้โทรหาอีกคน เพื่อรอดูว่า ธีร์ จะเป็นฝ่ายโทรมาหาเขาก่อนหรือไม่ แต่รอจนดึก อีกคนก็ไม่มีทีท่าว่าจะโทรมา
พัฒน์ก็เลยคิดไปเอง ว่าธีร์คงจะทำงานหนัก เหนื่อยมาก แล้วนอนหลับไปแล้ว
ตัวเองนี่แหละที่กำลังนอนไม่หลับ
“ที่ผ่านมามึงก็นอนคนเดียวนะไอ้พัฒน์ แค่นี้ทำไมถึงนอนไม่หลับ” ร่างสูงบ่นพร้อมกับพลิกตัวหาท่านอนไปมา จนตัวเองเริ่ม
หงุดหงิด
เวลาเพียงไม่นาน...ถึงกับทำให้ความรู้สึกเขาเปลี่ยนไปเลยหรือ
ทุกๆ คืนที่ผ่านมา เขามีใครบางคนนอนเคียงกายมาตลอด แม้จะไม่เคยพูดกันดีๆ ออกแนวกัดกันตลอดเวลา แต่ก็ใช่ว่าจะเกลียด
กันเหมือนเมื่อก่อน
เขาไม่ได้เกลียดธีร์แล้ว ไม่ได้ไม่ชอบหน้าอีกคนแล้ว ความรู้สึกมันเปลี่ยนไปนานแล้ว มันเปลี่ยนไปตอนไหนเขาก็ไม่รู้ตัว รู้เพียง
แค่ว่า...ไม่ได้เกลียด และมีความรู้สึกดีๆ ด้วย
“หึหึ มึงนี่เก่งนะไอ้ธีร์ ทำเอาคนอย่างกูเป็นแบบนี้ได้ ไม่ใช่ธรรมดา”
พัฒน์ตระหนักได้ว่า ถ้าเขาไม่ได้ยินเสียงของมัน ไม่มีทางนอนหลับแน่ๆ เลยโทรไปหาอีกคนตอนเที่ยวคืนกว่าๆ นี่แหละ ปลาย
สายรับสายทันทีราวกับไม่ได้กำลังนอน
(โหล...) ปลายสายงัวเงีย ไม่รู้ว่าแกล้งหรือเป็นจริง
แต่การรับโทรศัพท์เร็วๆ แบบนี้ไม่ใช่นิสัยปกติของธีร์แน่ๆ ขนาดไม่นอนมันยังรับสายเขาช้าเลย คิดไปเองได้หรือเปล่าว่าธีร์กำลัง
รอโทรศัพท์ของเขา
“ทำไรอยู่” ถามไปเสียงนิ่ง ถ้าคนที่ไม่เห็นหน้าได้ยินเสียงเขาก็จินตนาการได้ว่าเขากำลังทำหน้าแบบไหนอยู่ ซึ่งธีร์ก็คิดว่าพัฒน์กำลังทำหน้านิ่งๆ เหมือนกำลังไม่พอใจใครอยู่แน่ๆ แต่มีเพียงแค่เขากับดวงจันทร์เท่านั้นที่รู้ว่าพัฒน์มีสหน้าแบบไหน
หัวใจของพัฒน์เหมือนโดนน้ำเย็นสาดเข้าดับความร้อนรุ่มที่มีทั้งหมดตลอดวันเมื่อได้ยินเสียงของธีร์
(โทรมาตอนนี้ เล่นหมากเก็บอยู่มั้งไอ้ห่า) ธีร์ด่าสวนกลับมา เสียงตื่นเต็มที่
“เหรอ นึกว่ารอโทรศัพท์กู” พัฒน์หยั่งเชิงดู
(หลงตัวเอง ใครจะไปรอโทรศัพท์มึงกัน)
“หึหึ...จริงดิ”
(เออ กูอุตส่าห์ดีใจที่วันนี้มึงไม่โทรมา) ธีร์พูดออกมา ทำเอาพัฒน์ยิ้มออกมาที่ทำให้ธีร์อารมณ์ขึ้นได้
“งั้นพรุ่งนี้กูไม่โทรหาก็แล้วกัน” แสร้งทำเป็นจริงจัง
แม้ว่าวันนี้จะเป็นเที่ยงคืนแล้ว ซึ่งเข้าวันใหม่ไปแล้ว พัฒน์ก็เลือกที่จะพูดแบบนี้เพราะยังไงก็เข้าใจกันทั้งสองฝ่ายอยู่แล้ว
“เงียบทำไม” พัฒน์ถามยิ้มๆ เพราะอีกคนไม่มีทีท่าว่าจะตอบอะไรเลย
(กูง่วง) ปลายสายตอบสั้นๆ
“งั้นกูไม่กวนแล้ว”
(เดี๋ยว...) พัฒน์แนบหูฟังต่อเมื่อธีร์เรียกเอาไว้
“อะไร”
(ทำไมถึงโทรมาตอนนี้) ถามเสียงแผ่ว สั่นเครือนิดๆ แต่พัฒน์ก็ไม่เอะใจอะไรมาก เพราะคิดว่าอีกคนเพิ่งจะตื่นเลยเสียงสั่นๆ ไปหน่อย
“กูนอนไม่หลับ”
ธีร์เงียบ เขาก็เงียบ ต่างคนต่างนั่งฟังเสียงหัวใจของตัวเองที่เต้นแรงไม่เป็นส่ำ ร่างบางเม้มปากแน่น ไม่รู้ว่าจะพูดอะไรต่อไปดี ส่วนพัฒน์ก็นั่งยิ้มที่ได้ยินเสียงหายใจหนักหน่วงมาจากปลายสาย
ต่างคนก็ต่างทำอะไรไม่ถูก ทั้งๆ ที่ไม่เห็นหน้ากันแท้ๆ
(ร่ะ...เรื่องของมึง กูนอนแล้ว ฝันดี ติ๊ด) ธีร์พูดเสียงตะกุกตะกัก บอกฝันดีแล้ววางสายไป พัฒน์เสยผมขึ้นนิดๆ ก่อนจะทิ้งตัวลง
นอน
อาการที่นอนไม่หลับก่อนหน้าหายไปเป็นปลิดทิ้ง ตอนนี้พัฒน์สามารถนอนหลับได้โดยไม่รู้สึกกระสับกระส่ายแต่อย่างใด ที่สำคัญเขาฝันดีอีกด้วย...
ทางด้านธีร์ที่เห็นอีกคนโทรมาก็ดีใจมากๆ แกล้งทำเป็นงัวเงียใส่ราวกับว่าตัวเองนอนอยู่ทั้งๆ ที่ความเป็นจริงแล้ว เขานอนไม่หลับ ตาค้างเสียด้วย สาเหตุเป็นเพราะเขาดื่มกาแฟด้วยส่วนหนึ่ง อีกส่วนหนึ่งคือหวังลึกๆ ว่าอีกคนจะโทรมา และเป็นไปตามนั้น พัฒน์โทรมาในช่วงเที่ยงคืนกว่าๆ เราคุยอะไรกันไม่มากนัก ออกจะหาเรื่องกันนิดๆ ด้วยซ้ำ แต่ตอนที่ร่างแกร่งบอกว่าจะไม่โทรหาในวันพรุ่งนี้ หัวใจของธีร์ตกไปอยู่ที่ตาตุ่มเลยล่ะ ไม่รู้ว่าจะพูดอะไรดี เพื่อปิดบังความผิดหวังนี้เลยได้แต่เงียบ และพอเขาถามว่าทำไมถึงได้โทรมาป่านนี้...คำตอบสั้นๆ ที่บอกว่านอนไม่หลับนั้น ทำเอาธีร์ใจเต้นแรงมากๆ หายใจหนักหน่วงเพราะความขัดเขิน และเป็นอีกครั้งที่เขาเงียบ และทางนั้นเองก็เงียบ ก่อนจะเป็นเขาเองที่ขอวางสายไปก่อน เพราะไม่รู้ว่าจะพูดอะไรต่อดี
แต่เพียงเท่านี้ ก็เป็นเหมือนยานอนหลับชั้นดีให้กับธีร์แล้วล่ะ
ฝันดีว่ะ…
…
…
…
(มีต่อ)