อ่านต่อกันเลยค่า^^ 
.
.
.
ท่านให้เหตุผลกับผมว่าหมูน้อยยังเด็ก และอาจจะไม่มีความรู้สึกเดียวกันกับผมก็ได้ อยากให้ผมค่อยๆแสดงออกให้น้องรับรู้ ร่วมกับสังเกตท่าทีที่น้องมีให้ผมไปด้วย ถ้าสุดท้ายหมูน้อยรักผม พวกท่านก็จะไม่ห้ามแต่จะสนับสนุนให้รักกันด้วยซ้ำ เพราะเราต่างเป็นลูกที่ท่านรัก จะมีพ่อแม่ที่ไหนบ้างไม่อยากเห็นลูกของตัวเองมีความสุข
ที่สำคัญช่วงเวลานั้น ผมติดออดิชั่นของบริษัทเพลงที่ฮ่องกงพอดี และต้องเซ็นสัญญาเพื่อไปเป็นนักร้องในสังกัด AJ Music Record ทำให้ต้องย้ายไปใช้ชีวิตที่ฮ่องกง ทั้งร้องเพลงและเรียนปริญญาไปพร้อมๆกัน คุณพ่อและคุณแม่คงอยากให้ผมทำตามความฝันของตัวเองให้ได้เสียก่อน ส่วนเรื่องความรักคงไม่อยากให้รีบร้อน เพราะอย่างไรซะหมูน้อยก็อยู่ในสายตาและความดูแลของท่าน แต่ก็ไม่วายมีเพื่อนสนิทคิดไม่ซื่อเข้ามาวอแวคนของผมจนได้
สิ่งสำคัญยิ่งกว่านั้นคือมีหนึ่งความลับอันยิ่งใหญ่ แต่จะเรียกว่าเป็นความมหัศจรรย์แสนน่ายินดี ที่สิ่งศักดิ์สิทธิ์ประทานให้ครอบครัวอัครภูมิเมธีก็ได้ ดังนั้นบุพการีของผมจึงอยากให้ความรักของเราค่อยๆเบ่งบาน จนกลายเป็นดอกรักแสนสวยที่ทั้งถูกคนและถูกเวลา ผมพูดแบบนี้เชื่อได้ว่าอีกหลายคนคงไม่เข้าใจ และต้องการคำอธิบายที่มากกว่านี้ แต่ผมคงยังบอกไม่ได้ ด้วยถูกคุณพ่อกำชับนักหนาว่าห้ามแพร่งพราย
ความลับนี้ผมได้รู้โดยบังเอิญ ก่อนที่ผมจะเดินทางไปฮ่องกงไม่กี่วันของช่วงหกปีก่อนนั่นเอง แรกรู้ยอมรับว่าตกใจและยินดีไม่น้อยที่อัครภูมิเมธีไม่ได้จบที่รุ่นผม สายเลือดแห่งความภาคภูมิใจของท่านปู่ท่านทวดยังสามารถมีผู้สืบทอดต่อไปได้ ปลดแอกความหนักใจลึกๆของผมจนหมด
ดังนั้นจากคำห้ามของบุพการีและความลับที่แสนยิ่งใหญ่ ทำให้ผมยอมที่จะไปฮ่องกงทั้งๆที่ไม่ได้บอกความรู้สึกแก่คนที่ผมแน่ใจว่ารัก แม้จะมั่นใจว่าคุณพ่อและคุณแม่จะดูแลหมูน้อยอย่างดี แต่นั่นก็แค่เรื่องทางกาย สำหรับเรื่องของหัวใจถ้าไม่ใช้ใจดูแลคงไม่ได้ ผมจึงหมั่นโทรข้ามประเทศมาหาหมูน้อยเกือบทุกอาทิตย์ และติดต่อน้องผ่านโลกอินเตอร์เน็ตทุกทางที่ผมจะสามารถหาเวลาได้ ซึ่งหากมีช่วงให้พักก็แน่นอนที่ผมจะบินตรงกลับเมืองไทย และใช้ช่วงเวลาว่างทั้งหมดกับหมูน้อยของผม
แม้หมูน้อยเองจะเรียนหนัก แต่เจ้าตัวก็แบ่งเวลาอยู่กับผมเท่าที่จะทำได้เสมอ ผมเองก็พยายามแสดงออกให้น้องรับรู้ แต่ก็เหมือนจะไม่คืบหน้าเท่าไหร่ อาจจะเป็นเพราะความใส่ซื่อและความถ่อมตัวจนเกินพอดีของหมูน้อยก็ได้ ที่ทำให้ความรักของเราไม่คืบหน้านัก แต่ผมก็พอใจและมีความสุขในแบบที่น้องเป็น แม้จะแอบหนักใจเรื่องที่หมูน้อยชอบดูถูกตัวเองอยู่บ้าง เพราะถึงน้องไม่พูดแต่แววตาน้องก็บอกผมจนหมด
ข้อนี้ผมขอรับผิดไว้แต่ผู้เดียว ตั้งใจไว้แล้วว่าต่อไปจะไม่พูดอะไรที่ตรงข้ามกับตัวตนของน้องอีกแล้ว และจะทำทุกวิธีที่จะสร้างความมั่นใจให้ลูกหมูแสนรักคนนี้ ได้มีความเชื่อมั่นในตัวเองว่าน้องน่ารักและมีค่าสำหรับผมเสมอมา ที่สำคัญน้องต้องเชื่อมั่นในความรักที่ผมมีให้ เพราะมันถึงเวลาของเราแล้ว สมควรแก่เวลาที่ดอกรักของเราจะเริ่มเบ่งบานตามวิถีทางที่สมควรเป็น
“ว่าไงนะครับแม่!...หมูน้อยตกบันได!.....แม่ใจเย็นๆครับ ผมจะไปดูน้องเอง ถ้าได้รู้อาการน้อง ผมจะรีบโทรกลับนะครับ” ข่าวที่เพิ่งได้รู้สร้างความตกใจให้ผมไม่น้อย แต่ผมก็ต้องรีบรวบรวมสติให้เร็วที่สุด เพราะอยากเป็นหลักให้คุณแม่ที่อยู่ปลายสาย ด้วยเสียงของท่านนั้นสั่นเครือชัดหู
แม้ผมจะรู้สึกกังวลกับอาการของคุณแม่ แต่ก็มีเวลาปลอบโยนท่านไม่มากนัก ยังดีที่ได้ยินเสียงป้าแม่บ้านแว่วๆว่าให้คุณแม่สูดหายใจเข้าลึกๆ ไม่พ้นท่านคงใกล้เป็นลมหรือเป็นลมมาแล้วก่อนโทรหาผมก็สุดรู้ แต่ทำให้ผมรู้ว่าท่านมีคนดูแลใกล้ชิดแล้ว นาทีนี้ผมจึงมีคนที่น่าเป็นห่วงมากกว่า ด้วยหมูน้อยตกบันไดหมดสติรอผมอยู่ที่โรงพยาบาล อาการมากน้อยอย่างไรก็ไม่มีรายละเอียด
ผมหักพวงมาลัยเปลี่ยนเลนทันที ที่เห็นช่วงว่างบนถนนพอจะแทรกรถเข้าไปได้ การกระทำของผมไม่พ้นมีเสียงบีบแตรและเสียงเบรกรถดังขึ้นตามหลังแทบทันที แต่เวลานี้ผมไม่มีเวลามารู้สึกผิดต่อสิ่งที่ทำ ด้วยใจเป็นห่วงคนที่ผมรักเกินกว่าจะมาสนใจความรู้สึกใคร หรือแม้แต่ความปลอดภัยของตัวเอง
ท่ามกลางช่วงเวลาวิกฤตผมยังคงมีโชคอยู่บ้าง เพราะจุดหมายปลายทางแต่แรกของผม คือมหาวิทยาลัยที่หมูน้อยเรียนอยู่แล้ว ด้วยผมตั้งใจไปรับเพราะต้องการง้อหมูน้อย เพียงแต่เปลี่ยนจากตึกคณะเภสัชเป็นโรงพยาบาลของมหาวิทยาลัยเท่านั้น ผมใช้เวลาไม่นานจึงได้มาถึงที่หมาย และลืมนึกถึงผลกระทบที่จะเกิดขึ้นจากการปรากฏตัวของผมในที่สาธารณะไปเสียสนิท เพราะความสนใจของผมทั้งหมดอยู่เพียงอาการของคนที่ผมรัก
“ดะ...เดินตรงไป ห้องฉุกเฉินอยู่ ซะ...ซ้ายมือ ค่ะ พี่ ละ...ลีโอ~” นักศึกษาสาวตะกุกตะกักตอบคำถามผมด้วยสติที่ยังไม่ครบนัก แต่ผมไม่คิดที่จะรอ เพราะเอ่ยขอบคุณจบก็จ้ำอ้าวไปตามทางที่เธอบอก
นาทีนี้ผมเพิ่งนึกได้ว่าตัวเองนั้นถูกให้ความสนใจแค่ไหน เพราะเกือบทุกสายตาในบริเวณที่ผมเดินผ่าน มองตามจับจ้องมาที่ผมแบบเหลียวหลัง คงเป็นไปด้วยความรู้สึกประหลาดใจปะปนไปกับความไม่แน่ใจ ที่เห็นลีโอแห่งวง Chic ปรากฏตัวที่โรงพยาบาล ผมได้แต่รีบสาวเท้าให้ถึงหน้าห้องฉุกเฉินให้เร็วที่สุด สิ่งแรกที่ผมเห็นคือไอ้ผู้ชายคนนั้น
นายปูนนั่งรอยังเก้าอี้หน้าห้องฉุกเฉิน ด้วยสีหน้าเคร่งเครียดและจ้องไปยังประตูที่ปิดสนิทแบบไม่ละสายตา ผมเดินไปหยุดอยู่หน้ามัน มันเองก็เงยหน้าขึ้น มีแววตาประหลาดใจก่อนจะแปรเปลี่ยนเป็นเคร่งขรึม และจ้องสบตาผมไม่กระพริบ หากเป็นเวลาปกติผมคงเคลียร์กับมันให้รู้เรื่องไปแล้ว แต่นาทีนี้ความห่วงใยที่ผมมีให้หมูน้อยนั้นมีมากกว่า ผมจึงเลือกที่จะถามถึงอาการของคนที่อยู่ข้างใน
“ตอนนี้ยังไม่รู้ว่าลูกหมูเป็นไงบ้าง แต่ตั้งแต่ตกบันไดที่คณะ จนถึงเข็นลูกหมูเข้าไปในนั้น ลูกหมูไม่ได้สติเลย” แววตาไอ้ปูนเศร้าและรู้สึกผิดจนผมสังเกตได้ ซึ่งคำบอกเล่าของมันก็ทำผมใจหายแทบยืนไม่อยู่ จึงเลือกที่จะนั่งเก้าอี้ข้างๆมันแทน
“เกิดอะไรขึ้น ทำไมลูกหมูถึงตกบันได” ไอ้ปูนหันมามองผมชั่วแวบ ก่อนหันกลับไปมองยังประตูบานเดิม
“ดูเหมือนจะหน้ามืด แต่จะไม่อันตรายเลย ถ้าเราไม่ได้กำลังก้าวลงบันได...ลูกหมูตกบันไดจนเจ็บตัว ทั้งๆที่ผมก็อยู่ตรงนั้น แต่ผมกลับ...ช่วยไม่ได้...ลูกหมู ลอยละลิ่ว มองมาที่ผมด้วยแววตาตื่นๆ และร้องอย่างเจ็บปวด ก่อนหมดสติไป ที่น่าเป็นห่วงคือ ที่หัว ดูเหมือนลูกหมูจะหัวกระแทกพื้นด้วย” น้ำเสียงที่ปูนใช้เล่าเหตุการณ์มันแหบโหย และแทบจะไม่เป็นคำเมื่อจบประโยค แต่ในหัวผมกลับเห็นเหตุการณ์ที่มันเล่าชัดเจน ทั้งๆที่ไม่ได้เห็นด้วยตา
หัวใจผมเจ็บไปหมดและปวดหนึบอยู่ในอก จนหายใจแทบไม่ออก และคิดไปต่างๆนานา หากว่าหมูน้อยเป็นอะไรไปผมจะทำยังไง ที่สำคัญความทรงจำสุดท้ายของน้อง คงมีแต่สีหน้าโกรธเคืองไม่ได้อย่างใจของผมเป็นแน่ ผิดไปจากความเป็นจริงที่ว่าผมรักน้องมากเท่ากับชีวิตตัวเองด้วยซ้ำ ผมสัญญาว่าถ้าหมูน้อยปลอดภัย ผมจะสร้างความทรงจำใหม่ให้น้อง ให้รู้ว่าพี่ลีโอรักหมูน้อยคนเดียวและรักหมูน้อยมากที่สุด
ผมกับนายปูนนั่งรออยู่เงียบๆ เราไม่มีคำพูดอะไรต่อกัน จนกระทั่งเป็นนายปูนเองที่เปิดประเด็นขึ้นมา และเป็นประเด็นที่หากอยู่ในภาวะปกติ ผมคงยืนยันด้วยการกระทำ ไม่เพียงแต่พูดด้วยน้ำเสียงจริงจังแค่นี้หรอก
“คุณรักลูกหมูใช่มั้ย รักที่ไม่ใช่รักของพี่ชาย” ขณะที่พูดนายปูนไม่ได้มองมาที่ผมหรอกครับ มันยังคงมองที่บานประตูเช่นเดิม
การที่นายปูนกล้าถาม ผมว่ามันคงแน่ใจระดับหนึ่ง และรู้ความเป็นไปของครอบครัวเรามาบ้าง บวกกับท่าทางของผมเมื่อวานที่แสดงออกชัดว่าหวงหมูน้อย
“ใช่ นายเข้าใจไม่ผิดหรอก ฉันรักลูกหมู และรักมานานแล้ว...นายเองคงรู้ตัวนะว่าต่อไปต้องทำตัวยังไง ขืนทำเป็นไม่เข้าใจ อย่าหาว่าฉันไม่เตือนก็แล้วกัน” ผมจ้องตากับนายปูน โดยที่มันเองก็ไม่มีหลบ
แววตาที่ผมเห็นออกอาการดื้อดึงและเอาเรื่องอยู่ไม่น้อย ผมเองก็ไม่ยอมแพ้ยังคงจ้องกลับอย่างเอาเรื่องเช่นกัน สุดท้ายมันเองเป็นฝ่ายเบือนหน้าหนี ก่อนจะเอนหลังพิงพนักหัวพิงผนัง มีหลับตาพร้อมผ่อนลมหายใจออกมายาวเหยียด ผมเองเมื่อเห็นว่ามันไม่คิดจะต่อความ และดูเหมือนว่าจะถอยให้ ก็กลับมานั่งกุมมือวางศอกลงบนหน้าขา พร้อมโน้มตัวไปด้านหน้า และจ้องไปยังประตูห้องฉุกเฉินเช่นเดิม
“ผมอยากจะลงสนามสู้กับคุณสักตั้งเหมือนกัน แต่...” อยู่ๆมันก็พูดขึ้นมาทั้งๆที่ยังนั่งหลับตาอยู่ท่าเดิม
ผมทำเพียงเบือนหน้ากลับและรอให้มันเป็นฝ่ายขยายความเอง ในเมื่อความหมายในประโยคที่ได้ยิน บอกให้ผมรู้แล้วว่ามันถอนตัวจากการเป็นศัตรูความรักของผมแล้ว
“แต่คงจะเหนื่อยเปล่า ในเมื่อคนที่ผมจะสู้เพื่อเค้า เค้ากลับไม่มีผมอยู่ในสายตา” ประโยคนี้ทำให้ผมกระตุกยิ้มได้เป็นครั้งแรก ตั้งแต่ได้รับข่าวของหมูน้อย
ผมไม่คิดจะปลอบใจไอ้คนข้างๆ ด้วยเชื่อว่าขืนผมสะเออะพูดปลอบ จะเป็นเหมือนว่าไม่จริงใจเสียเปล่าๆ พาลทำให้มันโมโหมากกว่าจะทำให้นายปูนรู้สึกดีขึ้น ที่สำคัญเรื่องของหัวใจไม่มีอะไรเยียวยาได้ดีไปกว่า เจ้าของหัวใจต้องเข้มแข็งและเยียวยาหัวใจด้วยตัวเอง หากไม่หายสนิทคงต้องหาหัวใจดวงอื่นมาช่วยดูแล แน่นอนว่าต้องไม่ใช่หัวใจของหมูน้อย เพราะหัวใจดวงนั้นผมจับจองเป็นเจ้าของมานานแล้ว
“หมูน้อย!!...ลูกหมู!!” ผมกับไอ้ปูนถลาไปยังเตียงนอนที่มีร่างหมูน้อยนอนอยู่ และกำลังถูกเข็นออกจากห้องฉุกเฉินทันที
“ผมขอตัวคนไข้ไปสแกนสมองก่อนครับ” ผมกับนายปูนถูกคุณหมอผู้ชายวัยกลางคนห้ามไว้
ผมก็ได้แต่มองตามเตียงเข็นที่มีหมูน้อยของผมนอนอยู่ให้เคลื่อนจากไป ก่อนจะได้สติหันมาถามอาการของน้องจากหมอเจ้าของไข้
“ร่างกายภายนอกไม่มีอะไรน่าเป็นห่วงมากครับ กระดูกขาร้าว แผลแตกที่ศีรษะ ผิวหนังฟกช้ำเพราะถูกกระแทก ซึ่งผมจัดการให้หมดแล้ว แต่ที่น่าห่วงคืออาการทางสมอง เพราะคนไข้หัวกระแทกพื้นเพราะตกบันได รอผลสแกนก่อน ผมถึงจะยืนยันได้อีกที และยังไงคืนนี้คนไข้ก็ต้องนอนดูอาการที่นี่นะครับ” หมอพูดจบก็เดินไปทางเดียวกับที่ผู้ช่วยพยาบาลเข็นหมูน้อยจากไป ผมจึงตัดสินใจหมุนตัวกลับไปเผชิญหน้ากับนายปูน
“นายกลับบ้านไปก่อนเถอะ นี่ก็ค่ำแล้ว เดี๋ยวที่บ้านเป็นห่วง ส่วนลูกหมูปล่อยให้เป็นหน้าที่ของว่าที่คนรักอย่างฉันเอง” สิ้นคำพูดของผมเจ้าของแววตาไหววูบก็ถอนใจเฮือกใหญ่ ก่อนมันจะยืดตัวขึ้นและหมุนตัวเดินจากไปอย่างว่าง่าย แต่ก็เต็มไปด้วยความทะนงตนจนผมเองยังทึ่ง
ได้เห็นท่าทางแบบนั้นของนายปูน ผมอดชื่นชมและยอมรับ ในความเป็นลูกผู้ชายและการมีน้ำใจน้ำกีฬาของมันไม่ได้จริงๆ คนแบบนี้สิผมถึงจะยอมให้มันคบกับหมูน้อยของผมในฐานะของเพื่อนสนิทต่อได้
ผมเลิกสนใจคนอื่น เพื่อตามไปรอฟังผลสแกนสมองของหมูน้อย โดยระหว่างที่รอผมก็โทรรายงานอาการของหมูน้อยให้คุณแม่ทราบ ซึ่งท่านก็รับทราบและบอกว่า ท่านกับคุณพ่อเตรียมจะเดินทางมายังโรงพยาบาล ผมจึงฝากให้ท่านบอกป้าแม่บ้านจัดชุดใส่กระเป๋ามาให้ผมด้วย เพราะตั้งใจนอนค้างที่นี่เพื่อเฝ้าหมูน้อยด้วยตัวเอง
ผมหวังว่าผลการสแกนสมองคงไม่มีอะไรน่าเป็นห่วง และคงไม่มีบทดราม่าเหมือนในละคร อย่างการที่หมูน้อยตื่นขึ้นมาและความจำเสื่อมจำผมไม่ได้ หรือแม้แต่ไม่ตื่นเลยจนกลายเป็นเจ้าชายนิทราตลอดกาล
..........................................
โปรดติดตามตอนต่อไป^^การที่ลีโอออกมาตอนนี้ก็ไม่รู้ว่าจะช่วยอะไรได้มั้ย ดูท่าจะโดนหนักกว่าเดิม
เหมือนเราเอาพระเอกมายำเลยเนอะ เอ็นดูพระเอก MiSS-U มาหน่อยนะคะ

แต่เม้นท์ได้เต็มที่เลยค่ะ ยินดีรับฟังทุกความเห็น
ตอนนี้ใครแอบจับความลับของครอบครัวภักดิภูมิเมธีได้บ้างรึเปล่า

ถ้ายังจับไม่ได้ ตามอ่านในตอนหน้าน้า น่าจะพอรู้อะไรบ้าง
ติดตามตอนหน้าในวันอาทิตย์ค่ะ+1และเป็ดสำหรับทุกเม้นท์ ขอบคุณทุกการติดตามค่ะ
ปล.3เม้นท์ต่อจากนี้รอรับ magnet ได้เลยน้า ท่านใดได้ไปแล้วขออนุญาตข้ามนะคะ^^
