ตอนที่ 20
“หมอจิ๊บน่าอิจฉาจังเลย แฟนหล๊อหล่อ (เสียดายเนอะ)”
นั่นคือสิ่งที่ผมมักจะได้ยินคนพูดกันให้ว่อน ตั้งแต่คุณชายมาประกาศกร้าวว่าผมเป็นคนมีเจ้าของแล้วกลางโรงพยาบาลบ้านนอกๆ แบบที่นี่ ส่วนคำในวงเล็บก็มักจะเป็นเสียงที่ลอยตามลมมาให้ได้ยินเสมอ
เอาเป็นว่าตอนนี้คนทั้งโรงพยาบาลรู้ว่าผมเป็นแฟนเขาแม้แต่คนต่างโรงพยาบาลอย่างไอ้หมออาทิตย์หน้าทิ่ม และพี่หมอที่โรงพยาบาลเก่าก็ยังรู้ และโทรศัพท์มาแสดงความยินดีในความไม่โสดของผมกันยกใหญ่
“เห้ยดีใจด้วยนะโว้ยเป็นฝั่งเป็นฝาซะทีนะเพื่อน”
ไอ้ทิ่มมันว่า
“อย่างนี้พี่ก็หมดห่วงซะทีนะจิ๊บขอให้ประสบความสำเร็จในชีวิตคู่ ถือไม้เท้ายอดทองกระบองยอดเพชรมีลูกเต็มบ้านมีหลานเต็มเมือง มีปัญหาก็ค่อยๆ พูดค่อยจาชีวิตคู่จะได้ยืนยาวยินดีบลาๆๆๆ...”
พี่หมอเอ่ย
ไม่รู้ว่าข่าวที่ไปถึงหูสองคนนี้มันไปพร้อมการ์ดแต่งงานหรืออย่างไร ถึงได้คิดว่าผมจะลงหลักปักฐานกับคุณชายอย่างถาวร
ยิ่งประโยคที่พี่หมอพูดกับผมตรงที่ ‘มีลูกเต็มบ้านมีหลานเต็มเมือง’ เนี่ย... พี่ลืมไปหรือเปล่าครับว่าผมเป็นผู้ชาย? แล้วอีกฝ่ายก็เป็นผู้ชายด้วย ท้องไม่ได้หรอกคุณเหอๆ
ผมกลับบ้านไปก็หงุดหงิดไป ทำไมรอบข้างผมไม่มีใครเข้าใจความชีช้ำของผมเลย นี่กลับไปก็ต้องไปเจอคุณชายอีก ไร้อิสระภาพสิ้นดี
นี่ยังดีนะครับ ที่ยังมีเพื่อนผมอีกหนึ่งคน ที่พอรู้ข่าวปุ๊บ ก็แสดงความเสียใจในความไม่โสดของผมทันที~!
หึหึหึ... เป็นเพื่อนที่ดีใช่มั้ยล่ะครับเรียกได้ว่าคนคนนี้เป็นเพื่อนซี้ปึกของผมสมัยมัธยมเลยก็ว่าได้ เป็นเพื่อนเก่าแก่ที่พึ่งกลับมาจากเมืองผู้ดีอังกฤษเลยนะ ไปเป็นนักสืบอยู่ที่นั่นหลายปีหลังเรียนจบ ไม่คิดว่าจะมาบังเอิญเจอกันตอนที่ไปพบจิตแพทย์
ตอนนั้นเขาไปติดต่อขอเคสคนร้ายโรคจิตที่โรงพยาบาลเดียวกันพอดี มันเลยทำให้เราสองคนได้มาปะกันอีกครั้ง และการพบกับหมอนี่อีกครั้งนี่แหล่ะ ที่ทำให้ผมมีความลับขั้นมิสชั่นอิมพอสสิเบิลเกิดขึ้น
ย้อนกลับไปเมื่อสองอาทิตย์ที่แล้ว....
“เฮ้ยยย...จิ๊บ...ไอ้จิ๊บโว้ยย!!”
เสียงแหลมๆ ของใครสักคนเรียกชื่อทำให้ผมต้องหันไปมอง เขาคือไอ้ปุ๊เพื่อนสมัยดึกดำบรรพ์ที่ร่วมผจญภัยต่างๆ นาๆ มาด้วยกัน
ผมสนิทกับหมอนี่ตั้งแต่ม.ต้น เรียกได้ว่าเป็นคนที่คล้ายกันกับผมมากๆตั้งแต่มาจากบ้านนอกเหมือนๆ กันรสนิยมและความคิดเป็นไปทางเดียวกัน และพวกเราก็ยังเป็นพวกถือคติ ‘รักไม่ยุ่งมุ่งแต่เรียน’ เหมือนกันอีก ถ้ามีใครเอารูปถ่ายของเราสองคนสมัยนั้นมาให้ดูนี่ คงได้อับอายขายขี้หน้าไปชั่วชีวิต
ก็เมื่อก่อนผมเนี่ยใส่แว่นหนาเตอะ หากผมยาวเมื่อไหร่หัวจะฟูหยิกหยอยแถมยังชอบสวมเสื้อติดกระดุมตั้งแต่เม็ดบนยันเม็ดล่างสุด หิ้วกระเป๋ามาโรงเรียนก็เหมือนมาเข้าค่ายทั้งเดือน พวกเด็กเนิร์ดยังเรียกผมว่าพ่อเลยคิดดู
ส่วนไอ้ปุ๊น่ะเหรอครับ
อาจจะแย่กว่าผมเล็กน้อยตรงที่ว่าเขาไว้ผมทรงนักเรียนเกรียนๆ ถูกกฎระเบียบทุกกระเบียดนิ้วใส่กางเกงทรงคุณปู่คาดเข็มขัดอยู่ใต้อก สะพายกระเป๋านักเรียนเหมือนเท่ห์แต่ดันตุงแบบแบ็คแพ็คเกอร์ แล้วยังพูดติดเหน่ออีก พวกเด็กเนิร์ดไม่ได้เรียกปุ๊ว่าพ่อเหมือนผมแต่เรียกเขาว่าทวด
ความเป็นทวดเนิร์ดของปุ๊ผมจะลองยกตัวอย่างให้คุณดูสักเรื่องแล้วกัน
“ปุ๊หลังเลิกเรียนวันนี้ไปคาราโอเกะกันมั้ยจ๊ะ?”
เด็กสาวหน้าตาจิ้มลิ้มคนหนึ่งกระโดดขึ้นนั่งบนโต๊ะยกขาขึ้นไขว่ห้าง จงใจสยายผมไปข้างหลังแนวมั่นใจว่าตัวเองคงดูเซ็กซี่สุดๆ เอ่ยถามเด็กชายที่ชื่อปุ๊ด้วยน้ำเสียงน่ารัก
ปุ๊เงยหน้าขึ้นมาจากหนังสือ ‘คณิตศาสตร์ครองโลก’ มาตอบสาวน้อยในมาดเข้ม
“ไม่ไปครับวันนี้กระผมต้องกลับไปท่องตารางธาตุ เหลืออีกแค่ 728 วันกับอีก16 ชั่วโมงพวกเราก็ต้องสอบเข้ามหาวิทยาลัยกันแล้ว”
จากนั้นเขาก็ก้มหน้าก้มตาจดสูตรแคลคูลัสลงสมุดเล่มเล็กๆ ต่อ แล้วสาวน้อยคนนั้นก็เบ้ปากเป็นโลโก้แมคโดนัลด์ และไม่เคยเข้ามาคุยกับพวกเราอีกเลย รวมถึงเพื่อนสาวคนอื่นๆ ของเจ้าหล่อนด้วย (ผมโดนหางเลขไปด้วยเพราะดันเป็นเพื่อนกับไอ้ปุ๊มันน่ะสิ) จนจบม.ปลายพวกเราก็ยังไม่เคยมีประสบการณ์กับเพศตรงข้ามแม้กระทั่งจูบ...
แต่ไม่ได้หมายความว่าผมกับปุ๊จะไร้เดียงสากันขนาดนั้นหรอกนะคร๊าบ
พวกเราเองก็ถือว่ามีประสบการณ์ท้าทายเกี่ยวกับเพศตรงข้ามอยู่เหมือนกัน อย่างเช่นการถกเถียงเรื่องกระโปรงที่ดาวของห้องสวมว่ามันสั้นกว่าเมื่อวันก่อนกี่มิลลิเมตร...และอื่นๆ อีกมากมายที่นึกไม่ออก...เรียกได้ว่ายวีรกรรมพวกผมนี่เย๊ออออเชียว (ทำเสียงสูง)
แต่พอจะขึ้นมหาวิทยาลัยพวกเราก็ต้องแยกย้ายกัน เพราะปุ๊ได้ทุนไปเรียนต่อที่อังกฤษส่วนผมก็สอบติดคณะแพทย์เรียกได้เป็นการจากลาที่เศร้าครับ ถึงอย่างนั้นพวกเราก็ให้สัญญากันไว้ว่าหลังเรียนจบแล้วพวกเราจะไปขึ้นครูด้วยกันเมื่อวัยและเงินมีพร้อม
แต่ไม่ต้องรอไปกับปุ๊ผมก็โดนใครบางคนขึ้นคร่อมขึ้นครูให้เรียบร้อย... คิดแล้วก็เจ็บปวดเป็นบ้า...
กลับมาที่บทสนทนาระหว่างการพบกันโดยบังเอิญของผมกับปุ๊ต่อครับ
หลังจากเขาทักผมแล้ว พวกเราก็พากันมานั่งที่โรงอาหารของโรงพยาบาล ถามไถ่สารทุกข์สุขดิบตามประสาเพื่อนเก่าที่ไม่เจอกันนาน
ได้ความว่าหลังจากกลับจากเมืองผู้ดี ปุ๊ก็มาทำงานเป็นนักสืบเอกชน ซึ่งตอนนี้เขาก็กำลังตามสืบนึงคดีอยู่และจำเป็นต้องมาหาข้อมูลที่โรงพยาบาลที่ผมมาบำบัดนี่ด้วย โคตรจะบังเอิญ
“ต่อไปนี้นายต้องเรียกฉันว่า มิสเตอร์ภูมิศักด์ เท่านั้น”
ไม่เจอกันนาน ไอ้ปุ๊แทบไม่เหลือคราบของคนเก่า เขาแต่งตัวประณีตด้วยชุดสูททันสมัย เลิกพูดไทยสำเนียงเดิม แล้วก็ยังหัวสูงกว่าเดิมอีก แบบว่าเขาไม่สามารถพูดไทยแบบรวดเดียวได้ครับ กลายเป็นคนพูดติดอ่างประเภท ไทยคำอังกฤษคำ ผสมปนเปจนผมนึกว่าเขากำลังฝึกท่องคำศัพท์
ไม่ทันที่ผมจะนั่งจับผิดไอ้ปุ๊มันต่อ โทรศัพท์มือถือของเขาก็ดังขึ้นน่าจะมีคนส่งข้อความสำคัญเข้ามาเพราะพอเขาก้มลงอ่านสีหน้าก็เริ่มซีดแล้วก็รีบขอตัวกลับทันที แต่ก็ยังไม่ลืมแลกเบอร์กับผมก่อนไป
และไม่เกินห้านาทีหลังจากนั้นก็มีเมสเสจจากปุ๊เข้ามาว่า ‘อย่าลืมสัญญาวันศุกร์นี้ที่คลับ aaaในซอยxxxอย่าลืมเตรียมท่าแดนซ์คูลๆ มาด้วย อย่ามาโชว์ท่าเฉิ่มๆ ที่นี่เชียวล่ะ'
(…...)
พออ่านจบผมก็ต้องหัวเราะหึในลำคอ ไอ้ปุ๊เด็กเนิร์ดคนเดิมยังไงก็ยังเป็นคนเดิมอยู่วันยังค่ำ สัญญาที่ว่าก็หมายถึงขึ้นครูน่ะสินะ อยากรู้จริงๆ ว่าใครจะไปเชื่อกันวะว่ามันยังซิงอยู่จนปูนนี้แต่ในเมื่อชวนมา ผมก็ไม่ขัดแน่นอน ยิ่งจะได้ไปมันส์ปลดปล่อยอารมณ์ด้วยแล้ว ถือว่าเข้าทางคนอยากหาทางระบาย
แต่จะให้คิดท่าแดนซ์คูลๆ น่ะนะ โอ๊ย จิ๊บๆ ของอย่างนี้ไม่ต้องคิดก็ทำได้ครับ
.
.