◐ เธอที่ร้าย ◑ THE END
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: ◐ เธอที่ร้าย ◑ THE END  (อ่าน 743527 ครั้ง)

ออฟไลน์ BlueCherries

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4060
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +159/-17
4 ตอน

หน่วง หน่วง

รอด้านสิงหาเล่า จะมีไหมคะ? หรือแยกเป็นตอนพิเศษไป

ออฟไลน์ EunJin

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1310
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +114/-2
รู้สึกสงสารทุกคน...หดหู่มากจริงๆ ฮือออออออออ

ออฟไลน์ kosmos

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 237
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +10/-0
พี่ภูจะไปจริงๆเหรอ  :sad4:

ออฟไลน์ som

  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2708
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +230/-2
 :mew6:นักเขียนโหดกับคนอ่านเกินไปแล้ว  โหดจริงๆ

ออฟไลน์ Takarajung_TK

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 931
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +60/-2
อ่านคอมเม้นคนอื่นแล้ว ไม่กล้าอ่านเลย
รอมาลงอีกทีจนเรื่องคลี่คลายนะ
แล้วจะมาอ่รนต่อ
ช่วงนี้กินมาม่าเยอะแล้ว
ขอพักแป๊บ


ออฟไลน์ spsygk

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 193
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +7/-0
ถ่ายทอดอารมณ์ได้ดีมาก
เราเคยมีช่วงนึงแบบภูผา แต่ก็ผ่านมาได้
ถ้่าจะบอกให้ภูพาสู้ๆ. เราจะอินไปไหม. 55
จะหน่วงแค่ไหน ตามอ่านแน่นอนนนนน

ออฟไลน์ Amocha

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 4
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
รู้สึกเกลียดสิงหาเข้าใส้ ครับ  :katai1:

ออฟไลน์ Satanza321

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 671
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +48/-3
อ่านแล้วกลายเป็นเด็กขี้แยไปเลยนะเนี้ย อ่านไปเช็ดน้ำตา สั่งน้ำมูกไป :hao5:
ตอนแรกๆนี่เกลียดเข้าไส้เลยนายภูผาเนี้ย
แต่พอดำเนินเรื่องทางฝั่งภูผามั่ง เราก็อดสงสารไม่ได้อะ มันเศร้าพอๆกับฝั่งของสิงหาเลย
ขอให้นายภูผาฆ่าตัวตายไม่สำเร็จนะ ไม่งั้นนายทำให้สิงหาเสียใจไปตลอดชีวิตแน่ๆ

ออฟไลน์ ssipra

  • นักอ่านมืออาชีพ
  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 784
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +35/-2

ออฟไลน์ CIndY59

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 91
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-0
โอ๊ยยยยย.....อยากจะกริ๊ดร้องทำไมถึงกดเข้ามาอ่านตอนนี้ อีก4ตอนก็จะจบแล้ว
ดันมีแรงดึงดูดลึกลับให้กดเข้า ปรกติไม่อ่านเรื่องที่ไม่จบ ล่ะก็เจอแจ็คพอทจริงๆ

ขณะนี้ ตี1.35 ร้องไห้จนปวดหัวเลย
และอ่านจบอารมณ์ก็ยังไม่จบ ยังคงร้องต่อไป

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ minenat

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1661
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +67/-3
เราสงสารภูผามาก...
ภูผาอย่าทำเลยนะ :m15:

ออฟไลน์ Pimjean

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 57
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
แวะมาเยี่ยมพี่ภู.คิดถึงเป็นห่วง

ออฟไลน์ Miiso

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 51
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-0
เราไม่ได้อ่านทุกตอนนะ  อ่านแค่ช่วงแรกๆแล้วโดดมาอ่านช่วงหลังเลย
เราว่าตอนแรกๆภูผาทำกับสิงหาไว้เยอะมากนะ เยอะเกินไป
มันก็ไม่แปลกที่ตอนท้ายๆสิงหาจะนิ่งใส่คืนบ้าง

มองในทางกลับกัน ตอนนั้นสิงหาเจ็บปวด ทำไมสิงหาทนมาได้ แล้วตอนนี้ทำไมภูผาถึงทำเหมือนจะเป็นจะตาย
เราว่าภูผาเห็นแก่ตัวเกินไป ไม่ว่าจะทางไหน

ถ้ารักสิงหาทำไมไม่พยายามละ ทำไมไม่ทำให้ถึงที่สุดละ ทำไมคิดเองละ ทั้งที่ก่อนนี้ ว่าสิงหาคิดเองต่างๆนานา

ไม่รู้นะว่าต่อไปจะเป็นยังไง ....

ขอชมคนเขียนมาก ช่วงที่สิงหาเจ็บปวดทำน้ำตาเราหมดเป็นลิตรๆเลย
และก็ทำเราแค้นภูผาจนไม่มีน้ำตาให้สักหยดแม้ว่าภูผาจะร่อแร่ยังไงก็ตาม คือ แค้นแรงมากกกก
แต่ก็รอนะ  สุดท้ายจะเป็นอย่างไร   ก็คงสมเหตุสมผลกับสิ่งที่เกิดขึ้นแล้ว

ปล.บางทีความรัก แค่คำว่ารักมันสลายความเจ็บปวดเก่าๆไม่ได้หรอก

ออฟไลน์ Mickey199663

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 215
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +13/-0
อ่านถึงตอนที่พี่ภูวาดรูปนี่น้ำตาไหลเลย ตอนนี้พี่ภูน่าสงสารมากยิ่งเรารู้ว่าพี่โตมากับครอบครัวที่เป็นแบบนี้เรายิ่งร้องไห้ เราเริ่มคิดแล้วว่าบาทีถ้าพี่ภูตายไปจริงๆมันอาจจะดีกว่า พี่ภูจะมีความสุขมากกกว่านี้ แต่อีกใจเราก็ยังอยากให้พี่แกอยู่ แต่อยูแล้วมีคนที่เข้าใจ มีคนรักคนห่วงไม่ใช่แบบนี้ ถ้าพี่ยังอยู่โดดเดี่ยวแบบนี้พี่แกไปคงจะมีความสุขมากกว่า.. คนที่บอกว่ามันสมกับสิ่งที่พี่เคยทำไว้นี่ใจร้ายจัง... จริงๆเราอยากให้อ่านทุกตอนทุกบรรทัดนะ แล้วจะได้อะไรจากเรื่องนี้เยอะมาก นอกจากความแค้น ความสะใจ หรือความสมน้ำหน้า

ออฟไลน์ modisvip

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 142
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-0
แงงงงง ร้องเลยอ่ะ สงสารทั้งสองคนเลย โอ้ยยยยยย

ออฟไลน์ Kaemmiizz

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 727
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +9/-4
เรามาถึงจุดๆนี้ได้ยังไง จุดที่ร้องไห้จนปวดหัวมาก ไม่สามารถทำอะไรได้นอกจากนอนหลับตาอยู่นิ่งๆ
สงสารภูผา ทำไมไม่มีใครเอะใจอะไรเลยหรอ?? คนๆหนึ่งจะทนได้ขนาดไหนกันทั้งที่ตัวเองมีปัญหามารุมเร้าขนาดนี้
พ่อแม่ ครอบครัวไม่เคยสนใจลูกเลยหรอ?? ไม่เห็นเลยหรอ?ว่าลูกมีความสุขหรือเปล่า แล้วเคยคิดบ้างหรือเปล่าว่าจริงๆแล้ว "ลูก" อาจไม่ได้ต้องการข้าวของเงินทองอะไรมากมาย แค่ต้องการความอบอุ่นจากสังคมเล็กๆในครอบครัว
แล้วมินตราน่ะ รู้อยู่แล้วว่าภูผาป่วย แล้วถ้าสนิทกันขนาดนั้นก็คงจะรู้บ้างสิ ว่าภูผานิสัยยังไง หรือไม่ก็น่าจะกลับมาอธิบายอะไรให้สิงหาฟังบ้าง หรือบางทีคิดว่าภูผาจะเป็นคนอธิบายหรอ?? แต่น่าจะเอะใจสักนิดสิ ไม่น่าไปมีความสุขอยู่คนเดียวเลย
ส่วนสิงหา ที่ผ่านมานายเจ็บเรารู้เราเข้าใจว่าสิ่งที่ภูผาเคยทำกับนายมันเจ็บจนเกินให้อภัย แต่นั่นเป็นเพราะภูผาป่วยนะ แถมเจ้าตัวยังไม่รู้ตัว
ถ้าตอนนี้นายจะเอะใจสักนิดกับสิ่งที่ภูผาทำให้นาย นายอาจจะเข้าใจภูผากว่านี้ก็ได้
ไม่มีใครเอะใจเลยหรอ?? ผู้ชายคนนี้เค้า(อาจ)จะไม่ได้อยู่บนโลกนี้แล้วนะเว้ย ทำไมถึงไม่มีคนมาอยู่ข้างๆเค้าในเวลานี้ล่ะ ผู้ชายที่เหมือนอยู่ตัวคนเดียวบนโลกนี้ ทำไมถึงได้โดนทอดทิ้งขนาดนี้
ไม่ไหวแล้วว่ะ ยอมรับเลย อินมาก ขนาดเราอ่านพิษรักมานะ บูทำกับเนย์ร้ายแรงกว่านี้อีก มันไม่หน่วงเท่านี้เลยอ่ะ นี่เราร้องไห้ตั้งแต่อินโทรจนถึงตอนนี้ มันหน่วงมันจุกมันบีบคั้นหัวใจมาก นอนร้องไห้ทั้งๆที่ก่อนหน้านี้เรายังยิ้มได้อยู่เลย เรารู้ว่าคนแบบนี้มีอยู่จริงบนโลก แต่พอมารับรู้ว่าเค้าทรมานแค่ไหนแล้วย้อนกลับมองตัวเรา แม่งเรารู้สึกโชคดีกว่าหลายๆคนบนโลกอีก
ภูผา นายน่าจะเข้มแข็งนะ เรารับรู้ นายทรมานแค่ไหน ถึงเราจะไม่เจอกับตัวแต่เราพอจะรู้ ปัญหาทุกอย่างมันมีทางออกของมันเสมอ เชื่อสิ แค่ต้องใช้เวลา เมื่อนายตัดสินใจแล้ว ไม่ว่าวันข้างหน้าเป็นยังไง เราอยู่ข้างนายนะ
#เวลาช่วยเยียวยาทุกสิ่งอย่าง #หัวใจก็เช่นกัน
(ดูอย่างบูกะเนย์สิ กว่าจะเข้าใจและใช้ชีวิตด้วยกัน ต้องใช้เวลาถึง 8 ปี เพื่อเยียวยารักษาแผล) เราหวังว่านายจะมีความสุขเช่นกันนะภูผา ขอให้โชคดี

ออฟไลน์ mirin

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 257
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +15/-1
จุดจบจะเป็นยังงัยเนี่ย

อ่านแล้วหน่วงมากขอให้ทุกอย่างไม่สายเกินไปนะ :katai1:

ออฟไลน์ Maw

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 23
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-0
คือยังอ่านไม่ถึงตอนล่าสุดเลย อ่านแค่ตอนแรกมันก็โคตรหน่วงแล้วอ่ะ คนเขียนแต่งเก่งมากเลยค่ะ เป็นกำลังใจให้นะค่ะ  :L2:

ออฟไลน์ lahlunla

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 157
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +8/-0
พี่แม่ง คิดได้แค่นี้หรอวะคะ
ฆ่าตัวตายช่วยอะไรพี่ได้นอกจากหนีความเป็นจริงไปได้
ความตายมันไม่ได้ทำให้พี่หายเจ็บปวดนะ
แต่มันทำให้คนอื่นเจ็บปวดมากกว่าพี่อีก
คนทั้งหมดที่พี่คิดถึงเขานั่นแหละ!!!

#ภูผาสิ้นคิด

ออฟไลน์ Panpearwa

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 71
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-0
ฮื่อออออเพิ่งได้มาตามอ่านอีกแค่4 ตอนเอง ทำไมมันหน่วงขนาดนี้ แบบไม่รู้เลยว่าจะ แฮปี้ได้ไงฮอลลลล~ หน่วงกว่าดาวในน้ำอีก มาต่อเถอะค่ะเราอยากรู้แล้วว่าจะเป็นไงต่อ วัชร จะมารับ ภูไปได้จริงๆไหมหรือน้องสิงหาจะมาดึงพี่ภูกลับทัน

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ Pimjean

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 57
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
แวะมาเยียมครั้งที่ร้อย..ห่วงเน้อพี่ภู

ออฟไลน์ Baitaew

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 361
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +12/-2
รอเรื่องนี้ทุกวันเลย อยากอ่านใจจะขาดแล้ววววว :katai1:

อยากให้ใครเอะใจแล้วมาช่วยทัน อย่างน้อยๆ จะได้เห็นว่ายังมีคนรักและห่วงใยพี่ภูจริงๆ

ออฟไลน์ MIkz_hotaru

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2152
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +106/-4
พี่ภูจะเป็นไงบ้างน้า

ออฟไลน์ manami_01

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 980
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +72/-1
ไม่น๊าาาาาาาาาาาาา


ขอให้สิงหารู้สึกสังหรณ์ใจแล้วรีบไปช่วยภูผาที

แบบว่าที่ภูผาเป็นแบบนี้ส่วนหนึ่งมาจากภาวะครอบครัวแตกร้าว


และเพราะขาดความอบอุ่นทำให้โหยหาคนรอบด้าน แต่ตอนนี้เขารอคน ๆ เดียวก็คือสิงหา


เราคิดว่าสิงหากับคินไม่ได้ครบกันแบบนั้นหรอก แล้วสิงหาก็ยังรักภูผามากด้วย


ขอให้ภูผาคิดได้แล้วอย่างพึ่งรีบตายก็ดี


ฮือออออออออออออ น้ำตาไหลทุกตอนเลยแบบว่าหน่วงมากกกกกกกกกกกก


ร้อนไห้จนตาแดงหมดแล้่ว

ออฟไลน์ minnano

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 4
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
คนเขียนรีบมาเตอะเถอะค้างอย่างแรงงงงงงงงง  :hao5: :sad4: :o12:

ออฟไลน์ Jittirain12

  • เป็ดนักเขียน
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 353
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1238/-18


เนื้อหาในตอนนี้มีความไม่เหมาะสม โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน



ตอนที่ 15


   ดวงตาของผมพร่ามัวไปหมด หูทั้งสองข้างอื้ออึงเหมือนได้ยินเสียงหลอนสารพัด นิ้วมือทั้งสิบยังคงเกร็งเครียด บีบเม็ดยาในกำมือเอาไว้แน่นกระทั่งรู้สึกถึงความสั่นไหวของร่างกาย เสี้ยววินาทีหลังจากนั้นผมเหลือบตามองบางสิ่งผ่านม่านสายตาอันเลือนราง มันเป็นภาพในห้วงของความคิดที่สร้างขึ้นมาหลังจากรับรู้ความจริงว่าไม่มีทางเกิดขึ้น

   “ตัวเล็ก...เหรอ” เสียงที่เอ่ยออกไปกวัดแกว่งเต็มที เป็นเขาใช่มั้ย เขาที่ไม่ใช่คนในความฝัน ผมถามตัวเองอย่างนั้นแม้จะรู้ว่ามันเป็นเพียงเรื่องหลอกลวง

   “ตัวเล็กมาส่งพี่แล้วใช่มั้ย” ผมก้าวเท้าไม่หยุด เดินผละจากเตียงไปยังโต๊ะเขียนหนังสือตรงมุมห้อง พร้อมกับยาในมือที่เริ่มร่วงทีละเม็ดสองเม็ดผ่านซอกนิ้ว ผมเห็นสิงหายืนยิ้มอยู่ตรงนั้น เขายิ้มให้ผมเหมือนกำลังบอกอะไรสักอย่าง แต่ผมโง่...ผมไม่รู้ว่าแววตาของเขาหมายความว่ายังไง

   “พี่ต้องไปแล้ว เราเรียกพี่เหรอ”

   ไม่มีคำตอบจากอีกฝ่าย สมองของผมรวนเรหลังจากมันดับวูบไปก่อนหน้านั้น ผมอาย ผมไม่อยากให้เขาเห็นความขื่นขมที่เกิดขึ้นกับชีวิต มันไร้ค่า น่าสมเพชและเวทนา

   ได้โปรด...อย่าให้ใครต้องมารับรู้ภูผาที่ไม่เอาไหนตอนนี้เลย

   “ขอโทษนะ ทะ...ที่บอกให้ไม่ต้องรอ พี่แค่จะไป พะ...พี่เหนื่อยแล้วครับ ตรงนี้ทรมานมากเลย ดะ...เดี๋ยวร้อน เดี๋ยวก็หนาวจนนอนไม่หลับ อยากนอน พี่อยากนอนใจจะขาด ให้พี่ไปเถอะนะ”

จะให้บอกว่ายังไง ขอโทษนะแต่ตอนนี้ต้องไปแล้วอย่างนั้นเหรอ พี่กำลังฆ่าตัวตาย พี่ไม่อยากอยู่บนโลกอีกต่อไป พี่เหนื่อยมามากพอแล้ว คำพูดพวกนี้ไม่สามารถเอ่ยออกมาให้อีกฝ่ายรับรู้ได้เลย

   สิงหายังคงยิ้ม ฉุดรั้งให้ผมเดินตามความเลือนรางตรงหน้าเพื่อหวังจะได้สัมผัสร่างเล็กเป็นครั้งสุดท้าย แต่พอเดินไปถึงมันกลับว่างเปล่า สิงหาไม่ได้อยู่ตรงนี้ และผมก็รับรู้ได้ในทันที แม่งก็แค่บ้าไปเอง ใครจะอยากรั้งคนไม่เอาไหน ใครจะอยากมาส่งคนเลวๆ ที่ไม่มีใครต้องการ แม้ในใจลึกๆ ผมจะยังอยากให้ใครสักคนจับมือและพาไปส่งถึงความฝัน ลูบหัว และกล่าวปลอบโยนว่าไม่เป็นไรซ้ำๆ จนกระทั่งหลับใหลไป

   ผมเคยกลัวที่ต้องตายอย่างโดดเดี่ยว กลัวที่ต้องจากไปเพียงลำพังอย่างเจ็บปวด แต่ถ้าไม่รีบตัดสินใจผมอาจทรมานมากกว่าที่เป็นอยู่ ภูผาคนนี้ไม่อยากสูญเสียอะไรอีกแล้ว ดังนั้นผมจึงต้องหยุด

หยุดเพื่อไม่ให้สิ่งใดหายไปอีก

บางทีก็คิดอิจฉาใครหลายๆ คนที่จากโลกนี้ไปแต่ทิ้งสิ่งที่มีคุณค่าและยิ่งใหญ่ไว้มากมาย แตกต่างจากผม เพราะมันเป็นเพียงแค่การหายไปโดยไม่ได้กระทบต่อความรู้สึกหรือหัวใจของใครเลย

ผมแบมือข้างขวาซึ่งกำยาเม็ดสีขาวเอาไว้เต็มฝ่ามือ แม้ภาพตรงหน้าจะไม่ชัดเพราะถูกน้ำตาบดบังก็ตามที หัวใจมันเต้นกระหน่ำขึ้นเรื่อยๆ ทุกครั้งที่ระยะของยากับริมฝีปากปากห่างกันเพียงไม่กี่เซน มือข้างนั้นทวีแรงสั่นสะท้าน สั่นราวกับไม่สามารถจับต้องสิ่งใดได้ จนเผลอทำยาในมือร่วงกราวราวกับเม็ดฝน ตกลงสู่พื้นห้องโดยมีฝ่าเท้าเหยียบย่ำบางส่วนของมัน

“อึก...”

ผมย่อเข่าลง เก็บเม็ดยาสีขาวบนพื้นท่ามกลางความพร่าเบลอของดวงตา มือทั้งสองข้างกวาดไปมาสะเปะสะปะคล้ายกับคนตาบอด กระทั่งรู้สึกถึงแรงสัมผัสต่อวัตถุอะไรบางอย่างที่ไม่ใช่ยานอนหลับซุกอยู่ตรงซอกโต๊ะเขียนหนังสือ ผมหยิบมันขึ้นมา ยกแขนปาดน้ำตาออกจากใบหน้าเพื่อหวังจะได้เห็นวัตถุตรงหน้าได้ชัดกว่าเดิม

มันเป็นซองจดหมายสีขาวที่จ่าหน้าซองถึงผมในอีกหนึ่งปีข้างหน้า ทว่าลายมือที่เขียนนั้นมันเป็นตัวหนังสือเบ้ขวาแสนคุ้นตา ลายมือที่ถูกเขียนอย่างตั้งใจและเป็นของใครบางคนในความทรงจำ...สิงหา


ถึง...ภูผาในอีกหนึ่งปีข้างหน้า
31/03/2015


ห้ามเปิดจนกว่าจะถึงเวลา








หนึ่งปีที่แล้ว สิ้นเดือนมีนาคมกำลังผ่านพ้นไป ผมตื่นขึ้นมาในตอนเช้าพร้อมกับใครอีกคนท่ามกลางเสียงนาฬิกาปลุกที่ดังลั่นห้องเพราะเป็นวันสุดท้ายของเดือน เราเลยต้องส่งท้ายเดือนนั้นด้วยการเขียนความฝันของกันและกันอย่างตั้งใจ แต่ผมจำไม่ได้แล้วว่าจดหมายอีกฉบับมันอยู่ที่ไหน จะมีก็แต่ข้อความของสิงหาเท่านั้นที่ยังคงอยู่ เวลานี้ผมไม่ได้นึกว่ามันจะถึงเวลาสำหรับเปิดอ่านข้อความด้านในหรือเปล่า แต่...

เวลาของผมไม่ได้มากเหมือนแต่ก่อนแล้ว

มือทั้งสองข้างค่อยๆ แกะซองจดหมายออกอย่างเบามือ ด้านในมีการ์ดสีฟ้าสอดเอาไว้อย่างเรียบร้อยคล้ายกับรอการเปิดผนึกในสักวัน ผมหยิบแผ่นการ์ดเล็กๆ ขึ้นมา เปิดอ่านข้อความด้านในอย่างใจจดจ่อ ด้วยคาดหวังว่าจะได้อ่านสิ่งที่สิงหาเคยเขียนเอาไว้ในวันที่เรายังรักกันอยู่

31/03/2015
ผมคาดหวังว่าเราจะได้เต้นรำด้วยกัน

ทันทีที่ได้เห็นชื่อของใครอีกคน มันก็ทำให้ความคิดที่กำลังวกวนในสมองหยุดชะงัก ผมเห็นหน้าของเขาและคราบน้ำตาเปรอะเปื้อนอยู่บนกระดาษการ์ดจนเป็นภาพทับซ้อน

แปลกที่ทุกครั้งเวลามีสิงหาโผล่เข้ามาในความคิดพร้อมกับประโยคสร้างความหวังอะไรสักอย่าง มันทำให้ผมอยากมีชีวิตอยู่ต่ออีกหน่อย ถึงแม้จะบอกว่าพอแล้วซ้ำๆ ไม่หยุด แต่ก็ไม่อาจปฏิเสธได้เลยว่าเขาคือเหตุผลเดียวที่ทำให้ผมยังคงหายใจ

“เราอยากเต้นรำกับพี่ในวันสิ้นเดือนเหรอ” เอ่ยออกไป แม้จะไร้ซึ่งวี่แววของคำตอบ

ผมรู้สึกเหมือนความทุกข์ในหัวใจหายไปชั่วขณะ คล้ายมีใครบางคนโอบอุ้มมันขึ้นมาจากนรกสักขุม ตลอดสองวันที่ผ่านมาเราใช้ชีวิตอยู่ด้วยกัน แต่ไม่เคยเลยสักครั้งที่คนตัวเล็กจะแสดงความรู้สึกที่มีต่อผม อะไรสักอย่างก็ได้ รัก เกลียด หรือห่วงใย ผมเห็นเพียงแววตาเฉยชาและว่างเปล่า นั่นทำให้สุดท้ายผมถึงได้ตัดสินใจที่จะจากไปตลอดกาล

อย่างน้อยก็ไม่ต้องมาเจ็บหรือคาดหวังที่จะอยู่กับสิ่งที่เป็นไปไม่ได้อีก กระทั่งได้อ่านข้อความเมื่อหนึ่งปีที่แล้วจากคนตัวเล็ก ความหวังในหัวใจก็ถูกจุดขึ้นอีกครั้ง เขาอยากเต้นรำกับผม เราได้จับมือและเต้นไปด้วยกันตามจังหวะเพลงที่เราชอบ จะผิดมั้ยที่อยากคิดเข้าข้างตัวเองแบบนี้ไปเรื่อยๆ

   ได้แต่เอนตัวลงนอนกับพื้น กอดเข่าคุดคู้อยู่ที่ซอกโต๊ะและคิดถึงเรื่องทุกอย่างอยู่ในหัว

ขอผมจินตนาการถึงมันอีกหน่อยนะ ขอเวลาอีกนิดเดียว ให้ผมได้เก็บช่วงเวลาที่มีความสุขเอาไว้และทำตามสัญญาสุดท้ายที่ให้ไว้กับตัวเล็กก่อน ให้เราได้จับมือกัน ยิ้มให้กัน ตอนนั้นผมอาจจะกล่าวลาสักประโยคแล้วค่อยหายไป มันคงดีกว่า...

   เราจะเต้นรำเพลงอะไรดี

   The luckiest ในหนัง About time ที่ตัวเล็กชอบดีมั้ย
   







หกโมงเช้ามาถึงเร็วกว่าที่คิด ผมเผลอหลับไปทั้งชุดนิสิต เพราะเมื่อคืนร้องไห้แทบไม่เหลือน้ำตา แต่ทันทีที่สะดุ้งตื่นขึ้นมาผมก็รีบต่อสายหาไอ้เซนทันที ดีใจที่มันยังคอยช่วยเหลือจนกระทั่งวินาทีสุดท้าย ผมจะไม่มีวันลืมความเอื้อเฟื้อของเพื่อนคนนี้เลย

วันที่ 31 มีนาคม จะตรงกับวันจัดนิทรรศการภาพถ่ายของผมที่หอศิลป์มหาวิทยาลัย ซึ่งก็คืออีกสองวันข้างหน้า ไม่รู้หรอกว่าสิงหาตอบตกลงที่จะมาหรือเปล่า เพราะผมบอกเขาว่าไม่ต้องรอแล้ว แต่ในใจลึกๆ มันก็ยังมีความหวังว่าเราจะได้ทำตามความฝันสุดท้ายไปด้วยกัน

Rrrrrrrrrrrrrrrrrrrr

เสียงเรียกเข้าจากโทรศัพท์เครื่องเดิมดังขึ้น มองดูปลายสายเห็นว่าเป็นเบอร์ไม่คุ้นเคยแต่ก็ตัดสินใจรับในทันที

“สวัสดีครับ”

ผมคาดหวังว่าจะได้ฟังเสียงของใครสักคนตอบกลับมา และในเวลานั้นความปรารถนาของผมก็เป็นจริง ขอบคุณที่ทำให้ภูผาคนนี้ยิ้มได้อีกครั้ง...

“ไหนคุณบอกว่าภาพเสร็จแล้ว” คนตัวเล็กเดินเข้ามาในตัวบ้าน หลังจากปล่อยให้ยืนรออยู่ตรงรั้วค่อนข้างนานเพราะไม่สามารถกดกริ่งเรียกได้ แหงล่ะ...ผมถอดมันออกไปแล้ว หรือถ้าจะตะโกนก็คงไม่ได้ยิน

“พี่ทำเสร็จแล้ว แต่อยากให้เรามาช่วยเลือกรูปที่ชอบหน่อย”

   “คุณไม่ได้นอนหรือเปล่าครับ ตาดูบวมๆ” ร่างบางเปลี่ยนเรื่อง พยายามจ้องมาที่หน้าของผมด้วยความเคลือบแคลงใจ

   “อืม...สงสัยเมื่อคืนทำงานหนัก”

   “พักบ้างนะครับ”

   “เดี๋ยวก็ได้พักแล้วล่ะ”

   “...”

   “ว่าแต่เมื่อวานไปกินข้าวกับเพื่อนสนุกมั้ย”

   “ก็สนุกดีครับ”

“คินดูแลเราดีหรือเปล่า”

“ดีครับ ว่าแต่คุณจะให้ผมเลือกรูปยังไงเหรอ” ผมรู้...รู้ว่าสิงหาพยายามดึงเราทั้งคู่ออกมาจากความกดดันหลายอย่าง อาจเพราะกลัวว่าผมจะล่ำเส้นมากเกินไปจนทำให้รู้สึกอึดอัด และผมก็เพิ่งรู้ตัวว่ากำลังก้าวก่ายในชีวิตของคนตัวเล็กจนเกินพอดี

   “อ่าขอโทษทีนะ เดี๋ยวพี่จะเปิดรูปให้ดู”

   สามวันแล้วที่เราได้เจอกัน แต่เป็นสามวันที่มีความสุขปนความเศร้า สิงหายังคงใช้สรรพนามว่าคุณในการเรียกผม มันดูห่างเหิน ดูเคว้งคว้าง แต่ก็นั่นแหละ ดีแค่ไหนแล้วที่เราได้กลับมาเจอกันและยังสามารถคุยกันได้อีก

   นิ้วของผมคลิกลงบนเมาส์ ลากมือเลื่อนไปบนโฟลเดอร์งานซึ่งมีภาพของสิงหาอยู่ในนั้นจำนวนมาก ผมบอกให้เขาชี้เลือกมันด้วยตัวเอง หลังจากขยับมือเลื่อนภาพไปเรื่อยๆ พร้อมกับมองเสี้ยวหน้าเล็กที่อยู่ใกล้ไปพลางๆ

   ภาพทุกภาพเป็นสีขาวดำ คือความทรงจำทุกอย่างที่ผมมีต่อเขา คืออดีตทุกอย่างที่ในหัวผมจะจดจำ สิงหาเป็นชื่อเดียวที่ผมท่องจนขึ้นใจก่อนจะนอนหลับไปในแต่ละคืน เมื่อก่อนเขามักจะนิยามผมเหมือนกับผีเสื้อ ส่วนตัวเองเป็นเพียงดอกไม้ มีไว้ให้ผมได้พักพิงชั่วครู่แล้วก็บินจากไป

   แต่วันนี้ผมรู้แล้ว สิงหาไม่ใช่ดอกไม้หากแต่เป็นผีเสื้อ สักวันเขาก็ต้องเติบโตและบินไปหาดอกไม้ดอกอื่น มีเพียงผมที่ยังอยู่ที่เดิมรอวันเหี่ยวเฉาในสักวัน มันอาจฟังดูเจ็บปวดแต่ก็อดดีใจไม่ได้เพราะอย่างน้อยผมก็ได้มองคนตัวเล็กอยู่ตรงนี้ มองดูปีกของเขาค่อยๆ สวยงามและบินหายไป

   “ผมชอบภาพนี้ครับ” นิ้วเล็กชี้ไปบนหน้าจอคอมพิวเตอร์

   “ภาพนี้เหรอ”

   ถามย้ำอีกครั้ง เพราะรายละเอียดของภาพไม่มีอะไรเลยนอกจากเสี้ยวหน้าเล็กที่กำลังก้มอ่านหนังสืออยู่บนเก้าอี้โยก มองเห็นเพียงกลุ่มผมและสภาพแวดล้อมเลือนรางในความมืด

   “ครับ”

   “ทำไมถึงชอบ”

   “เพราะมันไม่เห็นหน้าผม”

   “...”

   “ผมไม่ค่อยชอบหน้าตัวเองตอนเศร้าๆ สักเท่าไหร่ มัน...หดหู่”

   “ความจริงพี่ก็คิด สิงหากับรอยยิ้มเข้ากันที่สุดแล้ว” คนตัวเล็กส่งยิ้มกลับมา รู้สึกหัวใจได้รับเลือดเข้ามาหล่อเลี้ยงมากกว่าปกติ คงจะดีถ้าได้เห็นเขายิ้มให้แบบนี้ในทุกวัน ดีมากที่ไม่มีการจากลาแล้วผมนั่งเฝ้ารอเขาเหมือนเมื่อก่อน

ทั้งที่ความจริงแล้ว วันหนึ่งผีเสื้อก็ต้องบินจากไป ทำไมถึงยังโหยหาปีกของมันให้หุบอยู่บนกลีบดอกไม้ดอกเดิมอยู่อีก

   “เมื่อคืนพี่เห็นการ์ดที่เราเคยเขียนด้วยกัน”

   “...”

   “การ์ดที่เขียนไว้เมื่อปีก่อนถึงความฝันในอีกไม่กี่วันข้างหน้า พี่หาเจอแต่ของเรา แต่อีกใบหนึ่งที่เคยเขียนมันไม่อยู่แล้ว” คาดหวังว่ามันจะอยู่กับสิงหา อย่างน้อยก็ขอให้เขาเก็บมันเอาไว้

   “มันก็ผ่านมานานแล้ว บางทีมันอาจจะหายไประหว่างทางก็ได้” แต่คำตอบที่ได้คือความจริงที่ไม่อยากรับรู้

   “นั่นสินะ”

   “ตอนนั้นผมจำไม่ได้ด้วยซ้ำว่าเขียนลงบนการ์ดว่าอะไร”

   “พี่ก็จำไม่ได้เหมือนกัน เดี๋ยวนี้สมองฟั่นเฟือนจะแย่ จำอะไรไม่ได้เลย” ผมพูดไปตามน้ำ ทั้งที่ความจริงแล้วระลึกได้เสมอว่ากระดาษแผ่นนั้นเขียนว่าอะไร ความทรงจำของนายภูผาอีกหนึ่งปีข้างหน้าซ้อนทับเข้ามาไม่หยุดหย่อนพร้อมๆ กับความฝันของใครอีกคน

   แปลกเหมือนกัน คนเรามักโหยหาความทรงจำสวยงามในวัยเด็กแต่ก็ชอบหลงลืมมันไป ผิดกับตอนนี้ที่เราเฝ้าแต่ถามว่าเมื่อไหร่จะลืมความเลวร้ายได้สักที แต่ก็ไม่เคยทำได้เลย

   “ชอบรูปนี้มั้ย” ผมถามคนตัวเล็ก ขณะหน้าจอกำลังแสดงภาพที่เจ้าตัวหลับอุตุอยู่บนโซฟาซึ่งอยู่ในคอนโดของเรา

   “ชอบครับ แล้วคุณล่ะ”

   “พี่ก็ชอบ”

   “ผมอยากรู้ว่าทำไมถึงเลือกผมเป็นนายแบบ”

   “ก็แค่อยากทำอะไรสักอย่างที่มีตัวเล็กอยู่ในสิ่งที่รักดูสักครั้ง ตอนที่เพื่อนในกลุ่มถาม พี่ก็คิดออกแค่อย่างเดียวคืออยากถ่ายสิงหา อยากถ่ายตัวเล็ก”

   “นี่อาจเป็นงานเดียวที่หน้าของผมไปโผล่อยู่ในแกลเลอรี่”

   “ไม่จริงหรอก ต่อไปเราจะก้าวหน้า อาจมีรูปสิงหาโผล่ที่งานใหญ่ๆ อีกมากมาย”

   “แล้วคุณล่ะ จะเลิกถ่ายภาพจริงๆ เหรอ”

   “อืม...พอได้ถ่ายตัวเล็กแล้วก็ไม่อยากถ่ายใครอีก พี่พอแล้ว”

   “คุณภูผา...” เสียงหวานเอ่ยออกมาราบเรียบ แต่มันกลับเต็มไปด้วยความรู้สึกบางอย่างที่ผมอธิบายออกมาเป็นคำพูดไม่ได้

   “ว่าไง”

   “คุณมีความสุขดีใช่มั้ย”

   “พี่มีความสุขมาก พี่โอเคกับทุกอย่างในตอนนี้เลย”

   “หลังจากจบงานเราอาจไม่ได้เจอกันอีก”

   “พี่รู้ เราต้องยุ่งมากแน่ๆ ต่อไปดูแลตัวเองด้วยนะ”

   “ครับ คุณก็เหมือนกัน”

   บทสนทนาของเราจบลง เสียงลมหายใจยังคงดังแว่วท่ามกลางความเงียบของบ้านไม้หลังเดิม ผมกับสิงหาต่างช่วยกันเลือกรูปที่จะใช้จัดแสดงในงาน แน่นอนนิทรรศการครั้งนี้ไม่ได้ใหญ่มาก ผมแค่ขอเช่าพื้นที่หอศิลป์ของมหา’ลัยเพียงครึ่งเดียว เพื่อจัดงานแค่ 12 ชั่วโมงเท่านั้น

   ก่อนส่งไฟล์ภาพทั้งหมดให้เพื่อนจัดการเรื่องรายละเอียด และเตรียมพร้อมสำหรับการจัดวางอันเร่งด่วนในวันมะรืนนี้

   ผมกับสิงหาขลุกอยู่กับรูปเหล่านั้นเนิ่นนานนับชั่วโมง จนเวลาล่วงเข้าบ่ายสามและผมลืมเรื่องทานอาหารไปโดยปริยาย

   “กินข้าวก่อนมั้ย เดี๋ยวเราจะเป็นโรคกระเพาะ”

   “ก็ดีครับ”

   “อยากกินอะไรเหรอ”

   “อะไรก็ได้ครับ ผมกินได้หมดนั่นแหละ”

   “วันนี้เรามีงานที่ไหนอีกมั้ย”

   “ไม่ครับ ผู้จัดการไม่ได้รับงานอะไรเพิ่มเติม”

   “ถ้าอย่างนั้นตอนเย็นอยู่กินข้าวที่นี่ก่อนได้มั้ย พี่อยากจะขอบคุณที่เรามาช่วยโปรเจ็กต์นี้น่ะ” ใบหน้าหวานดูชะงักไปนิดหน่อย ดวงตาสองข้างกลอกไปมาคล้ายกำลังใช้ความคิด ผมคิดว่าสิงหาคงหนักใจอยู่บ้าง แต่เพราะไม่มีเวลามากขนาดนั้นผมถึงต้องเอ่ยออกมา

   “อยู่ต่อเถอะ ให้พี่ได้ทำอะไรเพื่อตัวเล็กบ้าง”

   “ก็ได้ครับ”

   ผมยิ้มออกมาทันทีที่ได้ยินคำตอบ เราช่วยกันทำอาหารเที่ยงและเตรียมวัตถุดิบสำหรับอาหารเย็นเอาไว้ด้วย บนตู้มีไวน์องุ่นเก็บเอาไว้ ผมคิดว่ามันคงโอเคถ้าจะดื่มกันในช่วงค่ำ เราทำอาหารง่ายๆ สำหรับสองคน นั่งทานเงียบๆ โดยไม่ได้พูดอะไรแม้แต่คำเดียว ทว่ากลับรู้สึกได้ถึงความอบอุ่นในหัวใจ

   หลังจากล้างจานเสร็จ คนตัวเล็กก็ปลีกวิเวกด้วยการอ่านหนังสือตรงมุมหนึ่งของบ้าน มือของเขาถือ Inferno เล่มหนาของ Dan Brown เอาไว้ ตั้งใจอ่านต่อจากที่ค้างคาเมื่อครั้งที่แล้วก่อนจะเผลอหลับไปทั้งที่อ่านไปเพียงไม่กี่หน้า

   ผมอุ้มสิงหากลับมานอนตรงโซฟาเพราะอยากให้คนตัวเล็กได้นอนสบายขึ้นนิดหน่อย แล้วจึงหันมาทำอาหารสำหรับมื้อค่ำของเรา ผมทำอยู่สองสามอย่าง หุงข้าว และก็เริ่มจัดโต๊ะ ดีหน่อยที่มีอุปกรณ์สำหรับดินเนอร์ในคืนนี้ การทานอาหารใต้แสงเทียนจึงดูพิเศษมากกว่าเดิม

   ผมพยายามทำทุกอย่างด้วยความพิถีพิถัน อย่างน้อยก็เหมือนกับการย้อนเวลากลับไปตอนช่วงที่เราเคยรักกัน ระหว่างนั้นก็ฟังเพลงที่อยากใช้เต้นรำไปด้วย ทั้งที่อีกตั้งสองวันกว่าจะมาถึง แต่ก็ยังรีบร้อนจะฟังเหมือนเด็กๆ

   ผมค่อนข้างชอบเนื้อร้องบางท่อนของเพลง และเอาแต่พึมพำถึงมันไม่หยุด

   In a white sea of eyes
   I see one pair that I recognize
   And I know…
That I am
   I am
   I am…
   The luckiest


อ่านต่อด้านล่างค่ะ

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 04-03-2022 16:59:22 โดย Jittirain12 »

ออฟไลน์ Jittirain12

  • เป็ดนักเขียน
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 353
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1238/-18


เวลาหนึ่งทุ่ม สิงหาถูกปลุกขึ้นมาให้ล้างหน้าล้างตาเพราะพระอาทิตย์ได้ตกดินไปแล้ว และทันทีที่เขาเดินออกมาจากห้องน้ำ ไฟทุกดวงในบ้านก็ถูกปิดสนิท มีเพียงแสงเทียนบนโต๊ะอาหารเท่านั้นที่ส่องสว่างให้เราทั้งคู่

   “นั่งก่อนสิ” ผมบอกคนตัวเล็ก เลื่อนเก้าอี้ไม้ออกมาเล็กน้อยเพื่อให้เจ้าตัวได้นั่ง ก่อนตัวเองจะทิ้งตัวลงบนเก้าอี้ยังฝั่งตรงข้ามเช่นกัน

   “ไม่เห็นต้องทำขนาดนี้เลย” เสียงหวานบอกกลับมา เขาไม่ได้ยิ้มอย่างที่ผมคิดเอาไว้

   “พี่แค่อยากขอบคุณ”

   “นั่นแหละ แต่...”

   “แค่ครั้งเดียว เรากินข้าวเถอะ” เพราะไม่อยากให้คนตัวเล็กขัด ผมเลยต้องมัดมือชกด้วยการเริ่มต้นทานอาหารในเวลาไม่นาน

   “อร่อยมั้ย” ผมถาม

   “ครับ”

   “กินเยอะๆ นะนี่พี่ทำเอง เราอยากดื่มไวน์หรือเปล่า”

   “ก็ดีเหมือนกัน”

   “เนี่ยอีกไม่กี่วันพี่ก็จะเดินทางแล้ว เลยอยากบอกตัวเล็กเอาไว้ก่อนเผื่อว่าเราอาจจะไม่ได้บอกลากันอีก” มือเรียวซึ่งจับช้อนและส้อมหยุดชะงัก พร้อมกับเงยหน้าขึ้นมาสบตากัน

   “คุณพูดเหมือนจะไม่กลับมาที่นี่อีกเลย”

   “ก็คงอย่างนั้น การเดินทางมันค่อนข้างไกล”

   “เก็บกระเป๋าเสร็จแล้วเหรอครับ”

   “อืม...”

   “ไปอยู่กับใครเหรอ หรือพี่มินตรา”

   “เปล่าหรอก จะไปอยู่กับเพื่อนน่ะ”

   “ที่ไหนครับ ใช่พี่เซนหรือเปล่า” เขาถามผมไม่หยุด เลยไม่รู้จะตอบอีกฝ่ายว่ายังไงดี

   “ไม่ใช่หรอก คนนี้อยู่อังกฤษ คิดว่าจะไปลงหลักปักฐานที่นั่นเลย ชีวิตของพี่สมบูรณ์แล้วนะ พี่ได้แต่งงาน ได้ทำสิ่งที่รัก พี่ไม่ได้ต้องการอะไรอีกแล้ว มีแต่เราที่ต้องก้าวหน้าต่อไป”

   “ผมรู้”

   “เป็นคุณครูให้ได้ ดูแลแม่กับของขวัญให้ดีๆ” อาหารมื้อนี้คงรู้สึกขมปร่าที่สุดในชีวิต ทำไมผมถึงยังอ่อนแอ ทำไมผมถึงอยากร้องไห้ทั้งที่คนตัวเล็กเข้มแข็งกว่าเป็นไหนๆ

   “ครับ ผมจะดูแลพวกเขาให้ดี”

   “พี่ก็ไม่มีอะไรจะพูดมากไปกว่าขอบคุณหรอก ขอบคุณตัวเล็กนะที่ครั้งหนึ่งก็เคยรักพี่ พี่ดีใจที่วันนั้นเราได้เจอกัน เพราะมันคือความทรงจำที่ดีที่สุดตั้งแต่เคยมีชีวิตมา”

   “ผมก็ขอบคุณเหมือนกันครับ”

   เราไม่ได้พูดอะไรอีก แค่กินข้าว กินเงียบๆ แม้มันจะไม่พร่องลงไปเลยก็ตาม ผมรู้สึกเหมือนมีก้อนแข็งๆ จุกอยู่ตรงคอ ในใจอยากพูดอะไรออกไปมากมายแต่ก็ทำได้แค่เงียบ และดื่มไวน์องุ่นกลั้วเสียงหัวเราะเท่านั้น ผมไม่รู้ว่ารสชาติมันอร่อยหรือเปล่า เพราะลิ้นของผมมันเหมือนไม่รู้รส การเคลื่อนไหวก็เริ่มช้าลง และมีหลายครั้งที่เผลอทำขายหน้าด้วยการเทไวน์หกเลอะเทอะจนไม่น่าให้อภัย

   มือของผมสั่น ตัวของผมเองก็ไม่ต่างกันแต่ก็พยายามควบคุมให้เป็นปกติที่สุด อาหารมื้อนี้กำลังสิ้นสุดลงพร้อมกับความรู้สึกมากมายที่อัดอั้นอยู่ภายใน ผมกลัว...กลัวว่าความรู้สึกที่ควบคุมไม่อยู่จะแสดงอาการ ผมกลัวจะอยู่ไม่ถึงวันนั้น กลัวอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน

   เต้นรำ

   เราควรจะเต้นรำกันในคืนนี้ ก่อนที่อนาคตซึ่งไม่สามารถคาดเดาได้จะพรากความปรารถนาของเราไป

   “สิงหา พี่...”

   Rrrrrrrrrrrrrrrrrrrrrrr

   แต่อาการสั่นครืดจากโทรศัพท์ของคนตัวเล็กก็ทำให้ผมไม่สามารถร้องขออย่างที่ใจต้องการได้ ร่างบางรีบรับสายในเวลาต่อมา ผมรู้ว่าคู่สนทนาเป็นนายแบบที่ชื่อคิน แต่ไม่รู้ทำไม...เวลาที่ได้ยินคนตัวเล็กพูดกับอีกฝ่ายด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน หัวใจของผมมันถึงเจ็บได้มากมายขนาดนี้

   ผมหวังจะให้เขามีความสุขไม่ใช่เหรอ แล้วทำไม...

   “เดี๋ยวคินจะแวะเข้ามารับ เขาเพิ่งเลิกงานน่ะครับ”

   “เหรอ”

   “ผมจะช่วยเก็บโต๊ะ”

   “ไม่ต้องหรอก เราเป็นแขกจะมาช่วยพี่ทำไม กินข้าวให้อิ่มเถอะ ตอนที่คินมารับจะได้ไม่ต้องรอนาน”

   “ผมอิ่มแล้วครับ”

   “อ้อ! โอเค”

   ไม่รู้จะพูดอะไรกลับไป คืนนี้เราไม่ได้เต้นรำด้วยกัน และหลังจากนั้น 10 นาทีเสียงรถยนต์ก็ดังขึ้นที่รั้วหน้าบ้านพร้อมกับการปรากฏตัวของใครอีกคน ผมเดินมาส่งสิงหาถึงหน้าประตูรั้ว ขณะที่ในหัวก็เอาแต่คิดประโยคบอกลาเอาไว้มากมาย มันตื้อไปหมด ผมคิดอะไรไม่ออกเลยสักคำ นอกจาก...

   “พี่ส่งแค่นี้แล้วกันนะ”

อยากขอบคุณสิงหาที่ทำให้ผมตัดสินใจอยู่ต่ออีกสักหน่อย หลายวันที่ผ่านมาผมรับรู้ถึงความสุขได้จริงๆ

   “ครับ มะรืนวันจัดนิทรรศการ ผมหวังว่าเราจะได้เจอกันอีก”

   “อื้ม เราต้องได้เจอกันแน่นอน”

   “ผมติดงานในตอนเช้า แต่คาดว่าจะไปถึงก่อนที่นิทรรศการของพี่จะปิดลงแน่นอน”

   “พี่จะรอเราอยู่ตรงนั้นนะ ก่อนสองทุ่ม”

   “ครับ”

   ผมไม่สามารถรั้งสิงหาเอาไว้ได้อีกแล้ว ไม่สามารถยืมความสุขของวันพรุ่งนี้มาใช้ได้อีกต่อไป ร่างบางเดินผละห่าง แทรกตัวเข้าไปในรถยนต์สีดำขลับเคียงข้างใครอีกคน ผมได้แค่ยืนหันหลังไม่กล้ามองการจากไปของเขา รอฟังเสียงเครื่องยนต์ที่ดังใกล้หูค่อยๆ เลือนหายไป

   เหลือเพียงตัวผมที่อยู่คนเดียว

   เมื่อไหร่จะชินก็ไม่รู้ นี่สินะเหตุผลของการมีชีวิตอยู่เพื่อทำอะไรบางอย่างที่มีความสุขท่ามกลางความเจ็บปวด

   “สิงหา...”

   “...”

   “สิงหา...สิงหา...สิงหา...” ทุกก้าวที่เท้าย่ำกลับเข้าไปในบ้าน ผมจะเรียกชื่อของคนตัวเล็กซ้ำๆ ครั้งแล้วครั้งเล่า เหมือนกับกำลังอธิษฐานขอพรจากสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ขอให้ทุกครั้งที่หายใจ ลืมตา หรือหลับตาผ่านเข้าไปในความฝัน ได้โปรด...ช่วยให้ผมอยู่ถึงวันสุดท้ายที่เราเคยสัญญากันด้วยเถอะ

   ขอให้ผมอดทนกับความเจ็บปวดตรงนี้ไปอีกสักหน่อย

   ขอให้คืนนี้ผมหลับตาและไม่ฝันถึงการฆ่าตัวตาย ให้โอกาสผมได้ลืมตาตื่นขึ้นมาในเช้าวันใหม่เพื่อเจอกับเขาก่อน แม้จะรู้ดีว่าการอดทนกับสิ่งที่ต้องทนมาตลอดไม่ได้หมายความว่าผมจะต้องทนตลอดไปได้

อย่างน้อยก็ขอให้เราได้เต้นรำด้วยกันสักนาทีก็ยังดี...




30 มีนาคม

ผมตื่นเกือบสิบโมง อาบน้ำ แต่งตัวเพื่อแวะเข้าไปยังห้องจัดนิทรรศการ รุ่นน้องที่คณะรวมถึงเพื่อนเก่าให้ความช่วยเหลือเกือบทุกอย่าง งานเสร็จไปแล้วเกือบ 80 เปอร์เซ็นต์แม้จะมีเวลาเพียงน้อยนิดไม่กี่ชั่วโมง ผมเลยอยากขอบคุณ...น้ำใจในครั้งนี้ พรุ่งนี้งานแสดงภาพจะเริ่มขึ้นเพียง 12 ชั่วโมง ผมคิดว่าหลังจากนั้นจะขอสิงหาเต้นรำและจบทุกอย่างในวันเดียว

แต่...

คืนนี้ทรมาน...

ร่างกายของผมสั่น ขนอ่อนตามร่างกายลุกชันเพราะความหนาวเหน็บ มือของผมเย็น แขนขาด้านชาไปหมด โลกที่เคยเป็นสีเทาดำมืดแทบไม่เหลืออะไร ไม่มีความหวัง ไม่มีความฝัน ไม่เหลืออะไรเลยในชีวิต ผมกลัว...ผมยังไม่อยากตายตอนนี้

แต่ผมทรมาน...ผมเจ็บ ได้แต่ร้องออกมาว่าช่วยด้วย ช่วยด้วยซ้ำๆ แต่ก็ไม่มีใครได้ยิน

สายตาของผมมองไปที่ยาในขวดสีชา วูบหนึ่งที่ปราดเข้าไปหยิบมันขึ้นมากรอกปากเพื่อหวังจะหลุดพ้น แต่เพราะพรุ่งนี้อีกแค่วันเดียวเราก็จะได้เต้นรำด้วยกัน ทำไมผมถึงอดทนต่อไปอีกสักหน่อยไม่ได้ ผมกำเม็ดยาในมือไว้แน่น เดินตรงดิ่งไปยังห้องน้ำและทิ้งมันลงชักโครกอย่างไม่ใยดี

ขอร้อง...เป็นครั้งแรกที่ผมยังไม่อยากตาย

ให้ผมได้เจอเขาอีกสักครั้ง

แม้มันต้องแลกกับการที่ร่างกายด้านชาไปแล้วทั้งร่าง เอาแต่นอนคุดคู้กอดตัวเองในห้องน้ำ ผมกลัว...กลัวว่าวันพรุ่งนี้จะไม่ตื่นขึ้นมาอีก กลัวจนไม่กล้าหลับตา

“สิงหา...สิงหา...สิงหา...สะ...สิง...หา”

   ผมยังไม่อยากตาย

   เรายังไม่ได้ทำตามสัญญา...




31 มีนาคม 

   ผมผ่านค่ำคืนอันโหดร้ายมาได้อย่างทุลักทุเล บอกได้เต็มปากเลยว่ามันเคว้งคว้างราวกับอยู่ในจักรวาลมืดสนิท ผมพร่ำแต่เรียกชื่อของสิงหาตลอดทั้งคืน แน่นอนว่าผมไม่ได้หลับเพราะมัวแต่พะวงว่าเมื่อไหร่พระอาทิตย์จะขึ้นเสียที และวันนี้ก็มาถึงในที่สุด

   ทุกอย่างบนโลกนี้หมุนโคลงเคลงไปมา เปลือกตาอยู่ในสภาพกึ่งหลับกึ่งตื่น ผมพยายามอย่างมากในการประคองตัวเองให้ลุกขึ้นยืนเต็มความสูง อยากอาบน้ำ แต่งตัวเพื่อไปที่งาน แม้จะไม่มีการเปิดตัวนิทรรศการเหมือนคนอื่นเขา ผมก็ยังอยากไป เพื่อให้เจอกับใครคนนั้นอีกสักครั้ง

   แต่...

   ร่างกายไม่เคยปรานีผมเลย ก้อนเนื้อในอกซ้ายเต้นแรงเกินกว่าปกติ ทุกอย่างในม่านสายตาเชื่องช้าจนรู้สึกเวียนหัว จับต้นชนปลายไม่ถูกว่าควรเริ่มที่ตรงไหนก่อนดี อาบน้ำ ล้างหน้า แปรงฟัน แม้พยายามทำทุกอย่างให้เร็วที่สุดแต่แปลกที่ความรู้สึกของผมมันไม่ได้มีแรงจูงใจให้ก้าวต่อไปเลยสักนิด

   กว่าจะรู้สึกตัวผมก็นอนแน่นิ่งอยู่ในห้องนานเกือบค่อนวัน เวลาบนโทรศัพท์มือถือมันไม่เคยโกหก ถึงแม้นาฬิกาฝาผนังในบ้านจะตายไปหมดแล้ว ผมก็ยังมองเห็นเวลาบนหน้าจออยู่ดี

   หกโมงเย็น

   หลายชั่วโมงที่ผมทิ้งไปอย่างเปล่าประโยชน์โดยไม่สามารถย้อนคืนมาได้ ส่งผลให้ผมวิ่งพล่านไปทั่วห้อง หยิบชุดสูทสีดำที่อยู่ในตู้มาสวม แต่สุดท้ายก็เปลี่ยนใจหยิบชุดนิสิตตัวเดิมพร้อมกับผูกไทอย่างเรียบร้อย ด้วยความคิดที่ว่าการกลับไปยังมหา’ลัยเหมือนได้ย้อนกลับไปยังช่วงเวลาที่มีความสุข

   มีเพื่อน มีสิงหา มีกล้องถ่ายรูป มีความทรงจำอันสวยงามในนั้น

   ผมขับรถไปยังสถานที่จัดการในสภาพสติไม่ครบถ้วนเท่าไหร่นัก ทันทีที่ก้าวเท้าลงจากรถและเดินไปยังห้องจัดนิทรรศการในเวลาทุ่มสิบห้า ผมก็ได้พบกับรุ่นน้องหลายคนที่ยังอยู่ที่แห่งนั้น เพื่อนที่ไม่ได้อยู่ในก๊วนแก๊งก็มากันหลายคน รูปภาพขาวดำทั้งหมดที่ผมถ่ายถูกแขวนเอาไว้ตรงกำแพงมากมาย หนึ่งในนั้นคือภาพที่สิงหาก้มหน้าอ่านหนังสือ ตัวเล็กบอกว่าชอบภาพนี้ ดังนั้นมันจึงเป็นภาพที่ใหญ่ที่สุด

   “พี่ภู! นึกว่าจะไม่มาซะแล้ว ดีใจด้วยนะพี่” รุ่นน้องร่วมมหา’ลัยเข้ามาทักทาย ถ้าหลายคนยังจำได้ เธอชื่อนาว

   “ขอบคุณครับ”

   “งานของพี่ยังสวยเหมือนเดิม แถมสิงหาก็มีเสน่ห์น่าดึงดูดอีกต่างหาก”

   “ความจริงต้องยกความดีความชอบทุกอย่างให้เขาทั้งหมด”

   Rrrrrrrrrrrrrrrrr

   “ขอตัวก่อนนะ” ว่าพลางปลีกวิเวกไปไกลจากผู้คนพอสมควร แน่นอนหลายคนทั้งรู้และไม่รู้ว่าผมเป็นช่างภาพ แต่คนที่เข้าใจและร่วมหัวจมท้ายมาถึงวันนี้อย่างไอ้เซนไม่มีทางลืมวันสำคัญในชีวิตของผมอย่างแน่นอน เพราะ 52 missed call เป็นตัวบ่งบอกชั้นดีกว่ามันรักผมมากแค่ไหน

   [ไม่รับโทรศัพท์ไอ้สัด มัวแต่ปลื้มปริ่มในผลงานตัวเองอยู่หรือไง] นี่เป็นบทสนทนาแรกทันทีที่กดรับสายจากเพื่อนต่างแดน เวลาที่มิลานตอนนี้คงประมาณบ่ายโมง และถึงจะทำงานหนักมากแค่ไหนมันก็เคยลืมผม ขอบคุณเพื่อนอีกคนในมหา’ลัย

   มึงทำให้กูมีความสุข

   “กูเพิ่งมาถึง”

   [ฮะ! ทั้งที่นิทรรศการมันเริ่มตั้งแต่แปดโมเช้าแล้วเนี่ยนะไอ้บ้า]

   “ฮ่าๆ กูกะมาอยู่ส่งท้ายจนกว่าจะหมดเวลาของมันไง”

   [ดีครับดี แล้วเป็นไงวันนี้แต่งตัวหล่อล่ะสิท่า เซลฟี่หน้ามึงมาให้กูดูหน่อย]

   “มึงคงไม่อยากเห็นหน้าตาของกูตอนนี้นักหรอก” ผมตอบกลับไปอย่างจริงจัง แต่คนฟังรัวเราะร่วน เหมือนได้ฟังประโยคทีเล่นทีจริง

   [ทำไม ตื่นเต้นจนนอนไม่หลับเลยสินะ]

   “คงประมาณนั้น”

   [ยินดีด้วย โปรเจ็กต์ที่มึงฝันไว้เป็นปีสำเร็จแล้วนะ เพื่อนในก๊วนแก๊งเราถึงแม้มันจะกลับมาไม่ได้ แต่เชื่อว่าวันนี้มันคือวันรวมใจทางไกล ทุกคนรักมึงนะ ไอ้วัชรก็ด้วย ถ้ามันยังอยู่ถึงวันนี้ คิดว่าคงมีเสียงกีตาร์ของมันคลออยู่ในแกลเลอรี่แน่นอน]

   “คิดว่าอย่างนั้น”

   เสียงกีตาร์ของไอ้วัชรยังดังก้องในหัวของผม เป็นเพลงเดิมๆ ที่มันเคยเล่น ผมจินตนาการว่ามันคงต้องการแสดงความยินดีและพร้อมจะรับผมเดินทางไปด้วยกัน

   เวลา 23 ปีที่ผมมีชีวิตอยู่ แน่นอนว่าอาจไม่ค่อยทำให้ใครมีความสุขมากนัก ตรงกันข้ามกับผมที่รับมันมาอย่างมากมายจากใครหลายๆ คน แม้จะเป็นแค่ช่วงระยะเวลาหนึ่งก็ตาม ผมไม่เสียใจถ้ามันจะจบลงที่ตรงนี้ อาจสั้นเกินไปสำหรับใครหลายคน แต่สำหรับผมคิดว่ามันพอแล้ว

   เหลือเพียงเหตุผลเดียวที่ผมยังคงหายใจอยู่ก็คือสิงหา ผมไม่สามารถลืมคำสัญญาของเรา สิ่งสุดท้ายก่อนที่จะหายไปยังความฝันไกลแสนไกล

   [ไอ้ภู]

   “หืม...”

   [จบงานนี้นะเพื่อนนะ มาเริ่มต้นชีวิตใหม่กับกูที่มิลานมั้ย กูแม่งคิดถึงมึง]

   “ขอบใจมากที่ไม่ทิ้งกู มึง...”

   [อะไร]

   “บนรถไฟจากกรุงเทพฯ ไปสุราษฎร์ฯ ในวันนั้น มึงหล่อที่สุดเลยว่ะ ขอบคุณนะเว้ย”

ผมได้ยินเสียงหัวเราะของไอ้เซนก่อนจะตัดสายไป เสียงหัวเราะที่ทำให้ผมรู้สึกอบอุ่นใจทุกครั้งเวลาที่นึกถึง...

   อีกสี่สิบห้านาทีจะสองทุ่ม สิงหายังไม่โผล่มา ผมจำไม่ได้แล้วว่าตัวเองก้มดูนาฬิกาข้อมือเป็นครั้งที่เท่าไหร่ ก็แค่ความรู้สึกกลัวเพราะมันเป็นวันแรกและวันสุดท้าย แล้วไม่นานเวลาสำหรับงานแสดงครั้งเดียวในชีวิตของผมจะจบลง

ระหว่างที่รอก็ได้แต่เดินดูภาพถ่ายไปเรื่อยๆ มันเป็นภาพของตัวเล็กทั้งหมด ทุกครั้งที่ผมเดินไปหยุดยืนอยู่ตรงรูปไหน สมองมักจะพาเอาความทรงจำเก่าๆ แทรกเข้ามาในห้วงความคิดด้วย

   ความทรงจำว่าผมรักเขา

   ความทรงจำที่เราเคยใช้ร่วมกัน

   ใบหน้าของตัวเล็ก

   ริมฝีปากของตัวเล็ก

   จมูกของตัวเล็ก

   ฝ่ามือแสนนุ่มนิ่มและอ่อนโยนคู่นั้น

   หรือจะเป็นจูบของเราที่มอบให้กัน

   ผมไม่อยากลืม...ไม่ได้อยากให้มันหายไปจากหัวใจ ผมไม่ขออะไรมากเพราะรู้ดีว่าเห็นแก่ตัวมามากพอแล้ว อย่างน้อยวันนี้ผมขอแค่ได้ยื่นดอกไม้และของขวัญอีกชิ้นหนึ่งให้กับเขา หลังจากไม่เคยให้อะไรกับคนตัวเล็กเลย และหลังจากนั้นเราจะเต้นรำไปด้วยกันในเพลงที่คนตัวเล็กชอบ ผมหวังว่าเวลานั้นมันจะมาถึงอย่างใจหวัง เพราะถ้าคำขอพรของผมเป็นจริง เขาคงจะให้โอกาสคนอย่างภูผาได้ทำมันเป็นครั้งสุดท้ายบ้าง

   “ฮื้ออออ สิงหามาด้วยอ่ะ” เสียงของใครสักคนหนึ่งดังมาจากด้านหลัง ผมเห็นคนตัวเล็กเดินส่งยิ้มมาตั้งแต่ไกล ข้างกายของเขาล้อมรอบไปด้วยเพื่อนในกลุ่ม ผมไม่รู้หรอกว่ามีใครบ้าง แต่หนึ่งในนั้นก็มีนายแบบที่ชื่อคิน

   ระยะห่างระหว่างเราลดน้อยลงเรื่อยๆ ร่างบางก้าวเท้ามาข้างหน้า เขามองเห็นผมอยู่ก่อนแล้วถึงได้ตัดสินใจเดินเข้ามาหา พร้อมกับส่งยิ้มที่ทำให้หัวใจพองโตอย่างน่าประหลาด

   แปลกดี ผมเหมือนได้ย้อนกลับไปรู้จักกับรักครั้งแรกอีกครั้ง

   “ไม่คิดว่าคุณจะยังอยู่” เสียงหวานเอ่ยออกมา บทสนทนาของเราเรียบง่ายเหมือนไม่มีอะไรเลย แต่ผม...ก็มีความสุขที่เราได้กลับมาเจอกันอยู่ดี

   “ก็เคยบอกแล้วว่าจะรอ ตอนแรกนึกว่าเราจะไม่มา”

   “ผมบอกว่าจะมาก็ต้องมาสิ”

   “ขอบคุณนะ”

   “ขอบคุณทำไมครับ คุณต่างหากที่ทำมันสำเร็จด้วยตัวเอง ยินดีด้วยนะ” มือบางยื่นมาข้างหน้า คล้ายต้องการจับมือแสดงความยินดี วินาทีนี้ผมไม่อยากให้ทุกอย่างต้องเสียไปจึงเลือกประสานมือกลับ แม้ความเยือกเย็นในร่างกายจะส่งผลให้ใครอีกคนต้องขมวดคิ้วก็ตามที

   “สิงหา...”

   ผมแค่อยากจะขอเต้นรำ

   “ครับ”

   “จำจดหมายที่เราเขียนให้กันและกันเมื่อหนึ่งปีก่อนได้มั้ย พี่...”

   “สิงหามาดูรูปนี้สิ นายเท่ชะมัด ขอถ่ายคู่กับตัวจริงหน่อย” แต่เพื่อนในกลุ่มนักแสดงของเขาก็ขัดขึ้นมาเสียก่อน ตอนนั้นเองที่ผมจำต้องปล่อยมือบางออกอย่างง่ายดาย

   “เดี๋ยวผมมาคุยด้วยนะครับ” คนตัวเล็กผละออกไปคุยกับเพื่อนของเขา เพื่อนกลุ่มใหญ่ที่ดูสนิทสนมกันค่อนข้างมาก ผมไม่สนิทกับใครถึงขนาดจะฝากฝังคนตัวเล็กเอาไว้ได้ นอกจากคนเพียงคนเดียวที่กำลังปรากฏอยู่ในม่านสายตา

   เบียร์...

   ผมยืนรอให้เวลาผ่านไปเกือบสิบนาที มีหลายครั้งที่พยายามแทรกเข้าไปมีส่วนร่วมเพราะอยากคุยกับสิงหาต่ออีกสักหน่อย แต่สุดท้ายเราก็ไม่ได้คุยกัน

   ผมอยากภาวนาให้ตัวเองมีความอดทนอยู่ตรงนี้ต่อไปอีกสัก 10 นาทีก่อนที่นิทรรศการภาพจะปิดลง ให้ผมมีจิตใจเข้มแข็งพอกับการสู้ต่อเพื่อทำตามสัญญาแต่...

   หัวใจดวงนี้ ร่างกายเสื่อมโทรมร่างนี้ สมองก้อนนี้ของผู้ชายที่ชื่อภูผาไม่สามารถรอให้ถึงตอนนั้นได้อีกแล้ว ผมรีบลากเท้าไปหาร่างโปร่งซึ่งเป็นเพื่อนสนิทของคนตัวเล็กอย่างเบียร์ สะกิดไหล่เขาเบาๆ และชี้ไปยังรูปภาพที่ใหญ่ที่สุดในห้อง ก่อนจะแยกตัวออกมา

   เบียร์พยักหน้าเข้าใจ เราไม่ได้พูดอะไรแม้แต่คำเดียว แต่ถึงอย่างนั้นผมก็อยากขอบคุณ ขอบคุณมากจริงๆ

   ตรงนั้นผมวางช่อกุหลาบสีขาวเอาไว้พร้อมกับหนังสือ Inferno ของแดน บราวน์ที่คนตัวเล็กยังอ่านไม่จบ ผมอยากให้เขาเก็บไว้อ่านแก้เหงา ถ้าวันไหนที่เขาเปิดมันขึ้นมา อย่างน้อยนอกจากความทรงจำระหว่างเราในช่วงเวลาสั้นๆ ที่บ้านหลังนั้น เขาก็ยังจะจำได้ว่าหนึ่งปีก่อนเราเคยเขียนอะไรสำหรับอนาคต

ผมแนบการ์ดแผ่นนั้นไว้ในหน้าสุดท้ายของหนังสือ การ์ดที่เขียนความฝันของเราว่าอยากเต้นรำด้วยกันในวันที่ 31 มีนาคม การ์ดที่ไม่แน่ใจว่าตัวเล็กจะได้เห็นมันหรือเปล่าหากเลือกไม่หยิบหนังสือเล่มนั้นขึ้นมาอ่านอีก

สิ่งที่ผมพูดได้ในตอนนี้คงมีเพียง...ขอโทษ

   ผมมาไกลได้เท่านี้แล้วจริงๆ สิบนาทีมันมากไป แค่พยายามหายใจและอดกลั้นต่อความรู้สึกหลายอย่างที่ตีตื้นในหัวใจในแต่ละวินาทีมันก็ยากเย็นแสนเข็นเหลือเกิน ความรู้สึกของผมที่จะอยู่บนโลกนี้ต่อหมดลงแล้ว มันมืดสนิท ผมปล่อยทุกอย่างที่ทำมาอย่างง่ายดาย

   ก้าวเท้าออกจากหอศิลป์โดยไร้ซึ่งจุดหมาย ผมไม่รู้ว่าจะไปทางไหน รู้แค่ว่าต้องเดินไปเพื่อหาทางออกสำหรับความเจ็บปวดซึ่งเผชิญมาเนิ่นนาน ในหัวก็เอาแต่ฉายภาพของคนตัวเล็กซ้ำไปซ้ำมาไม่หยุด เขาเป็นคนต่อเวลาให้ผมอยากมีชีวิตต่อไป แม้รู้ดีว่าวันต่อมาเราก็ต้องจากกันอยู่ดี

   ชีวิตที่ไม่มีใครจะมีไปเพื่ออะไรกัน ชีวิตที่ล้มไม่เป็นท่าจะก่อร่างขึ้นมาได้ยังไง

   เสียงดนตรีของเพลง The Luckiest ดังเข้ามาในโสตประสาท ตอนนี้ผมกำลังเต้นรำพร้อมกับเท้าทั้งสองข้างที่ก้าวไปข้างหน้า นึกถึงความฝันและงานแต่งงานของเรา แสงสว่างวาบในม่านสายตาปรากฏขึ้น ผมเดินตามแสงนั้นไปเพราะแน่ใจแล้วว่ามันคือความฝันที่มีความสุข

   แด่...ภูผา ขอบคุณสำหรับที่ผ่านมา

   นาย...เก่งที่สุดแล้ว

   ปิ๊นนนนนนนนนนนนนน โครม!!

   เสี้ยววินาทีนั้นโลกทั้งใบของผมพลิกคว่ำพลิกหงายหลายตลบ ร่างกายกระแทกเข้ากับอะไรบางอย่าง มันเจ็บจนทนไม่ไหว เจ็บ ทรมาน ทรมานกว่าที่เคยเป็นอยู่หลายร้อยเท่า ภาพในม่านสายตาพร่าเบลอจนเหมือนจะปิดลง ร่างทั้งร่างร่วงลงกับพื้นพร้อมกลิ่นคาวเลือดคละคลุ้งในจมูก

   ผมไม่สามารถกระดิกนิ้วได้ ขยับเขยื้อนส่วนไหนในร่างกายไม่ได้อีกแล้ว หูทั้งสองข้างอื้ออึง ในหัวของผมตอนนี้มีแต่เสียงเพลงที่ดังคลอขึ้นมาเมื่อนาทีก่อน และผมเห็น...

จดหมายสีขาวซึ่งเป็นลายมือของตัวเอง จ่าหน้าซองถึงใครอีกคน

ถึง...สิงหาในอีกหนึ่งปีข้างหน้า
31/03/2015

มันชัดเจนในความรู้สึก...

ผมจำได้ทุกถ้อยคำที่บรรจงเขียน จำได้แม้กระทั่งเวลาที่ปักปากกาลงไปเพื่อเขียนตัวอักษรสุดท้าย

ถึงสิงหา...

31/03/2015
เราจะอยู่ด้วยกันและมีความสุข

ขอโทษ...

พี่ขอโทษนะตัวเล็ก พี่ทำตามสัญญาไม่ได้สักอย่างเลย

ยกโทษให้พี่เถอะนะ...

    In a white sea of eyes
   I see one pair that I recognize
   And I know…

   ในตาแห่งท้องทะเลสีขาว
   ผมเจอสายตาคู่หนึ่งที่แสนคุ้นเคย
   และผมรู้ว่า...

   That I am I am
   I am…
   The luckiest

นั่นคือผม
ผม...คนที่โชคดีที่สุด

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 04-03-2022 16:59:49 โดย Jittirain12 »

ออฟไลน์ BlueCherries

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4060
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +159/-17
 :m15:

ฆ่าคนอ่านเลยดีกว่า ฮือออออออออ


แต่ถ้าคุณจิตติเขียนก็จะอ่านค่ะ จบยังไงก็จะตามจนจบ  :z13:

ออฟไลน์ mimasopu

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 189
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +11/-0
อ่านจบแล้วถอนหายใจดังเฮือกกกก
มาสุดทางแล้วจริงๆสินะสำหรับภู
ใจนึงเราอยากให้ภูอยู่ต่อนะบางที่คนสำนึกผิดก็ควรได้รับการอภัย(โดยการไม่ตายตอนจะจบT^T)
มองมุมหนึ่งถ้าสิงหารู้ว่าทั้งหมดที่เกิดเพราะภูป่วยคนที่เสียใจที่สุดอาจเป็นสิงหาเอง
ยิ่งมารู้ความจริงเบื้องหลังการแต่งงานของภู น้องคงอยู่แบบเสียใจไปตลอด(ในเคสที่ถ้ารถชนอันนี้ภูตายจริงๆนะ)
จบตอนแบบไม่ค้างแต่อยากรู้ว่าถ้าสิงหารู้ว่าภูโดนรถชน รู้เรื่องทั้งหมดน้องจะทำยังไง
เป็นกำลังใจให้คนเขียน คุณเขียนดีมากนี่เป็นนิยายดราม่าเรื่องที่สามจากหลายร้อยเรื่องที่เราอ่านแล้วที่บางฉากรู้สึกบีบหัวใจจริงๆ
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 12-09-2015 22:52:54 โดย mimasopu »

ออฟไลน์ keepout

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 66
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-0
อ๊ากกกกกกกกกกกก เม้นอะไรไม่ออกจริงๆ  :ling2:
สิงหา สะกิดใจอะไรบ้างหรือยางงงงง
อีกสามตอนๆๆๆ ฮึบ//ซูดน้ำมูกซับน้ำตา

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด