ตอนที่ 6
ผมร้องไห้ไม่หยุด ได้แต่ปล่อยให้น้ำตาไหลลงมาไม่ขาดสายพลางนั่งกอดเข่าตัวเองอยู่บนโซฟาด้านนอก พี่เข้านอนไปแล้วในขณะที่ผมได้แต่อยู่กับตัวเองท่ามกลางความมืด ในหัวมันเอาแต่ฉายภาพที่พี่เดินเคียงข้างกับใครอีกคน ขณะที่ตัวเองเป็นได้เพียงแค่เงามืด จะอยู่หรือไปไหนก็ไม่ได้ เพราะสุดท้ายก็ถูกพี่จับพากลับมาอยู่ดี
พี่บอกอยากให้ผมอยู่ที่เดิม เป็นแค่ตัวรองรับอารมณ์ของเขา
แค่คิด หัวใจมันก็ถูกบีบจนหลั่งเลือดหมดแล้ว เขาหลอกให้ผมตายใจ ทำดีกับผมทุกอย่างแต่สุดท้ายสิ่งเดียวที่ได้รับคือความเจ็บปวด แม้กระทั่งความรักก็ยังไม่แน่ใจเลยว่าผมเคยได้รับจริงๆ หรือว่ามันเป็นเพียงเรื่องที่พี่สร้างขึ้นมาเพื่อโกหกผมเหมือนกับเรื่องอื่นๆ กันแน่
สุดท้ายก็ทนไม่ไหว ล้มตัวลงนอนคุดคู้และกอดตัวเองอยู่แบบนั้น ผมหนาว...หนาวมากๆ
ถ้าเป็นเมื่อก่อนพี่จะกอด ดึงเข้าไปอยู่ในอ้อมแขน มอบจูบแสนหวานให้ก่อนนอน แต่ทำไมตอนนี้ถึงได้แตกต่างไปหมด แม้กระทั่งร่างกายของผมที่มันลุกไม่ไหว สมองว่างเปล่า สายตาเองก็พร่าเบลอแต่พี่กลับไม่คิดใส่ใจ ใช้อารมณ์ในการแก้ปัญหาเหมือนทุกครั้ง
แล้วผมจะตอบโต้ได้ยังไง ผมกลัวพี่ครับพี่ภู...กลัวจริงๆ
“ฮึก...ฮือออออออออ นะ...หนาว” ความหนาวเหน็บที่ค่อยๆ กัดกินหัวใจ ทำให้ผมเดินคลำทางสะเปะสะปะไปหาเจ้าของขวัญ แมวที่ผมรักมาก แน่นอนว่ามันอาจหลับอยู่แต่ขอแค่ได้อุ้มมันมากอดให้ความอบอุ่นกับตัวเองแค่นี้ก็ดีแล้ว ไม่อยากได้อะไรอีกแล้ว
หมับ!!
“โอ๊ยยยยยยยย” ผมเผลอร้องออกมาเมื่อถูกมือหนารวบข้อมืออย่างแรงจนรู้สึกเจ็บ และรับรู้ได้ในทันทีว่าเป็นฝ่ามือของพี่ เจ้าตัวกระตุกแรงๆ จนผมเซถลาเข้ามา พร้อมกับลากให้เดินตามไปในห้องนอน
ที่นี่อุ่นกว่าข้างนอกเยอะเลย
“หนาวนักไม่ใช่หรือไง” แสงไฟสีนวลสว่างเพียงพอที่ทำให้ผมมองเห็นสีหน้าของพี่ เขาเอาแต่ขมวดคิ้วมุ่นทำหน้าไม่พอใจอยู่ในที
“พะ...พี่ภูให้ผมนอนที่นี่เหรอ” ถามออกไปอย่างคาดหวัง
อย่างน้อยพี่ก็ยังเป็นห่วงกันบ้าง แม้สักเสี้ยวหนึ่งก็ยังดี
“อืม แต่นอนตรงพื้นนะ” หมอนใบหนึ่งถูกขว้างลงพื้นใกล้ๆ กับเท้าของผม ก่อนเจ้าตัวจะเดินขึ้นเตียงและนอนหันหลังให้โดยไม่คิดใส่ใจ
ความฝันของผมสลาย เพราะมันไม่มีอะไรดีขึ้นมาเลย สุดท้ายแล้วพี่ก็ยังคงเย็นชาใส่ เขาจำไม่ได้เลยเหรอว่าผมเคยบอกว่าชอบอ้อมกอดของเขามากแค่ไหน หรืออบอุ่นมากแค่ไหนตอนที่ได้อยู่ใกล้ๆ กัน แต่พี่กลับหลงลืมมันไปหมด ผลักไสให้ผมอยู่กับสิ่งที่เกลียดด้วยใจด้านชา
ความโดดเดี่ยว อ้างว้าง หนาวเหน็บ ผมเกลียดทั้งหมดนั่น ช่วงเวลาสามเดือนที่พี่ไม่โผล่มา ผมได้รับมันจนเคยชิน พอตอนนี้ตอนที่ได้อยู่ใกล้ๆ กัน ทำไม...ทำไมถึงรู้สึกไม่ต่างจากตอนนั้นเลยสักนิด
มีพี่อยู่ แต่ก็เหมือนไร้ตัวตน
ทว่าในเมื่อเรียกร้องอะไรกลับมาไม่ได้ ผมก็ต้องยอมรับสิ่งที่พี่มอบให้ราวกับคนโง่เขลา รีบล้มตัวลงนอนข้างๆ เตียงของพี่ อย่างน้อยในห้องนี้ก็รู้สึกอบอุ่นมากกว่านอนอยู่ข้างนอกเป็นเท่าตัว
พี่คงหลับไปแล้ว แต่เป็นผมที่ได้แต่นอนน้ำตาซึม อยากพูดอยากถามอะไรมากมาย และสุดท้ายก็ทนไม่ไหวตัดสินใจเอ่ยเสียงติดสั่นของตัวเองกลับไป
“พี่ภูหลับหรือยัง”
“...”
“พี่ครับ พี่ไม่รักผมแล้วเหรอ แต่แปลกที่ผมกลับยังรักพี่”
“...”
“ผมพยายามหลายครั้งมากเลยที่จะลืมพี่ แต่ผมแค่ไม่เข้าใจว่าทำไมถึงลืมไม่ได้สักที นั่นมันทำให้ผมมีความหวังว่าพี่จะทำดีกลับบ้าง ไม่ต้องกอด ไม่ต้องจูบ แค่ใส่ใจก็พอ...”
“พูดอะไรน่ะสิงหา นอนได้แล้ว” คนตัวสูงยังไม่หลับ เขาตอบกลับมาด้วยเสียงเรียบนิ่งท่ามกลางความมืด แต่ยังเลือกพลิกตัวมานอนใกล้กับขอบเตียง
“ใส่ใจผมเหมือนทุกคนที่พี่ทำ มันเจ็บมากรู้มั้ยเวลาที่พี่ทำดีกับคนอื่นๆ มันอิจฉาและอยากได้รับความรักแบบนั้นบ้าง ผมต้องทำยังไงพี่ถึงจะปฏิบัติกับผมแบบนั้น แสนดีแบบนั้น”
“เป็นตัวเองน่ะดีแล้ว แค่อย่าต่อต้าน”
“ผมจะไม่ต่อต้าน ถ้าพี่สัญญาว่าจะทำดีกับผม”
“ไม่มีสัญญาอะไรนั่นหรอกนะ รู้ใช่มั้ยถ้าพี่ไม่แน่ใจว่าจะทำได้ พี่เลือกที่จะไม่สัญญาอะไรทั้งนั้น” นั่นแหละคำตอบของพี่ภู
“ไม่เป็นไรครับ”
“แต่จะพยายามแล้วกัน” แค่นี้ก็ดีแล้ว...แค่รู้ว่าพี่กำลังพยายามผมก็ไม่ขออะไรมากหรอก รู้อยู่แล้วว่าความรักระหว่างเราตกหล่นจนแทบไม่เหลือเก็บไว้ในโหล แต่อย่างน้อยความทรงจำแสนหวานมันยังสามารถขับเคลื่อนผมให้ก้าวต่อไปได้ แม้ความจริงมันจะสาหัสแค่ไหนก็ตาม
ผมเลื่อนมือข้างหนึ่งขึ้นไปลูบผ้าห่มผืนหนาบนเตียง ก่อนจะซุกเข้าไปมือเข้าไปด้านใน มันอุ่นมาก อุ่นอย่างที่ผมต้องการ
“ผ้าห่มพี่อุ่นจังเลย” ผมลูบผ้าห่มผืนนั้นไม่หยุด น้ำตาไหลลงมาเป็นทางแต่ก็พยายามกักเก็บเสียงสะอื้นเอาไว้อย่างถึงที่สุด
“นอนเถอะน่า”
“ข้างล่างหนาวมากเลย”
ผมได้ยินเสียงจิ๊จ๊ะในลำคอจากพี่ภู ก่อนคนตัวสูงจะชันตัวขึ้นนั่ง ใช้มือดึงแขนของผมซึ่งกำลังซุกใต้ผ้าห่มผืนหนาขึ้นมา พร้อมกับรั้งให้ผมตามขึ้นไปนอนด้วย
“อยากร้อนมากหรือไง พี่อุตส่าห์ใจเย็นกับเราแล้วนะ!” สุดท้ายพี่ก็เผลอตะคอกออกมาอีกจนได้ ร่างกายของผมถูกกดลงกับเตียง ข้อมือทั้งสองข้างฝังลงบนฟูกนุ่มโดยมีคนตัวสูงขึ้นคร่อมและจ้องตาขวางใส่ไม่หยุด และไม่นานแววตานั้นก็แปรเปลี่ยนไปจากเดิม ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่ที่ร่างกายสั่นเทาขึ้นมาจนควบคุมไม่อยู่แบบนี้
สายตาที่ได้รับ มันเหมือนกับตอนที่พี่ลากผมเข้าไปในห้องน้ำ แล้วจากนั้น...
“พี่ภู”
“ไม่ต้องมาทำเสียงอ่อน พี่ไม่ได้ใจดีขนาดนั้น”
“พะ...พักก่อนได้มั้ย เหนื่อยแล้ว”
“...”
“วันนี้เหนื่อยแล้วจริงๆ” ไม่รู้ว่าอ้อนวอนไปทั้งน้ำเสียงแบบไหน แต่ร่างกายของผมที่มันยังเจ็บไม่หายก็กลัวไปสารพัด
“เฮ้อออออ นอนซะ!” อีกฝ่ายล้มตัวลงนอนเคียงข้างโดยไม่คิดใส่ใจ ผมเลยได้แต่กระชับผ้าห่มขึ้นมาคลุมตัวจนมิด รอจนกระทั่งรู้สึกได้ถึงลมหายใจสม่ำเสมอ นั่นหมายความว่าพี่หลับไปแล้ว ถึงได้เอื้อมมือไปจับใบหน้าหล่อเหลาท่ามกลางความมืดโดยไม่กลัวว่าจะถูกดุ
ปากของพี่ จมูกของพี่ ดวงตาของพี่ มันเคยเป็นของผม
นานแค่ไหนแล้วที่ผมไม่ได้นอนกับพี่แบบนี้ ได้ลูบแก้มกับใบหน้าที่เหนื่อยล้าจากการทำงาน ได้ฟังเสียงหัวใจของพี่ใกล้ๆ วันนี้ได้มีโอกาสแล้วแม้พี่จะไม่เต็มใจก็ตามที
“ผมรักพี่นะพี่ภู รักมากๆ เลย”
ไม่รู้ว่าพรุ่งนี้ตื่นขึ้นมาจะทนได้มากแค่ไหน อะไรหลายอย่างเปลี่ยนไปแล้วจริงๆ
ผมแค่อยากรู้ว่าพี่วางอนาคตที่มีผมไว้ตรงไหน จะได้วางตัวถูกว่าควรรอต่อไปหรือเลิกฝันล้มๆ แล้งๆ ดี เพราะผมไม่สามารถอยู่ในเงามืดแบบนี้ได้ตลอดไปหรอก
หลายครั้งที่กลับมาถึงห้อง เวลาอาบน้ำหรือเข้านอนก็ตามทำไมน้ำตาต้องไหล ผมร้องไห้บ่อย ไม่รู้สิมันก็แค่ความรู้สึกน้อยใจ พี่อาจพูดกับทุกคน ส่วนผมกลับอยู่ในส่วนที่พี่ไม่คิดสนใจ เราแทบไม่ได้คุยกันด้วยซ้ำ แต่ละวันหมดไปก็ได้แต่ฝันและยิ้มกับความคิดล่องลอยของตัวเองไม่หยุดหย่อน
ผมไม่ใช่คนดีอะไร แต่เวลารักใครผมจะจริงจังมาก ผมรักพี่มาสองปีเต็มๆ จนกระทั่งวันที่ล่วงรู้ทุกเรื่องในชีวิตของพี่มันก็ยังคงมีกำแพง ผมพยายามตัดใจแล้ว พูดแบบนี้ซ้ำๆแต่พอเอาเข้าจริงมันก็ทำไม่ได้ ใช่สิพี่มีอิทธิพลทุกอย่าง พี่ทำให้คนๆ หนึ่งจมปลักอยู่กับพี่ได้เป็นปีๆ ขณะที่ตัวเขาเองแทบจะไม่ต้องเลือกใครเลย มีคนเข้าหา ชอบพอและอาจคบกัน มันต้องเป็นนิยามแบบนั้นอยู่แล้วใช่มั้ย โลกของความเป็นจริงบางทีมันก็โหดร้ายเกินกว่าผมจะรับไหว
ตอนเจอพี่ภูครั้งแรกผมคิดว่าเขาจะเป็นเนื้อคู่ และก็ฝังใจว่าจะต้องเป็นพี่แน่ๆ ที่จะได้อยู่ด้วยกันในอนาคต
ไม่มีทางแล้วใช่มั้ยที่เราจะรักกัน ไม่มีทางแน่ขนาดผมยังไม่มีความมั่นใจเลย คงมีแค่ผมฝ่ายเดียวที่มั่นคงอยู่และเอาแต่ประหม่าไปหมด
ผมไม่เคยคิดเลยว่าจะรักใครได้มากขนาดนี้ ใครที่ผมไม่ได้ผูกพันตั้งแต่เกิดแต่ทำไมถึงรัก หรือผมควรตื่นได้แล้ว เพราะบางทีการเลิกฝันก็ไม่ได้หมายความว่าจะเลิกรอคอย ไม่แน่ผมอาจไม่รักใครเลยก็ได้ ถึงพี่จะมีใครผมก็ขอเป็นเพียงคนคนหนึ่งที่พี่รู้สึกคุ้นตาในวันที่เดินสวนกันตรงไหนสักแห่งบนโลกใบนี้
ขอแค่ไม่ลืมชื่อกัน นั่นก็มีความสุขมากแล้ว
ผมไม่ได้ขอเยอะไปใช่มั้ยครับ
เช้าที่ผมตื่นขึ้นมาบนเตียงหลังใหญ่ในห้องของพี่ แต่มันก็เหมือนเคยเพราะยังคงไร้ซึ่งเงาของใครอีกคนที่นอนเคียงข้างในคืนที่ผ่านมา ผมจึงได้แต่ชันตัวลุกจากเตียง คลี่ยิ้มส่งให้คนตัวสูงซึ่งนั่งอยู่ตรงโต๊ะทานข้าว ดีหน่อยที่อย่างน้อยเขาก็ไม่หายไปซะทีเดียว
พี่ยังคงจับต้องได้ ไม่ได้จากไปไหนอย่างที่กลัว
“มากินข้าวก่อนสิงหา”
“เดี๋ยวขอไปแปรงฟันก่อนครับ” เจ้าตัวพยักหน้า ผมจึงเร่งฝีเท้าไปยังห้องน้ำ ล้างหน้าแปรงฟันด้วยความรวดเร็วเพราะไม่อยากให้คนตัวสูงรอนาน กลับมาอีกทีก็มีข้าวต้มอีกชามวางไว้ตรงหน้าเสียแล้ว
“กินสิ”
“ครับ” ผมนั่งลงฝั่งตรงข้าม จับช้อนตักข้าวเข้าปากอย่างเงียบๆ
“ยังปวดหัวอยู่หรือเปล่า”
“ไม่ครับ”
“มือถือของเราที่มันเอาแต่ดังเนี่ย พี่จัดการแล้วนะ”
“...” ได้แต่เงยหน้ามอง จัดการของพี่คืออะไรกันแน่ หวังว่าคงไม่ปามันทิ้งลงพื้นที่ไหนสักแห่งเพื่อระบายอารมณ์หรอกนะ
“ต่อไปถ้าใครจะติดต่องานถ่ายแบบหรืออะไรก็ช่างให้ติดต่อมาที่พี่ ส่วนแม่ พี่อนุญาตให้โทรคุยได้ตอนดึกๆ แล้วไหนจะเด็กเบียร์เพื่อนของเราอีก ถ้าอยากเจอช่วงปิดเทอมก็ให้มันมาตอนที่พี่อยู่แล้วกัน”
“...”
“เข้าใจที่พูดใช่มั้ย”
“ขะ...เข้าใจครับ”
ผมสังเกตเห็นการเปลี่ยนแปลงของพี่ภู เพราะเขายอมรับฟังและหยิบยื่นให้ผมได้ทำอะไรหลายอย่าง แม้มันจะไม่เป็นอิสระทั้งหมดก็ตาม แต่อย่างน้อยก็อุ่นใจที่พี่คอยดูแลเรื่องเหล่านั้นอยู่ห่างๆ
“กินข้าวแล้วรีบแต่งตัวซะ เดี๋ยวจะมีแขกมาที่นี่” เสียงทุ้มพูดขึ้นมาอีกครา
พี่ไม่เคยพาใครมาห้องเลยสักครั้ง ห้องของเรา...
“ใครมาเหรอครับ หรือจะเป็นเบียร์”
“จำไม่ได้หรือไงว่าพ่อพี่พูดเรื่องอะไร”
“คู่หมั้น”
“อื้ม...ก็ไม่ได้อยากไปเจอนักหรอก ขี้เกียจออกไปข้างนอกด้วย เพราะงั้นก็รอต้อนรับอยู่ที่ห้องเนี่ยแหละ”
“แล้วเขาไม่ว่าเหรอที่มีผม...”
“ช่างเถอะน่า ไม่ต้องสนใจหรอก”
“ครับ” ผมรับฟังอย่างว่าง่าย อย่างน้อยพี่ก็ยังแคร์ เพราะไม่บ่อยนักที่เขาจะว่างทั้งวันแบบนี้
หลังจากทานอาหารเสร็จ ผมก็รีบอาบน้ำแต่งตัว ส่วนพี่ภูอยู่จัดการธุระของเขาไปเรื่อยๆ รวมถึงให้อาหารเจ้าของขวัญที่เอาแต่นอนอุตุบนฟูกไม่รับรู้อะไร คงจะดีกว่านี้ถ้าไม่มีคำว่าอนาคตที่พี่ต้องทิ้งผม ไม่อย่างนั้นชีวิตของเราคงมีความสุขดี คอยดูแลกันและกันแบบนี้ตลอดไป
ก๊อกๆๆ
จนกระทั่งเสียงเคาะประตูห้องดังขึ้น พี่พยักพเยิดให้ผมเดินไปเปิดประตู ภาพตรงหน้าที่เห็นคือผู้หญิงคนหนึ่งซึ่งยืนห่างออกไปเล็กน้อย ไม่ผิดที่พ่อของพี่ภูจะบอกว่าเธอเป็นนางแบบเพราะส่วนสูงกับหุ่นที่สมส่วนนั้นทำให้ผมมองไปยังอีกฝ่ายไม่คลาดสายตา เนื่องจากชุดเดรสสีน้ำเงินเข้มตัดกับผิวขาวๆ และใบหน้าสวยจัดของเธอได้เป็นอย่างดี
ขนาดผมยังเอาแต่มองแบบนี้ ทางฟากของพี่ภูคงไม่ต้องบอกเลยว่าเขาจะรู้สึกยังไง
“เชิญครับ”
ผมบอกเสียงเรียบ ปล่อยให้ส้นสูงราคาแพงเหยียบย่ำเข้ามาในห้อง ห้องที่ไม่เคยมีผู้หญิงคนไหนเคยก้าวเข้ามา แต่ตอนนี้มันไม่ใช่แล้ว เพราะผมรู้สึกราวกับหัวใจของตัวเองถูกเหยียบย่ำด้วยปลายเท้าไปเกือบครึ่ง
“สวัสดีภูผา ยินดีที่ได้เจอกันอีกครั้ง” ร่างสูงโปร่งของผู้หญิงคนนั้นเดินเข้าไปใกล้พี่ภู ซึ่งผมก็ทำได้แค่มองภาพตรงหน้าโดยไม่ปริปากพูดอะไรออกไป ยามพวกเขาสองคนยืนเคียงข้างกัน ทำไมถึงได้เหมาะสมกันมากมายขนาดนั้น เธอเป็นนางแบบผมจำได้ เพราะเคยเห็นผ่านตาจากปกนิตยสารแฟชั่นอยู่บ่อยๆ พอมาเจอตัวจริงวันนี้ถึงกับไปไม่เป็น
ไม่มีอะไรสู้เธอได้เลยสักอย่าง แถมพ่อพี่ภูก็ดูจะรักเธอด้วย
“บังเอิญไปหรือเปล่า” นั่นคือเสียงตอบรับสั้นๆ ของพี่
พวกเขาเคยเจอกันมาก่อน เดาว่าคงที่งานถ่ายแบบสักงาน เพราะสังคมตากล้องไฟแรงอย่างพี่ภูก็กว้างขวางไม่น้อยเหมือนกัน
“ตอนแรกก็คิดว่าเป็นเรื่องโกหก ไม่คิดว่าพ่อฉันกับพ่อนายจะรู้จักกัน แล้วนี่ไม่คิดจะให้แขกนั่งก่อนหรือไง”
“อ้อ เชิญ!” ใบหน้าหวานคลี่ยิ้ม เธอสวยไปหมดแทบหาที่ติไม่ได้ หนำซ้ำยังรู้สึกว่าเธอสนิทสนมกับพี่ในระดับหนึ่งด้วย จากความคิดที่ว่าอีกฝ่ายคงไม่แคร์ความรู้สึกของว่าที่คู่หมั้นคนนี้เท่าไหร่เพราะดูเหมือนเขาพยายามต่อต้านคำสั่งของพ่อ แต่ตอนนี้เริ่มไม่แน่ใจแล้ว
รอยยิ้มของพี่ปรากฏบนใบหน้า มันง่ายดายโดยไม่ต้องพยายามทำอะไรเลย
“ดีใจนะเนี่ยที่ได้นั่งโซฟาคอนโดของนาย และหวังมากๆ ว่าจะได้ร่วมงานกันอีก” หญิงสาวพูดไม่หยุด แทบไม่เขินอายและเป็นตัวเองแบบสุดๆ ขณะที่ผมกว่าจะพูดให้ถูกใจพี่ก็ต้องคิดแล้วคิดอีกว่าจะเอ่ยออกไปดีหรือเปล่า
ความมั่นใจแบบนั้นไปเอามาจากไหนกัน
“นี่เธอปลื้มฉันเหรอ”
“ก็ไม่เชิง ตากล้องฝีมือดีมีคนอย่างฉันชื่นชมก็ควรภูมิใจไว้”
“ฉันอยากจะบ้า”
“อ้อ! แล้วนี่ใครล่ะ เห็นยืนอยู่ที่ประตูนานแล้ว” สาวเจ้าหันมายิ้มให้ผม พร้อมกับตั้งคำถามที่ผมเองก็ไม่กล้าตอบ นอกจากปล่อยให้พี่เป็นฝ่ายจัดการเรื่องทั้งหมดเอง
“อ๋อสิงหาเป็นน้อง”
น้อง? เป็นแค่น้อง
“ส่วนสิงหา นี่มินตรา” เขาไม่ได้บอกความสัมพันธ์ จนร่างบางต้องหันมาตอบแทน
“เป็นเพื่อนค่ะ”
“อืม...ตามนั้นแหละ สิงหาเราไปหาน้ำกับขนมมาให้เธอหน่อยแล้วกัน ดูท่าทางจะอยากกินอะไรเยอะแยะไปหมด เพราะตอนนี้ร่างกายแห้งจนแทบเหลือแค่กระดูกอยู่แล้ว”
“จ้าพ่อคนหล่อ”
ผมไม่สนใจ รีบเดินดุ่มๆ ไปยังมุมครัว จัดการหาน้ำและขนมมาให้เธอกินจะได้ไม่มีเวลามานั่งคิดหรือฟังบทสนทนาของคนทั้งคู่ แปลกที่ผมรู้สึกกลัวกับความสนิทสนมของพวกเขา ผมไม่รู้หรอกว่าในสังคมการทำงานของพี่เขามีปฏิสัมพันธ์กับใครยังไงบ้าง แต่สำหรับคนนี้มันช่างไม่ธรรมดาเอาเสียเลย
พี่ดูเป็นตัวของตัวเองมาก ส่วนเธอก็เช่นกัน แทบไม่มีอาการเกร็งหรืออายม้วนต้วนให้รู้สึกอึดอัดเลยสักนิด
“ไม่น่าเชื่อ นายเป็นคู่หมั้นฉันจริงเหรอ ฉันอยากจะบ้า”
“แล้วชอบป่ะล่ะ”
ผมวางแก้วน้ำลงตรงหน้าเธอ เวลาเห็นพี่พูดด้วยสีหน้ายิ้มกริ่มเหมือนทีเล่นทีจริง ทำไมมันถึงรู้สึกเจ็บไปขนาดนี้
ชอบเธอแล้วใช่มั้ย ลืมผมแล้วใช่มั้ยครับพี่
“พอแล้วนะสิงหา ฉันไม่เอาขนมเดี๋ยวอ้วนตาย” พี่มินตราหันมาบอกอีกครั้ง
“ยังจะหาที่อ้วนอีกเหรอ”
“ใครจะไปกินจุเหมือนตากล้องมือโปรอย่างนายกัน” เธอฟาดแขนลงบนลาดไหล่ของพี่ และเสียงหัวเราะก็ดังขึ้นมาไม่ขาด
“สิงหาไปเอาแอปเปิ้ลเขียวในตู้เย็นมาดีกว่า เธอชอบ”
“ครับ”
ผมได้แต่ข่มอารมณ์ของตัวเองเอาไว้ให้ลึกที่สุด กดมันเอาไว้ไม่ให้เผลอระเบิดออกมาต่อหน้าใคร เกลียดทุกอย่างที่อยู่รอบตัว เกลียดสถานการณ์ที่ทำร้ายราวกับเอามีดมาแทงทั้งที่ยังหายใจอยู่ ถ้าผมไม่อยู่ตรงนี้...มันจะยังรู้สึกดีกว่ามั้ย ถ้าผมไม่ต้องมายืนฟังถ้อยคำเสียดแทงหัวใจ...ผมจะยังร้องไห้ในใจเหมือนตอนนี้หรือเปล่า
“พ่อเธอว่าไง” พี่ภูถามกลับ
“จะว่ายังไงล่ะ เขาก็เออออห่อหมกตามพ่อนายไปนั่นแหละ ยิ่งถ้ามารู้ว่าเรารู้จักกันมาก่อนนะ ตาย!”
“จะตายยังไง สนิทกันก็ดีแล้วนี่”
“ตายสิเพราะเราต่าง...”
เพล้ง!!
เสียงจานที่ใส่ผลไม้หล่นกระทบพื้น จนเศษแก้วเหล่านั้นแหลกละเอียดใต้อุ้งเท้าของผม รู้ตัวอีกทีผมก็รีบกอบโกยสติที่หลงเหลืออันน้อยนิดกลับมาอีกครั้ง แต่ก็ไม่ได้ตื่นกระหนกอะไรมาก
เพราะการกระทำทั้งหมด...ผมตั้งใจ
ตั้งใจปาจานลงพื้นด้วยความอดทนที่สิ้นสุด และผมไม่อยากฟังถ้อยคำร้ายๆ นั่นอีกแล้ว
“ขะ...ขอโทษครับ พอดีผมปวดหัวนิดหน่อย” จากนั้นก็เดินแยกออกไป โดยไม่คิดเก็บเศษแก้วที่ตกตามพื้นเลยสักนิด
ผมเห็นสายตาตกตะลึงของพี่มินตรา พร้อมกับสายตาขวางๆ ที่เต็มไปด้วยอารมณ์โกรธของพี่
แต่ผมไม่อยากแคร์แล้ว ผมเจ็บ...เจ็บจนทนไม่ไหวเพราะพี่เอาแต่ทำร้ายซ้ำแล้วซ้ำเล่า ไหนกันที่บอกว่าต่อต้าน ไหนกันที่บอกว่าไม่ยินดี ทำไมความฝันของผมมันถึงได้จบเร็วขนาดนี้ รีบตื่นขึ้นมาทำไมสิงหา ตื่นเพื่อมาพบความจริงว่าเขามีใครอีกคนเคียงข้างอยู่แล้ว จะตื่นมาทำไม...
ผมรีบสับเท้าติดสั่นเล็กน้อยวิ่งเข้าห้องนอน ล้มตัวลงบนเตียงพลางซุกหน้าลงกับหมอน ปล่อยให้น้ำตาไหลเปื้อนไม่ขาด
ทำไมต้องพาเธอมาที่นี่...ที่ที่เป็นห้องของเราแค่สองคน
“ลุกขึ้นมา!!” เสียงตวาดลั่นของพี่ดังตามหลัง แต่ผมก็ยังทำเป็นไม่สนใจนอนร้องไห้อยู่จุดเดิมไม่ยอมขยับ
“ฮึก...ฮืออออออออ”
“สิงหาลุกขึ้นมา” กายสูงปราดเข้ามาประชิด เอื้อมมือมาดึงรั้งผมให้ลุกออกจากเตียงหันมาเผชิญหน้าอีกครั้ง ทั้งที่ผมไม่อยากเจอหรือพูดคุยกับพี่ในตอนนี้เลยสักนิด
“พี่ภูผมเจ็บ”
“ทำแบบนี้ทำไม”
“ฮือออออออออออ”
“อย่าเอาแต่ร้อง รู้มั้ยว่าทำอะไรลงไป นี่เหรอที่คนดีๆ เขาทำกัน” มือหนาบีบไหล่ของผมแน่น ออกแรงเขย่าเพื่อเค้นเอาคำตอบจนหัวสั่นคลอนไปหมด
“ใช่ไง ผมมันคนนิสัยไม่ดี ไม่เหมือนคนของพี่”
“หยุดพูดประชดประชันสักทีเถอะ ออกไปขอโทษมินตราที่เสียมารยาทซะ”
“ไม่! ทำไมผมต้องทำ เธอไม่มีสิทธิ์เข้ามาที่ห้องนี้ด้วยซ้ำ”
“...”
“ห้องที่เป็นของเรา”
“ก็เพราะมัวแต่คิดอย่างนี้นี่ไง ถึงไม่อยากพาใครเข้ามา จะหึงหวงอะไรดูบ้างว่าเราเป็นใครแล้วเขาเป็นใคร”
“ก็แล้วเป็นใครล่ะ เป็นน้องพี่อย่างนั้นเหรอ”
ความน้อยใจตีตื้นเข้ามาในอก เสียงหอบหายใจเริ่มถี่ขึ้นปนกับเสียงสะอื้นที่แทบควบคุมเอาไว้ไม่อยู่ น้ำตามากมายไหลอาบแก้ม แม้กระทั่งการมองเห็นเองก็ไม่ชัดเอาเสียเลย แค่มองหน้าพี่ที่อยู่ใกล้แค่เอื้อมมือ ผมยังเห็นได้เพียงแค่เลือนราง
“สิงหา!! เดี๋ยวนี้กล้าขึ้นเสียงเหรอ”
“ฮึก...”
“พี่บอกแล้วไงว่าถ้าต่อต้านจะต้องเจอกับอะไร แต่ก็ยังทำอีกสินะ” แรงบีบที่บริเวณหัวไหล่ทวีความรุนแรงขึ้นจนผมเผลอนิ่วหน้าระบายความเจ็บปวด แต่ผมก็เลือกไม่ปริปากใดๆ ออกมา
“ผมไม่ได้ต่อต้าน ผมแค่อยากให้พี่เข้าใจผมบ้าง”
“...”
“ผมที่รักพี่คนเดียว รักจนหัวปักหัวปำ แต่พี่ดูสิ ตอนนี้พี่ทำลายความรักของผมหมดแล้ว พี่ทำลายมันด้วยมือของพี่เอง”
“...”
“แล้วผมเหลืออะไรบ้างพี่ภู ผมมาตัวเปล่าก็จริงแต่ความรู้สึกของผมล่ะไม่เคยคิดถนอมมันไว้เลยเหรอ”
เจ็บ
คำเดียวที่อธิบายความรู้สึกของผมตอนนี้ได้เป็นอย่างดี
ผมไม่ได้อยากกลับมาเพื่อที่จะต้องอยู่ในสภาพแบบนี้หรอกนะ แค่เพียงเสี้ยวความห่วงใยที่หวังจะได้รับ ยังไม่หลงเหลือมาที่ผมแม้แต่นิดเดียว แล้วมันจะมีประโยชน์อะไรที่จะอยู่ต่อไป
“พาผมกลับมาทำไมพี่ภู”
“...”
“ถ้าหากความรักของเรามันพังทลายลงไปแล้ว พี่จะรั้งผมไว้ทำไม”
“สิงหาอย่าใช้อารมณ์”
“ใช่สิผมใช้อารมณ์ แต่ใครคนนั้น...ฮึก...คนที่เป็นคู่หมั้นของพี่ เธอสวย เธอ...ฉลาดและคู่ควรกับพี่ทุกอย่าง แล้วพี่มองดูผมสิ ผมที่มาแต่ตัวพี่จำได้มั้ย ผมคนที่ไม่มีอะไรเลยพี่ยังจะต้องการไปทำไม ผมเหนื่อยแล้วพี่ภู ความรู้สึกของผมพี่เหยียบย่ำมันพอแล้วหรือยัง”
“เรานั่นแหละพูดจบหรือยัง ถ้าไม่คิดขอโทษก็อยู่ทบทวนตัวเองไปซะ”
“บางที...”
“...”
“ถ้าเราไม่เจอกันคงดีกว่านี้”
“ว่าไงนะ เมื่อกี้พูดอะไรออกมา” พี่ภูผลักไหล่ของผมให้ล้มลงกับเตียง จนต้องนอนคุดคู้กอดเข่าตัวเองแน่นโดยไม่คิดหันไปมองหน้าอีกฝ่าย นอกจากพูดสิ่งที่คิดอยู่ในหัวออกมา
“ผมไม่ว่าหรอกถ้าพี่จะไป”
“...”
“สักวันหนึ่งพี่จะดีใจที่เชื่อในการตัดสินใจของผม”
“ตัดสินใจบ้าบออะไร อย่าทำให้มันเป็นเรื่องใหญ่ได้มั้ย”
“พี่ภู...”
“...”
“บางทีเราอาจมาไกลได้แค่นี้ อย่าเสี่ยงกับคนที่ไม่มีอะไรอย่างผมเลย อย่าเหนื่อยที่จะต้องทนอยู่กับคนงี่เง่า เพราะสักวันหนึ่งพี่ก็ต้องทิ้งผมอยู่ดี สู้ทิ้งตอนนี้มันไม่ง่ายกว่าเหรอ”
“...”
“ไปหาเขาเถอะ”
ผมเหนื่อยแล้ว...
เหนื่อยจริงๆ กับการอยากครอบครอง อยากได้หัวใจคนที่ไม่มีใจรักในตัวเราแล้ว ในเมื่อความรักหมดลง ความหวานเริ่มเจือจาง จะรั้งเอาไว้ให้รู้สึกเจ็บปวดอีกทำไม
ก็แค่ยินดีที่เขาเจอคนที่ดีกว่า
“ต่อให้คุกเข่าร้องไห้น้ำตาเป็นสายเลือดพี่ก็ไม่ปล่อยเราไปหรอกนะ ทบทวนตัวเองให้ดีๆ ว่าวันนี้เผลอทำอะไรไม่ดีลงไปบ้าง คิดให้เยอะๆ อยู่กับตัวเอง ถูกต้องแล้วเหรอกับสิ่งที่ทำลงไป”
“...”
“แล้วไม่ต้องเรียกหาอิสระ เพราะมันยังไม่ถึงเวลา”
ปัง!!
เสียงปิดประตูดังสนั่น สุ้มเสียงที่ได้ยินเงียบสงัดเหลือเพียงเสียงสะอื้นของตัวเองดังเล็ดลอดออกมาราวกับสมเพช
ผมพูดไปแบบนั้น รู้หรือเปล่าว่าภายในหัวใจมันยังรักพี่อยู่ แต่เหนี่ยวรั้งเอาไว้ไม่ได้เลย
ผมเกลียดตัวเอง เกลียดตัวเองที่ยังเอาแต่บอกซ้ำๆ ราวกับคนโง่งม...
“ผมรักพี่”