เนื้อหาตอนดังกล่าวอาจมีความไม่เหมาะสม
โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่านตอนที่ 9
ผมเป็นคนตัวเปล่า
เป็นคนตัวเปล่าที่กำลังวิ่งหนีสิ่งที่รักมากที่สุด เท้าของผมไม่สามารถหยุดวิ่งได้แม้จะเหนื่อยล้าแค่ไหนก็ตาม ผมรู้...ผมรู้ว่าตัวเองเจ็บมากแค่ไหน แต่ถึงอย่างนั้นการใช้ชีวิตอยู่ต่อโดยมีพี่มันยิ่งทำให้ผมเจ็บมากขึ้นเป็นเท่าทวี และตัวเองก็เหนื่อยเกินกว่าจะต้องมารองรับอารมณ์ขึ้นๆ ลงๆ ของเขาได้แล้ว
ฉะนั้นผมจึงต้องไปให้ไกลที่สุดเท่าที่จะทำได้ ต่อให้ต้องวิ่งเท้าเปล่าผมก็ต้องทำ
“สิงหาหยุดเดี๋ยวนี้!!”
เสียงของพี่ไกลออกไปเรื่อยๆ
“หยุด!!”
รถเมล์สายหนึ่งจอดเทียบท่า ผมวิ่งอย่างไม่คิดชีวิต ก้าวขึ้นไปยังยานพาหนะซึ่งไร้ผู้คน มองดูกระจกหลังด้วยหัวใจตื่นตระหนก เมื่อเห็นร่างสูงหยุดวิ่งและจ้องมอง กระทั่งระยะทางระหว่างเราห่างไกลออกไปมากขึ้นทุกที
และอาจไกลไปตลอดกาล...
ผมแค่หวังว่าเราจะไม่กลับมาเจอกันอีก ถึงแม้ว่าจะเจ็บเจียนตายแค่ไหนเดี๋ยวมันก็คงผ่านไป ผ่านไป...จนกระทั่งวันหนึ่งลืมเลือนผู้ชายที่ชื่อว่าภูผาได้สักวัน
ขอบคุณพี่ที่สอนให้ผมรู้จักคำว่ารักและการถูกรัก
ขอบคุณที่อยู่ด้วยกันในช่วงระยะเวลาหนึ่ง ถึงไม่มากแต่ผมก็มีความสุขดี
ผมรักพี่...ผมยังรัก...
ที่พึ่งสุดท้ายของผมก็คือเบียร์ โซซัดโซเซไปที่นั่นด้วยหัวใจขาดวิ่น ถึงจะกลั้นน้ำตาไม่ให้ไหลยังไงมันก็คงทำได้ยาก ผมไม่หลงเหลืออะไรที่เป็นของตัวเองเลยนอกจากร่างกาย คืนนี้ผมเหนื่อยและหน้าด้านเกินกว่าจะห้ามใจตัวเองไม่ให้แบมือขอเงินจากเพื่อนสนิทเพียงคนเดียว
ผมได้มันมาจากเบียร์สำหรับค่ารถกลับบ้าน กลับไปอยู่กับตัวเองที่ซึ่งมีความรักจากคนเป็นแม่รออยู่ตรงนั้น ไม่รู้ว่ายาวนานแค่ไหนที่จมปรักอยู่บ้าน แต่หากวันไหนเข้มแข็งได้ผมจะกลับมา...
ช่วงสัปดาห์แรก ทุกอย่างผ่านไปอย่างเชื่องช้า ผมเอาแต่นอน นอนทั้งวัน ตื่นขึ้นมาเพื่อทานอาหารจากนั้นก็ล้มตัวลงบนเตียง จิตใจผมมันว้าวุ่น มีคำถามมากมายอยู่ในหัวว่าเขาจะตามหาผมมั้ย เขาจะโกรธแค่ไหน ขณะที่ตัวเองก็ได้แต่จินตนาการถึงอดีตที่มีแต่ความสุข
ผมหนีมาไกล แต่สุดท้ายความรู้สึกของผมมันกลับยังอยู่ที่เดิมไม่ไปไหน
อยู่ที่ใครคนนั้น ผู้ซึ่งหยิบยื่นทุกอย่างให้ และก็ริบรอนทุกอย่างไปจากชีวิตของผมเช่นกัน
แม่มักถามว่าเป็นอะไร สิ่งที่ตอบได้ก็มีเพียงแค่เหนื่อย แม่ลูบหัวผมย้ำอยู่เสมอว่า ‘เด็กดี ลูกแม่ต้องไม่เป็นไร’ เขาพูดซ้ำๆ อย่างนั้นตอนที่เราทานอาหารเย็นจนกระทั่งเข้านอน เช้ามาแม่ปลุกผมเพื่อเริ่มต้นชีวิตใหม่ แต่ผมก็ยังอิดออดเหมือนทุกวัน
เพราะยัง...ไม่อยากตื่นจากฝันดี เนื่องจากชีวิตจริงมันเป็นแบบนั้นไม่ได้
มันพาลให้ผมอิจฉาคนอื่นไปทั่วแม้กระทั่งคนบ้า บางทีคนพวกนี้อาจเป็นคนที่มีความสุขที่สุดในโลกก็ได้ อย่างน้อยก็ในโลกของตัวเอง
เช้านี้ก็เหมือนกัน...
“สิงหาตื่นได้แล้ว”
เสียงของพี่ เสียงของพี่ภูที่กระซิบอยู่ข้างหู
ผมรีบกระเด้งตัวขึ้นมาจากเตียง โยนผ้าห่มออกไปจากตัวเพื่อให้สัมผัสร่างกายของคนตัวสูงได้ถนัด พร้อมกับคำถามเกิดขึ้นในหัวพาลให้ขมวดคิ้วมุ่น เขามาได้ยังไง?
“มัวแต่นอนขี้เซาอยู่อีก” พี่พูดย้ำ
“ผมเปล่าสักหน่อย ก็แค่...นอนสบายเกินไปหน่อยเท่านั้นเอง”
“พี่นอนกอดทั้งคืนยังสบายไม่พออีกเหรอ ลุกขึ้นไปอาบน้ำเร็ว พี่เตรียมกับข้าวไว้แล้ว”
“จริงเหรอครับ”
“อืม...เป็นแกงจืดที่เราชอบด้วย”
กายสูงทำท่าลุกจากเตียง แต่ผมเร็วกว่านั้นรีบคว้าข้อมืออีกฝ่ายเอาไว้เพราะกลัวว่ามันจะสลายไปอีก แต่ไม่ใช่...พี่ภูไม่ได้หายไป เขายังยืนอยู่กับผมตรงนี้
“งอแงอะไรอีกเรา” เขาถามเสียงละมุน น้ำเสียงที่ใช้กับผมเหมือนเมื่อก่อน
“พี่มาอยู่ที่นี่ได้ยังไง”
“...”
“พี่รู้จักบ้านของผมด้วยเหรอ” จำได้ว่าเขารู้แค่จังหวัด แต่ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตั้งอยู่ตรงไหน กินอยู่ยังไงตั้งแต่เล็กจนโต ทว่าสิ่งหนึ่งที่ชัดเจนคือเขาดูแลผมอย่างดีตอนที่เราอยู่กรุงเทพฯ ด้วยกันในช่วงเวลาหนึ่ง
“ไม่รู้สิ พี่ไม่รู้หรอก”
“แล้วพี่มาได้ยังไง”
“พี่ไม่รู้ พี่แค่อยากกอดเรา จูบเรา พี่รักสิงหานะ” วินาทีนั้นผมไม่ปล่อยให้ทุกอย่างผ่านไปโดยเปล่าประโยชน์ รีบถลาเข้าไปกอดคนตรงหน้าให้แน่นที่สุด แต่แปลกเหลือเกินที่อ้อมกอดของพี่ไม่มีความอบอุ่นเอาเสียเลย มันเย็นเฉียบ เย็น...จนรู้สึกหนาวเหน็บ
“สิงหาครับ”
เสียงนั้นทำให้ผมสะดุ้ง เพราะเป็นเสียงหวานของแม่ เจ้าตัวลากเท้ามาใกล้ๆ ขอบเตียง ก้มลงจูบหน้าผากผมบางเบาแล้วลูบหัวเหมือนทุกครั้ง
ผมแค่ฝันไป
อาจเป็นเพราะจิตใต้สำนึกเอาแต่คิดถึงคนคนนั้น อยากถูกกอด อยากถูกจูบ อยากถูกเอาใจ ผมถึงได้ละเมอเพ้อว่ามันคือเรื่องจริง ทั้งที่เป็นเพียงความทรงจำเก่าๆ ผสมจินตนาการในปัจจุบันเท่านั้น การนอนตักพี่และหลับไปไม่ใช่เรื่องจริง การมีใครอีกคนคอยกอดปลอบและกล่อมให้หลับคือภาพลวงตา
ผมฝันอีกแล้ว ฝันครั้งที่เท่าไหร่กัน ฝันจนรู้สึกเหนื่อยและได้แต่ภาวนาว่าเมื่อไหร่มันจะสิ้นสุดลงสักที
“แม่ออกไปทำงานก่อนนะครับ” แม่ผมพูดย้ำ เธอเป็นข้าราชการ เป็นครูสอนภาษาไทยในโรงเรียนประจำตำบล
“ครับ” ผมขานรับเสียงเรียบ
“ตื่นแล้วก็กินข้าวซะนะ แม่ทำกับข้าวไว้ในตู้แล้ว”
ผมพยักหน้าน้อยๆ มองดูร่างบางเดินผละห่างออกไป แต่ถึงอย่างนั้นผมก็ยังเรียก
“แม่...”
ผู้หญิงวัยกลางคนที่เป็นทั้งหมดในชีวิตหันหน้ากลับมาพร้อมรอยยิ้มเหมือนทุกครั้ง แม้รู้ดีว่าภายในจะเจ็บปวดกับสิ่งที่ผมเป็นแค่ไหน
“ผมรักแม่นะครับ”
ผมเป็นเกย์
“แม่ก็รักสิงหา”
ผมเป็นเกย์แต่บอกแม่ไม่ได้ ผมเป็นในสิ่งที่ใครไม่ต้องการแม้กระทั่งพี่
ล่วงเข้าสู่สัปดาห์ที่สอง
หลังจากไม่ได้ติดต่อหาใครเลยตั้งแต่ซมซานกลับมายังบ้าน โทรศัพท์มือถือก็ไม่มี พอเริ่มตั้งตัวได้และหนีจากความฝันเพื่อยืนหยัดด้วยตัวเอง ผมถึงเจียดเงินที่เหลืออยู่บางส่วนไปซื้อมือถือแก้ขัด โดยสายแรกที่เริ่มติดต่อหาก็คือเบียร์
คืนนั้นเราพูดกันเกือบค่อนคืน ผมเพิ่งรู้ว่าตัวเองได้รับเงินถ่ายแบบครั้งล่าสุด แต่มันดันไปอยู่ที่พี่ภู สุดท้ายก็เลยต้องยอมปล่อยเงินก้อนนั้นไปอย่างจำใจ เราคงไม่สามารถเจอกันได้อีก มองหน้ากันด้วยความจริงใจไม่ได้อีก
ทว่าทำไมแค่รู้สึกคิดถึง มันก็เจ็บปวดขึ้นมาอีก
“เบียร์” ผมกรอกเสียงลงโทรศัพท์
[ใครวะ]
“เราเอง สิงหา...นี่เบอร์ใหม่เรา”
[โอ้ยยยยยยเป็นไงบ้าง หายไปนานเลยนะมึง ดอกเบี้ยที่มึงยืมเงินกูแล้วหายต๋อม ตอนนี้ขึ้นหลักแสนแล้วนะ] ผมหัวเราะ เขาเป็นเพื่อนที่มักทำให้ผมหายเครียดได้เสมอ
“เริ่มโอเคแล้วล่ะ”
[อยู่บ้านทำอะไร]
“ไม่ได้ทำ แค่นอน นอนอยู่เฉยๆ ไปจนถึงบ่าย” แค่นั้นก็ได้ยินเสียงถอนหายใจจากปลายสายส่งกลับมาแทน มั่นใจว่าถ้าเราอยู่ใกล้กัน คงจะโดนมือหนาของอีกฝ่ายโบกหัวไปนานแล้ว
ผมอ่อนแอ ผมเข้มแข็งและเริ่มต้นใหม่ได้ช้ากว่าคนอื่น แต่ผมก็กำลังพยายาม...
[แม่ไม่ว่าเหรอ]
“ไม่ เขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่าโดนทิ้ง เขาแค่ปลอบ”
[แล้วนี่จะทำยังไงต่อไป]
“ยังไม่รู้เลย”
[เรื่องงานถ่ายแบบล่ะ เมื่อวันก่อนกูเจอไอ้ผู้ชายคนนึงมันบอกว่าชื่อคิน ถามว่าเจอมึงบ้างมั้ย เพราะมันฝากกูมาบอกมึงว่าถ้าอยากย้ายสังกัดมาอยู่กับมันก็ให้ติดต่อกลับไป]
“ขอบใจมากนะ แต่ตอนนี้เรายังไม่คิดที่จะกลับไป กลัวเจอพี่...”
[ถามหน่อยเหอะ ทุกวันนี้มึงทำอะไรอยู่ หายใจเพื่ออะไร หวังสิ่งไหน กูรู้ว่ามึงกำลังสับสนมาก กินไม่ได้ นอนไม่หลับ ชีวิตวนอยู่ในลูปเดิมๆ โดยไม่มีจุดหมาย หมุนไปแค่ในสิ่งที่เห็นอยู่ตรงหน้า แล้วฟ้าที่สดใสล่ะหายไปไหนหมด หรือคิดว่าจะไม่รอคอยวันนั้นแล้ว ชีวิตมึงไม่ได้เกิดมาแค่เดินตามทางที่ปูเอาไว้นะเว้ย เมื่อไหร่มึงจะเริ่มสร้างถนนเองแล้วเดินอย่างมีความสุขสักที]
ประโยคยืดยาวเปล่งออกมาจากปลายสาย เบียร์หวังดีกับผมมาก แต่ก็อยากเกลียดตัวเองเหมือนกันที่เป็นอย่างที่เขาคาดหวังให้ไม่ได้
“การพยายามยืนขึ้นทั้งที่เพิ่งหกล้มมันไม่ใช่เรื่องง่ายเลย”
[ไม่ง่าย แต่ก็ไม่ยากเกินไปหรอกน่า]
เราพูดกันยาวเหยียดตลอดทั้งคืน ความคิดถึงและความหวังดีจากเพื่อนคนหนึ่ง การมองหน้าแม่ตอนที่เอาแต่ปลอบผมด้วยเสียงสั่นเครือ ครอบครัวที่เรียบง่าย กับการกลับบ้านตัวเปล่าของผมในค่ำคืนนั้นกำลังตอกย้ำและผลักดันให้เดินไปข้างหน้า
ทางข้างหลังเป็นเพียงอดีต ต่อไปผมจะไม่นึกถึงมันอีก
ภูผา
เรื่องเจ็บปวดที่สุดในชีวิต เพราะครั้งหนึ่งเราก็เคยรักแต่ที่เศร้ากว่าคือมันแค่ ‘เคย’
การรักพี่เดี๋ยวนี้มันยากเย็นเกินไปแล้ว ผมเคยรอ รอจนท้อแต่พี่ก็ไม่เคยมา เขายังอยู่ในโลกที่ผมไม่สามารถเข้าไปแทรกแซงได้ ทำไมต้องเป็นแบบนี้
เขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่าการผ่านเข้ามาและผ่านไปมันไม่ใช่เรื่องง่ายเลยที่อีกคนจะลืมได้...
หนึ่งเดือนหลังจากกลับบ้าน
สองมือของผมพยายามเก็บเสื้อผ้าที่เหลือค้างอยู่ในตู้ใส่กระเป๋าเงียบๆ วันนี้จำต้องบอกลาแม่เพื่อเผชิญความเป็นจริงอีกครั้ง ผมจะกลับไป...กลับไปตั้งใจเรียน ทำงานถ่ายแบบและเริ่มต้นใช้ชีวิตอีกครั้งโดยปราศจากใครอีกคนเคียงข้าง
ผมเชื่อว่าตัวเองจะมีความสุข
เบียร์มารอรับที่ท่ารถ ผมจำไม่ได้แล้วว่ารอยยิ้มของเบียร์ดูมีความสุขครั้งสุดท้ายเมื่อไหร่ แต่ฟ้าใหม่ของผมเริ่มต้นขึ้นแล้วด้วยการหอบสัมภาระแสนน้อยนิดจากบ้านไปอยู่กับผู้จัดการคนใหม่ซึ่งเป็นคนดูแลคิน รุ่นพี่นายแบบคนแรกในชีวิตที่ผมรู้จัก
เรานอนอยู่คนละห้องในคอนโดชั้น 9 หรูหราไม่ต่างจากห้องของพี่
ผมพยายามจะไม่นึกถึงอดีต ไม่นึกถึงคนที่ทำให้เจ็บเสมอ แต่หลายครั้งมันก็เหนือการควบคุม
ที่นี่ดีทุกอย่าง คินดีกับผม พี่ผู้จัดการที่ชื่อแพรก็ดีกับผมเช่นกัน หลังจากนั้นหนึ่งสัปดาห์ผมรับงานถ่ายแบบอีกครั้ง ตากล้องไม่ใช่พี่ ไม่รู้หรอกว่าตลอดเวลาเดือนกว่าๆ เขาเป็นยังไงบ้าง ได้แต่สั่งใจตัวเองว่าไม่อยากรู้และตั้งหน้าตั้งตาทำหน้าที่ของตัวเองต่อไป
เดือนต่อมามหา’ลัยเริ่มเปิด ผมเจียดเวลาจากงานถ่ายแบบกลับมาตั้งใจเรียน เริ่มเที่ยว เริ่มสังสรรค์กับเพื่อนภายในคณะ หัวใจของผมตอนนี้แข็งแกร่งจนใครไม่สามารถทำลายได้แล้ว
ผมเริ่มมีชื่อเสียง เดินไปไหนมาไหนใครๆก็เข้ามาทักทาย ซื้อขนมมาให้ มาขอถ่ายรูป เขาบอกผมน่ารักและก็เอาแต่จับมือผมไม่หยุดทั้งผู้ชายและผู้หญิง...
ใครๆ ต่างก็บอกว่าผมกับคินเราเป็นคู่จิ้นกัน เนื่องจากรับงานด้วยกันบ่อย และไม่นานเรากำลังได้เล่นโฆษณาด้วยกัน หลังจากทางค่ายใหญ่เปิดแคสต์โฆษณาวัยรุ่นหน้าใหม่ ด้วยไม่อยากผูกติดกับอะไรเดิมๆ รวมถึงอยากลองงานอื่นที่ไม่ใช่งานถ่ายแบบผมจึงรีบวิ่งเข้าหาโอกาสด้วยตัวเอง
ถึงจะแค่เริ่มต้นแต่มันก็สร้างอนาคตให้ผมกับคินได้
ผมรู้สึกขอบคุณเขา ขอบคุณที่อยู่ด้วยกันมาตั้งแต่ลำบากและมีแต่ตัว จนตอนนี้ผมกลายเป็นสิงหาที่มีใครหลายๆ คนรู้จัก รักและเอ็นดู ผมไม่ใช่สิงหาคนเดิมที่ใครต่อใครไม่ต้องการอีกแล้ว
ทว่าเย็นวันหนึ่ง...
ตอนที่กำลังถ่ายแบบในสตูดิโอ ผมกลับเห็นผู้ชายหน้าตาคุ้นเคยคนหนึ่งกำลังอาละวาดและตั้งใจพุ่งเข้ามาหาผม เพียงแต่เจ้าตัวกลับถูกกันเอาไว้จากพี่ทีมงาน รวมถึงผู้จัดการคนใหม่ ซึ่งผมได้บอกไปตั้งแต่แรกแล้วว่าไม่อยากเจอเขา ไม่ว่าจะด้วยเรื่องอะไรก็ตาม
เรามองกันชั่วครู่ เขายังเหมือนเดิม ไม่ได้อ้วนขึ้นหรือผอมลง
แค่ยังเหมือนเดิม
ภูผา
หกเดือนให้หลัง
ผมได้รับเลือกให้เป็นนักแสดงหน้าใหม่ในซีรีส์วัยรุ่นซึ่งก็มีคินติดโผเข้ามาเป็นนักแสดงด้วย ตอนนั้นมันเหมือนกับฝัน ไม่คิดว่าระยะเวลา 6 เดือนจากล้มลุกคลุกคลานมันจะทำให้ผมมาไกลขนาดนี้ ถึงบทมันจะเล็กๆ แต่ก็เป็นบทที่ผมอยากเล่นมากที่สุด
ช่วงหลังมานี้เบียร์กับเพื่อนๆ เลยจัดฉลองให้ผมบ่อยจนอ้วนไปเลย
“สิงหาพร้อมหรือยัง”
“ครับ”
พี่ทีมงานขานเรียก ผมไม่ได้อยู่ที่กองถ่ายซีรีส์อะไรหรอก แต่กำลังเตรียมตัวสำหรับงานถ่ายแบบให้กับเสื้อผ้าวัยรุ่นแบรนด์หนึ่งที่กำลังออกในช่วงฤดูกาลนี้เท่านั้น
“แล้วตากล้องล่ะพร้อมหรือยัง”
“พร้อมแล้วครับ”
นั่นเป็นอีกครั้งที่เสียงอันคุ้นเคยตอบกลับมา และเราได้เจอกัน
เพียงแต่เขาไม่เหมือนเดิม พี่ไม่เหมือนเดิม...
ภูผา...
ผมวิ่งตามรถเมล์คันหนึ่งที่ไม่มีทางหยุดจอด สองตาจ้องมองแต่คนตัวเล็กที่ยืนสั่นเคลื่อนออกไปเรื่อยๆ ผมไม่รู้ว่ากำลังโมโหมากมายแค่ไหน เพียงแต่ร่างกายที่กำลังสั่นเทิ้มบอกได้เป็นอย่างดีว่าผมไม่สามารถควบคุมอารมณ์ของตัวเองได้
ผมควบคุมมันไม่ได้ ไม่ว่าจะทำอะไร
แต่ด้วยความที่เด็กคนนั้นเป็นของผม จึงไม่ยอมปล่อยให้หลุดไปไหน ถึงขนาดรีบบึ่งรถไปดักรออยู่ที่ห้องเช่าเก่าๆ แทนที่จะเจอ มันกลับไม่เป็นอย่างใจคิด ห้องพักแห่งนั้นมีผู้เช่ารายใหม่เข้ามาแล้ว แต่ผมก็ไม่คิดละความพยายาม ด้วยรู้ว่าเพื่อนสนิทของสิงหาพักอยู่ที่ไหนผมก็มุ่งหน้าไปที่นั่นทันที
เพียงแต่...ผมไปไม่ทัน สิงหาหนีไปแล้ว
หนีกลับบ้านทั้งที่ผมไม่รู้ด้วยซ้ำว่าที่ไหน ถึงจะเค้นคอเพื่อนอีกฝ่ายให้ตายยังไงมันก็ไม่ยอมบอก
ได้แต่รอคอยว่าถ้าเปิดเทอมแล้วซมซานกลับมาเมื่อไหร่ ผมก็จะพากลับไปขังในที่แห่งเดิม
ระหว่างนั้นก็ใช้ชีวิตตามปกติ ผมรู้ว่าตัวเองขาดสิงหาได้ เพราะตอนที่ฝึกงานแทบไม่กลับห้องยังอยู่ได้เลย ทว่าผมลืมอะไรไปอย่าง
ความเชื่อมั่น...
ตอนนั้นมันมีความมั่นใจเต็มเปี่ยมว่าถึงไม่กลับไปก็ยังมีใครสักคนรออยู่ตรงนั้น หากแต่ตอนนี้มันแตกต่างอย่างสิ้นเชิง ตรงที่ต่อให้กลับไปหรือไม่กลับไปมันก็เหลือแต่ความว่างเปล่า เด็กชายเสื้อสีชมพูไม่ได้รอผมอยู่ตรงนั้นอีกแล้ว
ผมรับงานสารพัดเพื่อขจัดความฟุ้งซ่านและรอคอยให้คนตัวเล็กกลับมาอย่างจดจ่อ ผมไม่รู้ว่าผมเป็นอะไร แต่ในหัวมันมีเรื่องนับล้านที่อยากทำ ขยัน อยากทำงาน เมื่อก่อนตอนช่วงฝึกงานผมก็เป็น และมันส่งผลมาถึงตอนนี้คือบางวันผมเลือกที่จะไม่หลับไม่นาน เอาแต่ร่างแผนการเอาไว้ในหัว
ร่างกายผมเหมือนถูกกระตุ้นด้วยสารเคมีหลายอย่าง มันทำให้รู้สึกกระปรี้กระเปร่า ไม่เหนื่อย ไม่เบื่อ แม้ชีวิตจะไม่เหลือใครแล้วแต่ก็หาความสนุกให้ตัวเองได้ ชีวิตโคตรจะเสเพล ผมเหลวแหลกก็ตรงที่ร่วมหลับนอนกับนางแบบในวงการ รวมไปถึงผู้หญิงในคลับหลายคน
ชีวิตมันไม่ได้ดีหรือแย่ แต่มันเหี้ย
ร่างกายของผมกระหายเซ็กซ์ ผมไม่รู้ว่าทำไม มันมีความสุขดีเพราะชีวิตเต็มไปด้วยแสงสี ไม่ได้รู้สึกเลยด้วยซ้ำว่าใครอีกคนเริ่มหายไปจากชีวิต
มีเสี้ยวหนึ่งที่รู้สึกผิดต่อสิงหา ด้วยความที่โกรธจนไม่อยากยกโทษให้ผมจึงสลัดเหตุผลนั้นออกจากหัว และรอคอยว่าเมื่อไหร่จะได้ลงโทษคนที่มันหายไปอย่างสาสม
ทว่าพอได้เจอกับร่างบางอีกครั้งในเช้าวันหนึ่งที่มหา’ลัย สุดท้ายเราก็ไม่ได้ปรับความเข้าใจอะไรกันเลย เพราะถูกกันจากเพื่อนของเขาจนรู้สึกหงุดหงิด
ผมไม่ได้ต้องการอะไรเลยนอกจากพาเด็กคนนั้นกลับมา
ไม่ได้ต้องการมากไปกว่านั้น แต่มันก็ทำได้ยากเหลือเกิน