ตอนที่ 10
ผมกลับมายังบ้าน ที่ที่มีแค่ผมกับแมวตัวเดียวเพราะมินตราแยกกลับไปเสียก่อน แต่ถึงอย่างนั้นก็อยากขอบคุณที่อุตส่าห์พาไปหาหมอ เธอเป็นเพื่อนที่ดี...
ยามากมายซึ่งหมอสั่งให้กินแทบไม่มีผลกับความคิดของผม ถ้ากินแล้วจะดีขึ้น? ดีขึ้นจริงๆ เหรอ ผมรู้ตัวว่ามันไม่ได้ดีไปกว่านั้นเพราะสุดท้ายชีวิตก็มีแต่คำว่าแย่ และมันกำลัง ‘พัง’ ไม่เป็นท่า
ผมเดินขึ้นไปยังบันไดชั้นสอง สืบเท้ากลับเข้าห้องนอนของตัวเอง เปิดตู้เสื้อผ้าใบหนึ่งที่มีกลิ่นอายของใครบางคนอบอวลอยู่ในนั้น ตั้งแต่เขาจากไป ไม่มีวันไหนที่ผมไม่เปิดตู้ใบนี้และหยิบเสื้อเขามาปัดฝุ่น เสื้อผ้าของเขา รองเท้าของเขา ผ้าเช็ดตัวของเขา ผมยังคงเก็บไว้ เพื่อหวังว่าสักวันเราอาจได้กลับมาอยู่ด้วยกันอีก
ทั้งที่มันเป็นไปไม่ได้ ผมแค่ฝันเหมือนอย่างเคย
มันแตกหักจนหมดสิ้น หมายถึงความสัมพันธ์ของเรา สิงหาไปได้ดีแล้วนั่นทำให้เหตุผลที่บอกว่าต่อให้รักมากแค่ไหนก็ไม่อยากดึงเขากลับมาตกต่ำอีก
ผมได้เห็นคนตัวเล็กตามหน้าปกนิตยสารมากขึ้น บางครั้งก็โผล่ในใบปลิวโฆษณาหรือหน้าจอทีวี เด็กคนนั้นเข้มแข็งขึ้นมากตั้งแต่ไม่มีผม
แค่มองหน้าตัวเองในกระจกก็รู้แล้วว่ามีแค่ผมที่ยังคงเหมือนเดิม ภูผาเมื่อหนึ่งหรือสองปีที่แล้วก็เป็นแบบนี้ เป็นคนที่แต่งตัวเหมือนเดิม ทรงผมทรงเดิม กินอาหารแบบเดิม มีแต่คนอื่นที่ก้าวหน้าไปเรื่อยๆ จนบางครั้งก็เหนื่อยที่ต้องวิ่งตาม
“เมี๊ยวววว” เสียงผะแผ่วของสัตว์สี่ขาอย่างของขวัญร้องเรียก ผมหันไปให้ความสนใจกับมันหลังจากเผชิญกับอาการเหงาหงอยมานับเดือน เราเหมือนกันตรงที่เริ่มเข้าข่ายโรคซึมเศร้า ของขวัญเหงาเพราะผมไม่ค่อยเล่นกับมันนอกจากหาข้าวให้กิน ส่วนผมเหงาเพราะไม่เหลือใคร
“เป็นอะไร โกรธเหรอ” ผมอุ้มเจ้าแมวอเมริกันช็อตแฮร์ขึ้นมา เอ่ยถามด้วยประโยคเดิมๆ เหมือนทุกวัน
โกรธเหรอ
ขอโทษนะ
แม่ไม่กลับมาแล้ว
ขอโทษนะ
ขอโทษ...
ยังคงเป็นแค่ประโยคซ้ำๆ ที่ผมเอาแต่พูดมันออกมา แม้รู้ดีว่าอีกฝ่ายไม่มีทางเข้าใจ ผมไม่สามารถยื้อสิงหาให้กลับมาได้ มันยากพอๆ กับการใช้เวลาในแต่ละวันเพื่อถามหาความสุขในชีวิต ไม่รู้สิ...แต่ผมไม่อยากมีชีวิตต่อไปเลย หมอบอกว่าผมป่วย เขาอยากให้ผมได้ออกไปเปิดหูเปิดตาและทานยาสม่ำเสมอ
แค่คิดว่าวันหนึ่งก็ต้องตาย ผมจะทำมันเพื่ออะไร
“นอนมั้ย คืนนี้นอนด้วยกันนะ” ผมบอกแมวในอ้อมกอด ย่างเท้ากลับขึ้นเตียงและล้มตัวลงนอนเพราะไม่อยากคิดอะไรอีก อาบน้ำ กินข้าว กินยา ผมอยากลืมให้หมดสิ้นและอยู่ในโลกของตัวเอง ที่ที่ไม่ทำให้รู้สึกเจ็บปวด
และแน่นอนในฝันของผมก็ยังคงมีสิงหา คนที่คอยแต่ยืนยิ้มอยู่แบบนั้นในทุกคืน...
ผมตื่นเช้า
ผมตื่นเช้ามากๆ ตั้งแต่พระอาทิตย์ยังไม่โผล่พ้นขอบฟ้า ลุกขึ้นมาอาบน้ำแต่งตัว หวีผมจนดูดีเพื่อหวังว่าจะได้เจอกับเด็กคนนั้นอีกครั้ง ด้วยนอนคิดมาทั้งคืน ถ้าหากวันหนึ่งที่ผมไม่อยู่ตรงนี้หรือตายจากโลกไป ก็ขอชดเชยสิ่งที่เคยทำไม่ดีกับคนตัวเล็กให้หมดเสียก่อน
ไม่รู้หรอกว่าต้องทำอะไรบ้าง อาจจะเป็นประโยคขอโทษซ้ำๆ นับพันครั้ง พูดให้รู้ว่าผมเสียใจจริงๆ และทำดีชดเชย ถึงตอนนั้นไม่ว่าความสัมพันธ์ของเราจะเป็นไปในรูปแบบไหนผมก็พร้อมยอมรับ เพราะมันคือสิ่งที่ไม่ได้คาดหวังตั้งแต่แรก
ที่มหา’ลัยไม่ค่อยมีอะไรเปลี่ยนแปลง ตั้งแต่เรียนจบน้อยครั้งมากที่ผมจะโผล่มาที่นี่ แต่อย่างน้อยก็ดีใจที่รุ่นน้องนิเทศฯ หลายคนยังคงจำได้ แวะเข้ามาทักทายกันบ้าง เขาแทบไม่รู้ด้วยซ้ำว่าชีวิตของผมตกต่ำมากมายแค่ไหน เขาไม่รู้ว่าผมเป็นช่างภาพหรือทำอะไร เขาจดจำได้แค่ว่า ผมคือภูผารุ่นพี่ที่เคยเล่นละครเวทีได้ดีคนหนึ่ง
จะผิดมั้ย ที่ผมอยากให้ทุกคนเข้าใจแบบนั้นตลอดไป
“พี่ภูจริงๆ ด้วย สวัสดีค่ะ” รุ่นน้องปีสามคนหนึ่งวิ่งเข้ามาทักทาย ผมเลยส่งยิ้มกลับไปพร้อมคำพูดเดิมๆ
“สวัสดีนาว”
“ลมอะไรหอบมาที่ตึกถ่ายภาพคะพี่”
“คิดถึงบรรยากาศเก่าๆ น่ะ” บอกแบบนั้น พลางเดินไปในห้องซึ่งจัดแสดงภาพถ่ายเล่นๆ ของนิสิต มีทั้งภาพที่ถ่ายจากกล้องฟิล์ม หรือแม้แต่โพลารอยด์เต็มไปหมด มันเหมือนกับว่าผมได้ย้อนกลับไปตอนที่ตัวเองเริ่มผูกเนคไทสีเข้มเพื่อเข้ามาเรียนมหา’ลัยตอนปีหนึ่งอีกครั้ง
ผมกวาดสายตาดูภาพถ่ายเหล่านั้นด้วยความคิดถึง กำแพงแห่งความทรงจำเริ่มเปิดออก ที่นี่เหมือนครอบครัว เรามักสังสรรค์และแปะรูปเอาไว้จนเต็มฝาผนัง สายตาของผมไล่มองไปเรื่อยๆ บางภาพก็ทำให้หลุดหัวเราะขึ้นมาอย่างไม่เข้าใจ หรือบางภาพ...
ก็ทำให้รู้สึกเศร้าขึ้นมาทันที
“คิดถึงพี่วัชรนะคะ ตอนที่ได้ข่าวนาวตกใจมากเลย”
“อืม โคตรคิดถึง”
“จำได้ว่าตอนนั้นพี่เขาอกหัก เพราะคนที่ชอบประสบอุบัติเหตุตาย แค่ได้ยินก็หดหู่ชะมัด”
“แต่ตอนนี้มันก็ได้ไปอยู่กับคนที่มันรักแล้ว ดีเหมือนกันนะ” สิ่งที่ผมจ้องคือภาพหมู่ของเพื่อนในกลุ่ม หนึ่งในนั้นก็คือเพื่อนสนิทอย่างวัชรที่ไม่ได้อยู่ด้วยกันเหมือนเมื่อก่อนแล้ว แต่ผมเคยสัญญาว่าจะรักษาบ้านกึ่งสตูดิโอเล็กๆ นั้นให้ดีที่สุด อย่างน้อยก็ตอบแทนให้กับมิตรภาพของเราตลอดสี่ปี
“แล้วตอนนี้พี่ภูทำงานที่ไหนคะ หายหน้าหายตาไปนึกว่าจะไปอยู่เมืองนอกกับเพื่อนๆ ซะอีก”
“อยากไปอยู่หรอก แต่ภาระหลายอย่างมันติดพันน่ะ”
“งานที่นี่ล่ะสิ”
“พี่เป็นช่างภาพอิสระ ไม่มีสังกัดหรืออะไรที่ไหนหรอก ใครจ้างก็ไปแต่ใจต่างหากที่มันไม่อยากไปอยู่ที่อื่นแล้ว”
“อ้อ...แล้วนี่เดี๋ยวไปไหนต่อคะ”
“คงนั่งอยู่นี่สักพัก แล้วค่อยแวะไปที่ตึกครุฯ หน่อยน่ะ”
“ฮั่นแน่! มาหาแฟนอย่างสิงหาล่ะสิ” นาวคงจำได้แค่นั้น จำได้ว่าเมื่อก่อนสิงหากับผมตัวติดกันแค่ไหน จนกระทั่งเริ่มห่างจากกันเรื่อยๆ แต่ผมก็ไม่ได้บอกใครว่าเราเลิกกัน เพราะผมยังไม่ได้ยินคำว่าเลิกจากปากของอีกฝ่ายเลย
“ไม่ใช่หรอก”
“...”
“เขาไม่ใช่แฟนพี่แล้ว”
และถึงจะบอกหรือไม่บอกเลิก เขาก็ไม่ใช่ของผมอยู่ดี...
“แล้วพี่ภูมีแฟนใหม่ยัง”
“ยัง ยังไม่มี”
“อะไรกันพี่ออกจะดีขนาดนี้ สนใจมาจีบนาวมั้ย ฮ่าๆ” สาวเจ้าแซวเล่น ผมเลยได้แต่หัวเราะในลำคอ
“อย่าชอบคนเลวอย่างพี่เลย เพราะเดี๋ยวเราจะต้องเสียใจแน่ๆ”
“ดูพูดเข้า พี่ภูแม่งโคตรดี”
“นั่นมันเมื่อก่อน เดี๋ยวนี้ไม่ใช่แล้ว”
“ตามสบายเลยนะคะ นาวว่าจะลงไปดูปีหนึ่งข้างล่างหน่อย”
“ครับ ดีใจที่ได้เจอกัน”
“เช่นกันค่ะ”
ผมมองร่างบางเดินหันหลังจากไป ก่อนทิ้งตัวลงบนเก้าอี้เพื่อดูรูปเก่าๆ ที่เมื่อก่อนโคตรมีความสุข เชื่อมั้ย...หนึ่งในพันๆ ภาพที่แปะอยู่ตรงผนังห้อง มันยังมีใบหน้าของสิงหาเปื้อนยิ้มปะปนอยู่ในนั้น แต่ผมหาไม่เจอ เพราะถูกปิดทับด้วยรูปใหม่ๆ มากมาย
ที่นี่มักไม่แกะรูปเก่าๆ ทิ้ง นอกจากผลักมันไปสุดของกำแพง แทนที่ด้วยรูปใหม่ๆ ในแต่ละวัน ความทรงจำของเราก็เหมือนกัน ไม่มีใครลืมมันได้หรอก เรายังคงจำได้ว่าทุกอย่างเคยเกิดขึ้นหรือมีอยู่ เพียงแต่มันอาจถูกผลักไปสุดกำแพงจนมองไม่เห็นก็เท่านั้น แต่หากว่าวันไหนที่มีโอกาสได้รื้อค้น ภาพความทรงจำสีเก่าๆ ก็คงหวนกลับมาชัดเจนอีกครั้ง
ซึ่งผมคงกลายเป็นบุคคลหลังกำแพงของสิงหาไปซะแล้ว
นานมากที่นั่งจมจ่อมอยู่ในห้องสี่เหลี่ยมซึ่งเต็มไปด้วยภาพถ่าย เมื่อก่อนผมเสพงานจากเมืองนอกเยอะมาก ศิลปินหรือช่างภาพหลายๆ คนทำให้ผมทะเยอทะยานอยากเป็นและมีความก้าวหน้าในชีวิต แต่เมื่อเริ่มป่วย อารมณ์ที่ไม่สามารถควบคุมได้ก็ทำให้ทุกอย่างเปลี่ยนไป
ผมเริ่มเสพงานศิลปะเหล่านั้นน้อยลง อยู่กับธรรมชาติและบางครั้ง...ก็ไม่ทำอะไรเลย
เชื่อมั้ยว่าตั้งแต่ผมก้าวเข้ามาในห้องและพูดคุยกับรุ่นน้องในคณะ จนกระทั่งตอนนี้ผมยังไม่ขยับไปไหนเลยนอกจากนั่งอยู่ที่เดิม มันดีที่ผมไม่ได้รู้สึกเหนื่อยหรือหิว เกือบห้าชั่วโมงได้ที่นาฬิกาซึ่งแสดงเวลาบนข้อมือเอาแต่บอกว่าควรลุกจากตรงนี้และเดินหน้าต่อไปได้แล้ว
ผมตรงดิ่งไปยังคณะข้างๆ ซึ่งเป็นตึกครุศาสตร์ โครงสร้างของอาคารอยู่ในความคุ้นชินของผม เพราะตลอดสองปีก็เอาแต่เดินมาที่นี่เพื่อพบกับใครบางคน วันนี้นิสิตหลายคนเอาแต่มองมายังผม ไม่รู้ว่าตัวเองยังคงหน้าตาดีหรือทำตัวแปลกประหลาดแค่ไหนถึงได้เรียกสายตาใครหลายๆ คนได้มากขนาดนั้น
แต่ผมไม่เก็บมาคิดหรอก
“ไอ้พี่ภู...” นั่นแหละคำทักทายแรกของผมจากเพื่อนสนิทของสิงหา
มันค่อนข้างบังเอิญที่ไม่รู้ว่าการมานั่งรอใต้ตึกจะเจอกับคนตัวเล็กมั้ย แต่มันกลับดีเกินคาดเพราะเมื่อไหร่ก็ตามที่เจอเบียร์ ผมก็จะได้เจอกับใครอีกคนเช่นกัน
“ดี” เอ่ยทักทายกลับไปด้วยรอยยิ้ม
ร่างโปร่งจึงสับเท้าเข้าประชิดด้วยสีหน้าไม่ค่อยพอใจเท่าไหร่
“มาทำไม จะมาหาเรื่องสิงหาหรือทำร้ายอะไรอีก” เสียงที่เปล่งออกมาดูไม่ค่อยเป็นมิตรเท่าไหร่ ผมรู้ดี...รู้ว่าอดีตที่ผ่านมาระหว่างผมกับใครหลายๆ คนมันเลวร้ายแค่ไหน
“เปล่า แค่จะมาดูว่าตัวเล็กเป็นยังไงบ้าง”
“เฮอะ! หายไปตั้งหลายเดือน โผล่มาเพื่อถามคำถามแบบนี้เนี่ยนะ ผมจะบอกอะไรให้ ตั้งแต่ไม่มีพี่สิงหามันโคตรมีความสุขเลย”
“ก็ดีแล้ว”
“ดีแล้วก็กลับไปซะ ผมไม่อยากให้เพื่อนผมต้องมาเสียใจกับคนอย่างพี่อีก”
“แค่ขอได้เจอหน้าและพูดคุยสักหน่อยเท่านั้น”
“พี่ฝันไปเลยนะ ฝันว่าจะได้เจอเพราะผมไม่มีทางให้พี่ได้เจอมันอีก จำไว้!” เจ้าตัวชี้หน้าคาดโทษก่อนเดินผละหนีเหมือนไม่พอใจสุดขีด เดาว่าคงตั้งใจเข้าเรียนตามเพื่อนหลายๆ คนนั่นแหละ แต่แปลกที่ไม่เห็นสิงหาเดินตามเบียร์เหมือนแต่ก่อนแล้ว
นั่นทำให้ผมต้องนั่งรอคนตัวเล็กอยู่ใต้ถุนตึก เพื่อหวังว่าเราจะได้เจอกันสักนาทีก็ยังดี
สี่ชั่วโมง...
เวลาที่ผมนั่งรออยู่จุดเดิม มองดูผู้คนมากมายเดินผ่านจนรู้สึกตาลาย แต่หนึ่งในหลายร้อยคนนั้นกลับไม่มีสิงหาอยู่เลย ผมไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเขาจะไปเรียนที่ตึกอื่นอีกหรือเปล่า แต่ก็แค่หวังว่าคนตัวเล็กอาจเดินผ่านมาทางนี้เพื่อกลับบ้าน เพราะเมื่อก่อน...เขามักผ่านมาตรงนี้เสมอ
“เลิกแล้วอย่าเพิ่งกลับนะโว้ย”
“งานกลุ่มครับงานกลุ่ม”
“กรี๊ดดดดดดดดด ไม่อยากทำอ่ะ วันอื่นได้มั้ย”
“หนีงานโดนโบกนะครับเพื่อน”
เสียงอื้ออึงของนิสิตนับสิบซึ่งกำลังเดินลงมาจากบันไดด้านหลังฉุดให้ผมต้องหันไปให้ความสนใจ หลายกลุ่มเริ่มแยกย้ายระหว่างทางไปเรื่อย จนกระทั่งผมเห็นคนที่เฝ้ารอเดินมากับเพื่อนอีกกลุ่มหนึ่งและกำลังเดินตรงมายังจุดที่ผมนั่งอยู่
“สิงหามานี่ก่อน” แต่เบียร์ก็เรียกเอาไว้ ผมเลยรีบลุกขึ้นเต็มความสูงก่อนเราจะไม่มีโอกาสได้เจอกันอีก
“เบียร์มีอะไร”
เท้าของผมก้าวเร็วขึ้น รู้ตัวอีกทีก็มายืนอยู่ใกล้ๆ กับร่างเล็กแสนคุ้นตาเสียแล้ว
“พี่...” เสียงพึมพำจากริมฝีปากเล็กเอ่ย ใบหน้าหวานช้อนตาขึ้นมองผมซึ่งยืนห่างออกไปเพียงน้อยนิด แค่น้อยนิดเท่านั้น
“เดินไปทำงานกลุ่มซะ ตรงนี้กูจะเคลียร์กับไอ้พี่ภูเอง” เบียร์เลือกเบี่ยงประเด็น ด้วยรู้อยู่เต็มอกว่าไม่อยากให้เพื่อนสนิทเจอกับผมมากแค่ไหน
“ทำไมต้องเคลียร์ เรากับเขาไม่ได้รู้สึกอะไรต่อกันแล้ว เบียร์นั่นแหละแยกไปทำงานกลุ่มของตัวเองเถอะ”
“แต่พี่มัน...”
“เชื่อเรา เราไม่มีทางโง่กลับไปเป็นที่ระบายของเขาหรอก”
“...”
“เราไม่ได้รู้สึกอะไรกับคนคนนี้แล้วจริงๆ”
ทำไมฟังแล้วถึงเจ็บปวด...
ทำไมถ้อยคำเหล่านั้นถึงทิ่มแทงหัวใจ มันเป็นเพียงความรู้สึกเดียวที่ผมมักรับรู้ตอนที่ตัวเองเป็นเด็กและถูกเมินเฉยจากพ่อแท้ๆ ของตัวเอง ผมคิดว่าเขาไม่มีทางรักลูกนอกคอกที่เอาแต่สร้างปัญหา แต่ความจริงแล้วมันอาจไม่ใช่...ถึงแม้ไม่แสดงออกมา แต่คงมีสักเสี้ยวหนึ่งที่มีความห่วงใยปะปนอยู่บ้าง
ผมหวังให้เป็นอย่างนั้น สิงหาก็เหมือนกัน...
ในเสี้ยวของความเมินเฉย ผมอยากให้เขามีความรู้สึกดีหลงเหลืออยู่ในนั้นสักเปอร์เซ็นต์หนึ่ง
“งั้นก็ตามใจ ส่วนไอ้พี่ภูผมขอเตือนไว้ก่อนว่าอย่าคิดจะทำอะไรเหี้ยๆ อีก ไม่อย่างนั้นผมเอาพี่ตายแน่” คาดโทษเอาไว้ก่อนเดินแยกจากไป ที่ตรงนี้เลยเหลือผมกับคนตัวเล็ก
มันยากมากกับการเริ่มต้นทักทายกัน ยากเหลือเกินแม้แต่สมองก็ว่างเปล่า
“คะ...คือ”
พอตั้งใจเริ่มต้นบทสนทนา ร่างบางกลับย่างเท้าแยกออกไปโดยไม่คิดใส่ใจฟัง เขามาร่วมกลุ่มกับเพื่อนตรงโต๊ะไม้ตัวใหญ่ พร้อมหยิบแล็ปท็อปขึ้นมาตั้งพลางพูดคุยกับเพื่อนๆ
ผมเลยได้แต่นั่งมองอยู่ห่างๆ ไม่คิดเข้าไปกวนอะไร มันดีแล้ว...วันนี้ผมรู้ว่าชีวิตต้องทำอะไร ส่วนวันพรุ่งนี้ผมยังไม่ได้คิดเพราะบางทีอาจเลือกตามคนตัวเล็กมาที่นี่อีกก็เป็นเรื่องที่ไม่เลวเท่าไหร่
“อันนี้มั้ย เราแปลมาจากเอกสารที่อาจารย์ส่งมาทางเมล์น่ะ”
“อื้มๆ โอเค ส่งเข้ากลุ่มเลย ให้ที่เหลือแม่งทำสไลด์”
ผมดูเด็กพวกนี้ทำงานอย่างเป็นระบบ มันเพลินตาดี แต่ก็แค่ 30 นาทีแรกเท่านั้น เพราะหลังจากนั้นต่างคนก็ต่างบ่นว่าหิวเนื่องจากพระอาทิตย์เริ่มตกดินเต็มที
“ไปกินข้าวกันก่อน วันนี้ต้องทำงานกันถึงดึก” ใครคนหนึ่งแทรกขึ้น
“เออๆ เอาคอมไว้ตรงนี้แหละ”
“สิงหา...” ผมตรงดิ่งไปยังร่างเล็กซึ่งกำลังนั่งลากเมาส์อย่างตั้งอกตั้งใจอยู่
“หืม” เสียงเล็กตอบกลับมาเบาหวิว
“ไปกินข้าวกันมั้ย มื้อนี้พี่เลี้ยง”
“ไม่เป็นไรครับ”
“ยังไม่หิวเหรอ”
“เดี๋ยวพี่คินมารับครับ ถ้าคุณหิวก็ไปเถอะ” ผมได้แต่พยักหน้ารับรู้ ทิ้งตัวนั่งลงตรงจุดเดิมจนกระทั่งเห็นร่างสูงของใครอีกคนเดินเข้ามา
คนที่ตัวเล็กพูดถึงนั่นแหละ เขาไปกันได้ดี ดูจากเคมีหลายๆ อย่างที่ตรงกัน
“รอนานมั้ย” เสียงทุ้มเอ่ยถาม ขณะที่ตัวเองก็ได้แต่มองอยู่เฉยๆ โดยไม่สามารถทำอะไรได้
“ไม่นานแต่ผมหิวแล้วล่ะ”
“งั้นรีบไปเลย อ้าว! พี่ภู” รุ่นน้องคนนั้นหันมาทักทาย อาจเพราะเอาแต่สนใจสิงหาเลยลืมรายละเอียดรอบข้างไป
“ดี”
“มาทำอะไรที่นี่พี่”
“มาเที่ยวเล่นน่ะ”
“พี่คิน ผมหิวแล้วรีบไปเถอะ”
“รู้แล้วๆ ผมไปก่อนนะพี่ ไว้มีโอกาสได้ร่วมงานเราคงได้เจอกันอีก” ท้ายประโยคหันมาพูดกับผมพลางจับจูงคนตัวเล็กเดินห่างออกไปเรื่อยๆ เรื่อยๆ ขณะที่ตัวเองทำได้แค่ยิ้มแกนอยู่ลำพังเท่านั้น
ผมรับรู้ความอ้างว้างของการไม่เหลือใครถึงขีดสุดก็วันนี้ วันที่ผมไม่สามารถเดินเข้าไปหาใครเพื่อระบายเรื่องราวแสนอัดอั้นในอกได้อีก นอกจากอยู่กับตัวเองและเจ็บปวดเพียงคนเดียว
อ่านต่อด้านล่างค่ะ