◐ เธอที่ร้าย ◑ THE END
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: ◐ เธอที่ร้าย ◑ THE END  (อ่าน 744437 ครั้ง)

ออฟไลน์ Flowerrice13

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 142
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +7/-0
คือแก ฉันจะตายละแก ร้องไห้หนักมาก

ออฟไลน์ BuzZenitH

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 982
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +170/-0
นั่งอ่านในรถตู้ระหว่างกลับบ้าน ร้องไห้แบบไม่อายคนนั่งข้างๆเลย
มันทรมาน ทุรนทุราย อึดอัด ฯลฯ
อยากให้พระเอกปลดปล่อย แต่ก็สงสารนายเอก
TT หลบไปปาดน้ำมูกแปบTT

ออฟไลน์ maew189870

  • รักทุกคนนะคับ
  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 736
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +41/-4
หายไปนานเลยแฮะ

ออฟไลน์ ลัลน์ลลิน

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 1
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
สมัครยูสมาเม้นเรื่องนี้เลย TTTTTTT
ไรท์คะ เมื่อคืนนั่งอ่านตีหนึ่งถึงตี่สี่กว่าๆ
ร้องไห้ไม่หยุดจนหมอนเปียกไปหมด ไม่เคยอ่านเรื่องไหนแล้วอินขนาดนี้
นี่พิมพ์ไปก็น้ำตาคลอ ฮือ ไรท์เก่ง..เก่งกับการเขียนฉากบีบอารมณ์จริงๆ
ไรท์ต้องรับผิดชอบเรานะ เมื่อคืนร้องไห้จนตาบวม ตื่นมาตาก็บวมกว่าเก่า
ฮือออ พี่ภูต้องไม่เป็นอะไรนะ พี่ภูต้องไม่เป็นอะไร *กอด*

ออฟไลน์ lipure

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 137
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-1
อ่านแรกๆ เข้าใจว่าเนื้อหานิยายเหมือนนิยายที่พระเอกซาดิสม์ โหด โฉด ใจร้ายทั่วไป

อ่านไปๆ ชักไม่ใช่ เห้ย! มันมีดีเทล ความเป็นมาเป็นไปมากกว่าที่คิด

คนแต่งก็ บีบคั้นอารมณ์คนอ่านได้สุดยอด เข้าถึงอารมณ์ ตัวละครได้สุดๆ

เข้าใจถึงอารมณ์คนโรคจิตไบโพล่า ลุ้นตลอดเลย ว่าพระเอกมันจะฆ่าตายจริงๆไหม จะฆ่าตัวตายเมื่อไหร่ 555 (อินี่)

ถ้าอิพระเอกตาย อินายเอกจะเป็นยังไง ถ้าไม่ตายจะแฮปปี้เอนดิ้งแบบไหน คือมันลุ้นไปกับอารมณ์ตัวละคร

ป.ล. มาต่อให้จบน่ะ อย่าทิ้งเค้าไปน้า ตะเองง :really2: :really2:




ออฟไลน์ NooNaM

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 33
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
เราร้องไห้ตั้งแต่ตอนแรกเลย เรายังคิดว่านี่เราบ้ามากไปมั้ยร้องไห้เป็นวรรคเป็นเวร มันเป็นเรื่องที่ทำให้เราร้องไม่หยุดเลยล่ะ ไม่รู้ว่าจะสงสารใคมากกว่ากันดี ยังไงก็ขอให้คนแต่งมาแต่งต่อนะคะ รออ่านอยู่ค่ะ

ออฟไลน์ Jittirain12

  • เป็ดนักเขียน
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 353
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1238/-18


ตอนที่ 17

   “ครับแม่...กำลังเก็บของครับ ผมให้เบียร์มาช่วยแถมพี่คินก็ยังอาสามาช่วยย้ายอีกต่างหาก ไม่ต้องห่วงนะครับ โอเคเดือนหน้าเจอกัน คิดถึงแม่นะ”

   ผมวางสายหลังจากจบบทสนทนาทางโทรศัพท์ ต้องบอกว่าวันนี้มันค่อนข้างยุ่งนิดหน่อยก็ตรงที่ผมต้องเก็บของทั้งหมดออกจากคอนโดของผู้จัดการเพื่อย้ายเข้ามาอยู่บ้านใหม่ บ้านไม้กึ่งสตูดิโอของพี่ภูกับเพื่อน มันคงไม่ดีแน่ถ้ามัวแต่ไปๆ กลับๆ นอกจากเหนื่อยแล้ว ผมก็ยังไม่เห็นประโยชน์อะไรอีก

   “ไอ้สิงหา กระเป๋าเสื้อผ้ามึงจะเอาไว้ตรงไหน” เบียร์ถามด้วยสีหน้างอหงิก เพราะกระเป๋าเสื้อผ้าของผมค่อนข้างหนัก เราเริ่มเก็บของตั้งแต่เช้ามืด จนตอนนี้เกือบเที่ยงแล้วก็ยังไม่เสร็จสักที

   “วางไว้ตรงนี้ก็ได้ เดี๋ยวเราเอาขึ้นไปเอง”

   “มึงจะยกไหวเหรอวะ”

   “ไหวสิ แต่ตอนนี้เราไม่อยากให้ยกของอะไรขึ้นไปเกะกะข้างบนมาก”

   “นี่ก็ขนมาหมดรถแล้ว มีอะไรตกค้างอีกหรือเปล่า”

   “คิดว่าไม่นะ”

   “โอเค เฮ้ยพี่คินของขวัญอ่ะ!” จากนั้นเบียร์ก็หันไปถามรุ่นพี่ตัวสูงเสียงดัง ย้ายบ้านคราวนี้จึงต้องเก็บทุกอย่างที่เป็นสิงหาออกมาทั้งหมด แน่นอนว่ารวมไปถึงแมวอเมริกันช็อตแฮร์อย่างของขวัญด้วย เพราะมันคือสิ่งสำคัญของผมเหมือนกัน

   “อยู่ในรถ กลัวมันโดนกล่องทับตายซะก่อน”

   “งั้นเดี๋ยวเราไปอุ้มของขวัญมาเอง” ผมบอกพร้อมกับย่างเท้าออกไปนอกบ้าน แค่เห็นเจ้าขนฟูโผล่หน้ามาจากกระจกรถ ผมก็หัวเราะออกมาเสียงดัง ครั้งหนึ่งมันเคยอยู่บ้านหลังนี้ บ้านที่มีพ่อชื่อภูผา และคราวนี้เราทั้งคู่ก็ได้กลับมาอีกครั้ง

   “เป็นไงบ้าง คิดถึงที่นี่มั้ย” สองมือช้อนร่างแมวอ้วนเข้ามาในอ้อมกอดและเอ่ยถามมันด้วยความตื่นเต้น

   ถ้าของขวัญพูดได้มันคงจะตอบว่า...คิดถึงเหมือนกัน

   “สิงหา เดี๋ยวพี่ไปก่อนนะ พอดีโดนผู้จัดการตามอีกแล้ว” พี่คินหันมาบอกผม

   “อ้าวไม่กินข้าวกันก่อนเหรอครับ”

   “ไม่ล่ะ คราวนี้รีบจริงๆ”

   “แล้วเบียร์ล่ะ” หันไปถามเพื่อนสนิทที่ทิ้งตัวหมดสภาพอยู่บนโซฟา แต่ยังพอมีเรี่ยวแรงปรือตาขึ้นมามองและตอบคำถามอยู่

   “กลับพร้อมไอ้พี่คินนั่นแหละ กะนอนถึงเช้าแม่งเลย” เบียร์ก็คือเบียร์ เคยเป็นยังไงก็ยังคงเป็นแบบนั้น ผมไม่ได้ขัดอะไรทั้งคู่ นอกจากเดินไปส่งพวกเขาหน้าบ้าน มองดูสองร่างแทรกตัวเข้าไปในรถและขับออกไป โดยที่ผมได้แต่อุ้มของขวัญพลางโบกมือไปมา

   ขอบคุณครับ สำหรับทุกอย่างที่มอบให้ผม

   เท้าสองข้างเดินกลับเข้ามาในตัวบ้าน แค่กวาดตามองก็อยากจะทรุดตัวเป็นลมเสียตรงนี้ เพราะข้าวของหลายอย่างยังไม่เข้าที่มากนัก ส่วนใหญ่ก็เป็นพวกของจุกจิกซะมากกว่า ยิ่งเป็นเสื้อผ้าด้วยแล้วคงต้องใช้เวลาจัดอีกนาน ดังนั้นผมจึงเลือกที่จะไม่ทำตอนนี้

   ผมอุ้มของขวัญเดินขึ้นบันไดไปยังชั้นสอง วางเจ้าแมวอ้วนที่หลับอุตุอยู่ในอ้อมแขนลงบนฟูกนอนเล็กๆ และเทอาหารเอาไว้ให้ ประจวบกับมีใครคนหนึ่งเดินออกมาจากห้องนอนใหญ่พอดี

   “ขนของหมดแล้วเหรอจ๊ะ” เธอถาม

   “ครับ ข้างในเรียบร้อยดีมั้ยครับ”

   “เรียบร้อยจ้ะ”

   เธอชื่อป้าจันทร์ เป็นแม่บ้านวัย 43 ที่มีรอยยิ้มเปื้อนอยู่บนใบหน้าเสมอ คอยดูแลทุกอย่างในบ้านทั้งเรื่องอาหารการกินและการดูแล เรียกได้ว่า...ป้าคือครอบครัว

   “สิงหาอยากกินอะไรเป็นพิเศษหรือเปล่า เดี๋ยวป้าจะลงไปเตรียมให้”

   “ไม่เป็นไรครับ กับข้าวเมื่อตอนเช้ายังพอมีอยู่ ตอนนี้ป้าลงไปกินข้าวเที่ยงก่อนเถอะครับเดี๋ยวโรคกระเพาะจะถามหาเอา”

   “ได้จ้า มีอะไรเรียกป้าได้ตลอดนะ”

   ผมพยักหน้ารับรู้ มองดูคนอายุมากกว่าก้าวลงบันไดอย่างเงียบเชียบ ส่วนตัวเองก็ตรงดิ่งไปยังห้องนอนใหญ่ซึ่งมีประตูสีขาวกั้นอยู่ สองมือหมุนลูกบิดเบาๆ พยายามทำทุกอย่างให้เงียบที่สุด

   แกร็ก!

   เพราะคิดว่า...

   “ยังไม่หลับเหรอครับ”

   ใครอีกคนคงจะหลับไปแล้ว แต่เปล่า เขาเล่นจ้องผมไม่คลาดสายตาเลยต่างหาก

   “วันนี้เหนื่อยมากเลย ไม่คิดว่าย้ายบ้านทั้งทีจะวุ่นวายขนาดนี้” ว่าพลางเดินตรงไปยังข้างเตียง ก่อนจะทิ้งตัวลงบนเก้าอี้เตี้ยๆ ซบหน้าลงกับฝ่ามือของใครอีกคน

   มือของเขาอุ่นมาก

   ใช่ คนที่นอนอยู่บนเตียงคือพี่ภู ภูผาคนเดิมที่ผมรักหัวปักหัวปำ เมื่อเดือนก่อนเขาหยุดหายใจ...วินาทีนั้นเหมือนโลกทั้งใบของผมถล่มลงไปต่อหน้าต่อตา ผมพยายามอย่างมากไม่ให้ตัวเองร้องไห้ แต่กลับพบว่าความจริงแล้วผมฟูมฟายเกินกว่าจะควบคุมตัวเองอยู่

   หมอและพยาบาลกรูเข้าไปหาคนตัวสูง ที่เตียงของพี่มีแต่ความวุ่นวาย เขาพยายามช่วยยื้อชีวิตพี่จนชีพจรกลับมาเต้นอีกครั้ง และหลังจากนั้นผมก็ไม่เคยปล่อยให้พี่คลาดสายตาอีกเลย เราระมัดระวังทุกอย่าง ล้างมือจนแทบเปื่อยก่อนจะเข้าเยี่ยมได้แต่ละครั้ง ผมดีใจที่สุดท้ายเขาก็ไม่ได้หายไปไหน เขายังอยู่ตรงนี้ อยู่ด้วยกัน...

   “พี่ดีใจมั้ยที่ได้กลับบ้าน” เขานอนอยู่โรงพยาบาลเกือบสองเดือน ที่นั่นอึดอัดและหายใจไม่ค่อยสะดวกเท่าไหร่ วันนี้พออาการดีขึ้น หมอจึงอนุญาตให้กลับบ้านได้

   ใบหน้าซูบผอมหลับตาพริ้ม พี่ยิ้ม ยิ้มอย่างที่คนมีความสุขคนหนึ่งจะแสดงออกมาได้

   ครอบครัวของพี่ภูตัดสินใจรับผิดชอบชีวิตลูกชายคนเล็กด้วยการส่งแม่บ้านอย่างป้าจันทร์มาดูแล ผมไม่รู้หรอกว่าเขาจะแวะมาเยี่ยมเยียนพี่บ่อยแค่ไหน ผมไม่อยากแคร์ด้วยซ้ำว่าใครจะสนใจเขาหรือเปล่า ผมสนแค่วันนี้เราได้อยู่ด้วยกัน พูดคุยกัน และยิ้มให้กันเหมือนทุกวันเท่านั้น

   รู้ดีว่าการหลงลืมหลีกเลี่ยงไม่ได้

   ดังนั้นผมขอสัญญา...ตราบใดที่ยังมีชีวิตอยู่ ผมจะไม่มีวันทิ้งเขา

   พี่พูดไม่ได้ เดินไม่ได้ แค่ขยับตัวก็ทำได้ยากลำบาก เขาไม่ได้เป็นอัมพาต หมอก็บอกว่าไม่! แค่ต้องรอเวลาให้สมองและเซลล์ประสาทได้รับการฟื้นฟูหลังประสบอุบัติเหตุเท่านั้น ผมรู้ว่าเขาต้องสู้อยู่แล้ว เพราะหลายครั้งหลายคราพี่พยายามอย่างมากเพื่อมีชีวิตอยู่ ดังนั้นความพยายามของเขาจะไม่มีวันเปล่าประโยชน์

   พี่ภูต้องได้รับการทำกายภาพบำบัดทุกวัน แน่นอนว่าผมต้องคอยช่วยเหลือเขา ป้าจันทร์ก็ด้วยเพราะเธอเคยเป็นพยาบาลมาก่อน ควบคู่กับการให้ยารักษาอาการซึมเศร้าที่ยังไม่หาย ยอมรับว่าเหมือนเป็นเรื่องเหนื่อย แต่ต่อให้เหนื่อยแค่ไหนผมก็เต็มใจที่จะทำ

   เพราะพี่กลับมาแล้ว เราจึงต้องเข้มแข็ง

   “ของขวัญก็มาอยู่ที่นี่แล้ว ตอนนี้นอนหลับอยู่ห้องข้างๆ ไว้ผมจะพามันมาหานะ” เขาหลับตาเป็นการรับรู้กรายๆ

   ร่างสูงไม่ต้องใช้เครื่องช่วยหายใจหรือให้อาหารทางสายยางแล้ว เพราะเขาสามารถเคี้ยวและกลืนมันได้แม้จะลำบากอยู่สักหน่อย

   “เจ็บตรงไหนหรือนอนไม่สบายสะกิดผมนะ”

“...” อีกฝ่ายกะพริบตาเป็นคำตอบ

   “พี่ง่วงหรือยัง”

   เจ้าตัวพยักหน้าเบาๆ

   “งั้นก็หลับเถอะครับ ไว้ถ้าพี่ตื่นขึ้นมาผมจะทำกับข้าวอร่อยๆ ไว้รอ” ผมลูบหลังมือคนป่วยไปมา รอคอยให้เปลือกตาของอีกฝ่ายปิดลงและหลับไป โดยที่ตัวเองก็ไม่คิดลุกไปไหน

   ผมก็แค่อยากนั่งมองพี่อยู่ตรงนี้ มองโดยไม่กวนใจ เผื่อตอนไหนที่เขาฝันร้ายขึ้นมาผมจะยังสามารถปลอบใจเขาได้เหมือนทุกที พี่รู้ พี่รู้อยู่แล้ว...

   นอกจากแม่กับของขวัญ ก็มีผู้ชายชื่อภูผาเนี่ยแหละที่เป็นลมหายใจของผม

   ดึกแล้ว...ป้าจันทร์เข้านอนหลังจากเช็ดตัวและป้อนข้าวให้พี่เสร็จ เราสลับกันดูแลพี่ภูไปเรื่อยๆ ถ้าใครเหนื่อยก็แค่พัก ของใช้บางอย่างที่ขนมากองไว้ตรงห้องนั่งเล่นด้านล่างยังไม่ถูกเก็บให้เข้าที่ ผมรีบปลีกวิเวกด้วยการอาบน้ำแต่งตัวและเดินเข้าไปยังห้องนอนใหญ่อย่างที่ตั้งใจ

   กายสูงนอนราบอยู่บนเตียงในชุดนอนสีขาว กะพริบตาปริบมองฝ้าเพดานด้วยสีหน้าเรียบเฉย ผมรู้ว่าเขาคงจะเบื่อมาก ดังนั้นเราจึงต้องหากิจกรรมไว้ทำร่วมกัน นั่นคือการพูด

   ผมพูดส่วนเขาก็ฟัง...

   ภูผาเป็นผู้ฟังที่ดีเสมอ

   “ง่วงมั้ยครับ”

   “...” อีกฝ่ายเลือกส่ายหน้า ผมก้มมองฝ่ามือและเรียวนิ้วที่กำลังกระดิกไปมาเบาๆ ก่อนตัดสินใจพูดประโยคหนึ่ง   





“เล็บยาวแล้ว ตัดหน่อยมั้ย”

   เจ้าตัวพยักหน้าหงึกหงัก ผมจึงเดินไปหยิบกรรไกรตัดเล็บพ่วงด้วยครีมบำรุงผิวตรงตู้กระจก ก่อนกลับมานั่งใกล้ๆ กับร่างสูงเหมือนเดิม

“เนี่ย ต่อไปพี่ต้องจับกล้องบ่อยๆ เพราะงั้นต้องดูแลมือด้วยนะครับ” ในใจได้แต่ภาวนาว่าสักวันเขาจะหายดี สักวันเขาจะแข็งแรงพอที่จะกลับไปทำในสิ่งที่รักนั่นคือการถ่ายรูป หน้าที่ของผมคือดูแลและรอคอยวันที่พี่สามารถกลับมาทำทุกอย่างได้ด้วยตัวเองอีกครั้ง

               ผมค่อยๆ ตัดเล็บให้เขา พยายามอย่างมากไม่ให้เข้าเนื้อเพราะพี่จะเจ็บ เล็บเท้าก็เหมือนกัน เนื่องจากป่วยและนอนโรงพยาบาลนับเดือน เท้าของพี่เลยสะอาดเพราะไม่เคยสัมผัสพื้นมาก่อน เสียงกรรไกรตัดเล็บดังเบาๆ ทำลายความเงียบ เราเหมือนอยู่ในห้วงอะไรก็ไม่รู้ที่อยู่กึ่งกลางระหว่างความสุขและความเศร้า

อยากขอโทษนับพันครั้งที่ทำให้พี่ต้องทรมาน แต่ผมคงอยู่ไม่ได้ถ้าไม่มีเขา สายตาที่มองตรงหน้าค่อยๆ พร่าเบลอ ผมเหมือนจะร้องไห้แต่ก็ต้องอดกลั้นเอาไว้ไม่ให้พี่รับรู้ เขาเหนื่อยมามากพอแล้ว เพราะฉะนั้นผมถึงต้องฝืนทำตัวให้ร่าเริงตลอดเวลา

พี่ไม่เคยเป็นภาระ พี่ไม่เคยเป็น และผมต้องทำทุกอย่างเพื่อไม่ให้เสี้ยวหนึ่งในหัวของเขามีความคิดแบบนี้

“ผมมีเรื่องจะเล่าให้ฟัง”

“...”

“เดือนหน้าจะมีงานบอลแล้วนะครับ จำได้ว่าเราเจอกันครั้งแรกที่นั่น และพี่ก็หล่อมากๆ ด้วย” ใบหน้าซูบซีดฉีกยิ้มเล็กน้อย เชื่อว่าคนตัวสูงคงพยายามจินตนาการกลับไปในช่วงเวลาดังกล่าวอยู่

ภูผาในตอนนั้นมีรอยยิ้มสดใสเหมือนตอนนี้เลย

“คงจะดีถ้าเราได้ไปที่นั่นด้วยกันอีก”

“...”

“เราสองคนใส่เสื้อสีชมพู ผมมองดูปีหนึ่งขึ้นสแตนด์ ส่วนพี่ก็ยืนถ่ายรูปแปรอักษรจากอีกฝั่งของสนาม” ผมยังคงตั้งหน้าตั้งตาตัดเล็บเท้าให้อีกฝ่ายอยู่ แต่ก็จะเงยหน้าขึ้นมาสบตากับเขาเป็นครั้งคราวจนกระทั่งเสร็จ

   “อย่าดูถูกผมล่ะ ผมพาพี่ไปได้แน่นอน” ผมเดินกลับมานั่งข้างๆ คนตัวสูง จ้องมองสายตาของเขาด้วยความจริงจัง อย่างน้อยมันก็คือเป้าหมายในปีนี้ของเรา เป้าหมายที่เราจะค่อยๆ ทำมันไปด้วยกัน

   “...”

   “จริงๆ นะ มาทำเป็นขมวดคิ้วไม่เชื่ออีก”

   “...”

   “เกี่ยวก้อยเลยก็ได้อ่ะ งานบอลปีนี้ผมจะพาพี่ไปที่นั่น” ไม่พูดเปล่า ผมถือวิสาสะเกี่ยวก้อยกับเขาเป็นคำสัญญา พี่ภูกะพริบตาช้าๆ รับรู้ทุกอย่างที่ต้องการสื่อสาร มันก็ไม่ได้ยากอะไรหรอก ที่ไหนมีผมที่นั่นจะมีพี่ เมื่อไหร่ก็ตามที่ผมมีความสุข คนที่อยู่เคียงข้างอย่างพี่ก็ต้องรู้สึกไม่ต่างกัน

   เราเป็นครอบครัวกันแล้วนะ ผมเป็นของพี่นับตั้งแต่วันนั้น ดังนั้นพี่เองก็เหมือนกัน...

   “ทาครีมที่มือหน่อยนะ ผมไม่อยากจะบอกเลยว่ามือพี่นิ่มกว่าผมอีก น่าอิจฉาชะมัด” เจ้าตัวทำท่าเหมือนจะหัวเราะ แต่ติดที่เขาไม่สามารถทำได้มากอย่างที่คิด เพราะยังจุกเสียดที่หน้าอกอยู่ ดีหน่อยที่อาการบาดเจ็บตรงส่วนอื่นๆ ของร่างกาย ทุเลาลงบ้างแล้ว จะเหลือก็แต่เฝือกที่ดามขาข้างขวาเอาไว้อย่างเดียว

   “ผมอ่านหนังสือให้พี่ฟังเอามั้ย”

   เขาส่ายหัว

   “เบื่อแล้วเหรอ สงสัยคงจะอ่านให้ฟังบ่อยไปหน่อย งั้น...ฟังชีวิตของผมในมหา’ลัยดีมั้ยครับ”

   “...”

   “โอเค ยิ้มอย่างนี้คืออยากฟัง ก็เมื่อวานใช่มั้ย อาจารย์สั่งงานให้นิสิตทำแผนการสอนเต็มรูปแบบมา ตอนแรกก็ไม่อะไรมาก แต่พอได้ยินว่าอยากให้มีกิจกรรมในห้องเรียนเพื่อให้เด็กสนใจเท่านั้นแหละ ผมนี่อึ้งไปเลย...หน้าอย่างผมเนี่ยนะจะทำให้เด็กสนใจ ฮ่าๆ”

   ชีวิตประจำวันของเราไม่ได้เศร้า แม้เรื่องที่ผ่านมามันจะเลวร้ายแค่ไหนก็ตาม แต่เมื่อมันมาเป็นบทสนทนาระหว่างเรา มันจะกลายเป็นเรื่องเล็กๆ ที่ทำให้หัวเราะได้เสมอ

   พี่ภู...ผมไม่เคยท้ออะไรเลยนับตั้งแต่วันที่พี่จับมือกับผมและสัญญาว่าจะมีชีวิตอยู่เพื่อกันและกัน





   Happy Birthday to you…
   Happy Birthday to you…Happy Birthday to my lover
   Happy Birthday to you

   “สุขสันต์วันเกิดครับพี่” ร่างสูงซึ่งกำลังนั่งพิงหัวเตียงจ้องมองแสงเทียนบนเค้กวันเกิดท่ามกลางความมืด ปีนี้...ภูผาอายุ 24 แล้ว และมันพิเศษมากๆ ตรงที่เราได้อยู่ฉลองด้วยกันสองคน รอยยิ้มที่แต่งแต้มบนใบหน้าหล่อเหลา ร่างกายที่ดูมีน้ำมีนวลขึ้น ล้วนเป็นสัญญาณที่ดีสำหรับวันต่อๆ ไป

   “อธิษฐานสิครับ แล้วเรามาเป่าเทียนด้วยกันนะ”

   เจ้าตัวพยักหน้าเข้าใจ เปลือกตาสองข้างปิดลงคล้ายกำลังขอพรอยู่ ส่วนผมก็เช่นกัน เราอวยพรเพื่อกันและกันในวันสำคัญวันนี้

   ผมไม่ได้อยากขออะไรมาก แค่หวังว่าเขาจะมีความสุขก็พอ

   “เป่าเทียนได้เลย” ว่าพลางยื่นหน้าเข้าไปใกล้ๆ และช่วยอีกฝ่ายเป่าเทียนจนดับลงก่อนจะวางไว้บนโต๊ะใกล้มือ

   ความมืดปกคลุมทั่วพื้นที่ ผมมองไม่เห็นอะไรเลย แต่ก็อดแปลกใจตัวเองไม่ได้เหมือนกันว่าทำไมถึงไม่เดินไปเปิดไฟ อาจเพราะตอนนี้ผมกำลังกอดเขาอยู่ล่ะมั้ง กอดที่อบอุ่นเหมือนที่ผมเคยได้รับมาตลอด ผมซบหน้าลงกับอกกว้าง พูดด้วยน้ำเสียงอู้อี้ฟังแทบไม่ได้ศัพท์

   “ผมอยากเป็นครู พี่อยากเป็นช่างภาพมืออาชีพ ผมอยากมีบ้านเป็นของตัวเอง ส่วนพี่ก็มีสตูดิโอกึ่งบ้าน”

   “...”

   “ผมย้ายเข้ามาอยู่ที่นี่เพราะผมอยากมีบ้าน ผมย้ายเข้ามาอยู่ที่นี่เพราะผมอยากมีพี่”

   “...”

   “และผม...มีความสุขดี มีความสุขดีแม้จะอยู่ที่เดิม ตอนนี้พี่แค่เหนื่อยเราถึงยังไม่ได้เดินทาง แต่เมื่อไหร่ที่พี่แข็งแรงพอบอกผมนะ จูงมือผมไป อย่าทิ้งผมไว้อยู่ตรงนี้ อย่าทิ้งผมไว้คนเดียว”

เพราะผมคงทนไม่ได้อีกแล้ว

   มันจะไม่มีวันที่เราทอดทิ้งกัน ตอนนี้ชีวิตผมมีแล้วทุกๆ อย่าง มีคนข้างกายที่คอยห่วงใยอยู่เสมอ มีแม่ มีเพื่อน มีภูผา แต่สำหรับเขา...เขาไม่เหลือใครนอกจากผม ในหัวมันมีแต่คำถามว่าทำไม ทำไมซ้ำๆ ไม่จบสิ้น ทำไมคนะคนหนึ่งถึงต้องถูกคนทั้งโลกละทิ้ง ทำไมคนคนหนึ่งที่อายุแค่ 24 ถึงต้องเผชิญกับเรื่องเลวร้าย มันไม่เร็วเกินไปหน่อยเหรอกับชีวิตที่ใช้ได้ไม่ถึงครึ่งและน้อยครั้งที่จะรู้จักคำว่าความสุข

   “ผมคิดแพลนเอาไว้มากมายว่าถ้าพี่หายดีเราจะทำอะไรบ้าง อย่างแรกเลยก็คงชวนพี่ไปต่างจังหวัดเพื่อถ่ายภาพพระอาทิตย์ตกดิน นอนดูดาวด้วยกันในที่ไหนสักแห่งก่อนจะเดินเท้าเปล่ากลับที่พัก จากนั้นเราก็จะขับรถไปเรื่อยๆ แวะกินอาหารข้างทาง พูดคุยกับผู้คนตลอดเส้นทางนั้น ร้องเพลง ดื่มกาแฟกระป๋องและสัมผัสหมอก”

   “...”

   “พอกลับมาถึงบ้านเราก็ต้องช่วยกันทำความสะอาด ป้าจันทร์แก่แล้วเพราะงั้นพี่ต้องกวาดพื้น ส่วนผมจะอาสาถูพื้นและซักผ้าเอง ว่างๆ เราก็ไปดูหนัง ผมขอที่นั่งแบบ Opera chair เลยนะเผื่อพี่อยากแสดงความป๋า ดูเรื่อง Inferno ด้วยกันเพราะปีหน้ามันคงจะเข้าฉายแล้ว”

   ผมได้ยินเสียงหายใจติดขัดจากคนตัวสูง เสียงหายใจที่กำลังบ่งบอกว่าเขากำลังร้องไห้อยู่ ผมเงยหน้ามองอีกฝ่ายท่ามกลางความมืดแม้จะมองไม่เห็นอะไรเลยก็ตาม

   “ของขวัญวันเกิดปีนี้คือผมที่ยกให้พี่ทั้งหมด สุขสันต์วันเกิดครับ” ริมฝีปากของเราสัมผัสกันโดยที่ผมเป็นฝ่ายประกบจูบก่อน มันหวานจนกลบหยดน้ำตาที่กำลังไหลลงมาไม่ขาดสาย เราไม่ได้ร้องไห้เสียใจที่ชีวิตเป็นแบบนี้ แต่เราดีใจที่สุดท้ายไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นเรายังคงมีกันและกัน

   “ผมกลัวผีมากเลย เพราะงั้นขอผมนอนด้วยคนนะครับ”

   ไม่รู้หรอกว่าพี่ภูจะตอบรับหรือปฏิเสธ เพราะสุดท้ายผมก็ยังคิดเข้าข้างตัวเองอยู่ดี ปกติเราจะนอนคนละเตียงภายในห้องเดียวกัน แต่คืนนี้ผมนอนกับเขา เรานอนเตียงเดียวกัน ได้จับมือ ซบหน้าลงกับอกกว้าง

   ...และหลับไปพร้อมกัน...

   เค้กคงไม่สำคัญแล้วสินะ เพราะมันก็แค่ตัวประกอบ

   ขอให้ภูผามีความสุข ตลอดไป...








เย็นวันนี้ผมต้องทำกายภาพบำบัดให้พี่หลังกลับจากมหา’ลัย ซึ่งมันกลายเป็นกิจวัตรประจำวันของเราทั้งคู่ ป้าจันทร์บอกว่าวันนี้พี่ไม่อิดออดที่จะกินยา หลังจากวันเกิดเมื่อวานเขาก็ดูเป็นเด็กดีขึ้น ผมขอใช้คำว่าเด็กดีเพราะพี่เป็นแบบนั้นจริงๆ

   “วันนี้เรามาทำกายภาพบำบัดกัน พร้อมหรือยังครับ”

   ร่างสูงกะพริบตาปริบ กระดิกนิ้วมือไปมาเพื่อพร้อมสำหรับการบริหารร่างกาย ผมวางลูกบอลเอาไว้ในมือของพี่ ก่อนจะหันไปจับเข่าของเขาพับขึ้นลงตามวิธีที่หมอได้บอกเอาไว้

   “เราฝึกไปเรื่อยๆ อีกหน่อยพี่ก็จะเดินได้แล้ว”

   “...”

   “เดี๋ยวถ้าวันนี้เราทำกายภาพบำบัดกันเสร็จ ผมจะพาลงไปกินข้าวและอ่านหนังสือข้างล่างนะ” เรายังคงเหมือนทุกวัน พูดคุยและถามสารทุกข์สุขดิบ แม้จะไม่มีคำพูดหลุดออกมาจากปากของพี่แม้แต่คำเดียว แต่คิดว่ามันก็เพียงพอแล้วสำหรับตอนนี้

   คนเราจะต้องการอะไรมากไปกว่าเสียงหัวเราะและรอยยิ้มในวันนี้ล่ะ

   ผมเช็ดตัวให้พี่ภู เปลี่ยนเสื้อผ้าให้เขาก่อนจะพาลงไปด้านล่างโดยขอให้ป้าจันทร์มาช่วยพยุง เนื่องจากพี่ภูนอนอยู่บนเตียงมานาน ประกอบร่างกายของเขาแข็งแรงมากพอผมจึงพาออกมาที่ห้องนั่งเล่นชั้นล่างได้

หน้าที่ของผมในแต่ละวันก็ไม่มีอะไรมากหรอก เช็ดตัว ป้อนข้าว บางทีป้าก็จะทำแทนทั้งหมดในวันที่ผมรับงานจนดึก กลับมาอีกทีพี่ก็นอนไปแล้ว แต่ยังดีที่เรายังได้นอนบนเตียงเดียวกัน

   “กินข้าวกันครับ ความจริงผมอยากร้องเพลงให้พี่ฟังไปด้วยนะแต่ก็กลัวหูจะแตกซะก่อน” ทันทีที่พาคนตัวสูงมานั่งตรงโซฟา ป้าจันทร์ก็เตรียมกับข้าวมาไว้ให้เรียบร้อย

   “พี่ครับ”

   “...”

   “อยากออกไปเที่ยวข้างนอกมั้ย” ดวงตาคู่เดิมหันมาจ้องผมเขม็ง พลางบีบมือของผมไปด้วย

   “...”

   “ผมคิดว่าจะซื้อรถสักคันหนึ่งไว้ขับพาพี่ออกไปเที่ยวไกลๆ ถึงตอนนั้นเราไม่ต้องฝันอย่างเดียวแล้ว เที่ยวทะเล ดูพระอาทิตย์ตกดิน แวะกินข้าวข้างทาง...” ยิ่งพูดพี่ก็ยิ่งบีบมือกลับแรง ริมฝีปากเหยียดตรงเผยอยิ้มอย่างคาดไม่ถึง ผมชอบช่วงเวลานี้ ชอบตอนที่เขายิ้มออกมาจากข้างในเพราะมันบ่งบอกว่าเขามีความสุขมากจริงๆ

   ข้างตัวของผมมักจะมีกล้องฟิล์มตัวโปรดของพี่วางอยู่ใกล้ๆ เสมอ เอาไว้เก็บบันทึกความทรงจำระหว่างเราตอนที่การบรรยายด้วยตัวหนังสือไม่สามารถบันทึกได้ อย่างรอยยิ้มของพี่ในวันนี้...ไม่สามารถเขียนบรรยายให้เข้าใจได้นอกจาก

   แชะ!

   “ผมชอบยิ้มของพี่ที่สุดเลย เพราะงั้นพรุ่งนี้ผมมีของขวัญจะให้”

   “...”

   “เราไปดื่มกาแฟใกล้ๆ บ้านของเรากันเถอะ”

   พี่ภูพยักหน้าหงึกหงักและตั้งใจทานอาหารที่ผมป้อนให้ต่อไป เขาเหมือนกลับไปเป็นเด็กอีกครั้ง เวลาที่พ่อแม่ซื้อของเล่นให้ก็จะกระโดดโลดเต้นดีใจ พี่เป็นอย่างนั้นเลย

   ผมเป็นให้ได้ทั้งหมดไม่ว่าจะครอบครัว เพื่อน หรือคนรัก สำหรับพี่ผมเป็นทุกอย่างให้เขาได้เสมอ...

   พรุ่งนี้เราไปดื่มกาแฟด้วยกันนะ


อ่านต่อด้านล่างค่ะ

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 04-03-2022 17:18:45 โดย Jittirain12 »

ออฟไลน์ Jittirain12

  • เป็ดนักเขียน
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 353
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1238/-18


เย็นวันศุกร์เป็นวันที่ผมรู้สึกสบายใจที่สุด หนึ่ง คือพรุ่งนี้ไม่ต้องไปเรียน และสอง นี่เป็นวันหยุดที่ผมจะไม่รับงานอะไรทั้งนั้นตลอดสัปดาห์ เพราะคิดว่าจะใช้ชีวิตกับคนตัวสูงให้มากที่สุด อย่างน้อยก็เป็นช่วงเก็บความสุขเอาไว้ ก่อนที่ผมจะต้องทำงานหนักในสัปดาห์ถัดไปแล้วไม่มีเวลาพาพี่ไปเที่ยวที่ไหน

   ร่างสูงถูกพยุงมานั่งตรงวิลแชร์ตัวเดิม นี่เป็นครั้งแรกที่เท้าของเขาได้สัมผัสกับพื้นสนามหญ้า ดูทุลักทุเลไปบ้างแต่ก็ตลกดี เวลาที่เห็นเขากัดฟันและตั้งใจทำอะไรสักอย่าง

   สองเท้าค่อยๆ ก้าวไปข้างหน้าอย่างเชื่องช้า ถึงแม้ว่ากายสูงจะเคลื่อนที่ไปได้เพราะแรงพยุงของผมกับป้าก็ตาม

    “เดินช้าก็ไม่เป็นไร ผมขอแค่พี่ได้เดินนานๆ ก็พอ”

   ให้เท้าของเขาสัมผัสดิน ให้ร่างกายของเขาได้เคลื่อนไหว ได้สูดอากาศภายนอกที่สดชื่นกว่าบรรยากาศภายในบ้านอาจจะช่วยให้อาการของพี่ฟื้นฟูเร็วขึ้นก็ได้

   “รอก่อนนะครับ เดี๋ยวผมขอกลับไปอุ้มตัวอ้วนออกมาก่อน” ร่างสูงพยักหน้า ก่อนผมจะเบี่ยงตัววิ่งกลับเข้าไปภายในบ้านซึ่งมีแมวอเมริกันช็อตแฮร์นั่งหน้ายุ่งอยู่บนโซฟา ของขวัญเองก็คงเบื่อพอๆ กับพี่ ดังนั้นผมจึงไม่รอช้าพามันออกไปด้วย

   “ขอบคุณครับป้าจันทร์”

   “อย่ากลับค่ำนะคะ เดี๋ยวยุงจะหามเอา”

   “ได้ครับ” ของขวัญนั่งสงบเสงี่ยมบนตักของพี่ ทันทีที่เราเดินออกนอกรั้วบ้าน พี่ภูก็มีปฏิกิริยาตอบกลับมาทันทีนั่นคือความดีใจ เวลาสองเดือนกว่าๆ มากเกินพอแล้วสำหรับความอึดอัดในที่แห่งเดิม

   สำหรับผม ภาพในหัวตอนนี้มันไม่ใช่ผู้ชายคนหนึ่งซึ่งกำลังนั่งอยู่บนวิลแชร์ แต่เป็นพี่...พี่ที่เดินเคียงข้างไปกับผม เราเดินไปด้วยกัน

   บทสนทนาของเราเกิดขึ้นตลอดทางเดินไปร้าน ความจริงมันก็ห่างจากบ้านของเราไปแค่ร้อยเมตรเท่านั้นแหละ ผมเลยต้องเดินให้ช้าลงเพื่อที่เราจะได้คุยกันให้นานขึ้น

   นับตั้งแต่วันนั้น ครอบครัวของพี่ก็ไม่เคยมาเยี่ยมอีก จะมีก็แต่เพื่อนสมัยเรียนนิเทศฯ กับเบียร์เพื่อนสนิทของผมแวะเวียนมาบ้าง ความจริงผมเคยมีความคิดว่าแค่ผมก็คงเพียงพอแล้วสำหรับเขา ผมที่พร้อมจะเป็นและมอบทุกอย่างให้ แต่ไม่เลย...พี่ยังคงต้องการครอบครัว

   อย่างน้อยก็ขอแค่ให้พวกเขาแวะมาทักทายและถามไถ่ความเป็นไปในชีวิตบ้าง

   แค่ 10 นาทีก็ยังดี...

   ผู้ชายคนหนึ่งที่อายุ 24 ช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ พูดไม่ได้ แถมยังเผชิญกับสภาวะซึมเศร้า เขาต้องการอะไรมากกว่านั้น ต้องการกำลังใจ ต้องการคนเคียงข้าง ผมไม่อยากจะคิดย้อนกลับไปในช่วงเวลาที่เขาต้องอยู่เพียงลำพังตอนเราต่างแยกย้ายกันไปเลย ช่วงเวลานั้นพี่อดทนผ่านมันมาได้ยังไง

   แล้วถ้าผมเป็นบ้างจะทนแบบพี่ได้มั้ย

ภูผา ชื่อที่แข็งแกร่งที่สุดในความทรงจำของผม

“ถึงแล้ว วันนี้ลูกค้าไม่เยอะเรานั่งตรงนี้แล้วกันนะครับ เดี๋ยวผมไปสั่งเครื่องดื่มก่อน” เมื่อเดินไปถึงหน้าเคาน์เตอร์ พนักงานที่ร้านก็ทักทายเหมือนทุกที เขาชอบถามว่าทำไมช่วงนี้ไม่แวะมาที่ร้านบ้าง ความจริงก็อยากมาอยู่หรอก แต่เพราะพี่ภูยังไม่แข็งแรงพอจึงไม่ได้มาอย่างใจคิด

ผมจัดการสั่งเครื่องดื่มสองอย่างก่อนจะเดินกลับมาจุดเดิม หยิบมือถือขึ้นมาเปิดเว็บไซต์หนึ่งให้พี่ดู ผมเคยบอกไว้แล้วว่าจะซื้อรถสำหรับพาคนตัวสูงไปเที่ยว ผมจะฝึกขับเอง เดินทางไปในที่ไกลๆ และมีแค่เราสองคนในโลกแห่งนั้น

   “พี่อยากได้คันไหนเป็นพิเศษหรือเปล่า”

   นอกจากกล้องแล้วเขาก็มีความรู้เรื่องรถเหมือนกัน

   “คันนี้มั้ย หรือจะคันนี้ แต่พี่คินบอกว่ามันไม่ค่อยเหมาะกับเราเท่าไหร่” นิ้วของผมเลื่อนไปบนหน้าจอโทรศัพท์ ส่วนคนตัวสูงก็มองอย่างตั้งใจ ทว่ายังไม่มีท่าทีว่าจะสนใจคันไหนเป็นพิเศษ

   บางทีรถอาจจะสำคัญน้อยกว่าการลูบขนแมวอย่างเก้ๆ กังๆ

   “หรือว่าจะคันนี้”

   “...”

   “ไม่เวิร์คเหรอครับ กลัวถ้าเปลี่ยนเป็นโฟล์คเก่าๆ สักคันมันจะพาเราไปถึงจุดหมายมั้ยอ่ะ”

   ผมเงยหน้ามองเขา เห็นใบหน้าหล่อเหลาพยักหน้าตอบผมก็เข้าใจ

   “แฟนคลับ Volkswagen อีกแล้ว”

   “...”

   “โอเค ไว้ซื้อไอ้แก่สัก พ.ศ.หนึ่ง เป็นรถของเราแล้วกัน”

ความฝันขยับใกล้เข้ามาอีกนิด บางทีโลกที่มีแค่เราสองคนมันก็ไม่ได้เลวร้ายอะไรในเมื่อเกิดมาตัวคนเดียว จากนั้นโลกก็ใจดีหมุนวนใครคนหนึ่งให้มารู้จัก รัก และพร้อมจะทำเพื่อกันและกัน มันก็น่าดีใจแล้วไม่ใช่เหรอ

อย่างน้อยเราก็ไม่ได้อยู่บนโลกนี้ด้วยความโดดเดี่ยวอย่างที่กลัว







“เดี๋ยวป้าช่วยผมพยุงพี่ภูจากด้านนี้หน่อยนะครับ”

   “จ้า”

   “โอเค หนึ่ง สอง สาม!”

   ใครบอกว่าพี่ผอมกัน รายนี้หนักยิ่งกว่าอะไรดี ช่วงนี้ดีหน่อยที่พี่ภูสามารถกินข้าวได้เยอะกว่าปกติ ดังนั้นปัญหาจึงมาตกตอนที่เราเคลื่อนย้ายร่างสูงไปยังวีลแชร์ และบางครั้งก็ต้องพามานั่งตรงโซฟาตัวนิ่มเพื่อเปลี่ยนบรรยากาศ   

“ขอบคุณป้านะครับ ที่เหลือผมจัดการเอง” ป้าจันทร์พยักหน้าเข้าใจ ก่อนผมจะหันไปจัดท่าทางให้คนตัวสูงนั่งสบายขึ้น   

วันนี้เรามีโปรแกรมดูหนังด้วยกัน รู้สึกพี่จะตื่นเต้นเอามากๆ สังเกตได้ว่าเขายิ้มไม่หุบเลยตั้งแต่บอกว่าจะพาลงมาข้างล่าง ความจริงก็มีหนังในลิสต์อยู่หลายเรื่องเหมือนกัน แต่รู้สึกเหมือนพี่ภูจะให้ความสนใจกับเรื่อง The fault in our stars มากที่สุด ดังนั้นผมจึงเลือกขึ้นมาดูก่อน

   น่าเสียดายที่หนังเรื่องนี้เข้าฉายเมื่อปีที่แล้วแต่ผมไม่มีโอกาสได้ไปดู สุดท้ายผมกลับพบว่าตอนนี้มันคือความโชคดีมหาศาลที่เราได้มีโอกาสมานั่งดูด้วยกันในปีนี้

   “พร้อมหรือยังครับ”

   เขาพยักหน้าเหมือนอย่างเคย มือข้างซ้ายวางอยู่บนตัก ส่วนมือข้างขวาถูกวางไว้บนโซฟารอให้ผมกลับมานั่งเคียงข้างและจับมือ

   “อย่าร้องไห้นะครับ เพราะผมได้ยินว่ามันเศร้าเอามากๆ”

   “...”

   “OK…Now playing!”

   ผมรีบวิ่งกลับมานั่งข้างๆ กับกายสูงทันทีที่หนังเริ่มต้นขึ้น ดูเหมือนพี่จะจดจ่อกับการดูอย่างมาก พี่ภูเป็นคนที่ชอบดูหนังและมักจะหลุดเข้าไปอยู่ในโลกแห่งนั้น เวลาฟังเพลงเขาจะตั้งใจฟัง เวลาถ่ายภาพเขาจะหมกมุ่น เวลาดูหนังก็เหมือนกัน

   ดวงตาคู่คมจ้องมองจอทีวีไม่กะพริบ ปล่อยให้เรื่องค่อยๆ ดำเนินไปอย่างที่มันควรจะเป็น The fault in our stars คือเรื่องราวของผู้หญิงคนหนึ่งที่ชื่อเฮเซลซึ่งเป็นมะเร็งปอดจนต้องพกถังออกซิเจนตลอดเวลา กับผู้ชายอีกคนอย่างกัส วอเตอร์สที่เป็นมะเร็งกระดูกและเสียขาข้างหนึ่งไป

   แล้ววันหนึ่งคนสองคนที่ไม่มีความสมบูรณ์ทางด้านร่างกายแต่จิตใจกลับสวยงามก็ได้เจอกัน รักกัน กล่าวปลอบใจเวลาที่ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งเผชิญวิกฤต ผมชอบทุกช่วงเวลาของพวกเขา แม้เจ็บปวดแต่สวยงาม ผมได้ยินเสียงหัวเราะ และรอยยิ้มท่ามกลางความเจ็บปวดซึ่งกำลังรุกล้ำร่างกายและจิตใจ

   ขนาดเขายังสู้เลย แล้วผมกับพี่ภูล่ะเราจะสู้ไม่ได้เลยเหรอ

   “ผมชอบฉากนี้” ว่าพลางแหงนมองเสี้ยวหน้าของพี่ไปด้วย

   เฮเซลกับกัสในเรื่องมีเพื่อน ผู้ชายคนนั้นตาบอดและถูกทิ้งทันทีที่พบว่าตัวเองจะไม่สามารถกลับมามองเห็นได้อีก พวกเขาถือไข่สองแผงเอาไว้ในมือ ปามันใส่รถยนต์ของอดีตแฟนอย่างแรงเพื่อแก้แค้น พร้อมกับพูดประโยคหนึ่งออกมา...

เขาเป็นเพียงคนสามคนที่มีห้าขา สี่ตา กับปอดที่ใช้ได้สองอันครึ่ง แต่เขามีไข่สองแผงเพื่อแก้แค้น

ฟังดูบกพร่อง แต่เปล่าเลย...ผมรู้สึกมีความสุขมากที่ได้ยิน

   “ป๊อบคอร์นมั้ยครับ” ระหว่างดูหนัง ผมก็ยื่นกล่องขนมให้กับพี่ภูด้วย ใช่! เรากำลังจำลองสถานการณ์ของโรงหนังขนาดใหญ่ แต่มีเราแค่สองคน เจ้าของร่างสูงพยักหน้าอยากกินด้วย แต่ผมเองกลับเป็นฝ่ายส่ายหัวไปมา

   เขากินไม่ได้หรอก

   “ไว้แข็งแรงกว่านี้นะครับ ตอนนี้กินนมไปก่อน ฮ่าๆ”

ผมกินป๊อบคอร์นแต่พี่กินได้แค่นม แถมต้องดื่มอย่างระมัดระวังด้วยเพราะเกิดกรณีสำลักบ่อยครั้งมาก ก่อนเราจะกลับไปให้ความสนใจกับสิ่งตรงหน้าต่อ กระทั่งหนังดำเนินไปถึงกลางเรื่อง ผมร้องไห้ ปาดน้ำตาครั้งแล้วครั้งเล่าโดยไม่คิดอาย เพราะพี่...

ก็ร้องไห้เหมือนกัน

คิดดูสิ คนเซนสิทีฟสองคนมาดูหนังรักปนเศร้า น้ำตาของเราคงมากพอที่จะใส่กะละมังใบใหญ่สำหรับล้างหน้าได้

“พี่คิดว่าเขาจะรอดมั้ยครับ” ผมถามเสียงอู้อี้ ซบหน้าลงกับไหล่ของเขา แม้จะรู้คำตอบดีอยู่แล้วว่าตอนจบของเรื่องอาจลงเอยที่ความเสียใจ

“ผมอยากให้เขาได้อยู่ด้วยกันจัง ตอนที่อยู่ด้วยกัน กัสหัวเราะบ่อยมาก เฮเซลก็ยิ้มบ่อยเหมือนกัน พวกเขาเข้มแข็ง ผมอยากให้เขาอดทนเพื่ออยู่ด้วยกันต่อไปเรื่อยๆ...เรื่อยๆ...เรื่อยๆ...”

น้ำตายังคงไหลลงมาไม่ขาดสาย ผมกอดพี่เอาไว้และได้แต่ภาวนา ชีวิตของเราก็เช่นกัน โปรดอยู่ด้วยกันต่อไปเรื่อยๆ เรื่อยๆ จนกว่าชื่อของเราจะค่อยๆ เลือนหายไปตามกาลเวลา จนกว่าเราจะแก่พอและยอมรับได้ว่านั่นมันถึงเวลาของคนแก่สองคนที่ชื่อภูผาและสิงหาแล้ว


“And I willed myself to imagine a world without us and what a worthless world that would be. ผมจะลองจินตนาการกับตัวเองดูว่า...ถ้าบนโลกนี้ไม่มีเราแล้ว มันจะดูไร้ค่าแค่ไหนกัน - The fault in our stars ปี 2014”


   นี่คือประโยคที่กัส วอเตอร์พูดกับเฮเซลในโบสถ์ก่อนที่เขาจะตาย

   ผมรู้ในตอนนั้น

เราไม่ได้อยู่เพื่อรอความตาย แต่เราอยู่เพื่อรอความหวัง...







   “ขอโทษที่กลับดึกนะครับ ผมต้องไปทำรายงานที่ห้องเพื่อนกว่าจะเสร็จก็แทบตาย”

   สภาพของผมตอนนี้คงไม่ต่างจากซอมบี้เดินได้นักหรอก เพราะต้องกรำงานหนักมาตลอดหลายวันโดยไม่ได้พัก ไหนจะเวลานอนที่จำกัดและลดเหลือเป็นวันละ 3 ชั่วโมง ก็ยิ่งทำให้ความเหนื่อยเพิ่มขึ้นเป็นเท่าทวี

   แต่พอกลับมาเจอพี่ ความเหนื่อยที่มีทั้งหมดก็หายไปเป็นปลิดทิ้ง

   “ยังไม่นอนอีกเหรอครับ”

   “...”

   “คราวหลังไม่ต้องรอผมนะ นอนก่อนได้เลย” ผมมักจะย้ำประโยคเดิมๆ แบบนี้ทุกวัน สุดท้ายพี่ภูก็ไม่เคยทำตามเลยสักครั้ง เพราะเขายังดื้อรั้นรอผมต่อไปแม้บางวันจะต้องรอจนถึงเที่ยงคืนเลยก็ตาม

   “วันนี้ทำกายภาพบำบัดหรือยังครับ”

   เขาพยักหน้า

   “พี่อาจจะเหงา เดี๋ยวเรามาอ่านหนังสือด้วยกันมั้ย”

   แต่คราวนี้เจ้าตัวกลับส่ายหัวไปมา

   “ไม่อยากฟังแล้วเหรอ อยากให้ผมนวดให้หรือเปล่า” ถามทั้งที่รู้คำตอบดีอยู่แล้ว เขาไม่ได้ต้องการอะไรหรอกนอกจากรอผมและเข้านอนด้วยกัน

   “...”

   นอน

   คำตอบที่ผมอ่านได้จากริมฝีปากของเขา แม้ไม่มีเสียงเล็ดลอดออกมาแต่เราต่างก็เข้าใจดี

   “จริงสิ ผมควรอาบน้ำและนอนได้แล้ว” เหนื่อยมาทั้งวันพี่คงอยากให้ผมพักผ่อน ดังนั้นจึงไม่รอช้าคว้าผ้าเช็ดตัวเดินเข้าห้องน้ำ กลับออกมาอีกทีแทนที่จะเห็นพี่ภูหลับไปอย่างที่คิด แต่เปล่า...เขายังคงลืมตารอว่าผมจะเสร็จเมื่อไหร่

   “นอนได้แล้วครับ ผมจะปิดไฟแล้วนะ”

   ทันทีที่ความมืดปกคลุมพื้นที่ ในใจของผมได้แต่บอกว่าไม่ต้องห่วงผมหรอก ทุกอย่างโอเคดี ไม่มีอะไรที่ต้องกังวล ผมรู้ว่าผมทนและทำได้แค่ไหน ถ้าผมเหนื่อยผมจะพัก ถ้าเหนื่อยผมจะหยุดทำงานและเดินต่อในวันที่มีแรง

   แต่สำหรับพี่ ถ้าเหนื่อยผมคงไม่สามารถหยุดดูแลได้

   เพราะผมรักพี่

   ผมรักพี่...

   และผมก็จะรักเหมือนที่คนโง่งมคนหนึ่งมักทำ

พี่ป่วยอีกแล้ว...

   ผมอยากเกลียดตัวเองที่ดูแลเขาไม่ดี พี่เป็นไข้หนักมาตั้งแต่เช้า ตกดึกผมตั้งใจพาคนตัวสูงไปยังโรงพยาบาลแต่เขาก็ไม่ยอม ผมรู้ว่าเขาไม่อยากไปที่นั่น แต่ใจที่มันกระวนกระวายเพราะกลัวว่าพี่จะเป็นอะไรขึ้นมาทำให้ผมนอนไม่หลับ ต้องสะดุ้งตื่นขึ้นมากลางดึกหลายครั้งหลายคราเพื่อเช็ดตัวและวัดไข้

   “เช็ดตัวหน่อยนะครับ” ผมกระซิบข้างหูของเขา จัดการใช้ผ้าชุบน้ำเช็ดไปตามร่างกายที่ขึ้นสีแดงระเรื่อไปซะทุกส่วน แถมตัวยังร้อนจนเหมือนไข้จะไม่ลดอีกต่างหากทั้งที่กินยาไปแล้ว

ตอนนี้เข็มบนหน้าปัดนาฬิกาบ่งบอกได้เป็นอย่างดีว่าเวลากำลังย่างเข้าสู่ตีสาม ขณะที่เราสองคนกำลังต่อสู่กับความกดดันมหาศาลด้วยกันอยู่

   “ฮึก...อึก...” เสียงสะอื้นในลำคอดังขึ้นมาไม่หยุด พี่ไม่ได้หอบ แต่กำลังร้องไห้

   “พี่เจ็บตรงไหน พี่เจ็บตรงไหนบอกผม” น้ำเสียงที่กลั่นออกไปสั่นเครืออย่างควบคุมไม่อยู่ ผมไม่ชอบเลยที่เห็นเขาต้องร้องไห้ และผมก็ไม่สามารถรับรู้ได้ว่าเขาร้องไห้เพราะอะไร ร้องเพราะทรมาน

หรือกำลัง...

   “อึก!” เขาจับมือผม พยายามจับทั้งที่มือแทบไม่มีเรี่ยวแรง ใบหน้าซึ่งเต็มไปด้วยหยาดน้ำตาส่ายไปมาเป็นการปฏิเสธ เขาไม่ยอมให้ผมเช็ดตัวแล้ว

    ผมรู้ในทันที พี่ร้องไห้เพราะคิดว่าตัวเองกำลังทำให้ผมลำบาก

   “พี่ภูอย่าร้อง ผมมีความสุขดี” ตัดสินใจปล่อยผ้าในมือลง ก่อนหันมาเกลี่ยน้ำตาบนใบหน้าแดงก่ำออกเบาๆ พร้อมกับกล่าวปลอบใจเขาไปเรื่อยๆ เขาไม่เคยเป็นภาระ ผมเต็มใจทำทุกอย่างโดยไม่ฝืนอะไร ผมไม่อยากให้เขาต้องโทษตัวเอง เพราะต่อไปเราจะไม่สามารถก้าวไปข้างหน้าได้อีก      

“ผมมีความสุขดีครับพี่ อย่าคิดแบบนั้น พี่อย่าร้องไห้นะ”

   “...”

   “ถ้าพี่ร้องผมก็ร้องตาม”

   “ฮือ...”

   “ชู่วววววว ผมเต็มใจทำทุกอย่างเพื่อพี่ เราสัญญากันแล้ว และผมก็เป็นของพี่มานานแล้วด้วยเพราะงั้นอย่าไล่กันไป อย่าปล่อยผมเอาไว้คนเดียว” ผมโอบกอดร่างสูงเอาไว้ทั้งตัว ความกลัวเป็นความรู้สึกเดียวที่สัมผัสได้ เพราะไม่เคยคิดมาก่อนว่าจะมีวันนี้ วันที่เขาไม่ยอมรับความช่วยเหลือใดๆ อีก

   ถ้าเป็นผม...ถ้าเป็นผมที่นอนอยู่ตรงนี้ พี่ก็คงทำแบบเดียวกันคือไม่คิดปล่อยมือ

   ริมฝีปากได้รูปขยับไปมา ขณะน้ำตายังคงไหลอาบแก้มไม่หยุดหย่อน ผมพยายามอย่างมากเพื่ออ่านปากของเขา

   ปล่อย

   เขาบอกให้ปล่อยเขาไป นี่คือสิ่งที่ผมต้องรับรู้ทั้งๆ ที่เวลานี้หัวใจมันกำลังตกลงไปกองตรงตาตุ่ม

   “...”

   เจ็บ

   พี่เจ็บ

   “ผะ...ผมรู้แต่...แต่พี่สู้เพื่อผมได้มั้ยครับ เราสู้มาจนถึงตอนนี้แล้ว”

   ใบหน้าแดงก่ำสั่นไหวไปมาบนหมอนเปียกชื้น ถ้าพี่สามารถขยับตัวได้ เขาคงจะดิ้นพล่านไปทั่วห้องบอกว่าเจ็บและทรมานไม่จบสิ้น แต่ผมไม่คิดปล่อย ต่อให้ต้องร้องไห้แทบขาดใจไปด้วยกันผมก็จะกอดเขาไว้อย่างคนเห็นแก่ตัว

   พิษไข้ซึ่งรุมเร้าร่างกายทำให้สติของคนตัวสูงพร่าเลือน เขาร้องไห้สะอึกสะอื้น กลายเป็นภูผาที่อ่อนแออีกครั้ง ผมวิ่งลงไปยังชั้นล่าง เคาะประตูห้องป้าจันทร์เสียงดัง เธอลุกงัวเงียขึ้นมาเปิดประตูทั้งที่เปลือกตายังลืมไม่สนิทดี

   “มีอะไรเหรอสิงหา”

   “ตอนเช้า อึก! ตอนเช้าป้าได้ให้ยารักษาอาการซึมเศร้ากับพี่ภูหรือเปล่าครับ” คนอายุมากกว่ายืนคิดอยู่อึดใจหนึ่งก่อนจะเบิกตาโพลง

   “สิงหา...ป้าลืม” ผมยกมือขึ้นเสยผมทันทีที่ได้ยินประโยคตอบกลับมา รีบติดต่อหาพี่คินเพื่อให้เขาพาคนตัวสูงไปโรงพยาบาลให้เร็วที่สุด เพราะหมอเป็นที่พึ่งสุดท้ายสำหรับเรา พี่ป่วยและอาการซึมเศร้าก็กำเริบขึ้นมาอีก มันจึงเป็นเรื่องยากที่ผมจะจัดการเพียงลำพัง

   ระหว่างนั้นก็รีบวิ่งขึ้นไปหาคนตัวสูงยังชั้นบนด้วย

   “พี่!!” ผมตะโกนออกมาสุดเสียง เมื่อเห็นร่างทั้งร่างเกร็งเครียดไปหมด เจ้าตัวกำมือไว้แน่นจนเส้นเอ็นปูดนูน กัดฟันรุนแรงจนได้ยินเสียงกุบกับ สิ่งที่ทำได้ในตอนนี้คือประคองหน้าของพี่เอาไว้ พูดกับเขา ลูบหัวเขา กล่าวปลอบใจ ก่อนพี่คินจะมารับไปโรงพยาบาล

   “พี่ภูฟังผมนะ พี่แค่ไม่สบาย แค่เป็นไข้”

   “...”

   “ผมไม่ได้เหนื่อยเลยเพราะฉะนั้นเราไปโรงพยาบาลกันนะครับ ถ้าหายดีแล้วก็กลับมาที่บ้าน”

   เขาส่ายหน้าไม่ยอมท่าเดียว

   ไม่

   ริมฝีปากของพี่ขยับตอบ

   “ไม่นานครับ ให้หมอดูแล้วเรากลับกันเลยก็ได้”

   มือหนารั้งข้อมือของผมเอาไว้ ออกแรงบีบเป็นการต่อต้านเพื่อบอกกับผมว่าเขาจะไม่ยอมไปไหนทั้งนั้น แต่...

   “สิงหา พาพี่ภูไปเร็ว”

   “ครับ”

   ผมขอโทษ แต่เพราะทนเห็นพี่เจ็บแบบนี้ไม่ได้อีกแล้ว ดังนั้นผมถึงต้องเห็นแก่ตัวซ้ำแล้วซ้ำเล่าและเอาแต่คิดว่าสักวันทุกอย่างจะกลับมาเป็นเหมือนเดิม

   ดวงตาคู่เดิมของผู้ชายที่ชื่อภูผาสะท้อนเรื่องราวในอดีตมากมาย

   ตอนที่ผมเจอกับเขาครั้งแรก ตอนนั้นผมได้แต่บอกกับตัวเองว่าไม่คู่ควรไปซะทุกอย่าง แม้สุดท้ายจะรู้ดีว่าคนเราสามารถหลงรักใครที่ไม่เหมาะสมกับตัวเองได้เสมอ

   และในเมื่อวันหนึ่งเขาเลือกที่จะเดินเข้ามาในชีวิตของผม

   ผิดด้วยเหรอที่ผมจะรั้งเขาไว้ไม่ให้จากไปด้วยสองมือของตัวเอง








   พี่เป็นไข้หวัดธรรมดา

   แต่หมอไม่ยอมให้เขากลับบ้านแม้ผมจะขอร้องแค่ไหนก็ตาม สิ่งที่ทำได้คือดูอาการอยู่ห่างๆ เพราะเจ้าตัวมีอาการซึมเศร้าแทรกซ้อนเข้ามาด้วย ผมดูแลพี่จนถึงเช้า จากนั้นก็กลับมาอาบน้ำแต่งตัวไปเรียนตามปกติทั้งที่อยากโดดใจแทบขาด แต่วันนี้เป็นวันสำคัญ ผมต้องพรีเซนต์งานกลุ่มที่ทุ่มเททำเกือบสัปดาห์สำหรับโปรเจ็กต์สุดท้ายก่อนจบเทอม เลยไม่สามารถทำอย่างใจคิดได้

   และเนื่องจากสัปดาห์หน้าจะมีงานประจำมหา’ลัย ก่อนกลับผมเลยแวะเข้าไปเอาเสื้อคอปกสีชมพูสองตัวที่มีไซส์ต่างกันอยู่ถึงสองไซส์จากฝ่ายกิจกรรม ตัวหนึ่งของผม ส่วนอีกตัวเป็นของพี่

   คิดว่าอีกฝ่ายคงดีใจมากแน่ๆ เพราะเคยสัญญากันไว้แล้วไม่ว่ายังไงก็ต้องพาคนตัวสูงไปงานกิจกรรมให้ได้ เมื่อเดินออกมาจากลิฟต์ ผมจึงตรงดิ่งไปยังห้องผู้ป่วยพิเศษที่มีคนไข้ชื่อภูผาทันที ทว่าภาพตรงหน้ากลับ...

   ว่างเปล่า

   ผมพยายามกวาดตามองไปทั่วห้องกลับไม่เห็นแม้แต่เงา พอวิ่งไปยังห้องน้ำก็ไม่เห็นวี่แววของคนตัวสูงเช่นกัน วินาทีนั้นผมรีบวิ่งไปยังเคาน์เตอร์แผนก โชคดีที่หมอประจำไข้ของพี่กำลังจดอะไรบางอย่างบนชาร์ต ผมจึงไม่รอช้ารีบถามออกไป

   “หมอครับ คุณภูผาที่อยู่ห้อง 4016 ไปไหนครับ”

   “...”

   “หรือกำลังตรวจสุขภาพอยู่ที่ห้องไหนหรือเปล่า”

   ใบหน้าที่ถูกปกปิดด้วยแว่นหนาเตอะเกือบครึ่งเงยขึ้นมา สอดปากกาลงบนกระเป๋าเสื้อก่อนจะตอบกลับด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่ง แต่ทำเอาจิตใจคนฟังปลิดปลิวทันทีที่ได้ยิน

   “คุณภูผาถูกส่งตัวไปรักษาที่อื่นแล้วนะครับ”

   “เมื่อไหร่ ทำไมผมไม่รู้”

   “เมื่อตอนสิบโมงเช้า ครอบครัวของเขาต้องการย้ายผู้ป่วยไปรักษาตัวที่อื่น ซึ่งผมไม่สามารถขัดได้เพราะอีกฝ่ายเป็นพ่อและแม่”

   “แต่...แต่ผมไม่รู้ ไม่มีใครติดต่อผมเลย”

   “เรื่องนี้หมอไม่ทราบ ดังนั้นลองติดต่อหาพ่อกับแม่ของคุณภูผาดูนะครับ”

   ผมได้แต่ยืนอึ้ง

   ไม่มีเบอร์โทร ไม่มีอะไรที่สามารถติดต่อครอบครัวของพี่ได้แม้แต่อย่างเดียว เราเคยคุยกันไม่กี่ครั้ง หนึ่งคือตอนที่พี่นอนอยู่ในห้องไอซียู และสองคือตอนที่อีกฝ่ายตัดสินใจจ้างแม่บ้านอย่างป้าจันทร์มาดูแล ที่พึ่งสุดท้ายที่เหลืออยู่ก็เลยเป็นพี่มินตรา

   ผมรอสายด้วยความกระวนกระวาย รอสักพักก็ได้รับการตอบกลับ

   “พี่มินตรา พี่พอจะมีเบอร์ติดต่อครอบครัวของพี่ภูมั้ยครับ พ่อ แม่ หรือพี่ชายก็ได้”

   [ใจเย็นๆ สิงหา พี่...]

   “มีอะไรเหรอครับ หรือว่าพี่ไม่มี”

   [สิงหา ภูผาเดินทางแล้วนะ]

   “...”

   [เขาไม่ได้อยู่ที่ไทยแล้ว เพราะงั้นเลิกตามหาเถอะ]

   มือที่ถือสายอยู่หมดเรี่ยวแรงในทันที ภาพของพี่ภูฉายเข้ามาในหัว ถ้าผมเชื่อเขาและตัดสินใจจะดูแลอีกฝ่ายด้วยตัวเองตั้งแต่เมื่อคืน เขาก็คงไม่ต้องไป

   คนพวกนั้นก็คงไม่พาพี่ไปจากผม...

   พวกคนใจร้ายที่ไม่เคยดูแล ทำไมถึงทำกันได้ลงคอ

   เรามีความสุขดีอยู่แล้ว

   “ฮึก...ฮืออออออ”

   เรามีความสุขดีตอนที่ได้ร้องเพลง อ่านหนังสือ ได้ดูหนังและร้องไห้ไปด้วยกัน เรามีความสุขดีที่ได้ฝันและพยายามทำมันให้สำเร็จ แต่...

   พังหมดเลย

   แล้วผมล่ะ ผมจะอยู่ยังไงในวันที่ไม่มีเขา เสื้อสีชมพูของเรา รถของเรา การเดินทางที่เคยวาดฝันเอาไว้ จะทำยังไง จะอยู่ยังไง

   ผมยังจำได้ดี ในวันนั้น...วันที่พี่หยุดหายใจแล้วต่อสู้เพื่อมีชีวิตรอด

   หมอให้ผมได้นั่งเฝ้าเขา รอดูอาการของพี่ด้วยความหวังริบหรี่ ตอนนั้น...แค่ขยับสายน้ำเกลือเล็กน้อยเขาก็พร้อมจะจากไปได้ทุกเมื่อ ความทรมาน โดดเดี่ยว อ้างว้าง เราสัมผัสมันได้ทั้งหมด

   และตระหนักได้ว่า

ความจริงแล้วผมอยากอยู่กับใครสักคน ไม่ใช่ใครก็ได้ แต่เป็นพี่...

คนเดียวเท่านั้น


   ‘พี่ครับ’
   ‘…’
   ‘เก่งแล้ว พี่เก่งมาก’
   ‘...’
   ‘ผมรู้ว่าพี่เหนื่อยที่ต้องต่อสู้กับความเจ็บปวดและทรมาน’
   ผมไม่อยากให้เขาต้องทรมานอีกแล้ว จึงตัดสินใจพูดประโยคหนึ่งออกมา แม้ลึกๆ ในใจผมจะต้องการให้เขาสู้ต่อไปก็ตาม
   ‘ไม่เป็นไร...ไม่เป็นไรครับ ถ้าพี่ไม่ไหวแล้ว จะไปก็ได้นะ…’

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 04-03-2022 17:19:19 โดย Jittirain12 »

ออฟไลน์ mochimanja2

  • มึน
  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 137
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
ร้องไห้หนักมาก  :hao5:

ออฟไลน์ Akikojae

  • พี่ยุนรักน้องแจ ★彡
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1404
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1137/-17
นับถือพี่ภูมาก พี่อดทนมากจริงๆ อยู่ต่อไปเพื่อน้องนะคะ
สิงหาหนูเก่งมากลูก ดูแลพี่เขาด้วยหัวใจจริงๆ
ทั้งคู่กำลังจะไปได้สวยแล้วแท้ๆ ขอล่ะค่ะคุณจิตติ
ดราม่าครั้งสุดท้ายพอนะ ใจจะขาดอยู่แล้ว น้ำตานองหน้าไปหมด
ฮืออออ รักทั้งคู่เลย รีบๆกลับมาหากันน้าาา
 :mew6:

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ Kelvin Degree

  • ถ้าวันนั้นเลือกที่จะเดินออกไป คงไม่เจ็บมาจนถึงทุกวันนี้...
  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1700
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +57/-2
ภูผาต้องหาย และกลับมากหาสิงหาสิ

เศร้ามาก

ออฟไลน์ IsoHeart

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 62
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-0
เธอกลับมาแล้ว  พร้อมกับน้ำตาของฉัน

สู้ๆนะภูผา

ออฟไลน์ BlueCherries

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4060
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +159/-17
ครอบครัวภูผาทำอะไรลงไป?


wtf

ออฟไลน์ wikawee

  • มีชีวิตอยู่เพื่อทำฝันให้เป็นจริง
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1185
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +33/-7
ทำไมถึงทำแบบนี้????  :ling1: :ling1: :ling1: ทำแบบนี้เพื่ออะไร ทำไมต้องคอยทำร้ายกันตลอด พวกคุณช่างร้ายกาจยิ่งนัก ทำไมต้องขัดขวางความรักของพวกเค้าโดยการให้พวกเค้าเเยกจากกัน ทำไม!!!!! ทำไม!!!!!!!!

ออฟไลน์ yymomo

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 921
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +36/-3
คือมันจริงอ่ะที่บางทีคนเราก็เห็นแก่ตัวเกินกว่าจะปล่อยให้เค้าจากไป

มันทำใจลำบากนะ ยกตัวอย่างง่ายๆเลยบ้านเรา พ่อกับแม่มักบอกเสมอ

หากสักวันนึงพวกเค้าเป็นโรคอะไรที่ทรมาน อย่ายื้อเค้าไว้ อย่าเสียเงินเสียทองรักษา

เราก็ได้แต่พนักหน้ารับไปแบบส่งๆ แต่รับหลังเราก็คิดนะใครมันจะไปทำได้ลงวะ

วินาทีนั้น ต่อให้มีโอกาสแค่ 1%  เราก็คงจะคว้าไว้ ใจเราคงไม่เข้มแข็งพอ

สิงหาก็เช่นกัน แม้โอกาสเพียงน้อยนิด ก็ขอคว้าเอาไว้ หวังว่าสักวันคงจะมีปาฏิหาร

แต่สุดท้ายคือว่างเปล่า เมื่อครอบครัวของพี่ภูมาพาเค้าไป

หวังว่าเค้าจะพาไปรักษาสักวันพี่ภูจะหาย  :hao5:

ออฟไลน์ donutnoi

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2187
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +195/-7

ออฟไลน์ keepout

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 66
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-0
ถ้าจะบอกว่า ไม่เข้าใจครอบครัวของพี่ภูเลย
ไม่เข้าใจทั้งพ่อและแม่ ว่าคิดอะไรอยู่คงไม่ผิดใช่ไหม
คือไม่รู้ว่าส่วนตัวพ่อแม่คิดอะไร แต่ทำไมถึงทำกลับลูกตัวเองแบบนี้
เพราะแค่พี่ภูเลือกคบสิงหา แค่พี่ภูเลือกเรียนถ่ายภาพ เลยคิดว่าตัดหางปล่อยวัดได้เหรอ
ใน จุดๆนี้ไม่เข้าใจพ่อแม่พี่ภูที่สุด พวกเขาคิดอะไรกันอยู่ แค่นี้พี่ภูยังโดนทำร้ายไม่พอใช่ไหม
24 ปีที่ผ่านมา พี่ภูรู้สึกมีความสุขจริงๆมากเท่าไหร่เหรอ แค่รักษาความสุขให้พี่ภูซักนิดก็ไม่ได้เหรอ
แค่นี้ยังไม่พอจริงๆเหรอ ถึงทำกับทั้งสองคนได้
เรารักพี่ภูรักสิงหามากนะคะ ขอให้ทั้งคู่ได้มีความสุขอย่างแท้จริงซักครั้งเถอะ 

ออฟไลน์ Viewonohm

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 843
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +21/-5
ความรักเมื่อเกิดขึ้นแล้ว ต่อให้เป็นความรักที่ดีหรือไม่ดีี มันย่อมสวยงามเสมอ...

ออฟไลน์ XVIII.88

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 440
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +27/-0
    • XVIII.88
ทุกอย่างกำลังไปในทางที่ดีแล้วเชียว อยากจะโทษป้าจันทร์จริงๆที่ลืม

ทำไมครอบครัวถึงกลับมาดูแลอะไรในตอนนี้ ถ้าพาไปรักษาที่ต่างประเทศแล้วหายกลับมาหาสิงหาได้เป็นปกติก็คงจะดี
แต่ต้องใช้เวลานานแค่ไหนล่ะที่สองคนต้องห่างกันอีกแล้ว

เหมือนสิงหาชดใช้สิ่งที่เคยทำกับพี่ภูเลย ต้องทรมานเพราะการจากลา


ออฟไลน์ Freja

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2394
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +145/-4
อ้างถึง
And I willed myself to imagine a world without us and what a worthless world that would be.

ตัวแอล 2 ตัวค่ะ

ไม่รู้ว่าครอบครัวภูผาเป็นฝ่ายตัดสินใจพาภูผาไปเองหรือว่า หรือว่าเป็นภูผาที่ขอให้พาไป    ถ้าหากว่าเป็นข้อแรกนะ  พวกแกจะต่ำทรามไปถึงไหน  เข้าใจว่าอยากให้ลูกให้น้องหาย แต่คิดถึงคนที่อุทิศตัวเพื่อดึงภูผาที่ครอบครัวทิ้งไปจนกลับมามีชีวิตได้อีกสิ    เหมือนกับ เสร็จนาฆ่าโคถึก เสร็จศึกฆ่าขุนพล    ถ้าจะพาไปรักษาจริงๆ  อย่างน้อยก็บอกกล่าวให้คนที่รักกันได้ร่ำลากัน  At least, it´s a decent thing to do.   แถมไม่อยากว่านะ  หาคนมาดูแลภูผาทั้งทีขนาดสิงหาทำทุกอย่างเองป้ายังลืมให้ยาที่สำคัญที่สุดแก่คนไข้ที่ป้าดูแลเลย    ไม่รู้ว่าป้าจะโทษว่าสภาพของภูผานี่เป็นเพราะสิงหาหรือเปล่าจนครอบครัวต้องย้ายภูผาไปที่อื่น

ถ้าเป็นเพราะภูผาอยากไป พยายามเข้าใจนะว่าภูผาทรมาณทั้งตัวเองและเจ็บที่เห็นคนที่รักต้องมาทรมาณตรากตำเพราะตัวเอง  คนเป็นโรคซึมเศร้ามันควบคุมความคิดอ่านไม่ได้หรอก

สิงหาก็คงได้แต่เก็บความรู้สึกตอนนี้เอาไว้แล้วรักษาไว้ในความทรงจำ  หนูแกร่งขึ้นมากเลยลูก 

ขอบคุณมากที่มาต่อค่ะ

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ patchylove

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1585
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +134/-4
 :sad4:า :sad4: เสียใจ

ออฟไลน์ TachibanaRain

  • มาโกโตะเทนชิ
  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2402
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +76/-3
เข้ามาอ่านแบบคร่าวๆก่อน เพราะกะว่าจะไปเริ่มอ่านเรื่องนี้ซ้ำอีกรอบตั้งแต่ต้น เป็นอะไรที่บีบหัวใจมากขนาดอ่านแค่คร่าวๆยังรู้สึกตื้อๆในอกเลยแล้วพี่ภูโดนพาไปเมืองนอกแบบนี้จะเป็นยังไงต่อไปอะ ทั้งคู่ต้องทรมานกันอีกซักแค่ไหน กลัวมากว่าเรื่องนี้จะจบแบบเศร้า :o12:

ออฟไลน์ ice-cream

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 73
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-0
อยากเห็นแก่ตัว แต่ก็ไม่อยากให้ต้องทรมานอยู่แบบนี้

ออฟไลน์ pemiko2012

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 453
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +11/-0
 :sad4: :sad4:

ร้องไห้ตายไปเลยค่าาาาา
สงสารทั้งตัวเล็กทั้งพี่ภู
 :z3:

ออฟไลน์ minenat

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1661
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +67/-3
เหมือนจะมีความสุข แต่เราอ่านไปด้วยใจที่ระแวง

และมันก็เกิดขึ้น  อยากรู้เหตุผลครอบครัวของพี่ภู

ออฟไลน์ caramely

  • พลัง(จิ้น)ของสาววายยากแท้หยั่งถึง
  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 93
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-0
อ่านตอนนี้แล้วดีกว่าตอนก่อนหน้านิดนึง  รู้สึกมีความสุขปนหน่วงๆ 
แต่พออ่านไปตอนท้ายๆเท่านั้นแหละ ก๊อกแตกเลยจ้าาาาา  :sad4:
ฮื้ออออออ  เมื่อไหร่จะมีความสุขกันจริงๆซะที   :z3: :z3: :z3:
หน่วงตั้งแต่ตอนแรกยันตอนสุดท้ายเลย   :o12: :o12:


ปล. ตอนหน้าเป็นตอนจบแล้วใช่มั้ยค่ะ

ออฟไลน์ New_Tai

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 351
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +34/-0
:hao5: :hao5:
ร้องไห้อีกแล้ววววว
โอ้ยย สงสารทั้งสองคนมาก
ทำไงดี T^T

ออฟไลน์ cross

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 272
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +42/-1
ตอนนี้เป็นตอนที่อ่านแล้วรู้สึกถึงความรักที่ยิ่งใหญ่ของพี่ภูร้องสิงหา มากที่สุดมันเศร้าแต่ทีความสุข อิ่มเอม  ทั้งคู่พยายามไปด้วยกัน จับมือกัน สู้จนถึงที่สุด แต่ทำไมครอบครัวพี่ถึงทำแบบนี้ ไม่สนใจมาตั้งนานมาทำไมตอนนี้ พาไปรักษา พาไปโดยไม่บอกน้องใจทำด้วยอะไรกันนะ
ขอให้พี่หายเร็วๆกลับมาหาน้องสิงหานะพี่ภู

ออฟไลน์ snowboxs

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 5445
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +124/-7
ร้องไห้หนักมาก ก่อนนอนอีกต่างหาก

สงสารภูผา สงสารสิงหา สงสารความรักของทั้งคู่

ออฟไลน์ Paparazzi

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1050
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +21/-11
คือมันพูดไม่ออก บอกไม่ถูก คืออะไร ครอบครัวภูผาทำไมทำแบบนี้
ตลอดเวลาไม่เคยมาดู แล้วอยู่ดีๆพาพรากเค้าไปจากน้องได้ไง
คือแบบสงสารทั้งคู่ แล้วแบบนี้ภูจะรอดไหมนี่

ตอนแรกดีใจที่ภูรอดตาย แต่ลงท้ายอยากร้องไห้
สิงหาเอ้ย หนูจะมีความสุขสักทีได้ไหมหนอ

รักคนเขียน รอตอนต่อไปน้า :impress2:

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด