ไฟเดินนำเพื่อนๆ มาหยุดหน้าห้องๆ หนึ่ง มันเป็นห้องขนาดกลางที่ถูกกั้นไว้ด้วยกระจกใสบานใหญ่ ดูแล้วคล้ายๆ ห้องอัดเสียงของนักร้องตามสถานีโทรทัศน์
เอื้ออังกูรกับจูเลียร์ยืนอยู่ในนั้น ฝ่ายหลังเมื่อเห็นพวกเขาก็รีบวิ่งมาเปิดประตูต้อนรับตาเป็นประกาย ร้องว่า “วู่ยยย มีผู้ชายงานดีโผล่มาอีกแล้วววว”
“หูย...” สามทหารเสือลอบสูดปาก มองร่างอวบอัดของหญิงสาวในชุดเสื้อเชิ้ตสีขาวกางเกงยีนส์ขาสั้นด้วยดวงตาเป็นประกาย เอื้ออังกูรหันมานหน้าซีด ถึงตรงนี้ไฟก็พูดว่า “จะแนะนำให้รู้จัก คนสวยคนนี้คือคุณจูเลียร์...”
เขาผายไปทางเจ้าของชื่อ ต่อจนจบ “เธอเป็นแม่ของไอ้เอื้อ”
“หา!”
สามทหารเสืออุทานออกมา ไดนาไมต์มองตาค้าง “นึกว่าพี่สาว...”
“แหม...เด็กสมัยนี้ล่ะปากหวานกันจริงเชียว” หญิงสาวปิดปากหัวเราะเอียงอายคล้ายสาววัยแรกแย้ม ก่อนจะฉีกยิ้มกว้างให้ “เรียกแม่ก็ได้นะจ๊ะ”
“มะ...แม่เอื้อ สวัสดีครับ” สามทหารเสือยกมือไหว้เงอะๆ งะๆ พวกเขาเพิ่งเคยเจอแม่เอื้ออังกูรเป็นครั้งแรก จูเลียร์พยักหน้าแข็งขัน “โอ้! เข้ามาข้างในก่อนสิ!”
เด็กหนุ่มห้าคนทยอยกันเดินเข้าห้องมา เปมทัตเป็นหน่วยกล้าตายถามว่า “เอ่อ...แม่จะลงโทษไอ้เอื้อมันยังไงเหรอครับ?”
“อยากรู้เหรอ?” ดวงตาเอื่อยเฉื่อยคู่นั้นเกิดประกายเจ้าเล่ห์ เชื่อว่านั่นเป็นหนึ่งในกรรมพันธุ์ที่เธอตั้งใจส่งต่อให้ลูกชาย พวกเปรมมองหน้ากันเลิกลัก
“อย่าเลยน่า เดี๋ยวก็ตายเอาหรอก” เอื้ออังกูรขู่ ทว่านั่นยิ่งทำให้อยากรู้เข้าไปกันใหญ่
“ถ้าอยากดูในห้องนี้ด้วยก็ได้อยู่หรอก แต่ต้องป้องกันนะจ๊ะ” เธอพูดแล้วก็ยื่นอะไรบางอย่างให้เด็กหนุ่มทั้งห้าคน พวกเปรมแบมือ มันคือ...
“ที่อุดหู...ใช่ไหมเนี่ย?” โชมองวัตถุผิวเรียบสีส้มรูปร่างเหมือนแครอทตัดปลายขนาดเล็กในมือตัวเองอย่างสงสัย จูเลียร์ยิ้มจนตาปิด “เยส!”
“...” พวกเปรมมองตาปริบๆ
“เด็กๆ อุดหูแล้วไปนั่งเล่นรอบนโซฟากันได้เลย” หญิงสาวหัวเราะ หันไปสบตาลูกชายแล้วบอกว่า “รอบนี้นานหน่อย ประมาณชั่วโมงนึงได้”
“นานขนาดนั้นเลยเหรอครับ...” เปมทัตมองเอื้ออังกูรเดินไปยืนตรงพื้นที่โล่งว่าง เผลอกระชับที่อุดหูในมือ...เป็นบทลงโทษแบบไหนกันนะ
ถึงตรงนี้จูเลียร์ก็ไปหยุดหลังขาตั้งไมโครโฟนฝั่งตรงข้ามกับลูกชายแล้ว หญิงสาวสูดลมหายใจคล้ายทำสมาธิ เมื่อทุกอย่างพร้อมเธอก็หันมาทางพวกเปรมแล้วยกนิ้วชี้หูตัวเองยิ้มๆ
เหล่าเด็กหนุ่มใส่ที่อุดหูพร้อมกัน พลันเสียงรอบข้างก็ราวกับถูกดูดหายไป
“...”
เบื้องหน้าพวกเขาคือเอื้ออังกูรที่ยืนนิ่ง เด็กหนุ่มผมสีน้ำตาลจ้องมารดาเขม็งด้วยขมับที่เริ่มชื้นเหงื่อ จูเลียร์สบตาลูกชาย ตอนนั้นเองที่เธอเปิดปากร้องเพลงออกมา
“...”
ทักษะการได้ยินของพวกเปรมดับสนิท มีเพียงภาพตรงหน้าเท่านั้นที่พอจะอธิบายเหตุการณ์ได้ เอื้ออังกูรยังคงยืนนิ่งทว่าก้มหน้าเล็กน้อย ผ่านไปสักพักก็เริ่มกำหมัดแน่นข้างลำตัว ดวงตาหลุบต่ำพร้อมหยาดเหงื่อที่ไหลลงข้างแก้ม
จูเลียร์หลับตาพริ้มพลางส่งเสียง เธอยกมือข้างหนึ่งขึ้นแตะหน้าอกเพื่อกำกับจังหวะการหายใจ ไม่ว่าจะมองมุมไหนก็ราวกับเทพธิดาที่กำลังร่ายร้องบทเพลงให้ชายหนุ่มลุ่มหลง
“อึก...”
แล้วทำไมเอื้ออังกูรถึงได้ทำท่าทรมานขนาดนั้นกัน?
สิบนาทีผ่านไป...สีหน้าของเด็กหนุ่มผมสีน้ำตาลเริ่มย่ำแย่ หลังของเขาคดงอ ขาสั่นกึก ทว่ายังคงกัดฟันยืนตัวตรงสู้กับแรงโน้มถ่วงโลกเอาไว้
พวกเปรมมองเพื่อนอย่างเอาใจช่วย
จนยี่สิบนาที...ร่างสูงเริ่มเซเข้าหาผนัง เขายกมือกุมหัวตัวสั่น เถือกไถไปตามผนังอย่างงุ่นง่าน ร่างกายเหยียดเกร็งคล้ายทรมาน
ถึงตรงนี้ไฟก็เริ่มหยิบสมาร์ทโฟนขึ้นมากดเล่นแล้ว
สามสิบนาทีต่อมา...เอื้ออังกูรกางกรงเล็บก่อนจะตะกายผนังแบบลืมตาย ริมฝีปากอวดดีนั่นขยับ คิดว่าคงกำลังตะโกนสบถอย่างรุนแรง ใบหน้าบิดเบี้ยวราวกับตกอยู่ในขุมนรก
ส่วนโชกำลังเดินถือการ์ตูนที่อ่านค้างไว้เข้าห้องมา
สี่สิบนาทีแล้ว...เอื้ออังกูรเริ่มยืนไม่อยู่ เขาทรุดตัวนั่งกัดฟันกรอด ในขณะที่จูเลียร์ยังคงหลับตาพริ้มร้องเพลงต่อไปอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย เปรมมองเพื่อนอย่างสงสารปนนึกทึ่ง
ข้างๆ เป็นไดนาไมต์ที่กำลังนอนซบไหล่สามสีไปเข้าเฝ้าพระอินทร์
มาถึงห้าสิบนาที...เอื้ออังกูรผล็อยร่วงจนหน้าผากกระแทกพื้นดังปึก! จูเลียร์ลืมตาทว่ายังไม่หยุดขยับปากร้องเพลง ดวงตาเอื่อยเฉื่อยทอประกายวูบ
“เขร้...”
เปรมอุทานเมื่อในนาทีที่ห้าสิบสอง...คนตัวสูงหยัดกายขึ้นมายืนอีกครั้ง ใบหน้าหล่อร้ายชุ่มโชกไปด้วยหยาดเหงื่อ ดวงตาปิศาจคู่นั้นกึ่งเลื่อนลอย ท่อนขายาวสั่นจนเห็นได้ชัด จูเลียร์เหยียดยิ้มก่อนจะหลับตาขับขานบทเพลงต่อไป
ทันทีที่ครบหกสิบนาทีตามเงื่อนไข...จูเลียร์ก็ปิดปากฉับ
ตึง!
พร้อมกับเอื้ออังกูรที่หงายหลังลงไปนอนแน่นิ่งบนพื้น เด็กหนุ่มหน้าคนสะดุ้ง พร้อมใจกันดึงที่อุดหูออกแล้ววิ่งไปดูอาการเพื่อนอย่างหวาดวิตก
เปรมประคองร่างสูงให้นั่ง ร้องว่า “ไอ้เอื้อทำใจดีๆ ไว้!”
“อะ...ฮะ...” ร่างสูงนอนตาเหลือกน้ำลายฟูมปาก ร้อนถึงไฟที่ต้องรีบยื่นยากับน้ำให้ “ไอ้เหี้ยแดกนี่ก่อน ควายเอ๊ย เอ้าๆ”
“โอ๊ยมึงไหวไหมเนี่ย” สามสีขยับมือเช็ดเหงื่อบนใบหน้าให้ ส่วนโชกับไดนาไมต์ช่วยนวดขายาวที่เกร็งจนเป็นตะคริวกันคนละข้าง จูเลียร์เดินเข้ามาพร้อมรอยยิ้มปิศาจ
“เห...รอบนี้ทนได้นานกว่าที่คิดแฮะ”
“ไม่เอาแพะ...” เจ้าลูกชายละเมอออกมา ไฟส่ายยาดมใต้จมูกคนป่วยหน้าหงิก “ไอ้ห่า หูเหอไปหมดแล้ว”
“ไอ้เหี้ยขาแม่งตึงมาก มึงจะตายมั้ยเนี่ย” โชร้องอย่างวิตก ในขณะที่คนอื่นพยายามเรียกสติเด็กหนุ่มผู้โชคร้ายกลับมากันสุดความสามารถ
จูเลียร์มองลูกชายที่ถูกรายล้อมไปด้วยกลุ่มเด็กหนุ่มรุ่นราวคราวเดียวกัน พึมพำว่า
“มีเพื่อนจริงๆ ด้วยแฮะ...”
เมื่อเหตุการณ์สงบลงเด็กหนุ่มหกคนก็มานั่งล้อมวงกันบนพื้นหน้าโซฟาในห้องนั่งเล่น จูเลียร์แยกตัวออกไปแล้ว เธอมีงานสังสรรค์กับเพื่อนตอนช่วงบ่าย
“เพื่อไม่ให้เป็นการเสียเวลานะครับ” สามสีเปิดประเด็น เขาวางรูปถ่ายที่ได้มาลงกลางวง บอกว่า “นี่คือรูปถ่ายผู้หญิงสองคนที่เราถกกันไปเมื่อคราวก่อน”
ที่เหลือพร้อมใจกันชะโงกหน้าเข้ามา...มันคือภาพหญิงสาวที่กำลังกอดเด็กหญิงอีกคนเอาไว้ในอ้อมแขน ทั้งคู่มีเรือนผมสีทองและดวงตาสองสีเหมือนกัน รอยยิ้มบนใบหน้าบ่งบอกว่าช่วงเวลานั้นพวกเธอมีความสุขมากเพียงใด
โชขมวดคิ้ว “ได้มาจากไหนวะ”
“มันหล่นอยู่ใต้เตียงของชาร์ลอตต์” สามสีตอบ ทั้งวงหันมามองเขาเป็นตาเดียว เด็กหนุ่มตัวสูงเข้าใจความหมายของสายตานั้นดี เขาไหวไหล่ “ก็เป็นไปได้ว่าเธออาจจะจงใจ...แต่นั่นก็ทำให้เราได้ข้อมูลเพิ่มขึ้น”
“ว่าต่อเถอะ” เอื้ออังกูรที่นั่งพิงพ่อครัวอยู่พูดเสียงขึ้นจมูกเพราะเอาหลอดยาดมอุดอยู่ สามสีพยักหน้า “แต่ถึงจะได้รูปถ่ายมา เราก็ยังไม่รู้อยู่ดีว่าชาร์ลอตต์เป็นคนไหน”
“เอาดีๆ นี่เขาเป็นอะไรกันกูยังดูไม่ออกเลย” โชเพ่งมองอย่างสงสัย แม้หญิงสาวในรูปจะหน้าคล้ายชาร์ลอตต์ทว่ายังดูอ่อนกว่ามาก ส่วนเด็กผู้หญิงที่กำลังยิ้มอย่างสดใสก็ดูโตพอสมควร
ไม่ว่าคนไหนก็น่าจะเป็นชาร์ลอตต์ได้ทั้งนั้น
“เพราะงั้นกูเลยลองไปค้นเรื่องของชาร์ลอตต์ดู” เด็กหนุ่มตัวสูงเปิดกระเป๋า หยิบกระดาษเอสี่ปึกใหญ่ออกมาเปิดดู พร้อมอธิบายว่า
“สื่อเคยทำข่าวของชาร์ลอตต์ไว้ว่าเธอเป็นเด็กกำพร้า อยู่ในสถานสงเคราะห์มาตั้งแต่เด็ก แต่ดันไปต้องตาเจ้าบ้านตระกูลชาร์มมาลิคเข้า เขาจึงรับชาร์ลอตต์มาเลี้ยงและส่งเข้าสู่วงการนางแบบตามความต้องการของเธอ” เด็กหนุ่มตัวสูงแจกผลงานของนางแบบสาวให้เพื่อนๆ ดูประกอบ เสริมว่า
“ช่วงที่ถูกจับตามอง ชาร์ลอตต์เคยให้สัมภาษณ์สื่อไว้ว่าเธอเข้าวงการมาเพื่อตามหาใครบางคน” สามสีวางบทสัมภาษณ์ลงกลางวง เล่าต่อ “ไม่นานนักเจ้าบ้านชาร์มมาลิคก็เสียชีวิตลง มรดกทั้งหมดจึงตกเป็นของเธอ...”
“ฆาตกรรมเหรอ?” เปมทัตแทรกขึ้น เอื้ออังกูรยื่นมือไปตบตักพ่อครัวแปะๆ “ไม่หรอก...เจ้าบ้านชาร์มมาลิครุ่นนั้นร่างกายไม่แข็งแรงมาตั้งนานแล้ว มีแพทย์ยืนยันว่าเขาเสียชีวิตเพราะป่วยด้วยโรคเรื้อรัง”
“เพราะงั้นถึงได้ไปหาลูกบุญธรรมสินะ” โชเข้าใจแล้ว ทุกคนเงียบเสียงลงเป็นเชิงให้สามสีเล่าต่อ
“หลังจากนั้นชาร์ลอตต์ก็ยังอยู่ที่คฤหาสน์ของเจ้าบ้าน ก่อนจะเริ่มมีข่าวกับผู้ชายคนอื่นในวงการไปทั่ว แต่สุดท้ายก็ตกลงปลงใจไปแต่งงานกับหมอคนหนึ่ง...”
“ข่าวนั้นดังมากเลยนะ” ไฟแทรก เขาเคยเห็นข่าวประกาศแต่งงานสายฟ้าลับของนางแบบสาวอยู่ ไดนาไมต์รีบหันไปอย่างอยากรู้ตอนต่อ “แล้วเป็นไงวะ?”
สามสีหลับตาลง “แต่สุดท้ายหมอคนนั้นก็ถูกฆาตกรรมไปอย่างเป็นปริศนา”
“ฝีมือชาร์ลอตต์เหรอ?” เปรมถามอีก เอื้ออังกูรเคยเห็นข่าวนี้ผ่านตาไปเหมือนกัน ตอบว่า “ตำรวจก็สงสัย แต่เอาผิดเธอไม่ได้เพราะไม่มีหลักฐาน”
“อืม ที่กูแปลมาก็มีประมาณนี้แหละ น่าจะหมดแล้วนะ” สามสีพยักหน้าเมื่อตัวเองพูดสิ่งที่หามาได้ไปหมดแล้ว เสริมว่า “และอย่างที่เห็น ข้างหลังรูปมันเขียนไว้ว่า ‘Dear...Cherry Vigorharmoniche’ กูเลยให้ไอ้เอื้อช่วยหาประวัติของคนที่ชื่อเชอร์รี่มา”
เอื้ออังกูรดึงหลอดยาดมออกจากจมูก...ถึงตาเขาแล้ว
“เชอร์รี่ ไวโกฮาร์โมนิเช่ เป็นลูกสาวคนเดียวของ ‘แองเจิ้ล ไวโกฮาร์โมนิเช่’...นางแบบสาวตาสองสีที่เคยโด่งดังชื่อก้องโลกเมื่อสมัยก่อน...”
ทุกคนเงียบเสียงอย่างตั้งใจฟัง ก่อนเอื้ออังกูรจะพูดว่า
“จบละ”
“อีเหี้ย!” ห้าเสียงประสานตามด้วยอาการกระฟัดกระเฟียด เด็กหนุ่มผมสีน้ำตาลหัวเราะ “ค้นเล่นๆ แล้วได้มาแค่นี้อะ ‘ของจริง’ กำลังรอการติดต่อจากทีมงานอยู่”
เปรมอดถามไม่ได้ว่า “จะทันเหรอมึง อีกสามวันก็จะถึงวันงานแล้วนะ”
“สบ๊าย” ปิศาจร้ายเหยียดยิ้ม เขาหันไปทางเด็กหนุ่มผมสีชมพู พูดกึ่งขำว่า “ว่าแต่มึงเถอะ เห็นว่าไปโป๊ะใส่ไอ้เท็นมันเรอะ”
ไดนาไมต์ได้ยินแล้วแล้วยิ้มแหย เขาเกาแก้มเขินๆ “แหะๆ...ใช่จ้ะ”
“ตกใจหมดเลยตอนมันเข้ามา นึกว่าจะโดนด่าที่ลอบเข้าห้อง ปรากฏแม่งไปเอากุญแจมาไขตู้ให้ไอ้ไดเฉย” สามสีหัวเราะเมื่อนึกถึงเหตุการณ์วันที่เขาเข้าไปหาหลักฐาน เปมทัตบุ้ยปาก “กูก็บอกแล้วว่าเท็นช่วยพวกเราได้”
“แล้วตกลงในนั้นเป็นอะไร?” เอื้ออังกูรถามไดนาไมต์อย่างสนใจ
“มันเป็นกล่องเหล็กเก่าๆ มีกุญแจล็อคอีกทีอะ ยาว 30 ซม. กว้าง 15 ซม. หนาประมาณคืบนึงได้” ไดนาไมต์ทำมือประกอบคำพูด เสริมว่า “ถามเท็นแล้ว หมอนั่นก็ไม่มีกุญแจเหมือนกัน กูเลยขอมันเอาไปสะเดาะที่บ้าน ละแม่งก็ให้เฉย”
“เพราะมันก็อยากรู้เหมือนกัน” สามสีต่อให้ พอดีกับที่ไฟถามขึ้น “เออ ตกลงงานมีวันไหนนะ?”
เปมทัตหันไปหยิบม้วนกระดาษเอสี่ออกมาจากกระเป๋า กางมันวางลงกลางวง บอกว่า “อันนี้เป็นแผนงานที่กูถามจากออกัสมาได้” พ่อครัวเริ่มอธิบาย
“งานจัดวันที่ 30 หรือก็คือวันพุธที่จะถึงนี้...แต่งแบบคริสต์ตามความต้องการของชาร์ลอตต์” เปมทัตเว้นวรรคหายใจ “งานเริ่มตอนห้าโมงเย็นที่โบสถ์อาสนวิหาร...”
จู่ๆ เอื้ออังกูรก็โพล่งว่า “พวกมึงมีใครเล่นเปียโนเป็นไหม?”
ทั้งวงเงียบไปชั่วอึดใจ ก่อนใครคนหนึ่งจะส่งเสียง
“กู”
เอื้ออังกูรกระตุกยิ้มเมื่อเป็นคนที่เขาเล็งไว้ บอกว่า “ในงานแต่งแบบคริสต์มันจะมีพิธีบรรเลงเพลงอยู่ มึงไปเล่นเปียโนเพลงต้อนรับให้หน่อยได้ไหม”
“ก็ได้อยู่หรอก” โชขมวดคิ้ว อดถามไม่ได้ว่า “แต่เพื่ออะไรวะ?”
“แบบนี้นี่เอง ถ้าเข้าไปในฐานะแขกกันหมดจะได้แค่นั่งอยู่บนเก้าอี้เท่านั้น แต่ถ้าแฝงเข้าไปในรูปแบบต่างๆ เราจะสามารถกระจายตัวอยู่รอบๆ ชาร์ลอตต์ได้โดยไม่ผิดสังเกต” ไฟอธิบายตามความเข้าใจ
เอื้ออังกูรซบไหล่หมอยา ร้องว่า “ว้ายยย ฉลาดจุง”
“เข้าใจแล้ว งั้นพวกกูล่ะ?” ไดนาไมต์ถามบ้าง ดวงตาปิศาจจ้องสามทหารเสือแวบหนึ่ง พูดว่า “พวกมึงโดนชาร์ลอตต์กับลูกน้องเห็นหน้าไปแล้วนี่”
โชสะดุ้ง เอาจริงๆ ก็มีหนึ่งในนั้นเห็นหน้าเขาไปแล้วเหมือนกัน
แต่ถ้าจะให้บอกว่าทำไมถึงเห็นมันก็...
พวกเปรมกระพริบตาปริบๆ ก่อนจะโดนเอื้ออังกูรโบกมือไล่ “งั้นก็ไปเป็นแขกไป งานแฝงตัวให้พวกกูสามคนจัดการเอง” แต่ไดนาไมต์บอกว่า “มึง มีเมอีกคนนะ”
ใจเอื้ออังกูรแกว่งผิดไปหนึ่งจังหวะ หลุดถามว่า “หมอนั่นมาได้เหรอ? วันธรรมดา...”
“วันพุธเมเลิกเรียนตอนบ่าย งานมีช่วงเย็นคิดว่าคงไปทันนะ โบสถ์นั้นก็อยู่ในกรุงเทพฯ นี่เองด้วย” สามสีบอก เอื้ออังกูรจ้องคนพูดเขม็ง เผลอเสียงแข็ง “รู้ดีจังนะ!”
สามสีกระพริบตา มองหน้ากับเพื่อนๆ แล้วตอบว่า “ก็เอาไว้มาเตรียมแผนกันไง?”
“...อ๋อ” เอื้ออังกูรผงกหัว นึกหงุดหงิดตัวเองที่เผลอรู้สึกแปลกๆ
ถึงตรงนี้ไฟก็หันไปทางเด็กประมง สัพยอกว่า “อ้าวไอ้โช นี่ทีมงานเขาแชร์ข่าวแชร์ข้อมูลกันนี่มึงไม่มีอะไรจะเอามาอวดบ้างเหรอ”
โชขมวดคิ้ว “แล้วจะให้กูไปเอาข่าวมาจากไหน?”
“เจมินายไง” ไฟบอกยิ้มๆ ทว่าก็ต้องขมวดคิ้วเมื่อได้เสียงหัวเราะกลับมาแทนคำตอบ จนหมอยาอดถามไม่ได้ว่า “หัวเราะอะไร?”
“ไม่ไหวหรอก” โชขำเมื่อนึกถึงใบหน้าคมสันของอีกคน “อากูเป็นแค่นักธุรกิจส่งออกธรรมดาเท่านั้นแหละ ไม่ได้สายมืดอะไรขนาดพวกมึงหรอก”
“เจมินายอะนะ?” ไฟผงะ ไม่รู้อะไรดลใจให้หันไปสบตากับเอื้ออังกูร แน่นอนว่าฝ่ายหลังมองเขาอยู่ก่อนแล้ว พร้อมหันไปถามให้ด้วยว่า “อามึงบอกแบบนั้นเหรอ?”
“อื้อ” โชพยักหน้า เอียงคอสงสัย “อะไร? หรือพวกมึงรู้อะไรกันอีก กูกลัวนะเนี่ย...”
“เปล่าหรอก” เอื้ออังกูรตัดบท ยกมือแตะหลังหมอยาเบาๆ ร้อง “เนอะ?”
“...อืม”
อัคคียอมพยักหน้าในที่สุด ถึงตรงนี้ไดนาไมต์ก็ถามขึ้น “ว่าแต่พวกเราหาหลักฐานมาได้เท่านี้ใช่ไหม?”
“เฮ้ย! ขาดคลิปกูไปได้ไง!” ไฟร้องอย่างนึกขึ้นได้ เขารีบหันไปหยิบโน้ตบุ๊กออกมาจากกระเป๋า เปิดเครื่องพร้อมพูดว่า “นี่กูรอมาดูพร้อมพวกมึงเลยนะเนี่ย อยากตื่นเต้นด้วย”
“คลิปอะไรวะ” ไดนาไมต์ถาม ไฟตอบยิ้มๆ “คลิปลับนางแบบสาวตาสองสีแบบฟูลเอชดี ขอขอบคุณเอื้ออังกูรสำหรับพาสเวิร์ดครับผม”
“เด่อ...ตบมือแมะ!” เอื้ออังกูรร้องแล้วตบมือให้ตัวเองรัวๆ พวกที่เหลือไม่เข้าใจแต่ก็ยกมือตบให้แบบงงๆ
ไฟคลิกหาไฟล์วิดีโอในเครื่อง ไดนาไมต์เร่ง “เอ้าได้ยัง นี่จะดูวันนี้นะ”
“เออ เปิดเร็วๆ เขาจะได้วางแผนกันต่อเนี่ย” โชตีไหล่หมอยา ฝ่ายหลังขมวดคิ้ว “เห่ยอย่าเร่งเร้าเด่ะ!”
ติ๊ง!
พลันหน้าจอโน้ตบุ๊กเครื่องเล็กก็เกิดการเคลื่อนไหว ไฟรีบตั้งโน้ตบุ๊กไว้บนโซฟา ตามด้วยเด็กหนุ่มทั้งหกคนที่พร้อมใจแห่ไปกองรวมกันอย่างพร้อมเพรียง
วิดีโอปรากฏภาพมุมมองจากเพดานในห้องพักของโรงแรมหรูแห่งหนึ่ง ตามด้วยใครบางคนที่เดินเข้ามาในห้อง เขาเป็นชายหนุ่มรูปร่างสูงใหญ่ผิวขาวสวมแว่นตา ร่างนั้นนั่งลงบนเตียงพลางยกนาฬิกาดูเวลาพักๆ
ราวกับกำลังรอใครบางคน...
“เอ หมอนี่หน้าคุ้นๆ นะ” สามสีย่นคิ้วคล้ายนึก
ไฟเท้าคางมองภาพในจอที่ไม่เคลื่อนไหวมาเกือบสิบนาทีแล้วเบื่อๆ บ่นว่า “โฮ่ย คิดจะนั่งแบบนั้นไปอีกนานแค่ไหนกัน...” พอดีกับโชที่เอาคางเกยหัวเขาอยู่ร้องว่า “มึง! มีคนเข้ามาแล้ว!”
ความสนใจของทุกคนกลับมาทันที ไดนาไมต์เลิกคิ้ว
“ผู้หญิงผมสีทอง...”
ผู้มาใหม่เป็นหญิงสาวร่างอวบอัดมีเรือนผมสีทองยาวสลวย ด้วยมุมมองของกล้องเธอจึงกำลังหันหลังให้พวกเขา ทั้งคู่พูดคุยอะไรกันสักอย่าง ไม่นานนักชายหนุ่มก็เอนตัวลง
หญิงสาวตามไปขึ้นคร่อมเขา ก่อนบทรักอันเร่าร้อนจะเริ่มขึ้น
“เหยด...หนังสด” ไฟพูดเสียงหื่น โชคิ้วกระตุก เขาหยิกแก้มหมอยาอย่างหมันไส้จนอีกฝ่ายร้องลั่น เปรมกับไดนาไมต์สูดปากอย่างยอมใจหญิงสาว ส่วนเอื้ออังกูรนั่งมองภาพนั้นด้วยแววตาว่างเปล่า
ตอนนั้นเองที่สามสีโพล่งอย่างนึกขึ้นได้
“นึกออกแล้ว! ผู้ชายคนนี้ก็คือหมอที่จะแต่งงานกับชาร์ลอตต์นั่นเอง!”
“ว่าไงนะ!” สติของทุกคนกลับมาทันที ตามด้วยความสนใจที่พุ่งมาทางเด็กหนุ่มตัวสูงอย่างพร้อมเพรียง
ปัง!
พลันเสียงปืนก็ดังขึ้นหนึ่งนัด
“...”
เหล่าเด็กหนุ่มดวงตาแข็งค้าง ลำคอของเปมทัตแห้งผาก ค่อยๆ หันไปมองต้นเสียงช้าๆ...
มันดังมาจากหน้าจอโน้ตบุ๊ก
****************************************************** *
สวัสดีค่าาาาาา า

อันนี้เป็นตอนที่ 23 ครึ่งแรกนะคะ
ครึ่งหลังคาดว่าคงได้มาเร็ว ๆ นี้ค่ะ
ที่ต้องแบ่งครึ่งเพราะมันยาวมาก แต่ไม่อยากตัดเป็นตอนใหม่ค่ะ
กลัวเลขตอนจบไม่สวย 55555555 5
แค่ครึ่งแรกก็ปาไป 20 หน้าเอสี่แล้ว
ตอนนี้ก็เป็นอีกตอนที่หลากหลายอารมณ์ค่ะ ค่อย ๆ อ่านกันเนอะ
อยากให้คนอ่านเห็นเสน่ห์ของตัวละครมากกว่านี้จัง
จะพยายามถ่ายทอดออกมานะคะ 555555555 5
สำหรับเรื่องนี้เอาจริง ๆ มันก็ไม่ได้มีอะไรหรอกค่ะ
เป็นแค่การรวมตัวของวัยรุ่นไม่เต็มเต็งแค่นั้นเอง 55555555 5
ฝากแท็ก
#เสื้อกาวน์รุกเสื้อกุ๊กรับ ในทวิตเตอร์ด้วยนะคะ
ชอบรีมาก ๆ เลยค่ะ ขอบคุณทุกคนที่มาเล่นกันน้าาา า
เอ .. รู้สึกว่าทอล์คจะยาวขึ้นไหมเนี่ย 55555555 5
ขอบคุณทุกคนที่ยังติดตามและให้กำลังใจนิยายเรื่องนี้ค่ะ
ขอบคุณมากจริง ๆ นะคะ

เจอกันตอนที่ยี่สิบสามครึ่งหลังค่าาา า