(ต่อ)
หลังวิชาแลปอาหารภาคบรรยายยามบ่ายวันศุกร์ที่แสนจะน่าเบื่อจบลง เหล่านิสิตชายหญิงก็พร้อมใจกันเก็บข้าวของแล้วกุลีกุจอออกจากห้องไป
แต่ก็มีบางส่วนที่ยังยืนตกลงกันเรื่องไปต่ออยู่บ้าง พวกเปรมอยู่ในกลุ่มนี้
“ไปดูหนังกันพวกมึง!” ไดนาไมต์ชวนเพื่อนระหว่างเช็ครอบหนัง “กูอยากดูเรื่องนี้มานานละ ไอ้ห่า เข้าสักที”
“กูต้องไปบ้านเท็นว่ะ” เปรมตอบเสียงค่อย เด็กหนุ่มผมสีชมพูทำหน้าเหมือนเพิ่งนึกได้ “เออว่ะ วันนี้วันศุกร์นี่หว่า...โหยไรวะ ไอ้สามอะ?”
เจ้าของชื่อมองสายตาคู่หูที่จ้องมาอย่างคาดหวังแล้วถอนหายใจ
“...ไปก็ไป”
“เย่!” ไดนาไมต์กระโดดกอดคอเพื่อนตัวสูงอย่างอารมณ์ดี สามสีไม่เคยขัดใจเขาอยู่แล้ว
“โทษทีนะพวกมึง” เปรมพูดขณะสะพายกระเป๋า ก่อนจะโดนเพื่อนผมสีชมพูหันมาชี้หน้าคาดโทษ “ครั้งหน้าเลี้ยงฮันนี่โทสต์พวกกูเลย มึงเบี้ยว”
“เออๆ ไอ้สัด เจอกันเว้ย” พ่อครัวโบกมือแล้ววิ่งออกมา แว่วเสียงบอกลาจากเพื่อนด้านหลังดังให้ได้ยิน
ลมหนาวยามเย็นโชยมาพาใบไม้ค้างต้นให้ร่วงโรย เปมทัตหยุดเท้าหน้าตึกรวมแลป เป็นจังหวะที่เบนซ์สี่ประตูคันหรูคุ้นตาแล่นมาจอดเทียบท่าพอดี
“ออกัส!” พ่อครัวเปิดประตูรถแล้วยิ้มให้เลขาหนุ่ม
“สวัสดีครับคุณเปรม” ออกัสค้อมหัวให้อย่างสุภาพ รอจนเด็กหนุ่มปิดประตูเรียบร้อยดีแล้วจึงออกรถ
“เรียนวันนี้เป็นยังไงบ้างครับ” เลขาคนเก่งเอ่ยปากถามอย่างทุกที เปมทัตตอบด้วยใบหน้าอิดโรย “อา น่าเบื่อมากเลยล่ะ”
หนุ่มลูกครึ่งมองกระจกมองหลัง พูดว่า “วันนี้ที่คฤหาสน์อาจจะยุ่งๆ สักหน่อยนะครับ”
“เอ๊ะ ทำไมล่ะ?” เปรมหันไปมอง สารถีหนุ่มตอบเสียงทุ้ม “วันนี้นายท่านมีแขกมาร่วมรับประทานอาหารเย็นด้วยน่ะครับ” เพิ่มเติมว่า “เท็นเองก็กลับไปเตรียมตัวก่อนแล้ว”
“เท็นไม่เห็นบอกอะไรเลย?” พ่อครัวขมวดคิ้ว “แล้วแบบนี้ฉันจะไปทำไม...”
“หมอนั่นอยากเจอคุณเปรมครับเลยไม่ยอมบอก” ออกัสได้ทีฟ้อง เปมทัตมุมปากกระตุกหงึก
ไอ้เด็กโข่งเอ๊ย...
ใช้เวลาไม่นานเบนซ์สี่ประตูคันหรูก็เคลื่อนตัวมาถึงที่หมาย คฤหาสน์เกียรติยวานนท์ยามเย็นประดับด้วยไฟกระพริบหัวไม้ขีดหลากสี โคมไฟตามทางเดินส่องแสงสีส้มนวลตา สร้างบรรยากาศให้ดูพิเศษกว่าที่เคย
ภายในโถงใหญ่เกิดเสียงอึกทึก เปรมก้าวเข้ามา รอบตัวเต็มไปด้วยเหล่าพ่อบ้านที่กำลังเตรียมงานต้อนรับกันอย่างวุ่นวาย
ตอนนั้นเองที่แม่บ้านร่างท้วมวิ่งผ่านมา
“คะ...คุณเปรม ยินดีต้อนรับนะคะ!” มาเรียหยุดเท้าแล้วเอ่ยปนหอบ ในมือถือจานกระเบื้องที่ซ้อนกันจนสูงท่วมหัวและโย้ไปมาอย่างน่าหวาดเสียว
เปมทัตฉวยครึ่งบนออกมาถือไว้ให้ พูดว่า “ผมช่วยครับ”
“ว้ายไม่เป็นไรค่ะ! เดี๋ยวมาเรีย...”
“นำทางไปได้เลยครับ” เปรมตัดบท แม่บ้านร่างท้วมไม่มีทางเลือกจึงพยักหน้าให้ “ขอบคุณคุณเปรมมากนะคะ ตามมาเรียมาเลยค่ะ!”
พ่อครัวหันไปสบตาเลขาคนเก่ง “งั้นฉันไปก่อนนะ”
“...ครับ” ออกัสมองเด็กหนุ่มเดินตามมาเรียไปด้วยแววตาเหมือนปลาตาย ขืนให้เท็นรู้ว่าเขาปล่อยคุณเปรมไปช่วยงานพวกพ่อบ้านแบบนี้ มีหวังเลขาหนุ่มได้โดนฉีกอกแหงๆ...
แต่หนุ่มลูกครึ่งเองก็มีเอกสารที่ต้องจัดการเหมือนกัน ออกัสเดินขึ้นบันไดมายังห้องทำงาน ตอนนั้นเองที่ประตูห้องแต่งตัวซึ่งอยู่ถัดไปอีกสองบานเปิดดังผัวะ!
เลขาหนุ่มสะดุ้ง หลังประตูคือว่าที่คุณหมอในเชิ้ตสีขาวที่ยังไม่ได้สวมสูทดี
“ออกัส!”
เจ้าของชื่อหันไปมอง ด้านหลังเด็กโข่งปรากฏร่างช่างตัดเสื้อที่เลขาหนุ่มเป็นคนติดต่อมา พวกเธอวิ่งถือสูทกับเครื่องแต่งกายอื่นๆ ไล่ตามร่างสูงด้วยใบหน้าอาบเหงื่อ
“โอ๊ยนายน้อยคะใส่สูทก่อนค่ะ!”
“กุ๊กล่ะ...”
“นายน้อยคะเนคไทอยู่ตรงนี้!”
“กุ๊กอยู่ไหน?”
ออกัสมองสองสาวที่พยายามกอดแข้งกอดขาเพื่อเหนี่ยวรั้งนายน้อยแห่งคฤหาสน์ไว้อย่างสุดความสามารถด้วยแววตาเห็นใจ ก่อนจะตอบว่า “ในครัว...”
“กุ๊ก!!”
สิ้นคำก็วิ่งลงบันไดไปทั้งอย่างนั้น ออกัสหรี่ตา
อา ลืมไปเลยแฮะ...
เขาจะถูกฉีกอกได้ยังไง ในเมื่อแค่ได้ยินชื่อพ่อครัวหมอนั่นก็วิ่งโร่ไปแบบไม่สนหน้าอินทร์หน้าพรหมที่ไหนแล้วแบบนั้น
ประจวบเหมาะกับช่างตัดเสื้ออีกคนที่วิ่งออกจากห้องมา
“นายน้อยกลับมาใส่ถุงเท้าก๊อนนนนนน!!”
เปรมเดินออกมาจากห้องครัวใหญ่ที่อบอวลไปด้วยกลิ่นอาหาร หลังขนจานกระเบื้องตามมาเรียมาแล้วเด็กหนุ่มก็ช่วยจัดการปัญหาในครัวไปอีกหลายกระบวนความ ไม่ว่าจะเป็นแก้หัวปลีดำ ย่างเนื้อพอร์คชอปหรือเฉาะมะพร้าวทึนทึกเพื่อทำกะทิ จนอาหารทั้งหมดอยู่ในขั้นตอนที่พวกพ่อบ้านควบคุมได้แล้วนั่นแหละ พ่อครัวถึงขอสละลำด้วยใบหน้าอิดโรย
ตอนนั้นเองที่เกิดเสียงอึกทึกขึ้นด้านหลัง เปรมหันไปมองแล้วเบิกตาโพล่ง
“กุ๊ก!”
เท็นกำลังวิ่งมาหา
“นายน้อยค้าาาาา!!”
แถมยังโดนผู้หญิงไล่ตามมาอีกตั้งสามคน!
“...”
เปมทัตเข้าใจเรื่องทุกอย่างทันที เขาหันไปเผชิญหน้า ก่อนจะยกมือห้ามพร้อมส่งเสียงเหมือนครูฝึกสิงโตในคณะละครสัตว์
“เท็น! ซิท!”
กึก!
ร่างสูงหยุดเท้าแล้วยืนตัวตรงทันที ส่งให้สามสาวที่วิ่งมาสุดแรงเกิดเบรกไม่ทันจนหน้ากระแทกหลังกว้างแล้วล้มหงายท้องไปแบบโดมิโน่
เท็นเดินเข้ามาช้าๆ กางแขนด้วยดวงตาเป็นประกาย “กุ๊ก กอด...”
“ไม่”
ทว่าเปรมกอดอกแล้วถอยออกมา เท็นหยุดเท้าพร้อมขมวดคิ้ว
“ทำไม?”
“นายต้องไปรับแขก ฉันตัวเหม็น ยังกอดกันไม่ได้”
“ได้ไง!” เท็นส่งเสียงไม่พอใจ เปรมมองสามสาวด้านหลังที่ช่วยกันดึงมือเพื่อยืนขึ้นมาอย่างนับถือ เขาสบตาเด็กโข่ง พูดเสียงดุ “แต่งตัวให้เรียบร้อย”
“ไม่!”
“เดี๋ยวนี้” เปรมจ้องหน้าร่างสูง
“กอดกันก่อน” ทศทิศใช้ลูกอ้อน พ่อครัวหน้ากระตุก “ไม้นี้ใช้กับฉันไม่ได้แล้ว...เฮ้ย! จะทำอะไร!”
เปมทัตร้องลั่นตอนด็กโข่งถอดเสื้อเชิ้ตโยนไปด้านหลัง เผยให้เห็นกล้ามท้องสีซีดเป็นลอนสวย โดยพร้อมกัน...หนึ่งในสามสาวก็กระโดดรับเชิ้ตตัวนั้นไว้ได้ทันท่วงที
“กรี๊ดดดด! นายน้อยยย! เชิ้ตตัวนี้ไม่ใช่ราคาถูกๆ นะค้าาา!”
“เท็น ทำไม...เหวอ!” เปรมตัวลอยเมื่อโดนนายน้อยปราดเข้ามาอุ้มขึ้นพาดบ่า ก่อนร่างสูงจะสับขาวิ่งออกมานอกคฤหาสน์ พ่อครัวทุบหลังกว้างดังอัก
“เท็น! นายต้องไปรับแขกนะ!”
เด็กโข่งไม่ตอบแต่เพิ่มความเร็วขึ้น เปมทัตกุมขมับอย่างจนปัญญากึ่งเวียนหัว รู้ตัวอีกทีก็ถูกพามาที่มุมหนึ่งของสวนแล้ว เท็นวางพ่อครัวลงบนพื้น
“นายนี่มัน!” ยังไม่ทันได้อ้าปากด่าคนตัวเล็กก็ถูกอีกฝ่ายคว้าไปไว้ในอ้อมกอด
หมับ
“เราแค่คิดถึงกุ๊กเท่านั้นเอง...”
ทศทิศซุกหน้ากับไหล่ลาดของพ่อครัวอย่างออดอ้อน
“อย่าดุเราเลยนะ”
“...”
นายเปรมหน้าร้อนแทบไหม้ เขาซุกหน้าลงกับอกกว้าง อธิบายเสียงอู้อี้ “แต่ฉันตัวเหม็น นายไม่ควร...”
“กุ๊กตัวหอม” จมูกโด่งสันกดลงสูดกลิ่นจากเส้นผมสีปีกกาคล้ายต้องการพิสูจน์ให้เห็น พ่อครัวหลับตาปี๋ หูแดงเถือก “แม่โว้ย...ไม่รู้เรื่องด้วยแล้ว!”
เท็นจูบใบหูเล็กนั่นอย่างรักใคร่ “คืนนี้ค้างนี่นะ”
“...อือ” เปรมอายจนแทบแทรกแผ่นดินหนี ร่างสูงพูดอีก “กุ๊กไปรอที่ห้องก่อน เดี๋ยวคุยธุระเสร็จเราตามขึ้นไปนะ”
“ฉะ ฉันรอข้างล่างนี่แหละ...” เปมทัตหาเสียงตัวเองเจอแล้ว แต่ก็ยังไม่รู้จะเอาหน้าไปวางไว้ตรงไหนอยู่ดี “จะได้ขึ้นพร้อมกัน...”
“เข้าใจแล้ว” เท็นจุดยิ้มอบอุ่น ก่อนจะก้มลงกระซิบข้างหูพ่อครัว
“คิดถึงนะ”
เปรมก้มหน้างุด ตอบอ้อมแอ้ม
“อะ...อืม”
ตอนนั้นเองที่นิ้วยาวเชยคางเล็กขึ้นช้าๆ ก่อนนายน้อยจะแนบริมฝีปากลงมาอย่างนุ่มนวล
จุ๊บ...
“หน่ายนร้อยยยยยยยยย!!”
เปรมรีบผละออกจากเท็นโดยอัตโนมัติ ตามด้วยสามสาวที่วิ่งมาล้อมหน้าล้อมหลังร่างสูง คนหนึ่งโอดครวญ “โอ๊ยอกอีแป้นจะระเบิด แขกก็จะมาแล้ว นายน้อยพอจะมีเวลาว่างสัก 2-3 นาทีไหมคะ...”
“เพียงนายน้อยยืนเฉยๆ เท่านั้น! แจกกันเลยตรงนี้! เสื้อเชิ้ตหนึ่งตัวค่ะ!” อีกคนชูเชิ้ตขึ้นเหนือหัวด้วยใบหน้าอาบเหงื่อ ในขณะที่คนสุดท้ายลงไปกอดขาร่างสูงทั้งน้ำตา “แถมถุงเท้าให้ด้วยนะคะ...”
เท็นขมวดคิ้ว “เราจะกอดกุ๊ก”
“อิไล้!!” พวกเธอเหลือกตาทำหน้าเหมือนประสาทจะกิน เปรมมองภาพนั้น ตัดสินใจพูดว่า “เท็น แต่งตัวซะ”
“ทำไมล่ะ?”
“ฉันก็ให้นายกอดแล้วนี่ ทำแบบนี้พวกเขาเดือดร้อนนะ” เหล่าช่างตัดเสื้อหันมามองพ่อครัวอย่างมีความหวัง ทศทิศฟังแล้วนิ่งไป เสนอว่า
“หอมเราก่อน”
“หา?”
“ถ้ากุ๊กหอม...เรายอมก็ได้” เท็นสบตากับคนตัวเล็ก ฝ่ายหลังแก้มร้อนจนขึ้นสี ก่อนจะรู้สึกได้ถึงสายตาทิ่มแทงจากสามสาวที่พร้อมใจกันตบมือเว้นจังหวะพลางพูดเสียงโมโนโทนว่า “หอมเลย! หอมเลย!”
ไม่ใช่งานแต่ง!
ถึงตรงนี้ใบหน้าหล่อเหลาก็โน้มลงมาหา เปรมยืนมองอย่างชั่งใจ สุดท้ายก็รวบรวมความกล้ายื่นหน้าเข้าไปกดจมูกลงบนแก้มสีซีดดังฟอด!
“ตะ...แต่งตัวเถอะนะ” พ่อครัวพูดเสียงสั่น แข้งขาก็พากันจะอ่อน โดยไม่ทันตั้งตัวนายเปรมก็ถูกเด็กโข่งยื่นหน้าเข้ามาขโมยหอมแก้มไปยิ้มๆ สบตาแล้วพูดว่า
“หอมมาหอมกลับ...ไม่โกงครับ”
กลับเข้ามาด้านใน โถงใหญ่ตอนนี้ถูกเนรมิตกลายเป็นห้องอาหารด้วยโต๊ะยาวสุดหรูที่ตั้งอยู่กลางห้องพร้อมเก้าอี้เข้าชุด เจ้าบ้านสวมสูทสีน้ำเงินประจำหัวโต๊ะ ส่วนลูกชายในสูทสีฟ้าอ่อนนั่งอยู่ทางซ้ายมือของเขา
ตรงข้ามนายน้อยเป็นชายวัยกลางคนรูปร่างสูงโปร่ง เขามีเส้นผมสีดำสนิทตัดกับผิวกายขาว ดวงตาเล็กตี่ตามแบบฉบับลูกคนจีนคู่นั้นพราวระยับ
ขวามือของอาคันตุกะคนสำคัญคือเด็กสาวรูปร่างผอมบางในชุดเดรสสีชมพูอ่อน ผิวกายเธอขาวละเอียดเหมือนบิดา ใบหน้าน่ารักจิ้มลิ้ม ดวงตากลมโตทอประกายแบบเด็กฉลาด
“ปิยะ นี่ลูกชายฉัน...เท็น” เจ้าบ้านเปิดปากก่อนเริ่มมื้ออาหาร ก่อนจะหันไปทางลูกชาย “เท็น นี่ปิยะ...เพื่อนเก่าของพ่อ และน้องเดียร์...ลูกสาวของปิยะ”
“สวัสดีครับ” เท็นทักทายด้วยท่าทีสุภาพ ปิยะจ้องลูกชายเพื่อนตาโต
“โห! ทำไมหน้าเหมือนแปดเด๊ะเลยอะ!”
“...ก็ลูกฉัน” คนหัวโต๊ะตอบเหนื่อยๆ ชายเชื้อจีนหัวเราะ ก่อนจะชวนเด็กหนุ่มคุยอย่างอารมณ์ดี “เท็นเรียนอยู่ปีไหนแล้วเนี่ย”
“ปีหนึ่งครับ” ทศทิศตอบ ปิยะหันไปมองหน้าลูกสาว “เห...ก็เป็นพี่น้องเดียร์หนึ่งปีน่ะสิ น้องเดียร์อยู่ม.หก” ก่อนจะยกยิ้มเจ้าเล่ห์
“แล้วเท็นมีแฟนรึยังล่ะ?”
“ผม...”
“น้องเดียร์ยังไม่มีแฟนเลยนะ”
“คุณพ่อ!” เด็กสาวค้อนขวับ เธอมองพ่อหัวเราะร่วนอย่างเหนื่อยใจ ก่อนจะหันไปค้อมหัวให้นายน้อย “อย่าถือสาพ่อของฉันเลยนะคะ แกชอบพูดอะไรเรื่อยเปื่อยแบบนี้แหละค่ะ”
ปิยะส่งเสียง “ทำไมล่ะ ลูกสาวของพ่อน่ารักขนาดนี้!”
“นายมีลูกสองคนนี่ แล้วคนโตล่ะ” หมอแปดถามขณะเริ่มรับประทานอาหาร ปิยะหั่นเนื้อเข้าปากบ้าง เขาถอนหายใจ “หมอนั่นมันหนุ่มฟ้อหล่อเฟี้ยว เที่ยวหญิงเป็นว่าเล่น”
“เหมือนนายตอนหนุ่ม”
“เห่...” ดวงตาตี่หรี่มองคนหัวโต๊ะ ยกนิ้วทำจุ๊ๆ “ฉันเลิกนิสัยนั้นแล้วน่า อย่าทำให้ครอบครัวร้าวฉานสิ” ก่อนจะพูดยิ้มๆ “ว่าแต่นายชื่อแปดแล้วก็ตั้งชื่อลูกว่าเท็นเหรอเนี่ย...น่ารักจัง”
ร่างใหญ่หัวเราะในลำคอ “ก็เหมือนนายนั่นแหละ”
“แน่น้อน!” ปิยะยกยิ้มอย่างภาคภูมิ
“ทำไมเหรอครับ” เท็นเอ่ยถาม ชายเชื้อจีนอธิบายว่า “ชื่อของฉันแปลว่า ‘เป็นที่รัก’ น่ะ ฉันก็เลยตั้งชื่อลูกๆ ของฉันให้เป็นแบบเดียวกัน อย่างเดียร์ก็แปลว่าเป็นที่รักนะ!”
ทศทิศกระพริบตา “แล้วคนโต...”
“อา ชื่อคนโตก็แปลว่าเป็นที่รักเหมือนกัน แต่คนละเรื่องกับน้องเดียร์เลยล่ะ” ปิยะทำหน้าเหนื่อย “คนโตของฉันอยู่ปีเดียวกับเท็นเลย แต่ไม่ใช่มหาลัยเดียวกับนายหรอกนะ”
มุมปากลูกคนจีนกระตุกยิ้ม “ถ้าอยากเจอคราวหน้าจะพามานะ”
“...ไม่รบกวนดีกว่าครับ” ฟังจากกิตติศัพท์แล้วเท็นก็ตอบได้แค่นี้ ปิยะหัวเราะลั่น “ให้ตาย! นายนี่เหมือนแปดไม่มีผิด!” แล้วพูดว่า
“ฉันชักจะชอบซะแล้วสิ แต่งงานกับลูกสาวฉันไหม?”
“แค่ก!”
เดียร์ถึงกับสำลัก เธอค้อนพ่อจนตาเหลือก “คุณพ่อ!”
“ฉันพูดจริงนะ”
ปิยะสบตากับเด็กหนุ่ม “นายหน่วยก้านดีเหมาะสมกับลูกสาวของฉัน ว่าไงล่ะแปด?” เขาหันไปทางเจ้าบ้าน บอกว่า “น้องเดียร์น่ารักมากนะ บอกก่อนถ้าไม่ใช่ลูกนายฉันไม่ยอมเสนอให้แบบนี้หรอกนะเฟ้ย!”
“...งั้นเหรอ”
“ทำไมตอบแค่นั้นเล่า!” ปิยะกระดกไวน์ ก่อนจะเปลี่ยนเรื่องแล้วชวนคุยสัพเพเหระไปเรื่อย ไม่นานก็เข้าธุระสำคัญที่ทำให้ต้องเดินทางมาถึงนี่
เจ้าบ้านมองลูกสาวเพื่อนที่นั่งก้มหน้าโดยมีพ่อพูดเรื่องธุรกิจไม่หยุดอยู่ข้างๆ เขาลอบแตะศอกลูกชาย
“...” เท็นหันมามอง หมอแปดบุ้ยหน้าไปทางเด็กสาว ลูกชายมองตาม เข้าใจความหมายทันที
ทศทิศลุกขึ้นช้าๆ ปิยะหยุดพูดแล้วหันมามองเด็กหนุ่ม ตอนนั้นเองที่นายน้อยเดินเข้าไปหาเด็กสาว ยื่นมือให้เธอพร้อมรอยยิ้มอบอุ่น
“นั่งเฉยๆ คงเบื่อแย่ ไปเดินเล่นกันไหม?”
ปิยะตาโต ก่อนจะพรวดไปเขย่าไหล่เจ้าบ้านอย่างตื่นเต้น “โหยแปด! ลูกชายนายเท่สุดยอดไปเลยอ้ะ!”
“...” หมอแปดพยักหน้าแกนๆ ในขณะที่เดียร์กระพริบตาปริบๆ
“เอ่อ...ค่ะ” เธอจับมือกับอีกฝ่ายแล้วยืนขึ้น
“พวกเราขอตัวก่อนนะครับ” เท็นโค้งให้ผู้ใหญ่สองคนอย่างสุภาพ ก่อนจะจูงมือเด็กสาวออกไป
“โอ๊ยยยยยยยย งานดีอยากด้ายยยยยย” ปิยะเอี้ยวตัวไปกอดแขนเพื่อนแล้วร้องอย่างตื้นตัน ข้างขมับของหมอแปดปูดโปน รอจนพวกเด็กๆ ออกไปถึงได้กล้าเขกหัวอีกฝ่าย แล้วตะคอกว่า
“เข้าเรื่องสักทีไอ้บ้านี่!”
สวนหย่อมของคฤหาสน์เกียรติยวานนท์ถูกตกแต่งด้วยโคมไฟสีส้มนวลตา ร่างสูงกับเด็กสาวก้าวคู่กันไปตามทางเดิน ลมเย็นพัดมาทำให้อากาศยามค่ำคืนเย็นสบาย
ทศทิศมองคนตัวเล็กที่เดินตัวแข็ง บอกว่า “ไม่ต้องเกร็งขนาดนั้นก็ได้”
“...” เดียร์เหลือบมองเขาแวบหนึ่ง สุดท้ายก็ถอนหายใจออกมาดังเฮือกจนเท็นหลุดหัวเราะ
“เพราะพี่ชายค่อนข้างเกเรฉันเลยต้องมาออกงานกับคุณพ่อแทนบ่อยๆ น่ะค่ะ” เด็กสาวยิ้มแหย “แถมยังต้องรักษาภาพพจน์มากๆ จนฉันแทบไม่เป็นตัวของตัวเองเลย”
ร่างสูงผงกหัวอย่างเข้าใจ “ผมก็เหมือนกัน”
“พี่เท็นไม่เหมือนฉันแน่ค่ะ” ลูกสาวปิยะพูดยิ้มๆ คนฟังกระพริบตา “คือว่า...ตัวจริงของผมเองก็ไม่ใช่แบบที่คนอื่นเห็นเหมือนกัน”
“เอ๊ะ จริงเหรอเนี่ย?” เดียร์มองตาโต “ใครๆ ก็พูดกันว่าพี่เท็นเป็นสุภาพบุรุษและเพอร์เฟ็กต์ ตอนที่เห็นครั้งแรกฉันเองก็คิดแบบนั้นค่ะ!”
“ไม่มีใครเพอร์เฟ็กต์หรอกครับ” นายน้อยเผยยิ้ม เด็กสาวพยักหน้าเข้าใจ “โอเค งั้นเราเหมือนกันก็ได้ค่ะ”
“พี่ชายไม่ชอบเข้าสังคมเหรอครับ” เท็นพาน้องมานั่งเก้าอี้ยาวสีขาวซึ่งตั้งประดับไว้ เดียร์นั่งลง เธอพูดพลางออกไม้ออกมือตามประสาเด็กวัยรุ่น “เรียกว่าสังคมคนละแบบดีกว่าค่ะ พี่ชายฉันเขาเป็นเสือผู้หญิง”
“แบบนี้นี่เอง” เท็นเข้าใจแล้ว เด็กสาวสั่นหัวขำๆ เมื่อนึกถึงหน้าพี่ชาย “แต่ถึงแบบนั้นเขาก็หวงฉันมากเลยนะคะ ทำตัวย้อนแย้งจริงๆ”
“ถ้าผมมีน้องสาวแบบเดียร์ผมก็คงจะหวงมากเหมือนกัน” ทศทิศบอกตรงๆ คนฟังนิ่งไป ก่อนจะหลุดหัวเราะออกมา “พี่เท็นเนี่ย...พูดเรื่องแบบนี้ได้เป็นธรรมชาติจังเลยนะคะ”
‘นายเนี่ย...พูดเรื่องน่าอายได้หน้าตาเฉยเลยนะ’
เท็นยิ้มออกมา “ครับ มีคนเคยบอกแบบนี้เหมือนกัน”
“...” เดียร์ตาเป็นประกาย โพล่งว่า “พี่เท็นยิ้มแบบเมื่อกี้อีกทีได้ไหมคะ!”
“...แบบไหน?” เท็นเอียงคอ เด็กสาวลูบคางอย่างครุ่นคิด “ขอโทษนะคะ...” เธอยื่นมือเข้าไปจับแก้มคนตัวใหญ่ให้ยกขึ้น พยายามให้ได้องศาแบบเมื่อครู่ แต่สุดท้ายก็ได้หน้าแปลกๆ กลับมา
“ฮ่าๆๆ ขอโทษค่ะ แต่ฉันชอบรอยยิ้มเมื่อกี้มากเลย แต่ดูเหมือนจะออกมาแค่ตอนไม่ได้ตั้งใจสินะคะ” คนตัวเล็กหัวเราะเสียงใส เท็นกระพริบตา “ขอโทษด้วยนะ...”
เดียร์ยิ้มกว้าง “พี่เท็นน่ารักจัง”
ตอนนั้นเองที่ด้านข้างปรากฏร่างชายสวมทักซิโด้สีดำสองคน ในมือพวกเขาถือไวโอลินเอาไว้ หนึ่งในนั้นบอกว่า “พวกเราได้รับคำสั่งจากคุณปิยะให้มาบรรเลงไวโอลินให้พวกคุณฟังครับ”
นายน้อยเหลือบมองหน้าต่างบานใกล้ที่สุดโดยอัตโนมัติ ดวงตายาวรีสะท้อนภาพสองชายวัยกลางคนที่กำลังจ้องมา ปิยะยืนยิ้มน้อยยิ้มใหญ่อย่างครึ้มใจ ในขณะที่หมอแปดพยักหน้าเป็นเชิงให้ตามน้ำ
“อะไรเนี่ย คุณพ่ออีกแล้วเหรอ” เดียร์ขมวดคิ้ว กำลังจะลุกไปจัดการ ทว่ากลับโดนร่างสูงคว้าแขนเอาไว้
“เอ๊ะ?”
“...เต้นรำกันไหม?” ริมฝีปากเหยียดตรงขยับเอื้อนเอ่ย เด็กสาวกระพริบตา “เอ่อ ถ้าพี่เท็นไม่อยาก...”
พอดีกับที่ปิยะดีดนิ้วส่งสัญญาณ พลันนักดนตรีทั้งสองก็พร้อมใจกันยกไวโอลินขึ้นมาสีโดยอัตโนมัติ เท็นส่งมือให้น้องด้วยรอยยิ้มอบอุ่น
“เต้นรำกันสักเพลงนะ”
เดียร์มองมือหนา ดวงตากลมโตทอประกายวูบ เธอวางมือเล็กลงไป เงยหน้าสบตาอีกฝ่าย
“ค่ะ”
ท่วงทำนองถูกบรรเลงขึ้นแล้ว คู่เต้นรำชายหญิงประสานมือกันก่อนจะขยับตัวไปตามจังหวะ ท่ามกลางแสงจันทร์และเกล็ดดาวอันพร่างพราวอยู่บนผืนฟ้า ที่งดงามราวกับภาพวาดในหนังสือนิทานสมัยเด็ก
การเคลื่อนไหวของร่างสูงในชุดสูทกับเด็กสาวในชุดเดรสช่างอ่อนวาน ไม่ต่างไปจากเจ้าชายกับเจ้าหญิงที่กำลังเต้นรำท่ามกลางบทเพลงอันแว่วหวานยามค่ำคืน
เท็นสบตากับเด็กสาว ในลูกแก้วกลมโตสีอ่อนนั้นทอประกายอะไรบางอย่าง...บางอย่างที่เขาไม่เข้าใจ
แต่ก็อดยอมรับไม่ได้ว่ามันช่างน่าค้นหามากเหลือเกิน...
“...”
ไกลออกมา เปมทัตยืนมองภาพนั้นด้วยความรู้สึกหลากหลาย
ไม่ได้ตั้งใจจะสอดรู้สอดเห็น...เขาแค่บังเอิญนั่งรอเท็นอยู่แถวทางเข้าคฤหาสน์ พอเห็นร่างสูงเดินจูงมือเด็กสาวออกไปแล้วก็เลยอดตามมาดูไม่ได้
เปรมคิดมาตลอดว่าเขาจะปกป้องเท็น
...
แต่จากสีหน้าและน้ำเสียงที่คุยกับเจ้าบ้านวันนี้ดูท่าเขาคงไม่มีอะไรต้องห่วงอีกแล้ว...
‘พี่เท็นน่ารักจัง’
ดวงตาสีนิลจับจ้องภาพชายหญิงสองคนที่กำลังเต้นรำอยู่กลางสวนหย่อมอีกครั้ง
“...”
อดยอมรับไม่ได้ว่าเจ็บเหมือนกัน...
‘ฉันชักจะชอบซะแล้วสิ แต่งงานกับลูกสาวฉันไหม?”’
ได้ยินว่าพ่อของเด็กสาวก็อยากได้เท็นเป็นลูกเขยด้วย
‘ผม...’
เอาเถอะ...
“...”
แค่ภาพตรงหน้ามันก็เป็นคำตอบได้ชัดเจนอยู่แล้ว
เวลาสามทุ่มครึ่ง เปมทัตสะพายกระเป๋าแล้วมองร่างสูงเป็นครั้งสุดท้าย
“...”
ก่อนจะหันหลังเดินจากไปอย่างเงียบเชียบ...
****************************************************** *
สวัสดีค่าาาาา า

ไอ่ แอม คั้มแบ้กกกกกกกกกก ก !
/meวิ่งหลบหม้อถังกะละมังไห
กรี๊ดดดดด ด ข่าวคราวเงียบหายไปเกือบสามเดือนนน น
ช่วงนั้นจูนสอบค่ะ ทุกอย่างรุมเร้ามาก งานก็เยอะท่วมหัว ..
เอาต้วแทบไม่รอดเลยค่ะ 555555555 5
ขอโทษที่มาลงช้าจริง ๆ นะคะะะ ะ
/ก้มกราบแบบเดอะเฟซ
วันนี้มาเพราะใจอยากลงตอนนี้ก่อนปีใหม่ค่ะ
แล้วก็ทำสำเร็จด้วย ! โอ๊ย ที่ดี 555555 5
อีกเรื่องที่อยากอวด จูนไม่เอฟอิ๊งค์แหละค่ะ !
โหย มันดีมาก ไม่ใช่ดีธรรมดา ดีบวกด้วย 5555555 5
ถือเป็นเรื่องราวดี ๆ รับปีใหม่จริง ๆ ค่ะ
พอละเดี๋ยวยาว เรามาขายของกันดีกว่า 555555 5
เพจเฟซบุ๊กของจูนเองค่ะ
iJune4S
ไม่ต้องตกใจที่ยังไม่เห็นจูนลงอะไรนะคะ
มีความเคลื่อนไหวเดียวตั้งแต่เปิดมาคือเปลี่ยนรูปโปรค่ะ 555555 5
ไปติดตามกันได้น้า จูนเตรียมเรื่องสั้นเอาไว้ลงเยอะแยะเลย
แล้วก็ ใครว่าง ๆ ไปเล่นแท็ก #เสื้อกาวน์รุกเสื้อกุ๊กรับ ในทวิตเตอร์ได้นะคะ
สุดท้าย อันนี้ทางการสุด
.. ไม่หรอกค่ะ จูนพูดเล่น 5555555 5
ขอบคุณทุกคนที่ยังติดตามนิยายเรื่องนี้นะคะ
จูนไม่มีคำพูดอื่นจะให้จริง ๆ ค่ะ ขอบคุณสำหรับการรอคอยมาก ๆ
รวมถึงการทวงที่น่ารักและน่าเอ็นดูของคนอ่านด้วย 5555555 5
มาเป็นกลอนบ้าง มาบ่นบ้าง จูนอ่านแล้วหัวเราะออกมาเลยค่ะ
ขอบคุณทุกคนที่สนใจและให้ความสำคัญกับนิยายบ้า ๆ บอ ๆ เรื่องนี้นะคะ
สุดท้าย (อีกสักที) สุขสันต์วันปีใหม่ล่วงหน้าค่ะ
ขอให้พักผ่อนอย่างปลอดภัยและสนุกสนานนะคะ

แล้วเจอกันตอนที่ยี่สิบเก้าค่าาา า